หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 684-687
บทที่ 684 การตัดสินใจของตู้กูหลิน
ณ สหพันธรัฐ บนดาวพุธ
ดาวพุธเป็นหนึ่งในดาวเคราะห์ของระบบสุริยะที่มีชั้นบรรยากาศบางเบา ด้วยเหตุนี้ แสงที่ส่องกระทบลงบนดาวจึงถูกสะท้อนกลับออกไปน้อยมาก ดังนั้นท้องฟ้าของดาวพุธจึงไม่เป็นสีฟ้าใสเท่าโลก หากปราศจากแสงของอาทิตย์และดาวดวงอื่นๆ มันจะปรากฏเป็นความมืดมิดดำทะมึน
ดูไปก็คล้ายโคมไฟตามถนนในยามค่ำคืน แม้ว่าตัวโคมไฟจะสุกสว่างส่องแสงเรืองรองให้กับทุกที่ที่แสงไปถึง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าท้องฟ้าจะไม่มืดมิด
มีแสงสว่างสังเคราะห์มากมายอยู่บนดาวพุธดวงเก่า ในฐานะที่เป็นที่ตั้งของวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย สหพันธรัฐได้ปรับแต่งสิ่งต่างๆ ที่ทั้งยุ่งยากและซับซ้อนให้ดาวพุธมากมาย ถึงกับสร้างดวงอาทิตย์สังเคราะห์ไว้ให้ แถมยังมีการป้องกันจากวงแหวนปราณระบบสุริยะด้วย ดาวพุธค่อยๆ พัฒนาจนกลายมาเป็นฐานที่มั่นของสหพันธรัฐในเวลาต่อมา!
ทว่าบัดนี้…ฐานที่มั่นเก่าของสหพันธรัฐเหลือเพียงแต่ซากเท่านั้น แสงสังเคราะห์อื่นๆ นอกเหนือจากดวงอาทิตย์ต่างก็ถูกทำลายจนพินาศสิ้น ร่องรอยของสงครามเกลื่อนกล่นอยู่ทั่วไป มีรอยแยกร้าวลึกบนแผ่นดินหลายต่อหลายแห่ง และไม่พบผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐเลยสักคนเดียว
ดาวพุธกลายมาเป็นฐานที่มั่นของกองทัพสำนักวังเต๋าไพศาล ภายใต้การนำของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไปแล้ว!
ระเบิดต้านทานวิญญาณถูกขุดออกมา วงแหวนปราณจำนวนมากถูกหลอมขึ้น ดาวพุธถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างรวดเร็ว นอกจากซากปรักหักพังและหุบเหวแล้ว สิ่งใหม่ที่มองเห็นได้ชัดเจนคือกองเนื้อขนาดมหึมา
แต่ละกองทอดยาวไปร่วมหลายร้อยเมตร ดูคล้ายกับเป็นก้อนเนื้อร้ายที่เติบโตออกมาจากดาวพุธ พวกมันเคลื่อนไหวไปมาและกระตุกอย่างรุนแรงราวกับว่ามีบางสิ่งกำลังพยายามจะแหวกออกมาจากภายใน ก้อนเนื้อเหล่านี้ปล่อยพลังวิญญาณที่ไหลออกมาเกาะตัวกันคล้ายเป็นตาข่ายที่ห่อหุ้มรอบพื้นผิวดาวพุธเอาไว้หมด
ขณะเดียวกัน…เรือบินรบสีดำทะมึนก็ล่องลอยอยู่ทั่วน่านฟ้าดาวพุธในอวกาศ พวกมันคือเรือบินรบของสำนักวังเต๋าไพศาล ที่สามารถเดินทางไปในอวกาศได้
เรือบินรบเหล่านี้ถูกนำไปเก็บไว้หลักจากที่กระบี่สำริดเขียวโบราณถูกผนึก แต่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันสั่งการให้นำเรือบินรบออกมาหลังจากที่ประกาศสงครามกับสหพันธรัฐ
เรือบินรบลอยติดกันแน่นเป็นแพยาว ประมาณคร่าวๆ น่าจะมีอยู่ราวหนึ่งแสนลำ ขณะที่ส่วนหนึ่งล้อมรอบดาวพุธอยู่ อีกส่วนก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มเรือบินรบท่องไปทั่วจักรวาล
หากเทียบกันแล้ว สิ่งที่ทำให้ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลรู้สึกเกรงกลัวยิ่งกว่าเรือบินรบเหล่านี้ก็คือ…เรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น!
มันเป็นเรือบินรบที่น่าสะพรึงกลัว สร้างขึ้นมาจากแผ่นวงกลมสามแผ่น ล่องลอยอยู่ในน่านฟ้าดาวพุธ ในใจกลางของเรือบินรบ ตรงตำแหน่งที่มีแท่นบูชาหลัก มีลำแสงยาวหลายพันกิโลเมตรที่เชื่อมโยงสวรรค์และโลกเข้าไว้ด้วยกันปรากฏขึ้น
เสียงกัมปนาทดังสะเทือนยังคงปะทุต่อเนื่องไม่หยุดยั้ง ดาวพุธสั่นไหวราวกับว่าพลังงานของดาวกำลังถูกดูดกลืนไป ด้านเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นส่องแสงเรืองรอง ราวกับว่ากำลังฟื้นฟูตัวเองอยู่!
ความสว่างจากลำแสงส่องลงมาถึงพื้น เพื่อป้องกันไม่ให้ใครเห็นว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นด้านใน คลื่นพลังวิญญาณยังคงทะลักทลายออกมา ไหลบ่าท่วมพื้นดินไปไกลหลายพันกิโลเมตรในทุกทิศทาง ป้องกันไม่ให้มีใครกล้ำกรายเข้าไปใกล้
ภาพของเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้น ลำแสงสุกสว่าง และพื้นแผ่นดินที่กำลังสั่นสะเทือนดูน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
สงครามล่วงเลยมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลานั้น สหพันธรัฐก็พ่ายแพ้มาอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น แผนการทำลายตัวเองอย่างสิ้นซากของดาวพุธก็ถูกขัดขวาง แต่กระนั้นการเตรียมการและการโต้กลับที่สหพันธรัฐได้ทำไป โดยเฉพาะการระเบิดของระเบิดต้านทานวิญญาณส่วนหนึ่งก็กระทบต่อความมั่นใจของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นอย่างยิ่ง ทัศนคติของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปมากทีเดียว
แน่นอนว่า หลายคนเริ่มรู้สึกว่ามีบางสิ่งไม่ชอบมาพากล แต่…เมื่อมีเมี่ยเลี่ยจื่อผู้ทรงพลังและยานรบของตระกูลไม่รู้สิ้นที่น่าเกรงขามอยู่ตรงหน้า ผู้ที่ตั้งคำถามต่างก็ถูกสังหารหรือไม่ก็ต้องยอมกัดฟันทำตามคำสั่งไปแต่โดยดี
ตู้กูหลินก็เป็นหนึ่งในนั้น!
ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มยอมรับกับสภาวะสงคราม ดูเหมือนว่าพวกเขาจะค้นพบคุณค่าของตนเองผ่านการต่อสู้ในสงครามนี้ ทุกคนต่างก็รู้สึกพึงใจกับความแข็งแกร่งเมื่อได้ออกเข่นฆ่าและปล้นสะดม นอกเหนือจากระเบิดต้านทานวิญญาณอันรุนแรงแล้ว ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐนั้นก็ช่างอ่อนแอและถูกกำราบได้อย่างง่ายดายยิ่งนัก!
เกิดการวางเพลิง ข่มขืน และปล้นชิงอยู่ทั่วไปเป็นปกติ ความเลวทรามและความหื่นกระหายภายในใจของทุกคนถูกปลุกให้ตื่นขึ้น สงครามที่ดำเนินมากว่าหนึ่งเดือนโบกโหมให้เปลวไฟของความชั่วร้ายแผดเผาเจิดจ้ารุนแรงขึ้นไปทุกที
ศิษย์แห่งเต๋าโยวรันก็มีส่วนสร้างสถานการณ์นี้เช่นกัน งานของเขาละเอียดลอออย่างยิ่ง…รายละเอียดเหล่านี้อยู่ในระบบการตบรางวัลเป็นแต้มการรบและการนำแต้มมาแลกสมบัติ ชายชราเปิดคลังสินค้าของสำนักวังเต๋าไพศาลขึ้นและนำสมบัติจำนวนมากของตระกูลไม่รู้สิ้นออกมาให้แลกเปลี่ยน กลายเป็นสิ่งกระตุ้นศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลได้ดีขึ้นไปอีก
พวกเขาจะทำผิดหรือถูกไม่สำคัญ เมื่อมีคนออกคำสั่ง ก็แปลว่าพวกเขาสามารถโยนความรับผิดชอบให้คนๆ นั้นได้อย่างเต็มที่ อีกอย่างหนึ่ง ศัตรูก็ไม่ใช่พวกเดียวกัน พวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดกับความละโมบ และไม่มีความจำเป็นต้องไว้ชีวิตศัตรู
ด้วยเหตุนี้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจึงไม่จำเป็นต้องโบกพักเปลวไฟแห่งสงครามหรือหลอกล่อผู้ติดตามของตนให้ทำตามอีกต่อไป สิ่งเดียวที่เขาต้องจดจ่อคือการซ่อมบำรุงเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นให้กลับสู่สภาพพร้อมใช้งานเต็มที่โดยใช้ทรัพยากรที่ชิงมาได้ในสงครามนี้!
ตอนที่หวังเป่าเล่อระเบิดเกราะจักรพรรดิของตนเอง ชายหนุ่มได้สร้างปฏิกิริยาลูกโซ่ขึ้น สระน้ำและทางเดินขนาดมหึมาถูกทำลาย การพินาศของทั้งสองสิ่งทำให้เรือบินรบเสียหายอย่างหนัก เมื่อระเบิดต้านทานวิญญาณระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง สิ่งคล้ายๆ กันนี้ก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไม่ได้ไล่ล่าเหล่าสหพันธรัฐที่ล่าถอยออกจากดาวพุธ แต่ชายชราฉกฉวยโอกาสนี้ซ่อมบำรุงเรือบินรบเสียก่อน
โยวหรันสั่งให้เมี่ยเลี่ยจื่อจัดการเรื่องอื่นๆ แทนจนกว่าจะซ่อมบำรุงเรือบินรบได้ลุล่วงระดับหนึ่ง เมี่ยเลี่ยจื่ออยู่ภายใต้การควบคุมของชายชราอย่างเต็มที่ ความคิดอ่านถูกกดทับเอาไว้จนหมด เขาทำตามที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันสั่งอย่างไร้คำถามและไร้ที่ติ
สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นๆ ที่ปลอมตัวเป็นผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลต่างก็ขึ้นมามีบทบาทนำ พวกเขาพากลุ่มผู้ฝึกตนตะลุยเข้าไปในสนามรบ สร้างสงครามขึ้นจนสำเร็จ ดาวพุธไม่เพียงกลายมาเป็นฐานที่มั่นของสำนักวังเต๋าไพศาลเท่านั้น มันยังกลายมาเป็นสถานที่ที่สำนักวังเต๋าไพศาลใช้ซ่องสุมกำลังพลเพื่อเตรียมการโจมตีดาวศุกร์อีกด้วย
ขณะที่สงครามยังดำเนินต่อไป ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของฐาน มีศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลนับสิบนั่งขัดสมาธิอยู่ภายนอกบริเวณวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายซึ่งเชื่อมต่อกับกระบี่สำริดเขียวโบราณ
พวกเขาส่วนมากอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นใน ยกเว้นเพียงผู้ฝึกตนคนเดียวที่นั่งอยู่ห่างไปจากกลุ่ม เขาสวมชุดเกราะสีดำและอยู่ในขั้นจุติวิญญาณ พวกเขาเหล่านี้เป็นผู้ฝึกตนที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าจับตาดูวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเอาไว้!
ผู้ฝึกตนเกราะสีดำนั่งหลับตา ที่เหลือต่างก็นั่งติดกัน ทำเหมือนว่านั่งสมาธิอยู่ แต่จริงๆ แล้วกำลังพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา หลายคนมีแววตาอิจฉาริษยาและเกลียดชังฉายอยู่บนใบหน้า
“ข้าได้ยินมาว่า เมื่อวานมีคนเก็บแต้มการรบจนสามารถแลกโอสถกำเนิดวิญญาณได้เชียวนา!”
“เดือนนี้มีคนได้โอสถกำเนิดวิญญาณไป 37 คนแล้ว ข้าสงสัยว่าเมื่อไรจะถึงเวลาของพวกเราสักที เมื่อไรพวกเราจะรวบรวมแต้มการรบได้มากพอบ้าง ข้าเจอเฉินลู่จื่อเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาได้หม้อหลอมไปหลายใบเชียวนะ…ดูเหมือนว่าจะเป็นหม้อระดับสูงเสียด้วย!”
“บัดซบ พวกเราติดอยู่ที่นี่ นั่งเล่นเป็นยามกันทั้งวันทั้งคืน แทนที่จะได้ไปสังหารพวกผู้ฝึกตนสหพันธรัฐชั้นต่ำ ไม่มีทางเลยที่เราจะเก็บแต้มการรบได้หากเป็นเช่นนี้ต่อไป พวกเราคงได้แต่มองดูคนอื่นก้าวหน้า พวกผู้ฝึกตนสหพันธรัฐชั้นต่ำนั้นฆ่าง่ายนัก เรียกว่าได้แต้มการรบมาเปล่าๆ ก็คงไม่ผิดนัก!”
ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลพูดคุยกันเบาๆ ดูไม่ยี่หระหากผู้ฝึกตนในเกราะสีดำจะบังเอิญได้ยินเข้า ราวกับว่าต้องการจะให้เขารับรู้ถึงความไม่พอใจกระนั้น
สิ่งนี้คงไม่เกิดขึ้นหากเป็นสำนักวังเต๋าไพศาลเมื่อก่อน แต่ปัจจุบัน ความไม่พอใจกลับเห็นได้อยู่ทั่วไป
คำพูดของพวกเขาลอยไปเข้าหูผู้ฝึกตนในเกราะสีดำจริงๆ ดวงตาที่ปิดอยู่เมื่อครู่ค่อยๆ ลืมขึ้นช้าๆ มีแสงสีดำส่องประกายอยู่ภายใน
หากหวังเป่าเล่อมาอยู่ที่นี่ตอนนี้ ก็จะจำผู้ฝึกตนในเกราะสีดำได้ทันที เขาคนนี้คือศิษย์รักของเมี่ยเลี่ยจื่อ ตู้กูหลินนั่นเอง!
ตู้กูหลินได้ยินผู้ใต้บังคับบัญชาบ่นอุบ แต่ก็ไม่ได้ตอบโต้ ชายหนุ่มรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับไม่มีอำนาจที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เขาเริ่มเงียบลงและพูดน้อยลงทุกทีในช่วงนี้ แต่ถึงอย่างไรตู้กูหลินก็ยังเป็นศิษย์ของเมี่ยเลี่ยจื่อ ไม่มีใครกล้ากังขากับการตัดสินใจที่จะไม่เข้าร่วมการต่อสู้ของเขา ชายหนุ่มหลบเลี่ยงปัญหาและเลือกมาอยู่ยามในบริเวณวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายนี้แทน
ลูกน้องเก่าๆ ของเขาเคยถามเรื่องนี้หลายต่อหลายหน ชายหนุ่มสังเกตเห็นด้วยว่าลูกน้องส่วนมากแอบออกไปเข่นฆ่าผู้คนเพื่อแลกแต้มการรบ ตู้กูหลินรู้ดี…ว่าอีกไม่ช้า ทุกๆ คนในสำนักวังเต๋าไพศาลจะแยกดีชั่วไม่ออก สงครามได้ทำให้ดวงตาของพวกเขามืดบอดจากความถูกผิดดีเลว และเอาแต่มองหาเพียงประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น
ผู้อาวุโสชิวหรัน ท่านตายแล้วจริงๆ หรือ เหล่าบรรดาปรมาจารย์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พวกเขาจะตื่นขึ้นมาช่วยสำนักเอาไว้ได้ทันเวลาหรือเปล่า แล้วหวังเป่าเล่อเล่า…ไม่มีทางใดที่จะเปลี่ยนโชคชะตาของสำนักวังเต๋าไพศาลจากการถูกรุกรานจากภายในได้เลยหรือ ความขมขื่นเกาะกินจิตใจของตู้กูหลิน ชายหนุ่มหลุบศีรษะลงช้าๆ จากนั้นจู่ๆ ก็มีประกายบางอย่างส่องสว่างขึ้นในดวงตา เขาหันหลังไปทางวงแหวนปราณทันที
ลำแสงหนึ่งปรากฏขึ้นภายในวงแหวนปราณนั้น มันเจือจางในตอนแรกแต่ก็เข้มข้นขึ้นทันตา ก่อนจะระเบิดและแปรสภาพเป็นทะเลแห่งแสงที่ไหลท่วมวงแหวนปราณทั้งอัน
ตู้กูหลินเหมือนว่าจะเห็นอะไรบางอย่าง ก่อนที่นัยน์ตาของเขาจะเบิกโพลงด้วยความไม่อยากเชื่อ บรรดาลูกน้องของเขาก็เห็นการเคลื่อนไหวภายในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเช่นกันจึงรีบวิ่งมาดู
วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายไม่ได้ถูกใช้งานมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม ทำให้บรรดาศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่รายล้อมอยู่สงสัยเป็นอย่างยิ่งว่าผู้มาใหม่จะเป็นใครกัน
ด้วยพลังปราณที่ต่ำเตี้ยของพวกเขา จึงเป็นการยากที่จะบอกได้ว่าผู้ซึ่งกำลังปรากฏกายขึ้นท่ามกลางแสงสว่างจ้านั้นเป็นใคร แต่ฝ่ายตู้กูหลินที่ดวงตาเบิกโพลงก็รีบปรับนัยน์ตาให้กลับมาเป็นปกติในบัดดล ดูเหมือนเขาจะคิดอะไรได้บางอย่าง จึงตะโกนออกมาอย่างปุบปับ
“บรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่ประจำอยู่ ณ สำนักวังเต๋าไพศาลมาถึงแล้ว พวกเจ้าอยากจะไปอยู่แนวหน้าและสังหารผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐแลกแต้มการรบไม่ใช่หรือ รีบไปเสีย ไปทำความเคารพพวกเขาแล้วหาโอกาสเสนอตัวไปด้วย หากพวกเขาตกลงรับพวกเจ้าไปด้วยข้าก็จะไม่ขัดขวาง!”
ความโลภผุดขึ้นในใจของบรรดาผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทันที มีเพียงสองคนที่ค่อนข้างฉลาดเฉลียวและยังรีรออยู่ ไม่รีบรุดออกไปตามเพื่อนส่วนใหญ่ ที่พุ่งตัวไปรออยู่ตรงขอบวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายทันทีที่ได้ยินตู้กูหลินพูด พวกเขามองเห็นร่างสองร่าง ร่างหนึ่งใหญ่ อีกร่างหนึ่งเล็ก ก่อตัวขึ้นมาอย่างรวดเร็วภายในวงแหวนปราณนั้น ก่อนจะยกมือขึ้นประสานอย่างเคารพ
“ข้าน้อยคารวะ…”
ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้เอ่ยคำทักทายจนจบประโยค แสงสีแดงจ้าก็ปะทุขึ้นในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายนั้น เส้นปราณสีโลหิตพุ่งทะยานออกมาราวกับเป็นลูกศรและระเบิดขึ้นรอบๆ วงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตา ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่ก้มศีรษะลงต่ำเพื่อทักทาย ไม่อาจหลบหลีกการโจมตีหรือส่งสัญญาณเตือนภัยได้ทัน เส้นปราณเหล่านั้นพุ่งทะลุหน้าผากของพวกเขาทันที!
ไม่มีกระทั่งโอกาสจะได้ส่งเสียงกรีดร้อง ผู้ฝึกตนนับสิบคนนั้น…ตายในบัดดล!
ผู้ฝึกตนทั้งสองที่อ้อยอิ่งอยู่เบื้องหลังถึงกับผงะด้วยความตื่นตะลึง ก่อนจะล่าถอยอย่างรวดเร็วแต่ก็ยังสายเกินไป นัยน์ตาของตู้กูหลินส่องประกายก่อนที่จะใช้กระบวนเวทออกมา ผู้ฝึกตนทั้งสองตัวสั่นก่อนจะหยุดนิ่ง เส้นปราณสีโลหิตพุ่งออกมาจากวงแหวนปราณอีกครั้งและปักทะลุหน้าผากพวกเขาเช่นกัน!
ตู้กูหลินไม่ได้หันไปมองศพที่อยู่รอบกายเขาด้วยซ้ำ แต่กลับจ้องไปยังเส้นปราณสีโลหิตที่เคยสู้ด้วยก่อนจะลุกขึ้นยืนช้าๆ ชายหนุ่มหยิบแผ่นหยกที่เอาไว้ส่งสัญญาณเตือนคนอื่นๆ ออกมาถือในมือขวา นิ้วมือของเขาหยุดอยู่ตรงจุดที่จะส่งสัญญาณ มีประกายตาแรงกล้าฉายชัดอยู่ในแววตา ตู้กูหลินจ้องมองไปยังร่างทั้งสองที่ในที่สุดก็ปรากฏชัดขึ้นในวงแหวนปราณ ก่อนจะกล่าวอย่างช้าๆ
“ศิษย์ตู้กูหลินคารวะผู้อาวุโสหวังและผู้อาวุโสชิวหรัน!”
บทที่ 685 ดาวพุธจู่โจม!
ตู้กูหลินเป็นชายหนุ่มผู้ปราดเปรื่อง เขารู้ดีว่าขณะนี้ตระกูลไม่รู้สิ้นกำลังได้เปรียบในสงคราม ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเองก็ใช้ประโยชน์จากความโลภที่แทรกซึมอยู่ในธรรมชาติของบรรดาศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลทุกคน และขณะนี้ทุกคนก็เต็มใจเดินตามชายชราไปทำสงครามกันทั้งสิ้น
ทางเลือกที่ดีที่สุดของตู้กูหลินคือเข้าร่วมสงครามและต่อสู้เพื่อหาทรัพยากรมาใช้พัฒนาระดับปราณ
แต่ชายหนุ่มไม่อาจดึงตัวเองให้ผ่านอุปสรรคสุดท้ายไปได้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเห็นแก่สหพันธรัฐหรือสำนักของตน แต่เป็นเพราะอาจารย์ของเขา แม้อาจารย์จะเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย อารมณ์ฉุนเฉียวร้ายกาจ แต่กระนั้น…ตู้กูหลินก็ไม่อาจลืมพระคุณที่อาจารย์เคยดูแล ทั้งเวลาและพลังงานที่อาจารย์ได้ทุ่มเทสั่งสอนเขามา และทุกๆ เรื่องที่อาจารย์ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลมาโดยตลอด
มีทางเดียวที่จะช่วยเหลืออาจารย์ได้ นั่นคือศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันต้องตายเท่านั้น!
เป็นเหตุให้ตู้กูหลินตัวสั่นเทาเมื่อสัมผัสได้ถึงการมาถึงของเฟิ่งชิวหรันผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ชายหนุ่มยังชั่งใจอยู่บ้าง เขาไม่รู้เลยว่าเฟิ่งชิวหรันตกอยู่ในสภาวะหุ่นเชิดเช่นเดียวกับอาจารย์ของเขาหรือไม่ ชายหนุ่มจึงยังไม่รีบร้อนลงมือ
แต่ตอนนั้นเอง ร่างกายอวบอ้วนอีกร่างก็ปรากฏขึ้นข้างกายเฟิ่งชิวหรัน สิ่งที่รายล้อมร่างนั้นอยู่คือเส้นปราณสีโลหิตคล้ายรยางค์ที่เขาคุ้นเคย เมื่อนั้นเองตู้กูหลินก็จำหวังเป่าเล่อได้ ชายหนุ่มกัดฟันแน่นและตัดสินใจ
เพื่อเป็นการไม่ประมาท ตู้กูหลินจึงส่งคนอื่นๆ ไปล้อมวงแหวนปราณเอาไว้ก่อน จากนั้นชายหนุ่มก็ดึงแผ่นหยกที่ใช้เปิดสัญญาณเตือนออกมา เขาพูดอย่างใจเย็น แต่นัยน์ตากลับฉายแววกล้าขณะที่จ้องมองร่างทั้งสอง ร่างหนึ่งใหญ่ ร่างหนึ่งเล็ก ทก้าวเดินออกมาจากหมอกอย่างช้าๆ
เฟิ่งชิวหรันมีสายตาดุดัน ส่วนหวังเป่าเล่อก็มีสีหน้าอ่านยากอีกเช่นเคย แต่ในใจชายหนุ่มเต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์มากมาย ทั้งคู่มองสำรวจทั่วบริเวณทันทีที่ก้าวออกมา หลังจากแน่ใจแล้วว่าตู้กูหลินเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิต พวกเขาจึงหันไปหา
พลางจ้องมองแผ่นหยกในมืออีกฝ่ายตาไม่กะพริบ!
“สหายเต๋าตู้กูหลิน ไม่ได้พบกันเสียนาน” หวังเป่าเล่อสวมเกราะจักรพรรดิอยู่ เส้นปราณสีโลหิตปลิวไหวไปตามลมอยู่รอบเกราะ เมื่อเขาเอ่ยปากพูด หมวกเกราะก็ขยับเปิด เผยให้เห็นใบหน้าที่อยู่ภายใน
ตู้กูหลินหรี่ตามองหวังเป่าเล่อ จากนั้นก็มองเฟิ่งชิวหรัน หลังจากที่แน่ใจแล้วก็สายตาของเฟิ่งชิวหรันไม่ได้ว่างเปล่าแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยประกาย ชายหนุ่มก็ทอดถอนใจด้วยความโล่งอก แล้วพูดออกมาทันที
“สหพันธรัฐล่าถอยไปยังดาวศุกร์ ขณะนี้พวกเรามีทรัพยากรไม่พอซ่อมแซมเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น จึงยังออกไปไหนไม่ได้ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอยู่ภายในเรือบินรบลำนั้น จากการสังเกตของข้า เขาคงไม่อาจรับมือทั้งเรื่องเรือบินรบและเรื่องอื่นๆ ได้พร้อมกันหากเรือบินรบยังซ่อมแซมไม่เสร็จดี!
“อาจารย์ข้า เมี่ยเลี่ยจื่อ ถูกควบคุมจิตใจ แต่ข้าลอบมองเขามาเป็นเวลานานแล้ว เขามีอาการเหม่อลอยอยู่บ้างเป็นบางเวลา เป็นไปได้ว่าวิญญาณของเขาอาจยังไม่ถูกทำลายไปจนหมด!”
“ศิษย์จะขออาสาอยู่ที่นี่ต่อไป และคอยส่งมอบข้อมูลทางการทหารให้ท่านทั้งสอง ข้ามีคำขอเพียงข้อเดียวเท่านั้น…โปรดช่วยอาจารย์ข้าด้วย! โปรดรีบไปเถิด ตระกูลไม่รู้สิ้นจะสำรวจบริเวณนี้ด้วยจิตสัมผัสวิญญาณทุกๆ สามสิบนาที มีเวลาอีกไม่มากแล้ว…” ตู้กูหลินพูดอย่างเร่งรีบ จากนั้นจึงยกมือขึ้นประสานและโค้งคำนับหวังเป่าเล่อกับเฟิ่งชิวหรัน!
ก่อนที่หวังเป่าเล่อหรือเฟิ่งชิวหรันจะทันได้พูดโต้ตอบ ตู้กูหลินก็ยกมือซ้ายขึ้นทุบหน้าอกตัวเองอย่างแรงจนเกิดเสียงดัง ร่างของเขาสั่นสะท้านก่อนจะพ่นเลือดออกมากองใหญ่
ช่างเป็นการโจมตีที่รุนแรงนัก ชายหนุ่มเกือบทำลายเส้นปราณของตนไปเสียแล้ว อาการบาดเจ็บนั้นรุนแรงเสียจนตู้กูหลินซวนเซถอยหลังและหมดสติไปทันที แผ่นหยกที่กำไว้แน่นในมือเป็นหลักฐานชั้นดี เขาถูกโจมตีบาดเจ็บสาหัสและหมดสติไปก่อนจะได้ส่งสัญญาณเตือน
“ผู้อาวุโสชิวหรัน รีบไปกันเถิด!” หวังเป่าเล่อจ้องมองร่างไร้สติของตู้กูหลินด้วยสายตาลึกซึ้งอยู่นาน ก่อนจะหันหน้าหนีและพุ่งตัวขึ้นฟ้าไป เฟิ่งชิวหรันรีรออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวออกมา
“จะต้องมีศิษย์เช่นตู้กูหลินเหลืออยู่อีกจำนวนมากในสำนักวังเต๋าไพศาล หากพวกเราสามารถเปิดเผยความจริงและปลดคาถาที่สะกดพวกเขาอยู่ได้ อาจจะมีประโยชน์กว่าการหนีไปยังสหพันธรัฐ”
“หากมีผู้ฝึกตนที่อยากรู้ความจริงหลงเหลืออยู่ในสำนักจริง ท่านคิดว่าพวกเขาจะโง่เขลาเสียจนมองไม่เห็นความจริงเลยเชียวหรือ” หวังเป่าเล่อพูดเบาๆ มีประกายเย็นเยียบสะท้อนอยู่ในแววตา
เฟิ่งชิวหรันอ้าปาก เตรียมพร้อมที่จะตอบโต้ หวังเป่าเล่อโคลงศีรษะ
“ผู้อาวุโสชิวหรัน ข้าเคยอ่านอัตชีวประวัติอยู่เล่มหนึ่ง มีประโยคหนึ่งกล่าวไว้ว่า ‘เมื่อใดก็ตามที่ประตูแห่งความโลภเปิดออก ก็จะไม่มีทางปิดลงได้อีก!’” หวังเป่าเล่อพุ่งทะยานออกไปบนท้องฟ้าขณะพูด ก่อนจะเร่งความเร็วขึ้นอีก
เฟิ่งชิวหรันเงียบงันไป นางมองไปรอบกาย ก่อนที่คลื่นอารมณ์จะถาโถมขึ้นมาในแววตา จากนั้น นางจึงถอนหายใจเบาๆ และรีบตามหวังเป่าเล่อไป พวกเขาแปรสภาพเป็นสายรุ้งสองเส้นพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าสีดำสนิท!
ทั้งสองเคลื่อนที่รวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง แต่ถึงกระนั้น ตอนนี้ดาวพุธก็เป็นฐานที่มั่นของตระกูลไม่รู้สิ้นไปแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะมีระดับพลังปราณสูงเพียงใดหรือเคลื่อนที่รวดเร็วเพียงไหน ก็ไม่อาจหลบเลี่ยงการถูกค้นพบได้อยู่ดี ทั้งคู่ยังไม่ทันจะไปถึงวงแหวนปราณดาวพุธด้วยซ้ำ เมื่อศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ผู้ที่ทำสมาธิอยู่ภายในเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้น สัมผัสการมาถึงของพวกเขาได้
ภายในชั้นสามของเรือบินรบ ที่ถูกแรงระเบิดของหวังเป่าเล่อทำลายไปก่อนหน้านี้ ได้รับการซ่อมแซมไปมากแล้ว ทั้งท่อเลือดเนื้อ รวมถึงสระน้ำมีสภาพเหมือนก่อนถูกระเบิดอย่างไม่มีที่ติ มีสิ่งเดียวที่ต่างออกไป…นั่นคือชุดคลุมออกศึกไม่ได้ตั้งอยู่ตรงกลางสระแล้ว แต่ที่ตรงนั้นถูกแทนที่โดย…ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน!
ขณะกำลังทำสมาธิ ดวงตาทั้งคู่ของชายชราปิดอยู่ ลมหายใจก็สม่ำเสมอดี แต่หลังจากสัมผัสได้ถึงสิ่งไม่ชอบมาพากล ลมหายใจของเขาก็ถี่เร็วขึ้น ก่อนจะเปิดตาขึ้นมา!
หวังเป่าเล่อ! เฟิ่งชิวหรัน! แสงปีศาจส่องประกายอยู่ในแววตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ชายชราไม่รู้เลยว่าตนเองตายไปแล้วและถูกชุบชีวิตขึ้นมาใหม่ มีความเกลียดชังอยู่ในน้ำเสียงของเขา เพราะยังแค้นเคืองที่หวังเป่าเล่อทำให้เรือบินรบเสียหายหนัก
“ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลทุกคน หวังเป่าเล่อสมคบคิดกับผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรัน นางถูกเขาควบคุมจิตใจเอาไว้ จงใช้พลังทั้งหมดของเจ้าและสังหารหวังเป่าเล่อ ช่วยเหลือผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรันมาให้จงได้!”
เสียงของเขาดังกังวานไปทั่ว ก่อให้เกิดเสียงอื้ออึงที่ดังก้องอยู่ในเรือบินรบ ความมุ่งหมายของเขาแผ่ปกคลุมทั่วทั้งเรือบินรบ และกระจายออกไปยังวงแหวนปราณดาวพุธ ก่อนจะห่อหุ้มไปทั่วทั้งดาว ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนบนดาวพุธตัวสั่นเทาเมื่อได้ยินคำสั่งนั้น วงแหวนปราณทำงานเต็มที่ก่อนจะชี้บอกตำแหน่งของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันทันที!
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันผู้ที่ไม่อาจออกจากเรือบินรบตระกูลไม่รู้สิ้นได้หรี่ตาลง ก่อนจะคำรามคำสั่งอีกคำสั่งหนึ่งออกมา
“เมี่ยเลี่ยจื่อ จับเฟิ่งชิวหรันและสังหารหวังเป่าเล่อเสีย!”
คำสั่งนั้นปะทุขึ้นในใจของเมี่ยเลี่ยจื่อ ก่อนจะสะท้อนดังไม่หยุดหย่อน ขณะที่อีกฝ่ายกำลังนั่งทำสมาธิอยู่ในอาคารหลักของฐานที่มั่น
เมี่ยเลี่ยจื่ออยู่ในห้องลับสีดำสนิท เขายกศีรษะขึ้นช้าๆ หลังจากที่ได้รับคำสั่งจากศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ใบหน้าแสดงความงุนงง ชายวัยกลางคนลุกขึ้นยืนและก้าวออกไป ก่อนจะหายตัวออกจากห้องลับมาปรากฏตัวที่กลางอากาศ ด้วยความช่วยเหลือของอภิมหาวงแหวนปราณดาวพุธ เขาก็พบตำแหน่งของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันในทันที พลังปราณภายในกายเมี่ยเลี่ยจื่อเริ่มหมุนวน ก่อนปล่อยคลื่นปราณวิญญาณระดับเชื่อมวิญญาณออกมา อากาศที่รายล้อมกายอยู่เริ่มบิดเบี้ยว เขาก้าวออกไปข้างหน้าอีกก้าวหนึ่ง สร้างรอยฉีกในอวกาศขึ้นก่อนจะพุ่งตัวมุ่งไปหาเป้าหมาย
หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันยังคงเดินทางรุดหน้าผ่านท้องฟ้าของดาวพุธและกำลังจะหลุดออกนอกชั้นบรรยากาศไปสู่อวกาศ แต่ทั้งคู่ก็ต้องตัวสั่นเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังที่พวยพุ่งออกมาห้อมล้อมกายเอาไว้ พลังที่มองไม่เห็นดูเหมือนจะทำให้พวกเขาเคลื่อนไหวช้าลงและพยายามไม่ได้ทั้งคู่หนีออกไปได้
“พวกนั้นพบเราแล้ว สิ่งนี้คือวงแหวนปราณประจำพื้นที่ของสำนักวังเต๋าไพศาล มันทรงพลังนัก ข้าคงต้องใช้เวลาราวสามสิบนาทีในการปิดมัน…” เฟิ่งชิวหรันมีสีหน้าตื่นตกใจ ทันทีที่นางพูดจบ หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นอย่างเงียบงัน ชายหนุ่มดูคล้ายเทพสงครามเมื่อสวมเกราะจักรพรรดิ
เขาพยายามติดต่อหลี่ซิงเหวินและคนอื่นๆ ผ่านแหวนสื่อสารหลายต่อหลายครั้ง แต่เห็นได้ชัดว่าแหวนสื่อสารไม่ทำงานเมื่ออยู่บนดาวพุธ ชายหนุ่มต้องหลุดออกจากชั้นบรรยากาศไปให้ได้ก่อน
หวังเป่าเล่อเลิกล้มความตั้งใจจะใช้แหวนสื่อสาร เขาคำรามก่อนจะยกมือขวาขึ้น ปล่อยพลังปราณให้ปะทุออกมาจากร่าง วิญญาณจุติของเขาสั่นคลอนก่อนจะปล่อยคลื่นพลังวิญญาณที่รุนแรงยิ่งกว่าที่เคยได้ใช้บนกระบี่สำริดเขียวโบราณออกมา
ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับวิญญาณจุตินับตั้งแต่ก้าวออกจากวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย รู้สึกราวกับว่าสวรรค์และผืนปฐพีมอบพลังให้เขา…ดวงดาวภายใต้ฝ่าเท้าของชายหนุ่มชื่นชมยินดีกับการมาถึงของเขาเป็นอย่างยิ่ง
หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาศึกษาความรู้สึกนี้โดยละเอียด แต่เมื่อวงแหวนปราณของดาวพุธกำลังบีบตัวเข้าใส่ หวังเป่าเล่อก็ปล่อยวิญญาณจุติของตนออกมา บังเกิดความเชื่อมโยงระหว่างวิญญาณจุติและดาวพุธ ปราณวิญญาณในกายของหวังเป่าเล่อระเบิดและพุ่งทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ความแข็งแกร่งนั้นได้รับการส่งเสริมจากเกราะจักรพรรดิก่อนจะหลั่งไหลเข้าสู่มือขวา ตรงบริเวณที่มีอาวุธเทพอยู่!
พลังอันยิ่งใหญ่ที่สั่นคลอนทั้งดวงดาวไหลบ่าออกมาเป็นคลื่นพลังวิญญาณในชั่วพริบตา มันปะทุและแปรสภาพกลายเป็นลมพายุหมุนขนาดยักษ์ที่ดูคล้ายจะเชื่อมท้องฟ้าและพื้นแผ่นดินเข้าด้วยกัน สรวงสวรรค์ส่งเสียงครั่นครืนเมื่อหวังเป่าเล่อคำราม
“สลายไปเสีย!”
แขนของอาวุธเทพเหวี่ยงลงราวกับจะฟาดฟัน!
ทั้งท้องฟ้าและพื้นดินบิดเบี้ยว สายลมคำราม เมฆม้วนถอย วงแหวนปราณประจำพื้นที่ของสำนักวังเต๋าไพศาลที่กดทับหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันอยู่เมื่อครู่…ถูกบังคับให้ต้องเผยร่างที่แท้จริงแล้วดูคล้ายตาข่ายใยแมงมุมออกมา มันไม่อาจทานทนพลังมหาศาลที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมาได้ จึงค่อยๆ จางไปทีละชั้นๆ ก่อนจะเสื่อมสลายและหายไปในพริบตา!
บทที่ 686 ประมือกับเมี่ยเลี่ยจื่ออีกค...
วงแหวนปราณที่บรรดาผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลหลอมขึ้นแผ่กระจายปกคลุมท้องฟ้าสีดำสนิทของดาวพุธราวกับเป็นไยแมงมุม มองดูละม้ายคล้ายรวงผึ้ง หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันเป็นเพียงมดตัวเล็กหากเทียบกับตาข่ายขนาดมโหฬารนั้น แต่สัตว์เล็กจ้อยเท่ามดเพิ่งจะปลดปล่อยพลังมหาศาลที่สั่นคลอนทั้งสวรรค์และพื้นพิภพออกมา
ทั้งท้องฟ้าและแผ่นดินสั่นคลอนเมื่อวิญญาณจุติดวงดาราในกายหวังเป่าเล่อลืมตาขึ้น ดาวพุธทั้งดวงราวกับกำลังสั่นไหว ก่อนที่จะส่องแสงออกมาสนับสนุนพลังของชายหนุ่ม แขนกระดูกที่ฟาดลงมาของหวังเป่าเล่อสร้างรอยฉีกขาดในวงแหวนปราณของสำนักวังเต๋าไพศาล มันขยายกว้างขึ้นก่อนจะแหวกออกเป็นทางยาวราวกับเป็นปากขนาดมหึมา!
เสียงที่ดังสนั่นกว่าเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นรอบกายพวกเขา หวังเป่าเล่อ ที่ขณะนี้เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง พุ่งตัวออกมาจากรอยแยก เฟิ่งชิวหรันตามเขาไปติดๆ ด้วยดวงตาที่เบิกโพลงจากความตื่นตะลึง พลังที่หวังเป่าเล่อปลดปล่อยออกมานั้นทำเอานางต้องผงะด้วยความตกใจแม้ว่าจะเตรียมใจมาแล้วก็ตาม!
เขาพัฒนาไปได้ไกลขนาดนี้ได้อย่างไรกัน ลมหายใจของนางถี่รัว หญิงวัยกลางคนไม่เข้าใจแม้แต่น้อย หวังเป่าเล่อมีพลังมหาศาลอย่างไม่น่าเชื่อเพียงแค่กลับมาถึงดาวพุธเท่านั้น
นางรู้ดีว่านี่ไม่ใช่เวลามามัวคิดหาเหตุผล จึงรีบตามชายหนุ่มออกไปจากรอยแยกในวงแหวนปราณทันที พวกเขากำลังจะออกจากดาวพุธ มุ่งหน้าไปยังอวกาศ
หวังเป่าเล่อหยิบแหวนสื่อสารออกมาและส่งข้อความเสียงไปหาหลี่ซิงเหวิน
“ตาเฒ่า เป่าเล่อของท่านกลับมาแล้ว! ข้าพาภรรยาของท่านกลับมาด้วย!”
หวังเป่าเล่อมีสีหน้าตื่นตกใจทันทีที่พูดจบ เฟิ่งชิวหรันเองก็มีสีหน้าคล้ายคลึงกัน ด้านล่างของพวกเขา ภายในวงแหวนปราณใยแมงมุม อากาศกำลังบิดเบี้ยว มีเสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้นรอบๆ บริเวณ และวงแหวนปราณก็ดูคล้ายกับจะพร่ามัวลงไป
ในวินาทีต่อมา มันก็แปรสภาพไปอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าขนาดมหึมาปรากฏขึ้นตรงกลางวงแหวนปราณ ใบหน้านั้นมีสีหน้างุนงง แววตาว่างเปล่ากำลังจับจ้องมายังหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรัน
รัศมีของมันสามารถกลบพลังของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณไปได้ มันคือพลังของขั้นเชื่อมวิญญาณนั่นเอง!
“เมี่ยเลี่ยจื่อ!” ใบหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึมขึ้นทันที อารมณ์ความรู้สึกมากมายฉายชัดอยู่ในแววตาของเฟิ่งชิวหรัน ใบหน้าของเมี่ยเลี่ยจื่อพุ่งออกมาจากวงแหวนปราณด้วยความเร็วอย่างน่าทึ่ง ตรงเข้าใส่คนทั้งสองทันที
ขนาดของใบหน้าอาจไม่ได้กว้างใหญ่เท่าผืนแผ่นดินที่อยู่ด้านหลัง แต่ก็ยังใหญ่เท่าๆ กับเกาะขนาดย่อมๆ และรวดเร็วเอามากๆ เสียด้วย ใบหน้านั้นกำลังจะพุ่งเข้ามาชนพวกเขาในอีกไม่ช้า นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ก่อนที่ชายหนุ่มจะสูดลมหายใจเข้าลึก
ดาวพุธสั่นไหวไปพร้อมๆ กับการสูดลมหายใจนั้น ราวกับว่าหวังเป่าเล่อได้สูบพลังแปลกประหลาดบางอย่างเข้าไป วิญญาณจุติดวงดาราของเขาผ่อนคลายแขนขาก่อนจะปล่อยพลังเต็มขั้นออกมา แสงดาวไหลบ่าเข้าท่วมกายมันและทะลักล้นไปทั่ว อึดใจนั้นเอง หวังเป่าเล่อก็เหมือนกำลังจะแปรสภาพกลายเป็นดวงดาวอีกดวง
“ออกไปให้พ้นทางข้าเสีย!” ชายหนุ่มคำราม ก่อนจะยกมือขวาของเกราะขึ้น พลังปราณไหลบ่าเข้าไปในอาวุธเทพของแขนขวาก่อนจะกระแทกกำปั้นเข้าใส่ใบหน้ายักษ์ด้วยพลังเกื้อหนุนจากดวงดาว!
กำปั้นนั้นสั่นสะเทือนท้องฟ้าและผืนแผ่นดิน ราวกับว่ามีพลังจากดวงดาวอยู่เบื้องหลัง ดวงดาวนั้นเปล่งแสงประกายออกมาประสานรวมกับกายของหวังเป่าเล่อ จนเหมือนว่าใบหน้าของเมี่ยเลี่ยจื่อปะทะกับดาวทั้งดวงก็ไม่ปาน
เสียงกัมปนาทดังสนั่นสะท้านไปทั่วดาวพุธ ใบหน้ามายาของเมี่ยเลี่ยจื่อเริ่มก็แตกร้าว รอยร้าวเริ่มจากจุดที่กำปั้นหวังเป่าเล่อกระทบใส่ ลากยาวไปจนกระทั่งแตกออกพร้อมเสียงดังสนั่น จากนั้นก็ระเบิดขึ้น ร่างๆ หนึ่งลอยละลิ่วออกไปไกลนับพันเมตร ร่างนั้นมีสีหน้าเรียบเฉย ลมหายใจห้วนถี่ เขาคือเมี่ยเลี่ยจื่อนั่นเอง หมัดของหวังเป่าเล่อแสดงให้เห็นว่าบัดนี้ชายหนุ่มเป็นภัยคุกคามอย่างแท้จริง
หวังเป่าเล่อไม่ได้แข็งแกร่งถึงเพียงนั้น พลังปราณของชายหนุ่มยังอยู่ในขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางเท่านั้น แม้จะได้รับการเสริมพลังจากเกราะจักรพรรดิและดาวพุธแล้วก็ตาม ก็ยังไม่อาจเทียบเท่าผู้ที่อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณได้ เขาส่งเสียงอยู่ในลำคอ แม้ว่าจะไม่ได้สำรอกเลือดออกมา และอวัยวะภายในก็ไม่ได้เสียหาย แต่กระนั้นแรงกระแทกก็ยังส่งให้หวังเป่าเล่อลอยละล่องออกมา
เฟิ่งชิวหรันกำลังจะฉวยโอกาสจู่โจมในจังหวะที่ทั้งคู่ผละออกจากกัน ทันใดนั้นเอง เมี่ยเลี่ยจื่อก็หรี่ตาลงก่อนจะตะโกนขึ้นมา
“ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลเข้าประจำที่ จัดตั้งวงแหวนปราณเพื่อต้อนรับการกลับมาของผู้อาวุโสชิวหรัน!”
สายฟ้าจำนวนมหาศาลเข้าปกคลุมท้องฟ้าทันที เมื่อผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนใช้พลังปราณอย่างเต็มที่พร้อมกัน
วงแหวนปราณแห่งดาวพุธมีจุดอ่อนอยู่นับพันจุด แต่ละจุดถูกผู้ฝึกตนนับร้อยคุ้มกันไว้ มีผู้ฝึกตนนับแสนกำลังปกป้องและควบคุมวงแหวนปราณอยู่ในขณะนี้ และตอนนี้พลังของพวกเขาทั้งหมดก็ไหลบ่าเข้าไปสู่วงแหวนปราณตามคำสั่งของเมี่ยเลี่ยจื่อ วงแหวนปราณส่องแสงจ้า ก่อนที่ดวงไฟนับไม่ถ้วนจะปรากฏขึ้น และล่องลอยมารวมกันเป็นบุรุษเรืองแสงที่สูงหลายร้อยเมตร!
ร่างนั้นดูเหมือนจะปรากฏขึ้นได้จากพลังของวงแหวนปราณ ถือเป็นการรวมพลังกันของดวงจิตของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลนับแสนก็ว่าได้ มันเอื้อมแขนออกมา เงยศีรษะขึ้นคำรามก่อนจะพุ่งเข้าใส่เฟิ่งชิวหรัน ผู้ซึ่งกำลังมุ่งหน้าเข้าไปหาเมี่ยเลี่ยจื่อ!
“ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเป็นผู้รอดชีวิตจากตระกูลไม่รู้สิ้น และตอนนี้กำลังควบคุมจิตใจของเมี่ยเลี่ยจื่อเอาไว้ ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้าทุกคนคงไม่อยากเชื่อ แต่หากเจ้าเลือกทางผิด เจ้าก็กำลังช่วยเหลือคนชั่ว จงหยุดต่อสู้เสียเถิด เจ้ายังเลือกที่จะเพิกเฉยได้อยู่!” เฟิ่งชิวหรันพูด ดวงตาของนางแม้จะสดใสแต่ก็เปี่ยมด้วยความกังวล แตกต่างจากดวงตาที่ล่องลอยของเมี่ยเลี่ยจื่อเป็นอย่างยิ่ง มนุษย์ยักษ์เรืองแสงที่มาจากดวงจิตของผู้ฝึกตนนับแสนหยุดไปชั่วครู่ก่อนจะก้มศีรษะลง ดูเหมือนว่ามันกำลังทำท่าตามผู้ฝึกตนจำนวนมากที่กำลังควบคุมวงแหวนปราณอยู่!
ทันใดนั้นเอง เสียงของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ที่ขยายด้วยกำลังของวงแหวนปราณ ก็สะท้อนดังขึ้นในอากาศ
“โปรดร่วมกันต้อนรับการกลับมาของผู้อาวุโสชิวหรัน ผู้ที่เข้าร่วมจะได้รับสามร้อยแต้มการรบ และผู้ที่ทำสำเร็จจะได้รับหนึ่งหมื่นแต้มการรบ!”
คำพูดเหล่านั้นดังสะท้อนก้องอยู่ไปมา มนุษย์เรืองแสงตัวสั่น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นอีกครา ดวงตาทั้งคู่ส่องประกายกล้า ความต้องการแต้มการรบดูเหมือนจะเอาชนะดวงจิตนับแสนที่ควบคุมมนุษย์เรืองแสงอยู่ได้ ร่างนั้นเริ่มวิ่งเข้าใส่เฟิ่งชิวหรันอีกครั้ง
ร่างนั้นพุ่งไปข้างหน้า ทะลุกำแพงเสียงพลางแผ่พลังที่เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณออกมาขณะที่ชนเข้ากับเฟิ่งชิวหรันอย่างจัง
หวังเป่าเล่อเหลือบไปมองเฟิ่งชิวหรัน ผู้ซึ่งไม่มีทางเลือกนอกจากต้องสู้กับมนุษย์เรืองแสง ชายหนุ่มมองเห็นความเศร้าสร้อยในแววตาของนาง แม้กระนั้น นางก็ยังไม่ใช้การโจมตีที่รุนแรง เพียงแต่พยายามจะป้องกันตัวเท่านั้น
หวังเป่าเล่อมีสีหน้าบูดบึ้งเพราะความวิตกกังวลที่ถาโถมอยู่ในใจ ชายหนุ่มต้องการออกจากดาวพุธให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ การรอช้าอยู่เท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นเดินทางมาช่วยบรรดาผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลมากขึ้นอีก หากเวลานั้นมาถึง การจะหนีก็เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป เหลือเพียงความตายเท่านั้นที่รอพวกเขาอยู่
“ผู้อาวุโสชิวหรัน พวกเรารีบหนีออกจากที่นี่กันเถิด เร็วเข้า!” หวังเป่าเล่อตะโกน จังหวะนั้นเมี่ยเลี่ยจื่อก็เข้ามาถึงตัว ก่อนจะปล่อยพลังปราณทั้งหมดออกมาขณะที่พุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อราวกับเป็นดาวหาง
หวังเป่าเล่อไม่มีเวลาเตือนเฟิ่งชิวหรันอีก ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ กำไลคลังเวทสั่นไหว ก่อนที่หอกดำจะพุ่งแหวกอากาศเข้าใส่เมี่ยเลี่ยจื่ออย่างรวดเร็ว แถมเขายังเรียกร่างอวตารออกมาอีกด้วย
ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อพุ่งขึ้นไปบนฟ้า ส่วนร่างจริงนั้นกำหมัดแน่น พลังของวิญญาณจุติดวงดาราและเกราะจักรพรรดิรวมกันอยู่ในกำปั้น หมัดกำเนิดดวงดาราของเขาพุ่งตามอาวุธเวทไปติดๆ ตรงเข้าใส่เมี่ยเลี่ยจื่อ!
ทั้งคู่พุ่งเข้ากระทบกัน หอกดำเป็นวัตถุเวทน่าทึ่งที่ได้รับการเสริมแรงจากพลังแฝงของหวังเป่าเล่อ มันพุ่งเป็นลำแสงสีดำยาวที่ดูราวสามารถตัดผ่านอวกาศได้ด้วยความคม พลังที่แผ่ออกมาเป็นของอาวุธเวทระดับเก้า เมื่ออยู่ต่อหน้าพลังระดับนั้น กระทั่งเมี่ยเลี่ยจื่อก็ยังรู้สึกหวั่นเกรง นัยน์ตาของเขากระตุกเกร็ง
หมัดระเบิดกำเนิดดวงดาราของหวังเป่าเล่อรวมพลังปราณและกำลังกายของเขาเข้าเป็นหนึ่งเดียว การโจมตีนั้นได้รับการสนับสนุนจากปราณวิญญาณที่มากมายไร้สิ้นสุดซึ่งหวังเป่าเล่อเก็บกักไว้ในรูปของไขมันวิญญาณในร่างกาย จะกล่าวว่าชายหนุ่มเป็นศิลาวิญญาณเดินได้ก็ไม่ผิดนัก
“รับไปเสีย! ข้ายังมีพลังวิญญาณเก็บไว้อีกมาก!” หวังเป่าเล่อคำราม ชายหนุ่มชกออกไปสิบหมัดพร้อมๆ กัน กำปั้นของเขาดูกว้างหลายร้อยเมตรขณะที่พุ่งชนอากาศ แรงกระทักอันดุดันของกำปั้นพุ่งเข้าใส่เมี่ยเลี่ยจื่อ!
กำปั้นเหล่านั้นระเบิดขึ้น เสียงระเบิดดังสนั่นสะท้อนอยู่ในอากาศ ผู้ฝึกตนทั้งสองยังคงต่อสู้กันไม่หยุด หอกดำพุ่งเข้าใส่เป็นอย่างแรก หวังเป่าเล่อกัดฟันก่อนจะสั่งให้มันระเบิดตัวเองอย่างไม่รอช้า!
เสียงกัมปนาทดังสะเทือนเลื่อนลั่นไปทั่ว!
แรงระเบิดของอาวุธเวทกระจายออกไป ก่อให้เกิดแรงกระแทกที่ผสานรวมกับหมัดระเบิดกำเนิดดวงดาราของหวังเป่าเล่อจนกลายเป็นพลังอันน่าอัศจรรย์ หวังเป่าเล่อใส่พลังทั้งหมดของเขาเข้าไปในหมัดระเบิดกำเนิดดวงดารา เมี่ยเลี่ยจื่อตัวสั่นก่อนจะลอยปลิวไปเพราะแรงโจมตีอันหนักหน่วง!
หวังเป่าเล่อเล่อร้องตะโกนขณะที่เมี่ยเลี่ยจื่อล่าถอยเพื่อหลบหลีก
“เฟิ่งชิวหรัน ทำไมถึงไม่ขยับเล่า” หวังเป่าเล่อหันไปพูด ก่อนจะส่งหมัดระเบิดกำเนิดดวงดารานับสิบไปหามนุษย์ส่องแสงที่กำลังสู้กับนางอยู่!
การโจมตีนั้นทำเอาสรวงสวรรค์สั่นสะเทือน สายลมพวยพุ่งหมุนวนตีก้อนเมฆกระจายเป็นทาง ภายใต้การควบคุมของหวังเป่าเล่อ การโจมตีของเขาผลักมนุษย์ส่องแสงออกไป ทั้งยังช่วยเพิ่มพลังให้เฟิ่งชิวหรันอีกด้วย
หญิงวัยกลางคนมีแววตามุ่งมั่น นางปล่อยพลังออกมา และด้วยการถีบตัวเพียงครั้งเดียว นางก็พุ่งทะยานออกไปสู่ท้องฟ้า!
หวังเป่าเล่อหายใจหอบถี่ ก่อนจะสลับที่กับร่างอวตารซึ่งล่วงหน้าไปอยู่ที่ขอบฟ้าแล้วในบัดดล!
ชายหนุ่มไม่เปิดโอกาสให้เมี่ยเลี่ยจื่อหรือมนุษย์ส่องแสงได้ติดตาม ประกายกล้าฉายวาบอยู่ในแววตาของร่างอวตาร ก่อนที่มันจะระเบิดตัวเองโดยไม่มีการรีรอใดๆ!
………………………..
บทที่ 687 ทะเลดวงดาว!
การทำลายตัวเองของร่างอวตารก่อให้เกิดแรงกระแทกหนักหน่วงที่สร้างรูขนาดใหญ่ไว้ในอวกาศ ลมหมุนขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและดูดทุกสิ่งเข้าไปหา แม้ว่าจะมีพลังปราณอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่เมี่ยเลี่ยจื่อก็ต้องชะลอการติดตามลงเพราะการระเบิดที่ต่อเนื่องจากทั้งหอกดำและร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ
แรงกระแทกจากการระเบิดไม่เพียงกระจายไปเป็นวงกว้างแต่ยังกระทบกับพื้นที่โดยรอบอีกด้วย การเคลื่อนย้ายในระยะสั้นไม่อาจทำได้ ชายวัยกลางคนไม่มีทางเลือกนอกจากต้องถอยหนีเพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
มนุษย์เรืองแสงเป็นร่างรวมของดวงจิตนับแสน แม้จะมีพลังเทียบเท่าขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่ก็ยังต้องใช้ดวงจิตจำนวนมากมารวมกัน แรงระเบิดส่งผลกับมันเช่นกัน ร่างนั้นหลบแรงระเบิดไม่พ้น ตัวของมันสั่นเทาเพราะแรงสั่นสะเทือนรุนแรง มีผู้ฝึกตนร่วมๆ สองหมื่นคนภายในวงแหวนปราณพันตาบนดาวพุธที่อาเจียนเอาเลือดออกมาพร้อมๆ กัน บ้างก็เสียชีวิตคาที่เพราะร่างกายแหลกเหลวไป
แรงสะท้อนกลับอันรุนแรงหยุดยั้งการติดตามเอาไว้ ซื้อเวลาให้หวังเป่าเล่อได้หลบหนี!
แต่ชายหนุ่มอาจไม่ได้มีเวลามากขนาดนั้น หลังจากที่หลบแรงระเบิดของร่างอวตารของหวังเป่าเล่อได้ เมี่ยเลี่ยจื่อก็เริ่มต้นไล่ตามอีกครั้ง ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังคงอยู่ภายในเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น ไม่อาจออกไปร่วมต่อสู้ด้วยได้ แต่สายตาของเขาก็จับจ้องอยู่ที่สนามรบไม่ห่าง
หวังเป่าเล่อ เฟิ่งชิวหรัน พวกเจ้าไม่มีทางหนีพ้นหรอก! ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันหรี่ตาก่อนจะยกมือขวาขึ้น แผ่นหยกหนึ่งปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ ก่อนจะส่งคำสั่งออกไปทันที
คำสั่งนั้นไม่ได้ส่งไปยังผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลบนดาวพุธ หากแต่เป็นสหายร่วมตระกูลไม่รู้สิ้น ผู้ซึ่งตื่นขึ้นและซ่อนตัวอยู่ภายในร่างกายของผู้ฝึกตนสำนักเต๋าไพศาลนั่นเอง!
พวกเขาส่วนมากอยู่ในอวกาศ กำลังนำกลุ่มผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลในเรือบินล่องไปทั่วจักรวาล และเตรียมตัวรบกับสหพันธรัฐครั้งต่อไป นัยน์ตาของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นส่องประกายเย็นเยียบเมื่อได้รับคำสั่ง
เรือบินอวกาศที่อยู่ภายนอกดาวพุธล้อมรอบดวงดาวเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ใครหลบหนีไปได้
ขณะเดียวกันนั้นเอง ผู้บริหารระดับสูงของสหพันธรัฐกลุ่มใหญ่ก็รวมตัวกันอยู่ด้านหลังแนวป้องกันบนดาวศุกร์ พวกเขามาจากสี่ยอดสำนักศึกษาเต๋า กลุ่มไตรจันทรา ตระกูลนภาห้าสมัย และกลุ่มอำนาจการเมืองที่มีอิทธิพลอื่นๆ
ผู้ฝึกตนเหล่านี้ไปประจำอยู่ที่นั่นตามคำสั่งของต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวิน พวกเขาได้รับทรัพย์สมบัติและอำนาจจากสหพันธรัฐไม่น้อย ดังนั้นเมื่อสหพันธรัฐตกอยู่ในอันตราย พวกเขาก็ต้องต่อสู้และปกป้องมันเอาไว้!
สีหน้าของพวกเขาต่างจริงจัง ทุกคนรวมตัวกันอยู่บริเวณห้องสั่งการหลัก สายตาจับจ้องไปยังจอใหญ่เบื้องหน้า
จอนั้นฉายแผนที่ของระบบสุริยะ วงแหวนปราณระบบสุริยะกำลังทำงานอยู่ หมายความว่าแผนที่นี้เป็นภาพตามเวลาจริง ภาพของดาวพุธบนแผนที่ดูพร่าเลือน การที่ดาวพุธตกอยู่ในเงื้อมมือของศัตรูและคลื่นรบกวนจากวงแหวนปราณบนดาวทำให้พวกเขาไม่อาจรับข้อมูลจากดาวพุธได้
อาณาเขตรอบๆ ดาวพุธเป็นสีดำสนิทจนกระทั่งสามสิบนาทีก่อน ตอนนั้นเอง ภาพที่พร่าเลือนก็เข้ามาแทนที่ความมืดมิดในตอนแรก มีบางอย่างทำให้คลื่นแทรกในบริเวณนั้นอ่อนแรงลง
“มีบางอย่างเกิดขึ้นกับวงแหวนปราณดาวพุธ เหมือนว่าจะถูกโจมตีด้วยพลังบางอย่างขอรับ!”
“ตามข้อมูลที่เราเก็บมาจากวงแหวนปราณระบบสุริยะ เรือบินของสำนักวังเต๋าไพศาลภายนอกดาวพุธดูเหมือนกำลังแปรขบวน…”
“เราได้รับรายงานจากแนวหน้าว่าเรือบินรบของสำนักวังเต๋าไพศาลที่อยู่รอบนอกกำลังถอนตัว…เหมือนว่ากำลังจะตั้งแนวเพื่อขวางอะไรบางอย่าง!”
“ตามข้อมูลที่เรามี น่าจะสรุปได้ว่า…มีบางอย่างเกิดขึ้นที่สำนักวังเต๋าไพศาล ใครบางคนพยายามจะหนี หากดูตามรูปแบบการแปรขบวนของเรือบินรบ คาดว่าคนผู้นี้กำลังหนีจากดาวพุธออกไปสู่อวกาศ!”
ผู้ฝึกตนจากกรมที่รับผิดชอบกลยุทธ์ทางการทหารของสหพันธรัฐ ซึ่งเชี่ยวชาญการศึกสงคราม ยืนจังก้าอยู่หน้าจอยักษ์ในฐานและแจ้งข้อมูลให้ทุกคนในนั้น พวกเขาอธิบายข้อสรุปซึ่งมาจากข้อมูลที่เก็บมาได้ในช่วงสามสิบนาทีนั้น
ทุกคนมีสีหน้าตกใจเมื่อได้ยิน พวกเขาไม่มีเวลาพูดคุยเรื่องนี้กันต่อ หลี่ซิงเหวิน ซึ่งยืนอยู่ข้างต้วนมู่ฉีที่มีสีหน้าเกรี้ยวกราด กระแอมกระไอออกมา ทั้งคู่ยืนอยู่ด้านหน้าฝูงชน
“อย่างที่ทุกท่านได้เห็นแล้ว นี่คือสถานการณ์ปัจจุบันของเรา เวลาเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ข้าอยากให้ทุกคนฟังข้อความเสียงนี้สักหน่อย” เมื่อชายชราพูดจบ ก็เปิดข้อความของหวังเป่าเล่อจากแหวนสื่อสารด้วยเสียงอันดัง
“ตาเฒ่า เป่าเล่อของท่านกลับมาแล้ว! ข้าพาภรรยาท่านกลับมาด้วย!”
เสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นยินดีและอบอุ่น มันดังก้องสะท้อนไปในห้องโถงใหญ่ที่ผู้บริหารระดับสูงของสหพันธรัฐนั่งอยู่ ดวงตาของพวกเขาเบิกโพลง บ้างก็ถึงกับหายใจสะดุดด้วยความตกใจ
“หวังเป่าเล่อหรือ”
“เจ้าเด็กที่ไปเป็นผู้อาวุโสสูงสุดที่สำนักวังเต๋าไพศาลน่ะหรือ”
“เขายังไม่ตายหรือ แล้วภรรยาที่ว่านี่คือ…”
อารมณ์หลากหลายพลุ่งพล่านอยู่ในฝูงชนเมื่อพวกเขาจำเสียงของหวังเป่าเล่อได้ ทุกคนให้ความสนใจกับสิ่งที่หวังเป่าเล่อพูดในตอนท้าย แล้วจึงนึกได้ว่าผู้ที่หวังเป่าเล่อกล่าวว่าเป็นภรรยาของหลี่ซิงเหวินคือใคร
“ผู้อาวุโสสูงสุดเฟิ่งชิวหรันแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล!”
หลี่ซิงเหวินไม่ได้มีท่าทีเขินอายต่อความตื่นตกใจนั้น ชายชราดูเหมือนจะภูมิใจเอาเสียด้วยซ้ำ ใบหน้าของต้วนมู่ฉียังคงกราดเกรี้ยว เขาตกใจที่ได้รู้ว่าหลี่ซิงเหวินได้รับข้อความเสียงจากหวังเป่าเล่อ แต่หลี่ซิงเหวินได้พูดต่อเรื่องการหาตัวแทนตำแหน่งผู้นำ ทำให้ต้วนมู่ฉีกังวลใจเป็นที่สุด ศีรษะก็ปวดตุบเพียงแค่คิดเรื่องนี้ แม้กระทั่งสงครามก็ยังไม่ทำให้เขาวุ่นวายใจได้ถึงเพียงนี้
“เอาละ สหายร่วมสำนักเต๋าทั้งหลาย ข้าขอเสนอว่าเราควรไปรับหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันมาทันที ข้ารู้ดีว่าพวกท่านอาจจะยังข้องใจว่าเป็นพวกเขาจริงหรือแค่หลอกลวง แต่จากข้อมูลที่เราได้รับมา ขณะนี้ เมี่ยเลี่ยจื่อกำลังถูกควบคุม แถมยังมีเรื่องการแฝงตัวของสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นในร่างมนุษย์ด้วย แต่พวกเราไม่อาจทิ้งพวกเขาทั้งสองเพียงเพราะความสงสัยได้ ข้าเสนอว่าพวกเราควรไปช่วยพวกเขามาก่อน แล้วจึงค่อยตัดสินใจว่าจะทำเช่นไรต่อไป!” หลี่ซิงเหวินพูดอย่างเด็ดขาด แม้ว่าเขาจะพูดในเชิงเสนอ แต่ความมุ่งมั่นในแววตาของเขาก็เป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนดี
“ข้าเห็นด้วย!”
“ข้ายังคงไม่วางใจนัก แต่หวังเป่าเล่อก็มีคุณต่อสหพันธรัฐมากนัก แม้นี่จะเป็นกับดักก็ตามแต่ พวกเราก็ต้องลองดู!”
สหพันธรัฐขณะนี้อยู่ท่ามกลางสงครามที่จะชี้ชะตาความอยู่รอดของพวกเขา และธรรมชาติอันน่ารังเกียจของมนุษย์ก็มักจะเผยตัวออกมาพร้อมสงคราม แต่ถึงกระนั้น การที่มีศัตรูคนเดียวกันก็ทำให้ทุกคนวางความโกรธเคืองครั้งเก่าและร่วมมือกัน ดังนั้นตระกูลนภาห้าสมัยจึงเห็นด้วยกับการตัดสินใจของหลี่ซิงเหวิน
ต้วนมู่ฉีรีบส่งคำสั่งในฐานะผู้นำของสหพันธรัฐ ให้ส่งกองเรือบินของสหพันธรัฐออกไป และเปิดใช้แนวป้องกันของดาวศุกร์ ดูคล้ายกับว่าสหพันธรัฐกำลังจะบุก วงแหวนปราณระบบสุริยะก็เดินเครื่องเต็มกำลังเช่นกัน มันสร้างคลื่นแทรกที่สะท้อนไปไกลถึงดาวพุธ ส่งผลให้ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลและตระกูลไม่รู้สิ้นไม่อาจตั้งแนวขัดขวางได้สำเร็จ
ขณะที่กองกำลังถูกปล่อยออกไป หลี่ซิงเหวินก็นำกลุ่มของตนเองเดินทางไปยังดาวพุธอย่างลับๆ ชายชราใช้พลังของวงแหวนปราณระบบสุริยะและมุ่งตรงออกไปด้วยความเร็วสูงสุด
กลุ่มของเขาประกอบไปด้วยต้นไม้ยักษ์ ประมุขสำนักสวีจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพ และยังมีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกหลายคนจากกลุ่มอำนาจการเมืองอื่นๆ หากสู้กันตัวต่อตัว พวกเขาอาจไม่ใช่คู่ปรับของศัตรู แต่เมื่อมีวิทยาการของสหพันธรัฐคอยช่วยเหลือ เมื่อรวมความรู้ด้านวิทยาการและด้านพลังวิญญาณเข้าด้วยกัน ทำให้พวกเขามีวิธีการปรับพลังตนเองมากมาย หนึ่งในอาวุธหลักของพวกเขาก็คือระเบิดต้านทานวิญญาณนั่นเอง!
กองกำลังสหพันธรัฐเคลื่อนที่จากดาวศุกร์ พร้อมๆ กับหลี่ซิงเหวินที่ออกเดินทางไปอย่างลับๆ ขณะเดียวกัน บนท้องฟ้าเหนือดาวพุธ หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันต่างก็กำลังง่วนกับการหลบหนี และต่อสู้กับดาวพุธที่พยายามจะดึงรั้งพวกเขากลับไปบนพื้น
หัวใจของหวังเป่าเล่อยังคงเจ็บปวดไม่หายจากการสูญเสียหอกดำไป ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกเศร้าเสียใจกับการเสียร่างอวตารไปสักเท่าใดนัก…หอกดำนั้นเป็นวัตถุเวทที่ไม่เหมือนใคร ในขณะที่ร่างอวตารถูกสร้างขึ้นจากไขมันวิญญาณที่มีอยู่มากมายในกายเขา ร่างอวตารที่ระเบิดไปก็เปรียบได้กับการใช้พลังวิญญาณหมดไปเท่านั้นเอง
อันที่จริง มีปัญหาหนึ่งที่รบกวนใจหวังเป่าเล่อมาตลอดตั้งแต่การสลับตำแหน่งกับร่างอวตารเพื่อพยายามจะหนี
แรงระเบิดจากร่างอวตารของข้าดูจะแรงไม่ใช่เล่น…ทำไมข้าไม่ลองใช้วิธีนี้จู่โจมเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นดู หากข้าสามารถสังหารศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันได้อีกครั้ง ข้าจะจบสงครามได้ด้วยตัวเอง และข้าก็จะกลายเป็นวีรบุรุษ!
ความคิดนั้นช่างล่อใจเป็นอย่างมาก หัวใจของชายหนุ่มเต้นระรัวเพียงแค่คิดเท่านั้น แต่ก็ต้องตัดใจอย่างรวดเร็ว การฟื้นคืนชีพของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังมีปริศนาอยู่มากเกินไป และด้วยนิสัยของเฟิ่งชิวหรัน นางจึงไม่อาจเป็นที่พึ่งให้เขาได้เช่นกัน อีกอย่างหนึ่ง ชายหนุ่มจำสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่เขาพบภายในเรือบินรบ ซึ่งกำลังหลับไหลและรักษาตัวอยู่ได้ พลังที่แผ่ออกมาจากกายของพวกเขาแสดงให้เห็นว่าคนเหล่านั้นแข็งแกร่งเพียงใด
โอกาสที่เขาจะรอดชีวิตกลับไปเป็นวีรบุรุษมีเพียงน้อยนิด แต่โอกาสที่จะตายกลายเป็นอนุชนให้กับสงครามนั้นมีมากยิ่งกว่า
อีกอย่างหนึ่ง หวังเป่าเล่อไม่ควรใช้กลเม็ดนี้อย่างโจ่งแจ้งเกินไปนัก ชายหนุ่มไม่ใช่คนที่มีท่าไม้ตายเดียว ซึ่งอาจทำให้เขาเสียเหลี่ยมในการต่อสู้ได้ เขาจึงตัดสินใจไม่ทำตัวเป็นวีรบุรุษ
อีกอย่าง นิสัยนี้ก็ไม่ควรส่งเสริม ข้าอาจเคยชินจนเผลอทำลายร่างจริงของตัวเองเอาก็เป็นได้…หวังเป่าเล่อคิดไปก็ขนลุกขนชันไป ก่อนจะเร่งความเร็วขึ้นอีก พวกเขาใกล้จะหลุดจากดาวพุธออกสู่อวกาศขึ้นทุกขณะ
น้ำหนักที่ดึงรั้งเขาไว้จางหายไปในวินาทีต่อมา ชายหนุ่มพุ่งตัวขึ้นไปอีกหลายร้อยเมตร ความรู้สึกอันเหลือเชื่อค่อยๆ หลั่งไหลออกจากวิญญาณจุติดวงดาราของเขา
ผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในสามารถอยู่ในอวกาศได้ชั่วขณะหนึ่ง ผู้ที่อยู่ในขั้นจุติวิญญาณแม้ไม่สามารถอยู่ในอวกาศได้เหมือนดวงดาว แต่ก็ยังใช้คาถาและเหาะเหินได้อย่างไร้ปัญหา แม้จะไม่นานนัก ส่วนผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณไม่มีปัญหาเลยแม้แต่น้อย
ทุกๆ อย่างเป็นไปได้ ขอแค่เพียงมีปราณวิญญาณเพียงพอ!
แน่นอนว่า สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไปเรื่องนี้ยังมีข้อจำกัดอยู่ แต่หวังเป่าเล่อนั้นต่างออกไป ร่างกายของเขาสั่นอย่างรุนแรงทันทีที่ออกจากบรรยากาศของดาวพุธและเข้าสู่อวกาศ วิญญาณจุติดวงดาราในกายก็รู้สึกแปลกแปร่ง ราวกับว่า…เขาได้จมลงไปในมหาสมุทรของดวงดาว และวิญญาณจุติดวงดาราก็เป็นปลาตัวหนึ่งในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่นี้!
ข้าคิดอยู่เสมอว่าตัวข้าเป็นคนพิเศษ เป็นผู้ที่โชคชะตากำหนดให้ขึ้นปกครองสหพันธรัฐ และนำสหพันธรัฐยึดครองจักรวาลทั้งหมด ดูเหมือนว่าวิญญาณจุติของข้าจะเป็นข้อพิสูจน์ได้ดีทีเดียว! ความพิเศษของวิญญาณจุติทำให้ชายหนุ่มรู้สึกใจชื้น เขาหันไปมองเฟิ่งชิวหรัน ผู้ซึ่งออกมาถึงอวกาศแล้วเช่นกัน จากนั้นจึงหันไปมองดวงดาวห่างไกล และด้วยการเร่งความเร็วอย่างฉับพลัน หวังเป่าเล่อก็พุ่งทะยานออกไปไกลลิบ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น