ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 682-693
ตอนที่ 682 ไม่น่าเกลียด ดูดีออก
เหมยเหมยไม่ได้ตกใจเมื่อได้ยินคำตอบนี้ เหมือนชาติที่แล้วไม่มีผิดที่เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้เข้าสอบมหาวิทยาลัยอย่างเคย
เหยียนหมิงซุ่นกลับเป็นฝ่ายฉงนเสียเองเพราะปฏิกิริยาของเหมยเหมยเรียบเฉยเกินไป ควรถามเหตุผลที่เขาไม่เข้าสอบมหาวิทยาลัยไม่ใช่หรือ?
“ทำไมเธอไม่ถามเหตุผลฉันล่ะ?” เหยียนหมิงซุ่นอดถามไม่ได้
เหมยเหมยเลิกคิ้วอย่างได้ใจ ซึ่งทำเอาเหยียนหมิงซุ่นหมดความอดทน เมื่อก่อนเหยียนหมิงซุ่นหัวเราะเยาะเธอตั้งหลายครั้งเพราะเธอมักใจร้อนอยู่เรื่อย
“ฉันรู้อยู่แล้ว เพราะทุกอย่างเป็นไปตามการคาดเดาของฉัน” เหมยเหมยแสร้งทำท่าเหมือนคนที่เข้าใจได้ยาก จึงเรียกเสียงหัวเราะจากเหยียนหมิงซุ่นได้
“งั้นเธอลองพูดมาสิว่าทำไมฉันไม่สอบ” เหยียนหมิงซุ่นพูดกลั้วหัวเราะ
“เพราะพี่หมิงซุ่นอยากไปเป็นทหารไงล่ะ ฉันรู้ตั้งนานแล้ว” เหมยเหมยพูดขึ้นมาอย่างชอบใจ แต่เธอกลับรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลยเพราะการเป็นทหารมันลำบากจริง ๆ แม้จะรู้ว่าชาติที่แล้วเหยียนหมิงซุ่นไต่ขึ้นตำแหน่งสูงได้อย่างราบรื่น แต่เธอก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มกว้างกว่าเดิม แต่กลับรู้สึกอบอุ่นที่หัวใจเพราะเหมยเหมยเข้าใจเขา
“นับวันเหมยเหมยก็ยิ่งฉลาดนะเนี่ย”
เหมยเหมยแค่นเสียงเบาตอบกลับไป อดไม่ได้ที่จะแกว่งเท้าทั้งสองข้างไปมาอย่างได้ใจจนจักรยานโอนเอนตามแรง เหยียนหมิงซุ่นรีบจับคันบังคับไว้แล้วหันกลับไปตำหนิว่า “เหมยเหมยอย่าซน เดี๋ยวรถล้มขึ้นมาอย่ามาร้องว่าเจ็บเชียว!”
“ไม่กลัว พี่หมิงซุ่นไม่มีทางขับล้มหรอก!” เหมยเหมยแกว่งให้รถส่ายไปส่ายมาอีกครั้ง เหยียนหมิงซุ่นจอดรถอย่างเอือมระอา หันกลับไปมองเหมยเหมยที่แสนทะเล้น แต่แววตามีเพียงความเอ็นดู ไม่ได้ดูรำคาญสักนิด
ฉิวฉิวโผล่หัวออกมาจากกระเป๋า อยู่แต่ในกระเป๋าทำเขาอึดอัดแทบตาย ฉิวฉิวกลอกตาดำไปมาแล้วส่งเสียงเรียกไปทางข้อมือของเหมยเหมย ฉาฉาที่งัวเงียกำลังงีบกลางวันอยู่คลานออกมาจากแขนเสื้อก่อนจะรีบมุดกลับเข้ากระเป๋า
“พี่ฉิวมีเรื่องอะไรเหรอ?”
ฉิวฉิวกางอุ้งมือตะครุบฉาฉาตัวเย็นฉ่ำมาตรงหน้า ไอเย็นที่ถาโถมเข้ามาเรียกให้ฉิวฉิวถอนหายใจอย่างพอใจ ล้วงช็อกโกแลตสองชิ้นจากกระเป๋า ของตัวหนึ่งหนึ่งชิ้นและของฉาฉาหนึ่งชิ้น
เพราะฉิวฉิว เสี่ยวฉาฉาคงเป็นงูตัวเดียวในโลกที่ชอบกินช็อกโกแลตแล้วล่ะ!
ฉาฉาที่กำลังดื่มด่ำกับช็อกโกแลตเริ่มวิตกกังวล “พี่ฉิว ฉันออกมาซะนานเดี๋ยวเจ้านายจะเอาร้อนนะ”
“ไม่เป็นไร เจ้านายมัวแต่จู๋จี๋กันอยู่ ไม่สนใจว่าร้อนไม่ร้อนหรอก นายอยู่นี่แหละ ให้ฉันได้คลายร้อนสักหน่อย”
ฉิวฉิวกินช็อกโกแลตต่ออย่างไม่ใส่ใจก่อนจะตบรางวัลให้ฉาฉาเป็นช็อกโกแลตอีกชิ้น เจ้าตัวเล็กเชื่อฟังฉิวฉิวมากที่สุดจึงยอมอยู่ต่ออย่างสบายใจ
เหยียนหมิงซุ่นจับขาที่ไม่อยู่นิ่งของเหมยเหมยให้ยืดตรงก่อนจะดีดจมูกโด่งของเด็กสาวอีกที พูดด้วยอารมณ์โกรธว่า “อย่าซนอีกนะ”
เหมยเหมยย่นจมูก มองเหยียนหมิงซุ่นอย่างไม่ชอบใจแล้วคำรามใส่ “อย่าดีดจมูกฉันสิ จะน่าเกลียดเอานะ”
“ไม่น่าเกลียดเลย ดูดีออก”
เสียงใสดังมาจากข้างหน้าเช่นเคย เหมยเหมยรู้สึกหวานจับใจ ยิ้มจนตาโค้งเป็นเสี้ยวพระจันทร์
“พี่หมิงซุ่น ทำไมพี่ไม่สอบเข้าโรงเรียนทหารเลยล่ะ? จากคะแนนและคุณสมบัติร่างกายของพี่ต้องสอบติดแน่ๆ” เหมยเหมยอดถามไม่ได้
“ฉันกะจะเข้าไปสอบในค่ายทหาร ตอนนี้ไปเป็นทหารก่อน ไม่ต้องรีบ”
ความจริงที่เหยียนหมิงซุ่นไม่ได้บอกก็คือ นักเรียนธรรมดาที่ไม่มีครอบครัวสนับสนุนอย่างเขา การสอบเข้าโรงเรียนทหารไม่ใช่เรื่องง่ายดาย ใช่ว่าคะแนนสอบดีหรือคุณสมบัติร่างกายผ่านก็จะสอบติดได้
อย่างไรเสียไปเป็นทหารช่วงหนึ่งถึงจะมั่นคงกว่า ชีวิตของเขาไม่มีเวลามากมายพอให้ทดลองอีกแล้ว ต้องสำเร็จเท่านั้นห้ามล้มเหลว !
เหมยเหมยไม่ได้เกลี้ยกล่อมแต่อย่างใด เหยียนหมิงซุ่นเป็นคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้วต่อให้เอาช้างมาก็ฉุดไม่อยู่ เธอพูดมากแค่ไหนก็เปล่าประโยชน์
ปั่นไปราวครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็มาถึงแถบชานเมืองทางตะวันตกของเมือง โม่จื้อหยวนลูกพี่ลูกน้องของเหยียนหมิงซุ่นกำลังรอพวกเขาอยู่ตรงนั้น
…………………..
ตอนที่ 683 หัวใจที่สั่นไหว
โม่จื้อหยวนเข้าเมืองมาขายแตงโม เขากับพ่อของเขารับปลูกแตงโมบนภูเขาสูงในหมู่บ้าน ปีนี้ผลผลิตดีไม่น้อย เขาจึงขับรถคันหนึ่งขนแตงโมเข้ามาขายในเมืองทุกวัน ไม่ถึงเที่ยงวันก็ขายหมดแล้ว
“นี่โม่จื้อหยวนพี่ของฉันเอง” เหยียนหมิงซุ่นแนะนำให้พวกเขารู้จัก
โม่จื้อหยวนอายุราวสามสิบปี สูงไม่มากแต่ท่าทางเป็นคนซื่อสัตย์ ผิวดำคล้ำเพราะตากแดด แค่ดูก็รู้ว่าเป็นหนุ่มชาวไร่ตามหมู่บ้านชนบทที่ทำงานหนัก เขายิ้มให้เหมยเหมยอย่างจริงใจและเริ่มทำตัวไม่ถูก
ได้ยินมานานแล้วว่าน้องชายเป็นเพื่อนสนิทกับลูกสาวรองนายกเทศมนตรี น้าชายคนเล็กบอกอีกว่าลูกสาวรองนายกเทศมนตรีหน้าตาดุจเทพธิดาตัวน้อย งดงามยิ่งกว่าดาราในโทรทัศน์เสียอีก เมื่อก่อนคิดว่าน้าชายโม้ไปอย่างนั้นแต่ตอนนี้เขาเชื่อแล้วจริงๆ
เด็กสาวตรงหน้าก็คือเทพธิดาตัวน้อยที่สวยราวกับภาพวาดชัดๆ เลยนี่นา!
“สวัสดีค่ะพี่โม่!”
เหมยเหมยทักทายอย่างมีมารยาทดึงสติโม่จื้อหยวนที่กำลังยืนเหม่อลอยกลับมา รีบตอบกลับทันควัน “เอ่อ…คุณ…จ้าว…”
เหยียนหมิงซุ่นหลุดขำกับอาการพูดตะกุกตะกักของโม่จื้อหยวน พลางตอบกลับว่า “พี่เรียกเหมยเหมยตามผมแล้วกัน เหมยที่แปลว่าคิ้วนะ”
โม่จื้อหยวนถอนหายใจยาวราวกับยกภูเขาออกจากอก ดีจริงๆ ที่ไม่ต้องคิดมากเรื่องสรรพนามเรียกลูกสาวรองนายกเทศมนตรี
ไม่นานนักสยงมู่มู่กับเจ้าอ้วนสองคนก็กระหืดกระหอบตามมา สยงมู่มู่เหนื่อยจนเหงื่อเปียกโชกเหมือนลูกหมาตกน้ำ เหงื่อแตกพลั่กราวกับตากฝนมา ทันทีที่เห็นพวกเหยียนหมิงซุ่น สยงมู่มู่ที่ผ่อนคลายลงคงไม่ยอมปั่นจักรยานต่อไปหรอก
“เจ้าอ้วนรีบลงไปเข็นรถสิ ฉันเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว”
อู่เชาลงไปอย่างเชื่อฟัง เห็นสยงมู่มู่ที่เหงื่อเต็มหน้าก็อดรู้สึกผิดขึ้นมาไม่ได้ หรือว่าจะลองลดความอ้วนดูดีนะ?
รถที่โม่จื้อหยวนขับมาคือรถแทรกเตอร์ ซึ่งเวลาขับจะส่งเสียงดังสนั่น แต่กลับทนทานใช้ได้นาน เป็นเครื่องมือทางการเกษตรและการขนส่งที่ใช้ได้ดีที่สุดสำหรับหมู่บ้านการเกษตรในยุคแปดศูนย์เก้าศูนย์
เหยียนหมิงซุ่นให้โม่จื้อหยวนไปนั่งกับก้างขวางคอสองคนนั้นทางด้านหลัง โดยเขาอาสาเป็นคนขับและเหมยเหมยนั่งข้างๆ
สยงมู่มู่ที่อ่อนล้าเต็มทีทิ้งตัวนั่งพิงหลังกับอู่เชาโดยไม่คิดสนใจความสกปรกอีกแล้ว แผ่นหลังกว้างหนาดั่งภูเขาของเจ้าอ้วนทำให้สยงมู่มู่สลบไสลไปในเวลาอันรวดเร็ว
เสียงดังเซ็งแซ่ของเครื่องมอเตอร์รถแทรกเตอร์กับเสียงลมฤดูร้อนที่คลอเคล้าเป็นบทเพลงกล่อมนอนที่ดีที่สุดในโลก สยงมู่มู่กับเจ้าอ้วนพิงหลังให้กันแล้วหลับใหลไปทั้งอย่างนั้น
คนที่กำลังหลับฝันหวานยังมีเหมยเหมยอีกคนที่นั่งอยู่ข้างหน้ารถ ดวงตาปิดสนิท ศีรษะโยกไปมาตามร่างกายที่สั่นคลอน
เหยียนหมิงซุ่นเห็นแล้วนึกขำจึงจับศีรษะของเธอให้ซบลงไหล่ตัวเอง ศีรษะเหมยเหมยที่อยู่บนไหล่เหยียนหมิงซุ่นขยับคลำหาตำแหน่งที่ดีที่สุด ก่อนจะหลับอย่างสบายใจ ริมฝีปากปรากฏรอยยิ้มหวานเยิ้ม
โม่จื้อหยวนมองคู่กิ่งทองใบหยกตรงหน้ารถก็อดยิ้มตามไม่ได้ ขณะเดียวกันก็เริ่มวิตกกังวลขึ้นมา
ฝ่ายหญิงเป็นถึงลูกสาวของรองนายกเทศมนตรี ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเขาจะเอื้อมถึงได้เช่นไร !
บ้านคุณยายของเหยียนหมิงซุ่นต้องขับรถจากเมืองจินไปราวหนึ่งชั่วโมงครึ่ง หมู่บ้านที่มีภูเขาล้อมรอบสี่ทิศ ภาพทิวทัศน์งามเกินจะพรรณนาออกมาได้ แต่คุณภาพชีวิตของชาวบ้านกลับไม่สู้ดีนัก บ้านยังเป็นบ้านไม้เสียส่วนใหญ่แต่กลับแฝงไปด้วยกลิ่นอายเก่าแก่
“วิวที่นี่สวยจัง ฉันจะไปวาดรูปบนภูเขา” เหมยเหมยเพิ่งเหยียบเข้าหมู่บ้านก็พลันหลงรักหมู่บ้านแสนงดงามนี่เข้าแล้ว รู้สึกว่าอากาศสดชื่นกว่าในเมืองมาก
“ได้ พรุ่งนี้เช้าเราไปเที่ยวที่ภูเขากัน”
เหยียนหมิงซุ่นจอดรถแล้วอุ้มเหมยเหมยลงมา เรือนร่างอ่อนนุ่มและเย็นฉ่ำของเด็กสาวทำเอาเหยียนหมิงซุ่นเผลอใจเต้น เพิ่มแรงที่มือวางเหมยเหมยลงพื้นอย่างรวดเร็ว อ้อมแขนที่ว่างเปล่า หัวใจก็ว่างเปล่า บอกความรู้สึกไม่ถูกจริง ๆ
………………..
ตอนที่ 684 ขี้อ้อน
ความจริงเหมยเหมยกระโดดลงด้วยตัวเองได้เพราะความสูงไม่ถึงครึ่งเมตรด้วยซ้ำ ทำได้ง่ายมากๆ จากระดับไหวพริบของเธอ แต่เธอไม่อยากกระโดดเอง เธออยากอ้อนเหยียนหมิงซุ่นให้เขาอุ้มเธอลงมาจากรถ
สยงมู่มู่ที่เพิ่งกระโดดลงจากรถเห็นฉากนี้เต็มสองตาก็พ่นลมทางจมูก ความสูงแค่นี้ยังให้เหยียนหมิงซุ่นอุ้ม ยายนี่ทำตัวอ่อนแอเก่งจริงๆ!
หึ หลายวันต่อจากนี้เขาต้องจับตาดูให้ดี ต้องปฏิบัติตามภารกิจที่พี่หกมอบหมายไว้อีกต่างหาก!
คุณยายของเหยียนหมิงซุ่นเป็นคุณยายหน้าตาใจดี เตรียมซุปเม็ดบัวเห็ดหูหนูไว้รอตั้งแต่เช้าแล้ว รวมถึงแตงโมที่แช่บ่อน้ำข้ามคืน เรียกให้พวกเหมยเหมยไปทานเป็นของว่างช่วงบ่าย
บ้านโม่เป็นบ้านอิฐแดงที่เพิ่งตกแต่งใหม่ ขนาดหกห้องสองชั้น และมีลานกว้างอยู่ทั้งบริเวณหน้าและหลังบ้าน นอกจากนี้ยังเลี้ยงเป็ดไก่ไว้ไม่น้อย ยังมีหมูอีกหกตัว วัวสองตัว แค่ดูก็รู้ว่าเป็นครอบครัวเกษตรโดยแท้จริง
คุณยายโม่ทานยาที่ผสมโสมร้อยปีด้วย สุขภาพร่างกายจึงฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็ว พวกเป็ดไก่วัวหมูในบ้านเหล่านั้นล้วนเป็นคุณยายที่คอยดูแล แถมยังต้องคอยทำกับข้าวให้คนทั้งครอบครัว จัดการทุกอย่างได้เป็นระบบระเบียบดี
เหมยเหมยเป็นลูกสาวนายกเทศมนตรีและเป็นเพื่อนของเหยียนหมิงซุ่น อีกทั้งยังช่วยหาโสมร้อยปีมาให้เธอ จึงทำให้คุณยายโม่สุขภาพร่างกายดีขึ้นมาก ด้วยเหตุผลหลายประการจึงทำให้คนตระกูลโม่ปฏิบัติต่อเหมยเหมยเป็นอย่างดี ต้อนรับเธอราวกับเป็นแขกระดับกิตติมาศักดิ์ ทำให้เหมยเหมยค่อนข้างลำบากใจ
อาหารมื้อเย็นอุดมสมบูรณ์มาก มีทั้งเนื้อสัตว์บกและสัตว์ปีกอย่างครบครัน ล้วนเป็นอาหารพื้นบ้านตามฉบับชาวภูเขา คุณยายโม่มีฝีมือการทำอาหารชั้นเลิศ แถมยังเป็นการทำอาหารด้วยการก่อฟืนจุดไฟอีกด้วย จึงมีรสชาติที่โดดเด่นเฉพาะตัว อร่อยกว่าอาหารตามร้านอาหารดีๆ ด้วยซ้ำ
“อร่อยจังเลย ฉันกินได้อีกหนึ่งถ้วย”
เป็นครั้งแรกที่เหมยเหมยทานอาหารจากการก่อฟืนจึงตกเป็นทาสของรสชาติแสนวิเศษนี้อย่างรวดเร็ว เธอชอบทานข้าวติดก้นหม้อที่สุด กรุบกรอบติดไหม้ทำให้เสียงดังเวลาเคี้ยว หอมกรุ่นกว่าข้าวติดก้นหม้อที่ซื้อมามากโข
“กินข้าวติดก้นหม้อให้น้อยหน่อย มันแน่นท้องเดี๋ยวเข้าท้องก็ไปจะพองตัว ระวังปวดท้องนะ”
เหยียนหมิงซุ่นไม่ให้เหมยเหมยทานข้าวติดก้นหม้อมากไป เมื่อก่อนทานข้าวเหมือนแมวดม แต่จู่ ๆ กลับเพิ่มปริมาณขึ้นกะทันหัน ไม่ปวดท้องสิแปลก
“แต่ฉันอยากกินนี่นา” เหมยเหมยลากเสียงสูงในตอนท้ายโดยไม่รู้ตัวทำเอาคนตระกูลโม่ทุกคนที่ฟังอยู่ขนลุกซู่
พระเจ้า เสียงออดอ้อนของลูกสาวนายกเทศมนตรีคนนี้ อื้อหือ เกือบตายคาที่!
เหยียนหมิงซุ่นทนไม่ให้แคะหู แล้วยังคอยหลบดวงตาคู่โตของสาวน้อยเพราะกลัวเห็นเข้าแล้วจะใจอ่อน เขาคีบเนื้อปลาตรงส่วนท้องไปใส่ถ้วยเหมยเหมย พลางกล่าวเสียงทุ้มต่ำ “กินไม่ได้แล้ว กินเนื้อปลา เนื้อส่วนท้องไม่มีก้าง”
เหมยเหมยย่นจมูก อ้อนไม่สำเร็จ สงสัยต้องพยายามมากกว่านี้!
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรที่เธอเริ่มชอบออดอ้อนเหยียนหมิงซุ่น ทุกครั้งที่เห็นเหยียนหมิงซุ่นเอือมระอาหรือโกรธ แต่ก็จำนนตามใจเธออยู่ดี เธอจึงดีใจเป็นพิเศษ
ส่วนนี้ทำให้เธอคิดว่าตัวเองเป็นคนพิเศษสำหรับเหยียนหมิงซุ่น มีสถานะต่างจากคนอื่น!
อย่างไรเสียเธอก็จะคิดแบบนี้ ฉะนั้นเธอถึงอ้อนบ่อยๆ เพื่อเพิ่มความสำคัญของตัวเองในใจของเหยียนหมิงซุ่นทีละนิดๆ!
เพราะเธอคิดว่าตัวเองหลงรักว่าที่ผู้บังคับบัญชาใหญ่ในอนาคตคนนี้เสียแล้ว ไม่สิ ต้องบอกว่าขาดเขาไม่ได้แล้ว
ตลอดหลายปีนี้ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ส่วนมากก็ได้เหยียนหมิงซุ่นช่วยจัดการให้เธอ ทุกครั้งที่เกิดเรื่องเธอจะนึกถึงเหยียนหมิงซุ่นเป็นคนแรกเสมอมา แต่ไม่ใช่สองสามีภรรยาจ้าวอิงหัว
เธอแทบไม่อยากจะคิดว่าหากชีวิตขาดเหยียนหมิงซุ่นไป เธอจะใช้ชีวิตต่ออย่างไร?
ถึงแม้เหยียนหมิงซุ่นจะจ้องอยู่ แต่เหมยเหมยก็ทานมากไปโดยไม่รู้ตัว อิ่มจนส่งเสียงเรอออกมาหลายหน เหยียนหมิงซุ่นจึงพาเธอออกไปเดินย่อยอาหารและชมทิวทัศน์ยามค่ำคืนของหมู่บ้านชนบท
เดิมทีเป็นการเดตที่แสนจะงดงาม แต่ดันมีก้างขวางคอตัวโตสองคนตามอยู่ข้างหลัง ขัดบรรยากาศไปเสียหมด
…………………
ตอนที่ 685 สลัดพวกเขาให้หลุด
สยงมู่มู่ไม่สนหรอกว่าเหมยเหมยจะโกรธอยู่หรือไม่ ทั้งยังถลึงตาโตเช่นนั้นจับจ้องไปทางมือที่จูงเหมยเหมยอยู่เบื้องหน้าที่ห่างออกไปราวหนึ่งเมตรตาอย่างไม่กะพริบ
อู่เชากระทุ้งศอกใส่เขา พูดเสียงเบา “นายอย่าทำแบบนี้สิ จ้องตาโตขนาดนั้น ฉันเห็นแล้วขนลุก”
เจ้าอ้วนกวาดมองรอบด้านและยิ่งรู้สึกหวาดกลัว ภาพทิวทัศน์ยามพลบค่ำของหมู่บ้านชนบทสวยมาก สวยแบบสลัว เพราะด้วยมีหมอกปกคลุม แถมยังมืดมนไร้แสงไฟ พอสยงมู่มู่ทำท่าทางผีตาถลนแบบนี้อีก ยิ่งเห็นเขาก็ยิ่งขนลุกซู่ซ่า
กังวลว่าสยงมู่มู่จะถูกผีเข้าสิง!
สยงมู่มู่กลอกตาใส่เขาแวบหนึ่งแล้วกดเสียงต่ำพูดขึ้นว่า “นายจะรู้อะไร ฉันต้องคอยจับตาดูแทนพี่หกของฉันให้ดี นายดูสิมือของยายนั่นวางอยู่ตรงไหนกัน ไม่ใช่เด็กอายุสามขวบสักหน่อย แค่เดินยังต้องมีคนคอยจูงอีกเหรอ?”
อู่เชากลอกตาที สยงมู่มู่ปริปากพูดแล้ว และยังพูดภาษามนุษย์อีกด้วย พอคลายความกลัวให้เขาได้เยอะทีเดียว
“นายจะกังวลไปทำไม? แค่จูงมือเองไม่ได้จูบปากสักหน่อย!”
อู่เชาไม่เห็นว่าจะเป็นเรื่องใหญ่ ในฐานะคนที่คอยเฝ้ามองมาตลอดสองปี เขาเห็นทุกอย่างชัดเต็มสองตาว่าเหมยเหมยกับเหยียนหมิงซุ่นเป็นเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กอย่างที่กล่าวอธิบายไว้ในตำรา ก็แค่เพื่อนเล่นสองคนที่ไร้เดียงสา การจูงมือเป็นแค่เรื่องปกติ!
อีกอย่างเขารู้สึกว่าเหมยเหมยกับเหยียนหมิงซุ่นเหมาะสมกันดี ชายก็หน้าตาดีหญิงก็หน้าตาสวย นับเป็นคู่ที่สรวงสวรรค์สร้างขึ้นมา!
“ยังจะจูบปาก? เจ้าอ้วนนายเคยเห็นพวกเขาจูบกันเหรอ?”
สยงมู่มู่เดือดขึ้นมาทันที กระชากแขนอวบ ๆ ของอู่เชาไว้ไม่ปล่อย
“นายรีบปล่อยฉันเลยนะ ฉันเคยเห็นพวกเขาจูบกันซะเมื่อไหร่ ฉันแค่ยกตัวอย่าง นายเป็นบ้าอะไรเนี่ย โอ๊ย เจ็บจะตายอยู่แล้ว!”
อู่เชาเจ็บจนเบะปาก มองรอยแดงรอบแขนอย่างปวดใจ
สยงมู่มู่พรูลมหายใจ พูดกระแทกเสียงขึ้นว่า “นายสิบ้า จู่ ๆ พูดเรื่องจูบมาทำไม ทำฉันตกอกตกใจหมด!”
“มีอะไรให้นายต้องตกใจ? ไม่ใช่นายจูบสักหน่อย เป็นบ้าไปแล้วจริง ๆ!” อู่เชาไม่เข้าใจ หากความสัมพันธ์ของคู่ชายหญิงดำเนินถึงจุดที่ลึกซึ้งกว่าเดิม การจูบถือเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือไง มันน่าแปลกตรงไหน!
“นายสิจูบ ปากนายโดนหมูกัดทึ้งไปแล้ว!”
สยงมู่มู่เดือดขึ้นมาในทันที ถลึงตาใส่เขาอย่างดุดันแวบหนึ่งก็วิ่งไปข้างหน้าเดินขนาบข้างพวกเหมยเหมย อู่เชาที่ถูกถลึงตาใส่ก็ยืนงง เขาพูดอะไรผิดถึงต้องโกรธกันขนาดนั้น!
เหมยเหมยมองคนเดินตามต้อยๆ อย่างหน้าไม่อายด้วยความรังเกียจ พูดจาแดกดันใส่ “ถนนกว้างขนาดนั้นนายไม่เดิน ทำไมต้องมาเดินเบียดฉันด้วย?”
“ถนนไม่ใช่ของบ้านเธอสักหน่อย เธอมายุ่งอะไรด้วย !” สยงมู่มู่ไม่ยอมแพ้ เสยตามองเหมยเหมยพลางทำหน้ายียวน
เหมยเหมยโกรธกัดฟันกรอด แยกเขี้ยวขู่สยงมู่มู่ “แน่จริงก็เดินแนวขวางสิ ยึดถนนนี้ไปทั้งหมดเลย!”
“ฉันไม่ใช่ปูสักหน่อยจะเดินแนวขวางทำไม เชอะ!” สยงมู่มู่สะบัดหัวใส่แล้วโบกมือเรียกเจ้าอ้วนที่อยู่ด้านหลังมาเดินเป็นแนวเดียวกัน ถ้ามีเจ้าอ้วนอีกคนต้องยึดถนนได้แน่ ๆ
เจ้าอ้วนส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ เขาไม่ทำเรื่องโง่เง่าแบบนั้นหรอก ไม่เห็นหรือไงว่าแววตาเหมยเหมยจะพ่นไฟออกมาอยู่แล้ว!
เหยียนหมิงซุ่นลูบหลังเหมยเหมยที่กำลังโกรธเบาๆ ปรายตาที่แสนเย็นชามองสยงมู่มู่ที่ยิ่งโตก็ยิ่งไม่น่ารัก แล้วอีกเดี๋ยวค่อยหาข้ออ้างสลัดสองคนนี้ทิ้ง คอยเดินตามแบบนี้มันน่ารำคาญชะมัด
ห้านาทีหลังจากนั้นสยงมู่มู่กับอู่เชาต่างถูกลูกชายคนโตของโม่จื้อหย่วนที่กำลังตกปลาไหลอยู่ดึงดูดความสนใจไป มองตาไม่กะพริบ ครึ่งชั่วโมงผ่านไปสยงมู่มู่จึงพบว่า–
สองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เมื่อครู่ บัดนี้กลับหายหัวไปไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว!
เหมยเหมยเดินตามเหยียนหมิงซุ่นไปยังบ่อน้ำอีกแห่งอย่างดีใจ สลัดเจ้าพวกน่ารำคาญได้สักที!
………………
ตอนที่ 686 จูบหรือไม่จูบ?
“เหมยเหมยอยากกินเม็ดบัวมั้ย?” เหยียนหมิงซุ่นก้มมองเด็กสาวที่ไม่คิดจะปิดบังความรู้สึกเลยสักน้อย อารมณ์ก็พลันดีตาม
เหมยเหมยชอบอยู่กับเขาสองต่อสอง จุดนี้ทำให้เขาพึงพอใจอย่างมาก เพราะ–
เขาเองก็ชอบอยู่กับเหมยเหมยตามลำพังเช่นกัน ไม่อยากให้คนนอกเข้ามารุกล้ำความเป็นส่วนตัวของพวกเขา
“อยากกินสิ ที่ไหนมีเม็ดบัวให้เก็บได้เหรอ?” เหมยเหมยแหงนหน้ามองเหยียนหมิงซุ่นตาเป็นประกาย สว่างไสวยิ่งกว่าดวงดาวบนท้องฟ้า
“ตามฉันมา!”
เหยียนหมิงซุ่นเองก็เริ่มสนุกตาม จึงคว้ามือเหมยเหมยแล้ววิ่งไปอีกทาง ถนนหมู่บ้านชนบทล้วนมีต้นกกประดับอยู่สองข้างทาง ดอกไม้สัมผัสแผ่วเบาผ่านเรือนร่างของคู่ชายหนุ่มหญิงสาว ให้ความรู้สึกคันปนเสียวซ่านดั่งหัวใจของทั้งคู่ในเวลานี้
วิ่งมาได้ประมาณห้านาทีพวกเขาก็มาถึงสระบัวขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ใบบัวในสระน้ำกว้างใหญ่กำลังเต้นระบำยามค่ำคืนไปตามสายลมเป็นลูกคลื่นอย่างไร้ที่สิ้นสุด เห็นดอกบัวสีสดพลุบ ๆ โผล่ ๆ แสงจันทร์สีนวล มีหมอกจางปกคลุม งดงามไม่เหมือนอยู่บนโลกมนุษย์
“ฉันลืมเอาดินสอกับกระดาษมาด้วย สวยจัง!” เหมยเหมยเอ่ยอย่างนึกเสียใจ
“ไม่เป็นไร เราค่อยมาวาดกันพรุ่งนี้ก็ได้”
เหยียนหมิงซุ่นโค้งตัวลงดึงเรือลำเล็กตรงมุมสระบัวออกมาแล้วยิ้มให้เธอพร้อมทำมือเชื้อเชิญ
เหมยเหมยโห่ร้องอย่างดีใจ ถกกระโปรงขึ้นหมายจะกระโดดลงเรือ แต่เหยียนหมิงซุ่นกระชากตัวเธอไว้ทัน “ฉันอุ้มเธอขึ้นไปเอง”
เขาช้อนตัวเหมยเหมยขึ้นได้อย่างง่ายดาย ความรู้สึกเมื่อตอนกลางวันกลับมาอีกครั้ง เหยียนหมิงซุ่นใจเต้นตึกตัก จากเดิมทีเหมยเหมยยังไม่รู้สึกอะไร แต่กลับเห็นเหยียนหมิงซุ่นหูแดงราวกับชาดทาแก้มก็มิปาน
เธออดหัวเราะไม่ได้ ที่แท้พี่หมิงซุ่นก็เขินเป็นเหมือนกัน !
เหมยเหมยกลอกตาไปมา คิดหาเล่นอะไรสนุก ๆ ก่อนจะเป่าลมใส่ข้างหูสีแดงก่ำนั่นอย่างแผ่วเบา
เหยียนหมิงซุ่นชะงักฝีเท้าราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นพ่านไปทั่วร่างจนมือไม้อ่อนยวบ จนเกือบทำเด็กสาวในอ้อมแขนตกลงพื้น เหยียนหมิงซุ่นเงยหน้ามองเหมยเหมยที่แกล้งทำหน้าใสซื่ออย่างเอือมระอา “อย่าซน!”
“ไม่ได้ซน ฉันเป่าไล่ยุงให้พี่หมิงซุ่นอยู่ เมื่อกี้มียุงตัวหนึ่งบินเข้าใกล้หูของพี่ นี่ไง มาอีกแล้ว!”
เหมยเหมยว่าแล้วพลันทำท่าจะเป่าอีกครั้งแต่เหยียนหมิงซุ่นกลับกระชับอ้อมแขนให้กายนุ่มของเด็กสาวขยับเข้าใกล้เขามากกว่าเดิม ตาประสานกัน ปลายจมูกแตะปลายจมูก ปากแตะปาก ใบหน้าห่างกันเพียงไม่ถึงสองเซนติเมตร
กลิ่นหอมอ่อน ๆ ของสาวน้อยลอยเตะเข้าจมูก ทำเอาเขาหลงใหลยิ่งกว่ากลิ่นหอมของดอกบัวที่อยู่ใกล้เขาเสียอีก และทำให้เขารู้สึกถึงลำคอที่แห้งผาก
เหยียนหมิงซุ่นอุ้มเหมยเหมยยืนแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น เธอมองฉัน ฉันมองเธอ เหมือนทุกอย่างถูกหยุดไว้เหลือเพียงเสียงหัวใจที่เต้นเร็วขึ้นกับลำคอที่แห้งผากขึ้นเรื่อยๆ
‘อึก’
เหยียนหมิงซุ่นอดกลืนน้ำลายไม่ได้ พลางเบือนสายตามองไปทางอื่น ริมฝีปากรูปกระจับสีแดงระเรื่อของเหมยเหมยทำเขาใจสั่น แต่ไม่นานเขาก็เลื่อนสายตากลับมาที่เดิม ไม่มองแล้วใจยิ่งสั่นไหว
เหมยเหมยค่อยๆ เลื่อนสายตาลงจากริมฝีปากบางของเหยียนหมิงซุ่นและเห็นลูกกระเดือกขยับขึ้นลงที่แสนสะดุดตานั่นกำลังสั่นไหว เธอรู้สึกกระหายมากกว่าเดิมพลันเผลอแลบลิ้นเลียริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว
เหยียนหมิงซุ่นเพิ่งเลื่อนสายตากลับมาพอดีก็เห็นฉากที่ทำเขาสติพร่ามัวไปชั่วขณะ ลิ้นสีชมพูไล่เลียกลีบปากแดงอิ่ม สำหรับเขาแล้วถือเป็นการยั่วยวนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
มือที่จับตรงเอวเหมยเหมยกระชับแน่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ระยะห่างของทั้งคู่เองก็ขยับใกล้กันเรื่อย ๆ อีกแค่นิดเดียวก็จะสัมผัสเข้าหากันแล้ว
ไม่มีใครเปล่งเสียงใดออกมา ได้ยินเพียงเสียงหายใจที่รัวเร็ว เหมยเหมยเผลอกำมือแน่น พี่หมิงซุ่นจะจูบแล้วใช่ไหม?
ตอนนี้เธอยังไม่บรรลุนิติภาวะจะจูบได้ไหม?
เหมยเหมยที่รอคอยอยู่เต็มอกสลัดความคิดนี้ทิ้งอย่างรวดเร็ว ความคิดของเธอเป็นคนที่บรรลุนิติภาวะแล้ว แค่จูบเล็ก ๆ คงไม่เป็นไรหรอกสินะ?
อีกอย่างพี่หมิงซุ่นเองก็บรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ยิ่งไม่มีปัญหา!
แต่–
รอไปพักใหญ่ เหมยเหมยก็ยังไม่ได้รับจูบที่รอคอยมานาน ตัวเบาหวิวเพราะเธอถูกเหยียนหมิงซุ่นปล่อยลงเรือเสร็จสรรพ อย่าว่าแต่จูบเลย แม้แต่อ้อมกอดยังอดเสียแล้ว!
……………….
ตอนที่ 687 ใครกันแน่ที่ใจเต้นก่อน
เหมยเหมยนั่งลงตรงขอบเรืออย่างผิดหวัง ใบหน้าร้อนผ่าวดั่งถูกไฟแผดเผา เธอไม่กล้ามองเหยียนหมิงซุ่นที่อยู่ด้านข้าง เพราะไม่มีหน้าจะหันมอง เมื่อกี้เธอ—ทำตัวไร้ยางอายจริง ๆ!
เขาอาจจะแค่อุ้มเธอลงเรือเท่านั้น ทำไมถึงคิดไปถึงเรื่องจูบได้นะ!
เหยียนหมิงซุ่นจะมองว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ไม่รักนวลสงวนตัวหรือเปล่า?
จะดูถูกเธอหรือเปล่า?
เหมยเหมยคิดเพ้อเจ้ออยู่คนเดียว สองมือกำชายกระโปรงแน่นจนกระโปรงที่น่าสงสารถูกบิดเหมือนผักดองเค็มตากแห้งไปแล้ว เธอกลับยังไม่รู้ตัวเลยสักนิด
มากกว่าความอายเหมยเหมยรู้สึกผิดหวังยิ่งกว่า เมื่อครู่ทั้งที่เหยียนหมิงซุ่นอยู่ห่างจากเธอไม่ถึงหนึ่งเซนติเมตร เธอรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนผ่าวของอีกฝ่ายได้ ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมาทำเอาเธอแทบระทวย
แล้วทำไมเหยียนหมิงซุ่นถึงไม่จูบล่ะ?
หรือว่าไม่ชอบเธอ?
ไม่สิ หรือเพราะคืนนี้เธอทานกุยช่ายผัดไข่?
เหมยเหมยบิดกระโปรงอย่างนึกแค้นใจ ความจริงเธออยากหยิกต้นขาตัวเองมากกว่า บนโต๊ะมีกับข้าวอร่อยๆ มากมายขนาดนั้นทำไมถึงไม่เลือกทานอย่างอื่นนะ?
ทำไมต้องไปทานกุยช่ายผัดไข่ด้วย?
เหยียนหมิงซุ่นต้องเหม็นกลิ่นฉุนของเธอแน่ๆ!
จะกลายเป็นความทรงจำที่ไม่ดีของเขาหรือเปล่า?
หลังจากเหยียนหมิงซุ่นวางเหมยเหมยลงก็ปลดเชือก ก่อนจะยกขาถีบริมฝั่งให้เรือลำเล็กเคลื่อนตัวไปยังกลางสระบัว เขาเลือกที่จะนั่งอีกมุมของเรือพลางใช้สองมือพายเรือไปอย่างไม่หยุดหย่อน หัวใจที่เต้นระรัวเริ่มสงบลง
เมื่อครู่เขาเกือบ…
ได้อย่างไร?
เหมยเหมยยังเด็กขนาดนั้น นี่เพิ่งอายุสิบห้าเท่านั้น ไม่สิ ความจริงอายุสิบสี่ปีต่างหาก แถบเมืองจินมักคิดทดอายุเพิ่มไปอีกปี เหยียนหมิงซุ่นกัดฟันออกแรงขยับไม้พายตีวงกว้างขึ้นกว่าเดิม แบบนี้ถึงจะทำให้ใจเขาสงบลงเร็วขึ้น
เหมยเหมยขี้ยั่วจริงๆ!
ยั่วเก่งตั้งแต่เด็กแบบนี้ วันหน้าโตไปจะขนาดไหน?
เหยียนหมิงซุ่นใช้ฝ่าเท้าคิดยังคิดได้เลยว่าอนาคตเหมยเหมยจะงดงามเพียงใด ตอนนี้เขาแค่อยากเอายายหนูไปซ่อนเอาไว้ ซ่อนไว้ที่ที่มีแค่เขารู้เท่านั้น
ใบบัวปัดผ่านตัวพวกเขาทั้งคู่อย่างแผ่วเบา กลิ่นหอมสดชื่นของดอกบัวทำให้พวกเขาสงบจิตใจลง เพียงแต่ต่างก็ไม่กล้าหันมองอีกฝ่าย บรรยากาศเงียบสงัดได้ยินเพียงเสียงน้ำไหล เสียงไม้พายขูดดังสวบ และเสียงแหวกสายน้ำดังลอยขึ้นมาไม่หยุด
เหยียนหมิงซุ่นสังเกตเห็นท่าทางเขินปนโกรธของเหมยเหมยก็กระตุกอมยิ้มที่มุมปาก หัวใจแทบละลาย
ยังเด็กเกินไปอยู่ดี!
เหยียนหมิงซุ่นเองก็นึกขุ่นใจว่าทำไมเขาถึงหวั่นไหวต่อเหมยเหมยตั้งแต่ตัวแค่นี้ แล้วสี่ปีหลังจากนี้เขาจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร?
“กินเม็ดบัวมั้ย?”
เหยียนหมิงซุ่นหยุดพายเรือชั่วขณะแล้วใช้แรงดึงต้นฝักบัวที่แข็งแรงต้นหนึ่งออกมา ปล่อยให้เรือลำเล็กลอยไปตามคลื่นน้ำ เขาย้ายมานั่งข้างเหมยเหมยพลางโบกฝักบัวตรงหน้าเธอไปมา
กลิ่นหอมจางๆ ของฝักบัวช่วยให้เหมยเหมยสงบสติอารมณ์ลงได้บ้าง เธอยื่นมือไปรับต้นบัวไว้แล้วเงยหน้าขึ้นอย่างขวยเขิน พอเห็นเหยียนหมิงซุ่นฉีกยิ้มบางที่มุมปาก พลันเลือดในตัวก็พุ่งปรี๊ดขึ้นหัวทำเอาใบหน้าแดงก่ำดั่งสีเลือด
เหยียนหมิงซุ่นต้องหัวเราะเยาะเธออยู่แน่นอน หัวเราะที่เธอทานกุยช่ายผัดไข่แล้วยังริอาจจะจูบอีก หัวเราะเยาะเธอที่ไร้ยางอาย!
ต้องเป็นแบบนี้แน่นอน !
เหยียนหมิงซุ่นเห็นแล้วนึกขำ ก้มหน้ากระซิบข้างหูเธอเบา ๆ ว่า “ตอนนี้รู้จักอายแล้วเหรอ ? เมื่อกี้ใจกล้ามากเลยไม่ใช่เหรอไง?”
ถ้าไม่ใช่ยายหนูคนนี้เป่าลมยั่วตัวเอง เขาจะใจเต้นตุบ ๆ ไม่เป็นจังหวะได้อย่างไร?
เหยียนหมิงซุ่นไม่มีทางยอมรับเด็ดขาดว่าตัวเองเผลอใจสั่นไหวตั้งแต่ช่วงบ่าย จะเป็นไปได้อย่างไรกัน ?
เขาเป็นถึงเหยียนหมิงซุ่นที่ปณิธานแน่วแน่ยิ่งกว่าคอร์ชากินเสียอีก !
เหมยเหมยรู้สึกถึงไอร้อนข้างหูและเสียงหยอกเอินของเหยียนหมิงซุ่นก็เงยหน้าขึ้นอย่างหงุดหงิด สบตาเขาด้วยความกล้า เจ้าหมอนี่หมายความว่าอย่างไร?
ทั้งที่เมื่อกี้เขาก็ใจเต้นไม่ต่างกันนี่นา? อย่าคิดว่าเธอไม่ได้ยิน
แล้วไหนจะมือที่กระชับกอดเธอแนบแน่นนั่นอีก ไม่อย่างนั้นเธอคงเอื้อมตัวเป่าลมใส่หูถึงหรอก!
………………..
ตอนที่ 688 เล่นกับไฟ
เหมยเหมยตวัดตาใส่แวบหนึ่งแล้วโต้กลับ “ฉันดูฝักบัวต่างหาก เขินที่ไหนล่ะ พี่ต่างหากที่เขินเอง”
เด็กสาวในตอนนี้ราวกับลูกแมวถูกแย่งปลาที่ขู่จนตัวพอง เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะร่า ไม่ได้ตอบเธอกลับแต่แกะเม็ดบัวหนึ่งเม็ด ปอกเปลือกออกเอาเม็ดบัวอ่อนข้างในแกะเม็ดตรงกลางทิ้ง แล้วพูดใส่เหมยเหมยว่า “อ้าม!”
เหมยเหมยอ้าปากกว้างตามสัญชาตญาณ เม็ดบัวสดหวานหนึ่งเม็ดถูกยื่นใส่ปาก
“อร่อยมั้ย?” เหยียนหมิงซุ่นถาม
เหมยเหมยพยักหน้า “อร่อย เอาอีก”
ทานเม็ดบัวเยอะๆ จะได้กลบกลิ่นเหม็นฉุนของกุยช่ายในปากได้ เหมยเหมยคิดอย่างนั้น
เหยียนหมิงซุ่นปอกเม็ดบัวป้อนให้เหมยเหมยเพื่อไม่ให้เธอปอกเปลือกเอง เพราะเขาชอบเป็นฝ่ายป้อนมากกว่า เขาชอบท่าทางสาวน้อยที่ชอบรอการป้อนจากเขา มันน่าเอ็นดูเหลือเกิน
เหมยเหมยมีความสุขกับการดื่มด่ำรอการป้อนจากว่าที่ผู้บังคับบัญชาในอนาคตอย่างสบายใจโดยที่ไม่ต้องลงมือทำเอง เธอถอดรองเท้าแตะแช่เท้าลงในน้ำ น้ำเย็นสบายชโลมผ่านเท้า ช่างรู้สึกดีจริงๆ
เหยียนหมิงซุ่นเห็นเท้าเล็กขนาดน่ารักของเด็กสาวใต้แสงจันทร์ ดวงตาสีเข้มขึ้น เท้าเล็กแบบนั้นเขาใช้มือเดียวก็กำรอบได้ เหยียนหมิงซุ่นลอบกลืนน้ำลายอย่างอดไม่ได้ มือที่กำลังป้อนเคลื่อนไหวช้าลง
เหมยเหมยหันหน้าไปมองอย่างฉงน แต่กลับเห็นใครบางคนที่เมื่อครู่ยังหัวเราะเยาะเธออยู่จับจ้องไปที่เท้าของตนเองตาไม่กะพริบ จนถึงขั้นลืมปอกเม็ดบัว ทั้งชอบใจ ดีใจและสะใจ
ปากแข็งเหลือเกิน แต่การกระทำมันเผยความคิดในใจเขาทั้งหมด หื ปากแข็งต่อไปสิ!
“พี่หมิงซุ่น ฉันจะกินเม็ดบัวอีก” เหมยเหมยเอ่ยเรียกพลางดึงสติคนที่ตกอยู่ในภวังค์กลับมา
เหยียนหมิงซุ่นได้สติกลับมาก็เบี่ยงสายตาหลบไปทางอื่นอย่างยากลำบาก ปอกเม็ดบัวด้วยสีหน้าเรียบเฉยแล้วป้อนต่อไป
อาจจะเพราะใจที่ลนหรือเพราะท้องฟ้าที่มืดเกินไป เหยียนหมิงซุ่นสอดนิ้วเข้าไปในปากของเหมยเหมย นิ้วหยาบกร้านสัมผัสโดนลิ้นนุ่มของเธอ ความรู้สึกจักจี้ทำให้เหมยเหมยอดไม่ได้ที่จะใช้ลิ้นเลียทีหนึ่งอย่างซุกซน
เลือดในกายของเหยียนหมิงซุ่นเดือดพล่านพุ่งปรี๊ดถึงศีรษะ แต่กลับไม่ชักมือกลับมา ค้างอยู่ในปากเหมยเหมยอยู่อย่างนั้น โดยไม่รู้ว่าเขาลืมตัวหรือไม่อยากชักมือกลับ
เห็นเหยียนหมิงซุ่นทำตัวไม่ถูกเหมยเหมยยิ่งได้ใจ กลับลืมไปว่าผู้ชายจะถูกยั่วยุไม่ได้ โดยเฉพาะชายวัยรุ่นเลือดร้อน จุดเดือดต่ำยิ่งกว่าปรอทเสียอีก แค่ถูกยั่วยุเข้าหน่อยก็เดือดพล่านถึงขั้นระเบิดได้ทันที
เหมยเหมยกะพริบตาใส่เหยียนหมิงซุ่นที่แววตาเปลี่ยนสีเข้มขึ้น แล้วเล่นสนุกใช้ลิ้นเลียอีกครั้งอย่างซุกซน ใครให้เจ้าหมอนี่ไม่ชักมือกลับสักทีล่ะ!
นัยน์ตาเหยียนหมิงซุ่นล้ำลึกขึ้นจนยากจะคาดเดาความคิด เนื้อตัวเกร็งแน่น เขาหักห้ามความกระหายในส่วนลึกของหัวใจไม่ได้อีกต่อไป ในตาเหลือเพียงภาพริมฝีปากสีแดงฉ่ำ
เหมยเหมยที่หยอกเย้าว่าที่ผู้บังคับบัญชาในอนาคตได้สำเร็จอารมณ์ดีเป็นพิเศษ หันหน้าไปอีกทางเพื่อจะเล่นน้ำต่อ ทว่าร่างกายกลับถูกยกขึ้นกลางอากาศ เมื่อเธอตั้งตัวได้ก็ตกอยู่ในอ้อมแขนเหยียนหมิงซุ่นไปแล้ว
“เหมยเหมย เธอกำลังเล่นกับไฟ!”
เหยียนหมิงซุ่นพูดเสียงแหบพร่าข้างหูเหมยเหมย ลมหายใจร้อนผ่าวที่รดลงมาทำเอาเธอตัวอ่อนระทวย ยิ่งสายตาเร่าร้อนของเหยียนหมิงซุ่นทำให้เธอลำคอแห้งผาก แลบลิ้นเล็กสีชมพูเลียริมฝีปากแห้งอย่างอดไม่ได้
ไฟถูกจุดโดยสมบูรณ์แล้ว…
เหยียนหมิงซุ่นไม่อยากทรมานตัวเองอีก ช่างหัวเรื่องอายุยังน้อย ไม่สนอะไรอีกแล้ว!
เขาในขณะนี้แค่อยากลิ้มรสความหวานที่ต้องการมาตลอดทั้งวัน ใครให้ยายหนูนี่ยั่วเขาอยู่นั่นแหละ !
“หลับตา!”
หลังจากทิ้งประโยคนี้ไว้ เหยียนหมิงซุ่นก็แนบริมฝีปากลงบนปากแดงที่เคยโผล่ในฝันเขานับครั้งไม่ถ้วน
………………
ตอนที่ 689 ต้มน้ำเดือดแล้ว
ในที่สุดก็ได้จูบริมฝีปากที่ใฝ่ฝันมานาน เหยียนหมิงซุ่นถอนหายใจเบา ๆ จูบไล้ริมฝีปากอ่อนนุ่มที่ยังมีกลิ่นหอมจาง ๆ ของเม็ดบัวและความหวานเฉพาะตัวของสาวน้อยอย่างอ่อนโยน
ในชั่ววินาทีนั้นเหมยเหมยยังไม่มีปฏิกิริยาใด จนกระทั่งเหยียนหมิงซุ่นแนบริมฝีปากลงมาเธอถึงเข้าใจ ความสุข ความประหม่า ความตื่นเต้น ความเขินอาย ความหอมหวานถาโถมเข้ามา…
ยกเว้นความตื่นตระหนกที่ไม่เกิดขึ้นกับเธอ!
เพราะเธอเชื่อในตัวเหยียนหมิงซุ่น เชื่อว่าเขาไม่มีทางทำร้ายตัวเอง ฉะนั้นเธอจึงหลับตาลงเงียบๆ ยอมรับจูบที่เร่าร้อนของเหยียนหมิงซุ่นแต่โดยดี
จูบครั้งแรกของว่าที่ผู้บังคับบัญชาในอนาคตดำเนินไปได้ด้วยดีอย่างไม่ต้องให้ใครมาสอน เขาไม่พอใจกับการจูบผิวเผินอีกต่อไป แม้รสชาติจะหอมหวานมากแค่ไหนแต่เขายังอยากได้มากกว่านี้
คนหนึ่งยอมเสี่ยงอีกคนยอมรับ เหยียนหมิงซุ่นแค่ส่งสัญญาณโดยการใช้ลิ้นแตะฟันของอีกฝ่ายเบา ๆ เด็กสาวก็อ้าปากน้อยให้เขาได้รุกล้ำเข้าไปในโพรงปากอย่างง่ายดาย กวาดต้อนเรียวลิ้นอย่างบ้าคลั่ง
เหยียนหมิงซุ่นหายใจถี่ขึ้นเรื่อยๆ ต่างจากเขาที่ปกติเป็นคนใจเย็นเงียบขรึม แต่ครั้งนี้เขากลับดุดันราวกับกลุ่มโจรสลัดที่กำลังเปิดศึกบนท้องมหาสมุทร จู่โจมไปทั่วอาณาบริเวณอย่างเอาแต่ใจ
เดิมทีเหมยเหมยที่หายใจไม่ทันและสมองหยุดแล่น สองมือยันหน้าอกเหยียนหมิงซุ่นไม่กล้าขยับตัวแม้แต่น้อย กลัวจะไปจุดไฟเข้าอย่างจัง
เธอกลับไม่รู้ว่าไฟถูกจุดติดนานแล้ว การจูบนอกจากไม่ช่วยให้เหยียนหมิงซุ่นใจเย็นลงแล้วกลับยิ่งโหมกระพือให้ดุเดือดกว่าเดิม เขาอยากได้มากกว่านี้
แต่เขารู้ว่าไม่ได้ !
เขาในเวลานี้ทำได้แค่จูบ จะทำอย่างอื่นไม่ได้เด็ดขาด เขาจะทรยศต่อความเชื่อใจที่เหมยเหมยมีต่อเขาไม่ได้!
แนบปากจุ๊บริมฝีปากเด็กสาวอย่างอาลัยอาวรณ์อีกทีแล้วเปลี่ยนเป้าหมายเป็นหน้าผาก เขากอดเหมยเหมยไว้แน่นโดยไม่ทำอะไร เขาต้องปล่อยให้ตัวเองสงบจิตใจลงก่อน
เหมยเหมยเริ่มได้สติกลับมา ทั้งรู้สึกหวานหอมปนเขินอาย ซุกหน้าบนอ้อมอกเหยียนหมิงซุ่นแล้วแกล้งนิ่งไป
เสียงหัวเราะแผ่วเบาดังขึ้นเหนือศีรษะ เหยียนหมิงซุ่นที่ใจสงบลงแล้วมองเด็กสาวที่ซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนตนอย่างหยอกเย้า ตอนจูบไม่อายพอจูบเสร็จดันอายเสียอย่างนั้น ช่างโง่เขลาเสียจริง
“ยังจะกินเม็ดบัวอยู่มั้ย?” เหยียนหมิงซุ่นถามเสียงเบา
เหมยเหมยส่ายศีรษะ เธอจะมีหน้าทานเม็ดบัวที่ไหนกันอีก ต่อให้เป็นเนื้อมังกรก็ไม่อยากทาน เธอแค่อยากอยู่นิ่งๆ แบบนี้ไม่ว่าใครก็อย่ามากวนเธอ!
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะร่วน จงใจยื่นนิ้วล่อตรงหน้าเธอพลางถาม “ยังจะกินนิ้วอีกมั้ย?”
เหมยเหมยถลึงตามองนิ้วมือที่หยอกเย้าตัวเองอย่างขุ่นเคืองปนเขินอาย กัดฟันกรอดก่อนจะอ้าปากงับนิ้วไว้ เธอเงยหน้ามองเหยียนหมิงซุ่นอย่างได้ใจแล้วค่อยๆ เพิ่มแรงกัดระบายอารมณ์
เหยียนหมิงซุ่นรู้สึกถึงความเจ็บแปลบที่ส่งมาจากนิ้ว เป็นความเจ็บที่สามารถเพิกเฉยได้แต่ก็อดหัวเราะไม่ได้ ปล่อยให้เด็กสาวกัดอยู่อย่างนั้นในเมื่อเขารู้ดีว่าเหมยเหมยไม่มีทางกัดจริงจังแน่นอน
เหมยเหมยกัดอยู่ครู่เดียวก็คลายออก แสร้งพูดว่า “เหม็นจะตาย ไม่กัดแล้ว!”
เหยียนหมิงซุ่นปล่อยเด็กสาวให้เป็นอิสระอย่างอาลัยอาวรณ์ เด็ดใบบัวหลายใบมารองใต้ร่างก่อนวางเหมยเหมยลงบนนั้น นอนชมท้องฟ้าที่มีแสงดาวระยิบระยับด้วยกัน
“ดาวสวยจัง สวยกว่าที่เมืองจินเยอะเลย” เหมยเหมยพูดขึ้น
“ดาวบนท้องฟ้าที่มองโกลสวยกว่านี้อีก ไว้ฉันจะพาเธอไปวันหลัง”
ลมยามค่ำคืนพัดพาความเย็นมา เหยียนหมิงซุ่นกระชับอ้อมแขนแน่นกว่าเดิม หมู่บ้านกลางหุบเขาต่อให้เป็นฤดูร้อนที่อากาศร้อนที่สุด พอตกดึกอากาศก็จะเย็นลง ไม่ต้องใช้พัดลมแถมยังต้องห่มผ้าบางๆ ด้วยซ้ำ
“พี่หมิงซุ่นจะไปเป็นทหารที่มองโกลเหรอ?” เหมยเหมยถาม
“อืม ฉันอยากไปดูทุ่งหญ้ากับทะเลทรายสีเหลือง แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันจะตัดสินใจเองได้หรอก ต้องรอดูว่าเบื้องบนจะจัดแบ่งยังไง”
สิ่งที่เขารักมากที่สุดคือการควบม้าตัวแกร่งวิ่งทะยานบนทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ แค่เสียดายที่เขาไม่รู้ว่าจะถูกแบ่งไปอยู่ค่ายทหารเขตใด
“พี่หมิงซุ่น คุณลุงสามของฉันอยู่เขตค่ายทหารมองโกล ฉันให้เขาเรียกตัวพี่ไปอยู่เขตนั้นดีกว่า!” เหมยเหมยเงยหน้าพลางเอ่ยออกมา
……………….
ตอนที่ 690 วางแผนอนาคตอย่างจริงจัง
เหยียนหมิงซุ่นส่ายศีรษะปฏิเสธอย่างเด็ดเดี่ยว “อย่าเลย เหมยเหมยอย่าไปพูดเด็ดขาด เชื่อเถอะนะ”
แม้การมีเส้นสายจะประสบความสำเร็จในค่ายทหารได้ง่ายกว่าหน่อย แต่เขาจะไม่ยอมให้ตระกูลจ้าวอุ้มชูเขาไว้หรอก ต่อให้ลำบากสักแค่ไหน เขายอมอาศัยความสามารถของตัวเองก้าวไปถึงจุดหมายจะดีกว่า เช่นนี้แล้วเขาจะได้ขอเด็กสาวอันเป็นที่รักแต่งงานได้อย่างภาคภูมิใจ
ดีเลย ว่าที่ผู้บังคับบัญชาในอนาคตของเราเริ่มวางแผนชีวิตอนาคตอย่างจริงจังแล้ว
เหยียนหมิงซุ่นไม่เคยกังวลว่าตนจะไม่ประสบความสำเร็จ เขามีความมั่นใจว่าอนาคตเขาจะต้องปีนป่ายไปอยู่บนความสูงทัดเทียมเจ้าหญิงตัวน้อยแห่งตระกูลจ้าวได้อย่างเหมาะสม ไม่ให้เหมยเหมยต้องลดตัวมาแต่งงานด้วย
เหมยเหมยไม่พูดอะไรอีก เธอแค่อยากให้คุณลุงสามของตนช่วยดูแลสักหน่อยเพื่อไม่ให้เหยียนหมิงซุ่นลำบากเกินไป ในเมื่อเขาไม่ยอมก็ช่าง เธอรู้ดีว่าเหยียนหมิงซุ่นต้องประสบผลสำเร็จแน่นอน
“พี่หมิงซุ่น พี่จะไปเกณฑ์ทหารเมื่อไหร่เหรอ?” เหมยเหมยเอ่ยถาม
“น่าจะฤดูใบไม้ร่วง ปกติจะมีการเกณฑ์ในเวลานั้น ปีนี้น่าจะไม่ต่างจากเดิม” เหยียนหมิงซุ่นอุ้มเหมยเหมยไปไว้อีกทาง แบบนี้จะได้ไม่โดนลม
เหมยเหมยรู้สึกเศร้าใจอยู่บ้าง การไปเกณฑ์ทหารหมายความว่าเธอต้องแยกจากเหยียนหมิงซุ่น เธอที่ชินกับการพึ่งพาเหยียนหมิงซุ่นมีแต่จะรู้สึกใจหาย
“พี่หมิงซุ่น หรือว่าฉันไปเป็นทหารด้วยดี?” เหมยเหมยคิดได้อีกวิธี ถึงเวลานั้นให้คุณปู่ช่วยหาทางให้เธอไปเป็นทหารที่ค่ายเดียวกับเหยียนหมิงซุ่น แบบนั้นเธอจะได้อยู่ด้วยกันกับเหยียนหมิงซุ่นอีกครั้ง
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะ “เป็นทหารมันลำบากเกินไป เธออยู่บ้านน่ะดีแล้ว ถ้าวันหยุดฉันก็จะกลับมาหาเธอไง”
เขาทำใจให้เหมยเหมยไปตกระกำลำบากที่ค่ายทหารไม่ได้หรอก เหมยเหมยชอบนอนตื่นสาย ทั้งยังไม่ชอบให้ใครมาบังคับ เธอไม่มีทางชินกับชีวิตในค่ายทหารได้
เหมยเหมยก็พอจะรู้ตัวอยู่บ้าง ทันทีที่ได้ฟังกฎระเบียบของค่ายทหารจากปากเหยียนหมิงซุ่นพลันกลัวจนหัวหด พูดเสียงตะกุกตะกักว่า “งั้นปิดเทอมฉันก็จะไปหาพี่เหมือนกัน ฉันจะนั่งเครื่องบินไป ใช้เวลาไม่นาน”
“ได้!”
เหยียนหมิงซุ่นดีดจมูกเธอทีหนึ่งก่อนที่ทั้งคู่จะไม่พูดอะไรอีก นอนชมท้องฟ้าอยู่เงียบ ๆ คอยฟังเสียงหัวใจเต้นของกันและกัน ทุกอย่างดีเสียจนอยากหยุดเวลาไว้ตรงนี้
ลมอ่อนๆ พัดแผ่วเบา เหมยเหมยที่นอนไม่พอจากเมื่อกลางวันเผลอหลับใหลไปในอ้อมแขนเหยียนหมิงซุ่นทั้งอย่างนั้น
“เหมยเหมยหนาวมั้ย?”
เหยียนหมิงซุ่นส่งเสียงถามแต่กลับไม่ได้รับคำตอบ พอก้มหน้ามองถึงเห็นว่าเหมยเหมยหลับปุ๋ยเหมือนหมูตัวน้อยไปเสียแล้ว นอนยิ้มหวานเสียด้วย ไม่รู้ว่ากำลังฝันหวานอะไรอยู่
เขายิ้มพลางส่ายหน้าไปมาแล้วดึงมือกลับเบา ๆ เริ่มพายเรือเข้าฝั่ง บนเรืออากาศเย็นเกินไป หากนอนค้างที่นี่สักคืนต้องเป็นหวัดแน่ๆ ต้องรีบกลับบ้าน
ตอนเกือบถึงบ้านโม่เหมยเหมยก็ตื่นพอดี เห็นว่าตัวเองซบอยู่บนหลังเหยียนหมิงซุ่น แผ่นหลังที่กว้างและมั่นคงให้ความรู้สึกอุ่นใจ เธอไม่อยากลงมาจึงหลับตาแกล้งหลับต่อ เหยียนหมิงซุ่นหลุดขำแต่ไม่ได้ว่าอะไรเธอ ยังคงแบกเธอเดินต่ออย่างมั่นคง
พวกสยงมู่มู่กลับถึงบ้านก่อนนานแล้ว สยงมู่มู่เห็นเหยียนหมิงซุ่นก็พลันนึกโมโหคิดอยากสะสางคดีกับเขาสักทีแต่เหยียนหมิงซุ่นแค่ปรายตามองด้วยสายตาเรียบนิ่งแวบหนึ่ง สยงมู่มู่ก็กลัวจนหัวหด ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ อีก
เหยียนหมิงซุ่นวางเหมยเหมยลงบนเตียง นี่เป็นห้องที่เขาจัดเก็บด้วยตัวเอง แถมชุดเครื่องนอนยังเป็นของใหม่ทั้งหมด กลางวันเพิ่งเอาไปตากแดดมาจึงยังมีกลิ่นหอมแดดติดอยู่
“นอนเถอะ พรุ่งนี้ฉันจะพาเธอไปปีนเขา!”
เหยียนหมิงซุ่นจูบหน้าผากเหมยเหมยแล้วจัดแจงห่มผ้าให้เธอก่อนจะเปิดประตูออกไป เหมยเหมยกลับนอนไม่หลับมัวแต่คิดถึงจูบเร่าร้อนก่อนหน้านี้ รู้สึกอายจนเธอรีบมุดหน้าเข้ากองผ้าห่ม พยายามไม่นึกถึงแต่ยิ่งห้ามก็ยิ่งนึกถึงอยู่เรื่อย มันควบคุมไม่ได้เลยสักนิด
…………….
ตอนที่ 691 ไม่มีใจให้คิดเรื่องอื่น
สยงมู่มู่กับอู่เชาขึ้นไปนอนชั้นบน แต่ผู้ใหญ่ตระกูลโม่กลับรออยู่ที่ห้องนั่งเล่น พวกเขาอยากคุยกับเหยียนหมิงซุ่นสักหน่อย
“หมิงซุ่น หลานคิดดีแล้วหรือว่าจะไปเป็นทหาร?” คุณตาโม่ถาม
“ครับ” เหยียนหมิงซุ่นพยักหน้ารับก่อนจะหาที่นั่งลง
โม่จื้อหย่วนกล่าวปนเสียดายว่า “หมิงซุ่นคะแนนสอบดีขนาดนี้ ไม่มีปัญหากับการสอบเข้ามหาวิทยาลัยแน่ๆ ทำไมถึงอยากเป็นทหารล่ะ? เป็นทหารลำบากขนาดไหนรู้ไหม !”
คนอื่นก็พูดเป็นเสียงเดียวกันล้วนไม่เห็นด้วยกับเหยียนหมิงซุ่นที่จะไปเป็นทหาร คุณน้าชายใหญ่เป็นชายชนบทที่ซื่อสัตย์สุจริตแถมพูดน้อยยังอดพูดไม่ได้ว่า “ตอนนี้ฐานะที่บ้านดีขึ้นไม่น้อย พอจะส่งเสียให้เธอไปเรียนมหาวิทยาลัยได้ จบจากมหาวิทยาลัยก็จะได้งานทำ พอมีงานทำชีวิตนี้จะได้ไม่ต้องกังวลอะไรอีก หมิงซุ่นเธอลองคิดดูดี ๆ อีกทีนะ ถึงเวลานั้นแล้วอย่าเสียใจทีหลังล่ะ!”
โม่เหวินต้งรู้พื้นฐานครอบครัวเหยียนหมิงซุ่นดี ต่อให้ไม่เรียนมหาวิทยาลัยตลอดชีวิตนี้ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องชีวิตความเป็นอยู่
“พ่อ พี่ใหญ่ หมิงซุ่นเขามีความคิดเป็นของตัวเอง พวกพ่ออย่ายุ่งเลย” โม่เหวินต้งพูดเกลี้ยกล่อม
คุณยายโม่ตบหัวเขาไปทีพลางเอ่ยเสียงตำหนิว่า “จะไม่ยุ่งได้ยังไง? หมิงซุ่นจะฉลาดขนาดไหนก็เป็นแค่เด็ก บางเรื่องที่ยังคิดไม่รอบคอบเราก็ต้องคอยตักเตือนเขา หมิงซุ่น เชื่อฟังที่คุณตากับคุณน้าพูดนะ เราไปเรียนมหาวิทยาลัย จบมาก็ไปนั่งทำงานในห้องทำงาน ไม่ต้องมาตากฝนโดนลมโดนแดด สบายกว่าทหารเยอะเลย”
เหยียนหมิงซุ่นรู้ว่าคนตระกูลโม่เป็นห่วงเขาจริงๆ จึงยิ้มปลอบใจแล้วตอบกลับไปว่า “ผมไม่ได้เข้าสอบเลือกมหาวิทยาลัย ไปเรียนไม่ได้แล้ว ต้องไปเป็นทหารอย่างเดียว”
คนตระกูลโม่อึ้งกับคำตอบ ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน คุณตาโม่ร้อนใจ “ทำไมหลานทำอะไรโง่ ๆ แบบนี้ ทำไมไม่เข้าสอบเลือกมหาวิทยาลัย นี่หลานกำลังตัดอนาคตตัวเองอยู่นะ!”
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มแต่ไม่ตอบ เขาต้องการทุบหม้อข้าวให้จมเรือ ไปตายเอาดาบหน้าไม่เหลือทางเลือกให้ย้อนกลับได้ และไม่เหลือทางเลือกให้เหยียนโฮ่วเต๋อเช่นกัน
“พวกคุณตาอย่าเป็นห่วงผมเลย ผมอยากเป็นทหารจริง ๆ ผมไม่คิดว่าชีวิตในค่ายทหารจะลำบาก ถึงจะลำบาก ผมก็เต็มใจ” เหยียนหมิงซุ่นตอบ
คุณตาโม่ถอนหายใจ เขารู้นิสัยผู้เป็นหลานคนนี้ดี เรื่องที่ตัดสินใจไปแล้วต่อให้เอาช้างมารั้งก็ฉุดไม่กลับ
“ในเมื่อหลานคิดดีแล้วงั้นก็ทำตามความคิดของหลานเถอะ ตาจะไม่ถ่วงรั้นหลานไว้”
เหยียนหมิงซุ่นฉีกยิ้มกว้างกว่าเดิม แม้คนตระกูลโม่จะคัดค้านหรือสนับสนุนก็ไม่ส่งผลต่อการตัดสินใจของเขา แต่การได้รับความเข้าใจพร้อมสนับสนุน เขาย่อมต้องดีใจกว่าอยู่แล้ว
คุณน้าสะใภ้ใหญ่ถามด้วยความสงสัย “หมิงซุ่น คนที่มากับเธอด้วยคือลูกสาวของนายกเทศมนตรีจริงเหรอ?”
เหยียนหมิงซุ่นพยักหน้ารับ “ครับ พ่อของเหมยเหมยคือรองนายกเทศมนตรีของเมืองจิน”
เขาไม่ได้บอกไปว่าเป็นตระกูลจ้าว แค่ตำแหน่งรองนายกเทศมนตรีก็ทำคนตระกูลโม่ตะลึงพอแล้ว สูดหายใจเข้าอย่างพร้อมเพรียง
“ลูกสาวนายกเทศมนตรีอยู่บ้านเราแหนะ โอ้ กับข้าวคืนนี้น้อยเกินไปจริงๆ พรุ่งนี้ฉันจะต้องทำของอร่อยๆ เยอะกว่านี้” คุณน้าสะใภ้ใหญ่พูดด้วยความตื่นเต้น
คุณตาโม่กลับกังวลถึงเรื่องอื่น เขาอาบน้ำร้อนมาก่อนแค่มองปราดเดียวก็รู้ถึงความสัมพันธ์ของหลานชายกับลูกสาวนายกเทศมนตรี ศักดินาที่ไม่คู่ควรกัน เขาเป็นห่วงว่าหลานชายจะเสียใจเอาได้!
“หมิงซุ่น หลานอายุยังน้อย เรื่องชีวิตคู่รออีกหน่อยค่อยคิดนะ เราไม่ต้องรีบร้อนไป !” คุณตาโม่พูดโน้มน้าว
“ผมไม่รีบหรอกครับ ยังไม่ประสบความสำเร็จก็จะยังไม่คิดเรื่องพวกนี้”
คำตอบของเหยียนหมิงซุ่นทำให้คุณตาโม่สบายใจขึ้น หลานชายเป็นคนรักษาคำพูด หากเขาบอกว่าไม่คิดก็คือไม่คิด ไม่แน่หลายปีผ่านไปหลานชายอาจเปลี่ยนใจไปชอบหญิงอื่น!
เหยียนหมิงซุ่นกลับคิดในใจว่าอย่างน้อยต้องรออีกหกปีเหมยเหมยถึงจะแต่งงานได้ หากหกปีนี้เขายังไม่ประสบความสำเร็จ แล้วเขาจะมีสิทธิ์อะไรไปขอเจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลจ้าวแต่งงานได้เล่า ?
ดังนั้นในหกปีนี้เขาต้องมุ่งมั่นพยายามโดยไม่คิดถึงเรื่องอื่น แน่นอนว่าไม่มีใจให้คิดถึงเรื่องอื่นแล้วด้วย
…………………..
ตอนที่ 692 แกล้งทำเป็นจริงจัง
ยามค่ำคืนของหมู่บ้านชนบทเงียบสงบเป็นพิเศษ เงียบกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจของตัวเองและเสียงกรนของฝูงหมูในคอกหลังบ้าน เสียงกรนของฝูงเป็ดไก่ที่กำลังนอนหลับฝันหวาน ช่วยให้เข้าสู่ห้วงนิทราได้อย่างรวดเร็ว
แต่เหมยเหมยกลับนอนไม่หลับ จูบเร่าร้อนที่สระบัวทำให้เธอนอนไม่หลับ เธอไม่คิดว่าเหยียนหมิงซุ่นจะต้านแรงยั่วยุไม่ได้ขนาดนี้ แถมยังดุเดือดร้อนระอุดั่งภูเขาไฟระเบิด ต่างจากเหยียนหมิงซุ่นที่ทำสีหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงท่าทีอะไรทั้งนั้น
แต่เธอชอบจังเลย !
ชอบใจมากด้วย !
เหยียนหมิงซุ่นเสียการควบคุมเพราะเธอ ซึ่งเป็นการบ่งบอกว่าเหยียนหมิงซุ่นเองก็ชอบเธอไม่น้อย ไม่แสดงท่าทีเมินเฉยเหมือนปกติ เชอะ…แกล้งทำเป็นจริงจังไปได้ !
เหมยเหมยที่ทั้งได้ใจทั้งดีใจค่อยๆ เข้าสู่ห้วงนิทรา ไปจู๋จี๋กับว่าที่ผู้บังคับบัญชาการในฝันต่อ พลอดรักหยอกเย้าจนฟ้ารุ่งสาง
เหยียนหมิงซุ่นนอนพลิกไปมาจนดึกดื่นถึงจะข่มตาหลับได้ ฝันว่าปล่อยให้ตัวเองทำตามอำเภอใจ บุกรุกพื้นที่หอมหวานอย่างไม่หยุดยั้ง สานต่อเรื่องที่ค้างจากสระบัว…
ชาวชนบทตื่นเช้า ไก่เพิ่งขันก็รีบลุกมาทำงานเสียแล้ว เจ้าหมูขี้เกียจสามตัวอย่างพวกเหมยเหมยและสยงมู่มู่ยังนอนหลับสบายใจ หลงลืมสถานะตนไปแล้วว่ามาในฐานะแขกของบ้าน
เหยียนหมิงซุ่นเองก็ตื่นตั้งแต่หกโมงเช้าเพื่อมาออกกำลังกาย เขาทำเป็นกิจวัตรมาตลอดสิบปี ไม่มีอุปสรรคใดมาขัดขวางเขาได้ ต่อให้เป็นไข้สามสิบเก้าองศาก็ไม่ย่อท้อ
การสร้างวินัยตนเองและความมุ่งมั่นถือเป็นความต้องการพื้นฐานที่เขามีต่อตัวเอง อีกทั้งยังปฏิบัติอยู่ตลอดอย่างเข้มงวด แต่กลับต้องเสียท่าให้กับเหมยเหมย
“หมิงซุ่น ข้าวเช้าอุ่นอยู่ในหม้อแล้ว แขกตื่นก็กินได้เลย เราจะไปทำงานกันแล้วนะ” คุณน้าสะใภ้ใหญ่ตะเบ็งเสียงพูด
เธอกับสามีและลูกชายต้องไปเก็บแตงโมบนภูเขาเพื่อขนไปขายในเมือง ฤดูร้อนปีนี้อากาศร้อนระอุ แตงโมของบ้านเธอจึงขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มีเงินเข้าบัญชีหลายสิบหยวนทุกวัน ถือเป็นกำลังใจชั้นดีต่อการทำงาน
คุณยายโม่เองก็เปลี่ยนเป็นเสื้อแขนยาวและสวมหมวกฟาง สองวันนี้งานที่นายุ่งเป็นพิเศษซึ่งเธอเองจะลงไปช่วยเป็นครั้งคราว อีกอย่างหากไม่ได้ทำงานเธอจะรู้สึกไม่มีเรี่ยวแรง แค่ได้ลงนาสูดดมกลิ่นหอมของต้นข้าว ได้ผลดียิ่งกว่ายาชนิดไหน ๆ
“รู้แล้วครับ ตอนบ่ายผมจะไปช่วยที่นา” เหยียนหมิงซุ่นตอบ
“ไม่ต้องหรอก เธอแค่ดูแลแขกให้ดี อย่าละเลยก็พอ”
คุณน้าสะใภ้ใหญ่เป็นคนบุ่มบ่ามใจร้อน ยังไม่ทันพูดจบขาก็ก้าวออกไปจากประตูบ้าน คนทั้งบ้านขึ้นไปนั่งรถแทรกเตอร์ของโม่จื้อหย่วน มุ่งหน้าสู่ไร่ที่มีผลผลิตเป็นที่น่าพึงพอใจ
เหยียนหมิงซุ่นไม่เลือกที่จะทานข้าวก่อนแต่เลือกเดินขึ้นไปชั้นบน เหมยเหมยนอนจนใบหน้าแดงซ่าน ผ้าห่มถูกเธอเตะออกห่างจากตัวเผยให้เห็นช่วงแขนและขาที่ขาวละเอียด ทำเอาเหยียนหมิงซุ่นที่มองอยู่ดวงตาเข้มขึ้นอีกหน
ขี้ยั่วจริงๆ!
ยั่วเขาแต่เช้าเชียว !
เหยียนหมิงซุ่นจับฉิวฉิวที่นอนแผ่หลาในอกของเจ้านายลงไปใต้เตียงแต่ไม่แตะต้องฉาฉาเพราะเหมยเหมยกลัวร้อน มีความเย็นของฉาฉาอยู่ถึงจะหลับได้สบาย เขาหยิบผ้าห่มมาคลุมให้ใหม่ เลือกที่จะไม่เห็นคงดีกว่า ทางที่ดีอย่าให้เขาเห็นเลย ตอนนี้เขาค้นพบแล้วว่ายามเผชิญหน้ากับสาวยั่วสวาทคนนี้ความอดทนที่เขาภาคภูมิใจในตัวเองมาตลอดกลายเป็นเพียงเรื่องตลกไปแล้ว
“จะไปปีนเขาอีกมั้ย?” เหยียนหมิงซุ่นกระซิบถามข้างหูเหมยเหมยพลางบีบจมูกนุ่มของเธอไว้
เหมยเหมยสะบัดมือฟาดอย่างรำคาญ พึมพำไม่กี่ประโยคแล้วพลิกตัวหลับต่อ
กำลังฝันหวานอยู่เลย ต้องเป็นพี่ชายที่น่ารำคาญคนนั้นอีกแล้วแน่ ๆ ชอบมากวนเวลานอนของเธออยู่เรื่อย!
เหยียนหมิงซุ่นยิ้มออกมาอย่างจนปัญญา ก่อนจะหยุดกวนเธอแล้วลงไปผ่าฟืนที่ชั้นล่าง รอเหมยเหมยตื่นค่อยทานข้าวเช้าด้วยกัน สุดท้ายก่อนจะจากไปเขาก็ทนไม่ไหว ประทับจูบลงบนกลีบปากหอมหวานนั้นอีกครั้ง
มีครั้งแรกก็ต้องมีครั้งต่อไป พอได้เริ่มแล้วมันก็ยากที่จะหักห้ามใจได้อีก เขากระหายมาสิบแปดปี ใช่ว่าครั้งสองครั้งจะช่วยหยุดความกระหายของเขาได้ซะหน่อย ?
………………
ตอนที่ 693 เธอไม่ต้องทำงาน
เหยียนหมิงซุ่นไม่กล้าจูบนานเพราะกลัวรบกวนเวลานอนของเจ้าหญิงตัวน้อย แค่แตะเบาๆ ก็เงยตัวลุกขึ้นมา ปลายนิ้วเกลี่ยบนกลีบปากนุ่มของเด็กสาวไปมาอยู่ครู่หนึ่ง มุมปากเหยียดยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม
ช่างเป็นเด็กสาวที่โง่จริง ๆ หลับลึกขนาดนั้นอุ้มเธอไปขายยังไม่รู้สึกตัวเลยล่ะมั้ง!
ในที่สุดช่วงสาย ๆ เหมยเหมยก็ตื่นสักที เธอลงจากเตียงเปิดผ้าม่านปล่อยให้แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามา หรี่ตาลงน้อยๆ อย่างห้ามไม่ได้ เหยียนหมิงซุ่นกำลังผ่าฟืนอยู่ตรงลานบ้าน สยงมู่มู่กับอู่เชากำลังทานข้าวเช้าโดยมีสุนัขตัวน้อยตัวหนึ่งกับไก่อีกหลายตัวห้อมล้อมอยู่ ยืนจ้องถ้วยข้าวในมือเขาอย่างไม่ละสายตา
เหมยเหมยเปลี่ยนชุดมัดผมหางม้าลวกๆ ใส่รองเท้าแตะลงไปชั้นล่าง
“พี่หมิงซุ่น ทำไมไม่ปลุกฉันล่ะ?” เหมยเหมยเกรงใจเหลือเกิน มาเป็นแขกที่บ้านคนอื่นแล้วยังตื่นสายอีก คุณตาคุณยายคุณน้าคุณน้าสะใภ้ของเหยียนหมิงซุ่นจะคิดว่าเธอเป็นคนเกียจคร้านหรือเปล่านะ?
“ไม่เป็นไร นอนตื่นสายหน่อยไม่เป็นไร เหมยเหมยไปล้างหน้าแปรงฟันก่อน ฉันจะตักข้าวรอ”
เหยียนหมิงซุ่นโยนขวานทิ้งเดินไปตักน้ำจากโอ่งใส่กะละมังให้เหมยเหมยล้างหน้าแปรงฟัน แถมยังบีบยาสีฟันเตรียมผ้าขนหนูให้อย่างเพียบพร้อม สยงมู่มู่เบะปากอย่างหัวเสีย ตอนเช้าเขากับเจ้าอ้วนไม่เห็นได้รับการปฏิบัติที่ดีขนาดนี้เลย เหยียนหมิงซุ่นไม่สนใจพวกเขาด้วยซ้ำ บอกแค่ว่าให้พวกเขาดูแลตัวเองไป
ดูทำเข้าสิพอยายนี่ตื่นขึ้นมา แทบจะป้อนข้าวให้อยู่แล้วมั้ง
พลันฉวยโอกาสที่เหยียนหมิงซุ่นไปเตรียมอาหารเช้าในครัว สยงมู่มู่เดินมาตรงหน้าเหมยเหมยแล้วกดเสียงถาม “เมื่อคืนเธอกับคนสกุลเหยียนนั่นไปเตร็ดเตร่กันที่ไหนมา ?”
“นายเกี่ยวอะไรด้วย?” เหมยเหมยถลึงตาใส่เขา
สยงมู่มู่ตอบด้วยอารมณ์โมโห “พี่หกให้ฉันจับตาดูเธอให้ดี ไม่ให้เธอไปทำเรื่องไม่ดี พี่บอกเธอว่าเป็นผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว ต้องรู้จักถนอมตัวเอง กลางคืนดึกดื่นไปอยู่กับผู้ชายสองต่อสอง กลับไปฉันจะฟ้องพี่หก เหอะ!”
เหมยเหมยสาดน้ำในกะละมังใส่หน้าเขา สองมือเท้าสะเอวตะคอกกลับโดยไม่สนใจฟองฟอดในปาก “สยงมู่มู่ ถ้านายกล้าไปพูดเหลวไหลต่อหน้าพี่ฉัน จากนี้ไปอย่าคิดว่าฉันจะให้เงินค่าขนมนายอีก!”
สยงมู่มู่ลูบฟองที่ปลิวติดใบหน้าก่อนจะรีบเอาหน้าจุ่มน้ำในกะละมังอย่างขยะแขยง ตะคอกกลับใส่เหมยเหมยว่า “ตอนแปรงฟันห้ามพูดไม่รู้หรือไง นี่เธอมีมารยาทบ้างหรือเปล่า? จะรนหาที่ตายใช่มั้ย?”
เหมยเหมยกรอกน้ำใส่ปากเพื่อชะล้างคราบยาสีฟันทั้งหมด แค่นเสียงโต้กลับ “ใครใช้ให้นายมาหาเรื่องฉันตอนที่ฉันแปรงฟันอยู่ล่ะ ไสหัวไปซะ หมาดี ๆ มันไม่มาขวางทางกันหรอก!”
อู่เชาเอามือป้องปากหัวเราะโดยไม่คิดสงสารเพื่อนเลยสักนิด เขาตักข้าวใส่ปากอย่างมูมมาม กับข้าวชนบทหอมอร่อยจริง ๆ แค่ข้าวราดน้ำแกงยังรสชาติดีกว่าอาหารฝีมือแม่เขาอีก ไหนจะกับข้าวที่เหลือจากเมื่อคืนพอเอาไปอุ่นในหม้อ โอ้โห แค่กลิ่นหอมนั่น เขาก็ทานข้าวได้สามถ้วยใหญ่!
เหมยเหมยทานข้าวเช้าเสร็จเหยียนหมิงซุ่นจึงเก็บถ้วยไปล้างก่อนจะเตรียมกับข้าวมื้อใหญ่ แบบนี้พวกคุณตาโม่กลับมาก็จะได้ทานข้าวทันที แล้วยังมีเวลานอนกลางวันอีกด้วย
“พี่หมิงซุ่น ไม่งั้นเราไม่ไปปีนเขากันแล้ว ไปช่วยงานที่สวนกันเถอะ!”
พวกเขาออกจากบ้านก็เห็นชาวบ้านที่กำลังวุ่นกันอยู่ในสวน ทั้งยังเห็นเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกับพวกเขาหลายคนมาช่วยงานในสวนโดยไม่มีใครอู้งานสักคน พอจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพที่ต่างกันสุดขั้วกับพวกเขาได้ดีทีเดียว
ชาวบ้านบางส่วนหันมามองด้วยสายตาแปลกใจมาทางพวกเขาคล้ายกำลังสงสัยว่าเด็กบ้านใครทำไมถึงมัวแต่เล่น ไม่ลงมาช่วยงานในสวนล่ะ!
“ไม่ต้องหรอก ตอนนี้งานไม่ยุ่งเท่าไหร่ พวกคุณตาทำไหว”
เหยียนหมิงซุ่นไม่อยากจินตนาการว่าคนผิวเนียนละเอียดอย่างเหมยเหมยจะไปทำอะไรที่สวนได้?
จะว่าไปเขาคงทำใจไม่ได้ มีเขาอยู่ จะให้เหมยเหมยไปทำสวนได้อย่างไรกัน?
ไม่จำเป็นสักหน่อย!
……………………
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น