หมอดูยอดอัจฉริยะ 686-689
ตอนที่ 686 เข้าป่า
โจวเซี่ยวเทียนขับรถนิ่งมาก เยี่ยเทียนก็ไม่ได้รีบ พอตกดึก พวกเขาจึงค้างคืนที่อันหุย และไปถึงอู่ฮั่นอีกทีในวันที่สอง
จากอู่ฮั่นไปถึงทางเข้าหมู่บ้านมู่อวี๋ เสินหนงเจี้ยนยังเหลือระยะทางอีก 4-5 ร้อยกิโล คืนที่สาม รถของเยี่ยเทียนเพิ่งขับมาถึงหมู่บ้าน
หมู่บ้านมู่อวี๋อยู่ทางใต้ของ เสินหนงเจี้ยน รอบ ๆ มีจุดท่องเที่ยวมากมาย งดงามดุจภาพวาด ถือว่าเป็นแหล่งเศรษฐกิจของที่นี่และเป็นศูนย์กลางการต้อนรับนักท่องเที่ยว ประตูที่เปิดให้คนนอกคือประตูทิศใต้
“อาจารย์ครับ ที่นี่คนเยอะนะครับ เป็นนักท่องเที่ยวทั้งนั้นเลยใช่มั้ยครับ ? ”
โจวเซี่ยวเทียนขับรถไปจอดไว้ที่ด้านหน้าโรงแรมโครงสร้างไม้แห่งหนึ่ง บริเวณลานกว้าง มีรถจอดอยู่เจ็ดแปดคันเป็นป้ายทะเบียนอู่ฮั่นทั้งหมด น่าจะเป็นนักท่องเที่ยวที่พักที่นี่
“น่าจะใช่ เซี่ยวเทียน ไปจัดการจองห้อง วันนี้เราพักที่นี่กัน”
เยี่ยเทียนพยักหน้าพร้อมผิวปากกับเหมาโถวเดิมทีเหมาโถวนอนหลับอยู่ที่นั่งแถวหลังมันกระโดดขึ้นหัวไหล่เยี่ยเทียนอย่างรวดเร็ว และหมุนตัวอยู่รอบคอของเยี่ยเทียน เหมือนผ้าพันคอขนเฟอร์ราคาแพง
เดือนพฤศจิกายนเป็นเดือนที่เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว สถานที่ที่ใกล้ป่าแบบนี้ ทำให้คนรู้สึกว่าลมแห่งฤดูใบไม้ผลินั้นเยือกเย็นยิ่งนัก เยี่ยเทียนแต่งตัวแบบนี้ ก็ไม่แปลก
โรงแรมนี้คล้ายการท่องเที่ยวชนบทในปักกิ่ง ตอนกลางคืนจะมีการแสดงรอบกองไฟจนถึงเที่ยงคืนกว่า จากนั้น บริเวณรอบ ๆ ถึงจะเงียบสงบ
“คนสมัยก่อนเคยพูดไว้ พื้นหญ้านั้นมีชีวิต ดูแล้ว ก็มีเหตุผลเหมือนกัน”
แม้ในร่างกายจะไม่มีปราณชีวิตแท้แล้ว แต่การนั่งสมาธิเป็นการฝึกสติสัมปชัญญะ หลังจากบริเวณรอบ ๆ เงียบสงบ เยี่ยเทียนนั่งขัดสมาธิบนเตียงและเริ่มสัมผัสปราณวิเศษของฟ้าดินที่อยู่รอบตัว
ปราณวิเศษของที่นี่ข้นน้อยกว่าค่ายกลรวมปราณที่ฮ่องกง แต่ปราณวิเศษจาง ๆ นี้กลับมีชีวิตชีวาและทรงพลังให้ความรู้สึกสดชื่นมาก
“ปราณวิเศษในป่า บริสุทธิ์กว่าบนทะเลจริง ๆ แม้ทะเลไม่มีสิ้นสุด แต่ขาดความมีชีวิตชีวานั่นเอง!”
หลังจากสัมผัสปราณวิเศษอย่างละเอียด เยี่ยเทียนได้ข้อสรุปความแตกต่าง หากพูดถึงคุณภาพ พลังปราณชีวิตดั้งเดิมของฟ้าดินที่อยู่รอบ ๆ บริเวณชนะเห็น ๆ แต่หากพูดถึงปริมาณ ค่ายกลรวมปราณของเยี่ยเทียนมีมากกว่า
“เจ้าตัวแสบ เก่งมากจริง ๆ ! ”
จู่ ๆ พลังปราณชีวิตดั้งเดิมรอบตัวเยี่ยเทียนเกิดความวุ่นวาย พอหันกลับไปมอง พบว่าเหมาโถวหมอบอยู่ตรงหน้าต่าง กำลังดูดพลังที่ลอยอยู่กลางอากาศเข้าสู่ร่างของตัวเอง
“จี จี…”
เหมาโถวลืมตาเห็นเยี่ยเทียนมองมา จึงส่งเสียงร้อง แล้วก็กลับสู่สภาพเดิม
“เจ้าตัวแสบนี่ ถ้าฝึกแบบนี้ไปเรื่อย ๆ คงไม่กลายร่างเป็นคนหรอกมั้ง ? ”
ความคิดแบบนี้ผุดขึ้นมาในหัวแป๊ปหนึ่งแล้วหายไป ความสามารถของมังกรดำในภูเขาฉางไป๋ซานเยี่ยมกว่าเหมาโถวหลายร้อยเท่า แต่ก็ยังมีหนังหุ้มไว้ไม่ใช่เหรอ
เยี่ยเทียนส่ายหัว เข้าสู่ห้วงแห่งความลึกของจิตอีกครั้ง เขาไม่ได้สังเกตว่า ความเร็วการสูดปราณวิเศษที่นี่ เหมือนจะดีกว่าค่ายกลรวมปราณ
เยี่ยเทียนไม่ได้นอนทั้งคืน หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ เยี่ยเทียนจ่ายค่าที่พักเป็นจำนวน 10 วัน และฝากรถไว้ที่โรงแรม เขาเห็นลูกศิษย์แบกกระเป๋าใบใหญ่เกือบเท่าตัวจึงพูดว่า “เซี่ยวเทียน ให้ฉันช่วยนายแบกหน่อยเถอะ”
“ไม่เป็นไรครับอาจารย์ แค่นี้เอง ไม่หนักหรอก” โจวเซี่ยวเทียนปฏิเสธ ตั้งแต่เข้าสู่ระดับพลังแฝง ความวุ่นวายภายในร่างกายถูกขจัดออกไปไม่น้อย ความแข็งแรงทางร่างกายของโจวเซี่ยวเทียนดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
“ช่วงนี้ยังมีนักท่องเที่ยวมาเที่ยวอีก ? ”
ทุกคนที่มาล้วนแต่จะไปเที่ยวในหมู่บ้าน นักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะที่นี่ เป็นอาณาเขตแห่งเทพกสิกรที่สร้างขึ้นตามภูเขา ทำให้หมู่บ้านมู่อวี๋กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่ง
ทั้งอาจารย์และลูกศิษย์เดินเร็วมาก ผ่านไปแค่ 10 นาที พวกเขาก็มาถึง เสินหนงเจี้ย ที่แห่งนี้เป็นลานกว้างขนาดใหญ่ บรรจุคนได้มากถึงพันคน
“ไม่ใช่สิ นี่เป็นค่ายกลฮวงจุ้ย”
สีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนไปทันทีหลังจากที่มาถึงลานกว้างแห่งนี้ ตรงกลางของลานกว้างมีรูปวงกลมใหญ่ แสดงถึงฟ้า สี่เหลี่ยมจัตุรัสในวงกลม แสดงถึงพื้นดิน รูปในสี่เหลี่ยมจัตุรัส เป็นธาตุทั้งห้า ได้แก่ ไม้ ไฟ ดิน ทองและน้ำ
ด้านหน้าสุดของลานกว้างมีเสาประดับโบราณสูง 10 เมตรสองเสา บนเสาสลักลวดลายศีรษะวัว
ด้านหลังเสาโบราณมีรูปสลักนูนขนาดใหญ่สองภาพ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของเทพกสิกรระหว่างเสาโบราณกับรูปสลักนูน ไม่มีแท่นบูชา ข้อบังคับของแท่นบูชาถูกกำหนดให้เป็นไปตามแบบของจักรพรรดิโบราณ เครื่องสังเวยทำด้วยทองสัมฤทธิ์วางอยู่ตรงกลาง กระถางธูป โต๊ะบูชา ระฆังทอง แท่นบูชากลองวางเรียงอยู่แถวหน้าอย่างเคร่งครัด
บางทีคนภายนอกอาจจะคิดว่านี่คือการบูชาเทพกสิกรของคนรุ่นหลัง แต่ในสายตาของเยี่ยเทียนนี่คือค่ายกลห้าธาตุพลังจักรวาล
หยินกับหยางของฟ้าดินแปรเปลี่ยนโดยผ่านค่ายกลห้าธาตุพลังจักรวาล ปราณวิเศษเข้มข้นจะรวมเข้ามาที่หอสักการะข้างหน้า
“อาจารย์ ปราณวิเศษตรงนี้ไม่ได้แย่กว่าปราณวิเศษของคฤหาสน์ที่ฮ่องกงเลยนะ”
แม้พลังของโจวเซี่ยวเทียนยังไม่เก่งมาก แต่สามารถดูดพลังปราณวิเศษมาฝึกวิชาแล้ว เขารู้สึกถึงความแตกต่างทันทีที่มาถึง
“ใช่ ค่ายนี้ตั้งโดยเซียนคนนึง ไป ไปดูกัน ! ”
เยี่ยเทียนพยักหน้าตอบ ความยากของการตั้งค่ายแห่งนี้ไม่น้อยไปกว่าค่ายรวมปราณที่ฮ่องกง เพียงแต่ว่าเยี่ยเทียนมองค่ายกลนี้แล้วไม่เข้าใจจุดประสงค์ของผู้ทำ
เยี่ยเทียนนับจำนวนขั้นบันได พบว่าตั้งแต่วิหารแห่งดินสู่หอฟ้าเทียนถานจะต้องก้าวทั้งหมด 243 ขั้น แบ่งเป็นห้าระดับ ระดับที่หนึ่ง เก้าขั้น เรียกว่า “หมิงจิ่ว” ที่เหลืออีกสี่ระดับได้แก่ 72 63 54และ45ขั้น ล้วนเป็นจำนวนทวีคูณของเก้า เรียกว่า “อั้นจิ่ว”
ในสายตาของคนทั่วไป การออกแบบให้เป็น “เก้าห้าสูงสุด” หมายถึงตำแหน่งสูงสุดของเทพกสิกร แต่เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่บนนั้น กลับรู้สึกถึงการรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้ามากกว่า
เมื่อมาถึงหน้ารูปปั้นเทพกสิกรแห่งหอฟ้าเทียนถาน แหงนมองรูปปั้นเทพกสิกร มีหัวเป็นวัว ตัวเป็นคน ตาปิดเล็กน้อย เรียบง่ายและทรงพลัง ราวกับกำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับจักรวาล รูปปั้นนี้ไม่มีฐาน มันลอยขึ้นจากพื้น ศีรษะชิดฟ้า ร่างกายสวมด้วยเมฆหลากสี
“ค่ายกลห้าธาตุพลังจักรวาลไม่ได้ใช้บูชาเทพกสิกร แล้วใช้ทำอะไร ? ”
ครุ่นคิดไปมา เยี่ยเทียนแสดงสีหน้าไม่เข้าใจออกมา เพราะปราณวิเศษที่ส่งมาจากวิหารแห่งดิน ไม่ได้ใช้ที่หอฟ้าเทียนถาน แต่มันจะทะลุและทะยานขึ้นสู่ทางเดินบนภูเขา
อากาศในเดือนสิบเอ็ดเย็นยะเยือกกระจายไปทั่ว นักท่องเที่ยวส่วนมากมาถึงวิหารแห่งดินจะไม่เดินขึ้นไปอีก หอสักการะเทียนถานในตอนนี้มีแค่เยี่ยเทียนกับลูกศิษย์
“อาจารย์ ไปกันเถอะ ! ” โจวเซี่ยวเทียนเห็นอาจารย์ยืนนิ่งอยู่หน้าเทพกสิกร เขาจึงพูดออกมา ลมบนเขาแห่งนี้ค่อนข้างแรง เขากลัวว่าเยี่ยเทียนที่กำลังรักษาตัวอยู่จะทนไม่ไหว
“อืม เซี่ยวเทียน ทางขึ้นเขาสูงชัน ระวังตัวด้วยนะ” เยี่ยเทียนพยักหน้า ในเมื่อคิดไม่ออกงั้นก็ไม่คิด บางทีถ้าไปถึง “ตลาด” ความสงสัยทั้งหมดอาจคลี่คลาย
หอสักการะเทียนถานสร้างอยู่ด้านหน้าภูเขา ในภูเขามีขั้นบันใดที่ทอดไปถึงเชิงเขา ปราณวิเศษที่ควบแน่นอยู่ตีนเขาไม่กระจาย หากมองจากระยะไกล จะเหมือนก้อนเมฆสีขาว ทำให้เส้นทางเส้นนี้เหมือนถนนที่ทอดไปสู่สวรรค์
“หืม ? หายไปไหน ? ”
หลังจากเดินอยู่ในภูเขาเกือบ 500 เมตร เยี่ยเทียนข้ามไปอีกฝั่งของภูเขาแล้ว และเขาพบว่าปราณวิเศษตรงหน้าเบาบางราวกับหายไปเกือบหมด
“อาจารย์ครับ ของดีในนี้ไม่น้อยเลยนะครับ ! ” การรับรู้ของโจวเซี่ยวเทียนไม่เก่งเท่าเยี่ยเทียน ตอนนี้เขากำลังสนใจทิวทัศน์บนนี้
“เป็นสถานที่ที่ดีจริง ๆ !”
ความสนใจของเยี่ยเทียนเปลี่ยนเป็นภูเขาแทน หลังจากลูกศิษย์กล่าวแบบนั้น กลางเขาตรงนั้น มีลิงฝูงหนึ่งกำลังกระโดดไปมาอยู่บนต้นไม้ ระหว่างหน้าผาหินยังสามารถมองเห็นร่องรอยของสมุนไพรบางชนิดได้ลาง ๆ
ส่วนตีนเขาตรงนี้ ทิวทัศน์สวยมากเช่นกัน ที่นี่ล้อมรอบไปด้วยภูเขา ต้นไม้เขียวชอุ่ม น้ำตกไหลลงมาจากหน้าผา น้ำในทะเลสาบใสจนเห็นด้านล่าง และหินในทะเลทราบมีหินรูปทรงต่าง ๆ นานา
เสียดายตรงนี้ใกล้หมู่บ้านมู่อวี๋มากเกินไป ทำให้หลายจุดบนเขาแห่งนี้แสดงร่องรอยการจัดวางโดยฝีมือมนุษย์ ซึ่งเป็นได้แค่ภาพที่ไม่ประสบความสำเร็จในสายตาของเยี่ยทียน
หลังจากพักอยู่ที่เชิงเขาสักพัก เยี่ยเทียนและลูกศิษย์ก็ปีนขึ้นไปบนภูเขาตามทางแคบ มีบ้านชั้นเดียวอยู่ตรงทางลาดชันด้านหลังภูเขา
“อาจารย์ นั่นมันจุดท่องเที่ยวชนบท”
เที่ยงวันแล้ว โจวเซี่ยวเทียนมองป้ายตรงนั้นและพูดว่า “พวกเรากินข้าวเย็นค่อยเข้าป่ากันมั้ยครับ ? ”
“อืม เซี่ยวเทียน หลังจากเข้าป่าแล้ว อาจไม่สบายเท่าไหร่นะ นายเตรียมใจไว้ให้ดีล่ะ”
เยี่ยเทียนเห็นด้วย หากเป็นไปตามแผนที่ในหัวของเขา ระยะห่างของตลาดยังห่างอยู่ร้อยกว่ากิโลเมตร หากใช้แค่สองขาเดินไป คงต้องใช้เวลาหลายวันทีเดียว
“สองท่านนี้ จะเข้าป่าทั้ง ๆ ที่อากาศเป็นแบบนี้เหรอ ? อีกไม่กี่วันหิมะจะตกแล้วนะ ! ” ผู้ชายคนหนึ่งกำลังเด็ดผักป่าอยู่ในบ้าน พอเห็นเยี่ยเทียนกับลูกศิษย์เดินเข้ามาก็รีบต้อนรับ
“ได้ข่าวว่าเส้นทางในอาณาเขตแห่งเทพกสิกร คดเคี้ยวน่าอัศจรรย์มาก พวกเราเดินไปไม่ไกล ดูเสร็จก็ออกมาเลย”
เยี่ยเทียนทักทายจับมือกับคน ๆ นั้น หยิบบุหรี่ออกจากกระเป๋าและยื่นออกไป “พี่ชายพักที่นี่ เวลาออกไปข้างนอกคงไม่สะดวกใช่มั้ยครับ ? เครื่องปรุงต่าง ๆ นานาต้องซื้อจากข้างนอกหรือ ? ”
“ไม่เท่าไหร่ ซื้อครั้งหนึ่งใช้ได้เกือบครึ่งปี ฉันปลูกผักเอง ด้านล่างเลี้ยงหมูด้วย”
ชายคนนั้นยื่นมือรับบุหรี่ของเยี่ยเทียนมาดม ไม่ได้จุดแต่ทัดไว้ที่หูและพูดต่อ “อยู่จนชินแล้ว เวลาอยู่ตีนดอยรู้สึกไม่สบายยังไงไม่รู้ นี่ก็เพิ่งกลับมา”
ที่จริงรอบนอกของอาณาเขตแห่งเทพกสิกร มีหมู่บ้านล้อมรอบมากมาย แต่ชาวบ้านย้ายออกจากภูเขาไปเกือบหมด มีบ้างเล็กน้อยที่ยังอาศัยอยู่ที่นี่ ก็เหมือนกับชายคนนี้ที่ซ่อมแซมบ้านเล็กน้อย และทำเป็นสถานที่ท่องเที่ยวชนบท
“แม่ มีแขกมา ทำกับข้าวหน่อย หุงข้าวด้วย ! ”
ชายคนนั้นหันไปตะโกน ผู้หญิงอายุราว 40 กว่าเดินออกมาจากห้องและยิ้มให้กับเยี่ยเทียนกับลูกศิษย์ หญิงคนนั้นเก็บผักป่าที่พื้นขึ้นมาและเข้าไปในห้อง
“พี่ชาย ได้ข่าวว่าในป่าแห่งนี้มีคนป่า ไม่ทราบว่าเป็นเรื่องจริงมั้ยครับ ? ” เยี่ยเทียนแสดงความสงสัยออกมาและถามชายคนนั้นออกไป
ตอนที่ 687 เรื่องเล่า
“คนป่า ? มีสิ ! ”
ชายหนุ่มครึกครื้นขึ้นมาทันทีที่ได้เยี่ยเทียนพูดถึงคนป่า เขาเช็ดมือที่เสื้อ และเรียกให้เยี่ยเทียนกับลูกศิษย์นั่งลง พูดว่า
“เมื่อก่อน หมู่บ้านอยู่ในป่าลึกเข้าไปอีก เพื่อนบ้านผมมีลูกสาวคนหนึ่ง หายเข้าไปในป่าเมื่อสิบปีที่แล้ว
พอกลับมา ก็มาพร้อมกับท้องโต ลูกที่คลอดออกมามีขนขึ้นเต็มตัว คลอดมาได้ไม่กี่วันก็ตาย ก็คนป่าเนี่ยแหละที่จับแม่เด็กไป”
“มีเรื่องแบบนี้จริงเหรอครับเนี่ย ? ” โจวเซี่ยวเทียนได้ยินครั้งแรกก็ตกตะลึงจนตาโต
“เรื่องจริงสิ”
ชายหนุ่มเห็นโจวเซี่ยวเทียนไม่เชื่อ จึงพูดเสริมว่า
“ในหมู่บ้านยังมีเด็กขนเต็มตัวอีกคนแต่พูดไม่ได้ ถ้าพวกคุณเข้าป่า คงไม่เป็นอะไร แต่ถ้ามีผู้หญิงมาหา ต้องระวังนะ”
“เหล่าฉี มัวแต่พูดอยู่นั่นแหละ รินน้ำชาให้แขกสิ”
ผู้หญิงล้างผักเสร็จเดินออกมาเห็นสามีที่กำลังโม้อยู่ เธอขำและพูดว่า
“ไม่ต้องกลัวกันหรอก ฉันอยู่ในนี้มา 40 กว่าปี ไม่เคยเห็นคนป่าเลย”
“นั่นเพราะเธอไม่เห็นเอง เรื่องแปลก ๆ ในอาณาเขตนี้มีเยอะแยะไป”
เหล่าฉีน่าจะกลัวเมีย บ่นพึมพำ เดินเข้าไปหยิบแก้วน้ำชาออกมาสองใบ จากนั้นก็ริมน้ำชาให้กับเยี่ยเทียนและโจวเซี่ยวเทียน ใบชานี้เก็บมาจากบนเขา เป็นใบชาที่มีกลิ่นหอมสดชื่น
ประโยคสุดท้ายของเหล่าฉีทำให้เยี่ยเทียนยิ่งอยากรู้มากขึ้นจึงถามต่อว่า
“พี่ฉี นอกจากคนป่าแล้ว อาณาเขตยังมีเรื่องแปลก ๆ อะไรอีกมั้ยครับ ? ”
เรื่องคนป่า เยี่ยเทียนไม่ได้สนใจมากขนาดนั้น ที่ยกประเด็นคนป่าขึ้นมา ก็เพื่อให้เหล่าฉีขยายความออกไป
ส่วนเด็กมีขน เยี่ยเทียนเคยเห็นในทีวีแล้ว จาการทดสอบยีนส์โดยนักวิทยาศาสตร์ นั่นคือความผิดปกติอย่างหนึ่งของยีนส์ ไม่ได้เกิดจากคนป่าอย่างที่พูดกันแน่นอน
เหล่าฉีหันซ้ายหันขวา พูดด้วยเสียงเบาว่า “ในอาณาเขตแห่งเทพกสิกร มีเทพเซียนอาศัยอยู่ ! ”
“เทพเซียน ? ”
เยี่ยเทียนตะลึง สายตาแสดงความดีใจออกมา แต่สีหน้ายังแสดงความไม่เชื่อและพูดว่า
“พี่ฉี พี่เห็นพวกเราเป็นเด็กเหรอ สมัยนี้จะมีเทพเซียนได้ยังไง เทพเซียนผู้นั้นบินได้ หรือ แปลงกายได้ล่ะ ? ”
ที่จริง ถ้าปราณชีวิตแท้ของเยี่ยเทียนยังอยู่ แล้วสามารถหยิบของกลางอากาศได้ตรงนั้น คนอย่างเหล่าฉีที่เห็นภาพนั้น ก็คงคิดว่าเยี่ยเทียนเป็นเทพเซียน ต้องกราบไหว้เขาแน่นอน
ถ้ามีคนระดับนั้นอยู่ในภูเขาตามที่เหล่าฉีพูด เยี่ยเทียนมั่นใจว่าต้องเป็นคนฝึกวิชา
“น้องชาย เชื่อฉันเถอะ คนอย่างเหล่าฉีไม่เคยโกหกใคร”
เหล่าฉียังไม่ทันพูดต่อ หญิงคนนั้นก็พูดแทรกขึ้นว่า
“เมื่อก่อนมีคนเคยเห็น ใต้ขาของคน ๆ นั้นมีก้อนเมฆ และหายตัวได้ในพริบตาเดียว คนที่เจอเป็นนายพรานที่เก่งที่สุดของหมู่บ้าน เขาไม่พูดโกหกหรอก”
“มีเมฆใต้ขา บินได้จริงเหรอเนี่ย ? ” เยี่ยเทียนถามต่อ “เห็นกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ? เรื่องนี้เกิดขึ้นนานแค่ไหนแล้ว ? ”
หากเป็นอย่างที่หนานไหวจิ่นเคยพูดไว้ คนที่ฝึกวิชาจนถึงระดับหลอมจิตสู่ความว่างแล้ว ปราณชีวิตแท้ในร่างกายจะเปลี่ยนแปลง ปราณชีวิตแท้ที่มองไม่เห็นเป็นได้สูงมากที่จะกลายเป็นปราณชีวิตแท้ที่มองเห็นและอยู่รอบกายได้จริง
ตอนนั้นปรมาจารย์ที่หนานไหวจิ่นเจอ ลอยอยู่ได้กลางอากาศ มีเมฆอยู่ใต้ฝ่าเท้าเหมือนกัน ซึ่งเหมือนกับสิ่งที่เมียเหล่าฉีพูดเลย
พอคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนยิ่งซ่อนความตื่นเต้นไม่ไหว ถ้ามีคนเคยเห็นจริง แปลว่ามีคนฝึกวิชาอยู่ในเขาแห่งนี้ และคน ๆ นั้น มีวิชาสูงกว่าเขา ซึ่งทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกว่ามีความหวัง
ส่วนที่ว่ามีเทพเซียนจริงหรือไม่นั้น เยี่ยเทียนไม่เห็นด้วยเท่าไหร่ เพราะเทพเซียนเป็นแค่คนที่พัฒนาความสามารถบางอย่างในตัวถึงจุดสูงที่สุด และแสดงสิ่งที่คนทั่วไปไม่สามารถทำได้ ก็เท่านั้น
ก็เหมือนกับการใช้งานสมอง คนธรรมดาใช้ไปแค่ร้อยละสองถึงร้อยละห้าเท่านั้น แต่ไอสไตน์ใช้งานสมองถึงร้อยละสิบ ทำให้คิดค้นสิ่งต่าง ๆ ออกมามากมาย
“สิบกว่าปีแล้วมั้ง ไม่ใช่เขาคนเดียวที่เคยเห็น คนแถว ๆ นี้ก็รู้กันหมด”
เหล่าฉีกดเสียงต่ำอีกครั้ง หยิบบุหรี่ที่ทัดไว้ข้างหูลงมาและพูดต่อว่า
“พวกคุณเข้าไปต้องพูดเบา ๆ นะ ห้ามด่าเทพเซียนเด็ดขาด แล้วก็เวลาสูบบุหรี่เสร็จ ต้องดับปลายให้สนิท ไม่อย่างนั้น เทพเซียนอาจโกรธได้”
“ทำไมล่ะ ? เทพเซียนสนใจเรื่องพวกเราสูบบุหรี่ด้วยเหรอ ? ” เยี่ยเทียนอึ้งกับสิ่งที่เหล่าฉีพูด คนประเภทเดียวกับเขา ขอแค่ไม่มาหาเรื่อง ปกติก็ไม่ยุ่งเรื่องของคนอื่นอยู่แล้ว
เหล่าฉีส่ายหัวและตอบว่า
“ใครจะไปรู้ล่ะ เรื่องเล่าในภูเขาเล่ากันว่าห้ามสูบบุหรี่เลยแหละ บางคนก็ว่าเทพเซียนกลัวไฟจากบุหรี่จะเผาภูเขาทั้งลูก เมื่อปีที่แล้ว มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นจริง ๆ นะ…”
ที่แท้ ฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว มีชายหนุ่มกับหญิงสาวเจ็ด แปดคน มาเที่ยวที่นี่ พวกเขาอยากสัมผัสความสนุก จึงนำเต้นท์มาด้วย และค้างคืนในป่า
อาณาเขตที่ยังไม่ถูกพัฒนาแห่งนี้ มีสัตว์ต่าง ๆ มากมาย อาทิเช่นหมีป่า เสือดาวและหมาป่า มักโผล่มาให้เห็นตอนกลางคืน และมักจะได้ยินเสียงหอนของหมาป่า
เพื่อไม่ให้สัตว์ป่ามาทำร้าย คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้จึงจุดกองไฟเอาไว้ แต่ใครจะรู้ ไฟที่เพิ่งจุดติด มันสว่างขึ้นจนแทบมองไม่เห็น เห็นเพียงแสงสีขาวผ่านไปอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นกองไฟก็ดับลงทั้งหมด
ยังไม่พอ หลังจากแสงไฟหายไป คนหนุ่มสาวกลุ่มนี้สูญเสียการรับรู้ไปด้วย เช้าวันที่สอง นอกจากเต้นท์หายไป เสบียง อุปกรณ์ทุกอย่างที่นำมาด้วยก็หายไปหมด
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความหวาดกลัวให้กับคนกลุ่มนี้มาก พวกเขาไม่กล้าอยู่ต่อ จึงออกจากป่าอย่างรวดเร็ว ส่วนเรื่องนี้ถูกเล่าขานกันเป็นเรื่องเป็นราว แม้แต่หมู่บ้านที่อยู่รอบนอกก็ยังรู้เรื่องนี้
ตั้งแต่นั้นมา เมื่อไหร่ที่มีคนต้องการเข้าไปในป่า คนในหมู่บ้านจะคอยเตือนด้วยความเป็นห่วงว่าอย่าจุดไฟในป่าเด็ดขาด
“มีแสงสีขาวผ่าน กองไฟดับลงทันทีงั้นเหรอ ? ”
เยี่ยเทียนคิดในใจ
“ระดับหลอมปราณสู่จิตทำไม่ได้แน่นอน แล้วปราณชีวิตแท้ที่ปล่อยไว้ด้านนอก ไม่มีทางเห็นแสงขาวแน่นอน หรือถ้าเป็นอุปกรณ์ดับไฟ ก็คงไม่เร็วขนาดนั้นหรอกมั้ง ? ”
พอคิดแบบนี้ จู่ ๆ เยี่ยเทียนรู้สึกดีใจมาก มีแต่คนฝึกวิชาเท่านั้นที่ทำได้ และเรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว แสดงว่าในป่าแห่งนี้มียอดฝีมืออยู่จริง ๆ
“เหล่าฉี กับข้าวเสร็จแล้วนะ พวกคุณจะดื่มกันสักหน่อยมั้ย ? ”
เหล่าฉีกับเยี่ยเทียนคุยกันนานจนภรรยาเหล่าฉีทำกับข้าวเสร็จแล้วหลายเมนู มีไข่เจียวผัดหัวหอม หน่อไม้ผัดหมู และซุปผักป่า
“เอา ดื่มกันสักหน่อยนะน้องเยี่ย ฉันมีเหล้าดองงู ดองไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว เอามาดื่มตอนนี้กำลังดี ถ้าจะไปเที่ยวในป่ากัน มันช่วยเพิ่มความอุ่นให้ร่างกายได้ !”
เหล่าฉีรีบไปหยิบเหล้าดองงูออกมาพร้อมถ้วยสามใบ แล้วแบ่งให้เยี่ยเทียนกับลูกศิษย์ และตัวเองคนละถ้วย
“จีจี!”
เหมาโถวได้กลิ่นเหล้า ทั้งจมูกและดวงตาของมันเริ่มขยับ
“นี่…นี่มันเฟอร์เร็ตใช่มั้ย ? ”
เหล่าฉีนึกว่าสิ่งที่พันคอเยี่ยเทียนคือผ้าพันคอ เหล่าฉีตกใจจนโถเหล้าดองงูเกือบหลุดจากมือ
“ฮ่า ๆ พี่ฉี ผมเลี้ยงมันตั้งแต่เด็ก เอามาใช้เป็นผ้าพันคอตอนฤดูหนาวครับ มันไม่กัดคน พี่ไม่ต้องกลัว”
เยี่ยเทียนยื่นถ้วยไปให้เหมาโถวและพูดกับมันว่า “ดื่มเสร็จรีบไปนอนซะ ใครสอนให้แกดื่มเหล้ากันเนี่ย ? ”
เยี่ยเทียนใช้เวลาอยู่บ้านค่อนข้างน้อย เขารู้ว่าเยี่ยตงผิงชอบดื่มเหล้าเป็นชีวิตจิตใจ เวลากินข้าวจะต้องได้ดื่มสักหน่อย ส่วนเหมาโถวนั้นเหมือนเด็ก มักสนใจสิ่งที่แปลกใหม่ นาน ๆ เข้าก็คงเรียนรู้จนดื่มเหล้าเป็น
“จีจี ! ” เหมาโถวยื่นลิ้นออกมาแตะถ้วย ดูเหมือนว่ามันจะได้กลิ่นงู มันดูดเข้าไปอย่างรวดเร็วและไม่เหลือสักหยด
“แฮะ น้องเยี่ย เฟอร์เร็ตตัวนี้มีจิตวิญญาณสินะ ? ” เหล่าฉีตาแทบถลนออกมา ตอนที่เห็นภาพนั้น แต่ในสายตาของเขามีแต่ความชื่นชม ไม่ได้รู้สึกแปลกตามากขนาดนั้น
อาศัยอยู่ในป่ามานาน พวกเขาเชื่อว่าสัตว์ที่อยู่ในป่าล้วนมีจิตวิญญาณทั้งนั้น ชาวบ้านบางคนเคยช่วยเหลือลิงที่บาดเจ็บ พอหายดี ลิงมาแสดงความขอบคุณด้วยการนำผลไม้มาให้กับชาวบ้าน
และมีบางคนถึงขั้นเลี้ยงงูในบ้าน เจ้าตัวนี้เลี้ยงง่ายกว่าสุนัขอีก ไม่เพียงแต่เฝ้าบ้านได้ แต่ยังจับหนูได้อีกด้วย พอถึงฤดูใบไม้ผลิ เวลามีงูอยู่ในห้อง ข้างในบ้านจะรู้สึกเย็นสบาย
“ถ้าเลี้ยงตั้งแต่เด็ก เจ้าตัวนี้คงมีจิตวิญญาณจริง ๆ ”
เยี่ยเทียนจ้องเหมาโถวด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย เพราะเจ้าตัวน้อยทำท่าอยากจะขอเหล้าเพิ่ม ทันทีที่ถูกมองมันหดเข้าไปและทำตัวเป็นผ้าพันคออีกครั้ง
“ใช้ชีวิตอยู่ในป่ามานานหลายปี เป็นครั้งแรกที่เห็นสัตว์ที่มีจิตวิญญาณมากขนาดนี้”
ท่าทีของเหมาโถวทำให้เหล่าฉีรู้สึกมันวิเศษจริง ๆ เขารู้สึกได้ทันทีว่าผู้ชายคนนี้ กับผู้ติดตามของเขา จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน เพราะดูจากสัตว์เลี้ยงแล้ว ไม่ใช่คนธรรมดาที่เลี้ยงได้
เยี่ยเทียนไม่อยากพูดถึงเหมาโถว เขาจึงยกถ้วยเหล้าขึ้นมาและพูดว่า “พี่ฉี ขอบคุณมากครับที่เล่าเรื่องให้พวกเราฟัง ผมขอดื่มให้พี่สักหน่อยครับ”
หลังจากดื่มเหล้าในถ้วยจนหมด กระเป๋าเดินป่ายังถูกวางไว้บนพื้น เหล่าฉีกำชับกับโจวเซี่ยวเทียนไปว่า “น้องชาย เข้าไปเที่ยวในป่าวันสองวันก็กลับมาได้แล้ว นี่ใกล้จะเดือนธันวาแล้วนะ หิมะอาจจะตกลงมาได้ทุกเมื่อ”
อาณาเขตแห่งเทพกสิกรแม้จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 11 องศา แต่หิมะแรกของปี จะทำให้อุณหภูมิลดลงถึง -10 องศา
“ครับ ตอนที่ออกมาจากป่า ไม่แน่ พวกผมอาจจะมาขอเหล้าพี่ฉีอีกสักแก้ว” เยี่ยเทียนพยักหน้าพร้อมกับยิ้ม เขารับถ้วยข้าวจากเมียเหล่าฉีและเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อย
เยี่ยเทียนตื่นเต้นมากหลังจากที่ได้ฟังเรื่องเล่าในป่าต่าง ๆ มากมาย เขาสัมผัสได้ว่า การเข้าป่าในครั้งนี้ จะทำให้เขาได้พบกับสิ่งใหม่ ๆ อย่างแน่นอน
ตอนที่ 688 เนื้องูตุ๋น
“ไม่เอา ๆ มากเกินไป 100 หยวนก็พอแล้ว ไม่ต้องเยอะขนาดนั้น !”
เยี่ยเทียนยื่นเงิน 500 หยวนให้เหล่าฉีหลังจากกินข้าวเสร็จ เหล่าฉีตกใจจนต้องรีบปฏิเสธ ไก่ก็เลี้ยงเอง ผักก็ไปเด็ดจากในป่า ต้องใช้เงิน 500 หยวนมากขนาดนี้ที่ไหนกันล่ะ
คนชนบทเป็นคนซื่อ แม้จะมีป้ายแหล่งท่องเที่ยวชุมชนแขวนไว้ แต่เหล่าฉีไม่อยากให้เสียหน้า ปกติแขกกินเท่าไหร่ก็รับไว้เท่านั้น นี่กินกันแค่สองคน เคยมากินมากที่สุด 10 คน เขาก็ไม่เคยรับเงินมากถึง 500 หยวน
“เหล่าฉี รับไว้เถอะ…”
เยี่ยเทียนยิ้มและยัดเงินเข้ากระเป๋าของเหล่าฉี พูดอีกว่า “ถ้าผมกลับมา เรามาดื่มด้วยกันอีกสักหน่อยนะ ผมเห็นคุณมีเห็ดหัวลิง ของแบบนี้เอาไปทำซุปรสชาติไม่เลวเลยนะ”
“ได้ ถ้าพวกคุณกลับมาผมจะทำซุปให้กิน!”
หลังจากได้ยินเยี่ยเทียนพูดแบบนั้น เหล่าฉีก็ไม่ปฏิเสธอีก แต่เหล่าฉีกรอกเหล้าใส่ขวดไว้เต็ม ๆ หนึ่งขวด และให้เยี่ยเทียนเอาไปให้ได้ กำชับไว้ว่ามันเพิ่มความอุ่นให้ร่างกายได้
หลังจากร่ำลาสองสามีภรรยาเสร็จ เยี่ยเทียนกับโจวเซี่ยวเทียนเดินลงเขา ที่นี่เป็นพื้นที่รอบนอกของอาณาเขต ชาวบ้านที่อยู่มานานหลายร้อยปีเดินขึ้นลงเขาจนมีทางเดิน
แม้ปราณชีวิตแท้ของเยี่ยเทียนจะหายไปทั้งหมด แต่กำลังของร่างกายยังแกร่งกว่าคนทั่วไป คงไม่ต้องพูดถึงโจวเซี่ยวเทียน เขาเดินเร็วมากเพราะมีปราณชีวิตแท้อยู่เต็มตัว
ทั้งสองคนเดินข้ามภูเขาแล้วหนึ่งลูก หลังจากหนึ่งชั่วโมงผ่านไป ที่ตรงนี้มีต้นไม้ใบไม้หนาแน่น มีสัตว์ป่า อาทิเช่น ลิง เสือดาวและหมูป่า
เหมาโถวตื่นเต้นมากหลังจากเดินมาถึงในป่า เพราะมันไม่ต้องหลบสายตาของคน มันกระโดดเข้าไปในป่าทันที แม้แต่เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่ามันไปทำอะไรที่ไหน
แต่เยี่ยเทียนรู้ว่า ขอแค่ไม่บังเอิญไปเจอคนมีวิชาระดับสูง สัตว์ต่าง ๆ ในป่าทำอะไรเหมาโถวไม่ได้แน่นอน ส่วนการรับรู้ของเหมาโถว ไม่มีทางหายไปแน่นอน
“อาจารย์ครับ สมุนไพรพวกนั้น อาจารย์ไม่เก็บเหรอครับ ? ”
โจวเซี่ยวเทียนอยู่กับโก่วซินเจียมานาน เขาพอรู้เรื่องเกี่ยวกับสมุนไพรอยู่บ้าง ตลอดการเดินทาง เขาเห็นสมุนไพรขึ้นตามทางมากมาย เขารู้สึกแปลกใจมากที่เยี่ยเทียนไม่ก้มลงไปเก็บเลย
เยี่ยเทียนปฏิเสธ และตอบว่า “อายุของมันน้อยไป ยังไม่สามารถใช้เป็นยาได้ รอให้มันโตอีกหน่อยละกัน” เพราะที่นี่เป็นแหล่งอาหารของชาวบ้านจำนวนไม่น้อย
โจวเซี่ยวเทียนรู้จักสมุนไพรพวกนี้ทั้งหมด หมอชุมชนก็ต้องรู้เหมือนกัน และที่ไม่เก็บ ก็เพราะไม่อยากเก็บก่อนเวลาอันควร เยี่ยเทียนเองก็ไม่ทำเรื่องแบบนั้นแน่นอน
และแน่นอนว่า ถ้าพบสมุนไพรพันธ์ร้อยเกสรกับเห็ดหลินจือพันปี เยี่ยเทียนต้องเก็บแน่นอน เพราะของพวกนี้ หากนำไปใช้เป็นยา มันสามารถผลิตยาที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงได้จริง ๆ
“อาจารย์ครับ อาจารย์มาที่นี่ มีจุดประสงค์อื่นใช่มั้ยครับ ? ”
โจวเซี่ยวเทียนไม่ได้โง่ แค่ไม่อยากพูด แต่ตอนนี้มีเขากับอาจารย์แค่สองคน สุดท้ายก็อดกลั้นไม่ไหว จึงได้ถามออกไป
เยี่ยเทียนคิดไปครู่หนึ่งตอบว่า “มาหาสมุนไพร แต่ได้ยินว่ามีอาจารย์เก่ง ๆ อยู่ในอาณาเขต ก็เลยอยากมาลองดู เผื่อโชคดี ”
สำหรับคัมภีร์เต๋าไคหยวนเยี่ยเทียนไม่ได้พูดให้ศิษย์พี่ฟัง เขาไม่เล่าให้โจวเซี่ยวเทียนฟังอยู่แล้ว จึงได้หาเหตุผลบางอย่างและพูดไปแบบนั้น
“อาจารย์ครับ อย่าไปฟังเหล่าฉีพูดเพ้อเจ้อเลย” โจวเซี่ยวเทียนเบะปากและพูดต่อ “บนโลกนี้ไม่มีเทพเซียนหรอก ถ้ามีจริง คงวุ่นวายกันหมดแล้วมั้งครับ ? ”
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ทำให้เรื่องเทพเซียนกับเรื่องผี หายไปจากในสังคม โดยเฉพาะคนอย่างโจวเซี่ยวเทียนที่เติบโตมากับเกมส์ และ ทีวี เขาไม่มีทางเชื่อเรื่องแบบนี้แน่นอน
“ไม่มีเทพเซียนหรอก”
เยี่ยเทียนพยักหน้าและพูดว่า “มีแต่คนที่มีพลังพิเศษ ในสายตาของคนทั่วไป พวกเขาคงมองว่าคน ๆ นั้นคือเทพเซียนหละมั้ง ? ”
บางสิ่งบางอย่าง หากพูดตอนนี้ โจวเซี่ยวเทียนก็ไม่เข้าใจ เยี่ยเทียนไม่อยากเท้าความ เขาจึงเดินเร็วขึ้น
เยี่ยเทียนกลัวว่าหิมะจะตกตามที่เหล่าฉีพูด ถ้าร่างกายของเขาไม่มีปราณชีวิตแท้ปกป้องอยู่ ก็คงจะใช้ชีวิตยาก
ฤดูหนาวกลางวันสั้น กลางคืนยาว พระอาทิตย์จะตกดินตั้งแต่ห้าโมงเย็น ทิวทัศน์รอบ ๆ มองแทบจะไม่เห็นแล้ว ส่วนในป่ายิ่งดึกก็ยิ่งเงียบ
เยี่ยเทียนกับลูกศิษย์ข้ามภูเขาสองลูกโดยใช้เวลาไป 4-5 ชั่วโมง ทางเดินตรงนี้ถูกต้นไม้ต้นหญ้าบดบังไว้หมด นอกจากสวนสมุนไพรในป่าแล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่มีนักท่องเที่ยวเคยมาที่นี่
“เซี่ยวเทียน เราค้างคืนกันที่นี่เถอะ ! ”
ตอนที่กำลังปีนขึ้นเขาลูกที่สาม เยี่ยเทียนหยุดอยู่กลางเขาลูกนั้น บริเวณใกล้ ๆ มีธารน้ำเล็ก ๆ เหมาะกับการพักและต้มน้ำมาก
เยี่ยเทียนหยิบมีดออกมาจากกระเป๋าหนึ่งด้าม จากนั้นเขาก็ใช้มันตัดหญ้า ตัดไม้แห้งและเคลียร์พื้นที่ ตอนนี้เข้าสู่ฤดูหนาวแล้ว หากไม่ระมัดระวังอาจเกิดไฟป่าได้จริง ๆ
“หรือว่าคนฝึกวิชาที่อาศัยอยู่ในป่า กลัวไฟจะเผาต้นไม้ จนทำให้ปราณวิเศษหายไป ? ”
พอคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนคิดถึงบางอย่าง “ใช่ ต้องเป็นแบบนั้นแน่ ๆ พืชต่าง ๆ ในป่าแห่งนี้ บางทีอาจเป็นต้นตอของการกำเนิดปราณวิเศษก็ได้”
โจวเซี่ยวเทียนวางกระเป๋าเป้ลง หลังจากที่เห็นเยี่ยเทียนเคลียร์หญ้าแห้งพวกนั้น เขาก็หัวเราะและถามไปว่า “อาจารย์ครับ ไม่กลัวเทพเซียนมาหาเพราะเราจุดไฟเหรอครับ ? ”
“ฉันมาหาเทพเซียน กลัวแค่เขาไม่ออกมาน่ะสิ”
เยี่ยเทียนพูดกึ่งเท็จกึ่งจริง “เอาเถอะ เอาหม้อออกมาต้มน้ำ เดี๋ยวฉันจะไปล้างเห็ดหัวลิงพวกนี้ก่อน คืนนี้เราต้มน้ำซุปกัน”
ตลอดทางที่เดินมา แม้เยี่ยเทียนไม่ได้เก็บสมุนไพรเลยแม้แต่น้อย แต่เขาเก็บเห็ดหัวลิงที่ขึ้นตามท่อนไม้ได้เยอะมาก
คุณค่าของเห็ดชนิดนี้สูงมาก ถือว่าเป็นอาหารที่มีชื่อเสียงซึ่งเทียบได้กับ หูฉลาม อุ้งตีนหมี และรังนก มีตามเทือกเขาเหมาซานเหมือนกัน แต่ค่อนข้างน้อย เยี่ยเทียนกับอาจารย์ นาน ๆ จะได้กินครั้งนึง
การเดินทางในครั้งนี้ เยี่ยเทียนเตรียมตัวพร้อมมาก ในกระเป๋าเป้ใบนั้นไม่เพียงแต่มีเต้นท์และหม้อชามต่าง ๆ ยังมีแก๊สกระป๋องกับเตาอีกด้วย ไม่จำเป็นต้องใช้ใบไม้แห้งเลยด้วยซ้ำ
หลังจากเปิดแก๊สออก โจวเซี่ยวเทียนถามออกไปอย่างกังวลว่า “อาจารย์ครับ เหมาโถวล่ะ มันไม่เป็นอะไรใช่มั้ย ? ”
“จีจี ! ”
ยังพูดไม่ทันจบ เสียงร้องของเหมาโถวก็ดังขึ้น มันวิ่งลงมาจากกิ่งไม้สูง
แต่ดูเหมือนร่างกายของเหมาโถวเกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อกี้ตัวมันยาวไม่ถึงหนึ่งเมตร แต่ตัวของมัน ณ ตอนนี้ กลับมีหางยาวอยู่หนึ่งเส้น
“เจ้าตัวแสบ ไปล่าสัตว์มาเหรอ ? ”
แม้แต่เยี่ยเทียนยังตกใจ มองมันด้วยความสงสัย และพบว่ามันคาบงูขนาดใหญ่เท่าแขนเด็กไว้หนึ่งตัว ที่น่าแปลกไปกว่านั้นคืองูตัวนั้นเป็นงูสีขาว คล้ายกับขนของมันมาก
“จี จี ! ”
เหมาโถวกัดเข้าที่บริเวณคอของงู มันกระโดดก้าวเดียวขึ้นไปถึงไหล่ของเยี่ยเทียนและส่งเสียงร้องด้วยความภูมิใจ ความยาวของงูตัวนั้นราว ๆ 4-5 เมตร น้ำหนักน่าจะราว ๆ ห้าสิบกิโลขึ้นไป มันคาบมาอย่างเบาหวิวเหมือนกับในปากไม่มีอะไรเลย
“เยี่ยมมาก วันนี้เราทำงูตุ๋นเห็ดหัวลิง เสียดายเลยถ้าไม่จัดการงูตัวนี้สักหน่อย”
เยี่ยเทียนยิ้ม และจับงูตัวนั้นออกมาจากปากของเหมาโถว ประมาณเจ็ดนิ้วจากส่วนหัวของงูตัวนั้นถูกเหมาโถวกัดจนเละไปหมด โอกาสรอดไม่มีแล้วล่ะ
“อาจารย์ งูขาวตัวนี้กินได้เหรอครับ ? ” โจวเซี่ยวเทียนไม่เชื่อเรื่องผีกับเทพเซียน แต่งูตัวนี้ขาวดั่งหิมะ แตกต่างจากงูที่เคยเห็นอย่างสิ้นเชิง
“เหมาโถวกินได้ พวกเราก็กินได้ จะกลัวอะไร ! ”
เยี่ยเทียนส่ายหัว หยิบมีดสั้นอู๋เหินออกมาและผ่าท้องของงูตัวนั้นตรงลำธาร เขาพบว่าถุงน้ำดีหายไปแล้ว หรือว่าเหมาโถวจะกินไปแล้ว
หลังจากลอกหนังเสร็จ เนื้อสีขาวดุจหิมะถูกแบ่งเป็นท่อน ๆ โยนเข้าไปในหม้อ เหมือนว่าหม้อจะเล็กเกินไป แค่หนึ่งท่อนยังใส่เข้าไปไม่ได้ แต่ยังดีที่อากาศค่อนข้างเย็นทำให้เนื้องูไม่บูดง่าย ๆ
กลิ่นหอมของเนื้องูผสมกับเห็ดหัวลิงลอยออกมาแตะจมูกพร้อมกับน้ำที่เดือด
“จี…จี จี ! ”
ทันทีที่ได้กลิ่น เหมาโถววิ่งมาอยู่ข้าง ๆ หม้ออย่างรวดเร็ว เล็บน้อย ๆ ของมันคนในหม้อเร็วปานฟ้าผ่า เนื้องูที่ดูหนักเกือบหนึ่งกิโลถูกมันหยิบขึ้นมา ยัดเข้าปากแบบไม่กลัวความร้อน
“เจ้าตัวแสบ ทำอะไรเนี่ย ? ”
เยี่ยเทียนต่อว่าเหมาโถวแบบขำ ๆ เขาใช้ช้อนตักน้ำซุปขึ้นมาชิมเสร็จถึงกับตะลึงกับรสชาติ และกินซุปช้อนนั้นเข้าไปทั้งคำ
ทันทีที่กินเข้าไป เยี่ยเทียนชมไม่หยุด “อร่อย สด สดมาก สดกว่าตอนที่กินบนเขาเหมาซานอีก ! ”
เยี่ยเทียนยังทนความร้อนได้มากกว่าคนทั่วไปเพราะวิชาที่ฝึกมาเป็นสิบ ๆ ปี แม้ว่าปราณชีวิตแท้จะหายไปหมดแล้วก็ตาม เขาไม่สนความร้อนและเริ่มตักกินเนื้องู ท่าทีการกินของเขาไม่ได้เรียบร้อยกว่าเหมาโถวเลยสักนิด
“อาจารย์ เหลือให้ผมด้วยสิ”
หม้อต้มเล็กอยู่แล้ว ส่วนเยี่ยเทียนกับเหมาโถวเองก็กินเร็วมาก ตอนที่โจวเซี่ยวเทียนรู้ตัว ทั้งคนทั้งเฟอร์เร็ตกินเนื้อเข้าไปหลายก้อนแล้ว
เนื้องูปริมาณเกือบห้ากิโลถูกแย่งกันกินจนหมด เยี่ยเทียนรู้สึกสบายตัวมาก หลังจากที่เดินทางอย่างเร่งรีบมาทั้งวัน ตอนนี้เหมือนมีปราณร้อนกำลังเคลื่อนไหวในร่างกายของเขา
“หืม ก็ยังไม่ได้อยู่ดี” เยี่ยเทียนทดลองใช้แก่นของจิตชี้นำให้ทำงาน แต่ปราณร้อนที่อยู่ในร่างกายกลับกำลังกระจายไปทั่วร่างกายของเขา
“เซี่ยวเทียน ในเนื้องูมีปราณวิเศษ นายรีบนั่งโคจรลมปราณเร็ว ! “
เยี่ยเทียนเงยหน้าเห็นความแดงบนใบหน้าของโจวเซี่ยวเทียน เขารู้ทันทีว่ามันคือการแสดงออกว่าปราณ หยางมีมากเกินไป แต่เหมาโถวที่กินเยอะที่สุด กลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย
“แม้เทือกเขาฉางไป๋ซานกว้างใหญ่ไพศาล แต่ปราณวิเศษในป่าก็ยังสู้ที่นี่ไม่ได้”
แค่งูธรรมดาตัวหนึ่ง ยังมีปราณวิเศษหล่อเลี้ยงในร่างของมัน เห็นได้ชัดแล้วว่ามีปราณวิเศษมากมายล่องลอยอยู่ในอาณาเขตแห่งเทพกสิกร คาดว่าในประเทศจีน ก็คงมีแค่ที่นี่ที่ยังคงรักษาสภาพเดิมเอาไว้ได้
ขณะที่โจวเซียวเทียนกำลังนั่งโคจรลมปราณ เยี่ยเทียนไม่ได้กางเต้นท์ออกเช่นกัน เขาเดินไปจุดไฟตรงกองหญ้าแห้ง
แม้จะหนาวเย็นยะเยือก แต่ด้วยความสามารถของสองคนนี้ ไม่ต้องจุดไฟเอาความอุ่นจากไฟก็อยู่ได้เหมือนกัน แต่หลังจากได้ยินเหล่าฉีเล่าเรื่องพวกนั้นเสร็จ เยี่ยเทียนมีจุดประสงค์อื่น
ตอนที่ 689 วิถีแห่งเต๋า
ปลายฤดูใบไม้ร่วง ใบไม้ที่แห้งกรอบติดไฟค่อนข้างง่าย แสงไฟสว่างขึ้นท่ามกลางพุ่มไม้อันเงียบเหงา
เหมาโถวกระโดดโลดเต้นรอบกองไฟไม่หยุด มันมองซ้ายมองขวาเสร็จ ใช้อุ้งเท้าหน้าเกี่ยวเนื้องูที่เยี่ยเทียนวางไว้ข้าง ๆ และวิ่งไปใกล้กองไฟ
“จี…จี จี ! ” กระโดดขึ้นบนไหล่ของเยี่ยเทียนและส่งเสียงร้องไม่หยุด
“ตะกละจริง ๆ เสียงเบา ๆ หน่อย”
เยี่ยเทียนตบที่หัวของมัน แม้จะรู้ว่าเจ้าตัวแสบกินเก่งมาก แต่พอนึกถึงรสชาติอันเลิศรสของเนื้องูกับเห็ดหัวลิง เยี่ยเทียนก็หิวเหมือนกัน
เขาหาก้อนหินวางซ้อนเอาไว้ข้างกองไฟ จากนั้นเทน้ำที่ตักขึ้นมาลงหม้อ และนำเนื้องูที่เหลืออยู่กับเห็ดหัวลิงใส่เข้าไปในหม้อ
“เหมาโถว แกว่าในป่าแห่งนี้มียอดฝีมือจริงมั้ย ? ”
ตั้งแต่จุดไฟติด ใจของเยี่ยเทียนกระวนกระวายตลอดเวลา เขาไม่รู้ว่าการจุดไฟจะทำให้คน ๆ นั้นโผล่มามั้ย และอาณาเขตแห่งเทพกสิกรเป็นความหวังสุดท้ายที่จะช่วยให้วิชาของเขากลับคืนมา
“จี จี ? ”
เหมาโถวเอียงหัวมองด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด
“เฮ้อ พูดไป แกก็ไม่เข้าใจอยู่ดี”
เยี่ยเทียนถอนหายใจกับท่าทีของเหมาโถวที่เอาแต่มองของในหม้อ เขาจึงหัวเราะและตำหนิไปว่า
“เจ้าตะกละ ใจเย็นก่อนสิ น้ำเดือดแล้วก็ต้องใช้เวลาต้มอีกหน่อย”
ไฟกองนี้จุดแล้วกว่าครึ่งชั่วโมง นอกจากเสียงลมพัดกับเสียงหอนของหมาป่าแล้ว ไม่มีความเคลื่อนไหวอย่างอื่นอีกเลย
เยี่ยเทียนส่ายหัวและคิดในใจ ยอดฝีมือที่อาศัยอยู่ในป่าไม่ใช่ปีศาจน้อยที่คอยลาดตระเวน เขาจะสนใจไฟที่สว่างขึ้นในป่าทุกครั้งเลยก็คงไม่ใช่
“จี จี จี จี!”
เยี่ยเทียนที่กำลังจะยื่นถ้วยเนื้องูตุ๋นให้กับเจ้าตัวแสบน้ำลายไหลยืด แต่จู่ ๆ ขนของมันก็ตั้งขึ้นทั้งตัว และส่งเสียงร้องขึ้นมา
“เป็นอะไร ? เกิดอะไรขึ้น ? ”
เยี่ยเทียนเห็นท่าทีของเหมาโถว ตกใจถึงกับลุกขึ้นมา เขาเคยเห็นอาการแบบนี้แล้วครั้งนึง เป็นครั้งที่แม่ของเหมาโถวต่อสู้กับงูแปลกประหลาดที่มีปีก
ถึงแม้แก่นแท้ของจิตของเยี่ยเทียนบรรลุแล้ว แต่การรับรู้อันตรายของสัตว์เป็นสัญชาตญาณที่มีความได้เปรียบกว่าคน เยี่ยเทียนจึงไม่รอช้า มองไปทิศทางที่เหมาโถวร้องขึ้นเมื่อครู่
“ไม่มีอะไรเลย ? ”
เยี่ยเทียนหันกลับมามองเหมาโถว เพราะตรงนั้น นอกจากเป็นป่าไม้กับความมืดแล้ว เยี่ยเทียนไม่เห็นอะไรอีกเลย และในใจของเขาก็ไม่รู้สึกว่ามีอันตรายอะไร
ตอนที่หันกลับมา แสงสีครามเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นข้างหลังของเยี่ยเทียนแบบไร้เสียง โจวเซี่ยวเทียนที่กำลังนั่งโคจรลมปราณถูกฝ่ามือใหญ่ ๆ แตะที่หัวและล้มลงนอนไปกับพื้น
“ใคร ? ”
เยี่ยเทียนสัมผัสได้แล้วบางอย่าง เขาจึงรีบหันกลับมาดู แต่เงานั้นหายไปแล้ว เหลือแต่เพียงโจวเซี่ยวเทียนที่นอนอยู่
“เซี่ยวเทียน ? ” เยี่ยเทียนตกใจมาก เขารีบเข้าไปหาลูกศิษย์ที่ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง และไม่ได้สนใจคนที่อยู่ในที่มืดอีก
“ค่อยยังชั่ว แค่สลบไป”
ชีพจรตรงคอของโจวเซี่ยวเทียนยังเต้นอยู่ เยี่ยเทียนหายห่วงเพราะลูกศิษย์ยังมีชีวิตอยู่ และไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร
“จี จี ! ” เหมาโถวเหมือนสัมผัสได้ว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มีอันตราย เสียงร้องของมันครั้งนี้ไม่น่าสงสารเท่าเมื่อครู่ การป้องกันภัยของมันลดลงไปด้วยเช่นกัน
เยี่ยเทียนยืนขึ้นหลังจากวางลูกศิษย์ลง เขาโค้งคำนับให้กับที่มืดตรงนั้นและพูดว่า
“กระผมเยี่ยเทียน อยากจะขอเชิญท่านยอดฝีมือออกมา หากมีสิ่งใดล่วงเกิน ขอให้ท่านโปรดให้อภัย!”
นอกจากเสียงของเยี่ยเทียนแล้ว ในป่ายังคงเงียบงันเหมือนเคย ราวกับไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น แต่เยี่ยเทียนตกใจมากตอนมองลงไปที่พื้น
หม้อต้มกับเนื้องูตุ๋นที่เพิ่งเดือด มันหายไปไหนไม่รู้ มีแต่กองไฟที่ยังคงเผาไหม้อยู่ตรงนั้น
“บ้าเอ้ย นี่มันคนหรือผีกันแน่ ? ”
คนที่กล้าทำทุกอย่าง พอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นก็ขนลุกเหมือนกัน ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามโจมตีโจวเซี่ยวเทียนจนสลบ จากนั้นคงหยิบหม้อไปด้วย แต่ช่วงเวลานั้นเยี่ยเทียนไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนะ
วิชาของเขาเก่งมาก ถ้าเขาต้องการชีวิตของเยี่ยเทียน ก็คงง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ แม้ว่าเปลวไฟยังลุกซู่อยู่ตรงนั้น แต่เยี่ยเทียนกลับเย็นไปทั้งตัว
“หากผู้อาวุโสไม่ออกมา กระผมคงต้องขออภัย ! ”
เยี่ยเทียนยืนอยู่ตรงนั้นสักพัก แต่ก็ไม่มีเสียงอะไรดังขึ้น เยี่ยเทียนกัดฟัน แสงสว่างส่องออกมาจากดวงตาของเขา จากนั้นจิตวิญญาณก็หลุดออกจากร่างและพุ่งตรงไปยังพุ่มไม้ตรงนั้น
นับตั้งแต่การเดินทางไปภูเขาฉางไป๋ซานครั้งนั้น เยี่ยเทียนมีจุดประสงค์เพื่อหาผู้มีวิชาฝีมือขั้นสูงระดับหลอมจิตสู่ความว่างเปล่า และตอนนี้ คนผู้นั้นได้ปรากฏขึ้นมาแล้ว แม้ต้องเสียมารยาท แต่เยี่ยเทียนก็จะบีบบังคับให้เขาปรากฏตัวให้ได้
เยี่ยเทียนเป็นผู้สืบทอดของสำนักเสื้อป่าน วิชาที่ถนัดคือทำนายโชคชะตา สะเดาะเคราะห์ การที่เยี่ยเทียนกล้าถอดจิตออกจากร่าง ก็เพราะเขาไม่รู้สึกว่ามีอันตรายใด ๆ
“หืม ไม่มีคน ? ”
แม้ว่าจิตแท้ของเยี่ยเทียนยังไม่สมบูรณ์ แต่จิตที่ออกจากร่างผสานกับการระลึกรู้ตัวในลมหายใจเข้าออก เพียงแค่ครู่เดียว เยี่ยเทียนได้สำรวจสิ่งต่าง ๆ ในระยะร้อยเมตรเสร็จแล้ว และสิ่งที่ทำให้เขาตกใจคือไม่พบร่องรอยของใครเลย
“เอ๋ น่าสนุกจริงเชียว ! ”
จู่ ๆ ในสมองของเยี่ยเทียนก็มีเสียงดังขึ้น ซึ่งเป็นตอนที่เขาไม่รู้ว่าจะทำยังไงต่อไป
“ใคร ใครพูดกับฉันอยู่ ? ”
เยี่ยเทียนดึงจิตแท้กลับมา และมองไปรอบ ๆ
“จี จี ! ”
เหมาโถวมองเยี่ยเทียนด้วยความไม่เข้าใจ นอกจากเยี่ยเทียนแล้ว มันไม่ได้ยินเสียงของใครอีกเลย
“เจ้ามีจิตวิญญาณแท้ ไม่สิ จิตแท้ของเจ้าแปลก ๆ และมันแทบจะไม่มีด้วยซ้ำ แต่ทำไมถึงรู้การถอดจิตล่ะ ข้าเพิ่งเคยเจอคนฝึกวิชาแบบเจ้าครั้งแรก”
ในสมองของเยี่ยเทียนมีเสียงดังขึ้นอีกครั้ง
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าเสียงนั้นเข้ามาอยู่ในสมองของเขาได้อย่างไร เขาจึงพูดออกไปว่า
“ผมชื่อเยี่ยเทียน เดินทางมาที่อาณาเขตแห่งนี้ ก็เพื่อต้องการไขความกระจ่าง ขอให้ท่านผู้อาวุโสปรากฏตัวด้วย ! ”
คน ๆ นั้นมองอาการในร่างกายของเยี่ยเทียนออก ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ปรากฏตัว ประกอบกับท่าทีแบบผีสางเมื่อสักครู่ ถ้าเป็นคนทั่วไป คงคิดว่าเจอผี หรือไม่ก็ เจอเทพเซียนเป็นแน่
“ปรากฏตัวงั้นเหรอ ? ข้าไม่ปรากฏตัวต่อหน้าคนธรรมดาหรอกนะ ! ”
คนที่ส่งเสียงออกมาดูเหมือนจะเบื่อเล็กน้อย เขานิ่งไปครู่หนึ่ง และพูดอีกครั้ง
“เจ้ามีจิตแท้ ถือว่าเป็นผู้ฝึกวิชา เฟอร์เร็ตของเจ้าช่างแปลกประหลาด ถือว่าเป็นปีศาจ ข้าจะปรากฏตัวให้เห็นก็แล้วกัน ! ”
เสียงเพิ่งหายไป เยี่ยเทียนรู้สึกตาลาย นักพรตส่วนสูง 1.6 เมตร สวมใส่เสื้อสีครามปรากฏขึ้นตรงหน้าเยี่ยเทียนซึ่งห่างออกไปสามเมตร
แต่คน ๆ นั้นหันหลังให้กับเยี่ยเทียน นอกจากผมขาวยุ่งเหยิงแล้ว เยี่ยเทียนไม่สามารถมองเห็นตัวเขาได้อย่างชัดเจนเลย
ส่วนลมปราณของคน ๆ นี้ เยี่ยเทียนสัมผัสไม่ได้เลย เขายืนอยู่ตรงนั้นราวกับเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับฟ้าดิน หากไม่ได้พบด้วยตาเปล่า เยี่ยเทียนไม่สามารถสัมผัสการมีอยู่ของเขาได้เลย
“จี จี ! ” เหมาโถวตกใจมากที่มีเงาคนปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างกะทันหัน มันปีนขึ้นต้นไม้อย่างรวดเร็ว
“เหมาโถว เงียบ ๆ ! ” เยี่ยเทียนเดินไปข้างหน้า สองมือกุมไว้คำนับต่อผู้นั้นและพูดว่า “ผมชื่อเยี่ยเทียน ขอคารวะท่านผู้อาวุโสครับ ! ”
“เจ้าชื่อเยี่ยเทียน ? จิตแท้ของเจ้าได้มาจากไหน แล้วแก่นแท้หายไปจากร่างกายได้ยังไง ? ”
ไม่รู้ว่าทำไม คนตรงหน้าไม่ส่งเสียงออกมาจากปาก แต่เสียงของเขาส่งเข้าสมองของเยี่ยเทียนโดยตรง
“ท่านผู้อาวุโส ผมอยู่สำนักเสื้อป่าน เชื้อสายของผมเป็นนักพรตเสื้อป่านตั้งแต่สมัยราชวงศ์ซ่งครับ…”
เยี่ยเทียนคิดไปครู่หนึ่งพูดต่อว่า “จิตแท้ของผม ผมเป็นคนฝึกเองครับ แต่ตอนที่ฝึกมัน ผบประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ทำให้จุดตันเถียนแตก ประกอบกับไม่มีวิธีฝึกจิตแท้ ผมจึงเดินทางเข้าป่ามาหาท่านที่นี่ครับ!”
จิตแท้ที่ก่อตัวขึ้นอย่างแปลกประหลาดในตอนที่เขาสลบอยู่ แต่ความเป็นจริงกับสิ่งที่เขาคิดก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ ก็ถือว่าไม่ได้หลอกลวงใคร
ท่านผู้อาวุโสรู้สึกตกใจกับสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด มีเสียงดังขึ้นอีกครั้งว่า
“นักพรตเสื้อป่านสมัยราชวงศ์ซ่ง ? เหมือนมีระบบเต๋าจริง เชื้อสายของเจ้าน่าจะมาจากหวังอวี่ แล้วจะไม่มีวิธีฝึกจิตแท้ได้ยังไง ? ”
“หวังอวี่ ? ” เยี่ยเทียนงุนงง และถาม
“ท่านผู้อาวุโสหมายถึงหวังฉานปราชญ์หุบผาภูติ ? ”
คนที่เรียกหวังอวี่มีไม่มาก แต่คนที่ท่านนี้พูดถึง จะต้องเป็นปราชญ์หุบผาภูติเป็นแน่ คนนั้นแซ่หวังชื่อฉานชื่อทางการอวี่
หวังฉานถือว่าเป็นบุคลลในตำนานที่ลึกลับที่สุดในประวัติศาสตร์แล้ว เขาเป็นคนสมัยชุนชิว มักจะเข้าป่าอวิ๋นเมิ่งเพื่อหาสมุนไพรฝึกวิชา เพราะอาศัยอยู่ในหุบผาภูติ จึงตั้งชื่อตนเองว่าปราชญ์หุบผาภูติ
เหมือนกับซุนปิน ผางหวนในยุครณรัฐ ซูฉิน จางยี่และคนอื่น ๆ ที่เป็นนักยุทธศาสตร์ ก็ล้วนมาจากนิกายของเขา หวังฉานยังเป็นบรรพบุรุษของตระกูลหยินหยางและเป็นนักพยาการณ์แห่งยุทธภพ ด้วยเหตุนี้โลกจึงเรียกปราชญ์หุบผาภูติว่าเป็นอัจฉริยะ
มีหนังสือชื่อว่า ตำราศาสตร์ยันต์หยินทั้ง 7เคยเผยแพร่อยู่ช่วงหนึ่ง เนื้อหาเขียนเกี่ยวกับวิชาการฝึกปราณหลอมจิต แน่นอนว่าวิชาในตำราเล่มนี้ไม่มีการสืบทอดตั้งนานแล้ว
“ท่านผู้อาวุโส วิชาที่ผมมีล้วนได้รับการถ่ายทอดจากนักพรตแห่งสำนักเสื้อป่าน ไม่มีความเกี่ยวข้องกับปราชญ์หุบผาภูติครับ”
เยี่ยเทียนไม่เคยรู้เลยว่าสำนักเสื้อป่านสืบทอดมาจากหวังฉานปราชญ์หุบผาภูติ เพราะตั้งแต่มีการบันทึก ผู้ที่ถูกเคารพกราบไว้ก็เป็นบรรพจารย์ของสำนักเสื้อป่านมาโดยตลอด
“ไม่เกี่ยวข้องได้ยังไง ? เสี่ยงทายพยากรณ์ ล้วนสืบทอดมาจากเขา”
ผู้อาวุโสยืนยันอีกว่า “นักพรตเรียกหวังอวี่ว่า ‘เซียนแท้’ แม้แต่เจ้านายยังยกย่องสรรเสริญเขา วิชาของเขาเยี่ยมมาก ทำไมเจ้าถึงจะไม่เกี่ยวข้องล่ะ ? ”
“เจ้า…เจ้านาย ? ท่าน…ผู้อาวุโสไม่ได้ล้อเล่นกับผมใช่มั้ยครับ ? ” สิ่งที่ฝ่ายตรงข้ามพูดออกมาทำให้เยี่ยเทียนตกใจมาก คน ๆ นี้เก่งขนาดนี้ แต่เป็นแค่คนใช้ของคนอื่นงั้นเหรอ ?
สำหรับเยี่ยเทียนผู้ที่อยู่ในสมัยปัจจุบัน ชนชั้นเจ้านายกับคนใช้ได้หมดไปตั้งนานแล้ว วิธีการพูดของคน ๆ นี้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่ชินเป็นอย่างมาก เหมือนตัวเองหลุดเข้าไปอยู่ในยุคโบราณซะอย่างนั้น
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น