หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 688-691

บทที่ 688 อาจารย์ย่าเช่นนั้นหรือ

 

กระบวนเรือบินรบของสำนักวังเต๋าไพศาลลอยอยู่ใกล้ๆ ดาวพุธ คล้ายกับว่าจะรู้สึกได้ถึงการมาถึงของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรัน เรือบินรบทั้งมวลต่างก็แปรขบวนมุ่งหน้าไปหาทั้งคู่ แสดงให้เห็นความตั้งใจที่จะขัดขวางอย่างชัดเจน


หวังเป่าเล่อได้เปรียบเพราะมีทั้งความเร็วและความคล่องตัวสูง แถมขณะนี้ยังเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจ ชายหนุ่มมองเห็นโชคชะตาของตนเองอยู่บนทะเลดวงดาว ความรู้สึกราวกับเป็นปลาที่เพิ่งหวนคืนสู่ท้องสมุทรอันยิ่งใหญ่มอบความหยิ่งผยองมากล้นให้ ชายหนุ่มยกมือไขว้หลังพลางหันหน้าไปมองเฟิ่งชิวหรัน ผู้ที่ตามอยู่ข้างหลัง ก่อนจะพูดขึ้นอย่างเฉยชา


“ผู้อาวุโสชิวหรัน ต่อไปข้าจะเร่งความเร็วแล้ว ตัวข้ามีเกราะจักรพรรดิแถมยังมีกำลังกายที่เข้มแข็งนัก ความเร็วของข้าในตอนนี้นั้น แม้ตัวข้าเองยังตะลึง เพราะบ้านเกิดของข้าอยู่ในหมู่ดาว หากท่านตามไม่ทันก็อย่าฝืนร่างกายเลย ได้โปรดบอกข้าโดยเร็วเถิด” หวังเป่าเล่อกำลังจะห้อตะบึงออกไปในขณะที่เฟิ่งชิวหรันจู่ๆ ก็มีสีหน้าแปลกแปร่ง นางยกมือขวาขึ้นโบก ก่อนจะมีแสงสีขาวส่องสว่างออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บของนาง


แสงสว่างเจิดจ้านั้นมาหยุดอยู่ข้างกายเฟิ่งชิวหรัน ก่อนจะขยายตัวขึ้นและแปรสภาพกลายเป็นกระบี่ขนาดยักษ์ขนาดยาวสามร้อยเมตร!


แม้ว่าจะมีรูปทรงคล้ายอาวุธ แต่คลื่นพลังวิญญาณที่หลั่งไหลออกมาและโครงสร้างก็ดูชัดเจนว่าเป็นเรือบินรบขนาดย่อม อันที่จริงแล้วเรียกว่าเป็นกระสวยอวกาศอาจจะถูกต้องกว่า!


ผิวภายนอกของมันส่องแสงเรื่อเรืองที่ทำให้อากาศรอบๆ บิดเบี้ยว ดูคล้ายอสูรที่อยากพุ่งทะยานออกไปแต่มีผู้ควบคุมขี่อยู่บนหลัง มันพยายามดิ้นรนอยู่ไปมา และเมื่อใดก็ตามที่เชือกซึ่งคล้องคออยู่คลายออก มันก็พร้อมพุ่งทะยานหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันที!


หวังเป่าเล่อตกตะลึงไปชั่วขณะเมื่อได้เห็นกระสวยนั้น เฟิ่งชิวหรันก้าวขึ้นกระสวยอย่างใจเย็น ก่อนจะหันศีรษะมามองหวังเป่าเล่อที่ยังตะลึงอยู่ นางไม่ได้เอ่ยถ้อยคำใด แต่นัยน์ตาพูดแทนทุกสิ่ง นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดหวังเป่าเล่อจึงดูอยากเสียแรงเหาะไปในเมื่อมีกระสวยอวกาศให้ใช้ได้ตลอดเวลา…


“หากเจ้าอยากเหาะไปด้วยตัวเอง ข้าก็ไม่ขัดข้อง…” เฟิ่งชิวหรันจ้องลึกเข้าไปในตาหวังเป่าเล่อขณะที่เอ่ยตอบอย่างเห็นอกเห็นใจ


หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบไป…


ชายหนุ่มจ้องกระสวยตาไม่กะพริบ เห็นได้ชัดว่ากระสวยนี้เป็นวัตถุเวทที่น่าทึ่ง จากนั้นเขาจึงหลุบศีรษะลงมองขาทั้งสองข้างของตน หวังเป่าเล่อนิ่งงันไปชั่วอึดใจ ต่อให้เป็นคนอับจนปัญญาก็ยังบอกได้ว่าการเดินทางด้วยกระสวยอวกาศและการใช้ขาทั้งสองข้างนั้นแตกต่างกัน…แต่ชายหนุ่มได้พูดไปเสียใหญ่โตก่อนหน้านั้น และคงน่าอับอายหากจะต้องคืนคำ เขาไม่แน่ใจนักว่าต้องทำอย่างไรต่อไป ในวินาทีนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็มองเห็นเรือบินสำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนมากปรากฏขึ้นมาล้อมพวกเขาไว้ ผู้ฝึกตนจำนวนหนึ่งรีบรุดออกมาจากเรือบินเหล่านั้น ดาวพุธอยู่ใต้เท้าของพวกเขา เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็ติดตามพวกเขามาในรูปขอพายุหมุนขนาดยักษ์เช่นกัน สีหน้าของหวังเป่าเล่อจริงจังขึ้นในบัดดล


“ผู้อาวุโสชิวหรัน ช่างน่าเสียดาย สหพันธรัฐขณะนี้กำลังพบกับการรุกรานจากพลังชั่วร้าย ในฐานะศิษย์น้อง ข้าเสียใจที่ไม่อาจนำทางท่านต่อไปในขณะที่เราท่องอวกาศไปด้วยกันด้วยเท้าทั้งสองข้าง และจ้องมองดวงดาวต่างๆ ในสหพันธรัฐไปด้วยข้าขอปฏิญาณ ข้าจะชดเชยให้ท่านเมื่อเราขจัดพวกคนชั่วช้าเหล่านี้ออกไปจากแผ่นดินได้สำเร็จ เอาละ…เรารีบไปกันเถิด” หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอก่อนจะยกเท้าก้าวขึ้นกระสวยไป ชายหนุ่มขึ้นไปยืนอยู่เคียงข้างเฟิ่งชิวหรันโดยไม่ใส่ใจสายตาแปลกแปร่งของนางที่จ้องมองมา สีหน้าเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ ไม่มีร่องรอยของความเหนียมอายอยู่เลยแม้แต่น้อย


เห็นได้ชัดว่าหวังเป่าเล่อมีความสามารถได้การพูดจากล่อมตัวเองเป็นอย่างยิ่ง เฟิ่งชิวหรันเป็นศิษย์พี่ของตนและเป็นว่าที่ภรรยาของหลี่ซิงเหวิน ตนควรเรียกนางว่าอาจารย์ย่าด้วยซ้ำไป และไม่มีอะไรน่าอับอายหากต้องยอมอ่อนข้อให้ผู้เป็นอาจารย์ย่า การรู้จักนบนอบให้กับผู้ใหญ่ย่อมเป็นเรื่องดี!


หลังจากที่ได้ปลอบใจตนเองเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็รู้สึกว่าเขาช่างประพฤติตนได้เหมาะสมเสียจริง


เฟิ่งชิวหรันหันมาจ้องหวังเป่าเล่อครั้งหนึ่ง ความไร้ยางอายของเขาไม่ได้ทำให้นางขุ่นเคืองแต่อย่างใด อันที่จริงแล้ว มันออกจะน่าเอ็นดูเสียด้วยซ้ำ นางเริ่มมองเขาเป็นเด็กที่ทำตัวสมอายุอีกครั้ง


เขาเป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น นางหัวเราะอย่างชื่นใจ ก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ด้วยมือขวา ส่งให้มีแสงสีขาวจำนวนมากอาบชโลมพวกเขาก่อนจะไหลบ่าท่วมบริเวณนั้นราวกับเป็นแสงดาว แสงนั้นเริ่มเคลื่อนที่ ก่อนจะปลดปล่อยพลังอันรุนแรงและเคลื่อนตัวด้านหน้าด้วยความเร็วตัดผ่านอวกาศราวกับเป็นมีดที่ทะลุผ่านเนยเหลวกระนั้น กระสวยพุ่งออกไปไกลนำหน้าเรือบินรบและผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่ มันทะยานหนีไปก่อนที่เมี่ยเลี่ยจื่อในรูปพายุหมุนจากดาวพุธจะมาถึงตัว


กระสวยนั้นรวดเร็วกว่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณเสียอีก นับเป็นหนึ่งในสมบัติระดับสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาล เฟิ่งชิวหรันที่เป็นผู้อาวุโสสูงสุดได้เห็นทั้งความรุ่งโรจน์และการล่มสลายของสำนัก กระสวยนี้มาอยู่ในความครอบครองของนางเนิ่นนานเสียจนอาจจะนับว่าเป็นของใช้ส่วนตัวของนางก็ได้ ความเร็วของมันพาเฟิ่งชิวหรันและหวังเป่าเล่อลอยละล่องผ่านแนวสกัดของเรือบินรบศัตรูมาได้อย่างง่ายดาย


หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นระรัวเมื่อรู้สึกถึงความเร็วของกระสวย มีวงแหวนปราณอันหนึ่งฉาบเคลือบกระสวยเอาไว้ มันก่อตัวเป็นเกราะป้องกันที่ช่วยให้ผู้โดยสารในกระสวยไม่รู้สึกวิงเวียนแม้จะเคลื่อนที่ไปด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อก็ตามที ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ข้อความเสียง เพราะชายหนุ่มสามารถพูดได้ตามสบาย เขาหันหน้าไปมองดาวพุธที่หดเล็กลงทุกทีด้วยสายตาฉงนสงสัย


“เจ้าสิ่งนี้น่าประทับใจเสียเหลือเกิน” หวังเป่าเล่อย่อตัวลงไปสัมผัสผิวภายในของกระสวย ความรู้ด้านวัตถุเวทบอกชายหนุ่มว่ากระสวยนี้ต้องเป็นอาวุธเวทระดับเก้าเป็นอย่างน้อย แม้จะไม่ใช่อาวุธเทพ แต่ระดับพลังของมันก็ถือว่าใกล้เคียง เขาเงยหน้าขึ้นก่อนจะหันไปทางเฟิ่งชิวหรัน


“ผู้อาวุโสชิวหรัน…ข้าขอยืมกระสวยไปศึกษาเสียหน่อยได้หรือไม่ขอรับ”


เฟิ่งชิวหรันเลิกคิ้ว นางกำลังจะอ้าปากพูด แต่แหวนสื่อสารของหวังเป่าเล่อก็สั่นขึ้นมาเสียก่อน เสียงที่เปี่ยมไปด้วยความกังวลของหลี่ซิงเหวินดังมาตามสาย


“เจ้าตัวแสบ ยังไม่ตายใช่หรือไม่ เป็นอะไรบ้างหรือเปล่า”


หวังเป่าเล่อรู้สึกถึงความอบอุ่นเมื่อได้ยินเสียงของชายชรา ชายหนุ่มกดเปิดลำโพง ก่อนจะพูดเข้าไปในแหวนสื่อสารว่า


“ข้าน้อยขอบคุณท่านอาจารย์ปู่ที่เป็นห่วง โปรดวางใจได้ เป่าเล่อจะทำหน้าที่ตามคำสั่งที่ได้รับมา ข้าจะนำอาจารย์ย่าไปส่งถึงดาวศุกร์อย่างปลอดภัยให้จงได้ ต่อให้ต้องตายก็ตาม!”


หลี่ซิงเหวินเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนจะพูดขึ้นมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


“เป่าเล่อ ทำได้ดีมาก อาจารย์ย่าของเจ้าสำคัญสำหรับข้ามากนัก ข้ากินไม่ได้นอนไม่หลับมาตลอดระยะเวลานี้ เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของนาง”


ลมหายใจของเฟิ่งชิวหรันขาดช่วงไปเมื่อได้ยินเสียงที่ดังผ่านแหวนสื่อสาร อารมณ์ความรู้สึกมามายถาโถม ฉายชัดอยู่ในแววตาและสีหน้าที่แปลกแปร่ง หวังเป่าเล่ออดที่จะชื่นชมหลี่ซิงเหวินไม่ได้ นับว่ามีประสาทสัมผัสไวสมกับเป็นอดีตผู้นำแห่งสหพันธรัฐโดยแท้ ชายชราเดาถูกตั้งแต่ตอนที่หวังเป่าเล่อเรียกเฟิ่งชิวหรันว่าอาจารย์ย่า ว่าชายหนุ่มกดเปิดลำโพงแหวนสื่อสาร


“เป่าเล่อ ข้ากำลังไป เจ้าจงปกป้องอาจารย์ย่าและระวังพวกตระกูลไม่รู้สิ้นด้วยเล่า… เป่าเล่อ ข้าติดหนี้เจ้าครั้งใหญ่แน่นอน ข้า…” หลี่ซิงเหวินมีน้ำเสียงร้อนรนใจ เห็นได้ชัดว่าเขาอยากจะพบเฟิ่งชิวหรันโดยเร็ว ชายชราไม่ได้มีโอกาสบอกความรู้สึกของเขาอย่างหมดเปลือก หวังเป่าเล่อเริ่มรู้สึกเคอะเขินเมื่อเฟิ่งชิวหรันกระแอมกระไอออกมา นางเองก็ไม่อาจอดทนได้อีกต่อไปแล้วเช่นกัน


“หลี่ซิงเหวิน…”


“ชิวหรัน!” เสียงดังสนั่นเหมือนเก้าอี้ล้มดังมาจากอีกฝากหนึ่งของแหวนสื่อสาร ตามมาด้วยเสียงของหลี่ซิงเหวิน ผู้ซึ่งขณะนี้แทบจะสิ้นสติด้วยอารมณ์ที่ถาโถม


“หลี่ซิงเหวิน เจ้า…”


“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ชิวหรัน เจ้าเหนื่อยหรือเปล่า บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ ปวดเมื่อยหรือเปล่าเล่า ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะดูแลเจ้าเองทันทีที่เจ้ามาถึงสหพันธรัฐ ข้าจะทำให้พวกคนที่รังแกเจ้าต้องชดใช้อย่างสาสม!”


เฟิ่งชิวหรันถึงกับเงียบงันเพราะถ้อยประกาศอันเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ของหลี่ซิงเหวิน นางมีชีวิตผ่านสงครามมา ทำให้แก่ลงไปถนัดตา ความรักกลายมาเป็นสิ่งแปลกหน้าที่เกินจะเอื้อมถึง ถ้อยคำของหลี่ซิงเหวินทำให้นางสั่นไหวจนลึกถึงในใจ ใบหน้าเป็นสีชมพูระเรื่อขึ้นมาถนัดตา หวังเป่าเล่อกระแอมกระไอเบาๆ หลี่ซิงเหวินตอนนี้ทำตัวราวกับเป็นคนหนุ่มที่ลุ่มหลงในคนรักจนโงศีรษะไม่ขึ้น


หลี่ซิงเหวินรู้จักหวังเป่าเล่อดี ชายชราบอกหวังเป่าเล่อทันทีว่าให้ส่งแหวนสื่อสารให้เฟิ่งชิวหรันเสีย ชายหนุ่มไม่อาจทัดทานจึงต้องยอมทำตาม เมื่อแหวนสื่อสารไปอยู่ในมือนางแล้ว นางจึงหรี่เสียงลงก่อนจะพูดคุยกันหลี่ซิงเหวินต่อไป


หวังเป่าเล่อไม่รู้เลยว่าหลี่ซิงเหวินพูดอะไรบ้าง แต่ใบหน้าของเฟิ่งชิวหรันดูจะแดงก่ำขึ้นมากหลังจากที่คุยกับอีกฝ่ายจบ นัยน์ตาของนางไม่สับสนอีกต่อไป แต่มีความศรัทธาและมั่นใจเข้ามาแทนที่


“อาจารย์ย่าชิวหรันขอรับ”


เฟิ่งชิวหรันผงกศีรษะขึ้นจ้องมองหวังเป่าเล่อ นางไม่ได้ปฏิเสธชื่อใหม่นี้แม้แต่น้อย ทว่านางกลับหันเหทิศทางที่กระสวยกำลังมุ่งไป จากนั้นจึงพูดออกมาอย่างเร่งรีบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“อาจารย์ปู่ของเจ้าบอกเส้นทางนี้กับข้า หากเราไปตามทางนี้ น่าจะใช้เวลาราวสองวันก็จะถึงจุดหมายและพบกับเขาก่อน หลังจากนั้น…” จู่ๆ สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็เปลี่ยนไป ชายหนุ่มหันศีรษะไปทันที แสงสีแดงฉานปรากฏขึ้นเหนือศีรษะพวกเขาก่อนจะแผ่กระจายออกเป็นทะเลสีแดงที่ปกคลุมกระสวยเอาไว้ทันที


อากาศข้างบนทะเลสีแดงบิดเบี้ยว ก่อนที่เรือบินรบของสำนักวังเต๋าไพศาลจะปรากฏขึ้นนับหมื่นลำ แต่ละลำส่องแสงสีแดงกล้าออกมา ซึ่งเป็นที่มาของทะเลสีแดงนี้ ทำให้หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันต้องติดอยู่ภายในกระสวย!


ซ้ำร้าย หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันตัวสั่นด้วยความกลัวเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่คุ้นเคยสี่กระแสซึ่งพวยพุ่งออกมาจากเรือบินรบสำนักวังเต๋าไพศาล…ทั้งหมดต่างอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสิ้น!



 

 

 


บทที่ 689 ติดกับ!

 

พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่ระเบิดขึ้น ทะเลสีแดงพวยพุ่งออกมาโอบล้อมกระสวยเอาไว้ราวกับเป็นคลื่นยักษ์ ก่อนจะกลืนกระสวยลำจ้อยเข้าไปในพริบตา!


ราวกับว่าทะเลสีแดงกำลังค่อยๆ แปรสภาพกลายเป็นมือขนาดยักษ์ มือนั้นจับกระสวยไว้จากข้างใต้ก่อนที่มันจะได้ออกตัวด้วยความเร็วสูงเพื่อหนีการสกัดกั้นไป!


จากนั้นทะเลสีแดงก็ค่อยๆ ไหลมารวมตัวกัน ราวกับว่าจะแช่แข็งตัวเองและกระสวย รวมไปถึงอวกาศบริเวณนั้นทั้งหมดให้กลายสภาพเป็นน้ำแข็งไปกระนั้น


ขณะที่สิ่งนี้กำลังเกิดขึ้น พลังอันน่าสะพรึงกลัวก็แพร่กระจายไปทั่วทะเลแดงก่อนจะตรงมายังกระสวย!


กระสวยสั่นอย่างรุนแรง ทำให้เฟิ่งชิวหรันและหวังเป่าเล่อที่ยืนอยู่ด้านในถึงกับสะเทือนตาม ความตื่นตระหนกฉายชัดอยู่ในสีหน้าของทั้งคู่ พวกเขาสังเกตว่ากระสวยส่งเสียงแกรกกรากเพราะแรงกดดันมหาศาลที่บีบรัดเอาไว้ และมีทีท่าเหมือนว่าจะแตกสลาย ในไม่ช้ากระสวยต้องถูกขยี้จนเป็นผุยผงอย่างแน่นอน


แม้ว่ามันจะเป็นวัตถุเวทระดับสูงยิ่ง แต่ก็ไม่อาจต้านทานพลังของเรือบินรบนับหมื่นลำได้ ดังนั้นจึงพร้อมจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ


“สั่งให้กระสวยทำลายตัวเองเถิดขอรับ!” หวังเป่าเล่อพูดด้วยสีหน้าจริงจัง ไม่มีเวลาพูดอะไรอย่างอื่นแล้ว ชายหนุ่มตะโกน ก่อนจะกระโจนขึ้นไปในอากาศ เส้นปราณโลหิตพวยพุ่งออกมาจากร่าง เกราะจักรพรรดิก่อตัวขึ้นรอบกายอันใหญ่โตของเขาอีกครั้ง เทพสงครามร่างอ้วนท้วนก็ปรากฏตัวให้เห็นอีกครา หวังเป่าเล่อปล่อยพลังปราณทั้งหมดของตนออกมา ชายหนุ่มเตรียมตัวพร้อมทั้งการป้องกันและการโจมตี


ความไม่แน่ใจปรากฏขึ้นบนสายตาของเฟิ่งชิวหรัน นิสัยที่ไม่เด็ดขาดของนางไม่ได้เปลี่ยนความเป็นจริงที่ว่านางเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณที่แข็งแกร่ง และผ่านประสบการณ์การสู้รบมาอย่างโชกโชน บทสนทนาระหว่างนางและหลี่ซิงเหวินเองก็มีส่วนช่วยเช่นกัน นางชั่งใจอยู่ชั่วครู่ ก่อนที่ความมุ่งมั่นจะปรากฏชัดในแววตา มือทั้งสองประกบเข้าหากันสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ก่อนจะประกบเข้าหาผนังกระสวย


พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่เคลื่อนที่เข้ามาประชิดกระสวยจากสี่ทิศ และก่อนที่พวกเขาจะเข้ามาล้อมกระสวยที่ติดอยู่ท่ามกลางทะเลแดงได้สำเร็จ ยานพาหนะลำนั้นก็เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา แสงนั้นสุกสว่างจนกลบความสว่างของดวงดาวในอวกาศไปเสียสิ้น จนแทบจะทำให้ผู้ที่พบเห็นต้องตาบอดไป


ราวกับว่ากระสวยได้แปรสภาพเป็นดวงอาทิตย์ขนาดย่อมซึ่งเผาไหม้ตัวเองอย่างรวดเร็วก่อนที่จะ…ระเบิด!


แรงกระแทกอันรุนแรงกระจายไปทั่วอวกาศราวกับเป็นหิมะถล่ม เปรียบได้กับท้องฟ้าถล่มหรือแผ่นดินทลายก็ไม่ปาน กระแสพลังวิญญาณพวยพุ่งออกมาไม่ต่างจากคลื่นยักษ์ที่ถาโถม ระลอกพลังอันรุนแรงนั้นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า!


แรงระเบิดเปี่ยมไปด้วยจิตสัมผัสแห่งความตายและความบ้าคลั่งที่ฉีกทะเลสีแดงจนเปิดออกในบัดดล ราวกับเป็นการจุดระเบิดในภูเขาหิมะกระนั้น!


วัตถุดิบระดับสูงที่ใช้ในการหลอมกระสวยส่งให้ความเสียหายเพิ่มสูงขึ้นไปอีก ทำให้เกิดแรงระเบิดที่รุนแรงยิ่งกว่าแรงระเบิดทั่วไปหลายเท่านัก!


ทะเลสีแดงที่กำลังจะกลายเป็นน้ำแข็งสั่นสะท้านก่อนระเบิดในพริบตา กลายเป็นส่วนหนึ่งของแรงระเบิดจากกระสวย แรงกระแทกยังหยุดผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่เอาไว้ได้อีกด้วย พวกเขาต้องเปลี่ยนทิศทางเพื่อหลบแรงกระแทก เรือบินรบไม่อาจเปลี่ยนทิศได้เร็วเท่าจึงต้องรับแรงระเบิดเข้าไปเต็มๆ


กระบวนเรือบินรบเกิดโกลาหลขึ้นมาเมื่อกระสวยทำลายตัวเอง ตอนนั้นเอง หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันจึงฉวยโอกาสหนีไป


เฟิ่งชิวหรันควบคุมให้แรงระเบิดส่วนมากกระจายออกไปด้านนอก ส่งผลให้ทั้งตัวนางเองและหวังเป่าเล่อแทบไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด นางมีพลังปราณระดับเชื่อมวิญญาณคุ้มกันอยู่ ส่วนหวังเป่าเล่อก็มีเกราะจักรพรรดิ เมื่อทั้งสองรอดจากแรงกระแทกระลอกต่อๆ มาแล้ว ก็พากันพักฟื้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพุ่งออกไปด้วยความเร็วเต็มพิกัด โดยมีแรงผลักระเบิดของกระสวยเป็นตัวส่ง และฉวยโอกาสตอนที่เรือบินรบของศัตรูเสียขบวน เคลื่อนที่มุ่งตรงไปข้างหน้าราวกับเป็นลูกศรที่ออกจากแล่ง!


ความเร็วของพวกเขา บวกกับแรงผลักจากระเบิด ทำให้ทั้งคู่ดูเสมือนภาพเลือนลาง พวกเขาผ่าทะลุทะเลสีแดง สร้างแรงกระเพื่อมในอวกาศ ก่อนจะมาโผล่อยู่อีกด้านหนึ่งของกระบวนเรือบินรบของศัตรู!


บรรดาผู้ฝึกตนบนเรือบินรบเหล่านั้นต่างก็มองเห็นการหลบหนีของทั้งคู่เต็มตา ทว่าแต่ละคนต่างยังวุ่นวายและมึนงงกับแรงระเบิด ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่เองก็ด้วย พวกเขาต่างก็ตกตะลึงไปตามๆ กันเมื่อเห็นศัตรูหนีรอดเงื้อมมือไปได้หวุดหวิด!


โอกาส…ที่พวกเขาจะรอดจากการสกัดกั้นนี้ไปได้มีเพียงแค่เสี้ยวเดียว ไม่มีใครคาดคิดว่าทั้งคู่จะรอดไป ต้องมีใครสักคนตัดสินใจระเบิดกระสวยทันทีที่เรือบินรบเริ่มเข้ามาล้อม มันอาจดูเป็นการตัดสินใจที่ง่าย แต่คงมีไม่กี่คนที่จะสามารถตัดสินใจเรื่องเช่นนี้ได้ภายในเสี้ยววินาที


จุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้การหลบหนีครั้งนี้สำเร็จคือความรวดเร็วในการการตัดสินใจที่จะระเบิดกระสวยทิ้ง!


บรรดาผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่ที่ถูกแรงระเบิดผลักออกไปนั้นต่างเคยเป็นผู้ฝึกคนขั้นจุติวิญญาณของสำนักวังเต๋าไพศาลด้วยกันทั้งสิ้น หนึ่งในนั้นคือชื่อหลิน ผู้ซึ่งอยู่ฝ่ายเฟิ่งชิวหรันและยังมีความบาดหมางกับหวังเป่าเล่อมาก่อน


เขาเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่เป็นเจ้าของร่างให้ปรสิตตระกูลไม่รู้สิ้น ระดับพลังปราณของเขาก็ได้รับการส่งเสริมจนบรรลุถึงขั้นเชื่อมวิญญาณ เขาหรี่ตาลงก่อนจ้องมองไปยังทิศทางที่หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันมุ่งหน้าไป เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ตั้งใจจะเร่งรีบติดตาม เพียงแค่ยิ้มเยาะออกมา


ไม่ใช่เขาเพียงคนเดียว แต่ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกสามคนก็ต่างยิ้มเยาะด้วยเช่นกัน พวกเขาบรรลุสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณได้หลังจากที่กลายมาเป็นเจ้าของร่างให้ปรสิตตระกูลไม่รู้สิ้น สายตาของพวกเขาจับจ้องไปยังอวกาศห่างไกลที่เฟิ่งชิวหรันและหวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไป ความเวิ้งว้างอันดำมืดและเย็นเยียบเริ่มบิดเบี้ยวและหมุนวน!


สายตาของหวังเป่าเล่อแสดงความตกใจ เฟิ่งชิวหรันเองก็หรี่นัยน์ตาลง ทั้งสองพยายามเปลี่ยนเส้นทาง แต่ก็สายเกินไป รอยแยกในอวกาศที่ขวางอยู่ตรงหน้าแปรสภาพเป็นพายุหมุนขนาดยักษ์!


มันดูคล้ายหลุมดำที่นำพาไปสู่สถานที่ที่ไม่รู้จัก การหมุนวนไม่รู้จบดูเหมือนจะไปเปิดประตูอวกาศเข้า หมอกสีแดงสดสองก้อนทะลักออกมาจากภายใน!


หมอกทั้งสองก้อนยาวหลายร้อยเมตร มันพุ่งตรงเข้ามาหาหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันทันทีที่ปรากฏ พลางแผ่พลังที่กดพลังปราณของทั้งคู่เอาไว้ พวกเขาไม่อาจหลบหนีได้เลย


หมอกแดงนั้นเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว เฟิ่งชิวหรันก้าวถอยหลัง ใบหน้าซีดขาว ก่อนจะตบไปที่กระเป๋าคลังเก็บและหยิบกระดิ่งออกมา อักขระสีขาวทะลักออกมาจากกระดิ่งเมื่อนางเขย่ามันอย่างรุนแรง ก่อนจะไหลเข้ามารวมตัวกันเป็นกำแพงยาวหลายร้อยเมตรและเริ่มฟาดฟันพัดหมอกออกไปเพื่อซื้อเวลาให้ทั้งสองได้หนี


กำแพงยักษ์ที่เกิดจากอักขระโบราณพุ่งผ่านหมอกแดงปริศนาไป ทว่าหมอกนั้นกลับไหลบ่าเข้าท่วมตัวเฟิ่งชิวหรันที่กำลังตกใจสุดขีด ก่อนจะกลืนนางลงไปและขังนางเอาไว้


หวังเป่าเล่อไม่รอช้า ร่างกายของชายหนุ่มพร่าเลือนก่อนจะแยกตัวออกไปเป็นร่างอวตาร ร่างอวตารหยุดนิ่ง เหมือนจะถูกพลังเกินต้านของหมอกแดงกดเอาไว้ และหยุดอยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อ ไม่มีเวลาให้ชายหนุ่มใช้ลูกไม้เดิมๆ คือการสลับที่กับร่างอวตาร


เป้าหมายเดียวที่เขาเรียกร่างอวตารออกมาคือเพื่อระเบิดมันนั่นเอง!


ร่างอวตารพุ่งเข้าใส่หมอกแดงทันทีที่ออกมาจากกายหวังเป่าเล่อ และก่อนที่หมอกแดงจะกลืนหวังเป่าเล่อเข้าไป ร่างอวตารก็ระเบิดตัวเอง!


แรงระเบิดรุนแรนเป็นอย่างยิ่ง มันกวาดผ่านอวกาศราวกับเป็นพายุหมุนรุนแรง พัดเอาหมอกสีแดงให้สั่นไหวก่อนจะเคลื่อนไหวช้าลงในทันที


หวังเป่าเล่อฉวยโอกาสนั้นถอยหนีอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นโครมครามอยู่ในอก เสียงสัญญาณเตือนภัยดังก้องอยู่ในศีรษะ ชายหนุ่มมองเห็นหมอกสีแดงก้อนที่สามที่กำลังลอยออกมาจากพายุหมุน ภาพนั้นทำเอาเขาขนหัวลุกซู่ ทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้นต่างเตรียมตัวมาดีจริงๆ ขณะที่เขากำลังจะหนีออกไปนั้นเอง ชื่อหลินและผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกสามคนก็ใกล้เข้ามา พร้อมที่จะโจมตี


คลื่นพลังวิญญาณไหลบ่าท่วมอวกาศ ก่อให้เกิดทั้งพายุหมุนและลมแรงพัดพาไปทั่ว หวังเป่าเล่อเริ่มท่องบทสวด แต่ก็ไม่เป็นผล เขามีเกราะจักรพรรดิอยู่ แถมยังมีดวงดาวใกล้ๆ ที่มอบพลังให้ แต่ก็ไม่มีประโยชน์ ชายหนุ่มไม่อาจรับมือผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณพร้อมกันสี่คนได้ เกราะของเขาสั่นไหวอย่างรุนแรงขณะที่ชายหนุ่มกระเด็นไปข้างหลัง เลือดกระเซ็นออกมาจากปาก หมอกสีแดงสองก้อนพุ่งเข้าใส่ก่อนจะกลืนเขาเข้าไป!


บนท้องฟ้ามีหมอกสีแดงอยู่สองก้อน ก้อนหนึ่งใหญ่กว่าอีกก้อน พวกมันหมุนวนอยู่ไปมา ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก


“เรียกรวมผลผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคน นี่คือประกาศจากผู้อาวุโสสูงสุด จงเปิดใช้วงแหวนปราณและเล็งเป้าไปที่คนทรยศหวังเป่าเล่อเสีย จงทำลายวิญญาณของเขาให้สิ้น!”


“จงปลดคาถาที่สะกดผู้อาวุโสสูงสุดเฟิ่งชิวหรันเสีย เพื่อที่นางจะได้ฟื้นคืนสติกลับมา!” เสียงของชื่อหลินดังขึ้นในใจของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนในเรือบินรบบริเวณใกล้เคียง พวกเขาตัวสั่นก่อนจะนั่งลงในทันที และปล่อยพลังปราณออกมาเต็มกำลัง แสงสีแดงปรากฏขึ้นจากเรือบินรบทุกลำอีกครั้ง และฉายลงมาบนหมอกสีแดงจนทุกสิ่งกลายเป็นสีแดงสด!



 

 

 


บทที่ 690 วิชาดวงตาปีศาจ!

 

เรือบินรบนับหมื่นมารวมตัวกันไม่ไกลจากดาวพุธนัก พื้นที่บริเวณนี้ถูกปกคลุมด้วยทะเลสีแดงไปจนทั่ว ผู้ฝึกตนนับหมื่นต่างก็ส่งพลังปราณเข้าไปในทะเลสีแดงและเริ่มกระบวนการหลอม!


อาจจะเรียกว่าการหลอมได้ เพราะนี่คือการสร้างวงแหวนปราณชนิดพิเศษภายใต้การนำของชื่อหลินและผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนอื่นๆ!


วงแหวนปราณนี้เป็นกระบวนเวทที่ชั่วร้ายของตระกูลไม่รู้สิ้น มีชื่อว่ากระบวนเวทหล่อวิญญาณพินาศ!


กระบวนการทั้งหมดอาจอธิบายได้ว่าเป็นวิธีการหลอมแบบพิเศษเพื่อจะยัดเยียดวิญญาณจำนวนมหาศาลเข้าไปในร่างกายมนุษย์ การหลอมอย่างต่อเนื่องจะทำให้ร่างกายของมนุษย์ผู้นั้นกลายเป็นระเบิดมนุษย์ วงแหวนปราณช่วยปรับแต่งและเพิ่มพูนพลัง แรงระเบิดที่เกิดจากระเบิดมนุษย์จะไม่ใช่ผลรวมของพลังปราณและวิญญาณที่เข้าไปในวงแหวนปราณ แต่เป็นการเพิ่มชนิดเท่าทวีคูณแทน


ช่างเป็นพลังที่รุนแรงอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งกลืนกินวิญญาณเข้าไปมากเพียงใด ยิ่งพลังปราณถูกส่งเข้าไปมากเท่าใด แรงระเบิดในตอนท้ายก็จะรุนแรงขึ้นเท่านั้น ฝูงผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่เดินขึ้นเรือบินรบมานั้นไม่รู้เลยว่าพวกตนถูกใช้เป็นเครื่องมือ และกำลังส่งวิญญาณของตนให้วงแหวนปราณกลืนกิน!


ขณะที่พลังปราณของคนเหล่านี้หลั่งไหลเข้าไปในวงแหวนปราณ วิญญาณของพวกเขาจะหลอมรวมเข้ากับวงแหวนปราณด้วย พวกเขาจะค่อยๆ กลายเป็นส่วนหนึ่งของวงแหวนปราณไปโดยอย่างไม่รู้ตัว


ทั้งหมดนี้…เป็นแผนของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันมาโดยตลอด!


ไกลออกไปจากทะเลสีแดง เรือบินรบจำนวนมากของสำนักวังเต๋าไพศาลล่องลอยอยู่ภายในมิติอวกาศที่บิดเบี้ยว บนนั้นมีผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลอยู่หลายคน พวกเขาถูกเรียกมายังทะเลแดงและกำลังรอคอยคำสั่ง โดยที่ไม่รู้สักนิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตน


คนเหล่านี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันด้วยเช่นกัน!


ต้องยอมรับว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเป็นอัจฉริยะ แม้ไม่อาจออกมาจากเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้นได้เพราะต้องซ่อมแซมมัน แต่ก็ยังวางแผนทำลายแนวป้องกันที่สองของสหพันธรัฐเอาไว้ แถมยังคิดออกมาได้ภายในระยะเวลาอันสั้นท่ามกลางเหตุการณ์ไม่คาดฝันนานัปการ ทั้งยังรับมือกับการปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันได้อีกด้วย


เป็นแผนเรียบง่ายที่มุ่งเน้นการโจมตีจุดอ่อนและล่อเอากองกำลังที่เหลือของศัตรูออกมา หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันเป็นเหยื่อที่จะล่อให้คนของสหพันธรัฐออกมาช่วยเหลือ ไม่ว่าจะมากี่คนก็ไม่มีผล เพราะพวกเขาทุกคนจะต้องถูกทำลายจนย่อยยับ จากการคาดคะเนของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ชายชราเชื่อว่ามีโอกาสมากที่สหพันธรัฐจะแสร้งทำเป็นเตรียมการโจมตีครั้งใหญ่ เพื่อหันเหความสนใจจากปฏิบัติการณ์ช่วยเหลือ และเมื่อช่วยเพื่อนสำเร็จ พวกเขาก็จะล่าถอยไปเมื่อมีโอกาส


“เมื่อเวลานั้นมาถึง…และเมื่อพวกเขามาถึง ก็จะเป็นโอกาสอันดีในการใช้พลังของกระบวนเวทหล่อวิญญาณพินาศ พวกเราจะทำลายกำลังหลักของสหพันธรัฐ และดาวศุกร์ ซึ่งเป็นกุญแจสู่วงแหวนปราณระบบสุริยะ ก็จะตกเป็นของพวกเราอย่างง่ายดาย!


“สิ่งเดียวที่ข้ากลัวคือพวกที่มาช่วยจะมีน้อยเกินไป!


“แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น พวกเราก็ยังมีภาชนะขั้นเชื่อมวิญญาณอีกสองคนที่จะเป็นอาวุธหนักในการโจมตีดาวศุกร์อยู่ดี!” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันขณะนี้นั่งนิ่งอยู่บนเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นบนดาวพุธ ดวงตาของเขาหรี่เล็ก ซุกซ่อนประกายแสงแห่งการรอคอยอยู่ภายใน ขณะที่ใบหน้าซึ่งมีรอยยิ้มน้อยๆ กำลังบ่นพึมพำอยู่กับตนเอง


สหพันธรัฐเสียเปรียบหากเป็นเรื่องขั้นการฝึกปราณและความรู้ด้านกระบวนเวท แม้ว่าพวกเขาจะมีวงแหวนปราณระบบสุริยะช่วย ก็ยังยากที่จะสัมผัสได้ถึงกระบวนเวทหล่อวิญญาณพินาศของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เป็นเหตุให้ชายชราไม่คิดเปลี่ยนแปลงแผนการณ์แต่อย่างใด


กองกำลังของสหพันธรัฐแสร้งทำเป็นเคลื่อนพลออกจากดาวศุกร์ไปยังดาวพุธ หลี่ซิงเหวิน ผู้นำกองกำลังย่อยนเดินทางล่วงหน้าออกมาก่อน ชายชราเร่งรุดไปยังจุดนัดพบที่เขาได้นัดแนะกับเฟิ่งชิวหรันไว้ก่อนหน้า


ทุกๆ การเคลื่อนไหวของสหพันธรัฐผ่านการวางแผนมาเป็นอย่างดีโดยกลุ่มนักวางแผนผู้รอบรู้ พวกเขาจำลองสถานการณ์ของสงครามผ่านข้อมูลทั้งหมดที่สามารถเข้าถึงได้ แม้จะไม่ล่วงรู้ถึงกับดักที่วางรอไว้ แต่ก็คำนวณเรื่องการถูกซุ่มโจมตีเอาไว้บ้าง แผนการณ์ของพวกเขาจึงมีการเตรียมการรับมือเอาไว้ล่วงหน้าด้วย


แน่นอนว่า ไม่มีใครรู้เลยว่าแผนสำรองนั้นจะมีประสิทธิภาพเพียงใด


แผนของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันและภารกิจช่วยเหลือจากสหพันธรัฐก็ดำเนินไปพร้อมๆ กัน ในใจกลางพายุ บริเวณที่ทะเลสีแดงตั้งอยู่ มีหมอกสีแดงสองก้อน ภายในหมอกมีคนกำลังถูกหลอมให้กลายเป็นภาชนะ หวังเป่าเล่ออยู่ภายในหมอกแดงก้อนหนึ่ง ชายหนุ่มกำลังเผชิญกับการตัดสินใจอันยากลำบาก ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ได้เกิดขึ้นกับเขาบ่อยนัก!


เขาไม่รู้เลยว่าเฟิ่งชิวหรันเป็นอย่างไรบ้างในตอนนี้ แต่ชายหนุ่มรู้ถึงขีดจำกัดของเกราะจักรพรรดิและร่างกายของตนดี ทั้งคู่กำลังถูกย่อยสลายไปอย่างรวดเร็วภายในหมอกสีแดง เป็นไปได้มากว่าเฟิ่งชิวหรันก็คงอยู่รอดได้ไม่นานไปกว่าเขานัก อันที่จริงแล้ว นางอาจอยู่ได้ไม่นานเท่าเขาด้วยซ้ำ


หมอกสีแดงนี้ประหลาดยิ่ง มันมีพลังที่จะผนึกและขังพวกเขาเอาไว้ แถมยังสามารถย่อยสลายได้ ภายในนั้นทั้งเย็นเยียบและแปลกแปร่ง หวังเป่าเล่อไม่อาจสลัดหลุดได้ไม่ว่าจะดิ้นรนสักเพียงใดก็ตาม ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนเป็นแมลงวัน และหมอกสีแดงก็เป็นดั่งมือขนาดยักษ์ที่จับเขาไว้อย่างแน่นหนา ไม่ทีทางให้เขาหนีรอดไปได้เลย กระทั่งจะเคลื่อนไหวก็ยังลำบาก


หวังเป่าเล่อทำได้เพียงมองเมื่อหมอกเริ่มกัดกินเกราะจักรพรรดิของเขาไปทีละน้อย และทันทีที่เกราะจักรพรรดิสลายไปจนสิ้น ชายหนุ่มก็จินตนาการได้ว่าร่างกายของเขา วิญญาณจุติของเขา และสุดท้ายคือวิญญาณของเขาที่จะถูกกัดกินต่อไป


ไขมันวิญญาณในกายข้าคงช่วยซื้อเวลาได้เล็กน้อยเท่านั้น…หวังเป่าเล่อหัวใจหล่นวูบ ชายหนุ่มไม่อาจสัมผัสถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกได้และไม่รู้ว่าตนเองยังอยู่ในตำแหน่งเดิมที่ถูกจับตั้งแต่ต้นหรือไม่ หัวใจของชายหนุ่มเริ่มลุกลี้ลุกลน


หากตระกูลไม่รู้สิ้นพยายามจะใช้เฟิ่งชิวหรันและตัวข้าเป็นเหยื่อล่อ…นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อกระตุก หัวใจเต็มล้นไปด้วยความกังวล ชายหนุ่มพยายามดิ้นรนให้หลุดแต่ก็ไร้ผล เขายิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นทุกที อันตรายก็ยิ่งใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ โอกาสที่เขาจะรอดชีวิตออกไปได้ก็น้อยนิดเหลือเกิน!


ทางเดียวที่ทำได้คือข้าต้องสร้างร่างอวตารขึ้นมาเรื่อยๆ แล้วระเบิดมันอย่างต่อเนื่อง ลองระเบิดดูก็ยังดีกว่าติดอยู่ที่นี่แล้วถูกย่อยจนตาย…สิ่งเดียวที่ข้ากังวลก็คือข้าจะต้องสู้กับผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณถึงสี่คน จะต้องเป็นการต่อสู้ที่ยากลำบากแน่นอน…เดี๋ยวก่อนนะ ไหนจะเมี่ยเลี่ยจื่ออีก เขาจะต้องตามมาทันแน่ๆ! หวังเป่าเล่อคิดไม่ตก ช่างโชคร้ายที่พวกเขาไม่ได้อยู่ใกล้ดาวพุธอีกต่อไป เมื่อมองดูสถานการณ์แล้ว ชายหนุ่มอาจจะต้องเสี่ยงเรียกวัตถุเวทแห่งความมืดออกมา


ข้าไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ว! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อสะท้อนประกายแห่งความบ้าคลั่ง ชายหนุ่มกัดฟันและเตรียมตัวเรียกร่างอวตารออกมาเพื่อจะได้ส่งให้ระเบิด ทันทีที่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อปรากฏและพร้อมที่จะระเบิดตัวเองนั้น ชายหนุ่มก็จ้องมองไปทางหมอกที่เลือนลางตรงหน้าด้วยสายตาเบิกโพลง!


มีใบหน้าหนึ่งล่องลอยผ่านไปแว่บหนึ่งในหมอกนั้น แม้จะจางหายไปแทบจะในทันที แต่หวังเป่าเล่อก็มองเห็นความโลภโมโทสันและความร้ายกาจที่ปรากฏอยู่บนใบหน้านั้น ราวกับว่ามันมองเห็นหวังเป่าเล่อเป็นอาหารอันโอชะและอยากจะลองชิมสักคำหนึ่งกระนั้น


นั่นมัน…หัวใจของชายหนุ่มเต้นระรัว เขาล้มเลิกความคิดที่จะระเบิดร่างอวตารก่อนจะตรวจสอบหมอกโดยรอบอย่างถี่ถ้วน นัยน์ตายังเบิกโพลงอยู่ ไม่นานนัก เขาก็มองเห็นใบหน้านั้นอีกครั้ง ครั้งนี้ต่างออกไป ใบหน้านั้นมีสีหน้าสับสน


นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อลุกโชนเมื่อได้เห็น ชายหนุ่มไม่ได้กระทำการผลีผลาม เขายังคงรอคอยต่อไป ในไม่ช้า ก็มีใบหน้าจำนวนมากโผล่ขึ้นมา บ้างก็เป็นบุรุษ บ้างก็เป็นสตรี บ้างก็ดูดุร้าย บ้างก็ดูงุนงง ใบหน้าบางหน้าเปี่ยมไปด้วยความโลภ บางหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความสัปดน


ดวงไฟวิญญาณปรากฏขึ้นข้างๆ ใบหน้าเหล่านั้น ก่อนจะเกาะกุมตัวกันและมาล่องลอยอยู่รอบๆ หวังเป่าเล่อ


นี่มันเหมือนกับมีคนยื่นหมอนมาให้ตอนที่รู้สึกง่วงนอนแท้ๆ! หวังเป่าเล่อกะพริบตาปริบ ความตื่นเต้นยินดีสุดประมาณไหลบ่าท่วมหัวใจ วิญญาณคนตายเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย ในฐานะบุตรแห่งความมืด การเห็นวิญญาณเหล่านี้ก็ราวกับได้เห็นข้ารับใช้รายล้อมอยู่รอบตัว


ชายหนุ่มลิงโลดใจเป็นยิ่งนัก เริ่มประเมินสถานการณ์ใหม่อีกครั้งหนึ่ง


ข้าไม่รู้เลยว่าทำไมพวกเขาจึงมาอยู่ที่นี่ แต่ตราบใดที่มีวิญญาณซุกซ่อนอยู่ในหมอกนี้มากพอ ข้าก็ย่อมใช้วิชาแห่งศาสตร์มืดหนีออกไปได้ ไม่มีความจำเป็นต้องระเบิดร่างอวตารอีกต่อไป!


ข้าจะใช้ดวงวิญญาณเหล่านี้เป็นอาวุธก็ได้เช่นกัน…แต่หลังจากที่หลุดออกไปได้ ต่อให้มีวิญญาณให้ใช้ ข้าก็ยังต้องรับมือผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอีกถึงสี่คน ยังมีกองกำลังเรือบินรบและผู้ฝึกตนฝ่ายศัตรู แถมยังต้องช่วยเฟิ่งชิวหรันอีก แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำได้สำเร็จ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง


นอกเสียจากว่าข้าจะแข็งแกร่งขึ้นได้มาก ในชั่วพริบตา…


พลังนั้น…ไม่ใช่อุปกรณ์ในการเข่นฆ่าเท่านั้น และเพราะเหตุนี้…วิชาดวงตาปีศาจ…ความบ้าคลั่งส่องประกายอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อ หากชายหนุ่มเลือกเส้นทางของวิชาดวงตาปีศาจ เขาก็จะส่งตนเองลงไปยังเส้นทางที่เต็มไปต้องเข่นฆ่าเพื่อได้มาซึ่งพลัง หากมีเส้นทางอื่น หวังเป่าเล่อก็ไม่อยากจะเลือกทางนี้ เพราะกระบวนเวทขั้นจุติวิญญาณถือเป็นสะพานที่เชื่อมระหว่างรากฐานการฝึกตนกับการจุติ เป็นกุญแจที่จะกำหนดทิศทางสถานที่ที่พวกเขาจะไปในอนาคต


“แต่จะมีอนาคตได้อย่างไรหากข้ายังรอดปัจจุบันไปไม่ได้!” หวังเป่าเล่อเป็นบุรุษผู้เด็ดเดี่ยว เส้นเลือดในดวงตาของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน ความมุ่งมั่นฉายชัดอยู่บนดวงตาขณะที่ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง เขาไม่รอช้าอีกต่อไป แม้ว่ามือทั้งสองข้างจะถูกผนึกจนขยับไม่ได้ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังสามารถท่องคาถาวิชาดวงตาปีศาจในใจได้


ดวงตาสีดำน่าสะพรึงกลัวปรากฏขึ้นข้างกายเขา ดวงตานั้นหลับอยู่ มันปรากฏเป็นรูปร่างอย่างช้าๆ พลางแผ่รัศมีสีดำสนิทที่ไปเปรอะเปื้อนอากาศรอบข้าง ก่อนจะไหลบ่าเข้าปกคลุมทั่วบริเวณ ตอนนั้นเอง รัศมีชั่วร้ายเย็นเยียบก็ไหลบ่าออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อช้าๆ!



 

 

 


บทที่ 691 ดวงตาปีศาจสีดำ!

 

หวังเป่าเล่อรู้จักวิชาดวงตาปีศาจเป็นครั้งแรกในนิมิตมืด วิชานี้เป็นเคล็ดเวทแปลกประหลาดที่มีต้นกำเนิดมาจากอารยธรรมฝึกปราณที่สูญสิ้นไปแล้ว จารึกนั้นสิ้นสุดลงตรงเคล็ดเวทขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น สำนักแห่งความมืดไม่ได้ให้ความสนใจกับมันมากนัก แต่เพราะพลังทำลายล้างที่รุนแรง ทำให้วิชาดวงตาปีศาจติดหนึ่งในสามเคล็ดเวทขั้นจุติวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดที่สำนักแห่งความมืดเคยมีมา หากฝึกตนไปพร้อมๆ กับวิชาแห่งศาสตร์มืด ก็จะปลดปล่อยพลังที่ทำให้มันกลายเป็นเคล็ดเวทขั้นจุติวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดที่สำนักเคยพบเห็น แต่วิชาดวงตาปีศาจกลับถูกทอดทิ้งเพราะจารึกนั้นไม่สมบูรณ์


เคล็ดเวทนี้มุ่งเน้นเรื่องการเข่นฆ่า มีด้วยกันห้าระดับ แต่ละระดับจะเพิ่มพูนพลังปราณของผู้ฝึก รวมไปถึงความแข็งแกร่งและความเร็ว โดยที่สองอย่างหลังนี้จะเพิ่มขึ้นสองเท่าในทุกระดับ


พูดตามทฤษฎีแล้ว ผู้ฝึกตนที่สามารถไปถึงระดับสามได้จะแข็งแกร่งและเร็วกว่าตอนที่เริ่มฝึกเคล็ดเวทถึงแปดเท่า และเป็นสามสิบสองเท่าเมื่อไปถึงระดับที่ห้า!


ระดับแรกมีไว้สำหรับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นต้น ระดับสองสำหรับชั้นกลาง ระดับสามสำหรับชั้สูง และระดับสี่สำหรับขั้นจุติวิญญาณชั้นสมบูรณ์ มาถึงระดับนี้พลังปราณของผู้ฝึกจะเรียกได้ว่าสูงจนแทบจะเหลือเชื่อ จากนั้น ยังมีระดับสุดท้ายของเคล็ดเวทนี้ หรือระดับที่ห้าอีก!


มีวิธีการปกติสำหรับการเลื่อนระดับ ซึ่งคือการฝึกฝนทั่วไป และทางลัด ทางลัดนั้นเกี่ยวข้องกับการสังหาร ยิ่งเข่นฆ่ามากเท่าใด ก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเท่านั้น แล้วก็จะยิ่งบ้าคลั่งขึ้นด้วยเช่นกัน!


ในความเป็นจริงแล้ว การเข่นฆ่านี่ละ คือการฝึกฝนเคล็ดเวทนี้อย่างแท้จริง!


ในจารึกบอกไว้ว่า ในช่วงแรกๆ ของการฝึกฝนเคล็ดเวทนี้ ผู้ฝึกตนสามารถเรียกดวงตาสีขาวออกมาไว้ข้างกายได้ นี่อาจเป็นจริงสำหรับผู้ฝึกตนทั่วๆ ไป แต่หากฝึกฝนวิชาแห่งศาสตร์มืดก่อนที่จะฝึกเคล็ดเวทนี้ ดวงตาที่เรียกออกมาจะเป็นดวงตาปีศาจสีดำสนิท!


เหมือนดวงตาเย็นเยียบแปลกประหลาดที่มาปรากฏอยู่ข้างกายหวังเป่าเล่อในขณะนี้!


แม้จะมีแค่ดวงเดียวในตอนนี้ แต่เมื่อหวังเป่าเล่อฆ่าคน เขาจะสามารถดึงวิญญาณเทพออกมาจากศพ และวิญญาณนั้นจะแปรสภาพกลายมาเป็นดวงตาปีศาจดวงต่อไป ดวงตาปีศาจแต่ละดวงสามารถสกัดกั้นคาถาได้ และการทำลายดวงตาก็จะปลดปล่อยพลังออกมาจำนวนมหาศาล เทียบเท่ากับการระเบิดร่างของเจ้าของดวงวิญญาณเทพที่ใช้สร้างดวงตานี้ขึ้นมาเลยทีเดียว


ดูจะเข้ากับวิชาแห่งศาสตร์มืดได้ดียิ่ง…ที่จริงแล้ว ดูเหมือนจะทำงานเข้าคู่ได้ดีกับวิชาลักอัคคีด้วย! หวังเป่าเล่อนั่งทำสมาธิอย่างแน่วแน่ แถมยังหลับตาแน่นขณะที่เริ่มฝึกฝนวิชาดวงตาปีศาจ ความคิดมากมายไหลวนอยู่ในศีรษะ ชายหนุ่มหวนคิดไปถึงวิชาลักอัคคีของตน


วิชาลักอัคคีเป็นอีกหนึ่งเคล็ดเวทที่เน้นสังหารผู้อื่น หัวใจของการฝึกคือการดูดเลือดเนื้อของสิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามา ด้วยวิธีนี้ร่างกายของผู้ฝึกก็จะแข็งแกร่งขึ้น และพลังปราณก็จะเพิ่มขึ้นด้วย หวังเป่าเล่อได้ปรับแต่งให้เกราะจักรพรรดิในฐานะภาชนะหลัก เป็นตัวรับสสารทุกอย่างที่วิชาลักอัคคีซึมซับมา ก่อให้เกิดการประสานรวมพลังระหว่างวิชาลักอัคคีและเกราะจักรพรรดิซึ่งเป็นเหมือนวัตถุเวทนอกกาย จึงทำให้มีขีดจำกัดอยู่


“แม้ว่าวิชาลักอัคคีจะมีขีดจำกัด แต่วิชาดวงตาปีศาจไม่มี” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตัวเอง เขาดูเหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้ในที่สุด ความนิ่งสงบเริ่มปกคลุมจิตใจเมื่อชายหนุ่มถอดเกราะจักรพรรดิออกจากกาย


ร่างกายที่เป็นประหนึ่งภูเขาเนื้อหนังอันใหญ่โตของหวังเป่าเล่อออกมาสัมผัสหมอกทันที ชายหนุ่มดูเหมือนอสูรยักษ์โบราณ ที่ปลดปล่อยคลื่นพลังน่าสะพรึงกลัวออกมาไม่หยุดยั้ง


คลื่นพลังปราณขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางแผ่ออกมาจากกายเขาไม่หยุดหย่อน ชายหนุ่มใกล้จะไปถึงจุดสูงสุดของขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางเต็มที ปราณวิญญาณจำนวนมหาศาลสั่งสมอยู่ในกายเขาในรูปของไขมันวิญญาณ ซึ่งจะช่วยเป็นรากฐานให้หวังเป่าเล่อในการฝึกวิชาดวงตาปีศาจ


ยิ่งพลังปราณของเขารุดหน้าขึ้นเท่าใด ดวงตาสีดำที่ลอยอยู่เบื้องหลังก็ยิ่งเด่นชัดขึ้นเท่านั้น มันปล่อยคลื่นพลังเย็นเยียบที่เย็นขึ้นเรื่อยๆ ออกมา พร้อมๆ กันนั้น ร่างกายของหวังเป่าเล่อก็เริ่มหดเล็กลง!


ไขมันวิญญาณจำนวนมากแปรสภาพไปเป็นปราณวิญญาณ และหลั่งไหลเข้าไปในดวงตาปีศาจ สิ่งนี้ไม่ใช่การดูดซับธรรมดาๆ ที่ผ่านมาหวังเป่าเล่อมีเพียงพลังปราณแต่ไม่มีเคล็ดวิชาฝึกปราณ มาบัดนี้…ชายหนุ่มตัดสินใจเลือกเคล็ดวิชาที่จะกำหนดแนวทางการฝึกปราณของเขาแล้ว วิชาดวงตาปีศาจถูกปลุกขึ้นมา ร่างกายของเขาเหมือนจะถูกแยกส่วนออกเป็นชิ้นเล็กๆ ก่อนจะประกอบกันขึ้นมาใหม่ ขณะที่หวังเป่าเล่อผลักดันตัวเองเข้าไปในเส้นทางของวิชาดวงตาปีศาจ!


ขนาดตัวของหวังเป่าเล่อหดลงกว่าครึ่งในชั่วพริบตา ชายหนุ่มบรรลุวิชาดวงตาปีศาจระดับหนึ่งแล้ว และพลังปราณของเขาก็บรรลุขั้นจุติวิญญาณชั้นต้นอย่างแท้จริงเสียที!


ยังไม่จบแค่นั้น วิชาดวงตาปีศาจยังคงทำงานบนร่างของเขาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มันยังคงหดเล็กลงเรื่อยๆ ไม่นานนัก หวังเป่าเล่อก็กลับมามีขนาดตัวเท่าคนปกติอีกครั้ง และได้บรรลุวิชาดวงตาปีศาจระดับที่สอง!


มีเสียงระเบิดดังกึกก้องอยู่ในใจชายหนุ่มราวกับสายฟ้าฟาด ดวงตาปีศาลเบื้องหลังเขาขณะนี้ยิ่งชัดเจนขึ้นทุกขณะจนดูเหมือนของจริง รูปลักษณ์ของมันช่างน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง


ความก้าวหน้าของชายหนุ่มกับวิชาดวงตาปีศาจยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อยังคงใช้ปราณวิญญาณจำนวนมากที่เก็บกักมาจากวังลำดับสุดท้าย แม้ว่าไขมันวิญญาณในกายจะหมดไปแล้ว แต่ก็ยังมีปราณวิญญาณคงเหลืออยู่มากมายในเส้นปราณที่คอยเป็นพลังให้เขาไต่ขึ้นไปถึงวิชาดวงตาปีศาจระดับที่สามได้


เพียงนับหนึ่งถึงสิบ พลังปราณภายในกายของหวังเป่าเล่อก็หยุดหมุนวน เพราะได้ผสานรวมเข้ากับวิชาดวงตาปีศาจโดยสมบูรณ์ ส่งให้ดวงตาปีศาจบรรลุจากระดับสองขึ้นไปเป็นระดับสาม!


ไปจนถึงขั้นจุติวิญญาณชั้นปลาย!


ร่างของหวังเป่าเล่อสั่นไหวรุนแรง ก่อนที่จะมีรัศมีแก่กล้าที่แข็งแกร่งและเข้มข้นยิ่งกว่าอะไรที่ชายหนุ่มเคยมีมาระเบิดออกมาจากร่าง มันเป็นพลังกล้าแกร่งที่ดูราวกับจะกลืนกินทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไปจนสิ้น!


ใบหน้าผีสางวิญญาณที่ยังคงปรากฏขึ้นในหมอกสีแดงซึ่งล้อมรอบกายเขาอยู่เริ่มตอบสนองต่อพลังที่ระเบิดออกมานั้น สีหน้าของพวกมันเปลี่ยนไป มีความเคารพ หวาดกลัว และความยำเกรงเข้ามาแทนที่ เหล่าวิญญาณเริ่มถอยหนี


พวกมันรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกจากกายของหวังเป่าเล่อและดวงตาน่าสะพรึงกลัวที่อยู่ด้านหลัง ความกลัวทิ่มแทงเหล่าวิญญาณราวกับเป็นลิ่ม ดวงไฟวิญญาณที่มีพลังขึ้นมาเพราะวิชาแห่งศาสตร์มืดซึ่งหลั่งไหลออกมาขณะที่หวังเป่าเล่อฝึกปราณอยู่ก็เกรงกลัวไม่ต่างกัน พวกมันไม่กล้าเข้ามาใกล้


หากเลือกได้ เหล่าดวงวิญญาณคงอยากหนีให้ห่างจากหวังเป่าเล่อ แต่ถึงกระนั้น หมอกสีแดงก็เป็นคุกของพวกมันเช่นกัน พวกมันติดอยู่ในนี้ในขณะที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ไม่อาจจะหนีรอดไปได้ วิธีเดียวที่จะออกไปได้คงต้องผ่านหวังเป่าเล่อ โดยการกลืนกินเขาหรือไม่ก็ถูกเขากลืนกินเข้าไป


ดวงวิญญาณเริ่มสับสนยิ่งขึ้น เจตจำนงของวิชาหล่อวิญญาณพินาศยังคงหลอกหล่อ กดดัน และเชื้อเชิญพวกมันให้เข้ามา วิญญาณที่มารวมตัวกันอยู่ในหมอกสีแดงเริ่มดิ้นรนและโกรธเกรี้ยว ความหงุดหงิดและแรงโทสะเริ่มเติบโต หมอกสีแดงทั้งก้อนค่อยๆ คำรามและเดือดดาลไปด้วยอารมณ์รุนแรง


ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่ได้คาดการณ์ถึงสถานการณ์นี้มาก่อน ชื่อหลินและผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณคนอื่นๆ รวมไปถึงผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่กำลังทำสมาธิกับอยู่บนเรือบินรบ ที่วิญญาณกำลังถูกวงแหวนปราณดูดเข้าไปอย่างไม่หยุดหย่อน ไม่ได้รับรู้ถึงการก่อตัวขึ้นของอสูรร้ายที่พวกเขากำลังสร้างแม้แต่น้อย


แต่ความผันผวนของหมอกที่จับหวังเป่าเล่อไว้ชัดเจนกว่าก้อนที่ขังเฟิ่งชิวหรันไว้มากนัก ดังนั้นมันจึงไม่อาจรอดพ้นสายตาของชื่อหลินและพรรคพวกไปได้ หมอกสีแดงที่จับเฟิ่งชิวหรันไว้สงบนิ่งมาก เมื่อเทียบกับก้อนของหวังเป่าเล่อ ไม่มีใครบอกได้ว่าเกิดสิ่งใดอยู่ด้านใน แม้กระนั้น พวกเขาก็ยังสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณแปลกประหลาดที่หลุดรอดออกมาจากหมอกสีแดงนั้น


ความแตกต่างกันของหมอกทั้งสองก้อนเบนความสนใจของพวกเขาไป แต่เพราะไม่อาจเข้าไปตรวจสอบด้านในได้ ชื่อหลินและพรรคพวกจึงทำได้เพียงขมวดคิ้วและจ้องมองเท่านั้น หมอกสีแดงไม่เพียงเป็นคุกที่ขังนักโทษเอาไว้ แต่ยังเป็นโล่ที่กันเหล่าผู้คุมเอาไว้ด้านนอกและปกปิดทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นภายในด้วย


“บางทีอาจเป็นเพราะความพิเศษของหวังเป่าเล่อก็เป็นได้…” ชื่อหลินและพรรคพวกมองตากันไปมา พวกเขาต่างก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจหลังจากได้รับข้อความเสียงหลายข้อความ จนในที่สุด พวกเขาก็ตัดสินใจไปขอคำปรึกษาศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน


แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้น ภายในหมอกสีแดง หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งนั่งทำสมาธิมาโดยตลอดและเพิ่งจะฟื้นตัวเต็มที่ ก็ลืมตาขึ้น!


ใบหน้าที่รายล้อมชายหนุ่มอยู่ภายในหมอกสีแดงสั่นคลอนอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าพวกมันกำลังจะกรีดร้อง แต่ต้องอดกลั้นเอาไว้เพราะความกลัว ใบหน้าเหล่านั้นสั่นสะท้าน สีหน้าก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความกลัว ราวกับว่าเพียงคำเดียวจากปากหวังเป่าเล่อจะสามารถตัดสินความเป็นความตายของพวกมันได้กระนั้น


นัยน์ตาเยือกเย็นของหวังเป่าเล่อมองกวาดไปยังดวงวิญญาณที่รายล้อมอยู่ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นช้าๆ ประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ในแววตา จากนั้นเขาก็ลดมือลงและชี้นิ้วไปข้างหน้า ไม่ได้เอื้อนเอ่ยถ้อยคำใด ถึงกระนั้นเจตจำนงของเขาก็เข้าไปอยู่ในดวงวิญญาณทุกดวงภายในหมอกสีแดงผ่านการยกมือเพียงครั้งเดียว พวกมันตัวสั่นก่อนจะกลับหลังหันทันที ราวกับเป็นทหารที่เพิ่งได้รับคำสั่ง ก่อนจะเริ่มพุ่งตัวไปข้างหน้าอย่างรุนแรง!


หมอกสีแดงสั่นคลอนและกระตุกหนัก มันขยายตัวออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง ราวกับว่าพร้อมจะระเบิดได้ทุกขณะ ใบหน้านับไม่ถ้วนส่งเสียงร้องโหยหวนและดิ้นรนไปมาอยู่ภายใน สีหน้าของพวกมันบิดเบี้ยวด้วยความบ้าคลั่ง


ชื่อหลินและพรรคพวกต่างมีสีหน้าตื่นตกใจเมื่อได้เห็น พวกเขาสัมผัสได้ถึงอันตราย แต่ก่อนที่จะได้มองดูให้เห็นชัดเจน ก็มีพลังอันเหลือเชื่อปะทุออกมา ราวกับเป็นคลื่นยักษ์ที่ถาโถมพร้อมกลืนกินทุกสิ่งเข้าไป หรือไม่ก็ภูเขาไฟที่ปะทุรุนแรงจนแทบแยกแผ่นดิน หมอกสีแดงไม่อาจต้านทานวิญญาณคลั่งได้อีก ผิวชั้นนอกของมันเริ่มปริแตก ก่อนจะปล่อยให้วิญญาณที่อยู่ภายในทะลักทลายออกมา!


ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณทั้งสี่รับการโจมตีเข้าไปอย่างจัง พวกเขาไม่อาจจะหนีได้ จึงต้องยอมรับแรงกระแทกเข้าไปเต็มๆ จนตัวสั่นล่าถอยไม่เป็นขบวน เรือบินรบที่รายล้อมอยู่ก็กระดอนไปราวกับเป็นของเล่นเด็ก ก่อนจะปลิวหายไปไกลโพ้นในอวกาศ ความวุ่นวายเข้าปกคลุมชั่วขณะ ชื่อหลินและผู้ฝึกตนคนอื่นๆ มีสีหน้าตื่นตกใจสุดขีด บรรดาวิญญาณที่หลุดจากหมอกสีแดงพวยพุ่งออกมาก่อนจะหันหลังกลับไปมองหมอกสีแดงทันที พวกมันจ้องเขม็งเข้าไปภายในหมอก ก่อนจะหลุบศีรษะลงต่ำและนั่งคุกเข่า!


เป็นภาพที่น่าตื่นตะลึงนัก ชายร่างผอมสูงก้าวออกมาจากหมอก ผมยาวสยายลงคลุมบ่าเมื่อเขาย่างสามขุมออกมาอย่างแช่มช้า!


ชายผู้นั้นคือหวังเป่าเล่อนั่นเอง


“ต้องขอบใจพวกเจ้า ข้าจึงตัดสินใจเลือกเส้นทางการฝึกตนที่ควรดำเนินไปได้เสียที!” น้ำเสียงเยียบเย็นราวกับน้ำแข็งดังขึ้นในใจของทุกคน มันทรงพลังราวกับสามารถแช่แข็งตรึงทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ได้ ด้านหลังหวังเป่าเล่อ มีเส้นร่างของดวงตาสีดำสนิทกำลังก่อตัวอยู่


ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)