ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 689-709

 บทที่ 689 เผชิญพายุ

โดย

Ink Stone_Fantasy

ยามนี้บนชายฝั่งของฟาร์มปลาที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา ปูก้ามดาบจำนวนมากต่างผุดออกมาจากหลุมทรายวิ่งแออัดกันจนดูเหมือนเมล็ดงาบนขนมเปี๊ยะ


แน่นอนว่าสีสันและความวาวของกระดองหลังพวกมันสวยยิ่งกว่าสีของเมล็ดงามาก สีของปูตัวผู้จะสดใสกว่าของตัวเมีย มีทั้งสีแดงปะการัง เขียวสดใส ทอง เขียวอ่อนและฟ้าอ่อน เป็นประกายอยู่บนหาดราวกับทุ่งดอกไม้


ถ้าปูก้ามดาบไม่ได้มุดออกมาจากหลุมกัน ฉินสือโอวคงไม่มีทางรู้ว่าฟาร์มปลาตัวเองจะมีปูน้อยอยู่เยอะขนาดนี้ ก่อนหน้านี้เขายังวางแผนว่าจะเพิ่มพวกมันมาไว้ที่ฟาร์มปลาด้วย แต่ตอนนี้ดูท่าเขาคงกังวลมากเกินไป


พวกปูก้ามดาบปีนขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว พลางยกก้ามใหญ่ที่ดูเหมือนดาบปลายแหลมขึ้นกวัดแกว่งไปมาเป็นคลื่น แบบนี้ถึงพวกปูจะตัวเล็กแต่ด้วยจำนวนมหาศาลทำให้ฉากนี้ดูทรงพลัง


นี่จึงเป็นที่มาของชื่อ ‘ปูก้ามดาบ’ เพราะพวกมันแกว่งก้ามยักษ์อย่างนี้ไปทางทะเลจึงถูกคนสมัยก่อนเข้าใจว่ามันกำลังเรียกน้ำขึ้นน้ำลงอยู่ เลยตั้งชื่อนี้ให้พวกมัน


ฉินสือโอวรู้อยู่แล้วว่าการเคลื่อนไหวของพวกมันไม่ได้ใช้เรียกน้ำจริงๆ หรอก แต่เป็นการแสดงท่าทีองอาจ ข่มขวัญศัตรูหรือหาคู่ต่างหาก


เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็เรียกพวกชาวประมงมาปรึกษากัน “ท่าทีแปลกๆ ของฝูงปูเป็นไปได้ไหมว่าถึงฤดูผสมพันธุ์แล้ว? พวกมันดูไม่เหมือนกำลังหลบน้ำขึ้นเลย เหมือนกำลังตั้งใจหาคู่มากกว่า”


แซ็กที่อาวุโสที่สุดส่ายหน้า เขาพาฉินสือโอวไปดูหลุมสร้างใหม่ของพวกปูก้ามดาบ แล้วชี้ไปยังปากหลุมที่ปิดไว้ “ดูสิ พวกมันรู้อยู่แล้วว่าตัวเองกำลังจะเจอกับอะไรเลยเตรียมตัวปิดปากหลุมไว้ก่อนเรียบร้อย ถ้าหาคู่พวกมันจะปิดประตูบ้านทำไมล่ะ?”


ชาร์คยังบอกอีกว่า “ใช่ครับบอส ผมคิดว่าพวกปูก้ามดาบแค่ใช้โอกาสตอนย้ายบ้านหาคู่ก็ได้ ไม่ถึงกับต้องปีนขึ้นมาหาบนนี้เลย”


ฉินสือโอวขมวดคิ้วเอ่ยว่า “งั้นแสดงว่า ปูก้ามดาบพวกนี้เชื่อว่าจะมีน้ำขึ้นครั้งใหญ่จริงๆ ใช่ไหม?”


พวกชาวประมงพยักหน้า ฉินสือโอวไม่มีทางเลือกได้แต่โบกมือ ให้ทุกคนเริ่มทำงานเก็บกวาดฟาร์มปลา


ถึงอย่างไรต่อให้น้ำจะขึ้นแค่ไหนก็ไม่มีทางไปถึงวิลล่าได้อยู่ดี


เหตุผลที่ฉินสือโอวและชาวประมงต้องพิจารณาว่าจะเกิดน้ำขึ้นลงหรือไม่นั้น เพราะสิ่งที่พวกเขาทำล้วนขึ้นอยู่กับเรื่องนี้ ไม่ว่าจะซ่อมเรือประมง ซ่อมแพสำหรับเพาะพันธุ์สาหร่าย หรือการออกทะเลไปให้อาหารปลากุ้ง


พอเห็นพวกผู้ใหญ่ทำงาน เด็กๆ ที่เล่นได้สักพักก็มาช่วยงานด้วย เช่นเดียวกับหู่เป้าฉงหลัว มีแค่อัลลิเกเตอร์มาสเตอร์ที่ยังต้วมเตี้ยมอยู่บนหาด เดินไปกินไป มีปูก้ามดาบอร่อยๆ เต็มปากมัน


นิสัยของเด็กๆ ที่จดจ่อกับงานได้ไม่นาน ทำไปสักพักก็ใจลอย พานจะเป็นการก่อปัญหาเสียมากกว่า


ฉินสือโอวไม่อยากให้พวกเขามาวุ่นวาย แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธความกระตือรือร้นของเด็กๆ ได้ เขาหมุนตัวอยู่ตรงพื้นหาปูก้ามดาบขนาดประมาณกำปั้นเขาแล้วเอาให้กอร์ดอนกับมิเชล


กอร์ดอนและมิเชลพิจารณาปูเล็กน้อย ก่อนจะตาเป็นประกาย วิ่งไปอวดชาร์คน้อยกับคราเคนน้อยด้วยความตื่นเต้น


ชาร์คน้อยเอ่ยอย่างดูถูก “แล้วยังไง เมื่อวานฉันเก็บปูได้ตัวใหญ่กว่าพวกนายอีก!”


กอร์ดอนชูปูก้ามดาบในมืออย่างไม่ยอมแพ้ตอบ “นายไม่เห็นเหรอไง? ปูก้ามดาบของฉันไม่เหมือนกันนะ ก้ามของมันอยู่ข้างซ้ายแหละ!”


ชาร์คน้อยเห็นดังนั้น เขาจึงไปหาที่ชายหาดบ้าง แต่ทุกตัวที่เจอล้วนมีก้ามใหญ่อยู่ข้างขวาทั้งนั้น ดูท่าของกอร์ดอนจะเป็นแบบหายากจริงๆ


ชาร์คน้อยไม่ยอมแพ้ วิ่งไปหาพ่อให้ช่วยเขาหาปูแปลกๆ บ้าง ชาร์คที่กำลังยุ่งไม่มีอารมณ์เล่นเป็นเพื่อน เลยบอกปัดให้เขากลับไปเล่นเอง


ชาร์คน้อยแสดงความไม่พอใจโดยการก่อกวนพ่อไปทั่ว พ่อเขาเองก็เป็นชายร่างกำยำ เลยจัดท่าเทพมังกรฟาดหางใส่เอวซ้ายไปหนึ่งทีจนเขากระเด็นไปห้าเมตร


ทำให้ชาร์คน้อยต้องเดินกะเผลกไปทั้งเจ็บก้นด้านซ้าย พ่อเขาถลึงตาใส่พร้อมตะโกนว่า “สาแก่ใจแกเหรอยัง?”


ฉินสือโอวหัวเราะเสียงดัง ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ใช้วิธีสอนลูกแบบป่าเถื่อน แต่ดูเหมือนจะได้ผลชะงัดทีเดียว ชาร์คน้อยและคราเคนน้อยหลังโดนตีต่างก็ทำตัวสงบเสงี่ยมไปหลายวัน


เห็นชาร์คน้อยดูทุกข์ใจเดินกะโผลกกะเผลกหาปูอยู่อย่างนั้น ฉินสือโอวจึงเข้าไปอธิบายว่า “มันไม่ได้เป็นพันธุ์หายากหรอก ปูก้ามดาบก็เป็นอย่างนี้ ถ้าปูตัวผู้เสียก้ามใหญ่ไปมันก็จะงอกก้ามเล็กออกมา ส่วนก้ามเดิมที่เหลือก็ขยายกลายเป็นก้ามใหญ่แทนของเดิมที่หายไปนั่นเอง”


ชาร์คน้อยได้ฟังก็ถามว่า “งั้นทำไมตัวที่มีก้ามใหญ่ด้านซ้ายถึงน้อยจัง?”


ฉินสือโอวตอบยิ้มๆ “เหตุผลก็ง่ายๆ นายถนัดขวาใช่ไหม? ถ้ามือขวานายหักมือซ้ายนายจะกลายเป็นข้างที่ถนัดแทน แล้วนายอยากหักแขนขวาเพื่อเปลี่ยนไปเป็นถนัดแขนซ้ายหรือเปล่าล่ะ?”


การเปรียบเทียบแบบนี้ไม่ค่อยตรงเท่าไร คนเซ่อซ่าอาจมีอยู่ แต่ปูก้ามดาบไม่มีทางเซ่อซ่า


ก้ามใหญ่เป็นสิ่งสำคัญสำหรับปูก้ามดาบมาก มันคือสิ่งที่ใช้ขุด ล่าอาหาร ต่อสู้และดึงดูดคู่ นอกเสียจากจะไม่ได้ระวังตัวมากจริงๆ ปูก้ามดาบก็แทบจะไม่ทำก้ามหักเลย


พูดง่ายๆ คือปูก้ามดาบที่ทำก้ามใหญ่หักนั้นต้องใช้ชีวิตที่มีเพียงก้ามเล็กอย่างยากลำบากมาก พวกมันอาจหิวตายหรือโดนศัตรูตามธรรมชาติกินก่อนนั่นเอง


ช่วงที่งานยุ่งกันทั้งวัน ฉินสือโอวนำฟาร์มสาหร่ายหลายพันไร่ของชาวประมงไปทำความสะอาดรอบหนึ่ง และซ่อมแซมรอบๆ แพเพาะพันธุ์แบบเคลื่อนย้ายได้ ต่อให้มีพายุมา สาหร่ายก็จะไม่โดนพัดไปทั่ว


ขณะทำความสะอาดฟาร์มสาหร่าย บูลก็จับปลาอีโต้มอญหนึ่งเมตรได้ตัวหนึ่ง เจ้าหมอนี่หาเรื่องใส่ตัวเองชัดๆ มันคิดว่ามือของบูลที่อยู่ในน้ำเป็นอาหารเลยอ้าปากกัดเข้าให้


โชคดีที่บูลสวมถุงมือป้องกันแบบหนาที่ทำจากยางล้วนไว้ โดยด้านในมีลวดเหล็กที่ถักไว้อย่างแข็งแรงทนทาน ต่อให้เป็นฟันแหลมคมของปลาอีโต้มอญก็ยังทำอะไรถุงมือไม่ได้


ถึงจะเป็นคนใจกล้าแบบบูลก็ยังสะดุ้งตกใจ เขาชักมือขึ้นมาดูก็เห็นปลาตัวใหญ่สีเขียวมรกตโดนดึงขึ้นมาด้วย


พวกชาวประมงไม่รู้มาก่อนว่าที่ฟาร์มปลามีปลาอีโต้มอญอยู่ ตอนเห็นมันเลยตกตะลึง แต่หลังจากนั้นก็พากันหัวเราะรบเร้าให้บูลเลี้ยงข้าว ในฐานะที่เขาได้ฟาดเคราะห์ไปแล้ว


ถึงแม้ปลาอีโต้มอญจะไม่กินคน แต่ก็ยังเป็นปลาชนิดกินเนื้อ และฟันแหลมคมในปากนั้นก็กัดโดนข้อมือของบูลไป อย่างน้อยบูลก็คงได้พักฟื้นสักเดือน


ปลาอีโต้มอญมีส่วนที่คล้ายกับปลากะพงแสมที่ฉินสือโอวตกได้เมื่อไม่นานนี้ ปลากะพงแสมเวลาตายลายจุดบนตัวจะหายไป ส่วนปลาอีโต้มอญเวลาตายสีบนตัวจากสีเขียวจะกลายเป็นสีเทาเข้ม


ฉินสือโอวอนุญาตให้บูลนำปลากลับบ้านไปได้ พร้อมกล่าวว่า “ให้แอนนาเอาไปตุ๋นนะ ให้ตายสิ มันตั้งใจจะกินมือนายแท้ๆ ดูตอนนี้สิ มันดันกลายเป็นอาหารเองซะงั้น”


พวกชาวประมงหัวเราะเสียงดัง พากันตะโกนว่าอยากไปบ้านบูล


บูลไม่รับปาก เขาเอ่ยว่า “วิลล่าของฉันยังสร้างไม่เสร็จเลย ตอนนี้ในบ้านทั้งเล็กทั้งรก ไว้รอฉันไปอยู่บ้านใหม่ก่อนค่อยเชิญพวกนายมาเที่ยวนะ”


พวกชาวประมงล้วนเป็นคนหยาบคาย ก่อนได้มาอยู่กับฉินสือโอวแทบอดมื้อกินมื้อกัน เลยไม่สนใจเรื่องพวกนั้น ยังคงรบเร้าอยากไปกินข้าวบ้านบูลต่อ ทั้งยังถามฉินสือโอวอีกว่าเขาอยากไปด้วยไหม


ฉินสือโอวหัวเราะตอบว่า “ไปสิ ฉันยังไม่เคยไปเป็นแขกบ้านบูลเสียที”


บทที่ 690 เป็นแขกบ้านชาวประมง

โดย

Ink Stone_Fantasy

พอได้ยินว่าฉินสือโอวจะไปเป็นแขก บูลก็ร้อนรนขึ้นมา เขาเอ่ยถาม “กัปตัน คุณจะไปจริงๆ เหรอ?”


พูดถึงคำเรียก ลูกน้องของฉินสือโอวเรียกเขาอยู่สองแบบ ชาร์ค ซีมอนสเตอร์ นีลเซ็นและเบิร์ดเรียกเขาว่า ‘บอส’ ส่วนพวกบูล แลนซ์และคนอื่นๆ จะเรียกเขาว่า ‘กัปตัน’ น่าสนใจดีเหมือนกัน


ฉินสือโอวพูดยิ้มๆ ในขณะที่เท้าไม้เท้าอยู่ “แน่นอน นายไม่ต้อนรับเหรอ? ฉันยังไม่เคยไปเป็นแขกที่บ้านนายเลยนะ ไม่ควรอย่างยิ่ง”


บูลเกาหัวที่เต็มไปด้วยผมก่อนจะตอบ “งั้นผมต้องไปเตรียมตัวดีๆ หน่อย ตายแล้ว บ้านผมไม่มีของดีอะไรจริงๆ”


ฉินสือโอวพูดอย่างไม่พอใจ “เพื่อน นายหมายความว่าอย่างไร? ถึงแม้ว่าฉันจะไปเป็นแขกในนาม แต่ฉันแค่อยากไปสังสรรค์กับนาย นึกว่าฉันจะต้องได้กินอาหารหรูๆ หรือไง? เหล้าก็เอาเป็นไอซ์เบียร์นิวฟันด์แลนด์ละกัน ฉันชอบ”


ไอซ์เบียร์นิวฟันด์แลนด์ถูกกว่าเบียร์ธรรมดาอย่างพวกบัดไวเซอร์ หรือริบบิ้นฟ้าเสียอีก ของดีราคาถูก เป็นของรักของพวกกะลาสีและชาวประมง


แต่ฉินสือโอวกล้าพูดได้เลยว่าบูลไม่จัดเตรียมแบบนั้นแน่ๆ นี่เป็นนิสัยอย่างหนึ่งของคนนิวฟันด์แลนด์ สำหรับคนสำคัญที่จะมาเป็นแขกครั้งแรก พวกเขาจะต้อนรับเป็นอย่างดี ต่อให้สนิทกันแค่ไหนก็จะทำแบบนั้น


เลือกวันดีไม่สู้เลือกวันสะดวก แลนซ์ตะโกนบอกว่าคืนนี้ทุกคนไปกินข้าวบ้านบูล ฉินสือโอวให้พวกเขาไปเลือกของในฟาร์มปลาได้ตามสบาย ตอนกลางคืนทำอะไรกินได้ก็ทำเลย


บูลรีบร้อนกลับบ้านไปเตรียมตัว แลนซ์ดึงเขาไว้แบบมีลับลมคมใน ไม่รู้ว่าพูดอะไรบ้าง แต่ใบหน้าของบูลปรากฏสีหน้าตื่นเต้นออกมาทันใด


ฉินสือโอวกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพาวินนี่ เออร์บักและเด็กๆ ไปบ้านของบูล


เขาไม่ยินดีไปเป็นแขกบ้านชาวประมงคนอื่น เพราะทางเขาวุ่นวายเกินไป คนเยอะไม่พอยังพาเจ้าพวกหู่เป้าฉงหมาป่ามาด้วยอีก ดีที่มาสเตอร์ขี้เกียจขยับตัว ไม่อย่างนั้นพาเต่าอัลลิเกเตอร์ สแนปปิ้งไปบ้านคนอื่นคงทำเอาคนจ้องจนตาหลุด


บูลโทรหาเขา บอกเขาว่าอย่าไปในเมือง ให้ไปที่เป็นท่าเรือในเมืองแทน


ฉินสือโอวงง พอถึงท่าเรือเขาก็เห็นแลนซ์คาบไปป์ที่เป็นเอกลักษณ์รอเขาอยู่แล้ว เรือบรรทุกสินค้าก้นแบนลำหนึ่งจอดเทียบท่าคอยอยู่


เรือบรรทุกสินค้าก้นแบนเป็นเรือขนส่งระยะสั้นที่ใช้ในแม่น้ำหรือทะเล ปกติแล้วแรงม้าจะต่ำ แต่เนื้อที่กลับกว้างขวาง นอกจากห้องคนขับก็เป็นห้องเก็บสินค้ากับดาดฟ้าเรือกว้างๆ


ตอนนี้ดาดฟ้าเรือลำนั้นถูกเก็บกวาดจนสะอาด บนนั้นมีพวกโต๊ะเก้าอี้และเก้าอี้ผ้าใบวางอยู่ ยังมีเตาอบ หม้อ ดูท่าว่าเย็นคงจะกินข้าวบนเรือกัน


ภายใต้แสงอาทิตย์อัสดงยังคงมีนักท่องเที่ยวมาดูพระอาทิตย์ตกริมทะเลแถวๆ ท่าเรือ พวกเขาต่างมองไปรอบๆ อย่างอยากรู้อยากเห็น เห็นได้ชัดว่ายังใหม่กับการกินข้าวแบบนี้


ฉินสือโอวและคนอื่นๆ ขึ้นเรือ บูลพูดด้วยรอยยิ้มเริงร่า “ยินดีต้อนรับสู่การเป็นแขกของชาวประมง กัปตัน ยินดีต้อนรับครับ!”


บนดาดฟ้า ชาร์คกับแซ็กกำลังทาน้ำมันกับซอสลงบนเนื้อย่าง กลิ่นหอมหวนของเนื้อย่างอบอวลไปทั่วเรือ ยิ่งปนกับยี่หร่ากับผงพริกแล้วยิ่งช่วยกระตุ้นความอยากอาหารมากไปอีก


เบิร์ดขับรถกระบะบรรทุกเบียร์เป็นถังๆ มา อีวิลสันลงไปช่วย มือขวากอดถังหนึ่ง ไหล่ซ้ายก็แบกอีกถังหนึ่ง จากนั้นก็ยกขึ้นเรือมาแบบสบายๆ


ปลาอีโต้มอญแสนซวยถูกเอาลงกระทะ ปลาตัวนี้ดูตัวไม่เล็ก ยาวหนึ่งเมตรกว่าๆ ที่จริงแล้วเพราะรูปร่างปลาชนิดนี้แบนไม่เหมือนกับปลาทูน่าที่ลำตัวนูนออกมา ฉะนั้นน้ำหนักจึงไม่มาก หนักแค่ประมาณสิบกว่ากิโลกรัมเท่านั้น


แอนนากับภรรยาของแลนซ์ตั้งกระทะทอดหัวหอมสไตล์ฝรั่งเศสอยู่ที่ท้ายเรือ นี่เป็นขนมก่อนอาหารที่คนแคนาดาชอบกินมากๆ เมื่อก่อนฉินสือโอวก็เคยทอด แต่มันต้องระวังความแรงของไฟและเวลาทอดมากๆ นิดเดียวก็ไฟแรงเกิน ไม่ก็ไม่สุก เพราะฉะนั้นทำเองครั้งหนึ่งไม่อร่อยเขาก็เลยไม่ทำอีก


หัวหอมทอดทำง่ายมาก เอาหัวหอมทั้งลูกมาหั่นแว่น พอออกมาก็จะเป็นห่วงกลม พอจุ่มแป้งที่ผสมด้วยแป้งมันฝรั่งกับไข่ก็เอาลงทอดในกระทะได้เลย แต่ต้องกะเวลาเอาออกจากกระทะให้ดี


พอเอาออกมาแล้ว หัวหอมทอดก็กินได้หลายแบบ แอนนาเตรียมซอสไว้มากมายเช่น ซอสมะเขือเทศ ซอสช็อกโกแลต น้ำจิ้มซีฟู้ด ซอสพริก น้ำสลัดเป็นต้น ชอบอันไหนก็จิ้มอันนั้น


ของแบบนี้ทอดก็กินเลย ฉินสือโอวยกจานเล็กๆ มา ในนั้นมีผงพริกกับผงยี่หร่า เอาหัวหอมที่ทอดเสร็จลงไปคลุกสักหน่อย ถูกปากเขาพอดี


นอกจากหัวหอมทอดแล้ว แอนนายังเตรียมไก่ทอดเอาไว้ด้วย อันนี้ไม่เหมือนของในร้านฟาสต์ฟู้ด ใช้น้ำมะนาว พริกไทยดำกับเกลือหมักไว้ก่อนแล้ว ทั้งดีต่อสุขภาพทั้งอร่อย


ในน้ำมะนาวมีกรดซิตริก สิ่งนี้สามารถปรับสมดุลกลิ่นคาวของไขมันในเนื้อไก่ได้ ครอบครัวในแคนาดามักจะใส่ลงไปนิดหน่อยเวลาปรุงเนื้อ


พาวลิส ชาร์คน้อยและคนอื่นๆ ชอบกินมันฝรั่งทอดกับกุ้งทอดมากกว่า กินไปก็สังสรรค์กันไปอยู่บนเรือ วินนี่กำลังดูพวกเขาเป็นพิเศษ กลัวว่าเด็กพวกนี้จะไม่ระวังจนตกน้ำ


การรวมตัวกินข้าวของคนแคนาดาต่างกับคนจีน พวกเขาจะไม่รอให้กับข้าวทำเสร็จแล้วคนมาพร้อมหน้าค่อยเริ่มกิน ปกติจะออกแนวบริการตัวเอง ทุกคนล้วนมีอะไรทำเลยได้กินไปด้วย


แน่นอนว่าฉินสือโอวไม่ทำอะไรเลย วันนี้เขาก็คือมากินดื่มฟรี


บูลเทเหล้าแก้วโตให้เขา ถือว่าแก้วใหญ่มาก ถ้วยคริสทัลมีขนาดเต็มลิตร ทุกครั้งที่ฉินสือโอวยกขึ้นมาก็จะนึกถึงตอนเด็กๆ เวลาป้อนน้ำให้วัวที่บ้าน


ชาร์คกับซีมอนสเตอร์ชอบดื่มเบียร์เป็นที่สุด พอเทเต็มแก้วก็ยกซดไปครึ่งหนึ่งในรวดเดียวทันที


ฉินสือโอวหยิบเนื้อน่องวัวย่างมาหนึ่งไม้ ทำปากแจ๊บๆ เขาวิ่งไปหาชาร์ค อย่างไรเสียเนื้อย่างที่ชาร์คทำก็อร่อยกว่า


ความชอบที่คนแคนาดามีต่อเนื้อย่างและเบียร์นั้นมากจริงๆ ขอแค่เป็นการรวมตัวกินข้าวก็ขาดบาร์บีคิวไม่ได้แน่ๆ เนื้อย่าง ข้าวโพดย่าง ไส้กรอกย่าง แซนด์วิชย่าง บะหมี่ย่าง แม้กระทั่งไอศกรีมย่าง…


แซ็กให้ฉินสือโอวชิมมันฝรั่งอบกับซอสน้ำผึ้งของเขา มันฝรั่งอเมริกาลูกกลมโตแต่ละลูกถูกหั่นกากบาท อบจนสีเหลืองส้มเป็นเงา ฉินสือโอวกัดไปคำหนึ่ง รสชาติออกหวานเลี่ยน เหมาะกับผู้หญิง


แน่นอนว่าถูกปากฉงต้ามากกว่า พอฉินสือโอวให้มันชิมหนึ่งชิ้นมันก็เขยิบไปข้างๆ แซ็กไม่ยอมไปไหน


แซ็กอบไปหลายถาดอยากจะเปลี่ยนผักอื่นบ้าง แต่ฉงต้าไม่ยอม ผลักถังมันฝรั่งไปให้เขา แซ็กเห็นสถานการณ์ไม่ดีอยากจะไปจากตรงนั้น แต่ตอนนี้จะไปไหนได้ ฉงต้ากอดขาเขาไว้แล้วดึงกลับมา


บูลยุ่งอยู่กับการดูแลแขก ฉินสือโอวให้เขากินอะไรหน่อยก็โอเคแล้ว ไม่มีใครหิวแน่นอน


มือหนึ่งถือเบียร์อีกมือหนึ่งถือเนื้อย่าง บูลเข้ามาขอบคุณฉินสือโอว เขาโบกมือเป็นนัยว่าไม่จำเป็นต้องพูดถึงแล้วเอ่ยถาม “บ้านนายที่ฟาร์มปลาแกธเธอริงสร้างไปถึงไหนแล้ว?”


บูลตอบอย่างคาดหวัง “ยังไม่ได้เริ่มเป็นทางการเลย ผมไม่คิดจะสร้างเป็นวิลล่าแบบดั้งเดิม ผมซื้อแผ่นไม้อัดแบบที่คล้ายๆ  ร้านเครื่องดื่มเย็นของคุณ เอามาใช้ทำเป็นวิลล่าหลังเล็กๆ”


แน่นอนว่าวิลล่าไม้อัดไม่แข็งแรงทนทานเท่าบ้านที่ใช้ไม้แท้ ปูนและคอนกรีตสร้าง แต่ฉินสือโอวรู้ว่าจะสร้างวิลล่าสักหลังก็ไม่ใช่ถูกๆ สถานการณ์การเงินของบูลยังไม่ถึงขั้นนั้น


คุยเล่นกันไป ดวงจันทร์ก็ลอยเด่นขึ้นไปบนฟ้า ดวงดาวที่ส่องประกายแวววาวเผยกายออกมา แสงจันทร์อบอุ่นส่องไปบนผิวน้ำ คลื่นซัดสาดกระเซ็น ลมทะเลพัดผ่าน ฉินสือโอวรู้สึกว่ากินข้าวแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน


บทที่ 691 การเปลี่ยนแปลงใต้ทะเล

โดย

Ink Stone_Fantasy

เบียร์ที่มีฟองขาวไหลลงจากถังไปในแก้วคริสทัลใบโตแต่ละใบ เหล่าชาวประมงแหกปากร้องตะโกน ชูแก้วกระดกแต่ละทีเบียร์ก็จะหายไปครึ่งหนึ่ง


ฉินสือโอวไม่ดื่มเบียร์เยอะ นี่คือนิสัยที่เขาติดมาจากตอนทำงานที่บริษัทรัฐวิสาหกิจ จะไม่ดื่มจนเมามากไป หลังจากที่มีหัวใจโพไซดอน เขาก็ยิ่งดื่มน้อยกว่าเดิม นอกจากครั้งนั้นที่เหมาเหว่ยหลงซื้อฟาร์มแล้วขอหลิวซูเหยียนแต่งงาน เขาก็ไม่เคยเมาจริงๆ เลย


ทั้งหมดก็เพื่อเก็บความลับ ฉินสือโอวไม่อยากจะเผลอพูดความลับเรื่องหัวใจโพไซดอนออกมาตอนเมาหรอกนะ


อยู่กับพวกชาวประมง แม้ว่าฉินสือโอวจะค่อนข้างผ่อนคลาย แต่ก็ดื่มไม่มาก กินแค่สนุกก็พอ พวกชาวประมงก็ไม่มอมเขา เจ้าพวกนี้สนใจเพื่อนตัวเองซะมากกว่า


ดื่มไปเยอะ เหล่าชาวประมงก็เริ่มขั้นตอนทั้งสาม ก่อนอื่นคือถอดเสื้อผ้าเผยอกที่ดกไปด้วยขนราวมีหญ้าขึ้น หลังจากนั้นก็ร้องเพลงเอ็ดตะโรเสียงดัง สุดท้ายก็กลับไปนอนแบบสติสตังเลอะเลือน


งานปาร์ตี้ดำเนินไปจนถึงเที่ยงคืนถึงแยกย้าย ฉินสือโอวเป็นผู้ชายหนึ่งในไม่กี่คนที่ยังตื่นอยู่ พอเขาช่วยเก็บกวาดเรือจนสะอาดก็กลับบ้านกับวินนี่


ตอนเช้าหลังตื่นมา ฉินสือโอววิ่งรอบชายหาดตามความเคยชิน วิ่งไปไม่กี่ก้าวเขาก็ขมวดคิ้วมองไปที่ทะเล รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ จึงส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงน้ำไป


ภาพปูก้ามดาบที่เต็มหาดเมื่อวานได้หายไปแล้ว มีแค่ปูบางตัวที่กระจายประปรายบนหาด แต่พวกมันเคลื่อนตัวกันรีบร้อน ที่ออกมาก็เพื่อหาของกิน พอกินเสร็จก็กลับรังที่อยู่ตรงจุดสูงของหาด


ในทะเลที่ไกลออกไปหน่อย ไม่มีภาพวาฬที่ขึ้นมาสูดอากาศเหมือนวันก่อนๆ แถบทะเลลึกในฟาร์มปลาต้าฉินมีพวกวาฬและฉลามไม่น้อย อย่างพวกวาฬหลังค่อม หรือวาฬเบลูกาที่มักจะส่งเสียงตอนขึ้นมาสูดอากาศ ในตอนนี้ก็ไม่มีเสียงอะไรเลย


กระทั่งมีเพียงนกนางนวลไม่กี่ตัวที่บินขนาบบนผิวน้ำ พวกนกจมูกหลอดหางสั้นก็อยู่บนชายฝั่ง จับกลุ่มเล็กๆ อยู่ด้วยกันราวกับกำลังรออะไรอยู่


ฉินสือโอวโทรหาศูนย์อุตุนิยมวิทยาทางทะเลเพื่อถามเกี่ยวกับสภาพอากาศของแถบทะเลแอตแลนติกเหนือ คำตอบที่ได้คือทุกอย่างปกติ ลมทะเลระดับสี่ อากาศปลอดโปร่ง อย่างมากในอีกสองสามวันหลังจากนั้นอาจจะมีเมฆและฝนตกเบาๆ


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าสู่ทะเล ความรู้สึกที่สัมผัสได้กลับไม่ใช่แบบนั้น


ฝูงปลาค็อดดูเกรี้ยวกราด จับกลุ่มกันว่ายพุ่งไปทั่ว ฝูงปลาทูน่าครีบน้ำเงินกลับรวมกลุ่มกัน ฝูงปลาที่มาจากญี่ปุ่นรวมตัวกับปลาธรรมชาติในทะเลแอตแลนติก


ปลาทูน่าครีบน้ำเงินย้ายจากทะเลลึกเข้ามาในเขตน้ำตื้นซึ่งแทบจะไม่เคยมีมาก่อน ปลาที่ชอบอยู่ในทะเลลึกแถบต้นน้ำอย่างปลาโอแถบ ปลาแมกเคอเรลก็เข้ามาในแถบชายฝั่ง


ปลานกแก้วก็ปล่อยเมือกเป็นรังไหมตัวเองตั้งแต่กลางวันแล้วมุดเข้าไปหลบในนั้น พวกมันเป็นปลาชนิดที่อยู่รวมเป็นกลุ่ม เพราะฉะนั้นเลยเห็นรังไหมเมือกสีขาวอ่อนๆ สิบกว่าอันอยู่ในแนวปะการัง


งูเหลือมทะเลที่กำลังปกป้องแถวแนวปะการังในแถบทะเลลึกร้อนรนกระวนกระวาย พวกมันว่ายวกวนไปในน้ำอย่างกังวล อยากจะไปจากแถวนั้น แต่พอนึกถึงคำสั่งที่ฉินสือโอวเคยสั่งไว้ก็ไปไหนไม่ได้


พอเห็นแบบนั้นฉินสือโอวเลยถอนคำสั่งจากพวกงูเหลือมทะเล หลังจากนั้นพวกงูเหลือมทะเลก็รีบส่ายหางทรงไม้พายว่ายไปทางแนวสาหร่าย


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าใต้ทะเลกำลังจะมีหายนะมาเยือน หัวใจโพไซดอนรู้สึกถึงความรู้สึกหวาดกลัวของหมู่ปลาได้อย่างชัดเจน ส่วนจุดที่ทำให้พวกมันหวาดกลัวก็มาจากแนวปะการังทะเลลึกที่ก้นทะเลตะวันออกเฉียงเหนือ


ฉินสือโอวเข้าใจในทันทีว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าไม่ใช่แผ่นดินไหวก็ภูเขาไฟใต้น้ำ สิ่งที่ทำให้ปลากลัวได้ขนาดนี้ในโลกใต้ทะเลก็สองอย่างนี้ล่ะ!


มิน่าล่ะศูนย์อุตุนิยมวิทยาทางทะเลถึงบอกว่าไม่มีปัญหา พวกเขาดูแลสภาพอากาศเหนือน้ำทะเล ไม่เกี่ยวกับก้นทะเล


เรื่องแบบนี้เขาควรจะไปถามศูนย์ธรณีวิทยาทางทะเล แต่ก็คงไม่ได้ข้อมูลอะไรที่มีประโยชน์ แผ่นดินไหวกับภูเขาไฟล้วนเป็นภัยธรรมชาติที่รุนแรงที่สุด ความน่ากลัวอยู่ที่ความคาดการณ์ไม่ได้


แต่สิ่งมีชีวิตในธรรมชาติก็เก่งแบบนี้แหละ สิบวันก่อนปลาหัวแข็งขาวก็คาดการณ์ได้ถึงคลื่นลูกโตที่กำลังจะเกิด พวกมันยุ่งกับการวางไข่บนทราย ตอนนี้ลูกปลาใกล้จะฟักแล้ว พอคลื่นซัดมาโดนหาดทรายก็พัดลูกปลาที่เพิ่งฟักไปด้วยได้พอดี


เทียบกับปลาหัวแข็ง ปูก้ามดาบก็เก่งเหมือนกัน มันรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของคลื่นล่วงหน้าหนึ่งวัน


ตอนแรกฉินสือโอวคาดว่าจะเป็นแผ่นดินไหวใต้น้ำ เพราะมันสามารถสร้างคลื่นลูกโตได้ ทุกครั้งที่เกิดแผ่นดินไหวใต้น้ำก็จะทำให้เกิดสึนามิที่น่ากลัวด้วย


แต่ว่าพอเวลาเดินไป ตอนบ่ายโมงที่ก้นทะเลก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวบ้างแล้ว พื้นดินรอบๆ ดันไปทางตรงกลาง รอยร้าวรอยหนึ่งค่อยๆ แยกออก ลาวาแดงฉานไหลทะลักออกมา!


ฉินสือโอวควบคุมให้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนวิ่งกลับไปด้านหลังตามสัญชาตญาณ เขาไม่รู้ว่าลาวาที่พุ่งกระเด็นออกมาจะทำอันตรายเขาไหม ที่เขาหนีก็เพียงเพราะกลัวจังหวะที่ภูเขาไฟระเบิดนั้นอานุภาพแรงระเบิดน่ากลัวมาก!


ภูเขาไฟใต้ทะเลปะทุแล้ว!


ฉินสือโอวอยู่ห่างออกไปมาก มองดูทะเลพิโรธด้วยความอึ้ง!


เพราะมีหัวใจโพไซดอน เขาเลยมองตัวเองเป็นโพไซดอนมาตลอด แต่ในตอนนี้หลังจากที่ได้เห็นการปะทุของภูเขาไฟใต้น้ำ เขาก็รู้สึกว่าจริงๆ แล้วตัวเองอ่อนแอมาก ต่อหน้ามหาสมุทรกว้างใหญ่ไพศาล เขาไม่ต่างอะไรกับปลาค็อดเลย


ภูเขาไฟใต้น้ำคือภูเขาไฟที่เกิดมาจากก้นทะเล


พวกมันกระจายตัวในวงค่อนข้างกว้าง ส่วนมากจะอยู่ในทะเลลึก มีจำนวนน้อยที่อยู่ในเขตน้ำตื้น โดยรวมอยู่ที่รอยต่อของเปลือกโลก ที่แบบนี้ถูกเรียกว่าเทือกเขากลางสมุทร เป็นจุดที่อันตรายที่สุดในทะเล


ที่จริงฉินสือโอวควรจะคิดได้นานแล้ว ปะการังทะเลลึกมักจะอาศัยอยู่แถวๆ ภูเขาไฟใต้ทะเล เพราะสภาพแวดล้อมแบบนี้ถึงจะมีธาตุเหล็กแมงกานีส แมกนีเซียม ซัลเฟอร์อุดมสมบูรณ์ และนี่ก็เป็นสิ่งจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของปะการัง


แน่นอนว่าปะการังในทะเลลึกมักจะอยู่แถวภูเขาไฟดับสนิท ทุกครั้งที่ภูเขาไฟปะทุก็จะถมแนวปะการังหมด นี่ก็คือหนึ่งในเหตุผลที่แนวปะการังทะเลลึกนั่นหาได้ยาก หลายๆ ที่โดนภูเขาไฟที่เคยปะทุทำลายไปแล้ว


อีกอย่างมิน่าล่ะเกาะแฟร์เวลถึงมีน้ำพุร้อน ฉินสือโอวแค่คิดว่ามีพลังงานความร้อนสูงอยู่ใต้พื้นพิภพของเกาะ นึกไม่ถึงว่าความร้อนของพื้นดินจะมาจากลาวา ดูท่าตอนนี้เกาะแฟร์เวลจะตั้งอยู่บนถังดินปืน ดีไม่ดีใต้เกาะก็เป็นภูเขาไฟลูกหนึ่ง


เพียงแต่เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องกังวล อเมริกาทั้งประเทศก็ตั้งอยู่บนภูเขาไฟ ถ้าภูเขาไฟในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนระเบิด แม้แต่แคนาดาเองก็คงลำบาก


เทียบกับการปะทุของภูเขาไฟในอุทยานแห่งชาติเยลโลว์สโตนในตำนาน ตอนนี้แรงระเบิดของภูเขาไฟใต้น้ำนี้เล็กจนมองข้ามได้ เพราะห่างจากผืนดิน ไม่มีความเสียหายกับบนบก แค่ส่งผลกระทบค่อนข้างมากต่อทะเลรอบข้างเท่านั้น


ที่ทำเอาฉินสือโอวปวดหัวก็คือทะเลรอบด้านนั้นล้วนเป็นเขตฟาร์มปลาของเขา อีกอย่างแนวปะการังที่เขามองเป็นสมบัติล้ำค่าก็ดันซวยอยู่ในเขตที่ลาวาส่งผลกระทบนั้นด้วย!


น้ำทะเลในเขตทะเลลึกเย็นไม่มีอะไรเทียบ ลาวาร้อนระอุถูกพ่นออกมา พอเจอความเย็นก็ถ่ายโอนอุณหภูมิ แล้วก็กลายเป็นหินภูเขาไฟที่มีรูพรุน


แต่หลังจากนั้น ลาวาก็พ่นออกมาอีกติดๆ ส่วนพื้นทะเลที่แยกออกก็ขยายใหญ่ ปากภูเขาไฟกำลังขยายกว้างกว่าเดิม พ่นลาวาออกมามากขึ้นเรื่อยๆ…


บทที่ 692 งัดข้อกับฟ้า

โดย

Ink Stone_Fantasy

ลาวาร้อนระอุปะทะกับน้ำทะเลเย็นเยือก ความร้อนถ่ายโอนในพริบตา ลาวาเย็นตัวลง น้ำทะเลเดือดพล่าน ฉินสือโอวโชคดีที่ได้เห็นภาพตระการตานี้ ทะเลแถบนี้ราวกับกลายเป็นหม้อที่ต้มน้ำทะเลเย็นเยือกจนเดือดในพริบตาเดียว!


ภายใต้แรงดันสูง น้ำทะเลเดือด ‘ปุดๆ’ ไอน้ำจำนวนมากลอยตัวขึ้นด้านบน แต่เพราะน้ำทะเลชั้นบนขวางไว้ ไอน้ำเลยระบายออกไปไม่ทัน ได้แต่ม้วนตัวเดือดพล่านสะสมพลังงานมากขึ้นเรื่อยๆ


ไม่นานฉินสือโอวก็พบว่า เพราะอุณหภูมิน้ำทะเลรอบข้างสูงขึ้นแล้วระเหย ความเร็วที่ลาวาปล่อยความร้อนแล้วเย็นตัวกลายเป็นหินภูเขาไฟเลยเริ่มช้าลง พวกมันค่อยๆ กินที่ออกไปทีล่ะนิด พื้นที่กว้างในก้นทะเลกลายเป็นสีแดงเพลิงไป


เขาอยู่ห่างออกไป ถ้าเขาเข้าไปดูใกล้ๆ ลาวาตรงกลางของภูเขาไฟเป็นสีขาวสว่าง อุณหภูมิสูงมากๆ เลย!


มองดูลาวาที่ไหลออกด้านนอก ฉินสือโอวก็ร้อนใจกระวนกระวาย ปากภูเขาไฟนี้ห่างจากแนวปะการังสุดหวงของเขาค่อนข้างไกลถึงยี่สิบสามสิบกิโลเมตร ตามที่เขาประเมิน ลาวาไม่น่าจะกระจายมาไกลขนาดนี้


แต่ไม่จำเป็นว่าลาวาจะต้องไหลมาถึงเขตทะเลแนวปะการัง แค่ความร้อนเดือดมาถึงก็สามารถลวกโพลิปจนตายได้แล้ว


ไอน้ำกระจายไปรอบด้านด้วยความเร็วที่มากกว่าลาวา การมาถึงน่านน้ำปะการังก็เป็นแค่เรื่องของเวลาเท่านั้น ตอนนี้รอบด้านไม่มีปลาเลยสักตัว ต่างก็ถูกอุณหภูมิสูงที่เริ่มกระจายตัวมาไล่ไปกันหมดแล้ว


ฉินสือโอวไม่สามารถปล่อยให้ภูเขาไฟลูกนี้ทำลายแนวปะการังทะเลลึกของเขาได้ เขาเข้าไปสำรวจดูก็สัมผัสได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นน้ำทะเลอุณหภูมิสูงหรือไอน้ำน่ากลัวก็ไม่สามารถทำอันตรายเขาได้ แบบนี้ความกล้าในตัวก็เพิ่มมากขึ้นแล้วจึงเริ่มวางแผนรับมือ


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนก็มีข้อดีแบบนี้ ตอนนี้ที่ลงสู่ทะเลก็เป็นเพียงจิตสำนึก ฉินสือโอวมองเหตุการณ์ภูเขาไฟปะทุจากมุมมองของพระเจ้า ไม่ว่าภูเขาไฟจะปะทุรุนแรงแค่ไหนก็ทำอะไรเขาไม่ได้


ฉินสือโอววิเคราะห์ได้ในทันทีว่าถ้าเขาจะปกป้องแนวปะการังนี้ไว้ก็ต้องกันไม่ให้ความร้อนมาถึงได้ หรือไม่ก็พอลาวาล้นออกมาก็ให้น้ำทะเลดูดความร้อนจนกลายเป็นหินภูเขาไฟสีเทาไปซะ


ดังนั้นเขาเลยสูดหายใจเข้าลึกๆ จิตสำนึกแห่งโพไซดอนจุดประกายเปลวเพลิงกรุ่นโกรธคุกรุ่น น้ำทะเลม้วนซัดมาจากทุกทิศทาง คลื่นใต้น้ำเย็นเยียบก่อตัวขึ้นแล้วพุ่งไปยังตำแหน่งของภูเขาไฟใต้น้ำด้วยกำลังแรงที่สามารถกลืนกินทุกอย่าง


ภูเขาไฟใต้น้ำไม่เพียงพ่นลาวาออกมาเท่านั้น ยังมีไอน้ำที่มาจากส่วนลึกของโลก คาร์บอนไดออกไซด์และพวกสารระเหยบางชนิด


สารพวกนั้นพุ่งเข้าชนกระแสน้ำ บวกเข้ากับไอน้ำที่มาจากน้ำทะเลที่เดือดจนระเหย ความดันใต้น้ำเพิ่มเป็นทวีคูณ ตอนที่ความดันสูงถึงจุดจุดหนึ่งการระเบิดก็เกิดขึ้น!


ฉินสือโอวส่งน้ำทะเลเย็นเฉียบรอบด้านไปทางตำแหน่งของปากภูเขาไฟตลอด พลังโพไซดอนแสดงอานุภาพแรงกล้าออกมา กลายเป็นกระแสน้ำที่ส่งผลกระทบต่อก้นทะเลหลายสิบกิโลเมตรพุ่งเข้าปะทะกับลาวาที่พวยพุ่งออกมา


นั่นทำให้คลื่นทะเลก่อตัวขึ้น ความร้อนและน้ำทะเลเดือดพล่านถูกส่งไปยังแถบทะเลชั้นบน น้ำทะเลเย็นๆ รอบข้างไหลเข้ามาเสริมแทนที่ และถ่ายโอนความร้อนกับลาวาต่อไป


ลาวาแต่ล่ะชั้นเย็นตัวลงจนกลายเป็นหินภูเขาไฟที่ก่อตัวกองกัน ลาวายังคงไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว


ฉินสือโอวจดจ่อกับการควบคุมให้น้ำทะเลไหลด้วยความเร็ว พอจิตสำนึกแห่งโพไซดอนหลอมรวมกับกระแสน้ำเย็น เขาก็ไปจากตำแหน่งภูเขาไฟใต้น้ำ ไปหาน้ำที่ไกลๆ แล้วส่งเข้ามาทำให้ลาวาเย็นตัวลง


ทั้งสองฝ่ายเปิดศึกชักเย่อกันเข้าแล้ว ภูเขาไฟพ่นลาวาร้อนระอุออกมา ฉินสือโอวก็ส่งน้ำทะเลเย็นเยียบเข้าไป


ลาวาเย็นตัวลงจนกลายเป็นเถ้าภูเขาไฟ เถ้าภูเขาไฟก็ตกตะกอนรวมกันเป็นหินภูเขาไฟ ส่วนน้ำทะเลก็ได้รับความร้อนจนอุณหภูมิสูงขึ้น พอกลายเป็นไอน้ำก็ถูกดันขึ้นไปด้านบนพร้อมกระแสน้ำ จากนั้นก็กลายเป็นคลื่นลูกโตที่ซัดออกไปรอบด้าน


ภาพตระการตาปรากฏขึ้นต่อหน้าของฉินสือโอว


ก้นทะเลมีกระแสน้ำเย็นที่ไหลไปรวมที่ภูเขาไฟจากรอบด้านราวกับกองกำลังนับพันที่ล้อมรอบทัพเล็กๆ ส่วนทัพนี้ก็ยืนหยัดมากๆ ยังคงตระหง่านอยู่กลางทะเลไม่ไหวติง ไม่ว่าคลื่นทะเลจะซัดอย่างไร ฉันก็ไม่สะทกสะท้าน!


พอกระแสน้ำเย็นมาถึงแถวๆ ภูเขาไฟ ได้รับความร้อนจนระเหยแล้วพุ่งไปทางผิวน้ำเสมือนก้นทะเลมีเสาควันอันใหญ่โผล่มา หลังจากที่ไอน้ำพุ่งมาถึงผิวน้ำก็ไหลไปในที่ไกลๆ ตามกระแสคลื่นทะเล นำเอาความร้อนไปอย่างรวดเร็วและกลายเป็นระบบระบายความร้อนอันหนึ่ง


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ฉินสือโอวเหมือนบ่อโคลนที่ปะทะท้องฟ้า หาน้ำทะเลเย็นๆ จากหลายๆ ที่ส่งมาทางพิกัดของภูเขาทะเลไม่ขาดสาย


เวลาค่อยๆ ผ่านไปฉินสือโอวก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยขึ้นมา แต่เขาหยุดไม่ได้ ถ้าหยุดละก็ไอน้ำจะไม่พุ่งขึ้นผิวน้ำแต่จะกระจายไปรอบด้านแทน ถ้าเป็นแบบนั้นจะไม่ใช่แค่แนวปะการังเท่านั้นที่ถูกทำลาย แต่ปลาของเขาก็ด้วย


แอตแลนติกเหนือเป็นน่านน้ำเย็น ปลากุ้งส่วนมากจะทนความร้อนไม่ได้ อุณหภูมิเพิ่มสูงไม่กี่องศาก็สามารถถึงชีวิตได้ อย่างการระเบิดของภูเขาไฟแบบนี้ที่อุณหภูมิเพิ่มได้หลายสิบองศาก็งมขึ้นมากินได้เลยด้วยซ้ำ


ดีที่พลังโพไซดอนก็ตีแกร่งมาหลายครั้ง พลังที่ให้ได้ตอนนี้น่าดูชมมากๆ ในที่สุดภูเขาไฟก็เริ่มสงบลง ไม่พ่นลาวาออกมาแล้วแต่มีลาวาไหลออกมาแทน


เห็นภาพแบบนี้ ในที่สุดฉินสือโอวก็วางใจได้แล้ว ตอนนี้เขาไม่มีเรี่ยวแรงเลย เหมือนกับวันที่หนีรอดเอาชีวิตตอนเจอพายุที่อ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ อาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ


จนถึงตอนนี้ ฉินสือโอวถึงลืมตามองไปรอบข้าง ไม่มองก็ไม่รู้ พอมองดูก็ต้องตกใจ


บนหาดทรายนั้น พวกชาวประมงและครอบครัวต่างมองไปในทะเลแสนไกลอย่างตกตะลึง คลื่นยักษ์แต่ล่ะลูกโหมซัดเข้าหาดทราย


บนผิวน้ำที่ไกลออกไป มีเสียงคำรามจากการระเบิดไม่ขาดสาย ไอน้ำหนาลอยขึ้นฟ้า หมอกที่ก่อตัวครอบคลุมทะเลแถบนั้นเป็นพื้นที่กว้างราวกับว่าทะเลถูกต้มจนเดือด!


“ภู ภูเขาไฟใต้ทะเลปะทุแล้ว!” ชาร์คพูดตะกุกตะกัก


จริงๆ แล้วจุดที่ภูเขาไฟปะทุห่างจากเกาะแฟร์เวลมากๆ เพียงแต่บนผิวน้ำไม่มีอะไรขวางบวกกับคุณภาพอากาศดี ความโปร่งสูง ฉะนั้นพวกเขาเลยเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นไกลๆ ได้รางๆ และวิเคราะห์ได้ว่าเป็นภูเขาไฟใต้ทะเลปะทุ


ฉินสือโอวปาดเหงื่อ บูลส่งผ้าขนหนูให้เขาด้วยตัวเอง แล้วพูดอย่างเห็นใจ “เพิ่งเคยเห็นภูเขาไฟใต้น้ำปะทุครั้งแรกใช่ไหมครับ? ไม่มีอะไรหรอก กัปตัน ตอนที่ผมเพิ่งเคยเห็นครั้งแรกก็ตกใจเหมือนกัน พ่อผมบอกว่าตอนนั้นผมกลัวจนฉี่ราดกางเกงเลย! ผมว่าเขาไม่ได้โกหก!”


“ให้ตายเถอะ! แถบทะเลรอบด้านนี้มักจะมีภูเขาไฟใต้น้ำปะทุเหรอ?” ฉินสือโอวก็เกือบจะฉี่ราดกางเกงแล้ว ครั้งนี้แทบจะทำเอาเขาเหนื่อยตาย ถ้าต่อไปยังต้องทำอีก ไม่ใช่ว่าถึงขั้นเอาชีวิตเขาเลยหรือไง?


บูลพูดพลางส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่บ่อย ครั้งที่แล้วที่ภูเขาไฟใต้น้ำปะทุน่ะผมสองขวบเท่านั้นเอง นั่นตั้งกี่ปีมาแล้ว? ยี่สิบปีแล้วใช่ไหม”


ยี่สิบปี? ฉินสือโอววางใจที่กังวลลงได้แล้ว ยี่สิบปีก็ยังรับได้อยู่


หลังจากนั้นเขารู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ เขามองไปทางบูลด้วยสีหน้าบูด เมื่อกี้นายว่าไงนะ? ฉันเหมือนกับนายตอนที่เพิ่งเคยเห็นภูเขาไฟระเบิดครั้งแรก? นายฉี่รดกางเกงตอนสองขวบ นายบอกว่าฉันเหมือนนายเหรอ?”


แลนซ์มองดูสีหน้าซีดเผือดและแววตาเหนื่อยล้าของฉินสือโอวอย่างละเอียดแล้วพูดขึ้น “บูลก็ชอบพูดมั่วไปเรื่อย กัปตัน สภาพคุณตอนนี้ต่างจากเขาในตอนนั้นมากๆ แน่นอน!”


พวกชาวประมงพยักหน้าพร้อมเพรียงแล้วมองดูฉินสือโอวอย่างสงสาร บอส สภาพคุณตอนนี้ดูแย่จริงๆ นะ…


ฉินสือโอว “…”


บทที่ 693 จุดน่าสงสัยของภูเขาไฟ

โดย

Ink Stone_Fantasy

คำว่าความประสงค์ของฟ้านั่นยากแท้หยั่งถึง ถ้าจะเอามาใช้กับภูเขาไฟใต้น้ำก็ไม่เกินไปเลย


ลาวาภูเขาไฟพ่นทะลักออกมากว่าครึ่งวัน บริเวณที่ได้รับผลกระทบก็ไม่กว้างเท่าไร แต่ทั้งฟาร์มปลาก็วุ่นวายแล้ว ปลาน้อยปลาใหญ่จับกลุ่มกัน นักล่าและเหยื่อในยามปกติก็อยู่ที่เดียวกัน จวบจนตอนที่ลาวาพ่นช้าลงก็ยังดึงสติกลับมาไม่ได้


ที่ขึ้นบกได้ก็ขึ้นมาจากทะเล เหล่าเต่ามะเฟืองวิ่งกันว่องไว ที่นำแถวอยู่ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นนิโคลัส กูส


มิสเตอร์กูสฝ่าคลื่นขึ้นมาบนหาด เหมือนจะได้อารมณ์เลยเต้นระบำส่ายคอแบบสาวเผ่าเหวยอู๋เอ่อร์


ฉินสือโอวรู้สึกว่าตลกดีเลยถ่ายคลิปไว้แล้วอัปลงเวยป๋อ พอดีกับที่ในเวยป๋อมีแนะนำโปรโมตมิวสิควิดีโอวงเกาหลี เขาเลยเกิดไอเดียทำล้อเลียนขึ้นมา เขียนข้างคลิปไปว่า “เอาจริง ถ้ามิสเตอร์กูสเกิดที่ประเทศเกาหลี จะกลายเป็นราชานักเต้นแห่งเอเชียได้ไหม?”


นิโคลัส กูสเป็นแบรนด์เจาะตลาดในเวยป๋อของฉินสือโอว อาจเป็นเพราะปล่อยเป็นคนแรก คนตามเยอะกว่าตัวฉินสือโอวเองเสียอีก ก่อนหน้านี้บางทีก็จะมีคนทักหาฉินสือโอวว่าอยากดูท่าเต้นของมิสเตอร์กูส


หลังจากนั้นคอมเมนต์เด็ดๆ ก็มาเพียบ ผู้ใช้เวยป๋อชื่อ ‘จั้วเจียเฟิ๋นเฉิน’ เขียนว่า


“การเต้นของมิสเตอร์กูสแหกกฎอย่างกล้าหาญ ก้าวข้ามขีดจำกัดทางปัญญาของคน ทำตัวเองให้อิสระ แสดงออกถึงแก่นของการเต้น ผสมผสานคนและธรรมชาติเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์แบบ”


“แต่การเต้นที่เป็นที่นิยมในเกาหลีไม่เข้ากับมิสเตอร์กูสเลย พวกเขายากจะเข้าใจศิลปะขั้นสูงของมิสเตอร์กูสอย่าง ‘การไล่ตามความสมบูรณ์แบบในความเรียบง่าย หาสิ่งที่ยังไม่รู้จากสิ่งที่ดูไร้ค่า ก้าวข้ามตัวเองจากความธรรมดา’ ถ้ามิสเตอร์กูสเกิดที่เกาหลี งั้นตอนนี้เขาก็ได้แต่อยู่ในห้องมืดที่ไม่มีใคร เต้นรำอย่างโดดเดี่ยวกับกระป๋องกิมจิ”


ฉินสือโอวอ่านพลางหัวเราะไปด้วย เขาอดกดถูกใจและติดตามผู้ใช้เวยป๋อคนนั้นไม่ได้ เขารู้สึกว่าเจ้านี่ช่างมีพรสวรรค์ เขียนส่งๆ ก็เขียนหัวข้อเชิงลึกแบบนี้ออกมาได้แล้ว


จั้วเจียเฟิ๋นเฉินก็คงจะว่างจนเบื่อในชีวิตจริง หลังจากนั้นเขาส่งข้อความส่วนตัวมาให้ฉินสือโอว บอกว่าเป็นการช่วยแนะนำมิสเตอร์กูส หวังว่าฉินสือโอวจะแปะลงไป


“นิโคลัส กูส ราชานักเต้นชาวเอเชีย เกิดปีชิ่งเฟิงในบ้านนักเต้นดั้งเดิม เป็นลูกศิษย์มหาวิทยาลัยฟิสิกส์ฮอว์คิงในปัจจุบัน หลังจากนั้นก็คิดค้นการเต้นไบโอนิกส์ กุมหัวใจคนดูรุ่นแล้วรุ่นเล่าด้วยหุ่นที่ดี จิตวิญญาณที่ขยันขันแข็ง ท่าเต้นที่ชำนาญอ่อนช้อย และการแสดงที่น่าประทับใจ…”


ฉินสือโอวยิ้มพลางส่ายหน้า อัปเวยป๋อชื่นชมผู้ใช้คนนี้ บอกว่าวันไหนมีโอกาสจะต้องเชิญเขามาเป็นแขกที่เมืองแฟร์เวลให้ได้


เพราะลาวายังคงไหลออกมาช้าๆ และยังคงมีไอน้ำพวยพุ่งออกมาจากก้นทะเลจึงก่อตัวเป็นคลื่นซัดเข้าฝั่ง เกิดเป็นภาพน้ำขึ้นอย่างที่คิดไว้


ลูกปลาหัวแข็งฟักออกจากไข่ อาศัยคลื่นพากันว่ายไปในทะเล พวกมันไปทันโอกาสเหมาะพอดี ปลาน้อยปลาใหญ่ของฟาร์มปลายังคงตกใจกับภูเขาไฟใต้น้ำ ไม่มีอารมณ์หาอาหาร พวกมันเลยรอดมาได้


พวกปูก้ามดาบมุดหัวออกมาจากรูที่อยู่จุดสูงกว่าคลื่นของหาดทราย ใช้ตาที่ดูเหมือนไม้ขีดมองดูทะเลที่ไกลออกไปราวกับพวกมันเข้าใจอะไรบางอย่าง


ฉินสือโอวตรวจดูปะการังทะเลลึกพบว่าได้รับผลกระทบไม่มาก เรื่องรักษาชีวิตไว้ไม่มีปัญหาแน่นอนเลยกลับวิลล่าไปนอน


นอนไปจนถึงเย็น ฉินสือโอวไปดูจุดที่ภูเขาไฟใต้น้ำตั้งอยู่ ยังคงมีลาวาไหลออกมาอยู่ ยังดีที่คลื่นทะเลซัดมาจึงพาเอาไอน้ำออกไปแล้วเอาน้ำเย็นเข้ามาได้ทันเวลา รับประกันว่าลาวาจะไม่ทำความเสียหายกับฟาร์มปลามากนัก


หลังจากนั้นศูนย์ธรณีวิทยาทางทะเลนิวฟันด์แลนด์ก็ประกาศผ่านทีวี รายงานเรื่องภูเขาไฟใต้ทะเลปะทุในครั้งนี้ เพราะไม่แน่ใจว่าหลังจากนี้จะมีภูเขาไฟระเบิดต่อเนื่องหรือไม่ ฉะนั้นเลยห้ามเรือประมงเข้าไปในเขตทะเลของฟาร์มประมงต้าฉิน


แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ฉินสือโอวรู้สึกว่าอย่างน้อยในระยะสั้นก็ไม่มีเรือประมงมาขโมยปลา อย่างคำโบราณที่ว่า ‘ในโชคร้ายก็ยังมีโชคดีอยู่’ ก็มีเหตุผลดี


ภูเขาไฟปะทุไม่ใช่ว่ามีแต่ข้อเสียไม่มีข้อดีเลย การที่ไอน้ำร้อนพวยพุ่งออกมาจากก้นทะเลก็จะเอาสารอาหารตรงก้นทะเลขึ้นมาด้วย คาดการณ์ได้ว่าในอนาคตแพลงก์ตอนในฟาร์มปลาจะต้องเยอะมากแน่ๆ


อีกอย่างการที่คลื่นม้วนซัดก็ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนของเหยื่อระหว่างพื้นที่ สามารถเพิ่มการแลกเปลี่ยนของฝูงปลา ช่วยฝูงปลาให้หาอาหารที่เหมาะสมกว่าเดิมได้


ศูนย์ธรณีวิทยาทางทะเลนิวฟันด์แลนด์ส่งคนมาที่ฟาร์มปลาต้าฉินในวันเดียวกัน บอกว่าจะมาตรวจสอบเรื่องการปะทุของภูเขาไฟใต้ทะเลในครั้งนี้ แคนาดาให้ความสำคัญกับภัยธรรมชาติมาก พอเกิดขึ้นจะต้องมาศึกษาอย่างละเอียดแน่นอน


ฉินสือโอวยังคงรอดูว่าจะให้ค่าชดเชยกับฟาร์มปลาไหม เหมือนตอนนั้นที่ฝูงนกจมูกหลอดหางสั้นที่ทำให้เขาได้เงินชดเชยมาหลักล้าน เพราะต้องให้ความช่วยเหลือด้านการลงทุนกับแฮมเล็ต ฉินสือโอวรู้สึกว่ากระเป๋าของตัวเองก็ไม่ค่อยหนักเท่าไรแล้ว


ปรากฏว่าพอพวกผู้เชี่ยวชาญมาถึงที่ฟาร์มปลาก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องเงินชดเชย พออ้าปากก็พูดเรื่องภูเขาไฟใต้น้ำ ฉินสือโอวขี้เกียจจะสนใจเลยทิ้งพวกเขาไว้ในฟาร์มปลา เรื่องกินนอนที่พักก็จัดการเอาเองละกัน


แต่คนพวกนี้ก็เก่งจริง ลาวาในทะเลยังไหลออกมา พวกเขาก็ลงน้ำท่ามกลางคลื่นลูกโตเพื่อทำการตรวจสอบทางธรณีวิทยา คืนนั้นในวันเดียวกันก็นำเอกสารรายงานมาให้เขา


ตามเอกสารนั้น เปลือกโลกก้นมหาสมุทรนั้นบางกว่าพื้นผิวพื้นดินเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ฟาร์มปลาต้าฉินก็ดันมาตั้งอยู่ตรงแถบชั้นหินใหม่ก้นทะเล ความมั่นคงต่ำ จึงเกิดภูเขาไฟกับแผ่นดินไหวใต้น้ำได้ง่าย


เห็นฉินสือโอวกังวลหัวหน้าผู้เชี่ยวชาญก็พูดยิ้มๆ “ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณ เปลือกโลกมหาสมุทรแอตแลนติกก็ยังมีความเสถียรภาพ วงแหวนไฟก็อยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกหมด ครั้งนี้ที่ภูเขาไฟปะทุเป็นเพราะบังเอิญ หลายสิบปีมีสักครั้งหนึ่งก็น่าดูชมแล้ว”


วงแหวนไฟก็คือชื่อย่อของวงแหวนแห่งไฟ เพราะเปลือกโลกก้นมหาสมุทรแปซิฟิกมีแนวโน้มที่จะเหลื่อมกันตามทิศทางของร่องลึกก้นสมุทร ดังนั้นบริเวณที่อยู่ใกล้ร่องลึกใต้น้ำซึ่งเปลือกโลกใต้น้ำปะทะกับเปลือกโลกทวีปจึงมีแนวโน้มที่จะเกิดการปะทุของภูเขาไฟ


ภูเขาไฟส่วนมากในโลกล้วนแล้วแต่รวมกันอยู่ที่วงแหวนแห่งไฟในมหาสมุทรแปซิฟิก ภูเขาไฟที่สำรวจเจอมีทั้งหมด 529ที่ และ421ลูกในนั้นตั้งอยู่บนวงแหวนไฟ สัดส่วนทั้งหมดเป็น 80% ซึ่งน่ากลัวมาก


ภูเขาไฟที่เจอในมหาสมุทรแอตแลนติกกับพื้นที่ชายฝั่งทะเลเยอะไม่เท่าวงแหวนแห่งไฟในมหาสมุทรแปซิฟิก แต่การปะทุของภูเขาไฟในครั้งนี้ค่อนข้างแปลก ภูเขาไฟยังไม่เกิดเป็นปาก มีเพียงรอยแยกที่พื้นแล้วพ่นลาวาออกมา


ก่อนหน้านั้นฉินสือโอวยังไม่เข้าใจความซับซ้อนของเรื่องนี้ พอปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญธรณีวิทยา เขาก็เข้าใจภูเขาไฟใต้ทะเลขึ้นมาอีกหน่อย รู้แล้วว่าการปะทุของภูเขาไฟครั้งนี้ไม่ได้เรียบง่ายขนาดนั้น


อย่างไรเสียก็ได้เรียนรู้บางอย่างจากผู้เชี่ยวชาญธรณีวิทยา ฉินสือโอวไม่ได้ทำใจแคบอีก เขาหาที่พักเหมาะๆ ให้พวกผู้เชี่ยวชาญไปพัก แน่นอนว่าค่าใช้จ่ายให้ออกเอง เขาไม่อยากเปลืองเงิน


ลาวาที่ถูกพ่นออกมาแล้วเย็นตัวลงค่อยๆ กลายเป็นหินภูเขาไฟ ขี้เถ้าภูเขาไฟและหินพรุนถูกน้ำทะเลม้วนพัดไปในบริเวณต่างๆ ของก้นทะเล สุดท้ายส่วนที่เหลือของหินภูเขาไฟก็คือส่วนที่แข็งแรงที่สุด กลายเป็นภูเขาใต้น้ำเล็กๆ สูงสี่ห้าร้อยเมตร!


บทที่ 694 ความหลากหลายของฟาร์มปลา

โดย

Ink Stone_Fantasy

สองวันหลังจากนั้นภูเขาไฟใต้ทะเลก็พ่นลาวาออกมาบ้างเป็นช่วงๆ ไม่ได้แรงเท่ากับครั้งแรก แต่ลาวาที่พ่นออกมาก็ไม่น้อย ภูเขาใต้น้ำลูกเล็กนั้นโตไปอีกหน่อย เติมรอบๆ จนเรียบ จากเขาเล็กๆ กลายเป็นเกาะใต้น้ำ


ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ธรณีวิทยาทางทะเลนิวฟันด์แลนด์มาสำรวจดูความเคลื่อนไหวของภูเขาไฟแล้วบอกฉินสือโอวว่าสถานการณ์ภูเขาไฟปะทุครั้งนี้ไม่ค่อยมั่นคง พวกเขาต้องศึกษาดูหน่อย หลังจากนั้นจะให้รายงานฉบับหนึ่งกับเขาด้วย


นี่ก็คือการทำงานของข้าราชการแคนาดา พวกเขารับผิดชอบต่อคนจ่ายภาษีอย่างแท้จริง


เมื่อได้รับคำตอบจากผู้เชี่ยวชาญแล้ว ฉินสือโอวกลับไม่ได้คิดมาก เขารู้ว่าคนพวกนั้นสงสัยอะไร ความแรงของภูเขาไฟที่ปะทุกับระยะการกระจายตัวของลาวาไม่สัมพันธ์กัน ตามหลักการแล้วภูเขาไฟขนาดนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อพื้นที่อย่างต่ำก็หนึ่งร้อยตารางกิโลเมตร ตอนนี้กลับไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ


ฉินสือโอวยักไหล่ให้พวกเขาตรวจได้ตามสบาย เรื่องที่เขาต้องจัดการน่ะเยอะมากนะ


พอภูเขาไฟเพลาการปะทุลงกระทั่งหายไปเป็นช่วงๆ เหล่ากุ้งปลาก็กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ พอปลาใหญ่หลายตัวที่ว่ายไปที่เขตทะเลตื้นหันไปเจออาหารเลิศรสอยู่ข้างๆตัวมากมายอย่างไม่น่าเชื่อก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง กินเลย!


เหล่าปลาเล็กอยู่ต่อไม่ได้เลยได้แต่หนีไปในทะเลลึก พอเป็นแบบนี้ห่วงโซ่อาหารของฟาร์มปลาก็ยุ่งเหยิงขึ้นมาเล็กน้อยบ้างแล้ว


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงสู่ทะเล ฉินสือโอวเริ่มจากการวนรอบเขตน้ำตื้นก่อนรอบหนึ่งเพื่อดูสถานการณ์


จุดสำคัญที่เขาตรวจดูก็คือน่านน้ำแนวปะการังน้ำตื้น ขอแค่ที่นี่ไม่เป็นอะไร งั้นรากฐานของฟาร์มปลาก็ไม่มีปัญหา


ในแนวปะการัง ปลานกแก้วฝูงหนึ่งกำลังสะบัดหางว่ายน้ำอย่างรีบร้อน สายตาของพวกปลาตัวเมียต่างจับจ้องไปที่ปลาตัวผู้ที่กำยำที่สุดตัวหนึ่ง


ปลานกแก้วมีสังคมผู้ชายเป็นใหญ่ซึ่งตัวผู้ตัวเดียวสามารถมีปลาตัวเมียได้หลายตัว ฝูงเล็กฝูงหนึ่งมักจะมีปลาตัวผู้หนึ่งตัวกับปลาตัวเมียอีกหลายๆ ตัว


ปลาตัวผู้ของฝูงนี้เพิ่งโดนปลาทูน่าครีบน้ำเงินกินไปไม่นานมานี้ ฝูงปลาจะขาดตัวผู้ไม่ได้ ดังนั้นปลาตัวเมียที่เดิมทีแข็งแรงที่สุดจึงเริ่มเปลี่ยนเพศ มันจะใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเปลี่ยนเป็นปลาตัวผู้


ที่เพศของปลานกแก้วสามารถเปลี่ยนได้ก็เพราะในร่างกายของพวกมันมีอวัยวะเพศชายที่เสื่อมอยู่ พอถูกกระตุ้นระบบประสาทก็จะส่งสัญญาณออกไปกระตุ้นให้อวัยวะเพศชายผลิตแอนโดรเจนจำนวนมากทำให้อวัยวะสืบพันธุ์ชายพัฒนาจนกลายเป็นปลาตัวผู้


อีกตัวละครที่ตรงข้ามกับปลานกแก้วก็คือตัวละครหลักในแนวปะการังอย่างปลาสลิดหิน


ปลาสลิดหินกระจายตัวอยู่ในน่านน้ำเขตร้อนและเขตอุ่น เป็นปลาที่มีจำนวนมากที่สุดในหมู่ปลาแนวปะการัง ชื่อนี้ไม่ได้หมายถึงปลาชนิดหนึ่ง แต่เป็นวงศ์ปลา มีทั้งหมดสองร้อยห้าสิบชนิด หลักๆ กระจายตัวอยู่ในเขตน้ำร้อนของมหาสมุทรแอตแลนติก มหาสมุทรอินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก


ปลาสลิดหินชอบอาศัยอยู่ในแนวปะการัง ขอแค่มีแนวปะการังก็จะมีร่องรอยของพวกมัน ฉินสือโอวไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกมันมาได้อย่างไร


แม้จะได้ชื่อว่าปลาสลิดหิน แต่ที่จริงแล้วปลาชนิดนี้กลับไม่ได้อยู่ในวงศ์ปลาจาน แค่รูปร่างเหมือนปลาจานเท่านั้น ส่วนมากตัวจะเล็กพอๆ กับนกกระจอก ฉะนั้นเลยถูกเรียกว่าปลาสลิดหิน


ปลาการ์ตูนที่มีชื่อเสียงกว้างไกลก็เป็นปลาสลิดหินชนิดหนึ่ง อยู่ในวงศ์สลิดหิน วงศ์ย่อยแอมพีไพรโอนีน ขนาดตัวค่อนข้างเล็ก มีค่าให้ดูชมมากทีเดียว เพียงแต่ฟาร์มปลาต้าฉินไม่มีปลาชนิดนี้ เพราะพวกมันอาศัยอยู่ในเขตน้ำร้อนเท่านั้น


ฟาร์มปลาต้าฉินเป็นเขตน้ำอุ่น ปลาสลิดหินที่มีอยู่ในวงศ์ปลาการิบัลดีกับวงศ์ปลาเดมเซล ปลาจานทั้งสองชนิดนี้เป็นปลาชนิดใหญ่ที่หายากในวงศ์ มักจะโตยาวได้ถึงสามสิบกว่าเซนติเมตร ไม่แค่ดูดีเท่านั้นแต่ยังเป็นปลาทางเศรษฐกิจและอร่อยด้วย


ปลาสลิดหินมักจะอยู่แบบตัวเมียหนึ่งกับตัวผู้หลายตัว ทุกฝูงจะมีปลาตัวเมียตัวเดียว นอกนั้นจะเป็นปลาตัวผู้ทั้งหมด


มีปลาตัวเมียของฝูงหนึ่งโดนกินไปแล้ว ปลาตัวผู้ที่ตัวใหญ่ที่สุดก็จะแปลงร่างกลายเป็นปลาตัวเมียแล้วปกครองฝูงนี้ต่อไป น่าอัศจรรย์จริงๆ


ในแนวปะการัง หอยนางรมลอยเหมือนจะรู้ว่าช่วงนี้สถานการณ์ไม่ค่อยสงบ ล้วนต่างปิดฝากันสนิท ถ้าไม่ใช่พวกมันเปิดฝาเป็นช่วงๆ เพื่อแอบดูข้างนอกสักหน่อย ฉินสือโอวคงนึกว่าพวกมันตายไปแล้ว


ล็อบสเตอร์สีรุ้งรวมตัวกันอยู่ที่แนวปะการังแถวๆ เขตทะเลนั้น เพราะเปลือกของพวกมันหลากสีเหมือนกับโพลิป หลบอยู่ตรงนี้ปลอดภัยมากกว่า


นอกจากนั้นยังมีฝูงปลาทูน่าครีบเหลืองฝูงหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่ในเขตแนวปะการัง ไม่ใช่เพราะสีของพวกมันสามารถปกป้องพวกมันได้ แต่เพราะที่นี่เป็นถิ่นของไอซ์สเกต บอลหิมะ และบีนราชาทั้งสาม ปลาใหญ่ที่จะมาหาอาหารก็ต้องผ่านด่านพวกมันไปก่อน


ทั้งสามไม่ได้ตัวใหญ่มาก เผชิญหน้าฉลามหัวค้อนยาวห้าหกเมตร เหล่าฉลามวัวไม่มีโอกาสชนะมากเท่าไร แต่พวกมันจะผูกมิตร โอเวอร์ลอร์ดมืดก็โดนดึงมาด้วย


โอเวอร์ลอร์ดมืดมีบทบาทอะไร? นั่นคือจ่าฝูงฉลามขาวตัวโตที่มีความยาวถึงสิบสองเมตร ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่แผลเป็นจากการต่อสู้ ดวงตาโปน ฟันแหลม เหงือกแข็ง จุดเด่นด้านความรุนแรงชัดเป็นพิเศษ


ถ้ารู้สึกว่าโอเวอร์ลอร์ดมืดยังเอาไม่อยู่ก็ไม่เป็นไร เจ้าพวกตัวเล็กยังดึงลูกพี่ฉลามบาสกิงมาด้วย


ฉลามบาสกิง น่าเกรงขามพอหรือยัง? ใช่ นิสัยมันอ่อนโยนไม่มีการคุกคาม แต่ว่าปลาอื่นไม่รู้ด้วยนี่นา แค่เห็นเจ้านี่อ้าปากที่ใหญ่กว่าหัวฉลามก็น่ากลัวพอแล้ว…


ถ้ายังไม่พอ เจ้าพวกตัวเล็กยังมีตัวช่วย ทัพงูเหลือมทะเลดุโหดรอรับคำสั่งอยู่ตลอดเวลา จะวาฬหรือฉลาม ถ้ากล้าเข้ามาในเขตแนวปะการังโดยพลการก็อย่าคิดจะออกไป!


ฉินสือโอวมองดูเขตทะเลแนวปะการังถูกสามตัวดูแลเสียเรียบร้อยก็ถ่ายพลังโพไซดอนให้พวกมันกับพวกโอเวอร์ลอร์ดมืด ฉลามบาสกิงแล้วไปแถบทะเลอื่นต่อ


หลังจากนั้นก็เจอกับปลาทูน่าครีบน้ำเงินที่รวมกลุ่มใหญ่กันอยู่ ปลาใหญ่มีมูลค่าพวกนี้ว่ายอย่างบ้าคลั่งไปในแถบชายฝั่ง ปากก็เหมือนกับฉลามบาสกิง ไม่รู้ทำไมถึงอ้าอยู่บ่อยๆ


ที่จริงสาเหตุก็ง่ายนิดเดียว อ้าปากกระพือเหงือก หนึ่งก็เพื่อหายใจทางเหงือกต้องใช้ออกซิเจนจากน้ำ สองก็คือตอนนี้ปลาซาร์ดีนเยอะมาก จะยังไม่รีบกินอีกหรือ?


ฉินสือโอวจะให้พวกมันอยู่ในแถบชายฝั่งนานเกินไปไม่ได้ ไม่ใช่ว่าให้ของกินไม่ไหว แต่เพราะความดันต่ำเกินไป ไม่ดีต่อร่างกายของมัน ดังนั้นเลยถ่ายพลังโพไซดอนให้น้ำเงินใหญ่กับน้ำเงินเล็กที่นำแถวอยู่ ให้พวกมันนำฝูงปลาลงทะเลลึกไป


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนควบคุมแถบทะเลหนึ่งไว้อย่างเงียบๆ มองดูฝูงปลาที่ว่ายผ่านเขตนั้นไปไกล ในใจฉินสือโอวก็เกิดความภาคภูมิราวกำลังตรวจกองทหารขึ้นมา


ฝูงปลาทูน่าครีบน้ำเงินฝูงโตที่รวมตัวกันดูน่าเกรงขามมาก เจ้าพวกนี้ผ่านการพัฒนาจากพลังโพไซดอนและอาหารที่อุดมสมบูรณ์จนตัวอ้วนกลมอย่างกับหยดน้ำหยดโต ท่าทางว่ายน้ำอย่างรวดเร็วดูมีเค้าของรถถัง


เข้าไปในแนวสาหร่าย ปลาแสงอาทิตย์แหวกว่ายไปในสาหร่ายช้าๆ บางครั้งได้อารมณ์ก็โผล่พ้นผิวน้ำไปอาบแดด แน่นอนว่าการอาบแสงจันทร์ในยามค่ำคืนก็ไม่เลวเช่นกัน…


เทียบกับความตามอารมณ์ของปลาแสงอาทิตย์ ปลาพระจันทร์ใช้ชีวิตรอบคอบกว่ามาก ก่อนจะไปหาอาหารข้างนอกก็ต้องมุดหัวออกไปดูสภาพแวดล้อมข้างนอกให้ชัดก่อน จากนั้นค่อยว่ายออกไป


สีของปลาพระจันทร์มีความน่าดึงดูดเกินไป พอพวกมันโดนปลาใหญ่เพ่งเล็งก็แทบจะลงเป็นเมนูอาหารกลางวันมื้อหรู ไม่ก็เมนูอาหารค่ำจนหมด


บทที่ 695 รายงานผลตรวจที่ไม่สู้ดี

โดย

Ink Stone_Fantasy

มีหัวใจโพไซดอนอยู่ในมือก็คุมฟาร์มปลาได้


เหล่าฝูงกุ้งปลามากมายหลากหลายถูกจิตสำนึกแห่งโพไซดอนแกมไล่แกมปลอบกลับไปยังรังของตัวเองอย่างรวดเร็ว


ฝูงงูเหลือมทะเลไปเป็นทหารยามในแนวปะการังทะเลลึก เดิมทีงานนี้เป็นงานหนัก เพราะทะเลยิ่งลึกความดันก็ยิ่งสูง แสงแดดยิ่งน้อย อุณหภูมิยิ่งหนาว อย่างไรเสียงูเหลือมทะเลก็เป็นสัตว์เลื้อยคลานเลือดเย็น ความดันน้ำยังพอว่า แต่เรื่องอุณหภูมิทนไม่ได้จริงๆ


แต่ว่าตอนนี้เพราะภูเขาไฟใต้น้ำปะทุ งานหนักเลยกลายเป็นงานสบาย อุณหภูมิน้ำในปะการังทะเลลึกได้รับอิทธิพลจากอุณหภูมิของลาวาที่ไหลออกมาเป็นช่วงๆ จนสูงขึ้นมาถึงระดับที่เหมาะสม


ฉินสือโอวกวาดตามองฟาร์มปลาคร่าวๆ พอรู้สึกว่าปัญหาไม่ใหญ่โตถึงดึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับมา


ภูเขาไฟปะทุไม่กี่วัน ฉินสือโอวช่วงนี้เหนื่อยไม่น้อย ตัวผอมไปหลายกรัม ความสนใจที่จะทำการบ้านกับวินนี่ตอนกลางคืนก็หดหาย ทำเอาช่วงนี้วินนี่ขยันทำพวกโจ๊กหอยงวงช้าง ซุปเก๋ากี่พุทราแดงเสริมสุขภาพให้เขา


ทาครีมกันแดดเสร็จ ฉินสือโอวก็ลากเก้าอี้ผ้าใบไปหาที่เหมาะๆ อย่างเกียจคร้าน อีวิลสันช่วยเขาปักร่มกันแดด มือหนึ่งเขาถือเบียร์ส่วนอีกมือถือน้ำผลไม้ รับลมฟื้นฟูพลัง


บนหาดทราย พวกหู่จือกับเป้าจือเล่นกันสนุกสนาน เพราะพวกปูก้ามดาบย้ายบ้านอีกแล้ว


ภูเขาไฟสงบลง ระดับน้ำทะเลกลับสู่สภาพปกติ งั้นพวกมันต้องกลับรังเดิม


แบบนี้ปูก้ามดาบก็เหนื่อย แต่ทำไงได้ พวกมันค่อนข้างเลือกสภาพแวดล้อมที่อยู่ ชอบอยู่ในที่ที่ขุดไปยี่สิบสามสิบเซนติเมตรแล้วเจอชั้นน้ำ แบบนี้ออกหาอาหารได้สะดวก ระดับความปลอดภัยกำลังดี ไอน้ำก็เพียงพอ


ต้นฤดูร้อนผ่านไปอย่างรวดเร็ว ฤดูร้อนกำลังเป็นไปอย่างร้อนแรง ฉินสือโอวดื่มเบียร์พลางคิดแผนพัฒนาฟาร์มปลาไปด้วย


พอดีกับที่บัตเลอร์โทรหาเขา พอรับสายก็ตรงเข้าประเด็นทันที “ห้องเย็นกับตลาดที่ไมอามีเลือกได้หมดแล้ว เดี๋ยวก็เปิดกิจการได้แล้ว งานโปรโมตฉันจัดการจวนจะเสร็จแล้ว เพราะชื่อเสียงดีๆ ที่ดังมาจากนิวยอร์ก มีร้านอาหารและโรงแรมหรูสี่สิบกว่าที่สนใจอาหารทะเลของเรา”


ฉินสือโอวรู้ว่าจุดประสงค์ของบัตเลอร์คืออยากให้เขาไปดู แต่ตอนนี้เขายังไปไหนไม่ได้ ทางฟาร์มปลามีภูเขาไฟปะทุ เดี๋ยวต้นเดือนกรกฎาคมก็ต้องร่วมกิจกรรมการท่องเที่ยวเยี่ยมชมสำหรับเจ้าของฟาร์มปลาที่จัดโดยกรมประมง เขายังไปไมอามีไม่ได้


เป็นครั้งแรกที่ฉินสือโอวอยากจะพูดตามแบบซีอีโอในหนังว่า ‘ถ้าไม่ได้นัดก็เข้าพบไม่ได้’ เวลาของเขาค่อนข้างแน่น หลายๆ เรื่องก็ไม่มีเวลาไปสนใจ วิศวกรที่เซี่ยงเฮ่ากับเขาพามายังทิ้งไว้ที่โรงงานเซนต์จอห์นบอสตันอยู่เลย


บัตเลอร์ได้แต่บอกว่างั้นคุณก็จัดการไปก่อนเถอะ ธุรกิจทางไมอามีจะเปิดแล้ว เพราะเดือนกรกฎาคมเป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ปริมาณบริโภคอาหารทะเลเยอะมาก


ฉินสือโอวให้เขากล้าๆ ทำไปเลย อย่างมากก็เจ๊งแล้วปิดร้าน คุณภาพอาหารทะเลของเขาผ่านแน่นอน ทำแบรนด์ของตัวเองไม่ได้ก็ยังส่งตลาดธรรมดาได้ จะต้องส่งไม่ทันแน่เลย


ผ่านการตรวจมาสองวัน ทีมผู้เชี่ยวชาญออกรายงานเบื้องต้นแล้วรีบเอามาส่งให้ฉินสือโอว


เดิมทีฉินสือโอวยังไม่ได้เอามาใส่ใจ ทีมผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ธรณีวิทยาแล้วไง เทียบกับบาลซักที่เป็นเจ้าพ่อทางด้านทะเลได้เหรอ? แม้แต่คนพวกนั้นก็ยังไม่เข้าใจถึงปัญหาของฟาร์มปลา ผู้เชี่ยวชาญธรณีวิทยาจะดูอะไรออก?


แต่ว่าพอพลิกรายงานบางๆ เล่มนี้ดูคร่าวๆ ฉินสือโอวก็ต้องโยนขวดเบียร์ทิ้งแล้วตั้งใจอ่านทันที


สถานการณ์ไม่สู้ดี!


เหล่าผู้เชี่ยวชาญเก็บตัวอย่างดินทะเลและชั้นหินจากก้นทะเลหนึ่งร้อยหกสิบกว่าจุดเพื่อนำมาตรวจ บริเวณพวกนั้นกระจายตัวจากชายฝั่งน้ำลึกสองเมตรไปจนถึงน้ำลึกสองพันห้าร้อยเมตร ฉะนั้นจึงแทนสภาพปัจจุบันของก้นทะเลได้อย่างดี


ตามผลตรวจ เหล่าผู้เชี่ยวชาญพบว่าจุลธาตุและคาร์บอนของก้นทะเลในฟาร์มปลาต่ำกว่าปกติมาก พวกเขาหาผลการตรวจด้านต่างๆ ของกรมประมงที่ทำเพื่อวัดมูลค่าของฟาร์มปลาเมื่อสิบปีก่อนในตอนที่ปู่ของฉินสือโอวเสีย พบว่าสิบปีมานี้ค่าจุลธาตุและคาร์บอนลดลงอย่างมาก!


เหล่าผู้เชี่ยวชาญยังไม่เข้าใจว่าจู่ๆ จุลธาตุพวกนี้หายไปเยอะขนาดนี้ได้อย่างไร นี่มันไม่สอดคล้องกับหลักเหตุผล แต่ฉินสือโอวรู้ถึงสาเหตุ


ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาดูแลฟาร์มปลาก็ปลูกพืชน้ำและสาหร่ายมากมายที่ฟาร์มเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนแถมยังถ่ายพลังโพไซดอนมากมายให้เจ้าพวกนี้ด้วย เร่งพวกมันให้เติบโตและขยายพันธุ์อย่างบ้าคลั่ง


เขาไม่เคยคิดว่านี่จะนำผลกระทบอะไรมาสู่ฟาร์มปลา เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้อพยพที่เปลี่ยนอาชีพกลางคัน ไม่ใช่แค่ขาดประสบการณ์ดูแลฟาร์มปลาเท่านั้น ยังขาดความรู้ด้านระบบด้วย!


ตอนนี้ดูรายงานที่ผู้เชี่ยวชาญศูนย์ธรณีวิทยาให้มา ฉินสือโอวถึงเข้าใจในทันที เขาคิดแต่จะกอบโกยผลลัพธ์มากมายจนทำลายฟาร์มปลา


รากฐานของฟาร์มปลาคืออะไร? ฉินสือโอวคิดว่าเป็นสาหร่ายและพืชน้ำมาโดยตลอด ขอแค่มีต้นมะเดื่อในบ้านยังจะต้องกลัวหงส์ทองไม่มาเหรอ?


แต่ถ้าเอาปัญหานี้โยนให้พวกชาร์ค คำตอบของพวกเขาก็จะไม่ใช่แบบนี้ แต่เป็น ตัวฟาร์มปลาเอง!


ใช่ ก็คือตัวฟาร์มปลาเอง นั่นก็คือธรณีวิทยาทางทะเลกับน้ำทะเล ถ้าไม่มีของพวกนี้ งั้นมีพืชน้ำกับสาหร่ายเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์


ฉินสือโอวทำลายธรณีวิทยาใต้น้ำของฟาร์มปลาโดยไม่รู้ตัว


การอบรมที่เขาได้รับก็คือการโตของพืชดูดซึมสารอาหารไปไม่เยอะ อาศัยการสังเคราะห์แสงเอา ดังนั้นเขาถึงเร่งการเติบโตของสาหร่ายกับพืชน้ำเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้


แต่ที่จริงแล้วมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น


คนที่เคยเรียนธรรมชาติศึกษารู้ทั้งนั้น ในปี1642 นักวิทยาศาสตร์ชาวเบลเยียมยัน บัปติสต์ ฟัน แฮ็ลโมนต์เคยทำการทดลองที่มีชื่อเสียงอย่างหนึ่ง


ตอนนั้นแฮ็ลโมนต์เคยปลูกต้นหลิวหนัก 23 กิโลกรัมต้นหนึ่ง ในกระถางที่ทำจากเหล็ก ก่อนที่จะปลูก ดินในกระถางเคยผ่านการอบแห้งในอุณหภูมิสูงมา น้ำหนักที่ชั่งได้ 90.8 กิโลกรัม


ในระหว่าง 5 ปีต่อมา นอกจากแฮ็ลโมนต์จะรดน้ำต้นไม้ก็ไม่ได้เติมอะไรลงในกระถางเหล็กเลย ใบไม้ที่ร่วงในฤดูใบไม้ร่วงทุกปีก็ไม่ได้ชั่งน้ำหนักหรือคำนวณ


5 ปีหลังจากนั้น ยัน บัปติสต์ ฟัน แฮ็ลโมนต์ก็ชั่งน้ำหนักต้นหลิวกับดินแยกกันอีกครั้ง พบว่าน้ำหนักของต้นหลิวเปลี่ยนเป็น 76.7 กิโลกรัม แต่น้ำหนักของดินพอแห้งแล้วก็เป็น 90.7 กิโลกรัม ลดจากเดิม 0.1 กิโลกรัม


การทดลองนี้แสดงให้เห็นถึงอะไร? แร่ธาตุทุกอย่างที่พืชต้องการมาจากน้ำและอากาศ ไม่มีความเสียหายต่อดิน


ที่จริงแล้วนี่เหลวไหลทั้งเพ ชาวบ้านที่ปลูกพืชก็รู้ ถ้าดินไม่อุดมสมบูรณ์พอ แสงแดดจะจ้าแค่ไหน รดน้ำมากแค่ไหนก็ไม่มีทางมีผลผลิต


ฉินสือโอวมองข้ามปัญหานี้ไป พืชน้ำกับสาหร่ายที่เขาปลูกมีมากเกินไป โตไว และขยายพันธุ์เร็วไป จึงทำให้เกิดการเก็บผลผลิตระยะสั้นโดยไม่คำนึงถึงระยะยาว


การเติบโตของพืชน้ำกับสาหร่ายนอกจากจะดูดคาร์บอนไดออกไซด์ ยังต้องดูดแร่ธาตุอื่นๆ จำนวนมากจากก้นทะเล สารอาหารเหล่านี้รวมถึงจุลธาตุที่ผสมอยู่ในทรายใต้ท้องทะเลมานานหลายพันปี


แน่นอนว่าสารอาหารในดินทรายก้นทะเลไม่ได้มีแค่ผลิตไม่มีการสร้างใหม่ อึและของเสียของปลากุ้งก็มีส่วนประกอบของสารอินทรีย์กับเกลือแร่ มันเป็นสารอาหารที่มีคุณภาพสูงที่เติมแร่ธาตุต่างๆ ให้กับดินทรายในทะเล


แต่ว่า ยังไม่พอ!


บทที่ 696 เสริมแคลเซียมให้ฟาร์มปลา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฟาร์มปลาต้าฉินปลูกพืชน้ำกับสาหร่ายไว้เท่าไร? นับไม่ถ้วน!


ทุกครั้งที่บิลเจอฉินสือโอวก็จะชมว่าเขาลงทุนแบบพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งสองฝ่ายลืมไปว่าการพัฒนาแบบยั่งยืนไม่ได้หมายถึงแค่ระหว่างสิ่งมีชีวิตเท่านั้น ยังรวมถึงการปฏิสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสภาพแวดล้อมด้วย


ตอนนี้ก็คือสภาพแวดล้อมมีปัญหา พืชน้ำกับสาหร่ายที่ฟาร์มปลาปลูกไว้เยอะเกินไป เยอะเสียจนดินใต้ทะเลรับไม่ไหว


แน่นอนเรื่องนี้พอเข้าใจได้ ดูตัวเลขของปลาในฟาร์ม กุ้งปลาที่เลี้ยงไว้มีเท่าไร? ถ้าจำนวนพืชน้ำและสาหร่ายไม่มากพอ งั้นพวกมันก็ขาดแคลนอาหารกันไปนานแล้ว จะอยู่สบายขนาดนี้เหรอ?


ต้องรู้ด้วยว่า สัดส่วนของอาหารที่ถูกใช้ในโลกธรรมชาติคือ10% 20% นี่หมายถึงอะไรล่ะ?


คิดตามสัดส่วนการใช้ประโยชน์อาหารที่สูงที่สุดซึ่งก็คือ 20% ปลาทูน่าตัวหนึ่งจะโตสักหนึ่งกรัมงั้นมันก็ต้องกินปลาแฮร์ริ่งอย่างน้อย 5 กรัม ส่วนปลาแฮร์ริ่งจะโต 5 กรัมก็ต้องกินแพลงก์ตอน 25 กรัม แพลงก์ตอนจะโต 25 กรัมก็ต้องกินพืชน้ำกับสาหร่าย 125 กรัม


ส่วนปลาทูน่าตัวหนึ่ง ในการโตหนึ่งกรัมจะขับของเสียออกมาเท่าไร? จะชดเชยการบริโภคสารอาหารจากก้นทะเลของพืชน้ำกับสาหร่าย 125 กรัมได้อย่างไร?


สรุปก็คือ พืชน้ำกับสาหร่ายดูดแร่ชนิดต่างๆมากเกินไป ก้นทะเลขาดแคลเซียมจนดินหลวม


ตอนแรกเห็นดินหลวมแล้วเหมือนจะไม่มีประโยชน์อะไร ที่จริงแล้วมันก็เหมือนเทปใสเส้นหนาที่แปะไว้บนแผ่นเปลือกโลก เต็มไปด้วยความเหนียว ทำให้ชั้นหินไม่เกิดรอยแยกได้ง่าย


ตอนนี้เทปใสเส้นนี้ไม่มีความเหนียวแล้ว ฉะนั้นเปลือกโลกขยับเพียงเล็กน้อยชั้นหินก็เกิดรอยร้าวได้ง่ายๆ นอกจากนี้ รอยร้าวที่เกิดก่อนหน้านี้ เพราะดินทรายมีซิลิคอนคาร์ไบด์ซึ่งสามารถเข้าไปซ่อมแซมในรอยแยกได้


ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้ว ดังนั้นลาวาก็เลยพรั่งพรูออกมาจากรอยแยกเปลือกโลก


นี่ก็คือสาเหตุที่ฉินสือโอวเห็นภูเขาไฟก้นทะเลไม่ใช่รูปทรงภูเขา แต่เป็นพื้นราบที่เกิดรอยแยกแล้วพ่นลาวาออกมา


ธรรมชาติช่างน่าอัศจรรย์ มันสามารถปรับสมดุลตัวเองได้ การปรากฏของลาวาในด้านหนึ่งก็เป็นการเสริมแร่ธาตุต่างๆให้ดินทราย เพราะในเถ้าภูเขาไฟมีเกลืออนินทรีย์มากมาย


แต่ว่าฉินสือโอวไม่อยากเสริมแร่ธาตุให้ฟาร์มปลาด้วยวิธีแบบนี้ เพราะวิธีนี้ของธรรมชาติก็ออกจะรุนแรงไปหน่อย นั่นเป็นการทำลายทุกอย่างให้สิ้นแล้วค่อยสร้างใหม่


หลังจากที่ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์ธรณีวิทยาให้ผลการตรวจนี้ออกมาก็ถือโอกาสอธิบายสาเหตุที่ไม่ได้เกิดความเสียหายจากการปะทุของภูเขาไฟตามปกติ เพราะการปะทุของภูเขาไฟครั้งนี้ก็ไม่ปกตินี่นา พลังทำลายล้างก็เลยกระจายตัว…


พอเข้าใจถึงปัญหาของฟาร์มปลา ฉินสือโอวก็ขอบคุณความช่วยเหลือจากเหล่าผู้เชี่ยวชาญ เขาเรียกรวมพวกชาวประมงมาหารือวิธีแก้ปัญหาทันที


เหล่าชาวประมงเป็นมือดีทั้งในด้านการหาปลาและด้านการทะเลาะตบตี เรื่องเหล้านี่ยิ่งเก่ง แต่ความสามารถด้านการดูแลจัดการฟาร์มปลายังธรรมดา


ฉินสือโอวจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญศูนย์ธรณีวิทยา ครั้งนี้ก็ไม่ฟรีแล้ว การที่ศูนย์ธรณีวิทยาจะตรวจสอบการปะทุของภูเขาไฟที่ฟาร์มปลาและทำการวิเคราะห์ก็ต้องมีคนเสียภาษีรับผิดชอบ ไม่รวมถึงการช่วยสร้างสิ่งก่อสร้างให้ฟาร์มปลา


หลังจากที่เหล่าผู้เชี่ยวชาญหารือกันเรียบร้อยและเอาไปสองหมื่นดอลลาร์แคนาดา ก็ให้วิธีจัดการวิธีหนึ่งมา นั่นคือเสริมแคลเซียมให้ฟาร์มปลา!


พูดง่ายๆ ก็คือเสริมแร่ธาตุที่ดินขาดไปให้กับฟาร์มปลาผ่านวิธีง่ายๆ บางอย่าง และต่อไปก็ต้องเสริมตลอด ใครใช้ให้พืชน้ำกับสาหร่ายโตเป็นบ้าเป็นหลังแบบนี้ล่ะ? โดยเฉพาะแนวสาหร่ายสีน้ำตาล พอพวกผู้เชี่ยวชาญเห็นก็อึ้งไปในพริบตา!


พลังโพไซดอนได้ผลกับสิ่งมีชีวิต แต่ไม่ได้ผลกับสิ่งที่ไม่มีชีวิตอย่างดินทราย ฉะนั้นเรื่องนี้จะใช้ทางลัดไม่ได้ ต้องทำแบบจริงๆ จังๆ


ส่วนจะใช้วิธีอะไรมาเสริมแคลเซียม แถบทะเลไหนต้องเสริมแร่ธาตุอะไร ต้องเสริมนานแค่ไหน เรื่องพวกนี้จำเป็นต้องวางแผนอย่างละเอียด ถ้าแค่จะซื้อแผนนี้ ฉินสือโอวก็ต้องจ่ายอย่างต่ำแสนดอลลาร์แคนาดา


ถ้าอยากให้พวกผู้เชี่ยวชาญคอยอยู่ชี้แนะ ก็ต้องใช้เงินเยอะกว่านี้


เป็นครั้งแรกที่ฉินสือโอวตั้งคำถามกับความรู้ความสามารถของตัวเอง เมื่อก่อนเขาคิดว่าตัวเองมีหัวใจโพไซดอนก็จัดการได้ทุกเรื่อง


แต่ดูท่าตอนนี้ ถ้าเขาแค่อยากจะเป็นเศรษฐี งั้นมีหัวใจโพไซดอนทุกอย่างก็เรียบร้อย แต่ถ้าเขาอยากจะเป็นโพไซดอนจะพึ่งแค่หัวใจโพไซดอนไม่ได้ เขายังต้องเข้าใจทะเลและโลกใบนี้ให้มากพอ


การจะฟื้นฟูรากฐานของฟาร์มปลาไม่ใช่เรื่องวันสองวัน ฉินสือโอวต้องรอพวกผู้เชี่ยวชาญวางแผนให้ ในช่วงนี้ฟาร์มปลาก็เป็นไปอย่างที่เคยๆ เพราะเรื่องภูเขาไฟปะทุจบลงแล้ว


ในรายงานมันอาจจะดูน่ากลัว ดินฟาร์มปลาขาดแร่นั่นนี่ แต่ที่จริงแล้วไม่ได้แย่ขนาดนั้น


ต่อให้ฉินสือโอวไม่ลงมาดู อย่างมากต่อไปการเจริญเติบโตและแพร่พันธุ์ของสาหร่ายกับพืชน้ำจะช้าลง ไม่มีทางที่ฟาร์มปลาจะถูกทิ้งร้างไปเพราะเหตุนี้ ของเสียจากปลากุ้งก็ยังสามารถเสริมแร่ธาตุให้ฟาร์มได้


แต่ว่าฉินสือโอวจำเป็นต้องดู เพราะทั้งแรงคน ทรัพย์และความตั้งใจที่เขาลงทุนไปนั้นเยอะมาก


สองวันหลังจากนั้น บัตเลอร์ก็ขับเครื่องบินมาเอาปลาส่วนหนึ่ง ในขณะเดียวกันก็เอาใบเสร็จอาหารทะเลที่ขายไปครั้งที่แล้วมาให้เขาดู พอดูว่าไม่มีปัญหาก็เอาเงินที่ได้ให้เขาไป


ทำไปทำมารายได้ปีนี้ของฉินสือโอวก็เกินสิบล้านเข้าไปแล้ว ตอนนี้แบรนด์ต้าฉินยังไม่ได้ถูกสร้างขึ้น ถ้าทำแบรนด์ของเขาให้ดังได้ล่ะก็ รายได้รายปีหลักพันล้านก็แค่เรื่องเล็กๆ


อาหารทะเลชั้นเลิศ รายได้ก็สูงลิ่วแบบนี้ เพราะฉินสือโอวไม่ได้ขายส่ง เขาอยากจะทำในแบบของตัวเอง


นอกจากจะเอาเงินกับใบเสร็จมาแล้ว บัตเลอร์ยังเอาเจ้าตัวน้อยจ้ำม่ำทั้งห้ามาให้ฉินสือโอวด้วย อเมริกันบูลลี่


ฟาร์มของเหมาเหว่ยหลงจำเป็นต้องมีหมาเฝ้าบ้าน เขาไม่ค่อยมีคนรู้จักที่แคนาดาแล้วก็ไม่เข้าใจเรื่องหมา ฉินสือโอวไม่ให้เขาไปซื้อเองเพื่อกันการโดนหลอก ตัวเขาจะช่วยหาซื้อหมาเอง


หลังจากพิจารณาแล้ว พันธุ์หมาที่ฉินสือโอวเลือกให้เหมาเหว่ยหลงมีทั้งหมดสองพันธุ์ หนึ่งคืออเมริกันบูลลี่ อีกอันคือเยอรมันเชเพิร์ด


อเมริกันบูลลี่มาจากอเมริกา ภายนอกพวกมันดูน่าเกรงขามมากเป็นหมากำยำกล้ามโต ว่ากันว่าทั้งเนื้อทั้งตัวนอกจากกระดูกก็มีแต่กล้ามเนื้อ


แต่ถึงภายนอกจะดูดุร้าย น่าเกรงขาม ที่จริงแล้วนิสัยดีมาก ซื่อสัตย์มั่นคง และสุภาพเป็นมิตร


ฉินสือโอวทำความเข้าใจมาแล้ว หมาพันธุ์นี้ขอแค่ฝึกนิดหน่อยก็จะเป็นมิตรกับเด็กมาก ข้อนี้สำคัญมากสำหรับฟาร์ม เพราะตั๋วตั่วพูดไม่เป็น ถ้าเป็นแลบราดอร์ริทรีฟเวอร์ที่ชอบแกล้งเด็กมาเล่นกับเธอก็เป็นไปได้สูงที่จะทำร้ายเธอได้


ส่วนอเมริกันบูลลี่หมดห่วงเรื่องนี้ได้ พวกมันเป็นเหมือนพี่เลี้ยง มีแต่จะรับใช้เด็กเล็ก ไม่ได้ต้องการอะไร


เจ้าตัวน้อยทั้งห้าที่บัตเลอร์เอามาเพิ่งจะหย่านม แต่ก็แข็งแรงดีแล้ว แต่ล่ะตัวล้วนจ้ำม่ำ ต่างมองสำรวจฟาร์มปลาไปรอบๆ ด้วยดวงตาโตเป็นประกายอย่างอยากรู้อยากเห็น พอวินนี่เห็นพวกมันก็ตื่นเต้นจนแทบร้องไห้


ฉินสือโอวรู้สึกว่าสถานการณ์ไม่สู้ดี ต้องรีบเอาไปให้เหมาเหว่ยหลงแล้ว ไม่อย่างนั้นวินนี่ต้องอยากเอาเจ้าพวกนี้ไว้แน่


บทที่ 697 อเมริกันบูลลี่เฝ้าบ้านตัวน้อย

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นี่คือที่จะให้เหมาเหว่ยหลงเหรอ” ฉินสือโอวนั่งยองบนพื้นแล้วชี้ไปทางอเมริกันบูลลี่ตัวน้อยก่อนจะเอ่ยปาก


อเมริกันบูลลี่ตัวน้อยทั้งห้ามองฉินสือโอวอย่างใสซื่อ พอเห็นเขายื่นนิ้วออกไป พวกมันที่เพิ่งจะหย่านมก็นึกว่าเป็นหัวนมของแม่ รีบเบียดกันเข้ามาอ้าปากกว้างแย่งกันอมนิ้วของเขา


อเมริกันบูลลี่เป็นแม่แบบสำหรับสุนัขผสมพันธุ์เทียมที่รวบรวมข้อดีของอเมริกันพิทบูล เทอร์เรียกับสแตฟเฟอร์ดไชร์ บูล เทอร์เรียร์ แต่ไม่ได้รับเอาอารมณ์รุนแรงและนิสัยดุร้ายของพวกมันมา นอกจากนั้นยังถ่ายทอดความใสซื่อในวัยเด็กของทั้งสองพันธุ์ด้วย


เหล่าอเมริกันบูลลี่ตัวน้อยหัวอ้วนกลม ฉีกยิ้มทีหนึ่ง ปากแทบจะยาวไปถึงท้ายทอย มุมปากชอบยักขึ้น พอเป็นแบบนั้นกิริยาตอนที่แลบลิ้นจึงเหมือนกำลังยิ้มอยู่ เจ้าขาสั้นอีกสี่ตัวอ้วนกลมจ้ำม่ำ ขนสั้นบนตัวนุ่มลื่นมือ น่ารักน่าชัง


อเมริกันบูลลี่ตัวน้อยที่อมนิ้วของฉินสือโอวไว้ไม่ได้ออกแรงกัด มันดูดอย่างตั้งใจ ส่วนลูกหมาตัวอื่นๆ ก็ล้อมรอบอยู่แต่ก็ไม่ได้เข้าไปยื้อแย่ง ต่างรออย่างใจเย็น ทำเอาวินนี่เอ็นดูสุดๆ


ฉินสือโอวเองก็เอ็นดูใจละลาย วินนี่ดึงแขนเขาจะเลี้ยงสักตัวหนึ่งให้ได้ แต่ฉินสือโอวมองดูเจ้าตัวน้อยข้างๆ ตัวแล้วพูดอย่างจนใจ “ผมกลัวว่าจะเลี้ยงไม่รอด”


พวกหู่เป้าฉงหลัวนั่งมองอเมริกันบูลลี่ตัวน้อยอยู่รอบๆ อย่างไม่สบอารมณ์ ในแววตาไร้ซึ่งความเป็นมิตร


ปกติหู่จือกับเป้าจือจะชอบพวกเดียวกันมาก ในเมืองเวลาที่เจอแลบราดอร์จรจัดก็จะเข้าไปทักทาย แน่นอนว่าหลังจากนั้นก็มักจะมีเรื่องกัน แต่ว่านั่นก็ไม่น่าห่วง อย่างไรเสียพวกมันก็ชอบเล่นกับพวกเดียวกันมากๆ


แต่ตอนนี้ที่อยู่ต่อหน้าอเมริกันบูลลี่ตัวน้อย ทั้งสองตัวอยากจะกระโจนเข้าไปเล่นงานพวกมันให้ได้ ส่วนฉงต้าจอมตะกละเริ่มคิดแล้วว่าจะกินแบบไหนดี กินดิบไม่สะอาดแถมรสชาติแย่อีก งั้นย่างกิน?


มองดูอเมริกันบูลลี่จ้ำม่ำ ฉงต้าก็แทบจะน้ำลายหก หมาน้อยที่เนื้อเด้งแบบนั้น ถ้าย่างคงจะอร่อยยิ่งกว่าไก่ย่างเสียอีก?


วินนี่รีบไล่พวกมันออกไป ฉินสือโอวพาอเมริกันบูลลี่ตัวน้อยไปที่บ่อน้ำพุร้อนแล้วอาบน้ำให้พวกมัน


ตามที่ผู้เชี่ยวชาญศูนย์ธรณีวิทยาทางทะเลสำรวจ ใต้บ่อน้ำพุร้อนนี้เชื่อมกับภูเขาไฟใต้น้ำ เพียงแต่มีลาวาแค่เล็กน้อยที่พ่นออกมาจากที่ตรงนั้น ดังนั้นจึงเกิดเป็นบ่อน้ำพุร้อนแต่ไม่พ่นออกมา


แน่นอนว่าหลายพันหลายหมื่นปีต่อมา ตรงนี้จะกลายเป็นภูเขาไฟอีกที่หรือเปล่าก็พูดยาก


หลังจากที่อาบน้ำให้อเมริกันบูลลี่ ฉินสือโอวถือโอกาสถ่ายพลังโพไซดอนเข้าไปในร่างของหมาน้อย พวกลูกหมาเหมือนจะรู้สึกสบายมาก นอนหยีตาร้องครางหงิงๆ อาบแดดอยู่ตรงจุดน้ำตื้นของบ่อ ดูท่าเหมือนจะหลับแล้ว


อาบน้ำจนสะอาดสะอ้าน ฉินสือโอวตัดสินใจให้เบิร์ดเตรียมเฮลิคอปเตอร์ไปแฮมิลตันแล้วเอาเหล่าหมาอเมริกันบูลลี่ไปส่งให้เหมาเหว่ยหลง ถ้าอยู่ที่บ้านต่อ เขาคาดว่าคงจะไม่ได้ส่งไปแล้วล่ะ วินนี่เริ่มคิดชื่อให้พวกมันแล้ว


สัตว์เลี้ยงในบ้านเยอะเกินไปแล้ว ฉินสือโอวดูแลไม่ไหว


อเมริกันบูลลี่ตัวน้อยต่างกับเต่าอัลลิเกเตอร์มาสเตอร์ พวกมันต้องการการดูแล ต้องการการอบรม มาสเตอร์เป็นเต่าอัลลิเกเตอร์โตเต็มวัยแล้ว เอาไปไว้ข้างนอกก็อยู่ได้ด้วยตัวเอง ฉินสือโอวแค่ให้อาหารมันก็พอ นอกนั้นไม่จำเป็นต้องดู


ฉินสือโอวบอกเหมาเหว่ยหลงแล้วว่าวันนี้จะเข้าไป ตอนที่เฮลิคอปเตอร์บินไปอยู่น่านฟ้าเหนือฟาร์มก็เห็นทุ่งบาร์เลย์สีทองและเหมาเหว่ยหลงที่ใส่ชุดทำงานสีแดง


“ฉันเอาของขวัญมาให้ ทายสิว่าคืออะไร?” พอฉินสือโอวลงมาจากเครื่องก็ไม่ได้ไปพบเหมาเหว่ยหลงในทันที แต่ย่อเข่าลงไปคุยกับตั๋วตั่ว มีทั้งพูดและภาษามือแบบง่ายๆ ตั๋วตั่วก็พอจะเข้าใจ


ตั๋วตั่วยิ้มพลางส่ายหน้าเขินๆ พลางคิดว่า ลุงฉินนี่ก็ มาทีไรก็จูบแก้มคนอื่นก่อนทุกที


ฉินสือโอวโบกมือให้เบิร์ด อีกฝ่ายอุ้มเหล่าลูกหมาอเมริกันบูลลี่ที่กำลังนอนหลับอยู่ในกล่องลงมา


อเมริกันบูลลี่น้อยโดนปลุกจนตื่นเลยลืมตาสะลึมสะลือขึ้นมามองไปรอบข้าง พวกมันไม่เข้าใจว่าทำไมนอนไปตื่นหนึ่งสภาพแวดล้อมก็เปลี่ยนไป แต่ก็ไม่เป็นไร ยังไม่ได้พัฒนาความเป็นเจ้าของถิ่น พวกมันอยู่ที่ไหนก็ได้


เห็นอเมริกันบูลลี่จ้ำม่ำตัวน้อย ตั๋วตั่วก็มีสีหน้าแปลกใจ เธอดึงมือแม่พลางชี้ไปทางหมาน้อย ดวงตาโตยิ้มจนตาหยีเป็นเส้นตรง


หลิวซูเหยียนยิ้มพลางพยักหน้าให้ตั๋วตั่วไปเล่นกับเหล่าอเมริกันบูลลี่


หมาส่วนมากมักจะชอบเด็ก ความใสซื่อของเด็กๆ สามารถนำพาความรู้สึกปลอดภัยมาให้มันได้ และอเมริกันบูลลี่ก็ถือว่าเด่นกว่าเพื่อน พวกมันชอบเด็กมากกว่า ช่วงแรกที่ฝึกก็คือเล่นกับเด็ก


เดิมทีพวกอเมริกันบูลลี่น้อยง่วงกันจะตาย นอนหมอบกรนอยู่บนพื้นหญ้า พอตั๋วตั่วเข้ามาใกล้แล้วนั่งยองลง พวกอเมริกันบูลลี่ก็ตาสว่างทันใด พวกมันล้อมเธอซ้ายขวาแล้วใช้ลิ้นสีชมพูเลียมือของตั๋วตั่ว


แน่นอนว่าจุดประสงค์ของเหล่าอเมริกันบูลลี่ตัวน้อยก็ยังคงเป็นการดูดนิ้วของตั๋วตั่ว


ตั๋วตั่วไม่เข้าใจว่าเหล่าอเมริกันบูลลี่กำลังทำอะไรจึงหันกลับมามองพ่อแม่อย่างสงสัย เหมาเหว่ยหลงหัวเราะร่าพลางโอบหลิวซูเหยียนและพูดขึ้น “แกไปอธิบายให้ลูกสาวฉันเข้าใจหน่อยสิว่าเจ้าพวกนี้ทำอะไรอยู่?”


หลิวซูเหยียนตีเขาไปทีหนึ่งแล้วว่าเขาว่าเล่นอะไรไม่รู้เรื่อง แต่ก็เข้าไปเล่นเป็นเพื่อนตั๋วตั่วกับเหล่าอเมริกันบูลลี่ตัวน้อย


เหมาเหว่ยหลงกลับเข้าไปในบ้านหาขวดนมแล้วพูดขึ้น “หลายวันก่อนเก็บบ้านแล้วเจอไอ้นี่เข้า ตอนแรกกะจะโยนทิ้งแต่ก็ไม่มีเวลาสักที ปรากฏว่าวันนี้ได้ใช้พอดีเลย”


ฉินสือโอวพูด “ลูกหมาหย่านมแล้ว แกให้พวกมันกินพวกโจ๊กเนื้ออะไรแบบนี้ได้ ผสมกับอาหารเม็ดโปรตีนสูง ไม่ต้องป้อนนมหรอก”


เหมาเหว่ยหลงพูดยิ้มๆ “ไม่มีอะไร ฉันเลี้ยงโคนมขาวดำอเมริกันพอดี ตอนที่ซื้อมาเพิ่งจะคลอดลูกได้ไม่นาน ตอนนี้มีนม จะว่าไป แกกินนมไหม? ธรรมชาติล้วนๆ ไม่ใส่สารปรุงแต่ง แกไปกอดนมแม่วัวดูดก็พอ”


“ไปไหนก็ไปเลยไป!”


ฉินสือโอวออกไปดูที่ฟาร์ม ไม่ค่อยเปลี่ยนไปเท่าไร แต่สะอาดขึ้นมาก โคนมตัวหนึ่งอยู่ในคอกตัวเดียวโดดเดี่ยว เห็นได้ชัดว่าต้องเป็นแม่วัวที่เหมาเหว่ยหลงเพิ่งจะซื้อมาแน่ๆ


หลังจากนั้นรถขยะคันหนึ่งก็ขับเข้าฟาร์มมาช้าๆ แล้วบีบแตรที่หน้าประตู มีคนคนหนึ่งยื่นหน้าออกมาจากฝั่งที่นั่งคนขับ


เหล่าอเมริกันบูลลี่ตัวน้อยได้ยินเสียงรถดังก็พากันมองไปทางประตูหน้า จากนั้นก็วิ่งไปที่ประตูภายใต้การนำของลูกหมาที่มีจุดขาวบนหัว วิ่งไปก็ส่งเสียงเล็กแหลมไปด้วย “โฮ่งๆๆๆ!”


เหมาเหว่ยหลงเห็นแบบนั้นก็พูดยิ้มๆ “เจ้าพวกนี้ก็ฉลาดเหมือนกันนะเนี่ย เล็กขนาดนี้ก็เฝ้าบ้านเป็นแล้วเหรอ?”


พวกมันพุ่งไปที่ด้านหน้ารถขยะอย่างรวดเร็ว เหล่าอเมริกันบูลลี่เงยหน้ามองเจ้าตัวโตแล้วเลียริมฝีปากเหมือนเริ่มลังเล ความสูงต่างกันจังเลย ปรากฏว่าพอรถขยะขับไปข้างหน้าอีกเล็กน้อย เหล่าหมาน้อยก็ไม่ชอบใจ เรียงแถวเป็นครึ่งวงกลมมาล้อมรถขยะไว้ก่อนจะแหกปากเห่า


ฉินสือโอวรู้สึกว่าพวกหมาน้อยช่างเชิดหน้าชูตาให้เขาจริงๆ จึงกระแอมพูด “เหลวไหล แกก็ไม่ดูเสียบ้างว่านี่เป็นหมาที่ใครเลือกให้ จะต้องเป็นสายเลือดที่เลิศที่สุดแน่อยู่แล้ว พ่อพันธุ์แม่พันธุ์ก็เหลือแค่ไม่ได้รางวัลระดับนานาชาติแล้ว”


ถ้าตอนแรกฉินสือโอวพูดแบบนี้ เหมาเหว่ยหลงต้องเชิดแน่ๆ ต่อให้เป็นเรื่องจริงเขาก็เชิดอยู่ดี แต่ตอนนี้เห็นพฤติกรรมที่ยอดเยี่ยมของพวกหมาน้อยเขาก็เลยไม่มีอะไรจะพูด ได้แต่อุทานว่า “เป็นเจ้าตัวน้อยที่เก่งจริงๆ!”


บทที่ 698 รถเมล์ชนบท

โดย

Ink Stone_Fantasy

ด้านหลังตึกเล็กในฟาร์มมีขยะกองอยู่ ฉินสือโอวกับตั๋วตั่วอุ้มพวกอเมริกันบูลลี่ออกไปเพื่อให้รถขยะเข้าไปเก็บกวาด


เหล่าอเมริกันบูลลี่เหยียดขาแบบไม่ค่อยสบอารมณ์ ยังอยากจะไปแสดงความกล้าของตัวเอง ฉินสือโอวยิ้มพลางเขกหัวรายตัวให้พวกมันอยู่บนพื้นหญ้าดีๆ เริ่มสอนบทเรียนแรกในชีวิตให้พวกมัน


คนขับรถขยะเป็นคนขาววัยกลางคนอายุประมาณหกสิบ ตอนที่เขาเตรียมตัวจะกลับเหมาเหว่ยหลงก็พูดขึ้น “จอห์นพู ตอนกลางคืนเราจะมีปาร์ตี้บาร์บีคิวและเบียร์ นายมีเวลาว่างไหม? มาร่วมหน่อยไหมล่ะ?”


คนขาววัยกลางคนพูดยิ้มๆ “แน่นอน เพื่อน แน่นอน ทุกคนก็ชอบบาร์บีคิวกับเบียร์ทั้งนั้น ต่อให้ฉันไม่ว่างฉันก็จะหาเวลามา”


รอจนคนขาวจอห์นพูกลับไป เหมาเหว่ยหลงก็อธิบายให้ฉินสือโอวฟัง “นี่คือเพื่อนบ้านทางทิศใต้ของฉัน คนในเมืองเรียกเขาว่าตาจอห์น เป็นคนมีน้ำใจมาก เขามีรถขยะคันเดียวในเมือง ฉะนั้นก็เลยจะจัดเวลามาช่วยจัดการขยะ หลายวันมานี้ขยะของทางฉันก็คือเขาที่ช่วยจัดการให้ ไม่คิดเงิน”


“โอ้โห แกเจอเหลยเฟิงแคนาดาแล้ว?” ฉินสือโอวพูดอย่างแปลกใจ


อย่าคิดว่าเขาเข้ากับคนที่เมืองแฟร์เวลได้ดีขนาดนั้น ที่จริงตอนที่เขาเพิ่งมาถึงเกาะ แม้ว่าชาวเมืองจะเป็นมิตรกับเขา แต่จะไม่ช่วยเขาทำงานฟรี เพราะคนแคนาดาต้องการผลตอบแทนเท่าเทียม ไม่ให้สิ่งตอบแทนเขา เขาจะช่วยทำไม?


เหมาเหว่ยหลงพูดยิ้มๆ “ปกติแล้วที่เขาจัดการขยะจะเก็บเงิน ฉันถือเป็นลูกค้าใหม่ เขาบอกจะให้ส่วนลดหน่อย การเก็บขยะครึ่งเดือนแรกถือเป็นการช่วย”


“แน่นอนว่าฉันไม่ได้ให้เขาช่วยฟรีๆ หลายวันก่อนฉันก็ให้พวกใบชากับของดีของจีน ฉะนั้นเขาก็เลยกระตือรือร้นขนาดนี้” เหมาเหว่ยหลงพูดเสริม


ตอนบ่ายหลิวซูเหยียนจะไปตลาดแฮมิลตันเพื่อไปซื้อของเพิ่มสำหรับปาร์ตี้ในตอนกลางคืน ส่วนเหมาเหว่ยหลงก็โทรไปเชิญคนที่รู้จักหลังจากมาที่เมือง ในขณะเดียวกันก็ยินดีให้พวกเขาพาเพื่อนมาร่วมงานด้วย


เปิดฟาร์มบวกกับทำบ้านต้องใช้เงินเยอะมาก เหมาเหว่ยหลงเลยไม่ได้ซื้อรถเสียที เจ้าของฟาร์มคนก่อนมีรถกระบะเก่าๆ  คันหนึ่งเลยใช้รถคันนั้นไปก่อน


กลายเป็นว่ารถกระบะแก่ๆ นี่ไม่ไว้หน้ากันเลย ตอนเช้าก็เสียพอดี หลิวซูเหยียนได้แต่นั่งรถเมล์ไปแฮมิลตัน เธอคนเดียวหิ้วไม่ไหวแน่ ฉินสือโอวให้ตั๋วตั่วไปเล่นเป็นเพื่อนเหล่าอเมริกันบูลลี่ ส่วนเขาก็ไปช่วย


“ไม่งั้นยืมรถสักคันดีไหม?” ฉินสือโอวถาม “พวกนายกับจอห์นพูนั่นคงจะสนิทกันใช่ไหม?”


หลิวซูเหยียนยิ้มขมขื่น “จอห์นพูไม่มีรถที่เหมาะให้เราขับหรอก นอกจากรถที่ใช้ด้านการเกษตรก็มีแต่รถขยะ บางครั้งไปทำอะไรที่แฮมิลตันเขาก็จะขับรถขยะไป”


ฉินสือโอวนับถือขึ้นมา โอ้โหพ่อคุณเล่นแบบนี้เลยเหรอ


พูดถึงความสัมพันธ์เพื่อนบ้าน หลิวซูเหยียนจนใจนิดหน่อยจึงพูดขึ้น “ตอนนี้พวกเราแค่รู้จักกับเพื่อนบ้าน ทุกคนยังไม่มีความสัมพันธ์กัน ยืมรถก็ยากหน่อย”


นั่นสิ คนแคนาดามักจะหวงรถตัวเองมาก เพราะนอกจากใจกลางเมืองแล้วแทบจะทุกที่ในประเทศนี้ก็พื้นที่กว้างคนน้อย เดินทางไปไหนก็ขาดรถไม่ได้ นอกจากนั้นถ้ายืมรถออกไปแล้วเกิดเรื่องขึ้นมาจะทำอย่างไร? ตำรวจแคนาดาสนรถไม่ได้สนใบขับขี่ ถ้ารถเกิดเรื่องพวกเขาจะไปหาเจ้าของรถ


ไม่มีทางอื่นแล้ว แบบนี้ก็เลยได้แต่นั่งรถเมล์


ที่เลือกรถเมล์แทนรถแท็กซี่ ก็เพราะนี่เป็นจุดเด่นอย่างหนึ่งของแคนาดา ต่อให้เป็นเมืองที่ห่างไกลก็จะมีบริษัทรถเมล์ของตัวเอง แต่รถแท็กซี่กลับน้อยมาก


สาเหตุที่ทำให้เป็นแบบนี้ก็เพราะที่แคนาดารถส่วนตัวกลายเป็นของจำเป็นในชีวิตประจำวันของทุกครอบครัว มีอยู่ทั่วไปเหมือนชามและตะเกียบ นอกจากในเมืองใหญ่ ส่วนมากรถแท็กซี่จะเป็นบริการนัดล่วงหน้า แถมราคาก็สูง


หลิวซูเหยียนบอกว่าที่เมืองเล็กนี้ ผู้โดยสารต้องรับภาระค่าเรียกรถประมาณราคาไปกลับ ค่าเดินทางกลับก็คิดกับผู้โดยสาร เพราะว่าเมืองชนบทในแคนาดากว้างขวางคนน้อย ขากลับคนขับแท็กซี่ไม่มีทางได้ผู้โดยสารใหม่


ฉินสือโอวถือถุงหูหิ้วตามหลิวซูเหยียนไปถนนด้านนอกฟาร์ม ถนนกว้างและตรงมาก แต่แทบจะไม่มีใครเลย ฉินสือโอวกลับเห็นกวางเรนเดียร์สองตัววิ่งเหยาะผ่านทางไปแทน


ทั้งสองคนไปยืนใต้ป้ายไม้ที่ปากทาง ฉินสือโอวนั่งรถเมล์ในชนบทของแคนาดาเป็นครั้งแรก อยากรู้อยากเห็นมากทีเดียว เขามองดูป้ายไม้ที่เขียนเบอร์ ‘0505’ ไว้ เขาถามอย่างสนใจ “ทำไมถึงมีเบอร์ด้วยล่ะ? ไม่ใช่ว่าควรจะมีชื่อสถานีเหรอ?”


“ไม่ใช่ สถานีในเมืองชนบทไม่มีชื่อสถานี ไม่เหมือนที่จีน พวกเขาใช้เลขบนป้ายสถานีแทน” หลิวซูเหยียนอธิบายอย่างใจเย็น


ฉินสือโอวพูดด้วยความประหลาดใจ “ไม่ใช่มั้ง งั้นรายงานสถานีจะทำอย่างไร? ผู้โดยสารจำเลขสถานีทั้งหมดเหรอ?”


“เปล่า คนขับจะประกาศ”


เหมาเหว่ยหลงไม่คาดหวังอะไรกับรถกระบะนานแล้ว ก่อนหน้านี้เขาซื้อบัตรรถเมล์มาเผื่อกรณีฉุกเฉิน วันนี้ก็ได้ใช้แล้ว


ราคาบัตรรถเมล์แฮมิลตันค่อนข้างแพง ผู้ใหญ่ก็ 35 ดอลลาร์แคนาดาต่อหนึ่งใบ ถ้าซื้อสิบใบในคราวเดียวลดได้ 20% นักเรียนลด 50% หลิวซูเหยียนอธิบายว่าปกติที่เคาน์เตอร์ซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยากับร้านสะดวกซื้อก็ซื้อได้


การก่อสร้างเทศบาลของแคนาดาพัฒนาไปมาก ข้อนี้ก็ติดลำดับต้นๆ ระดับโลก ดูจากรถเมล์ก็รู้ ต่อให้เที่ยวรถหนึ่งมีแค่ไม่กี่คนแต่เที่ยวรถก็ไม่ลดลง


หลิวซูเหยียนมารอรถใกล้ๆ เวลาพอดี เธอกับฉินสือโอวมาถึงที่ป้ายได้ไม่เท่าไร รถเมล์ส้มเหลืองคันหนึ่งก็ขับเข้ามา


เทียบกับรถเมล์ในจีนและในเมืองใหญ่ จุดเด่นของรถเมล์ในเมืองเล็กก็คือคันเล็ก สูงแค่รถมินิบัสในจีน แล้วที่ใช้ก็เป็นเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติที่ราคาถูกกว่า จุดประสงค์ก็เพื่อลดความดันการขนส่ง


ในรถมินิบัสคันนี้มีที่นั่งทั้งหมดเพียงสิบหกที่ เพียงแต่ที่นั่งล้วนกว้างสบาย อย่างไรก็ถือว่าให้ผู้โดยสารได้อะไรจากตั๋วราคาแพงบ้าง


ฉินสือโอวหาที่นั่งแล้วนั่งลงก่อนจะพูดยิ้มๆ “ไม่เลว ที่นั่งนิ่มดี”


หลิวซูเหยียนยิ้มให้แล้วเอ่ยปาก “นี่คือรถของ ‘บริษัทรถโดยสารหมู่ดาว’ ตั๋วรถของบริษัทนี้แพงหน่อย แต่สบายกว่า กลุ่มเป้าหมายหลักคือนักท่องเที่ยว มีหลายคนชอบนั่งรถบริษัทพวกเขามาดูวิวในเมือง”


รถขับแล่นออกไป ที่นั่งสิบหกที่ตลอดทางมีคนนั่งแค่ครึ่งคัน ฉินสือโอวมองดูทุ่งข้าวสาลี สวนผลไม้กับฟาร์มปศุสัตว์ข้างนอกอย่างสนใจ รู้สึกว่าทุกอย่างช่างแปลกใหม่


รถมินิบัสแค่ขับเข้าไปในแฮมิลตัน แต่ไม่ถึงซูเปอร์มาร์เก็ตวอลมาร์ตที่พวกเขาจะไป ดังนั้นพวกเขาก็เลยต้องเปลี่ยนรถ


ฉินสือโอวอยากเรียกรถแท็กซี่ พอเข้าเมืองรถแท็กซี่ก็เยอะแล้ว หลิวซูเหยียนพูดพลางยิ้มไปด้วย “ข้างหน้าพวกเราก็คือสถานีรถไฟฟ้ารางเบา นั่งรถไฟกันดีไหม? ไปถึงวอลมาร์ตเลย ไวกว่ารถแท็กซี่ด้วย”


ในเมื่อสุภาพสตรีพูดแล้วว่าจะนั่งรถไฟฟ้ารางเบา งั้นแน่นอนว่าฉินสือโอวปฏิเสธไม่ได้ ที่เขาอยากนั่งรถแท็กซี่ไม่ใช่เพราะลำบากไม่ได้ แต่เพราะรู้สึกว่าสะดวกกว่า ประหยัดเวลากว่า ความจำที่เขามีต่อรถไฟฟ้ารางเบา และรถไฟใต้ดินก็คือการอัดกันแน่นเป็นปลาซาร์ดีนกระป๋องตอนไปทำงานนอกสถานที่ที่ปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้


บทที่ 699 บรรยากาศสามัคคี

โดย

Ink Stone_Fantasy

แฮมิลตันเป็นเมืองเก่าแก่ สิ่งก่อสร้างสาธารณะหลายๆ ที่ก็เป็นแนวโบราณ


อย่างเช่นรถไฟฟ้ารางเบาสายนี้ที่ดูเล็กไม่สะดุดตา สร้างแบบธรรมดาเรียบง่าย ที่โถงมีหน้าต่างขายตั๋วสองที่กับเก้าอี้รอรถ บนพื้นปูกระเบื้องสีเหลืองอ่อนตัดกับขอบสีแดงสดของชานชาลาสถานี


ขอบของชานชาลาสูงกว่าที่อื่นเล็กน้อย นี่เป็นการออกแบบที่ตั้งใจมาก เป็นการเตือนผู้โดยสารที่รอรถให้ระวังทางรถไฟข้างหน้าไม่ให้ตกลงไป


คนที่นั่งรถไฟฟ้ารางเบาก็ไม่เยอะ คนไม่แน่นแล้วก็ไม่ต้องต่อแถว ต่างกับที่จีน คนแฮมิลตันน้อยแถมทุกบ้านก็มีรถ รถไฟฟ้ารางเบาก็อย่างที่หลิวซูเหยียนบอก สะดวก


รถไฟฟ้ารางเบากับใต้ดินที่จีนคนแน่นๆ ทั้งนั้น ทำไงได้ เพราะใช้ประโยชน์รถสาธารณะด้วยจุดประสงค์ที่ต่างกัน แคนาดาเพื่อความสะดวก ส่วนที่จีนเพื่อเอาไว้คลายเรื่องจราจรติดขัด


มองดูหลิวซูเหยียนนั่งอยู่ที่ที่นั่งเงียบๆ ฉินสือโอวรู้สึกชื่นชมมากกว่าเดิม ผู้หญิงบางคนแม้จะรู้ว่านั่งพวกรถเมล์หรือรถไฟใต้ดินจะไวและสะดวกกว่าพวกเธอก็ไม่นั่ง แต่ยินดีเลือกรถแท็กซี่มากกว่า ในสายตาพวกเธอการนั่งรถเมล์มันน่าขายหน้า


อย่างน้อยหลิวซูเหยียนก็ไม่ใช่คนแบบนี้ เหมาเหว่ยหลงตาแหลมทีเดียว


รถไฟฟ้ารางเบาผ่านห้าสถานีไปอย่างรวดเร็ว สถานีซูเปอร์มาร์เก็ตวอลมาร์ตก็ถึงแล้ว


ซูเปอร์มาร์เก็ตวอลมาร์ตตรงนี้เป็นหนึ่งในสองซูเปอร์มาร์เก็ตที่ใหญ่ที่สุดของแฮมิลตัน รวมลานกว้างแล้วพื้นที่รวมทั้งหมดกว่าสองหมื่นตารางเมตร ตึกหลักแบ่งเป็นชั้น ซูเปอร์มาร์เก็ตอยู่ชั้นใต้ดิน ของครบไม่มีใครเทียบ


ตอนที่เข้าซูเปอร์มาร์เก็ตก็พอดีกับที่มีหญิงผิวขาวเข็นรถเข็นเด็กพร้อมเด็กสามคนเดินตามหลังมา หลิวซูเหยียนช่วยดึงประตูเปิดให้พวกเขาเข้าไปก่อน หญิงสาวพยักหน้าขอบคุณแล้วเอ่ยปาก “ขอบคุณค่ะ”


“เป็นเรื่องที่ควรทำค่ะ” หลิวซูเหยียนพยักหน้าตอบแล้วอุทานออกมา “คุณแม่แคนาดานี่ก็ชีวิตไม่ง่ายเหมือนกันนะ”


เวลาเดินซูเปอร์มาร์เก็ตที่แคนาดามักจะเห็นคุณแม่หนึ่งคนที่พาลูกมาด้วยหลายๆ คน บางครั้งกระทั่งมีรถเข็นเด็กทารกกับเด็กเล็กอีกคันซึ่งดูกินแรงมาก


ข้อนี้ในสายตาของคนจีนไม่ค่อยเข้าใจ เด็กเล็กขนาดนั้นให้นอนอยู่บ้านก็โอเคแล้วไม่ใช่เหรอ จะเอาออกมาทำไม?


จริงๆ แล้วเหล่าคุณแม่ชาวแคนาดาก็อยากจะทำแบบนี้ แต่กฎหมายไม่อนุญาตให้เด็กที่อายุยังไม่ครบ 12 ปีให้อยู่บ้านหรือออกไปไหนมาไหนคนเดียว ถ้าตำรวจรู้ว่ามีเรื่องแบบนี้ พ่อแม่ผู้ปกครองก็อาจจะเสียสิทธิเลี้ยงดูหรือกระทั่งเข้าคุก


หลิวซูเหยียนผลักรถเข็นเข้าไปซื้อผัก ฉินสือโอวรับผิดชอบซื้อเหล้า สองคนแยกกันไปสองทาง แบบนี้ก็ไวดี


ฉินสือโอวชินกับการดื่มไอซ์เบียร์นิวฟันด์แลนด์ พอไปดูตรงโซนขายเบียร์กลับไม่มี ถึงเพิ่งนึกได้ว่าเบียร์ชนิดนี้ไม่ค่อยเป็นที่นิยมในนอกเมือง ก็เลยเลือกพวกเบียร์สดราคาสูงกับเบียร์ดำ


เครื่องดื่ม เบียร์ ไวน์แดงกับเหล้าขาว เขาก็เลือกมาอย่างล่ะหน่อย อีกอย่างส่วนมากราคาก็ไม่ธรรมดา


เพราะฉินสือโอวทำความเข้าใจมาระหว่างทางแล้ว นี่คือปาร์ตี้เพื่อนบ้านทางการครั้งแรกตั้งแต่ที่เหมาเหว่ยหลงซื้อฟาร์ม เขาก็เลยทำเพื่อนรักขายหน้าไม่ได้ เหล้าก็เลือกแต่ดีๆ อย่างไรก็ไม่ได้ขาดเงิน


ตอนที่รูดบัตรจ่ายเงิน ฉินสือโอวใช้บัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรส พนักงานแคชเชียร์มองเขาอึ้งๆ และนึกไม่ถึงเลยว่าจะเอามือถือออกมาถ่ายรูป แล้วยังขอถ่ายรูปคู่กับฉินสือโอวด้วย


ฉินสือโอวยิ้มเจื่อน แอบบ่นว่าคนคิดเงินวอลมาร์ตฝึกมาได้ไม่ดีเอาเสียเลย ถ้าเจอลูกค้าที่เรื่องมากก็แย่เลยนะ


ขากลับก็ต้องพึ่งรถแท็กซี่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงกองเหล้าแดง เหลือง ขาวของฉินสือโอว ทางหลิวซูเหยียนก็หอบพะรุงพะรังมาห้าถุง เนื้อสัตว์ ธัญพืช น้ำมัน เครื่องปรุง เยอะแยะไปหมด


รถแท็กซี่เร็วกว่ารถมินิบัสมากแถมยังไม่ต้องหยุดตามป้ายด้วย คนขับก็ชำนาญทางเลยเลือกทางที่สั้นกว่า เวลาที่ใช้กลับบ้านสั้นกว่าขามาถึงครึ่งหนึ่ง เงินนี้จ่ายได้คุ้ม


ในฟาร์ม เหมาเหว่ยหลงก็เตรียมเตาย่างบาร์บีคิวเรียบร้อยแล้ว ในสวนมีกลิ่นกาแฟลอยอบอวล ในห้องกาแฟมีคนกำลังชงกาแฟ ข้างนอกมีคนนั่งอยู่ห้าหกคนกำลังคุยและหัวเราะกันเสียงดัง


พอเห็นฉินสือโอว เหมาเหว่ยหลงเลยพาเขาไปแนะนำให้คนที่มาถึงแล้วรู้จัก นี่เป็นครอบครัวเดียวกัน ฟาร์มห่างจากฟาร์มมาเธอร์เอิร์ธไม่มาก เจ้าของชื่อว่าคาดราแมน เป็นผู้อพยพชาวเม็กซิกัน


ผ่านไปครู่หนึ่ง จอห์นพูที่เจอก่อนหน้านี้ก็พาภรรยากับหมาสก็อตติช คอลลี่ตัวโตมาด้วย หมาตัวนั้นถูกฝึกมาอย่างดี ในปากคาบกล่องเค้กมาด้วยกล่องหนึ่ง


จอห์นพูกับเหมาเหว่ยหลงกอดกันแล้วพูดอย่างอารมณ์ดี “เมียผมอบเค้กมาชิ้นหนึ่งเลยตั้งใจเอามาฝากทุกคนให้ลองชิมกันดู”


เสียงดังฟังชัดของคาดราแมนดังขึ้น “เค้กของเมียจอห์นพูฉันจะต้องกินให้ได้เยอะๆ เลย ตอนนี้ฉันยังจำรสชาติอร่อยของมันได้ เฮ้ จอห์นน้อย มานี่ มาหาฉันนี่”


ประโยคท่อนหลังเขาพูดกับเจ้าหมาคอลลี่ แต่หมาตัวนั้นไม่สนใจเขาอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่เหมาเหว่ยหลงรับกล่องเค้กมามันก็มองเหล่าอเมริกันบูลลี่น้อยที่อยู่ไม่ไกลอย่างสนใจ


แม้ว่าอเมริกันบูลลี่ยังเล็กอยู่ แต่พวกมันก็กล้าใช่เล่น สก็อตติช คอลลี่จ้องพวกมันอยู่ พวกมันก็ไม่แสดงความอ่อนแอออกมา แต่ย่นจมูกมองดูคอลลี่


ดูไปครู่หนึ่งหมาคอลลี่ก็สนใจ ก้าวเท้าออกไปอย่างสง่างามแล้วเดินเข้าไปใกล้ก่อนจะแลบลิ้นเลียอเมริกันบูลลี่ที่มีลายจุดขาวบนหัว


เจ้าลายขาวจาม ส่ายอุ้งมืออ้วนไปผลักปากของหมาสก็อตติช เจ้าหมาคอลลี่จะเลียมันให้ได้ ตั๋วตั่วเข้าไปขวางหน้าเจ้าลายขาวแล้วอ้าแขนหยุดสก็อตติช คอลลี่ไว้


เห็นแบบนั้นจอห์นพูก็พูดยิ้มๆ “ดูสิ สาวน้อยของเรากำลังปกป้องลูกตัวเองด้วย มานี่ จอห์นน้อย มานั่งข้างพ่อมา”


หมาเป็นผู้ช่วยชั้นดีของเจ้าของฟาร์ม เจ้าของฟาร์มพวกนี้ล้วนเป็นมือดีในด้านการเลี้ยงหมา ฉะนั้นก็เลยคุยกันเกี่ยวกับหมาอเมริกันบูลลี่ ฉินสือโอวเห็นว่าเหมาเหว่ยหลงวุ่นอยู่กับการปิ้งบาร์บีคิวก็เลยไปทำแทนแล้วให้เขาไปคุยกับเจ้าของฟาร์มคนอื่นๆ


ฟ้าเริ่มมืดลง คนที่มาร่วมปาร์ตี้เริ่มเยอะขึ้น แทบจะพามากันทั้งบ้านเลยทีเดียว บางคนยังพาเพื่อนมาด้วย ฉะนั้นแม้จะมาแค่หกเจ็ดบ้านแต่กลับมีคนสามสี่สิบคนทำให้ในสวนครื้นเครงขึ้นมาอย่างรวดเร็ว


คนเม็กซิกันมีนิสัยเปิดเผย ชอบบาร์บีคิวและดนตรี รถกระบะของคาดราแมนมีลำโพง เขาดึงสายไฟมาเริ่มเปิดเพลง เป็นเพลงที่เร้าใจสุดๆ ชั่วขณะนั้น คนหนุ่มในสวนก็ชูขวดเบียร์พลางส่ายร่างและร้องตะโกนไปด้วย


ฉินสือโอวกับชาร์คอยู่ด้วยกัน อย่างอื่นไม่ต้องพูดถึง เรื่องปิ้งบาร์บีคิวเป็นของถนัดอยู่แล้ว เขารับเตาย่างมาดูแลไม่นานก็มีกลิ่นหอมเนื้อย่างอบอวลขึ้นมา


เด็กๆ วิ่งมาจ้องเหม่อดูเนื้อบนเตา เหล่าอเมริกันบูลลี่ตัวน้อยก็วิ่งห่างจากตั๋วตั่ว รีบวิ่งมาล้อมหน้าล้อมหลังฉินสือโอวปากก็น้ำลายไหลไปด้วย


ฉินสือโอวหัวเราะร่า นั่งยองลงแล้วดีดหัวอเมริกันบูลลี่น้อยแล้วพูดยิ้มๆ “พวกแกเพิ่งจะหย่านมก็อยากจะกินเนื้อแล้วเหรอ? ไม่ๆๆ เร็วเกินไป ไปเล่นกับพี่ตั๋วตั่วของพวกแกไป ดูสิว่าเธอร้อนใจแค่ไหน”


ในตอนที่เขากำลังแหย่อเมริกันบูลลี่ตัวน้อย รถบีเอ็มดับเบิลยู 760 สีแดงก็ขับเข้ามา พอเห็นรถคันนั้น เจ้าของฟาร์มทั้งหลายที่เดิมทีกำลังคุยเล่นกินเหล้ากันอยู่ก็หน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีแล้วมองรถคันนั้นด้วยสีหน้าไม่พอใจ


บทที่ 700 ลงโทษอันธพาล

โดย

Ink Stone_Fantasy

บีเอ็มดับเบิลยูหยุดลง ชายผิวขาวอายุสี่สิบกว่าคนหนึ่งลงจากรถ ชายคนนั้นสวมชุดสูทที่ตัดเย็บอย่างดี ที่เท้าสวมรองเท้าหนัง ฉินสือโอวจ้องตาไม่กะพริบ นี่ก็เจ้าของฟาร์มเหรอ? อากาศร้อนขนาดนี้ยังใส่ชุดแบบนี้อีก?


แต่ก็มางานนี่นา ใส่อะไรก็เป็นการตัดสินใจของเขา อีกอย่างใส่ชุดทางการมาก็ยังเป็นการแสดงความเคารพต่อเจ้าของงานด้วย ทีแรกฉินสือโอวก็ยังรู้สึกดีกับชายผิวขาว แต่พอเขาอ้าปากเท่านั้น ทุกอย่างก็เปลี่ยน


“แม่งเอ๊ย ให้ตายเถอะ ไอ้พวกบ้านนอก!” ประโยคแรกที่หลุดออกจากปากชายคนนั้นก็คือแบบนี้ ฉินสือโอวนึกว่าตัวเองฟังผิดไป นี่มันหมาบ้าหรือไง?


ด่าออกไปประโยคหนึ่งชายคนนั้นก็ตะคอกต่ออีก “นี่ทุกท่าน ช่วยเข้าใจอะไรหน่อยได้ไหม ตอนนี้มันตอนกลางคืน! เสียงที่พวกคุณสังสรรค์กันน่ะเบาหน่อยได้ไหม? ฟาร์มของผมน่ะมีแขกพิเศษอยู่ ให้ตายเถอะ มีการอบรมกันบ้างไหม แฮมิลตันโดนพวกแกทำขายหน้าหมดแล้ว!”


จอห์นพูขมวดคิ้วมองชายคนนั้นแล้วพูดว่า “คุณลากร็องฌ์ คุณช่วยดูดีๆ หน่อยได้ไหมว่าที่นี่ที่ไหน?! นี่คือฟาร์มของเหมา พวกเราจัดปาร์ตี้กันที่ฟาร์มตัวเอง คุณยุ่งได้เหรอ?”


หมาอเมริกันบูลลี่น้อยที่ถูกฉินสือโอวดีดหัวไปกำลังโกรธ เห็นคนอื่นมากร่างที่อาณาเขตบ้านตัวเองก็วิ่งเข้าไปอย่างหัวเสียแล้วเห่าใส่ชายในชุดสูท


เจ้าลายขาวที่นำหน้าวิ่งไวที่สุด วิ่งตรงไปตรงหน้าชายชุดสูทแล้วเงยหน้าเห่าใส่เขา ชายคนนั้นนิสัยไม่ดีเห็นๆ ยกเท้าเตะเข้าไปที่หัวของเจ้าอเมริกันบูลลี่น้อยจนกระเด็น


สีหน้าของฉินสือโอวเปลี่ยนไปทันที เขาไม่รู้จักชายคนนี้ แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าเขากับเหมาเหว่ยหลงและเจ้าของฟาร์มพวกนี้มีปัญหาอะไรกัน แต่มาฟาร์มคนอื่นแล้วยังกร่างขนาดนี้ก็ล้ำเส้นไปหน่อย


ที่แย่ที่สุดก็คือไอ้นี่กล้าเตะหมาบ้านเขา? ให้ตายเถอะ ฉินสือโอวเองยังตีพวกมันไม่ลงเลย!


ฟังเสียงร้องหงิงๆ ของหมาอเมริกันบูลลี่น้อย ฉินสือโอวก็ตะโกนคุยกับเบิร์ดที่อยู่ไม่ไกล “จัดการมัน!”


หลังจากนั้นก็หันไปพูดกับเหมาเหว่ยหลงอีก “แจ้งตำรวจ! บอกตำรวจว่ามีคนบุกรุกฟาร์ม!”


เบิร์ดมองชายคนนั้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์มาตลอด พอได้ยินฉินสือโอวสั่ง เขาก็พุ่งเข้าไปทันที ชายชุดสูทเห็นท่าทีดุดันของเขาก็เกิดกลัวขึ้น ยื่นมือออกไปชี้พลางตะคอกใส่เขา “แกกล้าเหรอ…”


เบิร์ดคว้าหมับเข้าที่แขนของชายชุดสูทที่ยื่นออกมาแล้วอ้อมไปข้างหลังก่อนจะยกเท้าเตะเข้าที่หลังเข่า มือทั้งสองเคลื่อนไหวจับแขนของเขาไพล่ไว้ข้างหลัง เผชิญหน้าทีเดียวก็เล่นเอาจนชายคนนั้นโดนจับคุกเข่าร้องโหยหวนกับพื้น


“ปล่อย ปล่อยมือฉัน! ไอ้สวะ ไอ้พวกเวร! รอโดนฟ้องเถอะ แม่งเอ๊ย ฉันจะเอาให้แกบ้านแตก โอ๊ยๆๆๆ เวร! เจ็บจะตายอยู่แล้ว! ปล่อยมือสิ! เอามือของแกออกไปสิวะ…” ชายคนนั้นด่ารัวราวกับร้องแร็ป ท่าทางดุดันเอาการ


ฉินสือโอวมองไปทางเหมาเหว่ยหลงแล้วพูดขึ้น “ไอ้หมาบ้านี่ใคร?”


เหมาเหว่ยหลงตอบด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ “เขาชื่อว่าเบิร์ต ลากร็องฌ์ มีฟาร์มในเมืองเหมือนกัน แต่เอาไว้พักผ่อนโดยเฉพาะ อาชีพจริงๆ คือทนายความ ว่ากันว่ามีชื่อเสียงมากที่แฮมิลตันกับควิเบก”


ทนายก็ดีสิ ฉินสือโอวเดินเข้าไปพลางแค่นยิ้มมองที่ลากร็องฌ์แล้วเอ่ยปาก “นี่เพื่อน ดุจริงๆ เลยนะ ดุกว่ามาเฟียอีก! แต่ว่าแกมากร่างผิดที่ นี่คือที่ของเรา แกเป็นทนาย น่าจะรู้ว่าผลที่ตามมามีอะไรบ้างนี่?”


ลากร็องฌ์ในตอนนี้เจ็บจนใบหน้าบูดเบี้ยว จะไปตอบเขาได้อย่างไรล่ะ? แค่เขาอ้าปากเบิร์ดก็จะเอาแขนทั้งสองข้างที่ไพล่หลังของเขายกขึ้นเล็กน้อยจนกระดูกส่งเสียง ‘แกร็กๆ’ ลากร็องฌ์เจ็บจนร้องไม่ออกด้วยซ้ำ


สถานีตำรวจในเมืองเล็กก็มีคนเข้าเวรตอนกลางคืน ไม่นานก็มีรถตำรวจขับเข้ามาในฟาร์ม


“เกิดอะไรขึ้น? มีใครบอกผมได้บ้าง?” ตำรวจร่างผอมแห้งถามหน้าเคร่ง


จอห์พูมีคอนเนคชั่นในเมืองมากที่สุด เขาอยากเข้าไปอธิบาย แต่ฉินสือโอวแย่งพูดก่อน “เรากำลังจัดปาร์ตี้กัน ปรากฏว่าเจ้าบ้านี่ก็ขับรถบุกเข้ามา พอลงจากรถก็ด่า เตะหมาที่เราเลี้ยงไว้กระเด็นด้วยซ้ำ ผมว่าไอ้งั่งนี่คงเสพกัญชาไม่ก็ทำอะไรมาเขาถึงไม่มีสติแบบนี้!”


ตำรวจมองไปทางลากร็องฌ์ เบิร์ดปล่อยมือออก ลากร็องฌ์ร้องอวดครวญล้มลงบนพื้นหญ้าแล้วด่าออกมา “ไอ้ ไอ้เวร!”


“หยุดด่าเถอะคุณ เกิดอะไรขึ้น?” ตำรวจมองไปทางลากร็องฌ์ด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร ดูท่ากับทนายคนนี้พวกเขาก็ไม่ค่อยชอบ


ลากร็องฌ์ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา แขนห้อยอยู่ข้างลำตัวอย่างกับพิการไปแล้ว เขาตะคอกออกมา “ฉันจะแจ้งจับพวกมันข้อหาส่งเสียงดังรบกวน! ฉันจะแจ้งข้อหาทำร้ายร่างกาย! ฉันจะแจ้งข้อหารวมตัวกันอย่างผิดกฎหมาย…”


“ขอโทษทีนะครับ ตอนนี้คุณต่างหากที่ถูกแจ้งข้อหา” คุณตำรวจพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน “คุณอธิบายมาก่อนดีกว่าไหมว่าทำไมคุณถึงมาโผล่ที่บ้านของคนอื่น?”


ต่อหน้าตำรวจ ลากร็องฌ์ได้ความมั่นใจคืนมา เขาพูดว่า “เพราะผมมาเตือนพวกเขาน่ะสิ การรวมตัวผิดกฎหมายของพวกเขาสร้างเสียงรบกวนที่ดังเกินไป ร้ายแรงจนรบกวนถึงผม!”


ฉินสือโอวถามเหมาเหว่ยหลงเสียงค่อย “ฟาร์มของเจ้านี่อยู่ที่ไหน?”


เหมาเหว่ยหลงยิ้มขมขื่นแล้วชี้ไปที่ด้านหลังของตัวเองก่อนจะพูดขึ้น “ให้ตายเถอะ ซวยจนได้ มาเป็นเพื่อนบ้านกับไอ้งั่งนี่”


ฉินสือโอวอับจนคำพูด


เรื่องอื่นเขารู้ดี คนคนนี้มาหาเรื่องโดยเฉพาะ การจัดปาร์ตี้พบได้ทั่วไปในแคนาดา ต่อให้เป็นครอบครัวธรรมดาจัดปาร์ตี้ เพื่อนบ้านก็จะเข้าใจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงนี่คือในฟาร์ม ระยะห่างไกลจะตาย แม้ว่าพวกเขาจะเสียงดังไปสักหน่อย แต่พอเสียงไปถึงฟาร์มอื่นก็แทบจะไม่ได้ยินแล้ว


แต่ในเมื่อมีคนหาเรื่องก็ไม่มีทางเลือก ปีที่แล้วที่มาแคนาดาเขาเห็นข่าวข่าวหนึ่ง ในนั้นเขียนว่าผู้อพยพชาวบราซิลคนหนึ่งจัดปาร์ตี้เสียงดังเกินไปจึงถูกเพื่อนบ้านแจ้งข้อหาส่งเสียงดังรบกวน จากนั้นก็ถูกตำรวจพาตัวไปตักเตือน


ผู้อพยพชาวบราซิลคนนั้นน่าสงสารมาก ตอนนั้นเขาไม่ได้เสียงดังขนาดนั้น เอาอะไรไปหาว่าเขาส่งเสียงรบกวน? เหตุผลที่โจทก์ให้ในศาลก็คือเขาเป็นผู้ป่วยโรคประสาทอ่อน ที่บ้านเลี้ยงหมาตัวหนึ่ง หมาตัวนั้นได้ยินเสียงแล้วก็เห่าไม่หยุดจึงเป็นการรบกวนเขาอย่างมาก


ตอนนั้นฉินสือโอวอ่านข่าวนี้แล้วตกใจมาก นี่มันแถกันชัดๆ นี่? เป็นโรคประสาทอ่อนแล้วจะเลี้ยงหมาทำไม? หมาบ้านตัวเองเห่าแล้วเกี่ยวอะไรกับคนอื่น? งั้นตัวเองเลี้ยงหมาแล้วรอบบ้านก็ห้ามมีคนมาอยู่งั้นสิ?


สุดท้ายปรากฏว่าผู้ชนะคดีคือโจทก์ แม้ว่าศาลจะให้เหตุผลมากมาย แต่ที่จริงมีเพียงสาเหตุเดียว โจทก์เป็นชาวพื้นเมือง ในขณะที่อีกฝ่ายเป็นชาวบราซิลที่ไม่มีงานมั่นคง


สังคมคนขาวก็แบบนี้ การดูถูกมีอยู่ทุกที่ ฉินสือโอวชินแล้ว ฉะนั้นเขาก็เลยชอบอยู่ในสังคมเกาะแฟร์เวล คนที่อยู่ที่นั่นมีแต่ชาวประมงที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย ไม่มีการเหยียดหยามกัน


ดีที่แม้ว่าคนแจ้งจะเป็นคนขาว แต่คนขาวคนนี้ก็ไม่ค่อยมีใครชอบ ตำรวจไม่ยอมทำการสอบสวน ยืนยันจะไกล่เกลี่ยทางแพ่ง


ลากร็องฌ์ให้ตายอย่างไรก็ไม่เห็นด้วยกับการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง แถมยังจะร้องเรียนเรื่องที่เบิร์ดทำร้ายร่างกายเขาด้วย


ฉินสือโอวเห็นมันเก่งขนาดนี้ งั้นเราก็คงต้องมาคุยกันสักหน่อย เขาจะทำในแบบของตัวเอง ต้องจัดการเจ้านี่เสีย!


บทที่ 701 สัมมนาเจ้าของฟาร์ม

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เจ้านี่เป็นทนาย?” ฉินสือโอวถามเหมาเหว่ยหลง


เหมาเหว่ยหลงพยักหน้า “อืม ได้ข่าวมาว่ามีชื่อเสียงมากในควิเบก เขาไม่ใช่แค่ทนายเท่านั้น ยังมีสำนักงานกฎหมายแห่งหนึ่งด้วย ชื่อว่า ‘อิงลิชซาวด์’ อะไรนี่แหละ มีอิทธิพลนิดหน่อยในวงการกฎหมายที่ควิเบก


ฉินสือโอวแค่นหัวเราะ ด้านนี้เขาต้องขอคำชี้แนะจากเออร์บักจึงโทรไปเล่าเรื่องลากร็องฌ์ให้ฟัง


เออร์บักได้ยินชื่อนี้ก็หัวเราะออกมาแล้วพูดว่า “ลากร็องฌ์คนดื้อด้านนั่นน่ะเหรอ อันธพาลชาวอังกฤษคนหนึ่ง นายไปมีเรื่องกับเขาได้ไง? อย่าไปยุ่งกับเขานะ เขามันไม่ใช่คนดีอะไรแถมยังเป็นพวกเหยียดเชื้อชาติรุนแรงอีกด้วย!”


แบบนี้ฉินสือโอวก็เข้าใจแล้ว มิน่าล่ะไอ้งั่งลากร็องฌ์ถึงวิ่งมาหาเรื่องถึงที่ ที่แท้ก็ไม่เกี่ยวกับปาร์ตี้ ที่จริงเขาคงจะไม่ชอบขี้หน้าคนผิวเหลืองอย่างเหมาเหว่ยหลงเสียมากกว่า


ฉินสือโอวให้เหมาเหว่ยหลงโทรหาหลัวจื้อเวยเจ้าของฟาร์มคนก่อน ทีแรกหลัวจื้อเวยคุยดีมาก แต่พอได้ยินชื่อลากร็องฌ์เสียงก็หงอยไป หลังจากนั้นก็ยอมรับว่าสาเหตุที่ขายฟาร์มก็มีความเกี่ยวข้องกับเพื่อนบ้านคนนี้


ลากร็องฌ์ซื้อฟาร์มติดกันนี้เมื่อต้นปีที่แล้ว อย่างที่เออร์บักบอก เขาเป็นพวกเหยียดเชื้อชาติ พอหลังจากที่รู้ว่าเพื่อนบ้านเป็นคนผิวเหลือง ไอ้บ้านั่นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ เริ่มจากไปหาเรื่องเจ้าของฟาร์มคนก่อนที่ขายฟาร์มให้เขา หลังจากนั้นก็หาเรื่องฟาร์มมาเธอร์เอิร์ธมาตลอด


หลัวจื้อเวยอยากกลับประเทศ และอีกอย่างก็ทนพฤติกรรมของลากร็องฌ์ไม่ไหวจึงตัดสินใจขายฟาร์มในราคาถูก เหมาเหว่ยหลงที่ซวยเลยได้ราคาดี


พอทำความเข้าใจแล้วว่าเรื่องเป็นอย่างไรมาอย่างไร ฉินสือโอวก็คิดหาวิธีรับมือกับไอ้บ้านี่ เขาคุยบางอย่างกับคุณตำรวจแล้วไปหาที่เงียบๆ คุยกับลากร็องฌ์


ลากร็องฌ์มองฉินสือโอวด้วยสีหน้าบูดบึ้งแล้วแค่นเสียงพูด “ตอนนี้กลัวแล้วเหรอ? สายไปแล้ว…”


“หุบปากซะไอ้งั่ง ฉันมาเพื่อบอกแก รีบขายฟาร์มบ้าๆ ของแกไปซะ อย่ามาใกล้เพื่อนฉันมากเกินไป เข้าใจไหม?” ฉินสือโอวพูดแทรกเขา พูดไปก็ล้วงเอาบัตรอเมริกันเอ็กซ์เพรสออกมาจากกระเป๋าเงินแล้วยื่นให้เขาไปด้วย


“ดูภาพบนนั้นเสียก่อน ต้องให้ฉันช่วยส่องไฟให้ด้วยไหม? เห็นชัดหรือยังว่าเป็นรูปของใคร? แกคิดว่าแกมีสำนักงานกฎหมายก็แจ๋วมากใช่ไหม? เชื่อไหม ฉันมีเป็นร้อยวิธีที่จะทำให้แกล้มละลาย? ฉินสือโอวเริ่มคุยโว อย่างไรการโม้ก็ไม่ต้องเสียเงิน


ลากร็องฌ์จัดการปัญหาให้คนรวยโดยเฉพาะ ฉะนั้นเขาเข้าใจถึงพลังของคนรวยดี ถ้าเป็นคนรวยผิวขาวที่โชว์ของพวกนี้เขาต้องถอยแน่นอน ความจริงแล้วทนายก็เป็นนักเจรจา ไม่ชอบการหักดิบกับคู่ต่อสู้เป็นที่สุด


แต่คนผิวเหลืองไม่ได้ผล เขาไม่ถอยให้คนผิวเหลืองแน่


ฉินสือโอวมีวิธีมากมาย นี่เป็นเวลาที่ต้องใช้คอนเนคชั่นแล้ว ก่อนหน้าเขาโทรหาเออร์บัก บิลลี่ เบลคกับแบรนดอน บอกพวกเขาว่ามีเรื่องกับลากร็องฌ์ให้พวกเขาช่วยหาวิธีจัดการหมอนั่นหน่อย


ที่จริงฉินสือโอวก็ไม่อยากหาเรื่อง ถ้าลากร็องฌ์ขอโทษแล้วจากไปงั้นเรื่องก็จบตรงนี้ แต่เขารู้ดีว่าไม่มีทาง คนเหยียดเชื้อชาติอย่างลากร็องฌ์ต้องได้รับบทเรียนโหดๆ สักหน่อย ให้เขารู้ว่าคนผิวเหลืองไม่ได้รังแกกันได้ง่ายๆ  เขาถึงจะหายบ้าบ้าง


ตอนที่ใช้คอนเนคชั่นพวกนี้ ฉินสือโอวถึงรู้ว่าคอนเนคชั่นของเขายังไม่กว้างขวางพอ ต่อไปเขาจะมัวแต่หลบอยู่ในมุมไม่ได้แล้ว ต้องกระตือรือร้นที่จะออกไป ต้องขยายแวดวงเพื่อนของตัวเองออกไป


เพียงแต่ครั้งนี้คนที่ฉินสือโอวติดต่อหาก็มีแต่คนที่สนิทมากพอ พอได้ข่าวจากเขา คนพวกนี้ก็เริ่มใช้คอนเนคชั่นของตัวเองเริ่มหาเพื่อนให้ช่วย


ในไม่ช้า มือถือของลากร็องฌ์ก็ดังขึ้น พอเขารับสายสีหน้าก็เปลี่ยนไปแล้วอธิบายบางอย่างเสียงเบา


ฉินสือโอวจับมือกับตำรวจคนนั้น จากนั้นก็บอกเหมาเหว่ยหลงว่าทุกอย่างเรียบร้อย เหมาเหว่ยหลงยิ้มแล้วพูดขึ้น “ฉันเตรียมจะโทรหาพี่ไห่อยู่แล้ว เขามีเพื่อนเยอะที่ออนแทรีโอกับควิเบก”


ลากร็องฌ์รับสายติดๆ กันหลายรอบ หลังจากนั้นก็ทำหน้าหงอยบอกกับตำรวจว่ายอมรับการไกล่เกลี่ยทางแพ่ง จากนั้นก็จ้องมาทางฉินสือโอวและคนอื่นๆ อย่างเคียดแค้นเสร็จแล้วก็ขึ้นรถขับออกไป


ฉินสือโอวขมวดคิ้ว ไอ้เจ้านี้ดูจะยังไม่ยอม งั้นก็สู้กันทางกฎหมายต่อไป มาดูว่าใครจะเก่งกว่ากัน


เหมาเหว่ยหลงดึงตัวเขาไว้แล้วพูดขึ้น “ช่างเถอะๆ ก็ถือเสียว่าคืนนี้ได้ดูเรื่องสนุกๆ ไม่จำเป็นจะต้องให้เขาชดใช้ให้ได้”


ฉินสือโอวพูดอย่างหัวเสีย “แกกลายเป็นคนดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? คนแบบนี้ก็ต้องจัดการมันสักหน่อย เรื่องอะไรที่มันมาป่วนปาร์ตี้เราแล้วจะกลับไปได้โดยไม่ต้องชดใช้อะไรเลย?”


เหมาเหว่ยหลงพูดยิ้มๆ “ฉันมันคนดีมาตลอดอยู่แล้ว แกคิดว่าลูกหลานขุนนางทุกคนจะชอบหาเรื่องหรืออย่างไร? เอาเถอะ กินบาร์บีคิวกับเบียร์ของเราต่อเถอะ เขาก็ได้รับการลงโทษแล้ว ฉันเห็นเบิร์ดจัดการเขาไม่เบา”


เบิร์ดยักไหล่แล้วพูดอย่างรำคาญ “รู้อย่างนี้ ผมหักแขนเขาไปตั้งนานแล้ว”


จอห์นพูคุยกับตำรวจสองสามคำ พอไม่มีอะไรแล้วตำรวจคนนั้นก็กลับไป เหมาเหว่ยหลงเชิญให้เขาอยู่ปาร์ตี้ด้วยกัน ตำรวจตอบยิ้มๆ ว่าเขายังต้องเข้าเวรจำเป็นต้องกลับไป เพียงแต่ตอนที่กลับไปก็เอาเบียร์ขวดหนึ่งกับเนื้อย่างสองสามไม้ไปด้วย


การกลับไปของลากร็องฌ์ทำให้ปาร์ตี้กลับมาครื้นเครงอีกครั้ง คนเป็นแถบมองดูฉินสือโอวอย่างแปลกใจ จอห์นพูเองยังเดินเข้ามาพูดโดยเฉพาะ “ชาวจีนเพื่อนรัก นายเป็นคนเดียวที่ฉันเคยเจอที่จัดการลากร็องฌ์ได้ ไอ้บ้านั่นน่ะ ฉันทนมันมานานแล้ว!”


นิสัยของคนจีนค่อนข้างถ่อมตัว ก่อนหน้านี้ที่เหมาเหว่ยหลงแนะนำฉินสือโอวก็บอกว่าเป็นเพื่อนของเขา ไม่ได้พูดถึงผลงานความสำเร็จของเขา ตอนนี้จอห์นพูและคนอื่นๆ แปลกใจ เขาก็เล่าออกมาสองสามเรื่อง อย่างเช่นเป็นเจ้าของฟาร์มปลาที่ใหญ่ที่สุดในนิวฟันด์แลนด์ อย่างเช่นการกู้ภัยทางทะเลในอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์


“โอ้ พระเจ้า คุณก็คือกัปตันวีรบุรุษที่ช่วยชีวิตคนหลักร้อยคนนั้นน่ะเหรอ? ตัวแทนของพระเจ้า? ฉันก็ว่าฉันคุ้นหน้า!” คนหนุ่มผิวขาวคนหนึ่งพูดอย่างประหลาดใจ


คาดราแมนหัวเราะพลางพูดไปด้วย “ฟอร์ด นายกำลังล้อเล่นเหรอ นายรู้สึกคุ้นหน้าเขา? นายบอกกับฉันว่าคนผิวเหลืองเหมือนจะหน้าตาเหมือนๆ กันหมดไม่ใช่เหรอ?”


คำพูดนี้ออกจะเหยียดเชื้อชาติไปสักหน่อย แต่จะเคร่งมากก็ไม่ได้ ที่จริงนี่ก็เป็นประเด็นในสังคม ระหว่างเชื้อชาติมักจะมีภาวะไม่รู้ใบหน้า คนผิวเหลืองดูคนผิวขาวกับผิวดำก็จะรู้สึกว่าหน้าตาคล้ายๆ กัน เว้นแต่ว่าจะเป็นคนที่คุ้นเคยมากๆ


พอตัวตนของฉินสือโอวถูกเผย เขาก็กลายเป็นดาวเด่นของงาน คนพากันขอเขาถ่ายรูปคู่แล้วอัปลงทวิตเตอร์ของตัวเองกันเป็นแถว แม้ว่าเรื่องที่เรือฮาวิซทช่วยคนไว้จะผ่านไปนานแล้ว แต่เรื่องที่เกี่ยวข้องยังไม่จบลง ตอนนี้ฉินสือโอวมีชื่อเสียงมากๆ เลย


ปาร์ตี้จบลงอย่างมีความสุข เหมาเหว่ยหลงเริ่มเข้ากับเพื่อนบ้านได้บ้างแล้ว อย่างน้อยๆ ก็รู้พวกชื่อ และงานอดิเรกของกันและกัน


ก่อนที่คาดราแมนจะกลับ เขาบอกเหมาเหว่ยหลงว่าพรุ่งนี้จะมีงานสัมมนาเกษตรกรในเมืองที่จะจัดทุกครึ่งเดือนพอดีแล้วเชื้อเชิญให้เขาไปเข้าร่วมด้วย


“ถ้าฉินสนใจ พวกเราก็ยินดี ฉันจำได้ว่าตอนที่กินเหล้ากันนายบอกว่านายก็สนใจฟาร์มเกษตรกับปศุสัตว์ไม่ใช่เหรอ?” จอห์นพูกับเขาจับมือกัน ตอนที่แยกกันก็ออกปากเชื้อเชิญอีก


บทที่ 702 มิสเตอร์กูสผู้กล้าหาญ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เหมาเหว่ยหลงรู้ว่าฉินสือโอวก็สนใจเรื่องทำฟาร์มเกษตรก็เลยพูดตอนเก็บของว่า “พรุ่งนี้ไปร่วมสัมมนาเกษตรกรที่เมืองเอเมอรัลด์ด้วยกันไหม? แกก็มาสัมผัสวงการนี้มากๆ จะได้เข้าใจอะไรเยอะๆ”


ฉินสือโอวอย่างไรก็ได้ อย่างไรเสียช่วงนี้นอกจากร่วมทัวร์ท่องเที่ยวเยี่ยมชมสำหรับเจ้าของฟาร์มประมงเขาก็ไม่มีเรื่องอื่นต้องทำ


น่าเสียดายที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ วันที่สองตอนเช้าเขาก็ต้องรีบกลับไป ที่บ้านมีโทรศัพท์มา “เต่ามะเฟืองวางไข่ที่ฟาร์มปลาแล้ว!”


เต่ามะเฟืองไม่ค่อยมีบทบาทอะไรในฟาร์มปลา มูลค่าทางเศรษฐกิจก็ไม่สูง แต่มีความสำคัญมากกับระบบนิเวศทางทะเล พวกมันเป็นสัตว์ไม่กี่ชนิดที่สามารถควบคุมการขยายพันธุ์อย่างบ้าคลั่งของแมงกะพรุนได้ พวกมันก็เป็นลูกของท้องทะเล


ที่ฉินสือโอวคุ้มครองเต่ามะเฟืองมาจากมุมมองการทำประโยชน์ให้สาธารณะทั้งนั้น หลังจากนั้นพอมีอุดมการณ์อยากเป็นโพไซดอน ก็ยิ่งรู้สึกว่าสิ่งนี้สำคัญ


เหล่าชาวประมงรู้ดีถึงความหวงแหนที่ฉินสือโอวมีต่อเต่ามะเฟือง ดังนั้นขอแค่เต่ามะเฟืองมีปัญหาอะไรก็จะมารายงานให้เขารู้ทันที และเรื่องวางไข่แน่นอนว่าเป็นเรื่องสำคัญของเรื่องสำคัญ เพราะฉินสือโอวเคยพูดไว้ว่าดูเหมือนเต่ามะเฟืองจะไม่ชอบวางไข่ในฟาร์มปลา


พอรู้ว่าในที่สุดเต่ามะเฟืองก็วางไข่ในฟาร์มปลา ฉินสือโอวก็ดีใจยกใหญ่ ตัดสินใจกลับไปดูทันที


ปีที่แล้ว ฉินสือโอวจำกัดให้เต่ามะเฟืองอยู่แต่ในเขตฟาร์มปลา ปรากฏว่าเจ้าพวกนี้กลับหยุดการวางไข่


ก็เข้าใจได้อยู่ สิ่งมีชีวิตในธรรมชาติสามารถตอบสนองอย่างรวดเร็วเพื่อปกป้องตัวเอง อย่างเช่นงายาวของช้างแอฟริกาที่มักจะนำพาความตายมาสู่พวกมัน ตอนนี้งาของลูกช้างก็ไม่ค่อยยาวแล้ว


แล้วก็อย่างขนละมั่งที่เป็นของมีค่าในการค้าขายขนสัตว์ระหว่างประเทศมาตลอด เพราะแบบนี้ละมั่งถึงถูกตามล่า หลังจากนั้นขนของละมั่งก็ค่อยๆ หยาบขึ้นเรื่อยๆ พวกมันปกป้องตัวเองด้วยวิธีนี้


ฉินสือโอวทายได้ในตอนนั้น เต่ามะเฟืองอาจจะพบว่าตัวเองไปจากฟาร์มปลาไม่ได้ เพื่อที่จะปกป้องไม่ให้ทายาทต้องกลายเป็นทาสเลยปฏิเสธที่จะผสมพันธุ์ ไม่วางไข่ที่ฟาร์มปลา


ตอนนี้ในที่สุดเต่ามะเฟืองก็ยินดีวางไข่ในฟาร์มปลาแล้ว นี่หมายความว่าอะไรล่ะ? หมายความว่าพวกมันเห็นที่นี่เป็นฐานที่มั่นสำคัญแล้ว นี่เป็นเรื่องดี


จำนวนของเต่ามะเฟืองกำลังลดน้อยลงเรื่อยๆ ในช่วงยี่สิบปีของปลายศตวรรษที่ยี่สิบจนถึงต้นศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เนื่องจากปรากฏการณ์เอลนีโญทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลเปลี่ยนไป การทำประมงผิดกฎหมายของชาวประมง มลภาวะทางทะเล และการพัฒนาการท่องเที่ยวท้องถิ่นก็ทำให้จำนวนของมันลดฮวบลงมา 95% แล้ว


ต่อมาเพราะแต่ละประเทศต่างจัดเต่ามะเฟืองเป็นสัตว์คุ้มครอง และคุ้มครองที่อยู่ของพวกมันด้วย แต่มือสังหารใหม่ก็โผล่ขึ้นมาอีก มนุษย์โยนถุงพลาสติกลงทะเล เต่ามะเฟืองสายตาไม่ดีจึงนึกว่าเป็นแมงกะพรุนเลยก็กินเข้าไป ปรากฏว่าย่อยไม่ได้ สุดท้ายก็ลำไส้อุดตันจนตาย


ฉินสือโอวบอกกับเหมาเหว่ยหลง กินข้าวเช้าเสร็จ เขาจะนั่งเฮลิคอปเตอร์กลับไป


พอกลับถึงฟาร์มปลา วินนี่ตั้งใจมารอเขาโดยเฉพาะเลยไม่ได้ไปทำงาน พอเห็นเขากลับมาก็พูดอย่างดีใจว่า “พวกเชอร์ลี่ย์ไปเจอมา ตอนเช้าพวกเขาไปเก็บไข่ไก่ที่บริเวณเพาะเลี้ยงตามปกติ ปรากฏว่าเจอเต่ามะเฟืองขึ้นบกมาวางไข่”


ทุกปีเดือนพฤษภาคมกับมิถุนายนเป็นช่วงวางไข่ ตัวเมียต้องคลานขึ้นหาดจากทะเลมาขุดหลุมวางไข่ การวางไข่มักจะดำเนินในตอนกลางคืน และทำอย่างรอบคอบ ถ้าเจอการรบกวนจากภายนอก พวกมันก็จะกลับลงทะเลทันที


ที่เต่ามะเฟืองในฟาร์มปลาวางไข่ตอนเช้า อาจจะเพราะใช้ชีวิตอยู่ในฟาร์มมาช่วงหนึ่งเลยรู้สึกปลอดภัย ตอนเช้าก็เลยคลานขึ้นหาดมา


การวางไข่ของเต่ามะเฟืองจะทำกันเป็นกลุ่ม มีเต่าตัวเมียตัวหนึ่งนำหน้า ส่วนเต่าตัวเมียตัวอื่นๆ ก็จะคลานขึ้นหาดมาวางไข่ตามๆ กันติดกันหลายวัน


ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่1960 เคยมีเต่ามะเฟืองหนึ่งหมื่นตัวมาพักวางไข่ที่ชายฝั่งตะวันออกคาบสมุทรมลายูเขตลันตาอาบังเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์


ฉินสือโอวเคยอ่านเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตอนนั้นเป็นปรากฏการณ์เลย ช่วงนั้นหาดทรายกลายเป็นสีดำฟ้า มีแต่เต่าตัวเมียที่ขึ้นหาดมาวางไข่ทั้งนั้น


น่าเสียดายที่ปรากฏการณ์นั้นกลายเป็นตำนาน ตอนนี้เข้าฤดูวางไข่ของเต่ามะเฟืองแล้ว แต่ตามที่กรมประมงมาเลเซียประกาศ ปีนี้ยันวันนี้มีเต่ามะเฟืองแค่สามตัวมาที่เขตลันตาอาบัง แถมไม่มีตัวไหนวางไข่เลย


ถ้าไม่คำนึงถึงเรื่องปัจจัยอันตราย เวลาดีที่สุดที่จะวางไข่จริงๆ คือตอนเที่ยง เพราะไม่ว่าไข่อะไรถ้าจะฟักก็ต้องการอุณหภูมิที่เหมาะสม


หาดทรายในตอนกลางวันอุณหภูมิกำลังดี ไม่สูงเกินไปแต่ก็มีความร้อนที่มากพอ หลังจากที่ไข่เต่าถูกวางลงในทรายก็จะรักษาพลังสูงสุดไว้


เต่ามะเฟืองหนึ่งตัวเฉลี่ยแล้วสามารถวางไข่เต่าได้ร้อยฟองในฤดูวางไข่ แต่อย่างน้อยหนึ่งในสิบส่วนจะฟักตัวไม่ได้ สาเหตุก็คือตอนวางไข่อุณหภูมิไม่เหมาะสมทำให้ตัวอ่อนแข็งตาย


หลังจากที่ฉินสือโอวกลับมาก็ไปที่หาดตรงปากอ่าว ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน ดวงอาทิตย์แผดแสงอยู่จุดสูงสุด อุณหภูมิของทรายลวกเท้านิดหน่อย แต่สำหรับเต่าแล้วนี่เป็นอุณหภูมิเหมาะสมที่จะวางไข่


เต่ามะเฟืองสองสามตัวคลานขึ้นมาบนหาดติดๆ กัน พวกมันขนาดตัวต่างกัน มีความยาวตั้งแต่หนึ่งเมตรไปจนถึงสองเมตรครึ่ง


นอกจากเต่าตัวเมียแล้ว ยังมีเต่าตัวผู้หนึ่งตัวที่ขึ้นหาดมาด้วย นั่นก็คือนิโคลัส กูส


มิสเตอร์กูสลาดตระเวนไปบนหาดด้วยสเต็ปสตรีทแดนซ์ แม้ว่าตอนเดินจะสั่นไปมา แต่ก็เหมาะจะเป็นทหารยาม เพราะหัวของมันหมุนได้ไม่หยุด การเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็รอดสายตามันไปไม่ได้


ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเต่าตัวเมียพวกนี้ขึ้นบกมาเตรียมตัววางไข่ พวกมันค่อนข้างจริงจังกับการเลือกจุดวางไข่ ต้องดีต่อการฟักตัวของไข่และจะต้องไม่โดนศัตรูพบและทำลาย


เต่าตัวเมียเจ็ดแปดตัวคลานขึ้นมาตามกันแล้วก็แยกกันไปคนละทาง ต่างหาจุดเหมาะๆ ที่จะวางไข่บนหาด


ฉินสือโอวเห็นว่าพวกมันไม่ยอมขุดหลุมวางไข่เสียทีจึงเข้าใจถึงสาเหตุ เขาพาวินนี่ไปสนามหญ้าด้านหลังเพื่อหาพุ่มไม้ พอถอนออกมาทั้งรากก็เอาไปปลูกสุ่มๆ ที่หาด


อย่างที่คาดไว้ พอเจอพุ่มไม้เหล่าเต่าตัวเมียก็คลานมาอย่างดีอกดีใจ พวกมันใช้ขาหน้าที่ดูเหมือนไม้พายขุดหลุมที่หาดข้างๆ พุ่มไม้ ขุดเป็นหลุมที่ใหญ่มาก ใหญ่ประมาณขนาดตัวพอดีเสร็จแล้วก็ลงไปในหลุมนั้นทั้งตัว


พอลงไปหลบในหลุม เต่าตัวเมียก็จะจ้องไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง ขาหลังสลับกันขุดต่อไปเหมือนพลั่ว ขุดหลุมวางไข่ลึกลงไปตรงกับอวัยวะเพศหลังก้น


ตอนนี้เหล่าแม่เต่าจะวางไข่แล้ว


การวางไข่ของเต่าตัวเมียมีข้อพิเศษอย่างหนึ่ง นั่นก็คือก่อนวางไข่พวกมันจะระมัดระวังรอบคอบเป็นพิเศษ มีอะไรนิดหน่อยก็จะกลับลงทะเลทันที แต่พอเริ่มวางไข่ ไม่ว่าจะเจอการรบกวนที่แรงแค่ไหน ก็จะไม่สนใจ


เต่าอัลลิเกเตอร์มาสเตอร์ไม่รู้ว่ามาตอนไหน มันก็เคยอาศัยอยู่ที่นี่ ฉะนั้นก็เลยคุ้นเคยกับทุกอย่าง


มาสเตอร์หมอบอยู่บนหาด ทบทวนชีวิตเต่าที่ผ่านไปไวราวกับฝันไป หลังจากนั้นก็เห็นเต่าตัวเมียที่วางไข่อยู่เลยคลานเข้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น


เหล่าเต่าตัวเมียจ้องมองมาสเตอร์อย่างหวาดๆ แต่ว่ายังวางไข่อยู่ ส่วนนิโคลัส กูสก็เต้นชัฟเฟิลพุ่งเข้ามาอย่างว่องไว และตรงเข้าชนมาสเตอร์อย่างจัง!


ราวกับเรือจื้อหย่วนพุ่งชนเรือโยชิโนะของพวกญี่ปุ่น มิสเตอร์กูสไม่ลังเลสักนิด และพุ่งไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ!


บทที่ 703 ดีพีเอส

โดย

Ink Stone_Fantasy

เต่าทะเลไม่เหมือนกับเต่าน้ำจืด ขนาดตัวแทบทั้งหมดจะมีขนาดใหญ่ เต่าที่เล็กที่สุดก็คือเต่ากระ ซึ่งก็ยาวได้ถึงแปดสิบเซนติเมตร น้ำหนักหนักได้ถึงห้าหกสิบกิโลกรัม


เต่ามะเฟืองเป็นเต่ายักษ์ในหมู่เต่า พวกมันตัวใหญ่ที่สุด โตยาวได้ถึงสามสี่เมตร นิโคลัส กูสยาวไม่ถึงสามสี่เมตรแต่ก็ถึงสองเมตรครึ่ง พอมาประจันหน้ากับมาสเตอร์ ถ้าดูจากรูปร่างแล้วมันได้เปรียบอย่างแน่นอน


แต่ถ้าจะตีกันจริงๆ มิสเตอร์กูสไม่ไหวแน่ๆ รูปร่างของเต่าอัลลิเกเตอร์เทียบกับเต่ามะเฟืองไม่ได้จริงๆ แต่ว่าแต่ละตัวก็เป็นนักสู้มีฝีมือ โดยเฉพาะที่วิ่งไล่หมาหมีไปทั่วอย่างมาสเตอร์นี่ยิ่งแหย่ไม่ได้


มิสเตอร์กูสรู้ดี ฉะนั้นเวลาปกติถ้าจะขึ้นบกมาอาบแดด ถ้าเห็นเงาของมาสเตอร์ก็จะกลับลงทะเลทันทีโดยไม่หันมามองด้วยซ้ำ


แต่ครั้งนี้ไม่ได้ เต่าตัวเมียในฝูงมันกำลังวางไข่อยู่ และกำลังสืบทอดสายเลือดของพวกมัน มันไม่อนุญาตให้อะไรมาทำลายทั้งนั้น เพราะฉะนั้นก็เลยเข้าจู่โจมมาสเตอร์ก่อนเพื่อดึงความสนใจของมัน


มิสเตอร์กูสเองก็จู่โจมได้ไว ที่ว่าตัวเล็กพริกขี้หนูก็เป็นเช่นนี้ เผชิญหน้ากับเต่ามะเฟืองตัวโตที่วิ่งพุ่งเข้ามาอย่างดุดัน มาสเตอร์เหลือบมองมันอย่างใจเย็นทีหนึ่ง ร่างกายกำยำหันขวับไปครึ่งรอบอย่างรวดเร็ว หันตัวได้ก็รีบวิ่งทันที


พริบตาเดียวมิสเตอร์กูสก็คลาดสายตา มาสเตอร์หันหัวมาช้าๆ อ้าปากกว้างที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมเตรียมจู่โจม


ฉินสือโอวพุ่งตามเข้าไปคว้าหางแส้เหล็กของมาสเตอร์ไว้แล้ววิ่งกลับมาอีก มาสเตอร์โดนลากมาอยู่ข้างหลังอย่างหมดอารมณ์สนใจ ท่าทางกลายเป็นเต่าเหงาหงอย


ข้าโลดแล่นอยู่ในฟาร์มปลามาสิบกว่าวัน หู่เป้าฉงหลัวก็กัดมาหมดแล้ว ชนะเต่า นก กวาง กระรอก ในฟาร์มปลายิ่งไม่มีศัตรู ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่แอบในพงหญ้า มีลมเป็นเพื่อน โอ้โห ข้าต้องการคู่ต่อสู้ในชีวิตของข้าแต่กลับไม่มี ช่างเหงาจนยากจะทานทน


มาสเตอร์ไม่สนใจที่จะสู้กับเต่ามะเฟือง หรือต้องชนะอะไรหรอก มีสาระอะไร มันแค่อยากจะแหย่มิสเตอร์กูส แต่ฉินสือโอวไม่ให้โอกาสนั้นกับมัน ดึงหางลากมันกลับมา ขายหน้าหมด


ถ้าเป็นไปได้ มาสเตอร์อยากจะหดหัวกลับเข้ากระดองจริงๆ น่าขายหน้าสุดๆ โดนคนลากหางเลยนะ


น่าเสียดาย เต่าอัลลิเกเตอร์ไม่ใช่เต่าทะเล หัวกับขาทั้งสี่ของมันหดไม่ได้ ได้แต่ยื่นออกมาข้างนอก น่าขายหน้าอย่างจนใจ


พอไม่มีอันตราย เหล่าเต่าตัวเมียก็เริ่มวางไข่อย่างวางใจ ตอนแรกเริ่มจังหวะวางไข่ของพวกมันจะช้า ค่อยๆ วางทีละฟองด้วยความเร็วสม่ำเสมอ แต่พอเริ่มจับจังหวะได้ก็เริ่มเร็วขึ้น สี่ห้าวินาทีก็วางครั้งหนึ่ง ครั้งล่ะสี่ห้าฟอง…


นอกจากไข่เต่าที่ออกมาแล้วยังมีเมือกด้วย เมือกพวกนี้จะทำให้ทรายติดกับไข่และปกป้องไข่เอาไว้


หลังจากนั้นก็มีเต่าตัวเมียที่ทยอยคลานขึ้นหาดมาอีก ฉินสือโอวถ่ายรูปพลางนับไปด้วย ตั้งแต่กลางวันไปจนถึงตอนบ่ายสามโมง มีเต่าตัวเมียทั้งหมดสามสิบห้าตัวที่คลานขึ้นมา!


นี่เป็นตัวเลขที่น่าสนใจมาก


เริ่มตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตกดินในทิศตะวันตกก็ไม่มีเต่าตัวเมียมาวางไข่อีก มีบางตัวที่ขึ้นบกมา แต่ก็แค่มาหาจุดวางไข่


ทีแรกฉินสือโอวไม่เข้าใจจุดนี้ แต่หลังจากที่เขาอัปรูปเต่ามะเฟืองวางไข่ลงเวยป๋อก็มีชาวเน็ตที่มีความรู้ด้านนี้อธิบายให้เขาเข้าใจ


การกำหนดเพศของพวกเต่ามีอยู่สองประเภท จีโนไทป์กำหนดเพศ (GSD) และอุณหภูมิกำหนดเพศ (TSD) เต่ามะเฟืองอยู่ในหมวดหลัง เพศของลูกเต่าที่ฟักตัวสัมพันธ์กับอุณหภูมิของทรายในจุดที่ฟักไข่ ยิ่งอุณหภูมิในสภาพแวดล้อมสูง สัดส่วนลูกเต่าตัวเมียที่ฟักตัวก็ยิ่งสูง นี่ก็เป็นความอัศจรรย์ของธรรมชาติอีกอย่างหนึ่ง


สำหรับเต่ามะเฟืองที่ตอนนี้มีจำนวนลดน้อยลงเรื่อยๆ แน่นอนว่ายิ่งมีตัวเมียเยอะยิ่งดี เพราะเต่าตัวเมียก็เป็นตัวแทนของการดำรงอยู่ของเผ่าพันธุ์


หลายวันหลังจากนั้น เหล่าเต่ามะเฟืองก็ตั้งเวลาวางไข่ ตอนกลางวันสิบเอ็ดโมงถึงบ่ายสามโมง ไม่เกินช่วงเวลานี้


ยิ่งแล้วหลังเต่ามะเฟืองที่มาวางไข่ก็ยิ่งน้อย แต่รวมกันเล็กๆ น้อยๆ แล้วก็เกินร้อยตัว!


พิจารณาถึงเรื่องที่ทั้งโลกมีเต่ามะเฟืองไม่ถึงห้าพันตัว ส่วนจำนวนเต่าตัวเมียก็ไม่ถึงครึ่ง ตัวเลขนี้ก็ค่อนข้างน่ากลัว


ที่น่าสนใจก็คือ ไม่ว่าจะครั้งไหน ขอแค่เต่าตัวเมียขึ้นบกมา มิสเตอร์กูสก็จะคลานขึ้นหาดมาคุ้มครองอย่างเต็มความสามารถ แม้ว่ามันมักจะเต้นสตรีทแดนซ์ แต่ฉินสือโอวก็ยังนับถือมันในฐานะลูกผู้ชาย


เวยป๋อของฉินสือโอวมักจะโปรโมทพวกความรู้เกี่ยวกับการรักษาสิ่งแวดล้อมทางทะเล เขาอัปรูปเต่ามะเฟืองวางไข่ลงไป และเล่าถึงการขยายพันธุ์ของเผ่าพันธุ์นี้ที่ไม่ง่ายเลย หวังว่าตอนที่ทุกคนพบเจอจะสามารถปกป้องพวกมันได้


จำนวนของเต่ามะเฟืองลดฮวบ สาเหตุสำคัญก็คือเจอการไล่ล่า ในสายตาของเจ้าของฟาร์มปลาอย่างฉินสือโอวไม่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ในสายตาของบางคน พวกมันกลับมีค่าทั้งตัว


เนื้อของเต่ามะเฟืองสามารถกินได้ ว่ากันว่าอร่อยกว่าเนื้อวัวเสียอีก สารอาหารเยอะกว่า ที่ญี่ปุ่นกับอินโดนีเซียมองพวกมันเป็นอาหารชั้นเลิศมาโดยตลอด กระดองของมันเอามาตุ๋นเป็นซุปกระดูกได้ ไม่แย่ไปกว่าอาหารเสริมพรีเมียมอย่างเออเจียวและยังสามารถเสริมหยินหยางได้ มีประโยชน์ในด้านช่วยรักษาโรคขี้หลงขี้ลืม นอนไม่หลับ ตับแข็ง เลือดออกในกระเพาะรวมไปถึงโรคปอด


นอกจากนี้เท้าของเต่าก็บำรุงกระเพาะ ไต แก้ร้อนใน บำรุงสายตาได้ น้ำมันเต่าและเลือดเต่าสามารถรักษาโรคหอบหืด หลอดลมอักเสบ ไข่เต่าเป็นไข่ประเภทที่มีสารอาหารมากกว่าไข่ไก่และไข่เป็ด น้ำดีเต่ามูลค่าสูงสุดสามารถต้านมะเร็งได้!


ดังนั้นก่อนที่แต่ละประเทศร่วมกันจัดเต่ามะเฟืองเป็นสัตว์คุ้มครอง ทั้งโลกก็เคยลุกฮือขึ้นมาล่าเต่า


พูดถึงเต่ามะเฟืองก็ซวยอยู่เหมือนกัน ในยุค90เจอการไล่ล่า ศตวรรษที่ 21มลภาวะทางทะเลร้ายแรง ทุกที่มีแต่พวกพลาสติกถุงขยะซึ่งเป็นอันตรายต่อพวกมันยิ่งกว่าเดิม


ที่อยากจะปกป้องเต่ามะเฟืองไม่ได้มีแค่ฉินสือโอว อเมริกาเหนือมีองค์กรที่เป็นของสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าสากลชื่อว่าองค์กรอนุรักษ์เต่ามะเฟือง และพยายามปกป้องสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ชนิดนี้มาตลอด


ชื่อภาษาอังกฤษขององค์กรนี้ก็คือ Dermochelys coriacea rotection Society มีชื่อย่อว่า DPS (ดีพีเอส) ค่อนข้างมีอิทธิพลในเขตอเมริกาเหนือ พวกเขามีจำนวนสมาชิกเยอะกว่าเต่ามะเฟืองเสียอีก


ไต้กวงเจี้ยนก็เป็นสมาชิกขององค์กรนี้ เขาเข้าร่วมองค์กรนี้ตอนที่ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยโทรอนโตเมื่อสองปีก่อน เหตุผลก็เพราะในนั้นมีสาวๆ สวยๆ เยอะ ในตอนนั้นเขาเป็นคนโสดที่ขี้อายและเก็บตัว อยากหาแฟนฝรั่งมาตลอดก็เลยเข้าร่วมองค์กรต่างๆ


หลังจากนั้นความจริงก็พิสูจน์ว่าคนโสดขี้อายเก็บตัวเป็นได้แค่ผู้ช่วย เข้าร่วมองค์กรอะไรก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนั้นที่ทำงานอยู่ดีพีเอสก็กินแรงมาก น่าเสียดายที่ยังเอาชนะใจสาวไม่ได้อยู่ดี


แต่ไม่ได้อย่างหนึ่งก็ได้อีกอย่างหนึ่งมาแทน แม้ว่าการเข้าร่วมดีพีเอสจะไม่ได้แฟน แต่กลับได้ฝึกฝนทักษะการเข้าสังคมให้เขา ได้รู้จักเพื่อนเยอะแยะมากมาย


อีกอย่างยิ่งเข้าใจเต่ามะเฟืองมากเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบเจ้าสัตว์ตัวโตนิสัยอ่อนโยนนี้มากขึ้น นานวันเข้าเขาก็ลืมจุดประสงค์แรกที่เข้าดีพีเอส เหมือนว่าเขาอยากปกป้องสัตว์ประเภทนี้มาแต่แรก


หลังจากนั้นที่กลับบ้านไป เขาก็ติดต่อกับองค์กรน้อยลง พอกลับประเทศก็ยุ่งกับการทำงานและดูตัว นึกกลับไปในบางครั้งก็รู้สึกว่าเสี่ยวไต้ขี้อายที่ทำอาสาสมัครอย่างกระตือรือร้นคนนั้นเหมือนจะเป็นคนแปลกหน้าไปแล้ว


บางครั้งที่ตื่นจากฝันตอนเที่ยงคืน เขาก็ยังคงนึกถึงหนุ่มเก็บตัวจอมบื้อ คิดถึงเด็กหนุ่มกระตือรือร้นที่ยุ่งทั้งวันเพื่อโลกเพื่อเต่ามะเฟือง แต่ว่านั่นคือตัวเขาในตอนนี้ที่อ้าปากก็บ้านรถปิดปากก็เงินทองจริงๆ เหรอ?


บทที่ 704 นัดแรกของการรับรองฟาร์มปลา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตอนที่เห็นฉินสือโอวอัปรูปเกี่ยวกับเต่ามะเฟืองวางไข่ลงเวยป๋อ ไต้กวงเจี้ยนเพิ่งจะกลับจากดื่มกับลูกค้า เขาวิ่งไปอ้วกแตกที่ห้องน้ำก่อนแล้วก็นอนลงบนเตียงแต่นอนไม่หลับ ก็เลยหยิบมือถือขึ้นมาเล่นเวยป๋อ


และแล้วภาพถ่ายของเหล่าแม่เต่ามะเฟืองก็โผล่ขึ้นมา


เห็นเต่ามะเฟืองพวกนี้ ไต้กวงเจี้ยนก็อึ้งไปชั่วขณะ เขาพิจารณารูปถ่ายพวกนั้นอย่างละเอียด ทีละรูปๆ ข้อมูลที่คิดว่าลืมเลือนไปแล้วจู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นในหัวเขาอย่างชัดเจน!


นี่คือเต่ามะเฟืองนะ เต่ามะเฟืองที่เป็นยักษ์ใหญ่ในหมู่เต่าทะเล ทำไมถึงมีเต่ามะเฟืองตัวเมียโผล่มาวางไข่ในที่เดียวกันเยอะขนาดนี้?


ไต้กวงเจี้ยนดูรูปภาพพวกนั้นด้วยความช็อก ไม่เหมือนรูปตัดต่อ เขาอ่านดูต่อไปอีก ข้างล่างยังมีคลิปอีก เขาตื่นเต้นลุกขึ้นมาทันใดจนเอวเคล็ด…


เขาประคองตัวเองลุกขึ้นมาพร้อมกับเอวที่ปวดอยู่ ไต้กวงเจี้ยนเปิดรายชื่อผู้ติดต่อในโทรศัพท์ หาเบอร์เหล่าเพื่อนๆ  ที่สนิทตอนนั้นที่ยังอยู่ในดีพีเอส แล้วโทรไปหาแต่ละคน แล้วยังส่งข้อความเวยป๋อไปหาพวกเขาด้วย


ดังนั้นตั้งแต่เช้าโทรศัพท์ของฉินสือโอวก็ดังขึ้น เขาไม่ชอบพกโทรศัพท์ตอนออกกำลังกายตอนเช้า วิ่งเสร็จต่อยมวยจบกลับมาก็เห็นเชอร์ลี่ย์กำลังกอดหลัวปอนั่งอยู่ที่มุมเครื่องดื่มเย็นพลางชูมือถือของเขาไปด้วย ใบหน้างามทำสีหน้าลึกลับ


“มีอะไรเหรอ?” ฉินสือโอวถามยิ้มๆ


เชอร์ลี่ย์กระดิกนิ้ว รอจนฉินสือโอวมาอยู่ข้างๆ ตัวเธอจึงพูดเสียงเบา “คุณมีกิ๊กข้างนอกหรือเปล่าเนี่ย?”


ฉินสือโอวพูดด้วยความอึ้ง “เธอพูดอะไรมั่วๆ ทำไมถึงคิดแบบนี้ล่ะ?”


ความคิดของเด็กที่เกิดปีสองพัน ตอนนี้เขาล่ะไม่เข้าใจจริงๆ


เชอร์ลี่ย์ยื่นมือถือให้เขาแล้วพูดอย่างจนใจ “นอกจากกิ๊กของคุณ หนูก็คิดไม่ออกว่าจะยังมีใครอีกที่โทรหาคุณติดๆ กันตั้งสี่สิบสาย!”


พอฉินสือโอวดู จริงด้วย บนหน้าจอขึ้นสายที่ไม่ได้รับเป็นแถบ ถ้าไม่ได้มาจากโทรอนโตก็มาจากออตตาวา เป็นสายที่มาจากเมืองใหญ่ทั้งนั้น


“ฮัลโหล?”


“คุณฉินสือโอว? ผมคือโปรโมเตอร์ของดีพีเอสหูจื้อหย่วน ฟาร์มปลาของคุณมีเต่ามะเฟืองเหรอครับ?”


“ดีพีเอสคืออะไร? โรงแรมไหนหรือเปล่า? เต่ามะเฟืองผมไม่ได้มีไว้ขายนะ” ฉินสือโอวพูดน้ำเสียงกระด้าง


คนปลายสายนิ่งไปครู่หนึ่ง อับจนคำพูดไปชั่วขณะ จากนั้นค่อยพูดเสียงอ่อน “ดีพีเอส Dermochelys coriacea Protection Society ผมเป็นสมาชิกองค์กรคุ้มครองเต่ามะเฟือง เกี่ยวอะไรกับโรงแรมล่ะครับ?”


พอได้ยินว่าเป็นสายจากองค์กรคุ้มครอง ฉินสือโอวก็ยิ่งไม่สนใจ “เฮ้ เพื่อน ผมเข้าใจจุดประสงค์ของคุณนะ คุณอยากจะบอกผมว่าผมไม่ควรเลี้ยงเต่ามะเฟืองใช่ไหม? ขอโทษที ผมไม่ได้เลี้ยงพวกมันหรอก เต่ามะเฟืองในฟาร์มผมมันมาเองทั้งนั้น อีกอย่างผมอาจคุ้มครองพวกมันได้ดีกว่าพวกคุณด้วยซ้ำ ถ้าพวกคุณอยากจะปกป้องพวกมัน งั้นก็ไปทำความสะอาดทะเลดีๆ…”


เขาพล่ามไปเยอะ หูจื้อหย่วนคนนั้นก็พยายามหาจังหวะพูดแทรกจนได้ แล้วจึงพูดอย่างเหนื่อยใจ “ที่ผมโทรมาเพื่อแค่อยากจะขอบคุณคุณเท่านั้นเอง”


ฉินสือโอว “…”


ที่จะขอบคุณฉินสือโอวไม่ได้มีแค่หูจื้อหย่วนเท่านั้น ในวันนั้นก็มีสมาชิกองค์กรดีพีเอสในเซนต์จอห์นมาที่ฟาร์มปลา หลังจากที่พวกเขาเช็คมูลความจริงของข่าวเต่ามะเฟืองก็มาขอบคุณฉินสือโอวยกใหญ่


ฉินสือโอวรับคำขอบคุณด้วยรอยยิ้มขมขื่นก่อนจะรู้สึกว่าตัวเองหาเรื่องจริงๆ ไม่น่าอัปข่าวเรื่องเต่ามะเฟืองลงเวยป๋อเลย คราวนี้ล่ะครึกครื้นแล้ว


ครึกครื้นจริงๆ หลังจากนั้นหูจื้อหย่วนที่โทรหาเขาสี่สิบกว่าสายก็มาด้วย ฉินสือโอวฟังชื่อแล้วนึกว่าเขาเป็นคนเวียดนาม ปรากฏว่าเขาเป็นคนจีนแท้ๆ แล้วยังเป็นประธานดีพีเอสรุ่นนี้ด้วย ถือเป็นคนมีอิทธิพลที่มหาวิทยาลัยโทรอนโต


หูจื้อหย่วนมาฉินสือโอวก็ต้องต้อนรับ เรื่องที่เป็นประธานดีพีเอสเป็นเรื่องโม้ แต่เขาเป็นศิษย์สุดภาคภูมิบนเรือวิจัยคนแรกของบาลซัก ก็ต้องต้อนรับเป็นพิเศษหน่อย


อย่างไรก็ตามบาลซักก็ทิ้งรายงานการประเมินค่าที่สุดยอดไว้ให้ฟาร์มปลาต้าฉิน รายงานชุดนี้ยังไม่มีบทบาทอะไร แต่รอจนต่อไปแบรนด์ต้าฉินดังขึ้นมา มันก็จะมีประโยชน์


หูจื้อหย่วนเป็นชายหนุ่มอวบอ้วนอายุยี่สิบเจ็ดปี ตาเล็ก จมูกใหญ่ ริมฝีปากใหญ่ หัวโต คอหนา ดูไม่เหมือนคนหนุ่มที่ทำวิจัย


พอเจอหน้าก็แนะนำกันให้รู้จัก ฉินสือโอวพูด “สวัสดีๆ ผมว่าคุณเหมือนดาราจีนคนไหนน่ะ…”


“เฉินหลง?”


“ไม่ใช่ ฟ่านเต๋อเปียว!”


“…”


เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม พอมาถึงแคนาดา ฉินสือโอวไม่สนใจพวกกลุ่มวิจัยแห่งชาติกับคณะผู้แทนแล้ว เพราะมันไม่เหมือนกับในประเทศจีน ฟาร์มปลาเป็นสมบัติส่วนตัว จะตรวจทรัพย์สินฉัน นอกจากจะต้องขออนุญาตจากฉันแล้วยังต้องขอบคุณฉันด้วย


เพราะฉะนั้นเขาต้อนรับหูจื้อหย่วน เพราะเห็นแก่ที่บาลซักเคยช่วยไว้ ที่จริงเขาไม่ค่อยใส่ใจมาก เพราะเขายังต้องกินข้าวกับผู้จัดการทั่วไปเซี่ยงเฮ่าอีก


พอเซี่ยงเฮ่าเห็นฉินสือโอวก็กลอกตาปะหลับปะเหลือก “น้องฉิน คุณนี่เป็นคนยุ่งจริงๆ ยุ่งกว่าผู้จัดการทั่วไปอย่างผมอีก!”


หลังจากผ่านเรื่องขัดแย้งกับเบิร์ต ลากร็องฌ์ที่ฟาร์มของเหมาเหว่ยหลง ฉินสือโอวก็เริ่มเปลี่ยนนิสัย สำหรับคนมีพลังอย่างเซี่ยงเฮ่าก็ควรเชื่อมสัมพันธ์ไว้หน่อย


ปกติเซี่ยงเฮ่าจะเข้าออกเมือง ฉินสือโอวก็ไปปีนเทือกเขาเคอร์บัลเป็นเพื่อนเขา ล่าหมูป่าได้หนึ่งตัวกับกระต่ายและไก่ป่าสองสามตัว ทำเอาเขาดีใจยกใหญ่ สัญญาว่าจะรีบส่งชุดรถดับเพลิงจรวดมาโดยเร็วที่สุด


กลับมาถึงฟาร์มปลา หูจื้อหย่วนก็มา เขาพูดกับฉินสือโอวว่า “คุณฉิน ผมดูฟาร์มปลาของคุณอย่างละเอียดแล้ว จำนวนเต่ามะเฟืองที่นี่ไม่น้อย ประมาณคร่าวๆ ไม่ต่ำกว่าร้อยตัว!”


ฉินสือโอวแอบพูดในใจว่าคุณตาฝาด แค่เต่าตัวเมียที่นี่ก็ไม่ต่ำกว่าร้อยตัว ยังมีลูกเต่าที่มองไม่เห็นอีก


แน่นอนว่าคำพูดพวกนี้ฉินสือโอวพูดไม่ได้ เขาพูดตามมารยาทไปสองสามคำ รอคอยคำพูดต่อมาของหูจื้อหย่วน


เป็นอย่างที่คิด หลังจากนั้นหูจื้อหย่วนยังมีอะไรจะพูดต่อ “ไม่รู้ว่าคุณรู้เรื่องสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าสากลไหมครับ? เข้าใจถึงระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าไหม?”


ฉินสือโอวไม่ค่อยรู้มาก โดยเฉพาะเขาเป็นพวกที่ไม่เคยได้ยินระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า


หูจื้อหย่วนไม่ได้พูดถึงสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าสากลมาก เขาตั้งใจแนะนำระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าโดยเฉพาะ “ระเบียบนี้อเมริกาเป็นผู้เสนอก่อน ตอนนี้แคนาดาก็เริ่มแล้ว จุดประสงค์ก็เพื่อปกป้องที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า เรื่องนี้สามารถไปรับรองได้”


“รับรอง?” ฉินสือโอวถามอึ้งๆ “เต่ามะเฟืองมีที่อยู่อาศัยที่ไหน? พวกมันเป็นสัตว์ที่ตระเวนไปทั่วโลก?”


“แต่พวกมันมีที่วางไข่นี่ คาบสมุทรมาเลเซีย หาดกายอานา หมู่เกาะเวสต์อินดีส หาดพลายากรันเดของคอสตาริกา พวกนี้คือสี่จุดวางไข่หลักของเต่ามะเฟือง เป็นสี่จุดที่รับรองแล้ว แต่ปีนี้ดูท่าจำนวนเต่ามะเฟืองที่วางไข่ที่นั่นจะไม่เยอะเท่าฟาร์มปลาของคุณ ทำไมไม่ทำการรับรองเสียล่ะ?”


บทที่ 705 กิจกรรมเที่ยวชมเริ่มขึ้นแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฉินสือโอวไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้จึงขอคำชี้แนะจากหูจื้อหย่วน ถามเขาว่าการรับรองมีข้อดีอย่างไร


หูจื้อหย่วนพูดอย่างภาคภูมิใจ “ข้อดีมีเยอะแยะ ถ้ารับรองสำเร็จ อย่างแรกเลยคุณจะได้กองทุนคุ้มครองแหล่งที่อยู่อาศัยที่รัฐบาลให้การสนับสนุน นอกจากนั้นความปลอดภัยของฟาร์มปลาคุณยังเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิมด้วย ตำรวจนิวฟันด์แลนด์จะเพิ่มฟาร์มปลาของคุณลงในขอบเขตการป้องกันที่สำคัญ โทรไปครั้งเดียวพวกเขาก็จะนั่งเฮลิคอปเตอร์ออกมาหาคุณที่นี่เลย”


“ที่สำคัญที่สุดคือ คุณสามารถยื่นขอตั้งเรนเจอร์กองกำลังพิทักษ์ชาตินิวฟันด์แลนด์ได้!”


พอได้ยินข้อสุดท้าย ฉินสือโอวก็มองหูจื้อหย่วนด้วยความตกใจ เขาอยากจะถามว่าเจ้านี่บ้าไปแล้วหรือเปล่า ตั้งกองกำลังพิทักษ์ชาติในอาณาเขตแคนาดาก็คงโดนกองทหารกษัตริย์แคนาดาสั่งสอนเอาน่ะสิ?


แต่หลังจากที่ฉินสือโอวเข้าไปหาในอินเทอร์เน็ตก็พบว่าหูจื้อหย่วนไม่ได้พูดมั่วซั่ว ที่เขาพูดมามีโอกาสเป็นไปได้จริงๆ!


เรื่องนี้ต้องแบ่งพูดถึงสองประเด็น พูดถึงระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าก่อน ตามหลักการแล้วมันถูกเสนอโดยสมาคมอนุรักษ์สัตว์ป่าสากล จุดประสงค์เพื่อปกป้องที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าที่ถูกรุกล้ำมากจนเกินไป


การทำให้สัตว์ป่าสูญพันธุ์มีสองทาง หนึ่งคือทำลายอาหารของพวกมัน สองคือทำลายที่อยู่อาศัยของพวกมัน


ส่วนอเมริกาก็กำหนดระเบียบนี้ขึ้นก่อนใครเพื่อแสดงถึงความมีคุณภาพ ความเมตตาและความรับผิดชอบของตัวเอง


ทุกคนรู้ดีว่าแทบทุกบ้านในอเมริกาล้วนมีปืน เพราะฉะนั้นการจะปกป้องที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านั้นไม่ง่ายเลยและยังอันตรายมาก ดังนั้นทำเนียบขาวเลยตัดสินใจอย่างเด็ดขาดโดยการตั้งกฎว่าพอถึงเขตที่อยู่อาศัยสัตว์ป่าที่กำหนดไว้ก็สามารถพาทีมกองกำลังพิทักษ์ชาติเข้าไปได้ตามโควตา


กองกำลังพิทักษ์ชาติเรียกง่ายๆ ว่าเป็นอาสาสมัครของรัฐบาลกลาง เป็นกำลังหนุนสำคัญของกองทัพอเมริกัน ซึ่งก็คือองค์กรที่โดนจอห์น แรมโบ้อัดจนเละในหนังหลายๆ เรื่องอย่างแรมโบ้ นักรบเดนตาย 1


โดยปกติในหนังฮอลลีวูด ทหารอเมริกันมักจะเป็นฝ่ายร้าย ที่จริงพวกกองกำลังติดอาวุธของรัฐต่างๆ แม้จะไม่แข็งแกร่งมากพอ แต่พวกเขาก็เก่งพอตัว


แคนาดาตอนนี้เป็นลูกกะจ๊อกแสนซื่อสัตย์ของอเมริกา ในเมื่อลูกพี่ออกระเบียบคุ้มครองนี้มา งั้นเราก็ไม่มีเหตุผลที่จะไม่ออกนี่


แต่ที่ทำเอาคนงงเป็นไก่ตาแตกก็คือ ไม่รู้ว่ารัฐบาลขี้เกียจหรืออยากจะปกป้องที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าจริงๆ นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะยกเอากฎของอเมริกามาทั้งหมด ดังนั้นในเขตที่อยู่อาศัยของพวกเขาจึงสามารถตั้งกองกำลังพิทักษ์ชาติได้เหมือนกัน


แล้วก็มาพูดเรื่องข้อที่สอง กองทหารอาสาสมัครของแคนาดา


ผู้ปกครองในนามของแคนาดาคือราชินีอังกฤษ ดังนั้นกำลังทหารและอาวุธของพวกเขาก็ล้วนอาศัยราชวงศ์อังกฤษทั้งสิ้น ยกอย่างเช่นพวกตำรวจม้าแคนาดาเป็นต้น


แต่แคนาดามีทหารอาสา แค่คนทั่วไปไม่รู้เท่านั้นเอง


ระบบทหารอาสาของแคนาดาสืบทอดกันมานาน แล้วยังกล้าหาญมากด้วย กล้าหาญถึงขั้นไหนน่ะเหรอ? ปี 1812 อเมริกากับแคนาดาเปิดศึกกัน ทหารอเมริกาจึงบุกเข้าแคนาดาหมายจะตีให้แตก แต่ปรากฏว่าตอนนั้นกลับโดนกองทหารอาสาแคนาดาที่รวมกลุ่มโดยชาวอังกฤษเล่นงานเข้าไป!


นั่นคือการเล่นงานของจริง ครั้งเดียวที่เมืองหลวงวอชิงตันถูกตียึดในประวัติศาสตร์อเมริกาก็เป็นฝีมือของทหารอาสาแคนาดา ชาวอังกฤษแสนห้าวหาญที่เป็นผู้สนับสนุนพระมหากษัตริย์ไม่ได้แค่ยึดเมืองหลวงของอเมริกาเท่านั้น พวกเขายังเผาทำเนียบขาวด้วย!


เรื่องนี้เป็นความอัปยศระดับชาติของอเมริกา หลังจากที่อเมริกากลายเป็นผู้นำของโลกก็สั่งสื่อทั้งหลายไม่ให้แพร่งพรายเรื่องนี้ออกไป พูดถึงแล้วก็ขายหน้าจริงๆ


ถ้าไม่ใช่เพราะตอนนั้นกองทัพเรืออเมริกาเคลื่อนเข้ามาตัดทางหนีที่ไล่ของทหารอาสาแคนาดาในยามวิกฤติอย่างกล้าหาญ อเมริกาอาจจะล่มสลายไปตั้งแต่ปี 1812 แล้วก็ได้


หลังจากนั้นแคนาดากับอเมริกาก็กลายเป็นคู่หูที่สนิทสนมกันตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ยี่สิบ โดยเฉพาะหลังจากผ่านสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและสอง เพื่อไว้หน้าอเมริกา แคนาดาจึงปลดกองทหารอาสาออกไป


แต่หลังจากที่ปลดกองทหารอาสาไปไม่เท่าไร โซเวียตในฐานะที่เป็นยักษ์ใหญ่อันดับสองก็โผล่มา เรื่องวุ่นวายจึงตามมาทันใด


ตอนนั้นโซเวียตกับอเมริกายังห่างกันพอควร แต่กับแคนาดาก็แค่อะแลสกากั้นเท่านั้น ถ้าเกิดรัสเซียกับอเมริกาเปิดสงครามกันขึ้นมา งั้นแคนาดาก็จะกลายเป็นไส้ที่อยู่ตรงกลาง


เพื่อป้องกันการคุกคามของคนโซเวียต หรือเพื่อที่จะมีคนรายงานตอนที่โซเวียตคุกคาม รัฐบาลแคนาดาเลยตั้งกองทหารอาสาขึ้นมาอีกครั้ง ซึ่งก็คือหน่วยเรนเจอร์แคนาดาที่ทุกวันนี้ไม่ค่อยมีชื่อนั่นเอง


หน่วยเรนเจอร์แคนาดาเป็นองค์กรอาสาติดอาวุธ สมาชิกหลักคือชนพื้นเมืองเอสกิโมที่อาศัยอยู่ทางตอนเหนือ หน้าที่ของพวกเขาคือปกป้องแคนาดา และสิทธิ์ถือครองดินแดนด้วยการมีตัวตนของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็มีหน้าที่ซุ่มดูไปด้วย


เทียบกับทหารอาสาอเมริกา ทหารอาสาอเมริกาเหมือนกับกองโจร พวกเขามีความสามารถในการขับเรือและเอาตัวรอด แต่ไม่ติดอาวุธหนัก และจนถึงวันนี้ก็ก่อตั้งมาได้ครึ่งศตวรรษแล้ว แต่พวกเขาไม่เคยไปลาดตระเวนในบริเวณที่ไกลบ้านเลย


อาจเป็นเพราะเหตุนี้จึงทำให้รัฐบาลแคนาดาไม่ค่อยเห็นความสำคัญของทหารอาสา กระทั่งให้สัญญาแบบเดียวกับอเมริกา ถ้าเขตบ้านใครยื่นขอเป็นที่อยู่สัตว์ป่าหายากได้สำเร็จก็จะสามารถจัดตั้งทหารอาสาได้


สำหรับฉินสือโอวแล้วการได้ทหารอาสามีข้อดีอะไรบ้างน่ะเหรอ? นั่นก็คือเขาสามารถพูดอย่างเปิดเผยได้ว่าเรือกำปั่นทะเลของเขาเป็นของฟาร์มปลาตัวเอง นอกจากนี้เหล่าชาวประมงบ้าพลังในฟาร์มปลาก็สามารถแบกปืนไปในที่สาธารณะได้ด้วย


ถ้าฉินสือโอวยื่นให้ฟาร์มปลาเป็นที่อยู่เต่ามะเฟืองจริง ก็จะเหมือนกับแต่ก่อนที่เขาเคยโม้เอาไว้ ถ้ามีคนกล้ารังแกฉินสือโอว เขาแค่โทรทีเดียว ทหารเต็มคันรถก็จะบึ่งมาทันที…


ฉินสือโอวสนใจเรื่องนี้มาก เขารีบไปหาพวกเออร์บักกับชาร์ค เบิร์ด และนีลเซ็นเพื่อปรึกษาหารือเรื่องยื่นขอเป็นที่อยู่เต่ามะเฟืองตามระเบียบว่าด้วยการคุ้มครองแหล่งที่อยู่อาศัย


เรื่องแบบนี้จะเร่งรีบไม่ได้ เออร์บักเอาข้อมูลเกี่ยวกับฟาร์มปลาและฝูงเต่ามะเฟืองมาคิดสถิติ จากนั้นก็แจกแจงส่งไปให้สมาคมคุ้มครองสัตว์ป่านานาชาติและรัฐบาลแคนาดา หลังจากนั้นพวกเขาก็จะส่งคนมาตรวจ พอลงความเห็นว่าได้มาตรฐานแล้วถึงจะยื่นขอเป็นที่อยู่อาศัยได้


ผ่านไปพริบตาเดียวสุดสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมิถุนายนก็มาถึงแล้ว ฉินสือโอวก็ต้องไปเข้าร่วมกิจกรรมเที่ยวชมของเจ้าของฟาร์มปลาเป็นเวลาห้าวันแล้ว


เพราะเขาเคยรับปากว่าจะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลโดยการพาเจ้าของฟาร์มปลาไปร่วมกิจกรรมในครั้งนี้ เขาเลยโทรหาพวกเจ้าของฟาร์มปลาอย่างโดนัลด์ บราวน์ แอนดรูว์ ทัคเกอร์ที่รู้จักกันตอนกิจกรรมประท้วง


เออร์บักพูดไว้ไม่ผิด ตอนนี้ตัวเขามีอิทธิพลในหมู่เจ้าของฟาร์มปลามาก ผู้คนจึงค่อนข้างนับถือ โทรไปทีเดียวทั้งสองคนก็ตกลงไปร่วมกิจกรรมทันที อีกทั้งยังรับปากจะพาเจ้าของฟาร์มปลาที่รู้จักไปร่วมกิจกรรมด้วย


ในมือเขามีเอกสารที่เลขาของแมทธิว จินเตรียมมาให้เจ้าของฟาร์มปลาเพื่อที่จะแสดงความเคารพ หลังจากที่แนะนำตัวเสร็จแล้ว นอกจากพวกที่ไม่มีเวลาหรือไม่สนใจเขา นอกนั้นก็ตกลงมาร่วมกิจกรรมกันหมด


จุดนัดพบของกิจกรรมคือโรงแรมสี่ดาวแห่งหนึ่งในเซนต์จอห์น วันที่กิจกรรมเริ่มในปลายเดือนมิถุนายน ฉินสือโอวก็รีบพานีลเซ็นไปด้วยแต่เช้า


บทที่ 706 กับดัก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ครั้งนี้จะเดินทางกันห้าวัน ฉินสือโอวไม่สามารถพาเบิร์ดไปด้วยได้ เพราะที่บ้านต้องมีคนขับเครื่องบิน ก็เลยให้เบิร์ดขับเรือพาเขาไปส่งที่เซนต์จอห์น จากนั้นตัวเองก็ไปโรงแรม


รัฐบาลแคนาดายังคงให้ความสำคัญกับการเพิ่มกำไรและลดค่าใช้จ่าย กิจกรรมเที่ยวชมครั้งนี้จัดเพื่อเจ้าของฟาร์มปลาโดยเฉพาะ โดยมีแมทธิว จินเป็นผู้นำกลุ่มเอง เหล่าเจ้าของฟาร์มปลาไม่สามารถพาเพื่อนมาด้วยได้ มาร่วมได้แค่คนเดียว


ฤดูร้อนของเซนต์จอห์นค่อนข้างมีสีสันทีเดียว ตอนเช้าอากาศไม่ร้อน อาทิตย์ขึ้นจากทะเลทางด้านทิศตะวันออก ย้อมเมืองเล็กแห่งนี้ด้วยแสงอาทิตย์สีแสด ดูมีชีวิตชีวา


เพื่อที่จะอำนวยความสะดวกให้เหล่าเจ้าของฟาร์ม ฟาร์มปลาไม่ห่างจากท่าเรือเท่าไร ฉินสือโอวไม่ได้มาเดินเที่ยวในเมืองเล็กมานานแล้ว ก็เลยไม่ได้เรียกรถแท็กซี่ แบกเป้ลากกระเป๋าเดินทางอย่างกับคนงานที่เพิ่งมาถึงเซนต์จอห์น เดินไปตามข้างถนนช้าๆ


เซนต์จอห์นแทบจะไม่มีอุตสาหกรรม มีแต่การประมงและการเกษตร มีพื้นที่สีเขียวเยอะมาก เดินสามก้าวก็เจอสวนดอกไม้ ห้าก้าวก็เจอสวนสาธารณะ บางที่ก็ดูเหมือนป่า ในเมืองยังมีกระต่ายป่าโผล่ออกมาด้วย ที่จีนนี่จินตนาการไม่ออกเลย


เซนต์จอห์นมีคนทำความสะอาดเยอะมาก เงินเดือนก็ไม่แย่ เพราะพวกเขาไม่แค่ต้องรับผิดชอบกวาดถนน ยังต้องจัดการสัตว์ป่าที่โผล่ออกมาในเขตที่ตัวเองรับผิดชอบ อย่างเช่นหนู ซึ่งที่แคนาดามีหนูเยอะมาก


เดินไปตามถนนเซนต์แบลส ฉินสือโอวก็สัมผัสได้ถึงจังหวะชีวิตของเมืองเล็กซึ่งช้ามาก ไม่ว่าจะเป็นคนแก่หรือหนุ่มสาวก็ล้วนเดินไปตามทางช้าๆ มีบางคนที่ออกมาวิ่งออกกำลังกายตอนเช้าบ้าง ไม่ว่าความเร็วจะไวแค่ไหน แต่จิตวิญญาณก็เอื่อยเฉื่อยเหมือนๆ กัน


รถที่ผ่านไปมามีไม่เยอะ ไม่น่าเชื่อว่าบนถนนเซนต์แบลสสายยาวนี้ไม่มีไฟแดงเลย ข้อนี้เหลือเชื่อมากๆ ในสายตาของนักท่องเที่ยวจีน


เดินไปครู่หนึ่ง เด็กชายคนหนึ่งที่แต่งตัวสำอางและทันสมัยก็ร้องห่มร้องไห้เดินเข้ามา


ฉินสือโอวมองดูเด็กชายที่อายุประมาณเพียงหกเจ็ดขวบ ใส่กางเกงยีนลีวายส์ คิดส์ ที่เท้าสวมรองเท้าผ้าใบไนกี้รุ่นพิเศษ ผมสีน้ำตาลทองหวีเรียบร้อย คงจะเป็นคุณหนูจากครอบครัวฐานะดี


แต่เด็กคนนี้ทำไมถึงมาร้องไห้อยู่ริมถนนแต่เช้าได้?


ฉินสือโอวถามด้วยความอยากช่วย “เฮ้ เด็กน้อย เป็นอะไรไป?”


เด็กน้อยปาดน้ำตาพลางตอบเสียงสะอึกสะอื้น “แม่ แม่หายไปแล้ว ฮัลลี่หาแม่ไม่เจอแล้ว ฮึกๆ ฮือๆ ฮัลลี่จะกลับบ้าน ฮัลลี่คิดถึงแม่”


ได้ยินคำของเด็กน้อยฉินสือโอวก็เข้าใจ เด็กคนนี้พลัดหลงกับแม่ แต่เด็กอายุก็ไม่น้อยแล้ว ฟังที่พูดเมื่อกี้ก็ค่อนข้างมีเหตุมีผลจึงนั่งยองลงแล้วพูดขึ้น “โอเค เด็กน้อย ลุงจะโทรหาตำรวจให้เขาพากลับบ้านดีไหม?”


เด็กชายตัวน้อยส่ายหน้าแล้วพูดด้วยน้ำตา “ไม่ต้องหรอกครับ ไม่เอาตำรวจ พ่อแม่จะไม่ชอบ ฮัลลี่รู้ทาง ฮัลลี่เดินกลับเอง”


แคนาดาปกป้องเด็กได้ดีมาก เด็กชายตัวน้อยรู้เรื่องมากๆ ที่ว่ามาก็เป็นความรู้ทั่วไป นั่นก็คือถ้าตำรวจรู้ว่าผู้ปกครองดูเด็กไม่ดีจนเด็กหาย งั้นพวกเขาก็จะลงโทษพ่อแม่หรือผู้ปกครองอย่างหนัก หนักหน่อยก็โดนยึดสิทธิเลี้ยงดู


ฉินสือโอวดูเวลา เขายังมีเวลาเหลือเลยตัดสินใจเป็นคนดีสักครั้ง เขาเอ่ยขึ้นว่า “ก็ได้ เด็กน้อย ลุงพาเธอกลับบ้านดีกว่า หนูจำทางกลับบ้านได้ไหม?”


เด็กชายพยักหน้าอย่างเชื่อฟังแล้วชี้ไปที่ซอยข้างหน้านอกระยะห้าสิบกว่าเมตรแล้วเอ่ยขึ้น “เดินไปตามถนนเบนเดอร์ ปากทางที่สองเลี้ยวเข้าไปก็เป็นบ้านของฮัลลี่”


ฉินสือโอวลากกระเป๋าเดินทางสะพายเป้สัมภาระแล้วพาเด็กเดินไปทางซอยนั้น เด็กคนนั้นร้องไห้จนเสียบแหบเสียงแห้ง ตอนเดินผ่านร้านสะดวกซื้อเขาก็ซื้อนมไขมันต่ำให้เด็กคนนั้น ส่วนตัวเขาก็ซื้อโกโก้เย็นหนึ่งแก้ว


ถนนเบนเดอร์แคบมาก คล้ายกับซอยในเซี่ยงไฮ้ ในนั้นมีซอยอีกมากมาย เด็กน้อยดูดนมพลางเดินราวกับคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี พาฉินสือโอวเลี้ยวไปอีกสามสี่ครั้ง ทำเอาฉินสือโอวเซ็ง เขาไม่แน่ใจว่าเขาจะหาทางกลับออกไปได้หรือเปล่า


พอเลี้ยวอีกครั้งหนึ่งจู่ๆ ก็มีหญิงสาวพุ่งออกมากอดเด็กคนนั้นไว้แล้วตะโกน “ฮัลลี่ ลูกรักของแม่ เมื่อกี้ไปไหนมา? พระเจ้า! แม่คิดว่าลูกโดนคนลักพาตัวไปแล้ว! น่ากลัวจริงๆ เลย! พระเจ้า!”


เห็นผู้หญิงคนนั้นปรากฏตัว ใบหน้าของฉินสือโอวก็ผุดรอยยิ้มออกมา โอเค เขาได้ทำเรื่องดีไปเรื่องหนึ่ง


แต่ว่าหลังจากนั้นรอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็แข็งค้าง เด็กคนนั้นพูดด้วยใบหน้าใสซื่อ “ฮัลลี่ไปซื้อรถบั๊มพ์กับคุณลุงมา คุณลุงบอกว่าถ้าฮัลลี่ไปกับเขาก็จะมีรถบั๊มพ์”


ลางสังหรณ์ของฉินสือโอวบอกว่าไม่ชอบมาพากลจึงรีบพูดขึ้น “เฮ้ เด็กน้อย เธอพูดไม่ถูก…”


หญิงสาวคนนั้นจ้องฉินสือโอวแล้วตะโกนแทรกเขาขึ้นมา “มาช่วยกันหน่อย! ใครก็ได้! มีพวกค้ามนุษย์! มีคนจะลักพาตัวเด็ก!”


หน้าหลังของซอยมีชายหนุ่มและชายฉกรรจ์สองสามคนโผล่ออกมาตามเสียงร้องของเธอ คนพวกนี้ขวางทางไปและทางหนีของฉินสือโอวแล้วมองดูเขาอย่างไม่ประสงค์ดี


พอเห็นแบบนี้ สีหน้าของฉินสือโอวก็หม่นลงทันที ทั้งหมดนี้ดูอย่างไรก็เหมือนกับดัก กับดักที่ใช่เด็กเป็นเหยื่อล่อ!


พอคนพวกนั้นปรากฏตัวขึ้นผู้หญิงที่อุ้มเด็กอยู่ก็กรีดร้องออกมา “รีบจับเขาไว้! เขาเป็นพวกค้ามนุษย์! จับเขาไปสถานีตำรวจ เราต้องเอาเขาเข้าคุก! ไอ้เวรนี่เกือบจะขโมยลูกฉันไปแล้ว!”


ชายฉกรรจ์คนหนึ่งเดินประชิดเข้ามาแล้วพูดขึ้น “มีเรื่องอะไร? เฮ้ ไอ้หนุ่ม แกเป็นพวกค้ามนุษย์เหรอ? งั้นแกก็ซวยแล้ว ไอ้เวร ฉันเกลียดพวกที่ควรลงนรกไปอย่างพวกแกที่สุด! แต่ทุกคนก็อย่าเพิ่งใจร้อน เรามาคุยกันก่อนว่ามีเรื่องเข้าใจผิดกันหรือเปล่า?”


ฉินสือโอววางกระเป๋าเดินทางและเป้ลง ล้วงมือถือออกมาโทรหาตำรวจอย่างรวดเร็วแล้วพูดขึ้น “ฉันว่าคงไม่มีการเข้าใจผิด ให้ตำรวจมาจัดการเถอะ…”


ปรากฏว่าพอเห็นเขาจะแจ้งตำรวจ ผู้หญิงที่ใกล้เขามากที่สุดก็กระโจนเข้ามายื่นมือแย่งมือถือโดยไม่รอให้เขาพูดจบ


ฉินสือโอวไม่ใจอ่อนกับพวกต้มตุ๋นเด็ดขาด ต่อให้เป็นผู้หญิงก็ตาม เขาเตะข้างใส่ผู้หญิงที่กระโจนเข้ามากระเด็น กดโทรออกก็เปิดแฮนด์ฟรีมือถือ


ปรากฏว่าคนอื่นๆ ก็พุ่งเข้ามา ฉินสือโอวเห็นสถานการณ์ไม่สู้ดี ถ้ารอจนสายโทรติดต่อไป เขาต้องรับมือพวกนี้ไม่ไหวด้วยมือเดียวแน่


เขาก็เลยกดปุ่มแฮนด์ฟรีแล้วเอามือถือใส่ในกระเป๋ากางเกง เอียงตัวหลบชายฉกรรจ์ที่พุ่งเข้ามา หมัดซ้ายชกออกไปไวราวฟ้าแลบเสยตั้งแต่อกของชายฉกรรจ์คนนั้นไปจนถึงคาง!


ปกติเวลาออกกำลังตอนเช้า นอกจากวิ่งแล้วฉินสือโอวก็ชกมวยกับพวกนีลเซ็น และเบิร์ดด้วย บนหาดมีอุปกรณ์ออกกำลังกายครบชุด แล้วก็มีกระสอบทราย นั่นคือกระสอบทรายของแท้ ที่ใส่อยู่ในนั้นก็คือทรายทะเลหยาบๆ ฉินสือโอวใช้มันมาซ้อมมวยตลอด


พอออกหมัด ชายฉกรรจ์ที่วิ่งพุ่งเข้ามาก็โดนหมัดกระแทกกระเด็นกลับไป ลอยกลิ้ง ‘ตุ้บ’ ไปสี่ห้าเมตรถึงร่วงลงพื้น


หัวใจโพไซดอนเปลี่ยนแปลงร่างของฉินสือโอว แรงเยอะขึ้น เร็วขึ้น ประสาทไวขึ้น ออกแรงได้เต็มที่ขึ้น บวกกับการชี้แนะของเบิร์ดกับนีลเซ็นทุกวันตอนซ้อมมวย ทุกวันนี้วิชาชกมวยของฉินสือโอวไม่แย่ไปกว่านักมวยอาชีพแน่นอน!


บทที่ 707 โพไซดอนเกลือกกลิ้ง

โดย

Ink Stone_Fantasy

พวกอันธพาลเลือกศัตรูผิดคนผิดที่ผิดเวลา


พวกเขาไม่ควรมีเรื่องกับฉินสือโอวในซอยเลย แล้วก็จริง ซอยแคบทำให้คนที่ติดเบ็ดไม่มีทางหนี แต่ก็หมายความว่าพวกเขาไม่สามารถใช้ข้อได้เปรียบเรื่องคนเยอะมาต่อกรกับฉินสือโอวด้วย


หมัดเดียวอัดจนชายฉกรรจ์ที่อยู่ใกล้ที่สุดล้มลง ฉินสือโอวหันขวับไปมองด้านหลัง ชายหนุ่มสองคนเบียดกันกระโจนเข้ามา เขากระโดดไปด้านหลัง ยึดเท้าซ้ายเป็นหลักแล้วงอเข่าเตะเท้าขวาออกไป ราวกับประทัดที่พุ่งออกไป เท้าเตะลงที่ชายหนุ่มที่นำหน้ากระเด็นไปพร้อมกับอีกคนที่อยู่ข้างๆ


ตรงหน้าเขาก็มีคนพุ่งเข้ามาอีก ฉินสือโอวย่อตัวลงหลบการกอดของคนคนนั้นอย่างว่องไว เขาออกหมัดทั้งสองราวงูพิษที่กำลังแลบลิ้นสำรวจสภาพแวดล้อม ‘ผลัวะๆ’ ทุบลงบนท้องของคนคนนั้น


คนคนนั้นร้องโอดโอยกอดท้องตัวเองคุกเข่าบนพื้นอย่างกับกองโคลนตม


มีอีกคนที่พุ่งเข้ามาทางด้านหลัง ฉินสือโอวดึงชายหนุ่มที่ล้มอยู่บนพื้นตรงหน้าขึ้นมาแล้วสะบัดออกไปราวโยนขยะทิ้ง แล้วก็ประชิดเข้าไป เท้าขวายกขึ้นได้ก็ก้าวข้ามชายหนุ่มที่ถูกสะบัดและกระทืบลงบนร่างของชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหลัง


‘กร๊อบ’ ไม่รู้ว่าเสียงกร๊อบดังมาจากไหน ชายฉกรรจ์โดนอัดจนเตี้ยไปครึ่งเมตร คุกเข่าลงบนพื้นในพริบตา ส่งเสียงร้องโอดครวญยังไม่ออกด้วยซ้ำ


ผู้ชายทั้งหมดเจ็ดคน มีห้าคนถูกอัดจนล้มภายในพริบตาเดียวแถมยังเสียเรี่ยวแรงต่อสู้ไปหมดด้วย ชายหนุ่มที่วิ่งอยู่ข้างหลังสองคนเหงื่อแตกทันที แล้วมองฉินสือโอวด้วยสายตาราวกับเห็นผี


“ไม่ๆๆ…” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพูดพึมพำปากสั่น


ฉินสือโอวแค่นยิ้มเย็น นึกไม่ถึงว่าคนคนนี้จะออกเสียงคำจีนว่า ‘ปู้’ ดูท่าก็พอมีความรู้นี่ แต่ว่ามาพูดตอนนี้จะไม่ช้าไปหน่อยเหรอ?


ปรากฏว่าเด็กหนุ่มคนนั้นพยายามอ้าปากพูดจนจบ “บะๆๆ บรูซ ลี!”


ไอ้นี่ ฉินสือโอวก่นด่าในใจ ที่แท้ที่เขาพูดก็คือบรูซ ลีซึ่งก็คือราชาแห่งกังฟูหลีเสี่ยวหลง เขานึกว่าไอ้หนุ่มนี่จะพูดจีนเป็นเสียอีก


จะดีจะเลวก็เอาให้สุด ฉินสือโอวไม่อยากจะปล่อยสองคนนี้ไปหรอก ถ้าเกิดพวกเขาล้วงปืนออกมาก็แย่เลย


เขาฉวยโอกาสตอนที่ทั้งสองคนร้องด้วยความประหลาดใจวิ่งพุ่งรวบจากสามก้าวเป็นสองก้าวเข้าไป ใช้หมัดโจมตีจุดสำคัญอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว หมัดเดียวก็อัดเด็กหนุ่มตรงหน้าลงไปกองบนพื้น


หลังจากนั้นก็คว้าเสื้อของเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างหลัง เอาแขนมาพาดไหล่แล้วก็บิดเอวออกแรงคว้าไหล่ของเด็กหนุ่มก่อนจะทุ่มลงพื้นราวทุ่มกระสอบ


ผู้ชายเจ็ดคน ล้มไปได้เจ็ดครั้ง ทุกๆ ครั้งล้วนรวบรัด นักมวยมืออาชีพก็แค่นี้เองแหละ!


จนถึงตอนนี้ มือถือถึงมีเสียงตำรวจดังลอดออกมา “นี่คือ911ศูนย์รายงานเหตุฉุกเฉิน คุณอยู่ที่ไหนคะ? ที่อยู่คือที่ไหน? ต้องการความช่วยเหลืออะไรคะ?”


ฉินสือโอวกำลังหงุดหงิดรำคาญใจอยู่เลยตอบไปแบบไม่คิด “พวกคุณหาพิกัดไม่ได้หรือไง? รีบส่งตำรวจมา แม่งเอ๊ย เหตุการณ์เลวร้ายแน่อยู่แล้ว!”


“ขออภัยด้วยค่ะคุณผู้ชาย ขอให้คุณช่วยบอกตำแหน่งที่ตั้งแบบละเอียดด้วย พวกเราทำได้เพียงหาพิกัดคร่าวๆ ของคุณผ่านสัญญาณ ไม่สามารถหาพิกัดละเอียดได้ค่ะ…” หญิงสาวปลายสายพูดอย่างอ่อนโยนและใจเย็น


ฉินสือโอวกำลังจะอธิบายก็พบว่าเจ้าเด็กต้นตอปัญหาหายไปแล้วเลยรีบวิ่งไปดูที่ปากทาง เงาร่างเล็กกำลังวิ่งสุดแรง ดูท่าทางแล้วไม่เหมือนกับเด็กหกเจ็ดขวบ วิ่งไวดีเหมือนกัน


“ไอ้เด็กเวร!” ฉินสือโอวด่าออกไป ไม่ทันสนใจตอบเรื่องที่อยู่ก็วิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว


เด็กคนนั้นเจ้าเล่ห์มาก วิ่งไปก็ร้องเสียงเล็กแหลมไปด้วย “ตำรวจม้าแคนาดารังแกคน! ตำรวจม้าแคนาดารังแกเด็ก! รีบมาดูกันเร็ว!”


ได้ยินคำพูดของเด็ก ฉินสือโอวที่วิ่งตามหลังก็อับจนคำพูดทันใด เจ้าเด็กนี่ต้องฉลาดขนาดไหน วิธีแบบนี้ก็คิดได้!


ผู้อพยพแคนาดามีมากมาย แต่ละบ้านวัฒนธรรมก็ไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องของคนอื่น เพราะว่าเรื่องที่ไม่ถูกต้องในสายตาของคนเอเชียอาจเป็นเรื่องธรรมดาในสายตาของครอบครัวชาวอเมริกาใต้ เรื่องเปลืองแรงเปล่าก็หมายถึงสถานการณ์แบบนี้


ดังนั้นถ้าเจอคนทะเลาะตบตีกันหรือเรื่องไม่ดีอย่างอื่น คนแคนาดาจะไม่ยื่นมือเข้าไปช่วย พวกเขาจะหลบไปให้ไกลและโทรแจ้งตำรวจ


แต่มีสถานการณ์หนึ่งที่เป็นข้อยกเว้น นั่นก็คือถ้าเป็นตำรวจเสียเองที่ทำเรื่องจนทำให้เกิดขัดแย้งกับประชาชน แบบนั้นคนที่ ‘ยื่นมือเข้าช่วย’ ก็จะเยอะขึ้น ตำรวจแคนาดาไม่กล้ามีเรื่องกับคนจ่ายภาษี ไม่กล้าพูดแรงๆ ด้วยซ้ำ


ถ้าเด็กคนนั้นตะโกนแบบนี้บนถนน ดีไม่ดีอาจมีคนเข้ามาดึงตัวฉินสือโอวไว้ แบบนั้นเด็กน้อยก็สามารถฉวยโอกาสหนีไปได้ น่าเสียดายที่นี่เป็นซอยเล็ก ไม่มีเงาคนเลย เขาตะโกนไปตะโกนมานอกจากจะทำให้แมวหนูตกใจตัวโยนก็ไม่มีประโยชน์อะไรอย่างอื่น


ฉินสือโอวไล่ตามเด็กคนนั้นทันในไม่กี่ก้าว คว้าได้ก็ยกตัวขึ้นมา เด็กคนนั้นใช้สเปรย์ในมือฉีด ‘ฉึดๆๆ’ เต็มหน้าเขาไปหมด!


คราวนี้ฉินสือโอวแย่แล้ว เขารับรู้ได้แค่ว่าหน้าเขาชาแสบ ตาก็ยิ่งเจ็บจนยากหาอะไรเทียบ โดนเข้าไปเต็มๆ


แต่เขาก็โหดอยู่เหมือนกัน รู้ดีว่าถ้าปล่อยเด็กคนนี้ไปจะต้องวุ่นวายแน่ๆ เขาถลึงตาที่มองอะไรไม่ชัดอย่างเกรี้ยวกราดแล้วตะคอกใส่เด็กคนนั้น “แกตายแน่! ไอ้หนู แกตายแน่!”


เพื่อจะกันไม่ให้เด็กชายใช้อุบายอะไรอีก เขาจึงรีบถอดเข็มขัดมามัดเด็กคนนั้นไว้แล้วก็บอกตำแหน่งกับสถานการณ์กับ911ที่ยังไม่วางสายให้พวกเรารีบส่งคนมา


โทรหา911เสร็จ ฉินสือโอวยังอยากโทรหาเออร์บักอีกสาย น่าเสียดายที่เขามองหน้าจอมือถือไม่ชัด


แต่ต่อมาก็มีคนโทรหาเขา พอรับสายก็เป็นรัฐมนตรีแมทธิว จิน เขาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังแล้วให้เขารีบมา


ตามองไม่เห็นอะไรเลย ฉินสือโอวทั้งไร้ความช่วยเหลือและหวาดกลัว ตอนนี้เขากลัวว่าในหมู่คนที่เขาอัดจนน่วมจะมีคนยืนขึ้นมาได้ ถ้าเกิดพวกนั้นมีปืน เขาได้ตายไม่รู้เรื่องแน่ๆ!


ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่ฉินสือโอวรู้สึกว่านานมากๆ ในที่สุดก็มีเสียงฝีเท้าดังขึ้น มีคนตะโกนมาจากที่ไกลๆ ว่า “อาร์ซีเอ็มพี! คุกเข่าลง! สองมือประสานท้ายทอย! ย้ำอีกครั้ง! คุกเข่าลง! สองมือประสานท้ายทอย!”


ฉินสือโอวนั่งยองอยู่นานแล้ว ไม่ใช่แค่นั่งยองเท่านั้น ยังห่อตัวด้วย เพราะเขากลัวว่าอันธพาลพวกนั้นจะเจอเขาและยิงเขาเสีย


ก็ได้ ต้องยอมรับว่า เฮียฉินตอนนี้กลัวแล้ว!


อาร์ซีเอ็มพีก็คือ Royal Canadian Mounted Police หมายถึงตำรวจม้าแคนาดา พอพวกเขามาฉินสือโอวก็วางใจได้แล้ว


ทุกคนถูกส่งเข้ารถตำรวจ พอถึงสถานีตำรวจก็มีคนช่วยเขาล้างตาจนการมองเห็นค่อยๆ ฟื้นคืน คนที่ช่วยเขาล้างตาพูดเสียงอ่อนโยนว่า “หลับตาครู่หนึ่งก่อน อย่าเพิ่งรีบลืมตา เดี๋ยวก็ดีขึ้น”


ฉินสือโอวเห็นรางๆ ว่าคนคนนั้นสวมเสื้อคลุมสีขาว เขาจึงเอ่ยขอบคุณ “ขอบคุณนะครับคุณหมอ สถานีพวกคุณนี่ดีจัง มีหมอประจำอยู่ด้วย!”


คนคนนั้นหัวเราะแล้วเอ่ยตอบ “ไม่เป็นไร ฉันเป็นนักนิติวิทยาศาสตร์”


ฉินสือโอว “งั้นก็ขอบคุณพระเจ้า ขอบคุณท่านที่คุ้มครองให้ผมได้รับความช่วยเหลือจากคุณตอนที่ผมมีสติ!”


นักนิติวิทยาศาสตร์ “…”


บทที่ 708 กลุ่มที่ไม่สามัคคีกัน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ไม่นานเรื่องทุกอย่างก็กระจ่าง ไม่ต้องให้ทนายส่วนตัวของฉินสือโอวเออร์บักออกหน้าด้วยซ้ำ เพียงแต่รัฐมนตรีกระทรวงการประมงและมหาสมุทรออกหน้าไปแล้ว…


ฉินสือโอวเข้าสถานีตำรวจไปแล้วครึ่งชั่วโมง มือซ้ายของแมทธิว จินถือโดนัท มือขวาถือกาแฟร้อนมาปรากฏตัวต่อหน้า เขาพูดพลางยิ้มตาหยี “ยังไม่ได้กินข้าวเช้าใช่ไหม? ลองชิมโดนัทตาฮันส์สิ ว่ากันว่าดังที่สุดในเซนต์จอห์น”


ตำรวจอเมริกาชอบกินโดนัท หลายๆ คนน่าจะเห็นได้จากหนังอเมริกากับฮอลลีวูด ในฐานะน้องของอเมริกา ตำรวจแคนาดาก็ชอบด้วย


สำหรับคนแคนาดา โดนัทก็เป็นอาหารเช้าชนิดหนึ่ง สำหรับพนักงานออฟฟิศทั่วไปนี่คืออาหารจานด่วนที่ไวที่สุด สำหรับครอบครัวนี่เป็นของหวานที่ทดสอบจิตใจแม่บ้านมากๆ


พวกตำรวจกินโดนัท ไม่ใช่เพราะชอบแต่เพราะไม่มีทางเลือก พวกเขามักจะดื่มกาแฟตอนทำคดีหรือตรวจสอบผู้ต้องสงสัยเพื่อคลายเหนื่อย โดนัทเป็นขนมที่กินกับกาแฟได้เข้าที่สุด


ตอนนี้ฉินสือโอวไม่มีอารมณ์กินอะไร แต่อย่างไรก็เป็นอาหารเช้าที่รัฐมนตรีของประเทศยกมาให้ อย่างไรก็ต้องไว้หน้ากันสักหน่อยจริงไหม หลังจากที่เขากินไปชิ้นหนึ่งก็ถามคำถามที่ตัวเองห่วงที่สุดออกมา “มีกระจกไหม ผมขอสักบานสิ?”


แมทธิว จินไม่เข้าใจว่าหมายความว่าอะไร เขาโบกมือถามหากระจกจากตำรวจหญิงคนหนึ่ง


ฉินสือโอวส่องดู ตาทั้งแดงทั้งบวมอย่างกับยัดวอลนัตสองลูกเอาไว้ แถมเป็นแบบตุ่มบวมที่เกิดจากการเสียดสีเป็นเวลานาน…


“ให้ตายเถอะ ฉันเสียโฉมแล้ว!” ฉินสือโอวก่นด่าหัวเสีย “ถ้ารู้ว่าพวกมันเลวขนาดนี้ฉันลงมือหนักๆ เสียก็ดี!”


ตำรวจที่เดินหนีบแฟ้มมานายหนึ่งตกใจแล้วถามขึ้น “คุณผู้ชาย ก่อนหน้านี้คุณไม่ได้ลงมือหนักหรือไง? ตามรายงานการตรวจของโรงพยาบาล ผู้ต้องหาเก้าคนนอกจากคนแคระที่แสร้งเป็นเด็กกับผู้หญิง นอกนั้นอีกเจ็ดคนล้วนเจ็บหนัก! หนึ่งในนั้นกระดูกสะบักหัก มีสามคนซี่โครงหัก”


ฉินสือโอวก็เล่นงานพวกนั้นหนักจริง เพราะตอนนั้นเขากลัวว่าพวกนั้นจะมีปืน ถ้าไม่คว่ำให้ล้ม งั้นคนที่ต้องล้มก็ต้องเป็นเขา อีกอย่างอาจจะโดนตีจนตายก็ได้


ตำรวจรายงานผลสอบปากคำให้ฉินสือโอวรู้ คนพวกนี้มักจะใช้ความเห็นอกเห็นใจของคนก่อคดี มักจะเป็นชายแคระที่แต่งหน้าแล้วแกล้งเป็นเด็กหลงทาง ขอความช่วยเหลือคนที่เดินผ่านให้พาไปส่งบ้าน จากนั้นก็ใส่ร้ายหลอกเอาเงิน


แก๊งผู้ต้องหาเป็นที่ต้องการสถานีตั้งนานแล้ว แต่ความสามารถในการไขคดีของตำรวจม้าช่างชวนให้คนร้อนใจ จับตัวคนร้ายไม่ได้เสียที


วันนี้ถือว่าคนพวกนั้นซวย พวกเขาไม่รู้จักฉินสือโอวที่เป็นคนดังนครเซนต์จอห์น เพราะในสายตาคนขาวคนผิวเหลืองที่ไม่คุ้นเคยก็หน้าตาคล้ายๆ กัน บวกกับฉินสือโอวมักจะตากแดดตากลมที่ฟาร์มปลาจนผิวดำ


พวกเขาคิดว่าฉินสือโอวที่ลากกระเป๋าเป็นคนจีนจากท่าเซนต์จอห์นที่มาหางาน คนประเภทนี้รังแกง่ายที่สุด ขี้ขลาดหัวอ่อนกลัวมีเรื่อง เล็งแล้วไม่พลาด


จากนั้นก็เป็นการออกฤทธิ์ของฉินสือโอว ที่อัดพวกเขาเก้าคนจนเจ็บหนัก


ฉินสือโอวฟังคุณตำรวจจบก็เงียบไปนานก่อนจะถามขึ้น “คุณบอกว่าคนที่ทำให้ผมเสียโฉมไม่ใช่เด็ก แต่เป็นคนแคระ?”


“ใช่ คุณผู้ชาย”


“ฉันไม่ได้อัดมัน!”


“ใช่ คุณผู้ชาย”


“ตอนนี้ผมขออัดมันสักทีได้ไหม?”


“เรื่องนี้คงไม่ได้ คุณผู้ชาย”


พอไม่มีอะไรแล้ว ฉินสือโอวก็ลากกระเป๋าออกไปกับท่านรัฐมนตรี จากนั้นก็เข้าไปนั่งในรถคาดิลแลควัน นี่คือรถของท่านรัฐมนตรี


อัดจนคนเจ็บหนักไปเจ็ดคน ฉินสือโอวกลับไม่ได้ถูกแจ้งข้อหาป้องกันตัวเกินเหตุ เพราะแคนาดาต่างจากจีน การป้องกันตัวที่จีนแบ่งเป็นการป้องกันตัวสมเหตุสมผลกับป้องกันตัวเกินเหตุ แต่ที่แคนาดาแบ่งเป็นการป้องกันตัวสมเหตุสมผลกับการป้องกันตัวที่ยกโทษให้ได้ สองประเภทนี้โดยปกติแล้วไม่ต้องแบกความรับผิดชอบทางกฎหมาย


มีแค่การป้องกันตัวที่ไม่สมเหตุสมผลถึงจะต้องแบกรับความรับผิดชอบทางกฎหมายในระดับหนึ่ง แต่ความรับผิดชอบแบบนี้ก็มักจะจำกัด


ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ฉินสือโอวเผชิญหน้ากับแก๊งผู้ร้ายแล้วลงมือหนัก ไม่มีทางที่จะเป็นการป้องกันตัวที่ไม่สมเหตุสมผล แล้วยิ่งเขาเป็นเจ้าของฟาร์มปลาในพื้นที่นครเซนต์จอห์นแถมยังมีรัฐมนตรีว่าการกรมประมงมาเป็นเพื่อนด้วย


ตรงกลับไปยังโรงแรม เจ้าของฟาร์มปลากลุ่มหนึ่งก็รออยู่ที่ห้องประชุมอยู่แล้ว เสียงเอะอะดังเล็ดลอดผ่านประตูมาให้ได้ยินแว่วๆ เหมือนมีคนทุบโต๊ะ ฟังดูดุเดือดยิ่งกว่าการต่อสู้ระหว่างฉินสือโอวกับแก๊งผู้ร้ายเสียอีก


แมทธิว จินมีสีหน้าราบเรียบ แต่ฉินสือโอวรู้สึกได้ว่าเขาจะต้องโกรธมากแน่ๆ แต่ในฐานะนักการเมืองจึงต้องควบคุมอารมณ์


ดังนั้นเขาเลยก้าวนำหน้าไปเปิดประตูออกอย่างรู้งานแล้วเชิญให้รัฐมนตรีเข้าไปก่อนอย่างนอบน้อม


พอเห็นแมทธิว จิน เจ้าของฟาร์มปลาในห้องประชุมก็เงียบเสียงลง จากนั้นก็แบ่งเป็นสองฝักสองฝ่ายอย่างชัดเจน


ที่จำนวนเยอะกว่าคือเจ้าของฟาร์มปลาดั้งเดิม จุดเด่นของคนพวกนี้ก็คือแต่งตัวเรียบง่าย พวกเสื้อยืด ชุดกีฬา กางเกงยีนอะไรพวกนั้น บางคนก็ใส่รองเท้าแตะ อายุอยู่ระหว่างสามสิบจนถึงห้าสิบ หุ่นกำยำ สูงใหญ่แรงเยอะ


อีกฝ่ายก็คือพวกเจ้าของฟาร์มปลาพักผ่อนหย่อนใจ พวกเขาแต่งตัวดีหน่อย ต่อให้ใส่เสื้อยืดเหมือนกันแต่ก็ไม่มีลายโลโก้บริษัทการเกษตรดูปองท์ ลิมาเกรน ดาว แอตแวนต้า และยิ่งไม่มีทางพิมพ์ลายหน้าการ์ตูนวันพีซ!


ฉินสือโอวมองดูทางด้านเจ้าของฟาร์มปลาดั้งเดิม ชายฉกรรจ์คนหนึ่งสวมเสื้อยืดที่พิมพ์ลายลูฟี่กินน่องไก่ เขาอดถอนใจในใจไม่ได้ นี่ล้อกันเล่นหรือไง?


คนสองกลุ่มแบ่งกันครองพื้นที่เหนือและใต้ของห้องประชุม ที่ตรงกลางเว้นว่าง มองกันด้วยสายตากรุ่นโกรธราวกับไก่ชนอย่างกับจะตีกันให้ได้


แมทธิว จินไม่สนใจ เขาเดินขึ้นไปบนแท่นประธานแล้วชูนิ้วมือขึ้นก่อนจะเอ่ยปาก “กำหนดการเดินทางเยี่ยมชมครั้งนี้ง่ายมาก จุดแรกก็คือชาแนลปอร์โตบาสก์ แล้วก็ขึ้นเหนือไปที่แหลมเซนต์ชาร์ลส์ หลังจากนั้นกำหนดการจะเพิ่มเข้ามากะทันหัน หวังว่าทุกคนจะเป็นมิตรต่อกันในระหว่างการเยี่ยมชม แค่นี้แหละครับ”


ฉินสือโอวรอจนเขาพูดจบก็ปรบมือทันที เจ้าของฟาร์มทั้งหลายไม่สนใจ ยังคงมองตากันเป็นไก่ชนต่อไป


แมทธิว จินยิ้มบางพลางพยักหน้าให้ฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “การเยี่ยมชมครั้งนี้ที่จริงแล้วเป็นการค้นคว้า ถ้าสุดท้ายผลออกมาไม่สู้ดีงั้นกรมประมงก็จะตัดสินใจปิดฟาร์มปลาส่วนหนึ่ง!”


ครั้งนี้พอสิ้นเสียงเขา ทุกคนก็รีบปรบมือทันที ไก่ชนกลายเป็นแม่ไก่ นั่งลงอย่างเรียบร้อย


การปิดฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์เป็นประเด็นร้อนของแคนาดามาตลอด ถ้าจะบอกว่าเหล่าเจ้าของฟาร์มกลัวอะไร นั่นก็คือการปิดฟาร์มปลาของตัวเอง ฟาร์มปลาของพวกเขาแลกมาด้วยเงินก้อนโตนะ


แมทธิว จินแนะนำกำหนดการแบบง่ายๆ เสร็จก็ส่งสัญญาณให้ทุกคนเตรียมออกเดินทาง ปรากฏว่าแอนดรูว์ที่ฉินสือโอวค่อนข้างคุ้นเคยพูดกับเขาว่า “คุณรัฐมนตรี ตามข้อกำหนดของคุณ พวกเราไม่สามารถพาบุคคลไม่เกี่ยวข้องมาร่วมกลุ่มเยี่ยมชมด้วยใช่ไหมครับ?”


ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่งที่สวมแว่นตากรอบทองพูดเสียงเย็น “คุณ อย่าอ้อมค้อมดีกว่า ประธานของเราไม่มีทางมาร่วมกิจกรรมอะไรด้วยตัวเองอยู่แล้ว ร่างกายของเขาไม่เอื้อ ถ้าคุณยังมีคำถาม ผมสามารถแสดงใบรับรองแพทย์ของโรงพยาบาลได้”


ฉินสือโอวมองดูชายรูปหล่อคนนั้นที่มีคนแก่ผมขาวดูสุขุมนั่งอยู่ข้างๆ ชายชราที่ดูค่อนข้างจะมีอายุ แต่สีหน้ากลับมีสีเลือดฝาด ดวงตาทั้งสองเป็นประกาย ดูอย่างไรก็ไม่เหมือนคนป่วยที่ว่าเลย


บทที่ 709 พนันว่าแกตกปลาไม่ได้หรอก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในฐานะนักการเมืองมือดี แน่นอนว่าความสามารถของแมทธิว จินไม่ธรรมดา


ทุกอย่างเป็นไปตามที่กำหนดก่อนหน้านี้ ใครก็ตามก็ไม่สามารถพาคนในครอบครัวหรือผู้ช่วยมาด้วย สำหรับคนที่ไม่เหมาะจะเข้าร่วมกิจกรรมก็ไม่ต้องมาเข้าร่วมหรือไม่ก็ส่งตัวแทนที่จากกรมประมงมาแทน


อย่างไรนี่ก็เป็นกิจกรรมที่ประเทศเป็นคนจัด อย่างไรก็ต้องดูมีบรรยากาศหน่อย นอกจากผู้รักษาความปลอดภัย แมทธิว จินยังพาผู้ดูแลกับพ่อครัวมาด้วย พาหนะที่โดยสารก็เป็นเรือยอชต์สุดหรู เป็นอย่างที่ท่านรัฐมนตรีว่าไว้ นี่เป็นการเที่ยวชม


ขึ้นเรือจากเซนต์จอห์น ฉินสือโอวหาที่คนเยอะๆ บนดาดฟ้าแล้วหยิบคันเบ็ดมาเหวี่ยงเบ็ดลงทะเล


ชายวัยกลางคนสวมเสื้อเชิ้ตเวอร์ซาเชคลาสสิคลายสก๊อตเดินมาข้างเขาพร้อมรอยยิ้มบาง “คุณฉิน? ทุกคนต่างใช้โอกาสเพิ่มหาคอนเนคชั่นให้ตัวเอง ทำไมเหมือนคุณจะไม่ได้สนใจเลย?”


ชายวัยกลางคนดูๆ แล้วน่าจะอายุสี่สิบกว่า ผมสีน้ำตาลทองถูกหวีเรียบร้อย หน้าตาหล่อเหลา หุ่นสูงใหญ่ นาฬิกาวาเชอรอนบนข้อมือเปล่งประกายภายใต้แสงอาทิตย์


ฉินสือโอวรู้จักเขา เขาชื่อฮับเบิล ดรัมมอนด์ เป็นนักลงทุนทางการเงินที่มีชื่อของนิวฟันด์แลนด์ ช่องทางรายได้ที่เซนต์จอห์นก็มีรายการเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยเฉพาะ เออร์บักก็ดูในบางครั้ง


ไม่ต้องสงสัย คนแบบนี้เป็นพวกที่สามารถผูกมิตรได้ ฉินสือโอวเลยยิ้มยิงฟันแล้วพูดขึ้น “ผมก็กำลังขยายคอนเนคชั่นอยู่นี่ไง ดูสิผมก็กำลังตกปลากับทุกคนอยู่ไม่ใช่เหรอ?”


ชายวัยกลางคนหลุดหัวเราะออกมา เขาไม่รู้ว่าที่ฉินสือโอวพูดคือความจริง ถ้าไม่อยากขยายคอนเนคชั่นฉินสือโอวก็ไปหามุมตกปลาคนเดียวที่ท้ายเรือแล้ว จะมาอยู่กับคนเยอะขนาดนี้ทำไม?


แอนดรูว์เดินมา เขาปรายตามองฮับเบิลด้วยสายตาไม่เป็นมิตรแล้วพูดกับฉินสือโอวอย่างอารมณ์ดี “สวัสดี เพื่อน ยังห่างจากท่าเรือบาสก์อีกช่วงหนึ่ง มาเล่นไพ่ด้วยกันไหม? พวกเราไปข่มมาร์วินกัน”


ฉินสือโอวชอบเล่นไพ่ แต่ไม่ชอบเล่นกับคนแปลกหน้า เพราะเรื่องพวกนี้ใครก็ไม่อยากแพ้ คนที่แพ้ก็ยากที่จะไม่รู้สึกอะไรเลย


พอเบ็ดปลาจมลงไป ฉินสือโอวก็หมุนคันรอกไปยิ้มไป “ดูสิ คันเบ็ดฉันมันไม่เห็นด้วย พวกนายไปเล่นเถอะ เดี๋ยวฉันตามไป”


แอนดรูว์เหมือนจะไม่อยากให้เขากับฮับเบิลอยู่ด้วยกันเลยบอกว่าไม่เล่นแล้ว และหยิบคันเบ็ดมาตกปลา


ตอนนี้ชายชราคนหนึ่งก็เดินมาใช้ที่ตรงนั้นแทน เขาจ้องดูฉินสือโอวกับแอนดรูว์แล้วพูดแบบไม่พอใจ “นี่ๆๆ เพื่อนๆ ตรงนี้คนเต็มแล้ว พวกคุณย้ายที่ไปหน่อย โอเค?”


ฉินสือโอวไม่พอใจ แต่ว่าตรงนี้มีแอนดรูว์ที่ใจร้อนอยู่ ไม่ต้องให้เขาออกปากเอง แอนดรูว์พ่อปืนคาบศิลาจะจัดการให้เขาเอง


แอนดรูว์พูดอย่างหัวเสียอย่างที่คาดไว้ “คุณ นี่ไม่ใช่เรือของคุณ แล้วก็ไม่ใช่ฟาร์มปลาของคุณ ฉะนั้นพวกเราจะตกปลาที่ไหนก็ไม่เกี่ยวกับคุณ! นอกจากนั้น เหมือนว่าคุณจะมาทีหลังนะ?”


ชายวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบกว่าอีกคนถอดแว่นกันแดดแล้วเดินเข้ามา “ฉันจองที่ไว้ให้เพื่อนฉัน ไม่ว่าเขาจะมาตอนไหน ก็เร็วกว่าคุณ”


แบบนี้รังแกกันเกินไปแล้ว ฉินสือโอวขยี้ตาที่โดนลมทะเลพัดจนระคาย แสงอาทิตย์ก็ค่อนข้างแยงตา ทำเอาตาเขาแสบจนน้ำตาจะไหล


ปรากฏว่าปากตาแก่นี่ยังเสียอีก นึกไม่ถึงว่าจะมองเขาแล้วหัวเราะก่อนจะพูดขึ้น “ดูเด็กน่าสงสารนี่สิ โดนฉันว่าจนเสียใจเหรอ? น้ำตาไหลเลยเหรอ? เด็กน้อย ฟังลุงพูด กลับไปหาแม่เถอะ…โอ้ ให้ตายเถอะ!”


เฮียฉินไม่ใช่เด็กน้อยแสนเชื่อฟังเสียด้วยสิ พอเห็นตาแก่นี่ปากเสีย เขากำลังจะดึงปลาขึ้นมาพอดีเลยสะบัดคันเบ็ดแล้วสลัดปลาตัวนั้นไปที่ตาแก่จนเกือบจะโดนหน้าเขา


ตาแก่หัวร้อนหัวเสีย แม้ว่าปลาจะไม่ได้สะบัดโดนหน้าเขา แต่ว่าปลาทะเลนั้นดิ้นจนสลัดน้ำทะเลโดนหน้าเขาเต็มๆ


ฉินสือโอวเก็บเอ็นเบ็ดกลับมาแล้วคว้าปลาที่ดิ้นสุดแรงไว้ก่อนจะพูดพลางบุ้ยปาก “ดูเจ้าปลาปากมากนี่สิ มันไม่รู้หรือไงนะว่าถ้าอยากอายุยืนต้องคุมปากตัวเองดีๆ?”


ปลาตัวนี้ปกคลุมด้วยเกล็ดสีฟ้าเงิน ส่องประกายภายใต้แสงอาทิตย์ มีร่างกายที่เพรียวบางกำยำ ดูเจริญหูเจริญตา นั่นคือปลากะพงญี่ปุ่น


ฮับเบิลแบมือออกด้านข้างทำท่ายักไหล่ แอนดรูว์กลับหัวเราะร่าออกมา


ตาเฒ่าชี้ไปที่ฉินสือโอวเหมือนต้องการจะพูดอะไร ฉินสือโอวไม่เปิดโอกาสให้เขาพูดแล้วหิ้วปลากะพงญี่ปุ่นพลางพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “โอ้ ให้ตายเถอะ เจ้านี่กำลังอึ? น่าขยะแขยงจริงๆ เลย”


พูดจบ ฉินสือโอวโบกมือสะบัดแล้วโยนปลาไปในทิศทางของชายชรา ตาเฒ่ารีบหลบไปทันที จากนั้นร่างสีเงินฟ้าของปลากะพงญี่ปุ่นก็ดิ้นออกจากเรือแล้วร่วงลงทะเลไป


ตาเฒ่ากับชายสวมแว่นกันแดดต่างก็มีสีหน้าไม่สบอารมณ์ ฝ่ายแรกถลึงตาจ้องฉินสือโอวอย่างโหดเหี้ยมแล้วเอ่ยปาก “เฮ้ ไอ้หนุ่ม อยากหาเรื่องหรือไง?”


ฉินสือโอวปรายตามองเขาแบบไม่ใส่ใจแล้วพูด “ถ้าฉันอยากจะมีเรื่องล่ะก็ ตาแก่ ฉันก็ยื่นหมัดไปสวนแกนานแล้ว ตอนนี้ฉันไม่ได้ต่อยแก เพราะฉะนั้นทางที่ดีก็สำรวมหน่อย อย่างน้อยๆ แกก็อย่ามาหาเรื่องฉันก่อน!”


ภายในหมู่เจ้าของฟาร์มปลาเดิมทีก็มีความขัดแย้งอยู่ก่อนแล้ว พอทางนี้ทะเลาะกัน คนอื่นๆ ก็ไม่ตกปลาแล้ว แต่พากันมามุงดูแทน


แมทธิว จินเองก็โผล่มาพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวดก่อนจะเอ่ยถาม “เกิดอะไรขึ้น?”


ฉินสือโอวแย่งตอบก่อน “ไม่มีอะไร ท่านรัฐมนตรี ผมล้อเล่นกับคุณลุงเขา ผมเห็นว่าเขาตกปลาไม่เป็น เมื่อกี้ผมตกปลากะพงญี่ปุ่นได้ตัวหนึ่งแล้วอยากให้เขา กลายเป็นว่าเขาไม่รับน้ำใจ แต่กลับคิดว่าผมล้อเลียนเขา”


ตาเฒ่าแค่นเสียงหัวเราะ “แถเก่งจริงๆ นะ ถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะตกปลาให้บ้างได้ไหม?”


ฉินสือโอวมองตาเฒ่าอย่างจริงจัง “แน่นอนว่าได้ แต่ก่อนอื่น แกต้องตกปลาให้ได้ก่อน”


ข้างๆ มีคนพูดขึ้นอย่างยโส “เราเป็นสมาชิกสมาคมตกปลานานาชาติ แค่ตกปลายังไม่ง่ายอีกเหรอ?”


พอได้ยินชื่อสมาคมตกปลานานาชาติ ฉินสือโอวก็อดนึกถึงเมื่อปีที่แล้วที่เขาจัดการกับสมาชิกสมาคมตกปลาของอเมริกาที่ชายหาดน้ำตื้นจอร์จไม่ได้จากนั้นก็พูดยิ้มๆ “ตกปลาน่ะง่าย แต่เทียบกับการเลี้ยงปลาแล้วยากกว่ามาก ดูสิ พวกแกแค่เลี้ยงปลายังทำได้ไม่ดี จะไปตกปลาได้อย่างไร?”


“งั้นเรามาพนันกัน ถ้าพวกเราตกปลาได้จะทำอย่างไร?” ชายสวมแว่นดำพูดเสียงเย็น


ฉินสือโอวโบกมือพลางเอ่ยปาก “เงื่อนไขพวกแกว่ามาเลย ฉันก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าคนที่ทำไม่เป็นแม้แต่การเลี้ยงปลาจะไปตกปลาในที่แบบนี้ได้อย่างไร”


“ได้ งั้นเรามาพนันกัน แกเลือกชนิดปลามา เราจะตั้งเงื่อนไข ฉันไม่โหดเกินไปหรอก เราก็เป็นผู้ใหญ่กันแล้ว ก็มาใช้เงินเดิมพัน ครั้งล่ะหนึ่งหมื่นดอลลาร์แคนาดา กล้าไหม?” ชายแว่นดำมองฉินสือโอวอย่างท้าทาย


“หนึ่งหมื่นดอลลาร์แคนาดาจะไปมีประโยชน์อะไร? แต้มล่ะหมื่นดอลลาร์แคนาดา เราพนันสิบแต้ม คนอื่นก็ลงพนันได้ ฉันเป็นเจ้ามือ มาพนันปลากะพงญี่ปุ่นที่ฉันตกได้เมื่อกี้ ฉันพนันว่าพวกนายตกไม่ได้ กล้าไหม?” ฉินสือโอวเพิ่มเดิมพันแล้วรอกอบโกยเงิน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)