หมอดูยอดอัจฉริยะ 682-685
ตอนที่ 682 ถึงมือ
Ink Stone_Fantasy
การหาหน้าม้ามาตะโกนโก่งราคาตอนประมูล ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่มีอยู่ในงานประมูลทุกแห่ง โดยเฉพาะงานประมูลที่มีสินค้าสำคัญบางประเภท จะขาดหน้าม้าไม่ได้เลย
แต่ว่าการนำหน้าม้ามาใช้ ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย หากใช้ได้ดี สินค้าที่ถูกประมูลนั้นจะเพิ่มราคาสูงขึ้น มีความเป็นไปได้มากว่าจะสูงขึ้นหลายเท่าตัว ซึ่งทำให้งานประมูลได้รับผลกำไรอย่างอู้ฟู่
แต่ถ้าหากใช้ไม่ดี หรือหน้าม้าไม่เข้าใจเจตนาของนักประมูล บังอาจร้องเสนอราคาสูงลิบลิ่วจนภายหลังไม่มีใครเสนอราคาแข่งล่ะก็ งานประมูลนั้นจะต้องแบกรับค่าใช้จ่ายมหาศาลในการละเมิดสัญญาก้อนนี้
ของประมูลส่วนใหญ่ในงานประมูล ล้วนมาจากมือของบุคคลทั่วไป ถ้าหากงานประมูลจบลงแล้วนักประมูลละเมิดสัญญา เขาจะต้องจ่ายค่าละเมิดสัญญาเป็นจำนวนสิบเปอร์เซ็นต์ถึงยี่สิบเปอร์เซนต์
ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว คนที่เข้าร่วมประมูลล้วนต้องจ่ายค่ามัดจำจำนวนหนึ่ง และค่าละเมิดสัญญานี้ก็หักออกจากค่ามัดจำส่วนนั้นนั่นเอง แต่ถ้าหากเจ้าของงานประมูลเองจัดหาหน้าม้ามา ย่อมต้องให้เจ้าของงานเป็นคนจ่ายเอง
ดังนั้นคำพูดลอยๆ ของเยี่ยเทียน จึงทำให้เฮนรี่ตกใจจนเหงื่อไหลซึมทั้งร่าง ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่เสนอราคาแข่งต่อ ราคาหนึ่งล้านเหรียญฮ่องกงนั้น จะทำให้เขาต้องจ่ายเงินค่าละเมิดสัญญาเป็นจำนวนหนึ่งแสนกว่าเหรียญฮ่องกง
ที่สำคัญ เฮนรี่ไม่ใช่นักประมูลประจำบริษัทคริสตี้
ที่เขามาดูแลงานประมูลครั้งนี้ ก็เพื่อจะได้รับรางวัลส่วนแบ่งจากรายได้ทั้งหมด ตัวหน้าม้าก็เป็นเขาที่จัดหามาเอง หากเกิดเรื่องผิดพลาด เขาจะต้องเป็นคนชดใช้เงินก้อนนี้
วิลสันที่นั่งอยู่ด้านข้างท่านเทศมนตรี เวลานี้มีสีหน้าซีดเผือดอย่างผิดปกติ เขานึกด่าในใจว่า “ไอ้บื้อนี่ ไหนบอกว่าเป็นนักประมูลอันดับหนึ่งของโลกไง? ทำไมถึงทำผิดพลาดในเรื่องแบบนี้ได้?”
ในฐานะประธานฝ่ายบริหารของคริสตี้ฝั่งเอเชีย เขาย่อมรู้กลโกงเหล่านั้นของเฮนรี่อยู่แล้ว เพียงแต่เขาไม่คาดคิดว่า เฮนรี่กลับมุ่งเป้าไปที่ลูกชายเจ้านายเก่าของเขา
แต่นี่ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ใช่คนอ่อนต่อโลก ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่คิดจะแข่งประมูลต่อ งานประมูลวันนี้จะกลายเป็นเรื่องเล่าชวนหัวในวงการ
แม้ว่าคนภายในงานเหล่านี้จะไม่สังเกตเห็นเคล็ดลับของเฮนรี่ แต่วิลสันรู้ว่า ไม่มีทางหลุดรอดไปจากสายตาของคนในวงการแน่นอน บางทีพองานประมูลครั้งนี้จบลง เรื่องที่คริสตี้เชิญหน้าม้ามาช่วยประมูล อาจแพร่กระจายออกไปทั่วทั้งวงการ
“ถ้าหากคุณผู้ชายหมายเลขหนึ่งไม่สนใจในตำราเล่มนั้น งั้นผมคิดว่า ผมคงต้องแสดงความยินดีกับคุณชายท่านนั้นแล้วล่ะครับ”
เฮนรี่เวลานี้ยังคงพยายามทำเป็นสงบนิ่ง จ้องมองตรงยังเยี่ยเทียน กล่าวว่า “หนึ่งล้านเหรียญฮ่องกงครั้งที่หนึ่ง หนึ่งล้านเหรียญฮ่องกงครั้งที่สอง…”
เฮนรี่กำลังเดิมพัน เพียงทว่ามันคือการเดิมพันในงานประมูลครั้งยากลำบากที่สุดของเขา หลังของเขามีเหงื่อไหลซึม จนทำให้ปกคอเสื้อของเขาชุ่มชื้นไปหมด เขาดูไม่ออกจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มคนนี้จะเสนอราคาอีกครั้งหรือไม่
“สองล้านเหรียญฮ่องกง!”
ขณะที่เฮนรี่กำลังจะตะโกน “ปิดการขาย” นั้นเอง ในที่สุดเยี่ยเทียนก็ชูป้ายในมือขึ้น มองยังเฮนรี่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม กล่าวว่า “คุณเฮนรี่ คุณจะเพิ่มราคาสูงต่อไปก็ได้ ผมมีความอดทนเป็นเลิศ อาจจะยอมจ่ายมากขึ้นกว่านี้ก็ได้!”
สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว สองล้านเหรียญฮ่องกงไม่ถือว่ามากมายอะไร ความจริงเขาไม่ได้โกรธ แต่กลับนึกชื่นชมนักประมูลคนนี้ คนที่สามารถดึงเงินออกมาจากมือเขาได้นั้น มีไม่มากนัก
แม้วิธีการของเฮนรี่จะไม่สมควร แต่หากพูดถึงมุมมองของนักประมูลแล้ว เฮนรี่นั้นเก่งกาจอย่างไม่ต้องสงสัย
“ให้ตายสิ คุณมีความอดทนเป็นเลิศ แต่ใจผมจะรับไม่ไหวแล้ว!”
เฮนรี่เองก็รับผิดชอบดูแลงานประมูลมาเป็นเวลาเจ็ดแปดปีแล้ว เขายังไม่เคยเจอใครรับมือยากอย่างนี้ แค่ประมูลของเพียงชิ้นเดียว กลับทำให้เขารู้สึกเหมือนสูญเสียพลังทั้งเนื้อตัว
“คุณชายท่านนี้ล้อเล่นแล้ว สำหรับผม ก็ต้องคาดหวังให้ราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ สิครับ!”
ถึงแม้ว่าใจจะอยากเคาะค้อนประมูลเต็มที แต่เฮนรี่ก็ยังต้องสอบถามสักสองสามคำตามระเบียบการ“ คุณชายท่านนี้เสนอราคาสองล้านเหรียญฮ่องกง ยังมีท่านไหนเสนอราคาต่ออีกไหมครับ?”
“สองล้านเหรียญฮ่องกงครั้งที่หนึ่ง สองล้านสองล้านเหรียญฮ่องกงครั้งที่สอง สองล้านเหรียญฮ่องกงครั้งที่สาม ปิดการขาย!”
ค้อนในมือของเฮนรี่เคาะลงมาอย่างหนักหน่วง” ขอแสดงความยินดีกับคุณชายหมายเลข 1 ด้วยครับ ตำราตุนหวงหกเล่มนี้กลายเป็นของคุณแล้ว!”
“ประมูลตำราโบราณไม่กี่เล่มถึงสองล้าน เจ้าเด็กหนุ่มคนนี้บ้าคลั่งยิ่งกว่าผู้เฒ่าถังอีกเหรอ?”
“อาจจะแค่ต้องการเอาชนะนักประมูลก็ได้ เป็นนิสัยเลือดร้อนของวัยรุ่นอยู่แล้ว!”
“ไม่เห็นเหรอว่าเขาเป็นลูกชายของซ่งเวยหลัน แค่สองล้านเหรียญฮ่องกงจะสักเท่าไหร่เชียว?”
หลังจากที่เยี่ยเทียนประมูล “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” หกเล่มนี้มาแล้ว ภายในงานก็มีเสียงซุบซิบดังขึ้นกระหึ่ม
ว่ากันตามตรง เงินก้อนนี้ถึงแม้ไม่มากนัก แต่หากเทียบกับราคาตลาดของหนังสือตำรา นับว่าเกินสิบกว่าเท่า การกระทำของเยี่ยเทียนจึงไม่ต่างจากตัวล้างผลาญในสายตาพวกเขา
แต่คนรอบข้างจะวิจารณ์อย่างไร เยี่ยเทียนก็ไม่สนใจแม้แต่น้อย เงินทองในสายตาเขาเป็นเพียงเครื่องมือเท่านั้น จะมีหรือไม่มีเยี่ยเทียนก็เชื่อมั่นว่าตนเองสามารถใช้ชีวิตได้อย่างอุดมสมบูรณ์
หันไปมองโจวเซี่ยวเทียนที่นั่งอยู่แถวสองแล้ว เยี่ยเทียนก็บอกว่า “เซี่ยวเทียน ไปตกลงเรื่องเงินกับพวกเขาที งานประมูลตอนบ่ายพวกเราไม่เข้าร่วมแล้ว”
สมุดรายการที่ถังเหวินหย่วนนำไปมีกว่าร้อยหน้า ภายในมีรูปภาพของประมูลในครั้งนี้ทุกชิ้น แต่ว่านอกจาก “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” แล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่สนใจสินค้าอย่างอื่นอีก
ตอนที่โจวเซี่ยวเทียนโน้มตัวกำลังจะออกไปนั้นเอง เฮนรี่ที่อยู่บนเวทีก็พูดขึ้นว่า “สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทุกท่าน จากนี้ต้องขอหยุดพักสักครู่ แล้วพวกเราจะประมูลสินค้าชิ้นที่สามกันต่อ ขอเชิญทุกท่านดูข้อมูลของประมูลสินค้าลำดับที่สามกันก่อนนะครับ!”
งานประมูลเริ่มไปเพียงแค่สามสิบนาที ยังอีกชั่วโมงกว่าถึงจะเป็นเวลาสิ้นสุดการประมูลช่วงเช้า ว่ากันตามตรงยังไม่ควรหยุดพักเร็วขนาดนี้
เพียงแต่การประมูลเมื่อครู่ใช้พลังสติสัมปชัญญะมากเกินไป ตัวเขาเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่หากยืนหยัดต่อไป การประมูลช่วงหลังอาจจะเกิดปัญหาบางอย่างได้
“พ่อครับแม่ครับ ศิษย์พี่ ไปกันเถอะ ช่วงหลังเราไม่ต้องดูก็ได้ครับ”
แต่นี่กลับเป็นผลดีต่อความตั้งใจของเยี่ยเทียน เดิมทีเขาก็ไม่คิดจะรั้งอยู่ที่นี่นาน ฉวยโอกาสจังหวะขณะที่ทุกคนกำลังพักผ่อน หลังจากกลุ่มเยี่ยเทียนบอกลาวิลสันและท่านเทศมนตรีเรียบร้อยแล้ว ก็ถอนตัวออกจากการประชุม
ต่อหน้าซ่งเวยหลัน แน่นอนว่าการจัดการงานประมูลย่อมไม่มีปัญหาใดๆ ตอนที่กลุ่มของเยี่ยเทียนออกมาจากตึกใหญ่ใจกลางวงแหวนกลาง ในมือของโจวเซี่ยวเทียนก็มีกล่องนิรภัยเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งกล่อง
“เจ้าเด็กบ้า ถึงมีเงินเยอะก็ไม่ควรใช้แบบนั้น คนที่ตะโกนราคาข้างหน้านั่น เป็นหน้าม้าแท้ๆ”
พอขึ้นรถแล้ว เยี่ยตงผิงก็สั่งสอนลูกชายด้วยสีหน้าหงุดหงิด ถึงแม้ปัจจุบันชีวิตจะไม่ขาดเงินแล้ว แต่ในฐานะคนที่มาจากยุคขาดแคลน เยี่ยตงผิงก็ไม่อยากเห็นลูกชายใช้เงินมือเติบแบบนี้
“พ่อ ผมรู้ว่าเขาเป็นหน้าม้า แต่ว่าผมเจ็บที่หลัง ไม่มีอารมณ์จะไปงัดข้อกับเขานี่!” เยี่ยเทียนขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงกับพ่อ จึงเอาอาการบาดเจ็บมาเป็นเกราะคุ้มกัน
“เยี่ยเทียน เจ็บที่กระดูกสันหลังหรือเปล่า? ลูก…ลูกอย่านั่งเลย นอนลงก่อนดีกว่า”
ตามคาด พอเยี่ยเทียนพูดออกมาอย่างนี้ ซ่งเวยหลันก็ตื่นตระหนกขึ้นทันที รีบร้องบอกคนขับรถ “โชเฟอร์คะ ขับช้าลงหน่อย อย่าให้กระเทือนนะ”
“เวยหลัน เธออย่าไปฟังมัน เจ้าหนูนี่ถูกตามใจจนเคยตัวแล้ว”
เยี่ยตงผิงเห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์จากในดวงตาของลูกชาย ก็เดือดดาลขึ้นมาทันที เยี่ยเทียนใช้ไม้นี้หลายต่อหลายครั้งมาตั้งแต่เด็ก ทุกทีที่เขายกไม้ขึ้นมาจะตี ยังไม่ทันได้แตะเนื้อต้องตัว เขาก็ลงไปล้มกลิ้งกับพื้นแล้ว
“คุณไปทางโน้นเลย พูดอย่างนี้กับลูกชายได้ยังไง?”
ถึงแม้ซ่งเวยหลันจะรู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่พอใจต่อคำพูดของสามีอย่างมาก ตอนนี้เธอเป็นคุณแม่ที่ไม่สนใจเหตุผลอะไรทั้งสิ้น เยี่ยเทียนทำอะไรก็ถูกต้องในสายตาเธอเสมอ
“เมียจ๋า ผมปวดคอจัง เอ้า นวดให้หน่อยสิ!” เห็นพ่อถูกแม่ดุด่าจนไม่กล้าเงยหน้า เยี่ยเทียนก็แอบหัวเราะออกมา
“เธอนี่ถูกตามใจจนเคยตัวจริงๆ” อวี๋ชิงหย่าเองยังอดขำออกมาไม่ได้ แต่เธอก็ไม่รู้ว่า ทำไมตัวเองถึงได้รักเจ้าหนุ่มที่ถูกตามใจจนเคยตัวคนนี้สุดหัวใจ
ท่ามกลางเสียงหัวเราะ รถก็มาจอดลงยังหน้าปากทางคฤหาสน์ของเยี่ยเทียน คนทั้งกลุ่มเข้าไปยังภายในบ้าน
“ชิงหย่า เธอนั่งคุยกับถังเหวินหย่วนเป็นเพื่อนพ่อกับแม่ที ฉันมีเรื่องต้องคุยกับพวกศิษย์พี่!”
เมื่อเช้าตอนอยู่บนรถ เยี่ยเทียนกับศิษย์พี่ทั้งหลายแทบอดรนทนไม่ไหว จะกดปุ่มกล่องนิรภัยในมือของโจวเซี่ยวเทียนเปิดออกเสียแล้ว
พอกลับมาถึงบ้าน ผู้เฒ่าทั้งหลายก็ล้อมโจวเซี่ยวเที่ยนพามายังห้องรับแขก ห้องรับแขกภายในคฤหาสน์หลังนี้ของเยี่ยเทียน ดูเหมือนจะกลายเป็นสถานที่ประชุมของพวกเขาไปเรียบร้อย
เห็นเยี่ยเทียนเปิดกล่องออก กระทั่งโก่วซินเจียยังตื่นเต้นขึ้นมา พูดย้ำซ้ำๆ ว่า “ระวังหน่อย อย่าจับแรงนะ!”
ยุคราชวงศ์ถังห่างไกลจากปัจจุบันมาประมาณ 1,400 ปีแล้ว ตำราเหล่านี้สามารถเก็บรักษาได้จนถึงปัจจุบัน นับว่าไม่ง่ายเลยจริงๆ หากเป็นของที่ขุดขึ้นมาจากดิน บางทีเมื่อเจออากาศอาจสลายกลายเป็นผุยผง
เยี่ยเทียนหยิบหนังสือเล่มหนึ่งมาพิจารณา กล่าวว่า “พวกเขาอาบน้ำยารักษาสภาพมาแล้วครับ ศิษย์พี่ ไม่เป็นไรหรอก”
เยี่ยตงผิงคลุกคลีอยู่ในวงการเขาโบราณตั้งแต่ปี 80 ความรู้ทั่วไปเหล่านี้เยี่ยเทียนจึงเข้าใจดี ส่งตำราที่อยู่ในมือให้กับโก่วซินเจีย บอกว่า “ศิษย์พี่มาดูด้วยกันสิครับ…”
“คัมภีร์เต๋าไคหยวน” ครอบคลุมหลากหลายสาขา สูงสุดถึงวิชาดาราศาสตร์ต่ำสุดยันเรื่องสัพเพเหระ เยี่ยเทียนไม่มีเวลาค้นหาหมดทุกเรื่อง จึงส่งให้ทุกคนคนละเล่ม
“คัมภีร์เต๋าไคหยวน” เล่มนี้ เรียบเรียงด้วยตัวอักษรข่าย แม้จะเขียนเป็นแนวตั้งจากขวามาซ้าย แต่ตำราที่เยี่ยเทียนศึกษามาแต่เล็กล้วนเป็นแบบเดียวกันทั้งหมด จึงไม่มีปัญหากับการอ่านเลยแม้แต่น้อย
พวกโก่วซินเจียเองยิ่งมาจากยุคสมัยที่ใช้อักษรตัวเต็ม จึงอ่านได้โดยไม่มีอุปสรรคแม้แต่นิดเดียว ส่วนโจวเซี่ยวเทียน มีหน้าที่ยกน้ำชามาให้เท่านั้น
“ศิษย์พี่ใหญ่ครับ เล่มนี้กล่าวถึงยันต์และสัญลักษณ์ อาจช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้พี่ได้!”
ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมง ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็ฉายแววผิดหวัง ส่งตำราเล่มนั้นให้กับโก่วซินเจีย หนังสือเล่มนั้นมีกล่าวถึงวิชาค่ายกลบ้างบางส่วน แต่กลับไม่มีเคล็ดวิชาที่เยี่ยเทียนต้องการเลย
“เล่มนี้ของฉันเป็นรายชื่อเทพเซียน แล้วเล่มนี้คืออะไรกับอะไรล่ะ?”
เวลานี้โก่วซินเจียอ่านตำราที่อยู่ในมือกำลังจะจบ หลังจากรับคัมภีร์เล่มนั้นที่เยี่ยเทียนส่งมาแล้ว เขาก็ส่งเล่มที่ปิดลงในมือให้กับเยี่ยเทียน
ตอนที่ 683 แผนที่
Ink Stone_Fantasy
หลังจากรับคัมภีร์เต๋าไคหยวน ที่มีบันทึกเรื่องราวของนักพรตเต๋ามีชื่อเสียงกับเหล่าเทพเซียนมา เยี่ยเทียนวางไว้ข้าง ๆ จากนั้นจึงหยิบอีกเล่มหนึ่งจากกล่องออกมาดู
ผ่านไปเพียงครู่เดียว เยี่ยเทียนรู้สึกผิดหวัง เพราะเล่มนี้เขียนเนื้อหาเกี่ยวการรักษาโรคด้วยยาแบบเต๋า ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกวิชาเลยสักนิด
“เยี่ยเทียน เล่มนี้คือบันทึกเทือกเขากับวัดเต๋าทั่วไป”
“ของผมเป็นพิธีเจ บทเพลงสรรเสริญ ไม่มีวิธีฝึกวิชา”
ข้อมูลที่หนานไหวจิ่นกับจั่วเจียจวิ้นให้เยี่ยเทียน มีแต่ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกแย่ลงเรื่อย ๆ เดิมทีเขาคิดว่าหนังสือพวกนี้จะมีความหวังอยู่บ้าง แต่เมื่อไหร่ที่คาดหวังไว้มาก การผิดหวังก็มากตาม
“เยี่ยเทียนคัมภีร์เต๋าไคหยวนเล่มนี้เป็นตำราเล่มสุดท้ายแล้วนะ แม้จะไม่มีวิธีฝึกวิชา แต่มันมีมูลค่ามาก เธอต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี”
โก่วซินเจียเข้าใจความรู้สึกของเยี่ยเทียน เขาปลอบใจอีกว่า “ในป่าในเขาต่าง ๆ ของจีน อาจจะมียอดฝีมือหลบซ่อนอยู่ก็ได้ เธอยังหนุ่ม โอกาสมีอีกมาก ไม่ต้องเสียใจไปหรอก”
ถ้าสิ่งที่หนานไหวจิ่นพูดเป็นความจริง บนโลกนี้ก็คงมีผู้ฝึกจนถึงลำดับขั้นหลอมจิตสู่ความว่างแล้ว แต่เยี่ยเทียนจะหาพบหรือไม่ ก็คงต้องดูสิ่งที่เยี่ยเทียนสั่งสมแล้วล่ะ
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมไม่เป็นอะไร หนังสือพวกนี้พี่เก็บไว้เถอะ”
เยี่ยเทียนส่ายหัว จู่ ๆ เขาก็หันไปเก็บตำราเต๋าที่บันทึกเรื่องเกี่ยวกับเทพเซียนเล่มนั้นไว้ และพูดว่า “เล่มนี้ผมขอเก็บไว้ดูเอง เทพเซียนต่าง ๆ ในสมัยโบราณ อาจจะไม่ได้เป็นแค่ข่าวลือ”
“อื้ม เธอเก็บไว้เลย” โก่วซินเจียลุกขึ้นและพูดว่า “เยี่ยเทียน พวกเราไปกินข้าวกันก่อน ได้กลิ่นอาหารก็เริ่มหิวแล้วล่ะ”
เนื่องจากคฤหาสถ์ของเยี่ยเทียนไม่สะดวกให้คนภายนอกเข้าออก ฉะนั้นเรื่องอาหารในแต่ละมื้อจึงเป็นหน้าที่ของ ซ่งเวยหลันกับอวี๋ชิงหย่า
ยังดีที่คฤหาสถ์นี้ตกแต่งแบบสไตล์โมเดิร์น เยี่ยตงผิงจึงทำอาหารให้ทุกคนด้วยตัวเขาเอง ส่วนผู้หญิงอีกสองคนที่ไม่ค่อยทำงานบ้านเป็นจึงได้เป็นแค่ลูกมือ
อุตส่าห์ดีใจ คำว่าไม่เป็นอะไรของเยี่ยเทียนไม่เป็นความจริง เพราะหลังจากกินข้าวไปไม่กี่คำ เขาก็กลับห้องของตัวเองเลย
แม้ร่างกายของเขาเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ปราณชีวิตแท้ของเขาหายไปหมด แล้วยังไม่มีวิธีฝึกวิชาจิตแห่งหยาง ใจของ เยี่ยเทียนจึงรู้สึกว่างเปล่า เหมือนบางอย่างหายไป
“เยี่ยเทียน เป็นอะไร ? ไม่พบสิ่งที่ต้องการเหรอ ? ”
อวี๋ชิงหย่าเห็นเยี่ยเทียนั่งอยู่ตรงระเบียง กำลังพลิกหนังสือเก่า ๆดู เธอเดินไปด้านหลังของเยี่ยเทียน และนวดบริเวณหัวเบา ๆ
“เฮ้อ ได้รับความโชคดี แต่ชีวิตของฉันมันจบแล้ว…”
เยี่ยเทียนถอนหายใจและพูดว่า “ดูเหมือนเมื่อ 20 ปีก่อนฟ้าจะใจดีกับฉันมากเกินไป ตอนนี้กลับต้องมานั่งรับความโชคร้าย การเกิดมาบนโลก จะหลุดพ้นจากไตรภูมิและห้าองค์ประกอบได้จริงมั้ย ! ”
เยี่ยเทียนเริ่มฝึกวิชากับหลี่ซั่นหยวนตั้งแต่ห้าขวบ สิบสองขวบก็ได้รับการสืบทอดวิชาจากบรรพจารย์ สิบกว่าปีที่ผ่านมาราบรื่นโดยตลอด แม้แต่ตอนที่ช่วยอาจารย์ต่อชะตาชีวิต ก็ไม่ได้รับบาดเจ็บมากมายอะไร
แต่การไปอเมริกาครั้งนี้กลับเกือบตาย ผลสุดท้ายคือจุดตันเถียนถูกทำลาย
แม้สภาพจิตใจดีขึ้นมากจนก่อตัวเป็นจิตดั้งเดิม แต่หากไม่มีวิธีฝึกที่สอดคล้องกัน เยี่ยเทียนก็ทำอะไรไม่ได้ มีความรู้สึกเหมือนหนูแก่กัดไข่ไก่…ทำอะไรไม่ได้
การพักฟื้นที่ผ่านมา เยี่ยเทียนรู้สึกว่าจิตดั้งเดิมมีประโยชน์อยู่หนึ่งอย่าง มันสามารถหล่อเลี้ยงร่างกายได้ แต่ไม่สามารถปล่อยออกมาจัดการศัตรูได้อย่างปราณชีวิตแท้
หรือพูดอีกอย่างก็คือ แม้อาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนจะถูกรักษาจนหาย แต่เขาก็ไม่สามารถฟื้นฟูกำลังของเมื่อก่อนได้อีก ก็แค่มีจิตดั้งเดิม สมรรถภาพทางร่างกายที่ดีกว่าคนทั่วไปเท่านั้น
มันทำให้เยี่ยเทียนกังวลถึงอันตราย เพราะเขามีศัตรูอยู่ไม่น้อย
ตั้งแต่ตระกูลคิตะมิยะ นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ และคนในองค์กรมวยใต้ดินเหล่านั้น ไม่แน่อาจมีคนลอบฆ่าเขาก็เป็นได้ บนโลกนี้มีคนอยากให้เยี่ยเทียนตายไม่น้อยเลยทีเดียว
“เยี่ยเทียน ขอแค่นายใช้ชีวิตอย่างสุขสงบ มันดีกว่าทุกสิ่งนะ ! ”
อวี๋ชิงหย่าเดินมาข้างหน้าเยี่ยเทียน เธอย่อตัวลง และซบลงที่อ้อมอกของเยี่ยเทียน ตอนนี้ความรู้สึกของเธอค่อนข้างซับซ้อน ในขณะที่อยากเห็นสามีเป็นแค่คนธรรมดา แต่ก็ยังเป็นห่วงเยี่ยเทียนมาก ชีวิตแบบนี้ไม่สุขสบายเอาซะเลย
เยี่ยเทียนที่ได้ยินก็หัวเราะขึ้น เขาใช้นิ้วเชยคางของอวี๋ชิงหย่าขึ้นและพูดว่า “เด็กโง่ ไม่มีความสามารถ แล้วจะปกป้องเธอกับลูกชายในอนาคตของเราได้ยังไงล่ะ ? ”
“บ้า นี่มันกลางวันแสก ๆ เลยนะ ” อวี๋ชิงหย่าเห็นความอยากของเยี่ยเทียนจากสายตา เธอตื่นเต้นขึ้นมาทันที แต่ร่างกายของเธอก็ตอบสนองออกไปบางอย่าง
“บ้าก็บ้า เมียจ๋า ฉันอยากจะตายอยู่แล้ว ! ”
มือใหญ่ของเยี่ยเทียนล้วงเขาไปตรงคอเสื้อของอวี๋ชิงหย่า เสียงอ่อนนุ่มดังขึ้นใกล้ ๆ อ้อมกอด ร่างกายของอวี๋ชิงหย่าอ่อนระทวยทันที เธอหน้าแดงระเรื่อ
เยี่ยเทียนลุกขึ้นและอุ้มเธอขึ้นไป จากนั้นก็เดินเข้าไปในห้องนอนพร้อมปิดผ้าม่านเอาไว้
อวี๋ชิงหย่ารู้ว่าอาการของเยี่ยเทียนยังไม่ดีทั้งหมด เธอทิ้งความเคอะเขิน และเปลี่ยนรสชาติบางอย่างซึ่งเยี่ยเทียนไม่เคยลิ้มลอง เสียงหายใจเข้าออกเบา ๆ ดังขึ้นไม่หยุด ช่วงเวลาดี ๆ ผ่านไปแล้ว เสียงในห้องก็เงียบลง
“เอวนี่มัน ไม่ได้เรื่องเลยจริง ๆ ”
มองดูภรรยาที่หลับตาแอบนอน เยี่ยเทียนทุบเข้าที่เอวทีนึง เขากลัวกระดูกสันหลังคด ก็เลยไม่กล้าใช้แรงมาก
ช่วงเวลาที่ผ่านมา อวี๋ชิงหย่าอยู่กับความหวาดกลัว สภาพจิตใจค่อนข้างเหนื่อย แต่หลังจากได้สัมผัสลมหายใจของสามี เธอหลับลงอย่างช้า ๆ
แต่เยี่ยเทียนกลัวสวนทางกับอวี๋ชิงหย่า เขาแค่ได้รับบาดเจ็บทางร่างกาย ส่วนด้านจิตใจนั้นแข็งแกร่งมาก หลังจากใช้เวลากับภรรยาเสร็จเขาไม่มีความรู้สึกอยากนอนเลย
เยี่ยเทียนเห็นภรรยาหลับปุ๋ย เขาจึงลงจากเตียงอย่างเงียบ ๆ หยิบผ้าเช็ดตัวพาดเอาไว้และเดินไปที่ระเบียง จากนั้นหยิบคัมภีร์เต๋าไคหยวนขึ้นมา
“อาณาเขตเฮยชื๋ออยู่ทิศเหนือของมัน เป็นกลุ่มคนดำ กินหญ้ากินงู มีงูสีแดงแดงหนึ่งตัว สีเขียวหนึ่งตัวล้อมรอบมันไว้ บ้างก็ว่าอยู่ทิศเหนือของซู่ไห้ เป็นคนหัวสีดำ กินหญ้ากินงู เป็นงูสีแดง ”
อ่านบันทึกในตำรา เยี่ยเทียนอดขำไม่ได้ นี่มันเขียนบรรยายเหมือนกับตำนานภูผาและมหาสมุทรเลย เยี่ยเทียนแยกไม่ออกแล้วว่านี่คือตำราเต๋าหรือตำนานภูผาและมหาสมุทร
แต่หน้าสุดท้ายของหนังสือมีเรื่องที่เยี่ยเทียนไม่เคยได้ยิน และที่สำคัญมันมีรูปประกอบ เขาอ่านมันช้า ๆ ไม่นาน ก็เปิดถึงหน้าสุดท้าย
“หืม ปลอกหนังนี้ทำไมมีรูปด้วย ? ”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจะปิดหนังสือเล่มนี้ จู่ ๆ มันก็สั่น แล้วก็เห็นว่าหน้าสุดท้ายของตำราเล่มนี้ มีภาพบางอย่าง
“อ้าว หายไปไหนแล้วล่ะ ? ”
ตอนที่เยี่ยเทียนตั้งใจมอง ภาพที่เห็นด้วยตากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงกระดาษซีด ๆ แผ่นหนึ่ง
“น่าแปลก หนังสือเล่มนี้มีปราณวิเศษด้วย ? ”
เยี่ยเทียนปิดหนังสือด้วยความคิด จู่ ๆ เขาก็พบสิ่งที่น่าแปลกในหนังสือเล่มนี้ มันมีปราณวิเศษสั่นเป็นระยะ
“ไม่เคยได้ยินว่าหนังสือเป็นเครื่องรางได้ด้วย ? ”
ถ้าหากถามว่าใครมีเครื่องรางมากที่สุด เยี่ยเทียนต้องอยู่อันดับหนึ่งแน่นอน แต่เยี่ยเทียนก็ไม่เคยเห็นเครื่องรางที่เป็นหนังสือมาก่อน
ลักษณะของเครื่องรางคือสามารถเก็บปราณวิเศษไว้ได้ แล้วปราณวิเศษนี้จะคอยหล่อเลี้ยงเครื่องรางชิ้นนั้นให้มีความสามารถบางอย่างที่มนุษย์คาดไม่ถึง
แต่กระดาษบาง ๆ แผ่นนี้ ไม่น่าจะเป็นเครื่องรางได้เลย แม้จะได้รับการปลุกเสกแล้ว แต่ไม่น่าจะทำได้ขนาดนี้
เยี่ยเทียนเดาไปต่าง ๆ นานา แต่ก็ไม่คิดไม่ออก เขาเปิดหนังสือเล่มนั้นไปหน้าสุดท้ายอีกครั้ง ถอตสติออกมาดูพื้นที่ว่างบนภาพนั้น
“มีภาพจริงด้วย ! ” เยี่ยเทียนตื่นเต้นดีใจ ตอนที่สติของเขาสัมผัสหน้าสุดท้ายของหนังสือ มีภาพ ๆ หนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าของเขา
“หืม ? หายไปไหน ? ”
ตอนที่เยี่ยเทียนเห็นภาพนั้นได้อย่างชัดเจน มีการสั่นเกิดขึ้น ทำให้ภาพนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับไม่เคยมีภาพใด ๆ
แต่เยี่ยเทียนยังไม่ทันประมวลภาพนั้นให้ดี จู่ ๆ ภาพนั้นก็ปรากฏขึ้นในสมองของเขา และภาพนั้นก็คือภาพเดียวกันกับในหนังสือเลย
“ทำได้ยังไง ? นำภาพในความคิดวางลงบนกระดาษแผ่นนี้ได้ยังไง ? ”
เยี่ยเทียนเหมือนเข้าใจบางอย่าง ภาพนี้เกิดจากความคิดของคนอื่น เมื่อมีคนใช้ความคิดพิสูจน์ มันจะหายไปทันที และไปปรากฏอยู่ในความคิดของอีกคน
วิธีการบันทึกแบบนี้ เป็นวิธีที่เยี่ยเทียนแทบจะไม่เคยได้ยินมาก่อน ต้องมีวิธีแบบไหนกัน ถึงจะฝังมันไว้ในหนังสือและให้คนรุ่นหลังเห็น ?
เยี่ยเทียนส่ายหน้า เรื่องเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าแล้ว จะไม่เชื่อก็คงไม่ได้ เนื้อหาในนั้นทำให้เยี่ยเทียนยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่
“นี่น่าจะเป็นแผนที่มั้ง ? ”
เมื่อลองตรวจภาพในสมองอย่างละเอียด เยี่ยเทียนพบว่า น่าจะเป็นรูปแผนที่เทือกเขา แต่มีจุดหนึ่ง มีอักขระโบราณเขียนอยู่สองตัว
นอกจากตัวหนังสือเจี๊ยกู่เหวินโบราณที่อ่านไม่ออก ไม่ว่าจะเป็นอักขระโบราณเล็กใหญ่ เยี่ยเทียนอ่านได้เกือบหมด แต่สองตัวนี้ เขาไม่เข้าใจความหมายของมัน
หากตีความตามตัวหนังสือ ร้างก็คือรกร้าง หมายถึงสถานที่ ๆ เคยมีคนอาศัยแต่ร้างไปแล้วในปัจจุบัน
ตลาดก็คือตลาดนั่นเอง แต่หากนำมารวมกัน เยี่ยเทียนยิ่งงงไปใหญ่ หรือที่รกร้างแห่งนี้จะมีตลาดจริง ๆ
“หรือลองถามศิษย์พี่ใหญ่ดู ? ”
พอคิดได้ เยี่ยเทียนก็ลบความคิดออกไปทันที เรื่องนี้ค่อนข้างไม่น่าเชื่อถือ ถ้าศิษย์พี่ใหญ่ไม่เชื่อ ก็ขายหน้าเปล่า ๆ
“ลองดูก่อนดีกว่าว่าแผนที่ใบนี้เป็นประเทศจีนหรือเปล่า ? ” เยี่ยเทียนคิดไปครู่นึง เขากลับไปใส่เสื้อผ้าและลงไปที่ห้องของถังเหวินหย่วน
“เยี่ยเทียน เป็นยังไงบ้าง หนังสือพวกนั้นใช้ได้บ้างมั้ย ? ” เห็นเยี่ยเทียนเดินเข้ามา ถังเหวินหย่วนรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย เขาอยู่ที่นี่เดือนกว่า น้อยมากที่เยี่ยเทียนจะเข้ามาห้องของตัวเอง
“ไม่ค่อยเท่าไหร่ เหล่าถัง ผมมาหาเพราะมีเรื่องอื่น” เยี่ยเทียนส่ายหัว และพูดต่อว่า “สั่งให้คนส่งแผนที่เทือกเขาของประเทศจีนมาให้หน่อยได้มั้ย ? ”
ตอนที่ 684 ทนนิ่งไม่ไหว
Ink Stone_Fantasy
“แผนที่ประเทศจีนเหรอ ? เอาไปทำอะไร ? ” ถังเหวินหย่วนตะลึงกับสิ่งที่ได้ยิน เยี่ยเทียนไม่ได้วิจัยคัมภีร์เต๋าไคหยวนอยู่เหรอ ? มันเกี่ยวข้องกับแผนที่ยังไง ?
“เอาแผนที่ภูมิประเทศ ไม่เอาแผนที่ประเทศจีนแบบธรรมดา หาได้มั้ย? ” เยี่ยเทียนแก้ไขคำพูดของถังเหวินหย่วน
ถังเหวินหย่วนพยักหน้าและตอบกลับไปว่า “น่าจะได้แหละ ถ้าไม่มีที่ฮ่องกง เดี๋ยวฉันให้คนเข้าไปซื้อในจีนแผ่นดินใหญ่”
ฮ่องกงกลับสู่แผนดินใหญ่ 3-4 ปีแล้ว การไปมากับประเทศจีนค่อยๆ เยอะขึ้น แม้กระทั่งคนฮ่องกงบางคน ก็พักอาศัยอยู่ในเซินเจิ้น ทำให้การเดินทางนั้นง่ายมากขึ้นกว่าเดิม
“ตลาด หมายความว่าอะไร ? แล้วคนที่ทิ้งร่องรอยน่าสงสัยเอาไว้ เป็นใครกัน ? ”
หลังจากถังเหวินหย่วนออกจากห้องไป เยี่ยเทียนก็กลับไปที่ห้องหนังสือของตัวเอง และเริ่มครุ่นคิด
แม้สติสัมปัญชัญยะของเยี่ยเทียนจะดีขึ้น เกือบถึงระดับถอดจิต แต่เขาไม่สามารถแยกแก่นวิญญาณออกจากร่างกายได้ อย่าว่าแต่ถอดจิตไปวาดภาพเลย
เพราะเป็นแบบนี้เยี่ยเทียนจึงกล้าพูดว่า คนที่ทิ้งแผนที่ภูมิประเทศแผ่นนี้ไว้ ต้องเป็นคนที่อยู่ในระดับที่สูงกว่าเขาแน่นอน
และคน ๆ นี้ ไม่น่าทิ้งสัญลักษณ์เอาไว้โดยไม่มีเหตุผลอย่างแน่นอน และจุดที่ระบุตลาดเอาไว้ตรงนั้น จะต้องมีความพิเศษบางอย่างแน่ ๆ
“คงไม่ใช่ที่พำนักของเทพเซียนที่ทิ้งเอาไว้หรอกมั้ง? ” เยี่ยเทียนดูนิยายกำลังภายในของกิมย้ง โกวเล้งตั้งแต่เด็กจนโต จึงมีข้อมูลเหล่านี้ปรากฏขึ้นในหัวอย่างอัตโนมัติ
แม้เยี่ยเทียนจะรู้ว่าเรื่องยาวิเศษครอบจักรวาลที่จะช่วยพัฒนากำลังนั้นจะเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ไม่แน่ ตรงนั้นอาจจะเป็นที่พำนักของเทพเซียนท่านนั้นเอาไว้ใช้เพื่อฝึกวิชา หากมีความโชคดี ไม่แน่ อาจจะเจอวิธีฝึกวิชาที่เขาต้องการใช้มากที่สุดก็ได้
เยี่ยเทียนรู้ความลับอยู่หนึ่งเรื่อง ในปี ค.ศ. 1920 ชายตัดฝืนผู้เฒ่าคนหนึ่ง เคยค้นพบที่อยู่อาศัยของเก๋อหงสมัยราชวงศ์ซ่งในภูเขาหลอฝู ซึ่งเป็นสถานที่ฝึกลมปราณชีวิตของเขาด้วย
เพียงแต่เสียดาย ที่ชายตัดฝืนผู้เฒ่าคนนี้อ่านหนังสือไม่ออก หลังจากขนย้ายคัมภีร์เป็นสิบกว่าม้วนกลับมาบ้าน ดันใช้คัมภีร์พวกนั้นเป็นฟืน โยนเข้าเตาเผาไปทั้งหมด ทำให้หลี่ซั่นหยวนที่ได้ยินข่าวเจ็บปวดหัวใจมาก
แต่หลี่ซั่นหยวนก็ไม่ได้เสียเวลาเปล่า เพราะว่า “เหรียญต้าฉีทงเป่า” ที่ส่งทอดมาให้กับเยี่ยเทียน ก็ซื้อมาจากชายตัดฝืนผู้เฒ่าคนนั้นแหละ ตอนที่ได้เหรียญนั้นมา “เหรียญต้าฉีทงเป่า” เหรียญนั้น เป็นเครื่องรางอาวุธชิ้นนึง
ระยะห่างระหว่างราชวงศ์ถังทางใต้กับราชวงศ์ซ่งห่างกันไม่กี่สิบปี นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ “ต้าฉีทงเป่า” เหรียญนี้สามารถเก็บรักษาไว้ได้ ส่วนมันกลายเป็นอาวุธไปได้อย่างไรแม้แต่หลี่ชั่นหยวนก็ยังไม่ทราบ
“เสียดาย คัมภีร์ผู้โอบกอดความเรียบง่าย บทด้านใน ของเก๋งหง ถ้าอาจารย์ได้มาตั้งแต่แรกละก็ ไม่แน่ อาจจะเข้าสู่ขั้นหลอมจิตสู่ความว่างไปแล้วก็ได้”
เยี่ยเทียนพลิกข้อมือ เหรียญ “ต้าฉีทงเป่า” เหรียญนั้นร่วงตกลงมาที่ฝ่ามือพอดี เขารู้สึกถึงบางอย่าง ตัวเขาฝึกจนเข้าระดับหลอมจิตสู่ความว่างแล้ว คาดว่าไม่ต้องใช้ ดวงตาค่ายกล ก็สามารถสร้างเครื่องรางได้เหมือนกัน
เพียงแต่ว่าตอนนี้ปราณชีวิตแท้ของเยี่ยเทียนสูญเสียไปหมด จิตดั้งเดิมที่เหลืออยู่ก็เหลือแค่ครึ่งเดียว ไม่รู้จะฝึกยังไงเหมือนกัน เรื่องพวกนี้ก็คงทำได้แค่คิดเท่านั้น
เยี่ยเทียนที่คิดอะไรเรื่อยเปื่อย อยู่ในห้องหนังสือไปครึ่งบ่าย โก่วซินเจียกับคนอื่น ๆ จึงคิดแค่ว่าเยี่ยเทียนหาวิธีฝึกวิชาไม่เจอ ก็เลยอารมณ์ไม่ดี และไม่ได้มารบกวนเยี่ยเทียน
“อาจารย์ ท่านผู้เฒ่าถังบอกว่าแผนที่ที่อาจารย์อยากได้มาถึงแล้ว ท่านกำลังหาอาจารย์ไปทั่วเลย” ประตูของห้องหนังสือถูกเปิดออกโดยโจวเซี่ยวเทียน
“หืม ฟ้ามืดแล้วเหรอ?”
เยี่ยเทียนตอบในสิ่งที่ไม่ได้ถาม มองที่ไปที่หน้าต่างและพูดว่า “เซี่ยวเทียน นายไปหยิบแผนที่แผ่นนั้นมา ตอนกินข้าวเย็นไม่ต้องรอฉันนะ!”
“ครับอาจารย์ ” โจวเซี่ยวเทียนเกาหัว เพราะเขาไม่รู้ว่าอาจารย์คิดอะไรอยู่ จึงทำได้เพียงหันหลังและลงจากตึกไปหยิบแผนที่ขึ้นมา
ถังเหวินหย่วนไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนต้องการแผนที่แบบไหน นอกจากแผนที่แบบภูมิประเทศแล้ว เขายังซื้อแผนที่สัดส่วนต่าง ๆ เพิ่มอีก 7-8 ชุด
หลังจากโจวเซี่ยวเทียนออกไปแล้ว เยี่ยเทียนกางแผนที่ภูมิประเทศแผ่นนั้นบนโต๊ะอ่านหนังสือ ขณะเดียวกัน ในใจก็ภาวนาว่า “ท่าอาจารย์โปรดคุ้มครอง แผนที่ที่เซียนท่านนั้นทิ้งเอาไว้ ต้องอยู่ในประเทศจีนนะ”
พื้นที่โลกกว้างใหญ่ขนาดนี้ ถ้าภูมิประเทศนั้นไม่ใช่ของประเทศจีน แม้ให้เยี่ยเทียนเหนื่อยจนตาย เขาก็หาตำแหน่งแผนที่ที่ตรงกันไม่เจอหรอก ตอนนี้ไม่เหมือนในอนาคต ที่มีคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่ใช้เปรียบเทียบได้
“ภูเขาหลอซาน? เอ่อ……”
เนื่องจากทั้งช่วงบ่ายนี้เขาคิดอยู่แต่เรื่องของเก๋อหง พอกางแผนที่ออกเท่านั้น เยี่ยเทียนมองตำแหน่งภูเขาหลอซานทันที แต่สิ่งที่เห็นกลับทำให้เขาผิดหวัง
“มณฑลที่อยู่ภาคตะวันออกทั้งสามมณฑลของจีน ก็ไม่น่าใช่…..”
ภาพวาดนั้นปรากฏขึ้นในความคิด เยี่ยเทียนกวาดสายตาไปที่แผนที่ฉบับนั้นอย่างรวดเร็ว จังหวัดต่าง ๆ ถูกเยี่ยเทียนตัดออกทีละจังหวัด ๆ
“หืม ? นี่ไง……มันคือตรงนี้ ! ”
เมื่อเยี่ยเทียนมองไปที่มณฑลหูเป่ย ทันใดนั้นสายตาก็ปรากฏความดีใจออกมา แผนที่ภูมิประเทศที่ชายแดนตะวันตกเฉียงเหนือของมณฑลหูเป่ยนั้นเหมือนกับภาพที่ปรากฏในสมองของเขาทุกอย่าง
“นี่คือภูเขาอู่ตังซาน ? ”
เยี่ยเทียนเห็นชื่อภูเขานั้นเสร็จ ต่อจากนั้นก็ส่ายหัวทันที “ไม่น่าจะใช่ ไม่ใช่ภูเขาอู่ตังซาน ตำแหน่งของตลาด อยู่ข้างหลังของภูเขาอู่ตังซาน”
“นี่มันคืออะไรกันแน่ ? ”
เยี่ยเทียนเห็นตำแหน่งของตลาดที่ปรากฏอยู่ในแผนที่ตรงหน้า เป็นแค่ผืนป่าผืนหนึ่งเท่านั้น แต่ในแผนที่ไม่มีการเขียนกำกับชื่อของมันเอาไว้
“เสินหนงเจี้ย(อาณาเขตแห่งเทพกสิกร)นี่เอง ? ! ”
ครุ่นคิดไปครู่นึง เยี่ยเทียนหยิบแผนที่ประเทศจีนอีกหนึ่งแผ่นขึ้นมา สัดส่วนของแผนที่แผ่นนี้มีความแม่นยำกว่า ทำให้เยี่ยเทียนสามารถมองเห็นอย่างชัดเจน ในส่วนของตำแหน่งของตลาด มันอยู่ในอาณาเขตเสินหนงเจี้ยนั่นเอง
สำหรับ เสินหนงเจี้ย จะบอกว่าไม่รู้จักก็ไม่เชิง แต่ก็ไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่ เขาจำได้แค่ว่าเมื่อหลายปีก่อน ในหนังสือเรียนวิชาวิทยาศาสตร์ มีบทความที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับการหาคนป่าในเขตเสินหนงเจี้ยโดยเฉพาะ
ฉะนั้น ในความทรงจำของเยี่ยเทียน เสินหนงเจี้ย นอกจากจะเป็นสถานที่ที่เทพกสิกรเหยียนตี้ทดลองกินพืชร้อยชนิดแล้ว มันก็คือแผนป่าดึกดำบรรพ์ที่ยังไม่เคยถูกพัฒนา
“ตลาด มันแปลว่าอะไรกันแน่ ? ” เยี่ยเทียนมองตำแหน่งบนแผนที่แล้วเกาหัว
หากดูจากตำแหน่งแล้ว บริเวณนั้นเป็นเขตเสินหนงเจี้ยที่ลึกมากจนแทบจะไม่มีร่องรอยของคน ที่แห่งนั้นจึงเหมาะสมต่อคนที่ต้องการฝึกวิชาตามที่เยี่ยเทียนคิดไว้อย่างแน่นอน
แต่ในตำนานเทพนิยายสมัยโบราณ เซียนเหล่านั้นมักจะตั้งชื่อให้กับสถานที่ ๆ ตนเองชื่นชอบว่า พำนัก ประมาณนั้น ส่วนคำว่าตลาดคำนี้ ทำให้เยี่ยเทียนนึกไม่ออกจริง ๆ
“เยี่ยเทียน ทำอะไรอยู่เหรอ ? ทุกคนรอลูกกินข้าวด้วยกันอยู่นะ ลูกก็เอาแต่อยู่ในห้องไม่ออกไปไหนเลย ! ”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังครุ่นคิดอย่างหนักแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ ประตูของห้องหนังสือถูกแม่เปิดออก หลังจากที่โจวเซี่ยวเทียนบอกไว้ว่าอาจารย์ไม่อยากให้ใครรบกวน ก็คงมีแต่ซ่งเวยหลันที่กล้าเข้าไปที่ห้องหนังสือห้องนั้น
เมื่อเยี่ยเทียนเห็นท่าทีตำหนิของแม่ เขายิ้มฝืด ๆ ออกมาตอบว่า “แม่ จะรอผมทำไม กินกันก่อนเลย”
“ไม่ได้ อาการของลูกเพิ่งดีขึ้น ต้องบำรุงเยอะ ๆ แม่ต้มซุปปลาเอาไว้ให้ ถ้าเย็นก็จะไม่อร่อย”
ซ่งเวยหลันเดินไปที่ข้าง ๆ โต๊ะหนังสือของเยี่ยเทียน มองแผนที่บนโต๊ะอย่างประหลาดใจ ทันใดนั้นเธอก็ถามเยี่ยเทียนด้วยความตื่นเต้นว่า “เสี่ยวเทียน ลูกดูแผนที่พวกนี้ทำไม อย่าบอกว่าอยากออกไปข้างนอกอีกแล้ว ? ”
ซ่งเวยหลันไว้ใจลูกชายอยู่แล้ว แต่ครั้งนี้เขาอาการค่อนข้างน่าเป็นห่วง ในฐานะที่เป็นแม่คนนึง ซ่งเวยหลันไม่อยากให้ลูกชายไปนู่นไปนี่อีกแล้ว
“แม่ครับ ผมกำลังหาสถานที่ที่หนึ่ง ไม่แน่ อาจต้องออกไปในวันสองวันนี้แหละ”
คำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจพูดของซ่งเวยหลัน กลับเป็นคำพูดที่เตือนสติเยี่ยเทียนซะอย่างนั้น ทำไมเขาต้องหาเรื่องใส่ตัวล่ะ ? ก็แค่ไปให้ถึงตำแหน่งที่กำหนดไว้บนแผนที่ ถึงเวลานั้น ทุกอย่างก็คลี่คลายเอง
พอคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็ดีใจทันที เขาลุกขึ้นและกอดไหล่ของแม่เอาไว้ ยิ้มและพูดกับเธอว่า ”แม่ครับ ซุปปลานี้พ่อเป็นคนทำใช่มั้ย ? แม่แอบอ้างอีกแล้วนะ ”
“ใครบอก วันนี้พ่อแกเป็นแค่ผู้ช่วย แม่นี่สิเป็นเชฟใหญ่ ไม่เชื่อลูกไปถามพ่อเลย”
หลังจากถูกลูกชายแซวขัดจังหวะ ซ่งเวยหลันก็ลืมเรื่องที่จะถามต่อเกี่ยวกับเยี่ยเทียนจะออกไปข้างนอกไปเลย สองแม่ลูกพูดคุยกันสนุกสนานมาจนถึงห้องกินข้าวชั้นล่าง
“ศิษย์น้องเล็ก ไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?”
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนออกจากห้องหนังสือสักที โก่วซินเจียพูดด้วยความเป็นห่วงออกไปว่า “ตั้งแต่สมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน วิธีฝึกวิชาก็คือความลับที่ไม่มีการสืบทอดจากสำนักต่าง ๆ ส่วนคัมภีร์เต๋าไคหยวน แม้ว่าจะไม่มีส่วนที่ขาดหายไป แต่บนนั้นก็ใช่ว่าจะมี ศิษย์น้องเล็กอย่าไปสนใจขนาดนั้นเลยนะ”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมไม่เป็นอะไรครับ เมื่อช่วงบ่าย ผมนึกถึงใบสั่งยาใบหนึ่งที่อาจารย์เคยสอนเอาไว้ มีผลอย่างน่าอัศจรรย์สำหรับคนที่รักษาอาการเจ็บหน้าอกจากการฝึกกำลังมากเกินไป ผมอยากจะลองว่าสามารถปรุงยานั้นออกมาได้หรือไม่ ? ”
ตั้งแต่แรก เยี่ยเทียนไม่คิดจะบอกเรื่องที่ซ่อนไว้ในคัมภีร์เต๋าไคหยวน กับศิษย์พี่ทั้งหลายฟัง เพราะสิ่งนี้มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ หากพูดออกไปปากเปล่า ตัวเขาเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อเลย
โก่วซินเจียรู้สึกแปลกใจและรีบถามต่อว่า “มีใบสั่งยาแบบนี้ด้วยเหรอ ? เยี่ยเทียน ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ ”
“แค่ก ๆ ศิษย์พี่ใหญ่ ใบสั่งยานี้ต้องใช้น้ำผึ้งสมุนไพรร้อยชนิดกับเห็ดหลินจือพันปี และเห็ดหลินจือต้องนำไปปรุงภายในครึ่งชั่วยาม หลังจากที่เด็ดออกจากต้น เงื่อนไขค่อนข้างเข้มงวด ผมจึงคิดไม่ถึงมาโดยตลอด”
คำพูดของศิษย์พี่ใหญ่ทำให้เยี่ยเทียนแอบรู้สึกว่าย้ายก้อนหินแต่ตกใส่เท้าตัวเอง แต่คำโกหกดันพูดออกจากปากไปแล้ว เยี่ยเทียนจึงพูดให้มันจบ เขาจึงแต่งเรื่องที่ตัวเองก็แทบจะไม่อยากจะเชื่อขึ้นมา
โก่วซินเจียเป็นใคร เขาฟังคำพูดที่ไม่จริงใจของเยี่ยเทียนออกอยู่แล้ว พอฟังออก เขาหัวเราะอย่างอดไม่ได้และพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก ทนนิ่งไม่ไหว ก็เลยอยากออกไปข้างนอกมั้ง ? ”
ใบสั่งยาใบนี้ต้องใช้เห็ดหลินจือพันปี แล้วต้องปรุงยาทันทีหลังจากที่เด็ดออกมา คำพูดของเยี่ยเทียนสื่อความหมายได้ว่า เขาต้องการออกไปหาเห็ดหลินจือพันปีนี่เอง
“ใช่ครับศิษย์พี่ใหญ่ น้ำผึ้งสมุนไพรร้อยชนิด เหมือนจะมีที่ เสินหนงเจี้ย ซึ่งอยู่ข้างหลังภูเขาอู่ตังซานเท่านั้น ส่วนสถานที่ตรงนั้นมีสมุนไพรนานาชนิด ไม่แน่อาจจะเจอเห็ดหลินจือพันปีก็ได้ ผมอยากลองเสี่ยงดู ! ”
แม้จะปิดบังจุดประสงค์ในการไปเสินหนงเจี้ย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังสถานที่ๆ ตัวเองอยากไป ในเมื่อโก่วซินเจียถามถึง เยี่ยเทียนก็พูดออกมาเลย
โก่วซินเจียพยักหน้าและตอบว่า “ก็ดีเหมือนกัน ลองไปภูเขา แม่น้ำ ที่มีชื่อเสียงสักหน่อย ไม่แน่ อาจจะมีโอกาสบางอย่าง ศิษย์น้องเล็ก ฉันจะไปกับเธอเอง ! ”
เยี่ยเทียนส่ายหัวและตอบว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ อายุมากแล้ว อย่าไปทำให้ตัวเองต้องเหนื่อยเลย ให้เซี่ยวเทียนไปกับผมก็พอแล้ว ! ”
ตอนที่ 685 ช่องทาง
Ink Stone_Fantasy
“เยี่ยเทียน ไม่ไปได้มั้ย ? ”
เยี่ยเทียนหันหน้าไปตามเสียงเบาที่ดังขึ้นบนโต๊ะอาหาร พบว่าอวี๋ชิงหย่าวางตะเกียบลง มองเขาด้วยสายตาอาลัยอาวรณ์
ตั้งแต่สองคนนี้แต่งงานกัน พวกเขามีเวลาร่วมกันแค่ช่วงที่เยี่ยเทียนบาดเจ็บ อาการของสามียังไม่ทันหายดีก็จะออกไปอีก ใจของเธอเต็มไปด้วยความเป็นห่วง
“ชิงหย่า ฉันขอโทษ”
เยี่ยเทียนรู้สึกผิดทันทีที่ได้ยินคำพูดของภรรยา เขากล่าวด้วยความขมขื่นกลับไปว่า “เธอดูสภาพของฉันสิ ไม่ต่างจากคนไร้ประโยชน์เลย ครั้งนี้ที่ฉันไป ฉันแค่จะไปรักษาอาการป่วย ถ้ารักษาหายแล้วฉันจะรีบกลับมา!”
คำว่า “ตลาด” ใน คัมภีร์เต๋าไคหยวนวนเวียนอยู่ในหัวของเยี่ยเทียนตลอดเวลา เยี่ยเทียนไม่อาจขจัดความสงสัยนั้นได้เลย
“เอาละ ไม่เป็นแบบนี้กันนะ พรุ่งนี้เราจะกลับปักกิ่งพร้อมกัน ถ้าฉันกลับมา ฉันจะอยู่ที่ปักกิ่งกับเธอ”
เยี่ยเทียนโอบไหล่อวี๋ชิงหย่าและพูดต่อว่า “ไหนเธอบอกว่าจะเป็นผู้หญิงที่เข็งแกร่ง นี่ขาดงานมานานแค่ไหนแล้วเนี่ย เธอทำงานไปเลย ฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ !”
“ใครบอกนายว่าฉันจะเป็นผู้หญิงแกร่ง ฉันทำแบบแม่ไม่ไหวหรอก!” อวี๋ชิงหย่าหน้าแดงทันทีที่โดนเยี่ยเทียนโอบไหล่ต่อหน้าทุกคน เธอจึงไม่ได้คุยเรื่องที่เยี่ยเทียนจะออกไปอีก
โก่วซินเจียรู้ว่าเยี่ยเทียนเป็นคนตัดสินใจเด็ดขาด คนรอบข้างไม่สามารถทำให้เขาเปลี่ยนใจได้ จึงได้กล่าวออกไปว่า “ศิษย์น้องเล็ก ออกไปก็ได้ แต่สภาวะร่างกายของเธอตอนนี้ ห้ามปะทะกับใครอีกเด็ดขาด”
เยี่ยเทียนที่ได้ยินแบบนั้นก็ยิ้ม “ศิษย์พี่ใหญ่ครับ ผมทราบครับ ของที่มีน้ำหนักผมไม่ถือแน่นอน ไม่งั้นผมจะพาเซี่ยวเทียนไปด้วยทำไมละครับ ? ”
“อาจารย์ลุง สบายใจได้เลยครับ ผมจะดูแลอาจารย์เป็นอย่างดี!”
“อืม เวลาออกไปข้างนอก จะทำอะไรก็ต้องไตร่ตรองให้ดี!” โก่วซินเจียพยักหน้า และกำชับอีกว่า “ห้ามพาอาจารย์ของเธอไปเจอความเสี่ยง เพียงเพราะต้องการเอาชนะนะ”
ความจริงจังของโก่วซินเจีย ทำให้โจวเซี่ยวเทียนลุกขึ้นคำนับและตอบว่า “ครับ ผมทราบครับ!”
“การระมัดระวังไม่ใช่เรื่องที่ผิด จำเอาไว้ให้ดี…”
โก่วซินเจียกำชับโจวเซี่ยวเทียนเสร็จ หันไปเห็นสีหน้าที่เป็นห่วงของซ่งเวยหลันก็หลุดขำ “คุณหญิงซ่ง เยี่ยเทียนแค่ไปทำธุระ เธอไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
โจวเซี่ยวเทียนกับเยี่ยเทียนเป็นคนหนุ่มที่ดูเป็นผู้ใหญ่ พลังของโจวเซี่ยวเทียนอยู่ระดับพลังแฝง จะหนุ่มไปตลอดก็ไม่แปลก อาจารย์รุ่นก่อนที่ชนะเขาได้ก็มีไม่เยอะ
ส่วนเยี่ยเทียนติดตามหลี่ซั่นหยวนตั้งแต่ 10 ขวบ สามารถใช้ชีวิตด้านนอกได้สบาย การเดินทางในครั้งนี้ไม่ได้มีอันตรายเหมือนที่โก่วซินเจียบอก
“โก่วเหล่าพูดถูก เยี่ยเทียนเจ้าเด็กคนนี้มีความอดทนมากกว่าพวกเราอีก กินข้าวกัน”
ซ่งเวยหลันคิดไปคิดมาก็เห็นด้วย ตั้งแต่ได้เจอลูกชาย มีแต่เธอที่คอยพึ่งพาลูกชาย เยี่ยเทียนไม่เคยได้อะไรจากแม่คนนี้เลย แถมยังเป็นภาระ
……-
เช้าวันที่สอง สองสามีภรรยา โจวเซี่ยวเทียน และพ่อกับแม่ นั่งเครื่องบินส่วนตัวของซ่งเวยหลันกลับถึงปักกิ่ง
โก่วซินเจียกับพี่ ๆ อีกสามคนเลือกอยู่ต่อที่ฮ่องกง พวกเขาอายุเยอะแล้ว ถึงแม้ไม่สามารถทะลุไปถึงระดับหลอมจิตสู่ความว่าง แต่การใช้ชีวิตอยู่ในค่ายกลรวมปราณ มันดีต่อสุขภาพของพวกเขาหลายเท่า
เพราะสถานที่ที่ไป เป็นหุบเขาลึกแม่น้ำใหญ่ เยี่ยเทียนในเวลานี้ไม่มีพลังเลย การเดินทางครั้งนี้ไม่มีใครกล้าละเลย จึงตั้งใจเตรียมตัวกันมาก
หลายปีมานี้ชีวิตของคนเริ่มดีขึ้น กิจกรรมภายนอกเพิ่มมากขึ้น หลังลงจากเครื่องบิน เยี่ยเทียนไม่ได้เข้าบ้านทันที แต่กลับพาโจวเซี่ยวเทียนไปที่คลับแบ็คแพ็ค
“เยี่ยเทียน พรุ่งนี้ระวังตัวด้วยนะ อากาศเริ่มเย็นแล้ว ใส่เสื้อผ้าหนาๆ!”
หลังจากวันหยุดสิ้นสุดอวี๋ชิงหย่ากลับไปรายงานตัวและเริ่มทำงาน ส่วนซ่งเวยหลันเป็นห่วงลูกชายมาก เมื่อเห็นเยี่ยเทียนกลับมา เธอย้ำกับเยี่ยเทียนเรื่องแล้วเรื่องเล่า
เยี่ยเทียนพยักหน้าตอบว่า “ครับแม่ ผมทราบแล้วครับ แม่สบายใจได้ เร็วที่สุดหนึ่งอาทิตย์ ช้าสุดก็ครึ่งเดือน ผมจะกลับมาแน่นอน!
” “จีจี…จีจี!”
เสียงของเยี่ยเทียนยังไม่ทันสิ้น เงาสีขาววิ่งขึ้นหัวไหล่ของเยี่ยเทียน อุ้งเท้าคู่หนึ่งข่วนที่หัวของเยี่ยเทียน ราวกับระบายความไม่พอใจออกมา
“เจ้าตัวน้อย โมโหอะไร?” เยี่ยเทียนยิ้มและจับเหมาโถวลงมา เขาพาเหมาโถวมาจากเทือกเขาฉางไป๋ซาน ที่ผ่านมาเขาแทบไม่ได้สนใจมันเลย
“จี! จีจี!” เหมาโถวส่งเสียงกับเยี่ยเทียน จากนั้นมันใช้อุ้งเท้าปิดตาเอาไว้ ท่าทางที่แสดงนั้นดูเหมือนไม่ได้รับความเป็นธรรมมาก
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจะปลอบใจเหมาโถว จู่ ๆ เขาก็พบว่าปราณวิเศษในเรือนสี่ประสานที่มีอยู่ไม่มาก ซึมเข้าร่างกายของเหมาโถวแล้ว
สร้างความแปลกใจให้กับเยี่ยเทียนเล็กน้อย แม้เมื่อก่อนเขาพบว่าเหมาโถวสามารถดึงดูดปราณวิเศษได้ แต่ความเร็วค่อนข้างช้า แต่ตอนนี้แม้โจวเซี่ยวเทียนจะใช้พลังช่วยขับเคลื่อน แต่ก็ไม่เร็วเท่าเหมาโถวอยู่ดี
“อย่าขยับ ให้ฉันดูก่อน!” เยี่ยเทียนกดเหมาโถวที่กำลังจะกระโดด ส่งพลังจิดหนึ่งเส้นทะลุเข้าหนังของเหมาโถว
“จีจี!”
ตอนที่พลังจิตของเยี่ยเทียนทะลุเข้าร่างของเหมาโถว ขนของเหมาโถวตั้งขึ้น มันร้องเสียงแหลม และแสดงสายตาหวาดกลัวออกมา
“ไม่เป็นไรนะ ฉันเอง จะกลัวอะไรล่ะ” เยี่ยเทียนใช้มือซ้ายลูบที่หัวของเหมาโถวอย่างไม่พอใจ
เหมาโถวเหมือนคิดได้หลังจากที่เยี่ยเทียนพูดแบบนั้น มันจึงค่อย ๆ นิ่งลง เพราะเยี่ยเทียนเป็นคนที่มันสามารถเชื่อใจได้และไม่ต้องป้องกันตัว
“เห้ย นี่อะไรเนี่ย? ” หลังจากพลังจิตของเยี่ยเทียนทะลุเข้าไปภายในร่างกายของเหมาโถว เยี่ยเทียนตกใจมาก
เยี่ยเทียนพบว่า หลังจากปราณชีวิตแท้ซึมเข้าไป มันเลื่อนตรงไปที่ส่วนท้องของเหมาโถว แต่ส่วนท้องของเหมาโถว กลับมีบางสิ่งที่มีขนาดเท่าถั่วเหลือง ทำหน้าที่ดูดปราณวิเศษเข้าไป
ยังไม่พอ หลังจากของสิ่งนั้นดูดปราณพิเศษเข้าไปเสร็จ มันยังคายออกมาอีก และสิ่งที่คายออกมาก่อตัวขึ้นเป็นพลังใหม่ มันเคลื่อนไหวและหล่อเลี้ยงร่างของเหมาโถวไว้
“เห้ย อย่าบอกมันคือลมปราณ?” สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เยี่ยเทียนตะลึง ถ้าจิตดั้งเดิมของเขายังไม่ฟื้นตัว เขาก็จะไม่เห็นความผิดปกติภายในร่างกายของเหมาโถว
“เสี่ยวเทียน เกิดอะไรขึ้น?” ซ่งเวยหลันเห็นเยี่ยเทียนนิ่ง จึงถามออกไป
“แม่ครับ ไม่มีอะไรครับ ผมกลับห้องก่อนนะครับ!”
เยี่ยเทียนเก็บจิตการอ่านและส่ายหัว เขาเห็นโจวเซี่ยวเทียนที่กำลังย้ายของอยู่ จึงรีบพูดว่า “เซี่ยวเทียน ไม่ต้องย้ายแล้ว พวกเราอาจจะขับรถไป!”
“ขับรถไปเหรอ? อาจารย์ มันไม่ใกล้เลยนะครับ” โจวเซี่ยวเทียนอึ้ง การขับรถจากปักกิ่งไปหูเป่ย ต้องใช้เวลาเกือบ 12 ชั่วโมงเลยมั้ง
“ไม่เป็นไร ครั้งนี้เราไม่รีบ จอดพักระหว่างทางก็ได้” เยี่ยเทียนพูดจบก็หันหลังกลับ ตอนนี้ ความสนใจของเขาอยู่บนตัวของเหมาโถวทั้งหมด
“น่าแปลก หรือจะมีวิชาปีศาจจริง ๆ ”
หลังกลับเข้าห้อง เยี่ยเทียนวางเหมาโถวไว้บนโต๊ะ ส่วนเจ้าตัวน้อยก็รู้สึกถึงบางอย่าง ตาโตของมันจ้องไปที่เยี่ยเทียน และไม่กล้าซนอีก
เยี่ยเทียนจับขนเงาของเหมาโถวเบา ๆ และพูดกับมันว่า “เหมาโถว แกเข้าใจที่ฉันพูดใช่มั้ย?”
“จี…จี!” เหมาโถวพยักหน้า และส่งเสียงร้องออกมา
เยี่ยเทียนถามต่อ “ของที่อยู่ในตัวแกมาจากไหน ? มันดูดปราณวิเศษและฝึกพลังได้อย่างไร?”
จากการตรวจเมื่อครู่ พลังที่อยู่ในร่างของเหมาโถวไม่ได้ด้อยกว่าโจวเซี่ยเทียนเลย และถ้าเจ้าตัวน้อยตัวนี้กลับไปในป่า มันอาจกลายเป็นราชาแทนเสือโคร่งก็ได้
“จี จี!” เหมาโถวงุนงงกับสิ่งที่เยี่ยเทียนถาม
มันเอียงหัวและกระโดดขึ้นไปอยู่ตรงหน้าต่าง มันใช้นิ้วชี้ที่ฟ้า จากนั้นมันอ้าปากและเริ่มหายใจ ท่าทางของมันเหมือนมนุษย์มาก
“เจ้าดูดพลังจากดวงอาทิตย์ได้ด้วย ? ” หน้าของเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยความไม่น่าเชื่อ
เพราะพลังจากดวงอาทิตย์คือไฟ ส่วนย่อยของปราณวิเศษจะบ้าคลั่งผิดปกติ แม้แต่เยี่ยเทียนเอง ยังกล้าดูดแค่แสงแห่งตะวันออกในตอนเช้าเท่านั้น แสงระหว่างวันเขาไม่กล้า
“จี จี!” เหมาโถวส่ายหัว มันครุ่นคิดไปครู่นึง จากนั้นใช้อุ้งมือทำท่า ๆ หนึ่งออกมา
“พลังของดวงจันทร์งั้นเหรอ ? ทำฉันตกใจหมด” เมื่อเห็นเหมาโถววาดเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เจ้าตัวน้อยนี้แค่พูดไม่เป็น จริง ๆ มันเกือบจะเป็นเอลฟ์แล้ว
“จี จี!” เหมาโถวดูเหมือนรู้สึกกลัว มันเลยกระโดดใส่อ้อมอกของเยี่ยเทียน ไม่เหมือนกับเมื่อก่อนที่เล่นผมของเยี่ยเทียน
“สบายใจเถอะ เจ้าตัวน้อย ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันไม่ทิ้งแกหรอก!” เยี่ยเทียนมองเหมาโถวที่ทำหน้าน่าสงสาร อดคิดถึงเมื่อหลายปีก่อนไม่ได้
ตอนนั้นเขาหลงเข้าไปในภูเขาหิมะ คืนนั้นเจ้าตัวน้อยที่เพิ่งเกิดตัวนี้อยู่เป็นเพื่อนพึ่งพาอาศัยกัน เขารู้ว่า บางทีเหมาโถวอาจคิดว่าเขาเป็นพ่อแม่มันแล้วก็ได้
“จี จี…” เหมาโถวดีใจมากที่เยี่ยเทียนพูดแบบนั้น มันกระโดดขึ้นไปอยู่หัวไหล่ของเยี่ยเทียนเหมือนเช่นเคย และใช้เล็บของมันหวีผมให้เยี่ยเทียน
“พอแล้ว เราออกเดินทางกันพรุ่งนี้ ไม่งั้นไม่มีปลาให้กินนะ!”
เยี่ยเทียนส่งเหมาโถวออกไปจากหน้าต่าง เจ้าตัวนี้มีนิสัยคล้ายเด็กมาก ถ้าทำหน้าทำตาใส่มัน มันสามารถพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้ทีเดียว
……
“อาจารย์ ที่แท้อาจารย์จะพาเหมาโถวไปด้วยนี่เอง ”
เช้าวันที่สอง ตอนที่โจวเซี่ยวเทียนเห็นเหมาโถวตามหลังเยี่ยเทียนและปีนเข้าไปในรถ เขาเข้าใจทันที และการขับรถไปเสินหนงเจี้ย ล้วนเป็นเพราะเจ้าตัวน้อยตัวนี้
“อืม ถ้าอยู่ในป่า มันมีประโยชน์มากกว่าพวกเราอีก ถ้าพาไปด้วยพวกเราไม่ต้องกลัวเรื่องหลงทางเลย”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ที่จริงเยี่ยเทียนก็เพิ่งคิดได้เมื่อวาน และเยี่ยเทียนอยากเห็นว่าเหมาโถวสามารถหาสิ่งมีชีวิตแบบเดียวกับมันเจอหรือไม่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น