ลำนำบุปผาพิษ 681-696
บทที่ 681 คนอื่นอย่าได้หวัง!
“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ ข้าน้อยคิดว่าบางทีเขาอาจไม่ได้สนใจลูกเสือเหล่านั้น แต่คิดจะวางอุบายอะไรกับพญาเสือที่เป็นผู้พิทักษ์…” ในที่สุดมู่เหลยก็ทำใจกล้าพูดออกมา
“หากแม้แต่ความสามารถในการปกป้องตัวเองจากจิ้งจอกยังไม่มี เสือยังจะมีคุณสมบัติอะไรมาเป็นผู้พิทักษ์อีก?” น้ำเสียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ผะแผ่ว
นี่ก็ใช่! มู่เหลยไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
….
ณ สถานที่แห่งหนึ่ง มีแท่นสูงแท่นหนึ่งเหมือนกัน บนแท่นคือผังที่ดูคล้ายค่ายกลเชิงยุทธวิถี ด้านล่างแท่นกลับเป็นกองลูกแก้วนับไม่ถ้วนดั่งทะเลดวงดาว
ดวงดาวที่ดาษดื่นบนท้องนภาและลูกแก้วที่อยู่ใต้เท้าต่างส่องแสงพร่างพราว เมื่อคนยืนอยู่บนแท่นสูงจึงไม่อาจทราบได้ว่าอยู่ในโลกมนุษย์หรืออยู่บนสรวงสวรรค์
บนแท่นสูงมีคนชุดขาวผู้หนึ่งกำลังชมดาวอยู่ เขาจ้องมองดวงดาวที่เจิดจ้าที่สุดบนท้องฟ้าดวงนั้น ดาวดวงนั้นสีสันเหลือบรุ้งพลาย ดั่งดวงอาทิตย์ในระบบสุริยะจักรวาลก็มิปาน ดาวทุกดวงล้วนโคจรรอบตัวมัน…
คนชุดขาวจับจ้องมัน คล้ายปรารถนาจะกระชากมันลงมายิ่งนัก!
สูงสุดสู่สามัญ ดวงดาวที่เจิดจ้าพร่าตาเกินไปย่อมร่วงหล่นได้ง่ายดายนัก แล้วดาวดวงนี้ต้องใช้เวลาเท่าใดถึงจะร่วงหล่นเล่า?
ผู้ใดจะได้แทนที่มัน?
สายตาของคนชุดขาวผู้นั้นสอดส่ายไปในหมู่ดาว ปรารถนาจะเสาะหาดาวอีกดวงที่แตกต่างจากดวงอื่นๆ แต่เนื่องจากดวงดาวหลักกลางท้องนภาเจิดจ้าเกินไป ทำให้ดาวดวงอื่นอับแสง ดังนั้นเขามองอยู่นานสองนาน ก็มองอะไรไม่ออกอยู่ดี
เขาพ่นลมหายใจออกมานิดๆ ก็ไม่เลว นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ
หากมีดาวหลักดวงอื่นปรากฏขึ้นมาจริงๆ เขาจะกำจัดอีกฝ่ายทิ้งเสียในยามที่ยังไม่ปีกกล้าขาแข็ง!
โลกนี้สมควรเปลี่ยนผู้ปกครองแล้วจริงๆ! แต่ผู้ปกครองในอนาคตจะต้องเป็นเขาเท่านั้น!
คนอื่นอย่าได้หวัง!
….
“ซีจิ่ว การประลองครั้งนี้เจ้ามีความมั่นใจอยู่กี่ส่วน?” นี่เป็นยามเช้าตรู่ เป็นเวลาที่ทั้งสามคนมารวมตัวกัน ผู้ที่ถามคือเชียนหลิงอวี่
กู้ซีจิ่วตอบอย่างสบายๆ ยิ่งนัก “สิบส่วน!”
เชียนหลิงอวี่เบิกตากว้างมองดูเธอ พลางกระแอมไอ “ซีจิ่ว ข้ารู้ว่ากลุ่มของพวกเราแข็งแกร่งมาก แต่กลุ่มของพวกเขาวิปริตมากจริงๆ ในชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่งกลุ่มของพวกเขาไร้คู่ต่อสู้ ได้ยินว่าพวกเขาเคยเอาชนะหลายกลุ่มในชั้นเรียนเมฆาม่วงระดับกลางด้วย…”
หลานไว่หูก็กังวลอยู่ในใจเช่นกัน นางกล่าวความคิดเห็นออกมา “อวิ๋นชิงหลัวเป็นสานุศิษย์สวรรค์ เดิมทีวรยุทธ์ของนางก็สูงส่งดั่งเทพเซียนจำแลงอยู่แล้ว ส่วนเล่อชิงซิ่งกับเล่อจื่อซิ่งฝาแฝดคู่นั้นยิ่งกว่าวิปริตเสียอีก ปกติแล้วแม้แต่คำพูดคำจาก็เข้าขาไร้ช่องว่าง ยามต่อสู้ไม่ต้องสื่อสารกัน เพียงสบตากันแวบเดียวก็ทราบแล้วว่าควรออกกระบวนท่าใด!ได้ยินว่าเมื่อก่อนแฝดชายหญิงคู่นี้ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตาเลย ยามจับกลุ่มต่อสู้ก็ไม่รวมกลุ่มกับผู้อื่นเลย ทั้งสองสู้กับผู้อื่นที่มีสามคน มีชัยมากปราชัยน้อย พออวิ๋นชังหลัวเข้ามา พวกเขาถึงคล้ายว่าหาสหายประเภทเดียวกันพบแล้ว จึงจับกลุ่มกับนาง ยามนี้พวกเขาประสานงานกับมาหลายเดือนแล้ว และเข้าจังหวะกันดียิ่งนัก…”
กู้ซีจิ่วยกน้ำขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง เธอเองก็ทราบว่าความจริงแล้วเอาชนะได้ยากมาก แถมเธอยังไม่มีทั้งนิ้วทองคำและสูตรโกง เป็นไปไม่ได้ที่จะกวาดล้างทุกสิ่งในช่วงเวลาสั้นๆ ได้ทันที ทุกอย่างต้องอาศัยเพียงฝีมือล้วนๆ
เธอเป็นนักฆ่าแถมยังเป็นหัวหน้ากิลด์ในเกมออนไลน์ด้วย ย่อมทราบถึงความสำคัญของการต่อสู้ประสานกัน หากต่อสู้ประสานงานเข้าขากันดี ต่อให้เป็นสิงโตสักตัวก็ถูกพวกเขาโค่นลงได้…
เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการต่อสู้ประสานกัน เคยผ่านความเป็นความตายมาสักเท่าใดแล้ว กล้าสู้กล้าลุย ยอดฝีมือร้อยเล่ห์มากน้อยเพียงใดแล้วที่มอดม้วยในกำมือเธอ ตอนนี้ถึงแม้วรยุทธ์ของผู้ช่วยตัวน้อยจะยอดเยี่ยมยิ่ง แต่สุดท้ายพวกเขาก็ยังอ่อนประสบการณ์…
ดังนั้นในการประลองเหล่านี้ กลุ่มของเธอมีชัยมากปราชัยน้อย ต่อให้บางครั้งพ่ายแพ้ถูกกลุ่มอื่นบดขยี้ ทว่าครั้งหน้าเมื่อต้องประลองอีกครั้งเธอก็จะเอาชนะได้แน่นอน เนื่องจากเธอหาจุดอ่อนของอีกฝ่ายพบแล้ว…
ตอนนี้สิ่งที่ไม่เป็นผลดีกับเธอมากที่สุดก็คือ ผู้อื่นทราบกลยุทธ์เธอทะลุปรุโปร่งแล้ว แต่เธอกลับเข้าใจอีกฝ่ายน้อยมาก
————————————————————————————-
บทที่ 682 ยุวชนคนใดเล่าที่ไม่บ้าระห่ำ
เธอก็เคยพบฝาแฝดคู่นั้นแล้ว อย่างว่าแต่รูปร่างหน้าตาที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วเลย แม้แต่การเคลื่อนไหวก็เหมือนกันเป๊ะตลอด เมื่อเป็นเช่นนี้พอพวกเขาต่อสู้ขึ้นมา ทั้งสองจะประสานกันอย่างสมบูรณ์แบบราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน…
ที่สำคัญกว่านั้นคือ พวกเขาใจกล้ามาก ลงมือก็เหี้ยมโหด
สามคนนี้ล้วนรับมือไม่ง่ายทั้งสิ้น กู้ซีจิ่วปรับกลยุทธ์ไว้รับมือกับพวกเขาแล้ว เมื่อถึงเวลาค่อยปรับเลี่ยนไปตามสถานการณ์อีกที
อันที่จริงกู้ซีจิ่วก็ไม่มั่นใจ ตัวเธอคาดการณ์ไว้ว่าอันตราที่จะชนะอยากมากก็สามส่วนเท่านั้น แต่เพื่อกระตุ้นแรงใจของสองคนที่อยู่เบื้องหน้า เธอเลยบอกว่าเต็มสิบส่วน!
ในสนามรบเจตตำนงในการต่อสู้สำคัญที่สุด หากแม้แต่ตัวคุณยังไม่มีความเชื่อว่าจะรบชนะ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงรอรับความพ่ายแพ้เท่านั้น!
พอเธอบอกว่ามั่นใจเต็มสิบส่วน สายตาของสองคนที่อยู่เบื้องหน้าล้วนเปล่งประกายขึ้นมา! เพียงแต่พวกเขายังไม่ค่อยเชื่อเท่านั้น รอให้กู้ซีจิ่วพูดต่อไป
“ข้าขอถามพวกเจ้า พวกเจ้าอยากชนะไหม?”
“อยาก!”
“อยาก!”
“เช่นนั้นต้องเชื่อฟังข้าทุกอย่าง…” เธอร่ายคำพูดปลุกขวัญบางส่วนออกมา
เมื่อก่อนเธอก็เคยระดมพลก่อนการรบอยู่บ่อยๆ ตอนนั้นสามารถทำให้ชายฉกรรจ์กลุ่มใหญ่โลหิตร้อนระอุออกไปสู้อย่างดุเดือดเลือดพล่าน ยามนี้พอต้องมาหลอกล่อสองคนนี้จึงไม่คณามือเลย
แน่นอนว่าหลังจากเธอพูดจบ สองคนนั้นก็ฮึกเหิมจนใบหน้าน้อยๆ แดงระเรื่อ ดวงตาก็ลุกวาว
กู้ซีจิ่วอาศัยจังหวะที่เหล็กยังร้อนอยู่ยื่นมือข้างหนึ่งออกมา หลานไว่หูก็รีบวางมือทับบนหลังมือเธอทันที เชี่ยนหลิงอวี่ก็วางมือซ้อนไว้ด้านบนเช่นกัน ทั้งสามคนคล้ายว่าเอ่ยถ้อยคำปฏิญาณอยู่ “เพื่อชัยชนะ สู้!”
การกระทำเช่นนี้เป็นสิ่งที่ทั้งสามคนทำเป็นประจำ เนื่องจากเมื่อก่อนยามที่กู้ซีจิ่วเห็นหน่วยรบพิเศษทำแล้วรู้สึกว่าการกระทำเช่นนี้ห้าวหาญมาก!
ทุกครั้งที่หน่วยรบพิเศษเหล่านั้นออกไปปฏิบัติภารกิจต่อสู้ร่วมกัน จะวางมือซ้อนกันเช่นนี้เสมอ ตะโกนเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ไม่ทอดทิ้งไม่ยอมแพ้’ อะไรทำนองนั้น จากนั้นก็ออกไปสู้อย่างดุเดือดเลือดพล่าน
ดังนั้นก่อนที่กู้ซีจิ่วกับสองคนนั้นจะออกไปประลองแบบกลุ่ม ก็จะระดมพลังเช่นนี้เสมอ
ยุวชนคนใดเล่าที่ไม่เลือดร้อน?! ยุวชนคนใดเล่าที่ไม่บ้าระห่ำ? ต่อให้เป็นเพียงวิฬาร์ก็สามารถปลุกเร้าให้กลายเป็นพยัคฆ์ได้…
….
สนามกีฬาของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เปิดโล่ง รูปร่างคล้ายรังนก ทุกครั้งที่กู้ซีจิ่วเห็นรังนกแห่งนี้ก็จะรู้สึกปวดตับและชิดเชื้อยิ่งนัก สงสัยอยู่เงียบๆ ว่าสถาปนิกที่ออกแบบสนามกีฬารังนกในชาติก่อนอาจทะลุมิติมาที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ด้วย!
แน่นอนว่าความจริงแล้วไม่มีการทะลุมิติอะไรทั้งนั้น ผู้ที่ออกแบบสนามกีฬาแห่งนี้คือยอดฝีมือคนหนึ่งของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์
กู้ซีจิ่วตามวอแวเลียบๆ เคียงๆ ถามเขาอยู่หลายวัน ในที่สุดก็สอบถามมาได้ชัดเจน ว่าเขาเคยเป็นเพื่อนเพื่อนร่วมชั้นที่สนิทกับหลงซือเย่…
ยังไม่ถึงเวลาต่อสู้ตัดสิน ที่นั่งในสนามรังนกก็เต็มหมดแล้ว รอบข้างล้วนอัดแน่นไปด้วยผู้คน
คนของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ล้วนมากันถ้วนหน้า แม้แต่พ่อครัวใหญ่ของห้องครัวก็วางกระบวยที่ไม่เคยห่างมือลงแล้วเพื่อมาชม
ยามที่พวกกู้ซีจิ่วทั้งสามเดินเข้ามาพร้อมกัน ในสนามกีฬาที่เดิมทีเสียงดังโหวกเหวกอยู่บ้างก็เงียบลงทันที สายตานับไม่ถ้วนจ้องมองมา ตกลงบนร่างของพวกเขา สายตาเหล่านั้นมีทั้งเฝ้ารอ มีทั้งพินิจพิจารณา และมีอิจฉาริษยาด้วย…
หลานไว่หูยังคงฮึกเหิมจากถ้อยคำเหล่านั้นของกู้ซีจิ่วอยู่ ดังนั้นแม่นางน้อยที่ไม่กล้าเงยหน้ายามอยู่ต่อหน้าผู้คนมาตลอดจึงเดินเชิดหน้ายืดอก
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเชียนหลิงอวี่เลย เจ้าเด็กนี่เดิมทีก็เป็นตัวจองหองอยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งเดินอย่างโอหังดั่งข้างกายไร้ผู้คน
ส่วนกู้ซีจิ่ว เธอเม้มริมฝีปากน้อยๆ ริมฝีปากหยักโค้งบางๆ จนได้องศา จะยิ้มก็ไม่ใช่ จะเย็นชาก็ไม่เชิง
ไม่ว่ายามไหนเธอก็มอบความรู้สึกสงบนิ่งไม่สะทกสะท้านให้ผู้คนเสมอ ทำให้คนเดาไม่ออกมองไม่กระจ่าง นางอมยิ้มอยู่ชัดๆ แต่กลิ่นอายกลับแกร่งกล้ายิ่ง ทำให้คนไม่กล้าดูแคลน
ในสถานที่อย่างสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ จะเคารพยกย่องผู้ที่แข็งแกร่งกว่า ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่าไหร่ก็จะได้รับความเคารพยกย่องจะผู้คนมากเท่านั้น
บทที่ 683 สิ่งที่มีให้ชมอยู่เสมอคือการแอบรัก…
ถึงแม้พลังวิญญาณของกู้ซีจิ่วจะไม่นับว่าสูง แต่พลังของเธอแข็งแกร่ง ฝีมือเยี่ยมยอด สร้างปาฏิหาริย์มากมายหลายครั้ง ทำให้อาจารย์ใหญ่กู่ที่มาตรฐานสูงมาโดยตลอดต้องมองเธอใหม่
เอ่อ บางครั้งก็ถูกเธอยั่วโมโหจนต้องกัดฟันกรอดๆ
เธอรักเงินทอง แต่เธอก็เป็นสุภาพชนที่ชมชอบเงิน ทราบลู่ทางหาเงินดี
หารายได้ย่อมต้องมีกำไรชัดเจน ต่อให้เป็นคนคดก็ต้องเข้าสู่ที่แจ้ง คุณยินยอมเข้าเนื้อก็เป็นเรื่องของคุณแล้ว…
เธอดูเย็นชา ทว่ามีคุณธรรมนัก ยามที่เธอขายยาในตลาดผี หากมีคนที่ต้องใช้อย่างเร่งด่วนแต่ไม่เงิน เธอก็ยอมส่งมอบให้
แน่นอนว่าเป็นการติดบัญชีไว้ก่อน…
เธอกระทำเรื่องราวแบบตามใจฉัน แต่กลับมีเอกลักษณ์นัก ไม่ทำให้คนรู้สึกเดียดฉันท์
ดังนั้นในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ที่มีอัจฉริยะอยู่มากหน้าหลายตานี้ มีเด็กหนุ่มไม่น้อยที่ชมชอบเธอ เพียงแต่ถูกกลิ่นอายของเธอกดดัน จึงไม่กล้าสารภาพรัก…
ถึงอย่างไรก็เป็นเด็กน้อยอายุสิบกว่าปีทั้งนั้น เด็กในวัยนี้หน้าบางยิ่งนัก สิ่งที่มีให้ชมอยู่เสมอคือการแอบรัก…
‘กู้ซีจิ่วช้ำรัก’ เป็นหัวข้อที่ฝูงชนซุบซิบกันอยู่เสมอในหลายวันมานี้ แต่คนส่วนใหญ่ก็แค่ว่างงานจนซุบซิบไปเรื่อยเท่านั้น ไม่ได้คิดคำนึงถึงอย่างเป็นจริงเป็นจัง
หัวข้อสนทนานั้นแม้กระทั่งกู้ฉานโม่ก็ได้ยินแล้ว เดิมทีเขายังกังวลอยู่บ้าง ห่วงว่ากู้ซีจิ่วที่อยู่ในสภาวะช้ำรัก จะแสดงฝีมือไม่ได้ตามมาตรฐานที่ควรเป็น
แต่ยามนี้พอได้เห็นนางเป็นเช่นนี้ เขาพลันโล่งใจขึ้นมาทันที!
ท่าทางของนางเหมือนคนช้ำรักตรงไหนกัน?
นางไม่ได้เก็บมาใส่ใจเลยมิใช่หรือ?!
ครั้งนี้บนเวลีมีผู้ตัดสินอยู่ไม่น้อย คือกู่ฉานโม่ตลอดจนอาจารย์เก้าท่านของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ แถมยังเพิ่มเยี่ยนเฉินมาอีกหนึ่งคน แค่คนกลุ่มนี้ก็สร้างเกียรติให้การประลองครั้งนี้มากแล้ว
การประลองครั้งนี้ไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะเพียงยกเดียวเช่นที่ผ่านมา แต่เป็นสามยก นี่นับเป็นการมอบโอกาสให้ทั้งสองฝ่ายได้แสดงมาตรฐานที่แท้จริงออกมาอย่างเต็มที่
กลุ่มของอวิ๋นชิงหลัวก็มาถึงแล้ว กลิ่นอายของคนกลุ่มนี้ย่อมแข็งแกร่งมากเช่นกัน ยามที่เยื้องย่างเข้าสนามมาพลันมีเสียงปรบมือต้อนรับดังขึ้น
ทั้งสามคนก็ขึ้นมายืนบนเวทีเช่นกัน คนทั้งหกยืนประจันหน้ากันอยู่บนเวที
ตอนที่อวิ๋นชิงหลัวเยื้องย่างเข้าสนามมาได้กวาดตามองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง นางนึกว่าจะได้เห็นความเศร้าหมองบนใบหน้ากู้ซีจิ่ว แต่นึกไม่ถึงว่าแม่นางน้อยที่อยู่เบื้องหน้ากลับสุขุมเยือกเย็นเช่นที่เป็นมา
อันที่จริงอารมณ์ของนางซับซ้อนยิ่ง ตอนที่เพิ่งรู้จักเด็กสาวผู้นี้ นางไม่ได้เห็นผู้อื่นอยู่ในสายตาเลย เนื่องจากนางรู้สึกว่ากู้ซีจิ่วเทียบไม่ได้แม้แต่นิ้วเท้าสักนิ้วของนางเลยด้วยซ้ำ
ในอนาคตก็คงไม่ได้เกี่ยวข้องกันมากนัก ต่อให้ข้องแวะกันบ้างก็เป็นนางที่อยู่สูงส่ง อีกฝ่ายควรหมอบคลุกฝุ่นแหงนคอมองนาง
นางไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่นางกับกู้ซีจิ่วได้ประมือกันอย่างเป็นทางการ
เมื่อก่อนแค่คิดก็รู้สึกว่าตนได้รับความอัปยศอดสูแล้ว แต่ตอนนี้กลับยืนอยู่ที่นี่เพื่อประลองตัดสินกับผู้อื่นอย่างเที่ยงธรรม
กู้ซีจิ่วคือตำนานบทหนึ่ง แต่ในสายตากู้ซีจิ่วผู้เป็นตำนานเช่นกัน ตำนานอย่างกู้ซีจิ่วทำให้นางไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง!
ถึงในใจนางจะไม่สบอารมณ์ แต่สายตายังคงหยุดอยู่ที่ร่างกู้ซีจิ่วเป็นหลัก อยากเห็นอารมณ์เบาบางจากท่าทางเล็กๆ น้อยๆ ของนาง
แต่กู้วีจิ่วไม่มองนางเลย นางกำลังเพ่งพิศฝาแฝดคู่นั้น คงเป็นเพราะสายตาของเธอชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างเกินไป ฝาแฝดที่แสนเย่อหยิ่งคู่นั้นจึงถูกเธอจ้องจนหนังศีรษะด้านชาแล้ว
เล่อชิงซิ่งขมวดคิ้วแน่น เล่อจื่อซิ่งก็มุ่นหัวคิ้วนิดๆ
ฝาแฝดคู่นี้ปีนี้อายุสิบห้าปี แก่กว่ากู้ซีจิ่วไม่กี่เดือนเท่านั้น ดวงหน้ายังมีเค้าความเยาว์วัยอยู่
รูปโฉมของฝาแฝนคู่นี้มิใช่เลิศล้ำจนล่มบ้านล่มเมืองได้ แต่ก็หมดจดงดงาม ประกอบกับหน้าตาเหมือนกันทุกประการ หนึ่งชายหนึ่งหญิง ยืนอยู่ตรงนั้นแล้วเป็นทิวทัศน์ที่ดึงดูดผู้คนอย่างหนึ่ง มองแล้วเจริญหูเจริญตายิ่ง
เล่อจื่อซิ่งเป็นเด็กสาว นางค่อนข้างอารมณ์ร้อน ถูกกู้ซีจิ่วเพ่งพิศจึงหงุดหงิดอยู่บ้าง “เจ้ามองอะไร?”
————————————————————————————-
บทที่ 684 ข้าแค่มาชมเรื่องครื้นเครงเท่านั้น
ริมฝีปากบางของกู้วีจิ่วโค้งขึ้นนิดๆ กำลังจะเปิดปากเอ่ย จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงคนรายงานขึ้นมา “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาเยือน!”
กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง! เงยหน้ามองฟ้าเช่นเดียวกับฝูงชน จากนั้นก็ชะงักค้าง!
เธอนึกว่าจะได้เห็นเรือล่องเวหาลำนั้นเป็นอย่างแรก แต่นึกไม่ถึงว่าหนนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายได้เปลี่ยนพาหนะแล้ว เขานั่งรถม้าคันหนึ่งมา
รถของเขามิใช่รถม้าธรรมดา แต่เป็นรถแก้วผลึกสีม่วงคันหนึ่ง แก้วผลึกพบเห็นได้ทั่วไป แต่เจ้าเคยเห็นรถม้าที่ขุดจากแก้วผลึกทั้งชิ้นหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้นคือแก้วผลึกนี้มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นแก้วผลึกชั้นยอด โปร่งใสแวววาว ยามที่เหินอยู่ในอากาศประหนึ่งคลื่นวารีสีม่วงใสลูกใหญ่
รถม้าแก้มผลึกมิใช่เล็กๆ หน้ารถมีเด็กสาวสองนางยืนบังคับรถม้าอยู่ หลังรถมีเด็กหนุ่มสองคนยืนคุมรถอยู่
หนุ่มสาวล้วนสวมชุดขาว ชุดขาวหลวมกว้าง โบกพลิ้วตามแรงลมบนภนา
สัตว์ที่ลากรถก็มิใช่สิงโตเวหาที่พบเห็นอยู่ทั่วไป แต่เป็นอาชาเวหาตัวนั้น ขนสีเงินยวงพลิ้วลู่ไปด้านหลัง ดูน่าเกรงขามยิ่งนัก
เมื่อเห็นอาชาเวหาตัวนั้น สมองกู้วีจิ่วคล้ายมีภาพบางอย่างแวบเข้ามา เธอนึกถึงเมื่อก่อนตอนที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปสำนักถามสวรรค์เพื่อจับเธอกลับไปอาณาจักรเฟยซิงก็คืออาชาเวหาตัวนี้…
อดีตดั่งเมฆาเคลื่อนคล้อย ไหลผ่านสมองเธอ
กู้ซีจิ่วหัวเราะเบาๆ อยู่ในใจ กดความทรงจำในวันวานนี้ลงไปให้ลึกที่สุด ไม่ต้องการให้มันผุดขึ้นมาอีก
การมาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็อยู่ในความคาดหมายของเธอเช่นกัน ถึงอย่างไรเมื่อคืนก็เพิ่งเห็นเขาจูงมือเดินเล่นกับอวิ๋นชิงหลัวอยู่หยกๆ…
วันนี้เขามาให้กำลังใจอวิ๋นชิงหลัวก็นับว่าสมเหตุสมผล
รถแก้วผลึกหยุดลง เด็กสาวทั้งสองยืดกายขึ้น สะบัดมือปล่อยแพรขาวสายหนึ่งลงมาดั่งเมฆาล่องลอย แล้วทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็เหยียบย่างลงบนแพรขาวที่โบกพลิ้ว
อาภรณ์สีม่วงดุจจักรวาล ขยับไหวตามการเยื้องย่าง เรือนผมดกดำดั่งม่านน้ำตก ปลิวไสวอยู่ด้านหลังเขา
บนหน้ายังคงสวมหน้ากากไว้เช่นในอดีต เพียงแต่หน้ากากในครั้งนี้มิใช่หน้ากากที่บดบังไว้ทั้งหน้า
มันดูคล้ายปีกผีเสื้อบางเบาคู่หนึ่ง บดบังตั้งแต่เหนือริมฝีปากของเขาขึ้นไป แต่ยังคงมองเห็นคางงามได้รูป ริมฝีปากแดงเรื่อ และนัยน์ตาดำขลับ
ทูตสวรรค์ฝ่ายว้ายฐานะสูงส่ง เขาเดินทางไปทั่วแผ่นดิน ไม่ว่าไปที่ใดล้วนมีคนคุกเข่าให้แทบทั้งสิ้น
ตามกฎของทวีปที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์บัญญัติไว้ ฐานะของสานุศิษย์สวรรค์เป็นรองเพียงเขาเท่านั้น ดังนั้นหากสำเร็จวิชาก็สามารถนั่งเทียมเขาได้ (เมื่อพลังวิญญาณบรรลุขั้นเก้านับว่าสำเร็จวิชา) เมื่อทุกคนพบหน้าต้องคุกเข่าคารวะเป็นการต้อนรับ แน่นอนว่ายกเว้นจักรพรรดิของแคว้นต่างๆ ไว้…
ทันทีที่เขาปรากฏตัวขึ้น ทูกคนในที่นั่นนอกเหนือจากกู่ฉานโม่แล้ว ล้วนพากันคุกเข่าคารวะกันดังพึ่บพั่บ (กู่ฉานโม่เป็นอาจารย์ใหญ่ผู้บุกเบิกสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ เขาทำความเคาเพียงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต้องคารวะผู้อื่น)
กู้วีจิ่วก็ไม่ได้ทำความเคารพ เพราะท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เคยบอกนางไว้ นางคือศิษย์ของเขา ไม่จำเป็นต้องทำความเคารพสานุศิษย์สวรรค์
เธอแค่ยืนอยู่ตรงนั้นค้อมศีรษะเล็กน้อย หลุบตาลงนิดหน่อย
ดูเหมือนกู้ฉานโม่คาดไม่ถึงว่าเขาจะมา ทักทายเขาด้วยสีหน้าแช่มชื่น
เธอได้ยินเขาตอบรับเบาๆ น้ำเสียงคล้ายเจือแววหยอกเย้ามาโดยกำเนิด ทำให้คนรู้สึกหนาวเหน็บขึ้นมา
เสียงของเขาไม่เปลี่ยนไปเลย ถึงขั้นที่ว่าเมื่อเดินผ่านเธอ กลิ่นหอมที่ผ่อนคลายที่ล่องลอยนั้นก็ยังเหมือนเดิม
เขาเดินไม่เร็ว แต่ก็ไม่ช้า ยามที่เดินผ่านกู้ซีจิ่วไปก็ไม่แม้แต่จะหยุดฝีเท้าเลย…
กลับไปหยุดเบื้องหน้าอวิ๋นชิงหลัวครู่หนึ่ง จากนั้นก็กล่าวอย่างอ่อนโยนประโยคหนึ่ง “ลุกขึ้นเถอะ ข้าแค่มาชมเรื่องครื้นเครงเท่านั้น พวกเจ้าทำตัวตามสบาย”
ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงลุกขึ้น แต่เรื่องทำตัวตามสบายนั้น…
อยู่ต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ทุกคนทำตัวตามสบายไม่ได้ ต่างคนต่างเข้าประจำที่ นั่งกันเป็นระเบียบเรียบร้อย เดิมทีภายในสนามเสียงดังเอะอะอยู่บ้าง แต่พอเขามาถึง ภายในสนามก็เงียบลงไม่น้อย
บทที่ 685 ทนรับเรื่องเช่นนี้ไม่ไหว
ตี้ฝูอีมีฐานะพิเศษ ถึงแม้เขาจะบุกมาสังหารกะทันหัน แต่ในเมื่อมาแล้วก็ต้องจัดที่นั่งดีๆ ให้ เขาได้นั่งตรงตำแหน่งด้านซ้ายมือของกู่ฉานโม่
ตำแหน่งด้านซ้ายสูงส่ง และเป็นที่นั่งของแขก เดิมทีเหลือไว้ให้หลงซือเย่ แต่หลงซือเย่มาสาย จนยามนี้ก็ยังไม่มา ดังนั้นที่นั่งนี้จึงถูกตี้ฝูอีครอบครองไปตามระเบียบ
เรื่องที่กู้ซีจิ่วช้ำรักจากตี้ฝูอีเดิมทีก็เป็นข่าวลือโกลาหลในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อยู่แล้ว แทบทุกคนล้วนทราบเรื่องนี้
ตอนนี้คู่กรณีทั้งสามล้วนอยู่ในที่แห่งนี้ สายตาคนส่วนใหญ่จึงค่อนข้างลุ่มลึก
ไม่ทราบว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่จับจ้องตี้ฝูอี แอบมองท่าทีที่เขามีต่อเด็กสาวทั้งสอง
ถึงแม้ตี้ฝูอีจะไม่ได้พูดคุยกับเด็กสาวทั้งสอง แต่การกระทำทุกอย่างของเขาล้วนถูกฝูงชนที่อยู่ด้านล่างตีความกันเงียบๆ…
ด้วยเหตุนี้ในใจฝูงชนจึงปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นมา ตี้ฝูอีปฏิบัติต่ออวิ๋นชิงหลัวต่างจากผู้อื่นจริงๆ ด้วย ที่มาหนนี้เกรงว่าจะมาหนุนหลังอวิ๋นชิงหลัวกระมัง?
เพราะนับตั้งแต่เขามาถึง ก็ไม่ได้เหลือบแลกู้ซีจิ่วเลยสักแวบ แต่กลับหยุดเบื้องหน้าอวิ๋นชิงหลัวครู่หนึ่ง…
สายตานับไม่ถ้วนตกลงบนร่างกู้ซีจิ่ว สายตาเหล่านั้นมีทั้งเห็นใจ มีทั้งเวทนาสงสาร และแน่นอนว่ามีสายตาที่รอชมเรื่องครื้นเครงด้วย
แม้แต่กู่ฉานโม่ก็มองกู้ซีจิ่วอย่างเป็นกังวลยิ่ง ด้วยเกรงว่านางอายุยังน้อย จะทนรับเรื่องเช่นนี้ไม่ไหว
กู้ซีจิ่วกลับไม่แยแส แม้กระทั่งรอยยิ้มตรงมุมปากนางก็ไม่เลือนหายไปเลย
ความจริงคือเธอไม่ใส่ใจจริงๆ ถึงอย่างไรก็เตรียมใจเรื่องนี้ไว้แล้ว เขามาสนับสนุนอวิ๋นชิงหลัวก็อยู่ในความคาดหมายของเธอเช่นกัน
ขเธอกำลังส่งกระแสเสียงพูดคุยกับเชียนหลิงอวี่ เจ้าเด็กนี้คงจะพบศึกใหญ่เช่นนี้เป็นครั้งแรก เลยค่อนข้างประหม่า กู้ซีจิ่วเกรงว่าเขาจะแสดงฝีมือได้ไม่ดี จึงใช้ถ้อยคำปลุกขวัญเขาอยู่ตลอด
แม้แต่สายตาของอวิ๋นชิงหลัวที่มองมาทางเธออย่างโอ้อวดเธอก็ไม่ได้รับรู้เลย…
อวิ๋นชิงหลัวที่ประหนึ่งส่งสายตาให้คนตาบอดรู้สึกท้อใจนัก
แต่นางก็ยังคงดีใจมาก นางรู้สึกว่าครั้งนี้ตนได้หน้าแล้ว ในที่สุดกู้ซีจิ่วก้พ่ายแพ้ไปแล้วยกหนึ่งในสนามประลองอันไร้เสียงนี้
เนื่องจากยังไม่ถึงเวลา กู่ฉานโม่จึงเชิญทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกล่าวโอวาทแก่ทั้งสองกลุ่มสักหน่อย
สายตาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกวาดผ่านร่างคนทั้งหกแวบหนึ่ง เอ่ยปากพูดแค่ไม่กี่คำ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ย่อมต้องกล่าวคำพูดปลุกขวัญให้กำลังใจอยู่แล้ว
“อวิ๋นชิงหลัว เจ้าเป็นสานุศิษย์สวรรค์ ข้าจะไม่พูดอื่นใดให้มากความ มีเพียงสี่คำนี้อย่าให้ขายหน้า” ตี้ฝูอีกล่าวต่ออวิ๋นชิงหลัวเช่นนี้
อวิ๋นชิงหลัวสูดหายใจเบาๆ “เจ้าค่ะ! ชิงหลัวจะทุ่มเทสุดความสามารถ จะไม่ทรยศต่อความคาดหวังของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเจ้าค่ะ”
ตี้ฝูอีพยักหน้านิดๆ ในที่สุดก้มองไปที่กู้ซีจิ่ว “กู้ซีจิ่ว…”
ยามนั้นกู้ซีจิ่วกำลังซี้แนะข้อสงสัยเกี่ยวกับตำแหน่งยืนหลังจากเริ่มการประลองให้เชียนหลิงอวี่อยู่
ก่อนหน้านี้เธอจ้องฝาแฝดคู่นั้นไปหลายครา ถึงแม้ตำแหน่งที่ฝาแฝดคู่นั้นยืนอยู่ยามนี้จะไม่ใช่ตำแหน่งยืนยามต่อสู้ แต่พวกเขาน่าจะรู้ใจกันยิ่งนัก ยามยืนเรื่อยเปื่อยจึงเผยเบาะแสเล็กน้อยออกมา
ยกตัวอย่างเช่นเล่อชิงซิ่งผู้เป็นพี่ชายน่าจะเคยชินกับการยืนอยู่ทางขวาของเล่อจื่อซิ่งผู้เป็นน้องสาว ดังนั้นเขาน่าจะถนัดใช้มือซ้ายสำแดงวิชา…
แน่นอนว่าสิ่งที่เธอมองเห็นค่อนข้างซับซ้อน เธอจึงเริ่มปรับกลยุทธ์อยู่ในใจ
ในบรรดาพวกเขาสามคนขอเพียงหลานไว่หูออกกระบวนท่าตามคำพูดของกู้ซีจิ่วก็ใช้ได้แล้ว แต่เชียนหลิงอวี่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าให้สอดคล้องกันด้วยตัวเอง ดังนั้นกู้ซีจิ่วต้องอธิบายการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เขาอย่างชัดเจน
สองคนนี้คนหนึ่งตั้งใจพูด คนหนึ่งตั้งใจฟัง ซ้ำยังใช้การส่งกระแสเสียงอีก คนอื่นจึงมองไม่ออกว่าความจริงแล้วพวกเขาสนทนากันอยู่
ยามที่ตี้ฝูอีเอ่ยปาก เนื่องจากทั้งหกคนไม่ต้องขยับย้ายไปอยู่เบื้องหน้าเขา ดังนั้นสองคนนี้เลยมองอยู่ตรงนั้นทำทีว่าตั้งใจฟังอย่างสงบ แต่ความจริงแล้วไม่ทราบเลยว่าตี้ฝูอีพูดอะไรบ้าง
แน่นอนว่ากู้ซีจิ่วก็ไม่ได้ยินที่เขาเรียกชื่อตนเช่นกัน…
————————————————————————————-
บทที่ 686 นางสุภาพและห่างเหินยิ่งนัก
เมื่อตี้ฝูอีเรียกชื่อเธอ เธอเลยไม่ได้ยินในทันที แม้แต่ปฏิกิริยาตอบสนองเล็กน้อยก็ไม่มี
ทั้งสนามเงียบอยู่ครู่หนึ่ง สายตานับไม่ถ้วนตกลงบนร่างกู้ซีจิ่ว ทุกคนต่างคิดว่าเธออยู่ในความโศกเศร้าจึงปั้นปึ่งไม่สนใจ
มีเพียงตี้ฝูอีที่ทราบว่า สาวน้อยผู้นี้ใจลอยไปแล้ว หลังจากเขาเข้ามา มารยาทที่ควรมีนางไม่บกพร่องเลย แต่ก็ไม่ไม่มองเขาตรงๆ ความคิดนางไม่ได้อยู่ที่ตัวเขาเลยสักนิด!
“กู้ซีจิ่ว!” เขาเรียกอีกครั้ง คราวนี้เสียงค่อนข้างดัง
หลานไว่หูทนไม่ไหวจึงกระกระตุกมุมชุดกู้ซีจิ่วเล็กน้อย ในที่สุดกู้ซีจิ่วก้ได้สติ เธอเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ มองไปที่ตี้ฝูอี “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีการใดจะสั่งหรือเจ้าคะ?”
ปลายนิ้วเขาเคาะโต๊ะเบาๆ “เมื่อกี้ข้าพูดว่าอะไร?”
หือ? สถานการณ์นี้ช่างคล้ายว่าถูกอาจารย์จับได้ว่าแอบคุยในชั้นเรียนยิ่งนัก เลยถูกอาจารย์จงใจเรียกให้ออกมาตอบคำถาม
กู้ซีจิ่วจนปัญญา รีบหันไปพึ่งจิ้งจอกน้อย มือกระตุกมุมชุดของจิ้งจอกน้อย
จิ้งจอกน้อยย่อมอยากช่วยเหลือ แต่ทันใดนั้นก็พบว่าตนส่งกระเสียงหากู้ซีจิ่วไม่ได้…
กู้ซีจิ่วรอโพยจากสหายตัวน้อยไม่ไหว ทำได้เพียงด้นสดเอาเอง ตอบอย่างกว้างๆ “เมื่อครู่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกล่าวให้กำลังใจพวกเรา เพียงแต่ระยะนี้ความทรงจำซีจิ่วไท่ค่อยดีเท่าไหร่ ยอมรับว่าลืมไปแล้ว แต่รู้สึกซาบซึ้งในถ้อยคำปลุกขวัญของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ่ง”
ตี้ฝูอีพูดไม่ออก เขาไม่อาจบอกได้จริงๆ ว่ากู้ซีจิ่วกล่าวผิด เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าท่าทางของนางสุภาพและมีมารยาท แต่เขากลับรู้สึกอึดอัดใจ
เขามองนางอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เปิดปากเอ่ย “กู้ซีจิ่ว เจ้าเป็นศิษย์เทพศักดิ์สิทธิ์ การประลองครั้งนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของเทพศักดิ์สิทธิ์ อย่าทำให้เขาขายหน้า”
“เจ้าค่ะ! ซีจิ่วจะทำให้ดีที่สุด” กู้ซีจิ่วค้อมกาย
นางสุภาพและห่างเหินยิ่งนัก ปฏิบัติต่อเขาอย่างเคารพ สายตาที่มองเขาไม่มีอันใดแตกต่างกับสายตาที่ฝูงชนรอบข้างมองเขาเลย…
มือของตี้ฝูอีที่อยู่ภายในแขนเสื้อค่อยๆ กำแน่น
“เจ้าสำนักหลงมาเยือน!” ดังนั้นแว่วเสียงรายงานอีกครั้ง
ดวงตาฝูงชนเปล่งประกายทันที บุคคลสำคัญมาอีกท่านแล้ว! พากันเงยหน้าขึ้นมอง
ครั้งนี้หลงซือเย่นั่งกระเรียนมงกุฎแดงมา ยามที่เขาซึ่งอยู่ในอาภรณ์ขาวร่อนลงสู่พื้น ทุกคนพากันต้อนรับขับสู้
เขามีศักดิ์เสมอทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ย่อมได้รับความเคารพไม่ต่างจากทูตสวรรค์ฝ่ายว้าย กู่ฉานโม่ทักทายเขาอยู่หลายประโยค ให้เขาขึ้นมาบนเวที แล้วเชิญเขานั่งด้านขวาของตน
ตอนแรกหลงซือเย่ค่อนข้างแปลกใจที่พบตี้ฝูอี แต่ก็ยังเอ่ยทักทายเขา
ตี้ฝูอียิ้มบางๆ “วันนี้เจ้าสำนักหลงว่างนักหรือ?”
น้ำเสียงหลงซือเย่ก็ราบเรียบเช่นกัน “เช่นเดียวกัน วันนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายว้ายก็ว่างมากเหมือนกันนี่ นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญพบกันที่นี่ ยินดีที่ได้พบๆ” พลางประสานมือให้เขา จากนั้นยกเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งลง
เมื่อเจ้าสำนักหลงมาถึงก็ต้องกล่าวอะไรกับทั้งสองกลุ่มสักหน่อยตามธรรมเนียม
ถึงอย่างไรหลงซือเย่ก็เป็นเจ้าสำนักแห่งหนึ่ง วาจาที่เอื้อนเอ่ยย่อมเป็นธรรมชาติและมีคุณค่า แถมเขายังกล่าวเป้รายบุคคลด้วย
ถ้อยคำที่กล่าวกับกลุ่มของอิ๋นชิงหลัวเป็นถ้อยคำที่เป็นทางการตามบรรทัดฐาน ส่วนถ้อยคำที่กล่าวกับกลุ่มของกู้ซีจิ่วแฝงความสนิทสนมเป็นกันเองไว้ น้ำเสียงคล้ายกำชับตักเตือนสหายเก่า
แต่เห็นได้ชัดว่ากู้ซีจิ่วมีสมาธิจดจ่อมาก ถึงแม้อารมณ์บนใบหน้าน้อยๆ จะไม่แตกต่างจากเมื่อครู่มากนัก แต่สายตากลับอยู่ที่ร่างของหลงซือเย่ตลอด มุมปากแต้มยิ้มน้อยๆ อย่างรู้กันอยู่ตลอด
ตี้ฝูอีรู้สึกว่าหลังจากหลงซือเย่มานัยน์ตาของกู้ซีจิ่วก็เจิดจ้ากว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด!
ปากบางของเขาเม้มแน่นโดยไม่รู้ตัว
สุดท้ายหลงซือเย่ก็ล้วงโอสถขวดหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ “โอสถนี้คือลูกกลอนหทัยพิสุทธิ์ระดับแปด ในขวดมีทั้งหมดสามเม็ด การแข่งขันครั้งนี้เป็นการประลองแลกเปลี่ยนกัน ดังนั้นยามที่ประลองข้าหวังว่าพวกเจ้าจะลงมืออย่างมีขอบเขต ไม่ถึงแก่ชีวิต หากเอาชนะได้โดยที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสก็จะได้รับโอสถนี้เป็นรางวัล
สายตาของคนทั้งหลายเปล่งประกาย!
ลูกกลอนหทัยพิสุทธิ์สามารถคลี่คลายผลเสียมากมายที่เกิดจากการฝึกฝนได้ เนื่องจากวัตถุดิบหายากมีสรรพคุณล้ำเลิศยิ่ง โอสถนี้จึงหายากนัก ลูกกลอนระดับหนึ่งเม็ดเดียวก็มีราคาห้าร้อยหินวิญญาณแล้ว ส่วนเม็ดยาระดับแปดแทบจะเป็นสิ่งที่มีอยู่แค่ในตำนาน เป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้!
บทที่ 687 เขาต้องการให้เธอตายหรือ?
กู้ซีจิ่วอดจะมองหลงซือเย่แวบหนึ่งไม่ได้ เธอทราบเจตนาของเขา
รู้ว่าเขากังวลว่าฝ่ายอวิ๋นชิงหลัวจะอาศัยโอกาสนี้ลงมือสังหาร เกรงว่ากู้ซีจิ่วจะบาดเจ็บหนัก ดังนั้นเขาจึงนำของล้ำค่าออกมาล่อใจคนอย่างไม่นึกเสียดาย น้ำใจนี้ เธอรับไว้แล้ว!
หลงซือเย่ก็มองเธอเหมือนกัน ทั้งสองสบตากันแวบหนึ่ง เขาทราบแล้วว่าเธอเข้าใจเจตนาเขาแล้ว ในใจรู้สึกปลื้มปริ่ม ยิ้มน้อยๆ แวบหนึ่ง มุมปากกู้ซีจิ่วก็ยกขึ้นนิดๆ คนทั้งสองต่างมองกันแล้วยิ้ม ทุกอย่างเป็นไปอย่างเงียบๆ
‘ตุบ!’ ตี้ฝูอีวางถ้วยชาลงบนโต๊ะอย่างแรง
เสียงดังกังวาน ทั้งสนามต่างได้ยิน
ในที่สุดกู้ซีจิ่วก้หันเหสายตามามองเขาแวบหนึ่ง ทว่าตี้ฝูอีกลับไม่มองนาง มุมปากกระตุก เกิดรอยยิ้มแวบหนึ่ง หยิบบางสิ่งออกมาจากแขนเสื้อแล้ววางลงบนโต๊ะช้าๆ กล่าวด้วยน้ำเสียงไม่อินังขังขอบ “ในสนามรบไร้ซึ่งสายสัมพันธ์ ในเมื่อเป็นการประลอง เช่นนั้นทั้งสองย่อมต้องทุ่มเทแสดงพลังทั้งหมดออกมาถึงจะน่าชม คมกระบี่ไร้ดวงตา ที่กล่าวว่าให้มีขอบเขตหน่อยนึกว่าเป็นแม่นางที่มาปักผ้ากันงั้นหรือ? นี่คือผลมะเดื่อหิมะ ผู้ที่ชนะจะได้รับไป”
ฝูงชนตกตะลึง
นี่…ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเจตนาจะร้องประชันกับหลงซือเย่หรือ?
ผลมะเดื่อหิมะเป็นผลไม้ประหลาดชนิดหนึ่ง เติบโตในแดนต้องห้ามที่มีสัตว์ร้ายชุกชุม เป็นผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน ความล้ำค่าของสิ่งนี้เทียบได้กับผลท้อของเจ้าแม่หวางหมู่!
แม้แต่หยกนภาผู้รอบรู้ก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ‘เจ้านาย ผลไม้นี้ยอดเยี่ยมมาก ช่วยยืดอายุขัย บำรุงความงาม กินแค่ผลเดียวก็จะทำให้รูปโฉมท่านอ่อนเยาว์ไม่เฒ่าชราไปตลอดกาล ต่อให้เป็นยายเฒ่าอายุแปดสิบก็จะงดงามดังบุปผาแรกแย้มอยู่! เจ้านาย ท่านต้องชนะให้ได้!’
กู้ซีจิ่วลูบหยกนภาเบาๆ ไม่พูดอะไร
ดวงตาอวิ๋นชิงหลัวส่องประกายน้อยๆ มองไปที่ตี้ฝูอี “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเจ้าคะ ความหมายของท่านก็คือ ในการประลองหากพลาดพลั้งทำอีกฝ่ายถึงชีวิตก็ไม่มีโทษใช่ไหมเจ้าคะ? แถมจะได้รับผลมะเดื่อหิมะลูกนี้ด้วย?”
น้ำเสียงตี้ฝูอีเรียบเฉย “เจ้าจะเข้าใจเช่นนั้นก็ได้”
จากนั้นก็เหลือบมองกู้วีจิ่วแวบหนึ่ง “กู้ซีจิ่ว เจ้ามีความเห็นอย่างไร?”
เสียงกู้ซีจิ่วเฉยชากว่าเขาเสียอีก “ขอบคุณท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายสำหรับเรื่องมงคลนี้ ซีจิ่วไม่มีความเห็นเจ้าค่ะ”
หากกล่าวว่าเมื่อก่อนเธอยังเคยมีความรู้สึกอันน่าประหลาดให้ตี้ฝูอีอยู่บ้าง ยามนี้ทุกอย่างก็ได้สูญสลายไปจนสิ้นแล้ว
คนผู้นี้รู้อยู่ชัดเจนว่าวรยุทธ์เธอด้อยกว่าอวิ๋นชิงหลัว แถมอวิ๋นชิงหลัวก้เกลียดเธอมาก อยากกำจัดให้สิ้นซากใจจะขาด หากกฎการแข่งขันกำหนดให้ลงมืออย่างมีขอบเขต เช่นนั้นระหว่างที่อวิ๋นชิงหลัวก็ยังต้องคำนึกถึงอยู่บ้าง อย่างมากคงทำให้เธอบาดเจ็บสาหัส ไม่ทำให้เธอถึงตาย
แต่วาจานี้ของตี้ฝูอีเห็นได้ชัดว่าส่งสัญญาณแก่อวิ๋นชิงหลัวเป็นนัยๆ ว่าสามารถลงมือหนักๆ ได้
ที่แท้ยามคนผู้นี้โหดร้ายขึ้นมาเป็นเช่นนี้ เขาต้องการให้เธอตายหรือ?
ในทรวงคล้ายมีโลหิตร้อนระอุเดือดพล่านอยู่ เธอหลุบตาลงนิดๆ สะกดลงไป ถ้าสู้กันจริงๆ ขึ้นมาก็ยังไม่แน่ว่าจะเป็นผู้ใดที่สังหารผู้ใด!
ตอนนี้พลังวิญญาณเธอบรรลุขั้นห้าแล้ว ถึงจะยังห่างชั้นกับอวิ๋นชิงหลัวอีกไกล แต่ประสบการณ์ด้านการรบของอวิ๋นชิงหลัวกลับห่างชั้นกับเธอผู้มีประสบการณ์โชกโชน!
หลานไว่หูค่อนข้างกระวนกระวายใจ จึงส่งกระแสเสียงหากู้ซีจิ่ว ‘ซีจิ่ว พวกเราสู้พวกเขาไม่ได้…’
นางเคยเห็นของฝาแฝดผู้น้องมาแล้ว หวงเทียนสิงที่รังแกนางบ่อยๆ คนนั้นเคยตามเกี้ยวพาผู้อื่น พอเกี้ยวพาไม่สำเร็จก็เปลี่ยนเป็นพูดจาแทะโลม ผลคือถูกเล่อจื่อซิงซัดกระบวนท่าหนึ่งใส่ แทบจะซัดจนเจ้าคนผู้นั้นกระอักโลหิตออกมา!
วรยุทธ์เช่นนี้หลานไว่หูในอดีตแม้แต่คิดก็ยังไม่กล้า ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องต่อสู้กับนางเลย
หลานไว่หูในปัจจุบันถึงจะไม่ใช่อาเหมิงแห่งรัฐอู๋[1]แล้ว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับฝาแฝดคู่นี้ นางก็ยังค่อนข้างกังวลใจ
ตัวนางในอดีตถือคติสู้ไม่ได้ก็คือสู้ไม่ได้ สู้ไม่ได้ก็ไม่มีจุดประสงค์อะไรต้องไปสู้ แต่ถ้าต้องสู้โดยมีชีวิตเดิมพัน…
————————————————————————————-
บทที่ 688 ใจสื่อถึงกัน
นางก็ค่อนข้างกลัวอยู่บ้าง
กู้ซีจิ่วมองนางแวบหนึ่ง ตอบนางเพียงสองประโยค ‘ถ้าสู้ไม่ได้พวกเราอาจต้องตาย! ดังนั้นต้องสู้! พบพานศัตรูบนทางแคบผู้กล้าหาญถึงเป็นฝ่ายมีชัย เจ้าเชื่อฟังข้าทุกอย่างก็พอ!’
ทว่าเชียนหลิงอวี่กลับเลือดลมพลุ่งพล่าน ‘กลัวบ้าบออันใด อย่างมากแค่ตายเท่านั้น! วีจิ่วก็บอกแล้ว ยามอยู่เป็นยอดคน ยามตายเป็นยอดผี ยี่สิบปีให้หลังย่อมถือกำเนิดเป็นผู้ห้าวหายอีกครั้ง! แค่สู้เท่านั้น!’
หลานไว่หูสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ถูกอารมณ์ของสหายข้างกายกระตุ้นขึ้นมา ‘ได้ พวกเราสู้!’
คนมาพร้อมหน้าแล้ว เวลาก็ใกล้จะถึงแล้ว เยี่ยนเฉินลุกขึ้นมากล่าวกฎการประลองหนึ่งรอบ กฎของครั้งนี้มีการเปลี่ยนแปลง นอกจากใช้พิษใช้กู่ใช้อาวุธลับแล้ว วรยุทธ์อื่นๆ ทั้งสองฝ่ายสามารถใช้ได้ทั้งสิ้น
เมื่ออ่านกฎจบ เขาก็โบกมือให้สัญญาณ “เริ่มได้แล้ว!”
ทั้งหกคนแยกย้ายไปประจำตำแหน่ง ขณะที่กู้ซีจิ่วกำลังจะประสานหมัดเอ่ยตามธรรมเนียม เล่อชิงวิ่งที่อยู่ด้านนั้นก็เอ่ยขึ้นมาแล้ว “กู้ซีจิ่ว สรุปแล้วก่อนหน้านี้เจ้ามองพวกเราทำไม?”
กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะยังไม่ลืมคำถามนี้ จึงพูดไม่ออกไปชั่วขณะ มองอีกฝ่ายแวบหนึ่งแล้วเอ่ยคำตอบออกมา “ข้ากำลังมองว่าพวกเจ้าสองพี่น้องสรุปแล้วเป็นฝาแฝดไข่ใบเดียวกันหรือว่าเป็นฝาแฝดไข่คนละใบ”
เล่อชิงซิ่งและเล่อจื่อซิ่งต่างงุนงง
ฝูงชนก็งุนงงเช่นกัน ทุกคนล้วนฟังไม่เข้าใจ
มีเพียงหลงซือเย่ทีสำลักน้ำชาเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง พลางส่ายหน้าน้อยๆ แต่มุมปากกลับค่อยๆ หยักเป็นรอยยิ้มอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่
เมื่อกี้กู้ซีพูดทุกอย่างไปตามสัญชาตญาณ ตอนนี้ถึงรู้ว่าหลุดคำศัพท์ยุคปัจจุบันออกไป ยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ กระแอมไอคราหนึ่ง แล้วเปลี่ยนประเด็น “ล้วนกล่าวกันว่าฝาแฝดจะสื่อสารรู้ใจ ดังนั้นข้าจึงอดไม่ได้ที่มองให้มากหน่อย ไม่มีเจตนาอย่างอื่น ไม่จำเป็นต้องเก็บไปใส่ใจ”
“ฝาแฝดไข่ใบเดียวกันและฝาแฝดไข่คนละใบคืออะไร?” เล่อชิงซิ่งไม่ยอมเลิกรา
กู้ซีจิ่วรู้ว่าพวกเขาไม่เข้าใจ จึงหลอกไปเรื่อย “คือระดับความรู้ใจอย่างหนึ่ง รู้ใจกันมากก็คือแฝดไข่ใบเดียวกัน แฝดไข่คนละไข่ก็คือตรงกันข้าม…”
ฝูงชนมีท่าทางแบบที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ทว่าหลงซือเย่กลับสำลักอีกครั้ง มองกู้ซีจิ่วพลางส่ายหัวอย่างจนปัญญา
กู้ซีจิ่งขึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง เตือนเขาว่าอย่าเปิดโปงเธอ…
ถึงแม้คนทั้งสองจะไม่ได้เปิดปากสนทนากัน แต่สบตากันครั้งเดียวก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่าอีกฝ่ายต้องการสื่ออะไร ช่างทิ่มแทงหัวใจผู้ที่ตั้งใจมองอยู่เหลือเกิน!
ตี้ฝูอีกำมือแน่นอีกครั้ง
เขาฟังไม่ออกว่าสรุปแล้วกู้ซีจิ่วพูดถึงอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าหลงซือเย่เข้าใจ
เขารู้สึกว่าตนถูกกีดกันไว้ด้านนอกอีกครั้ง…
ความรู้สึกเช่นนี้แย่มาก แถมเขายังได้ยินกระแสเสียงที่สองคนนั้นส่งหากันด้วย…
หลงซือเย่อมยิ้มมองดูกู้ซีจิ่ว ในที่สุดก็ส่งกระแสเสียงหา ‘หลอกลวง! เธอเป็นจอมหลอกลวง! ฝาโลงอาจารย์วิชาชีววิทยาของเธอปิดไม่สนิทแล้ว’
กู้ซีจิ่วยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง ส่งกระแสเสียงตอบเขา ‘ไม่เป็นไร ต่อให้อาจารย์วิชาชีววิทยาของปีนออกมาจากโลงก็ทะลุมิติมาไม่ได้หรอก’
‘พูดยาก! ไม่แน่นะเขาอาจทะลุมาได้ในชั่วลมหายใจเดียว แล้วทุบเธอให้น่วม!’
‘เฮ้อ มือที่ไม่มีแม้แต่แรงจะมัดไก่ของเขาคงทุบฉันไม่ได้หรอก…คุณอย่าช่วยเขาก็พอ’
‘ว่ากันตามจริงแล้วการที่เธออธิบายเรื่องฝาแฝดไข่ใบเดียวกันแบบนี้ฉันก็อยากจะฟาดเธอเหมือนกัน ดีร้ายยังไงฉันก็เคยเป็นครูฝึกของเธอ วิชาแพทย์ของเธอก็เป็นฉันสอนให้’
‘โอ้ งั้นคุณบอกได้ไหมว่าพวกเขาเป็นไข่ใบเดียวกันหรือไข่คนละใบ?’
‘นี่ยังต้องถามอีกเหรอ? ไข่ใบเดียวกันสิ ฝาแฝดที่เหมือนกันขนาดนี้เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการปฏิสนธิในไข่ใบเดียวกัน…’
“ฉันจำได้ว่าโดยทั่วไปแล้วฝาแฝดที่ปฏิสนธิจากไข่ใบเดียวกันจะเป็นเพศเดียวกัน แต่พวกเขากลับเป็นครรภ์หงส์มังกร”
“บางครั้งก็มีครรภ์หงส์มังกรที่เกิดจากการปฏิสนธิในไข่ใบเดียวกัน เพียงแต่คอนข้างหายากเท่านั้นเอง เธอมองพวกเขาพี่น้องให้ละเอียดสิ พี่ชายมีรูเล็กๆ ที่หูข้างซ้าย น้องสาวมีที่หูข้างขวา เธอมองรูปร่างมือของพวกเขาสิเหมือนกันเป๊ะ แค่ขนาดต่างกันเท่านั้น ข้อต่อมือซ้ายของพี่ชายใหญ่หนามีพลัง เห็นได้ชัดว่าใช้กระบี่มือซ้าย ส่วนน้องสาวมือขวาแข็งแรง ข้อนิ้วเหมือนปล้องไผ่ นางใช้กระบี่มือขวา…”
หลงซือเย่ช่างสมกับเป็นหมอ คุ้นเคยกับวิชายุทธ์ของโลกนี้อย่างยิ่ง แค่อ้างอิงจากลักาณะท่าทางและตำแหน่งของตัวคนก็สามารถเดาวิชายุทธ์ของอีกฝ่ายได้แล้ว วิเคราะห์ให้เธอได้คล่องปาก
————————————————————————————-
[1] อาเหมิงแห่งรัฐอู๋ หมายถึง คนที่ไม่รู้ความทำอะไรไม่เป็น
บทที่ 689 ใจสื่อถึงกัน 2
วิเคราะห์จุดเด่นจุดด้อยของพี่น้องคู่นี้ออกมาตรงๆ…
เมื่อก่อนกู้ซีจิ่วก็เคยหารือกับเขาแบบนี้เหมือนกัน ยามนี้จึงตั้งใจฟัง
เนื่องจากก่อนประลองทั้งสองฝ่ายต้องพูดจาตามมารยาทสักหน่อย ดังนั้นกู้วีจิ่วจึงอาศัยจังหวะยามที่หลายคนพูดคุยกันส่งกระแสเสียงสอบถามหลงซือเย่
“อวิ๋นชิงหลัว เจ้าเข้าใจคู่ต่อสู้ของเจ้าหรือไม่?” จู่ๆ ตี้ฝูอีที่นั่งดื่มชาอยู่ตรงนั้นมาตลอดก็เอ่ยขึ้น
ดวงตาอวิ๋นชิงหลัวเปล่งประกายแวบหนึ่ง นี่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกำลังเป็นห่วงนางใช่ไหม? ใช่ไหม? ใช่ไหม?!
นางรีบตอบ “ชิงหลัวพอเข้าใจอยู่บ้างเจ้าคะ ไม่กระจ่างแจ้งนัก”
เสียงตี้ฝูอีราบเรียบยิ่ง “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งไม่พ่าย รู้หรือไม่ว่าพลังวิญญาณธาตุลมของคู่ต่อสู้ต้องรับมืออย่างไร?”
อวิ๋นชิงหลัวตะลึงไปครู่หนึ่ง ดวงตาส่องประกายยิ่งขึ้น มองข่มกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง แล้วหันกลับมาเอ่ยกับตี้ฝูอีอย่างพินอบพิเทา “ขอท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายโปรดชี้แนะด้วย”
ตี้ฝูอีปรายตามองกู้วีจิ่วแวบหนึ่ง “ง่ายมาก ถึงแม้จะเอาชนะผู้มีพลังวิญญาณธาตุลมตรงๆ ไม่ได้ แต่พลังวิญญาณธาตุดินยังคงกีดขวางมันได้”
อวิ๋นชิงหลัวมีรากฐานวิญญาณเดี่ยว คือรากวิญญาณธาตุทอง
แต่เล่อชิงซิ่งกลับเป็นผู้มีพลังวิญญาณธาตุดิน ซ้ำยังฝึกฝนจนถึงขั้นสุงสุด
ตี้ฝูอีชี้แนะเพียงประโยคเดียวก็ทำให้กลุ่มพวกเขาได้รับทางสว่างแล้ว อวิ๋นชิงหลัวจ้องมองกู้ซีจิ่วอีกครา แววลำพองใจในดวงตาถึงอยากซ่อนก็ซ่อนไว้ไม่ได้
กู่ฉานโม่คิดไม่ถึงว่าตี้ฝูอีจะออกปากชี้แนะอวิ๋นชิงหลัวให้รับมือกับกู้ซีจิ่วอย่างโจ่งแจ้ง ตกตะลึงไปชั่วขณะ
อดไม่ได้ที่เอ่ยปากขึ้น “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ชี้แนะยามนี้ไม่เหมาะกระมัง?”
น้ำเสียงตี้ฝูอีเฉยชา “ข้ากระทำการอย่างเปิดเผยซื่อตรง ชี้แนะในที่แจ้ง มิได้ทำเรื่องมิเหมาะมิควรจำพวกส่งกระแสเสียงบอกกล่าวลับหลัง อวิ๋นชิงหลัวเป็นสานุศิษย์สวรรค์ ข้าจะแนะนำนางบ้างสักประโยคสองประโยคก็เป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว หรือก่อนประลองไม่อนุญาตให้ผู้อื่นชี้แนะ?”
กู่ฉานโม่ชะงักไปครู่หนึ่ง เรื่องนี้ไม่มีอยู่จริงๆ ด้วย
บางครั้งเมื่อศิษย์ของสองชั้นเรียนประลองกัน อาจารย์ของทั้งสองฝ่ายต่างก็ชี้แนะศิษย์ของตน ช่วยวิเคราะห์จุดเด่นจุดด้อย ดังนั้นตี้ฝูอีชี้แนะอวิ๋นชิงหลัวในยามนี้จึงไม่นับว่าผิดกฏ
แต่กำลังของทั้งสองฝ่ายเดิมทีก็ห่างชั้นกันมากอยู่แล้ว ซ้ำเขายังชี้แนะฝ่ายที่แข็งแกร่งเพียงฝ่ายเดียว จะไม่ทำให้กลุ่มกู้ซีจิ่วเป็นฝ่ายเสียเปรียบหรอกหรือ?
ดีร้ายอย่างไรกู้ซีจิ่วก็เคยเป็นอดีตคู่หมั้นของเขา ถึงจะถอนหมั้นกันแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็เคยมีอยู่ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ทำเช่นนี้ต่อหน้าผู้คนมิใช่ทำให้นางเสียหน้าหรอกหรือ?
หากกล่าวว่าเมื่อก่อนกู่ฉานโม่ไม่ค่อยเชื่อข่าวลือพวกนั้นของตี้ฝูอีกับอวิ๋นชิงหลัวเท่าไหร่ แต่ยามนี้พอได้เห็นพวกเขาเป็นเช่นนี้ เขากลับเชื่อขึ้นมาเจ็ดแปดส่วนแล้ว
ได้ยินว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเลื่องชื่อด้านการให้ท้ายคนของตน พฤติกรรมเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ปกป้องคนสนิทยิ่งนักมาตลอด บัดนี้ปฏิบัติต่ออวิ๋นชิงหลัวเช่นนี้ แสดงว่าอวิ๋นชิงหลัวเป็นคนของเขาใช่หรือไม่?
ครั้งนี้เขามาเพื่อหนุนหลังอวิ๋นชิงหลัวหรือ?
เห็นเพียงรอยยิ้มของคนใหม่ ไหนเลยจะใส่ใจเสียงร้องไห้ของคนเก่าสินะ?
เขาทำเช่นนี้เห็นได้ชัดเจนยิ่งว่าเป็นการแทงมีดลงบนหัวใจกู้ซีจิ่ว!
กู่ฉานโม่ถอนหายใจลึกๆ อยุ่ภายในใจ มองไปที่กู้ซีจิ่วอย่างไม่สบายใจนัก เกรงว่านางจะร้องไห้ออกมาอย่างที่พบเห็นได้ยาก เช่นนั้นคงจะลำบากใจแล้ว…
ทว่าหลังจากมองไปแล้วเขาก็รู้สึกวางใจ เนื่องจากกู้ซีจิ่วสงบนิ่งยิ่งนัก
มุมปากของนางถึงขั้นแตะแต้มรอยยิ้มไว้ แถมรอยยิ้มนั้นก็ไม่ใช่การฝืนเลยสักนิด ยามที่ตี้ฝูอีชี้แนะอวิ๋นชิงหลัว นางก็มองอีกฝ่ายแค่แวบเดียวแล้วผละไป
ทันใดนั้นหลงซือเย่ก็ยิ้มน้อยๆ แล้วเปิดปากเอ่ย “ในเมื่อก่อนประลองสามารถชี้แนะแจกแจงได้ เช่นนั้นผู้แซ่หลงก็ขอกำชับฝ่ายแม่นางกู้ซักสองสามประโยคเพื่อให้ยุติธรรม…” เขากล่าวอธิบายความถนัดของแฝดชายหญิงคู่นั้นต่อหน้าผู้คนทันที แถมยังอธิบายอย่างละเอียดยิ่ง
นี่ย่อมเป็นการมอบคำตักเตือนที่มีค่ายิ่งแกกลุ่มของกู้ซีจิ่ว นัยน์ตากู้ซีจิ่วส่องประกายนิดๆ สายตาที่มองหลงซือเย่แฝงความซาบซึ้งไว้
อันที่จริงการที่หลงซือเย่กล่าวเนื้อหาเหล่านี้ออกมาในหนนี้ จุดประสงค์หลักคือเขาต้องการหนุนหลังเธอต่อหน้าฝูงชน คลี่คลายความลำบากใจเมื่อครู่ของเธอได้ทันกาล
ชาวมุงที่ไม่ทราบต้นสายปลายเหตุพากันมองทางนั้นที ทางนี้ที
คนเหล่านี้ล้วนเป็นอัจฉริยะกันทั้งนั้น ทันใดนั้นก็เข้าใจได้รางๆ หลงซือเย่มาเพื่อหนุนหลังกู้ซีจิ่ว!
นี่มันน่าสนุกเหลือเกิน สานุศิษย์สวรรค์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งสองคนต่างช่วยเหลือกันคนละฝ่าย…
สุดท้ายแล้วใครจะเป็นผู้ชนะ?
————————————————————————————-
บทที่ 690 เจ้าพยายามสุดความสามารถแล้ว ไม่จำเป็นต้องขอโทษ
ในที่สุดรอบแรกก็เริ่มขึ้นแล้ว
กลุ่มของอวิ๋นชิงหลัวช่างสมกับที่เป็นการรวมตัวกันของยอดหัวกะทิในชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่ง ออกกระบวนท่าแรกมาก็ประสานกันอย่างยอดเยี่ยมแล้ว
เล่อชิงซิ่งจับตามองกู้ซีจิ่วผู้ชำนาญการใช้พลังวิญญาณธาตุลม ขอเพียงเธอสำแดงวิชาเธาตุลมออกมาก็จะถูกวิชาธาตุดินของเล่อชิงซิ่งโต้กลับไป
เห็นได้ชัดว่ากลุ่มอวิ๋นชิงหลัวศึกษากลยุทธ์และวิธีโจมตีของพวกกู้ซีจิ่วทั้งสามมาแล้ว ทุ่มเทสติปัญญาวางแผนยุทธศาสตร์ไว้นานแล้ว ดังนั้นเปิดฉากได้ไม่นาน กลุ่มของกู้ซีจิ่วก็ถูกฝ่ายอวิ๋นชิงหลัวสะกดไว้…
ประกอบกับหลังจากถูกสะกดไว้หลานไว่หูก็ตื่นตระหนกลนลาน ทั้งหกคนต่อสู้กันปานกระต่ายโดดเหยี่ยวโผโฉบประมาณครึ่งชั่วยาม หลานไว่หูก็พลาดท่า ถูกแสงทองสายหนึ่งของอวิ๋นชิงหลัวซัดกระเด็นไป! แทบกระอักโลหิต…
ยังคงเป็นกู้ซีจิ่วที่เห็นท่าว่าไม่ดีแล้ว จึงใช้วิชาแยกวายุขวางไว้ทันที มิเช่นนั้นหนนี้จิ้งจอกน้อยต้องปางตายเป็นแน่!
ในการประลองแช่งขันเช่นนี้ ขอเพียงมีคนหล่นจากเวทีก็ถือว่าแพ้แล้ว ดังนั้นกลุ่มของอวิ๋นชิงหลัวจึงเป็นฝ่ายมีชัยในรอบแรก!
อวิ๋นชิงหลัวเบิกบานนัก นางมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ “อันที่จริงพวกเจ้าก็ทำได้ดีมากแล้ว นับว่าฝีมือไม่ธรรมดา ถ้าจะโทษก็ต้องโทษที่เจ้าได้พบกับพวกเรา…อย่าได้ท้อแท้ พวกเจ้าทำดีมากแล้ว”
กู้ซีจิ่วไม่สนใจนาง รีบทะยานลงไปดูจิ้งจอกน้อยทันที
เชียนหลิงอวี่กำหมัดแน่น ถลึงตาใส่อวิ๋นชิงหลัวแวบหนึ่ง “อย่าได้ลำพองไป ยังมีอีกสองรอบ!”
อวิ๋นชิงหลัวยิ้มบางๆ ไม่พูดอะไร กลับเป็นเล่อจื่อซิ่งที่เอ่ยเย็นชา “ไม้ต้องถึงสองรอบหรอก อีกรอบเดียวก็ตัดสินได้แล้ว!”
ต้องชนะสองในสามรอบ หากว่าพวกเขาเอาชนะได้ในรอบที่สอง รอบที่สามก็ไม่จำเป็นแล้ว!
เชียนหลิงอวี่ย่อมทราบความหมายของพวกเขา นิ้วมือที่กำแน่นอยู่แล้ว ยิ่งแน่นขึ้นไปอีก!
หลานไว่หูบาดเจ็บภายใน เคราะห์ดีที่ไม่นับว่าหนักหนา หลังจากนางร่วงลงพื้นก็ตะเกียกตะกายลุกขึ้นมา มองกู้ซีจิ่วที่ทะยานลงมาใบหน้าเล็กๆ ของนางแดงก่ำ “ซีจิ่ว ข้า…ขอโทษ…”
“เจ้าพยายามสุดความสามารถแล้ว ไม่จำเป็นต้องขอโทษ” กู้ซีจิ่วห้ามไม่ให้นางพูดอีก รีบจับชีพจรให้นางอย่างรวดเร็ว
โชคดีที่นางไม่บาดเจ็บหนัก กู้ซีจิ่วมียาดีไม่น้อย รีบส่งให้นางกินเม็ดหนึ่งทันที
ในยามนี้เองเชียนหลิงอวี่ก็เหินลงมาจากเวทีเหมือนกัน เขาจ้องมองจิ้งจอกน้อยอยู่ด้านข้างตลอด ถูไม้ถูมืออย่างร้อนใจ เกรงว่าจิ้งจอกน้อยจะฉวยโอกาสเลี่ยงงาน
จิ้งจอกน้อยคงจะถูกทุบตีอยู่บ่อยๆ จนเคยชินแล้ว ทนไม้ทนมืออย่างยิ่ง ผนวกกับยาประสิทธิภาพดีของกู้ซีจิ่ว ผ่านไปหนึ่งเค่อ อาการบาดเจ็บภายในของนางก็หายดีเกือบหมดแล้ว
กู้ซีจิ่วเอ่ยถามนาง “เจ้ายังสู้ไหวไหม?”
หลานไว่หูเชิดหน้าขึ้น “ไหว!” นางไม่อาจเป็นตัวถ่วงของกลุ่มได้
ดวงตาเชียนหลิงอวี่ส่องแสงแวบหนึ่ง ตบไหล่หลานไว่หูดังปุๆ “ต้องแบบนี้สิ! พวกเราจะแพ้โดยไม่สู้ไม่ได้!”
ต่อให้รู้ว่าต้องแพ้ก็ขอแพ้บนสนามประลองอย่างผ่าเผยภาคภูมิ! มิใช่ยอมแพ้ดื้อๆ
กู้ซีจิ่วสูดหายใจเบาๆ เอ่ยกระซิบ “รอบแรกเป็นการซ้อมมือของพวกเรา รอบที่สองยังไม่แน่ว่าพวกเราจะแพ้ พวกเจ้าฟังข้านะ…”
เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าแพ้ไปแล้วหนึ่งรอบ ทว่าใบหน้ากูซีจิ่วกลับไม่เผยความสิ้นหวังสักเท่าใด กลับกันนัยน์ตาเธอกลับเปล่งประกายแวววาว
อันที่จริงไม่ว่าจะต่อสู้กับยอดฝีมือคนใด ยามที่คุณไม่เข้าใจเขา เมื่อต่อสู้กันก็เป็นธรรมดาที่จะแพ้มากกว่าชนะ แต่หลังจากที่คุณเคยลงมือสู้เองไปแล้วรอบหนึ่ง ก็จับลู่ทางของอีกฝ่ายได้เกือบทั้งหมด
หากว่าเป็นคนอื่นถึงยามนี้คงไม่มีวิธีแล้วจริงๆ
แต่ไม่ใช่กับกู้ซีจิ่ว เธอเก่งด้านการสรุปบทเรียนจากความล้มเหลว นับประสาอะไรกับรอบแรกนี้ที่ความจริงเธอก็ไม่ได้คิดจะเอาชนะอยู่แล้ว จุดประสงค์คือหาจุดอ่อนของคู่ต่อสู้…
และสามคนนั้นไม่ได้ไร้จุดอ่อนจริงๆ เสียหน่อย
บทที่ 691 นางยังเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง…
กู้ซีจิ่วมีแผนการคร่าวๆ อยู่ในใจแล้ว ถึงแม้เธอยังไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะได้ แต่ก็รู้สึกว่าคุ้มค่าที่จะต่อสู้ดู!
เธอเล่าแนวทางต่อสู้ในรอบนี้ สองคนนั้นก็ทราบว่านี่เป็นการต่อสู้ครั้งสำคัญ เลยตั้งใจฟังเป็นพิเศษ
ทั้งสามคนขึ้นมาบนเวทีอีกครั้ง อวิ๋นชิงหลัวเพ่งพิศทั้งสามคนตั้งแต่หัวจรดเท้าแวบหนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ “พวกเจ้ายังจะสู้อีกหรือ? เมื่อกี้ข้าลงมืออย่างไว้ไมตรีแล้ว…รอบต่อไปข้าเกรงว่าจะควบคุมแรงไว้ไม่อยู่แล้วนะ”
กู้ซีจิ่วกล่าวเพียงไม่กี่คำ “ชนะสองในสามรอบ”
หลานไว่หูก้เอ่ยขึ้นมาเช่นกัน “พวกเรายังมีโอกาสอีกสองรอบ!”
เล่อจื่อซิ่งเม้มริมฝีปากน้อย “พวกเจ้าเหลอโอกาสอีกแค่รอบเดียว” ความหมายก็คือพวกเจ้าต้องแพ้ในรอบที่สองแน่นอน!
อวิ๋นชิงหลัวมองกู้ซีจิ่ว ประหนึ่งมองสุนัขตัวหนึ่งที่กำลังจะถูกนางบีบให้ลงน้ำ “ว่ากันตามจริงแล้ว ต่อให้ชนะพวกเจ้าได้ก็ไม่มีความหมายอะไรกับพวกเรา เป็นชัยชนะที่ไม่สมเกียรติ! เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกสักครั้ง ขอเพียงพวกเจ้าเอาชนะในรอบที่สามได้ก็ถือว่าพวกข้าแพ้ เป็นอย่างไร?”
นางมีเจตนาส่วนตัว หากชนะสองในสามรอบ เช่นนั้นหากนางชนะในรอบที่สองก็ไม่จำเป้นต้องมีรอบที่สามแล้ว
แต่นางอยากแสดงฝีมือต่อหน้าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายให้มากหน่อย และอยากทำให้กู้ซีจิ่วขายหน้ามากขึ้นอีกรอบหนึ่ง ดังนั้นจึงแสร้งทำใจกว้าง เอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา
และเมื่อกล่าวประโยคนี้ออกมา ภายใต้ฝูงชนมากมายเช่นนี้ ถ้าพวกกู้ซีจิ่วยอมรับก็เท่ากับพวกเขาอ่อนแอไร้ฝีมือ
หากแม้แต่ความกล้าหาญเช่นนี้ยังไม่มี เช่นนั้นพวกเขาจะไม่ได้แพ้เพียงการต่อสู้เท่านั้น แม้แต่ศักดิ์ศรีก็จะเสียไปจนสิ้นด้วย
กู้ซีจิ่วไม่ได้เอ่ยปฏิเสธจริงๆ เธอมองอวิ๋นชิงหลัวแวบหนึ่ง “เจ้าพูดจริงหรือ?”
“แน่นอน!” อวิ๋นชิงหลัวตอบโดยไม่ลังเล
กู้ซีจิ่วคลี่ยิ้ม “เรื่องนี้มิใช่เรื่องที่ข้ากับเจ้าสามารถตัดสินใจได้ ยังต้องขอให้คณะผู้ตัดสินช่วยตัดสินใจ ไหนจะสหายร่วมกลุ่มของเจ้า และสหายร่วมกลุ่มของข้าด้วย”
อวิ๋นชิงหลัวนึกไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วจะเล่นไม้นี้ นางมองไปที่สหายของตนก่อน “พวกเจ้าเห็นด้วยหรือไม่?”
ฝาแฝดคู่นั้นสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็ตอบพร้อมกัน “พวกเรายังไงก็ได้”
ถึงแม้เชียนหหลิงอวี่กับหลานไว่หูจะทราบว่ามีโอกาสที่จะสู้ชนะไม่มาก แต่ยามนี้ก็ไม่คิดจะเป้นคนขี้ขลาดตาขาว เอ่ยตอบอย่างพร้อมเพรียง “พวกเราเชื่อฟังซีจิ่ว!”
กู่ฉานโม่ขมวดคิ้ว เขาเป็นตาเฒ่ามากประสบการณ์ อวิ๋นชิงหลัวมีเจตนาใดเขาย่อมมองออกในแวบเดียว
กู้ซีจิ่วเด็กสาวคนนั้นถึงแม้จะปล้นหินวิญญาณเขาไปไม่น้อย ซ้ำยังทำให้เขาได้รับความทุกข์ทรมานอยุ่หลายเดือน แต่ตอนนี้เขาชื่นชมเด็กสาวคนนี้จริงๆ
อุปนิสัยจริงจัง เป็นตัวของตัวเอง มีความสามารถ กระทำการมีขอบเขต ทำให้คนเกลียดไม่ลง
บางครั้งเข้าถึงขั้นรู้สึกว่าเด็กสาวผู้นี้เก่งกาจกว่าอวิ๋นชิงหลัวผู้เป็นสานุศิษย์สวรรค์มากนัก!
ถึงแม้อวิ๋นชิงหลัวจะเป็นสานุศิษย์สวรรค์ แต่เขารู้สึกอยู่เสมอว่านางไม่มีอะไรพิเศษเลย…
เขาจัดการแข่งขันชิงชนะเลิศรอบนี้ขึ้น ประการแรกคือต้องการกระตุ้นให้เหล่าศิษย์กระตือรือร้น ประการที่สองก็คืออยากให้เด็กสาวเช่นกู้ซีจิ่วได้ฉายแสงในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์
ถ้าเด็กสาวคนนี้ต้องการมีที่ยืนในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ ก็ต้องแสดงความสามารถที่ทำให้คนตกตะลึงได้เท่านั้น
ว่ากันตามจริงแล้ว กู้ซีจิ่วสามารถพาสหายทั้งสองของนางมาถึงขั้นนี้ได้ก็เกินความคาดหมายของเขามากแล้ว และเพียงพอให้เขารู้สึกชื่นชมแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้เด็กสาวคนนี้เสียหลักที่นี่มากถึงเพียงนี้!
ถึงอย่างไร…นางก็เพิ่งช้ำรักมามิใช่หรือ?
แถมทูตสวรรค์ฝ่ายว้ายบัดซบผู้นี้ยังจงใจโอ่คนใหม่หมางเมินคนเก่า ต่อให้เป็นหญิงสาวที่เติบใหญ่ถ้าประสบสถานการณ์เช่นนี้เข้าก็คงจะเศร้าหมองอย่างยิ่ง นับประสาอะไรกับเด็กสาวที่ยังไม่เต็มสิบห้าปีอย่างกู้ซีจิ่วผู้นี้เล่า?
นางยังเป็นแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง…
————————————————————————————-
บทที่ 692 รอยยิ้มนั้นคล้ายแฝงแววเย้ยหยันไว้รางๆ
ด้วยเหตุนี้เขาเลยเอ่ยว่า “ในเมื่อกฏคือชนะสองในสามรอบตั้งแต่แรก เช่นนั้นย่อมต้องเป็นชนะสองในสามรอบตามเดิม พวกเจ้านึกว่ากฎนี้เป็นสิ่งที่พวกเจ้าอยากเปลี่ยนก็สามารถเปลี่ยนได้งั้นหรือ?!”
เขากวาดตามองคนทั้งหก แต่สุดท้ายสายตาก็หยุดอยู่บนร่างอวิ่นชิงหลัว ดวงตาฉายแววเย็นชา
ผู้ตัดสินคนอื่นๆ ต่างคล้อยตาม เยี่ยนเฉินเอ่ยว่า “ศิษย์เห็นด้วยกับอาจารย์ใหญ่กู่ขอรับ”
อวิ๋นชิงหลัวเม้มปากแน่น นางไม่อยากทิ้งโอกาสที่จะได้ทำให้กู้ซีจิ่วอับอายเช่นนี้ไป ดงันั้นจึงมองไปที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ท่านคิดเห็นอย่างไรเจ้าคะ?”
ที่นี่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีฐานะสูงที่สุด คำพูดของเขาคือคำตัดสินชี้ขาด
ตี้ฝูอีกวาดตามองใบหน้าคนทั้งหกแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองหลงซือเย่ มุมปากคล้ายจะอมยิ้ม “เจ้าสำนักหลง ท่านว่าอย่างไร?”
หลงซือเย่ขมวดคิ้วนิดๆ เขาคือคนที่สอนกู้ซีจิ่วมา ย่อมทราบพลังที่แท้จริงของเธอ และรู้ว่าในการต่อสู้เธอมีโอกาสแปรเปลี่ยนสารพัด มักจะได้ชัยด้วยใช้อ่อนสยบแข็งอยู่เสมอ
แต่ครั้งนี้ทั้งสองฝ่ายค่อนข้างห่างชั้นกันมากจริงๆ ด้วยสายตาของเขามองออกว่าในรอบแรกอวิ๋นชิงหลัวยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดจริงๆ เด็กสาวผู้นี้คงเกรงว่าถ้าทำให้คนบาดเจ็บตั้งแต่รอบแรกจะดูเหี้ยมโหดเกินไป จึงขู่ให้คู่ต่อสู้ตกใจแล้วล่าถอยไปเอง เลยใช้พลังเพียงเจ็ดส่วนเท่านั้น…
ดังนั้นในรอบที่สองนี้หากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย พวกกู้ซีจิ่วจะต้องพ่ายแพ้เช่นเดิม อัตราที่จะชนะริบหรี่มาก
ส่วนรอบที่สาม เขาคิดว่ามีความหวังไม่มาก และสามารถกล่าวได้ว่าต่อให้ไปถึงรอบที่สาม พวกกู้วีจิ่วก็จะแพ้เหมือนเดิม…
การประลองครั้งนี้ถึงแม้จะมีกฎว่าบาดเจ็บล้มตายไม่มีโทษ แต่ที่นี่มียอดฝีมือมากมายจับตามองอยู่ ย่อมไม่อาจเล่นงานคนจนถึงแก่ชีวิตได้จริงๆ มิเช่นนั้นใบหน้าคนเหล่านี้คงมินิ่งเฉยอยู่เป็นแน่!
เห็นได้ชัดว่าอวิ๋นชิงหลัวก็ทราบข้อนี้ดี ดังนั้นหนนี้จึงไม่คิดจะเอาชีวิตกู้ซีจิ่วจริงๆ แต่ต้องการให้ขายหน้าหลายๆ ครั้งเป็นแน่…
หลงซือเย่ย่อมไม่เปล่อยให้อวิ๋นชิงหลัวสมหวัง ดังนั้นเขาเลยเอ่ยว่า “ข้าเห็นด้วยกับอาจารย์ใหญ่กู่ กฎการประลองรอบชิงชนะเลิศกล่าวว่าจะเปลี่ยนก็เปลี่ยนได้เหมือนเด็กเล่นขายของหรือ? ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายให้ความสำคัญกับกฏระเบียบมาตลอด คงจะเห็นด้วยกับคำพูดของอาจารย์ใหญ่กู่กระมัง?”
ตี้ฝูอีมองไปที่คนทั้งหก กล่าวอย่างเฉยชา “กฏเกณฑ์บางครั้งก็ใช่ว่าจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในเมื่อเด็กหกคนนี้เห็นพ้องต้องกันแล้ว แล้วเหตุใดถึงไม่ช่วยให้พวกเขาสมหวังสักครั้งเล่า?”
ดวงตาอวิ๋นชิงหลัวทอประกายอีกครั้ง ทำความเคารพไปทางทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย “ขอบพระคุณท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่เข้าใจพวกเรา…”
ตี้ฝูอีแย้มยิ้มดั่งสายลมฤดูใบไม้ผลิ “ไม่ต้องเกรงใจ ข้าเข้าอกเข้าใจผู้อื่นอยู่เสมอนั่นแหละ ในเมื่อพวกเจ้าล้วนเห็นด้วย แล้วพวกเขาจะดึงดันขัดขวางได้อย่างไร? ย่อมต้องให้โอกาสพวกเจ้า พวกเจ้าว่าใช่หรือไม่?”
ในที่สุดสายตาเขาก็หยุดลงที่ร่างกู้ซีจิ่ว กู้ซีจิ่วยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยวาจา
รอยยิ้มนั้นคล้ายแฝงแววเย้ยหยันไว้รางๆ
แววตาตี้ฝูอีดำดิ่งลงกว่าเดิม
ในเมื่อทูตสวรรค์ฝ่ายว้ายกล่าวเช่นนี้แล้ว ฝูงชนจะโต้แย้งต่อไปคงไม่ดี เพียงแต่การตัดสินใจขั้นสุดท้ายยังคงขึ้นอยู่กับกู่ฉานโม่ เขาไม่มองทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีเลย “ประลองรอบที่สองจบก่อนค่อยว่ากัน!”
ด้วยเหตุนี้ รอบที่สองจึงเริ่มขึ้น
ถึงอย่างไรก้เคยประมือกันไปแล้วรอบหนึ่ง ยามนี้จึงคุ้นเคยกันบ้างแล้ว ดังนั้นการประลองรอบนี้จึงน่าชมกว่ารอบแรกมากนัก
เงาร่างคนทั้งหกโผนทะยานไปมาบนเวที แสงจากพลังวิญญาณชนิดต่างๆ ส่องวูบวาบ ประเดี๋ยวเถาวัลย์กวัดแกว่งดั่งจะทลายทัพ ประเดี๋ยวคลื่นยักษ์ก็ปานแม่น้ำใหญ่ที่ไหลเชี่ยว ประเดี๋ยวกำแพงดินก็ผุดขึ้นมากะทันหัน ประเดี๋ยวแสงทองก็ส่องประกายดั่งใบมีดที่เฉียบคม…
ความเร็วของทั้งหกคนว่องไวมาก ศิษย์ของชั้นเรียนเมฆาคล้อยที่อยู่ด้านล่างเวทีวรยุทธ์อ่อนด้อยมองจนตาพร่า เวียนหัวตาลาย
หลงซือเย่จับตามองความเคลื่อนไหวของทั้งหกคนบนเวทีอยู่ตลอด หนนี้ทั้งหกคนน่าจะสำแดงพลังทั้งหมดออกมาแล้ว ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งอันตราย ถ้าเผลอไผลไปแม้แต่น้อยเกรงว่าจะถูกแสงทองฟัน ชนโขดหิน หรือโดนเถาวัลย์รัดจนถึงแก่ความตายได้…
มือเขาที่อยู่ใต้โต๊ะจรดนิ้วเตรียมร่ายวิชาไว้ ขอเพียงเห็นท่าไม่ดีแล้วก้พร้อมจะลงมือขัดขวางเพื่อช่วยชีวิตคน…
บทที่ 693 ข้าไม่ต้องการเจ้า 1
อย่างไรเสียการต่อสู้ในสนามรบ ช่วงเวลาความเป็นความตายห่างกันไม่ถึงเสี้ยววินาที ต่อให้เป็นหลงซือเย่ ในยามนี้ก็ไม่กล้าเผลอไผลไปแม้แต่น้อย
ตกลับกันกับตี้ฝูอี เขานั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสบายอุรานัก ซ้ำยังจิบชาอะไรสักอย่างเป็นครั้งคราวด้วย
ท่ามกลางผู้คนที่อยู่ที่นี่วรยุทธ์ของเขาสูงส่งที่สุด กำลังสายตาย่อมดีเยี่ยมที่สุดเช่นกัน มองทั่วสนามเพียงแวบเดียวก็ทราบถึงความสามารถและจุดเด่นของทุกคนแล้ว
แน่นอน สิ่งที่เขามองเป็นอันดับแรกก็คือวรยุทธ์ของกู้ซีจิ่ว
ไม่ได้พบกันเพียงสามเดือน วรยุทธ์ที่เพิ่งจะถึงขั้นห้าของนางทะลวงไปถึงขั้นห้ากับอีกประมาณเจ็ดส่วนแล้ว แถมความสามารถในการควบคุมกระบวนยุทธ์ของนางก็แทบจะบรรลุขั้นสุดยอดแล้ว!
ที่พบเห็นได้ยากกว่านั้นคือการสอดประสานของนางกับสหายร่วมกลุ่ม สามารถใช้คำว่ายอดเยี่ยมล้ำลึกมาบรรยายได้ แนวทางประสานที่นางคิดค้นขึ้นมาเองก็เยี่ยมมาก บรรลุขั้นที่สามคนรวมเป็นหนึ่ง การประสานเช่นนี้ทำให้พลังยุทธ์ของทุกคนแทบจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
เพียงแต่น่าเสียดายอีกสองคนที่เหลืออายุน้อยไปหน่อย ประกอบกับมีคนหนึ่งใจฝ่อเล็กน้อย การสำแดงกระบวนท่าในบางครั้งก็เผยข้อบกพร่องออกมาทำให้คู่ต่อสู้ทลายแนวป้องกันของนางได้ ตีรวนค่ายกลที่ประสานกันของทั้งสามคน ไม่เช่นนั้นเกรงว่ากลุ่มของนางคงคว้าชัยไปนานแล้ว!
กลุ่มของกู้ซีจิ่วยิ่งสู้ยิ่งคุ้นเคย ยิ่งสู้ยิ่งพบข้อบกพร่องของคู่ต่อสู้ที่เผยออกมาเพียงแวบๆ เท่านั้น
ในรอบแรกอวิ๋นชิงหลัวได้ชัยโดยไม่ต้องพะว้าพะวง ส่วนรอบที่สองนี้ ถ้ากลุ่มอวิ๋นชิงหลัวอยากชนะเกรงว่าคงต้องลำบากมาก อย่างมาก็ชนะแบบเฉียดฉิว
ส่วนรอบที่สาม ใครจะแพ้ใครจะชนะตี้ฝูอีไม่เป็นกังวลแล้ว
ปลายนิ้วเขาไล้วนถ้วยชาโดยไม่รู้ตัว น้ำชาสะท้อนนัยน์ตาดำขลับที่ลึกล้ำเป็นพิเศษของเขา
หนึ่งเค่อผ่านไป ครึ่งชั่วยามผ่านไป หนึ่งชั่วยามผ่านไป…
ทั้งหกคนบนเวทียังคงยากจะทราบผลแพ้ชนะ
ฝูงชนด้านล่างเวทีมองจนโลหิตพลุ่งพล่านแล้ว!
อันที่จริงกลุ่มของอวิ๋นชิงหลัวเดิมทีก็เป็นหัวกะทิของชั้นเรียนเมฆาม่วงอยู่แล้ว กวาดล้างชั้นเรียนเมฆาม่วงระดับต้นจนไร้คู่ต่อสู้ ในชั้นเรียนเมฆาระดับต้นไม่มีกลุ่มไหนสามารถต่อกรกับพวกเขาได้นานกว่าครึ่งชั่วยามเลย!
แต่ในรอบนี้กลุ่มของกู้ซีจิ่วกลับประลองกับพวกเขานานกว่าหนึ่งชั่วยามแล้ว ซ้ำยังไม่มีวี่แววว่าจะแพ้ด้วย อาศัยเพียงข้อนี้ข้อเดียว กลุ่มนี้ก็มีคุณสมบัติพอจะเข้าชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่งแล้ว!
ยามนี้อาจารย์เริ่นของชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่งว้าวุ่นใจมาก กลุ่มอวิ๋นชิงหลัวคือไพ่เด็ดของห้องหนึ่ง เขาย่อมไม่อยากให้พวกเขาพ่ายแพ้
แต่เขาก็มองว่ากลุ่มของกู้ซีจิ่วเยี่ยมยอดนัก และอยากได้พวกเขามาอยู่ในชั้นเรียนของตนยิ่ง!
เขาอดไม่ได้จึงบ่นกับกู่ฉานโม่ “อาจารย์ใหญ่กู่ขอรับ ข้าคิดว่าพวกกู้ซีจิ่วทั้งสามเป็นเมล็ดพันธุ์ชั้นเยี่ยมที่พบเห็นได้ยากโดยแท้ โดยเฉพาะกู้ซีจิ่ว…อัจฉริยะเช่นนี้กลับอยู่ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยมาตลอดช่างเสียของจริงๆ! ข้ารู้สึกว่าอัจฉริยะสมควรมุ่งสู่ภูวดลพ้นกรอบใด ต่อให้พวกเขาพ่ายแพ้ในการประลองครั้งนี้ข้าก็คิดว่าควรจะให้พวกเขาเข้าชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่งของข้าอยู่ดี ใจจริงข้ารู้สึกว่าท่านควรจะเปลี่ยนเงื่อนไขข้อนั้นเสีย…”
อาจารย์เฉียนของชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องสองกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ในเมื่อกล่าวเงื่อนไขไว้แต่แรกแล้ว ไหนเลยจะเปลี่ยนได้ตามใจชอบ? เพียงแต่ที่อาจารย์เริ่นกล่าวมาก็มีเหตุผล อัจฉริยะเช่นนี้อยู่ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยช่างเสียของจริงๆ มิสู้ให้พวกเขามาเข้าชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องสองของพวกเราดีไหมเล่า? เช่นนี้เหล่าศิษย์จะได้ไม่เสียอนาคต และไม่ขัดต่อกฏเกณฑ์ด้วย”
อาจารย์ของชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องสามก็เงี่ยหูฟังอยู่ตลอดเหมือนกัน ยามนี้พอได้ยินว่าผู้อื่นเริ่มแย่งชิงคนแล้ว เขาย่อมไม่ยอมถูกทิ้งไว้ด้านหลัง กล่าวถึงข้อดีของชั้นเรียนตน อยากให้กู้ซีจิ่วเข้าชั้นเรียนของเขาเอง…
อาจารย์จางของชั้นเรียนเมฆาคล้อยได้ยึดถือพวกกู้ซีจิ่วทั้งสามเป็นศิษย์รักศิษย์โปรดแล้ว ยามนี้พอถูกโจมตีอย่างไม่มีสาเหตุหลายครั้งเข้า ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์อย่างยิ่ง อดไม่ได้จึงโต้กลับไปหลายประโยคเช่นกัน
ใจความหลักๆ คือพวกกู้ซีจิ่วทั้งสามคนเป็นชั้นเรียนเมฆาคล้อยเลี้ยงดูสั่งสอนมา แสดงให้เห็นว่าชั้นเมฆาคล้อยมิใช่ขยะ อย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของชั้นเมฆาคล้อยมิใช่ขยะ ดังนั้นพวกกู้ซีจิ่วทั้งสามยังสมควรอยู่ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยต่อเพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ศิษย์ที่ล้าหลัง…
วาจาที่เขากล่าวออกมา ได้กระตุ้นอาจารย์ที่ปรึกษาของชั้นเรียนอื่นๆ ให้ลุกฮือขึ้นมาโจมตี ต่างคิดว่าการที่อาจารย์จางเก็บเมล็ดพันธุ์ชั้นดีไว้ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยเป็นการกระทำที่ขัดขวางอนาคตของผู้มีพรสวรรค์ พากันประณามหยามเหยียดผู้อื่นอย่างยิ่ง…
————————————————————————————-
บทที่ 694 ข้าไม่ต้องการเจ้า 2
เนื่องจากเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อพวกกู้ซีจิ่วทั้งหกที่ประลองกันอยู่บนเวที คณะอาจารย์ถึงแม้จะถกเถียงกันหน้าดำหน้าแดง แต่น้ำเสียงล้วนแผ่วเบายิ่ง มีเพียงโต๊ะของผู้ตัดสินเท่านั้นที่ได้ยิน
กู่ฉานโม่ถูกเสียงทะเลาะของพวกเขาทำให้หนวกหู เมื่อเหลืออดแล้วจึงตบตะคราหนึ่ง “หุบปากกันให้หมด! เหล่าเฉียน เมื่อก่อนเชียนหลิงอวี่ถูกถีบออกมาจากชั้นรียนเมฆาม่วงห้องสองของเจ้า ตอนนั้นเจ้ามาโอดครวญอยู่ข้างหูอาจารย์ใหญ่เช่นข้าทุกวันบอกว่าเขาถ่วงความก้าวหน้าของชั้นเรียนพวกเจ้า ศิษย์อัจฉริยะที่โดดเด่นคนหนึ่งถูกถีบไปชั้นเรียนเมฆาคล้อยถึงได้ยอมเลิกรา! เหล่าหวง เจ้าก็สายตามืดบอดเช่นกัน เมื่อก่อนหลานไว่หูผู้นี้เป็นศิษย์ในห้องสามของเจ้า แล้วเจ้าว่าอย่างไรเล่า? บอกว่านางเป็นไม่ผุที่ไม่อยากสลักเสลาได้ เป็นโคลนที่มิอาจก่อกำแพงได้ ตอนนี้พอเห็นว่านางดีแล้งเลยคิดจะมาแย่งนางไปอีกครั้งหรือ? เขากวาดสายตามองคณะอาจารย์อย่างน่าเกรงขามรอบหนึ่ง เอ่ยต่อไป “ตอนที่กู้ซีจิ่วเพิ่งมาที่นี่ พวกเจ้ากล่าวว่าอย่างไรเล่า? กล่าวว่าข้าผู้เฒ่ายอมก้มหัวให้แก่อำนาจ กล่าวปล่อยให้อุจจาระหนูก้อนหนึ่งอย่างนางมาทำลายโจ๊กทั้งสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ของพวกเรา ยามนั้นแต่ละคนต่างกระโดดเหยงๆ มาร้องอุทรณ์ในห้องหนังสือข้าผู้เฒ่า เหตุใดยามนี้แต่ละคนถึงคิดยื้อแย่งกันขึ้นมาเล่า?”
คณะอาจารย์เงียบงันไร้วาจา…
กู่ฉานโม่ปรายตามองทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแวบหนึ่ง สั่งสอนลูกน้องของตนต่อไป “ข้าว่าพวกเจ้าน่ะ ปกติแล้วต่างถือตนว่ามีดี มองคนแม่นยำ คิดว่าตนมองเมล็ดพันธุ์ชั้นดีใดๆ ไม่เคยพลาด ความจริงแล้วพวกเจ้าทุกคนล้วนสายตามืดบอด! ข้าจะบอกพวกเจ้าให้ ที่แท้แล้วยังคงเป็นท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่สายตาเฉียบคมที่สุด ถึงได้ค้นพบแร่หยกชั้นเลิศก้อนใหญ่นี้แล้วส่งมาให้สำนึกศึกษาชุมนุมสวรรค์ของพวกเรา ผู้เฒ่าเชื่อว่าในภายภาคหน้ากู้ซีจิ่วเด็กน้อยคนนี้จะต้องไม่ด้อยกว่าผู้ใด! ในอนาคตความสำเร็จของนางจะไร้ซึ่งขัดจำกัด! บางที…หึ อาจจะก้าวล้ำหน้าสานุศิษย์สวรรค์บางคนก็ได้ใครจะรู้ ต่อไปพวกเจ้าต้องเบิกตาให้ข้ากว้างๆ หน่อย อย่าได้เห็นเพชรเป็นกรวดแล้วโยนทิ้ง เช่นนั้นต่อให้เก็บหยกขาวชิ้นหนึ่งกลับมาได้ มูลค่าก็ยังห่างไกลจากเพชรนัก! ต่อไปพวกเจ้าจะเสียใจภายหลังจนแทบกระโลหิต!”
เหล่าอาจารย์อับจนวาจา
เหตุใดพวกเขารู้สึกว่าอาจารย์ใหญ่กู่กำลังพูดจากระทบกระแทกแดกดันบางคนที่นี่อยู่นะ?
ด้วยเหตุนี้สายตาลุ่มลึกของทุกคนจึงลอบมองไปที่ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย
ครั้งนี้ดูเหมือนว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายที่หลักแหลมกว่าวานรเป็นร้อยเท่าเสมอจะไม่ได้ยิน แม้แต่ปฏิกิริยาตอบสนองสักนิดก็หามีไม่ เขาจิบชาคำหนึ่ง สายตาจับจ้องที่สนามประลองอยู่ตลอด…
ดูจากแนวโน้มครั้งนี้ รอบนี้น่าจะเป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ กลุ่มของกู้ซีจิ่วจะพ่ายแพ้เช่นเดิม
เพียงแต่นางสามารถยื้อไว้นานขนาดนี้ได้ก็ไม่ธรรมดามากแล้ว! แทบจะอยู่เหนือความคาดหมายของเขา
เขามองบางคนที่อยู่ในสนามประลอง แววตาลึกล้ำดั่งท้องสมุทรที่มองไม่เห็นก้นบึ้ง ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ทราบว่าศึกตัดสินของช่วงสุดท้ายมาถึงแล้ว…
การต่อสู้ในสนามประลองเข้าขั้นดุเดือดแล้ว
ท่ามกลางหกคนนี้ พลังวิญญาณของกู้ซีจิ่วต่ำที่สุด เป็นพลังวิญญาณธาตุลม ความเร็วจึงว่องไวที่สุด แต่ก็สิ้นเปลืองพลังอย่างหนักนาเช่นกัน เป็นธรรมดาที่ระดับความอึดจะสู้อีกหลายคนที่เหลือไม่ได้
ประกอบกับเธอต้องคอยปรับรูปขบวนอยุ่เนืองๆ ไม่เพียงออกกระบวนท่าของตนเท่านั้นยังต้องชี้แนะให้หลานไว่หูออกกระบวนท่าอีก ไม่ว่าจะเป็นแรงกายหรือแรงวสมองล้วนแต่สิ้นเปลืองไปอย่างรวดเร็วทั้งสิ้น
หน้าผากของเธอมีหยาดเหงื่อผุดซึมไม่ขาดสาย เหงื่อบนแผ่นหลังก็ชุ่มเหงื่อ หยาดเหงื่อบนหนังศีรษะไหลย้อยชุ่มเส้นผม มองแล้วจนตรอกนัก กระบวนท่าที่สำแดงออกมาก็ไม่ปราดเปรียวเหมือนตอนแรก
มองไปที่หลานไว่หูต่อ พลังวิญญาณของนางนับว่าอ่อนแอเป็นอันดับสอง อีกทั้งนางยังมีประสบการณ์ไม่เพียงพอ นี่คือการต่อสู้ที่นางยืนหยัดได้นานที่สุดและอันตรายที่สุดด้วย ยามนี้เส้นผมของนางเปียกชุ่มด้วยหยาดเหงื่อเช่นกัน มือเท้ายิ่งอ่อนแรงดั่งมิใช่มือเท้าของตน แต่นางยังคนยืนหยัดสู้สุดชีวิตเช่นเดิม ในใจมีเพียงความคิดเดียว ยืนหยัด! ยืนหยัดไว้! แม้จะถูกผู้อื่นสังหาร ก็ต้องสู้ในสนามประลองนี้ให้ถึงที่สุด!
เชียนหลิงอวี่ถึงแม้พลังวิญญาณจะสูง ไม่เคยเสียทีให้ผู้ใด…
บทที่ 695 ข้าไม่ต้องการเจ้า 3
แต่อย่างไรเขาก็อยู่ในชั้นเรียนเมฆาคล้อยไปวันๆ เนิ่นนานถึงเพียงนั้น ทรัพยากรไม่สมบูรณ์เท่าศิษย์ในชั้นเรียนเมฆาม่วง ด้วยกำลังรบในปัจจุบันของเขา หากมิใช่กู้ซีจิ่วคอยบัญชา คาดว่าเขาคงสิ้นท่าไปแล้ว
ในใจเขาก็มีความคิดเพียงอย่างเดียวเช่นกัน สู้! ถึงแม้สุดท้ายจะยังคงพ่ายแพ้อยู่ ก็ต้องแพ้อย่างงดงามหน่อย ทำให้ฝ่ายตรงข้ามเสียค่าตอบแทนบ้าง!
ความจริงแล้วสองพี่น้องเล่อชิงซิ่งและเล่อจื่อซิ่งก็ตึงเครียดเช่นกัน เมื่อก่อนตอนที่เขาต่อสู้กับผู้อื่นล้วนสามารถวัดคนกระเด็นไปได้ภายในไม่กี่สิบกระบวนท่า ไม่เคยต้องสู้นานขนาดนี้มาก่อน!
พวกเขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่ากลุ่มที่อยุ่ตรงหน้าจะสามารถยื้อไว้ได้นานถึงเพียงนี้! พวกเขาใช้พลังทั้งหมดแล้ว สู้มาจนถึงยามนี้ก็ได้เปรียบพียงน้อยนิดเท่านั้น
อันที่จริงผู้ที่แข็งแกร่งก็นับถือผู้ที่แข็งแกร่งมากเช่นกัน พี่น้องคู่นี้เดิมทีไม่เห็นกลุ่มกู้ซีจิ่วอยู่ในสายตาเลย ทว่าบัดนี้กลับถูกจิตใจที่ไม่ยอมแพ้ของพวกเขาสั่นสะเทือนแล้ว…
คนเช่นนี้ไม่ว่าเป็นคู่ต่อสู้หรือว่าเป็นสหาย ก็ควรค่าให้คนเลื่อมใสทั้งสิ้น มีค่าพอให้นับถือ!
ท่ามกลางคนเหล่านี้อวิ๋นชิงหลัวมีวรยุทธ์สูงที่สุด แถมนางยังโตที่สุดด้วย
ช่วยไม่ได้ ฐานะสานุศิษย์สวรรค์ของนางถูกค้นพบช้าไป อายุสิบแปดปีแล้วถึงถูกขุดพบ…
ตอนนี้เมื่อเทียบกับอีกหลายคนแล้ว นางค่อนข้างผ่อนคลาย บนหน้าผากมีเหงื่อเพียงเล็กน้อย อาภรณ์บนร่างยังไม่เปียกโชก ยังคงงดงามปานเทพธิดาผู้ล่องลอยเหมือนเดิม
แต่ยามนี้ในใจนางกลับเป็นทุกข์อยู่บ้าง นางนึกว่ารอบที่สองนี้จะสามารถเอาชนะพวกกู้ซีจิ่วได้สบายๆ เช่นเคย ไม่แน่อาจจะง่ายดายกว่ารอบแรกด้วยซ้ำ ดังนั้นก่อนหน้านี้นางจึงพูดจาวางโตเช่นนั้นออกไป
นึกไม่ถึงว่ารอบที่สองจะสู้กันยืดเยื้อเช่นนี้ อีกฝ่ายเลื่อนระดับได้ไวเกินไปแล้ว!
รอบที่สองนี้เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายเปลี่ยนกลยุทธ์แล้ว บ่อยครั้งที่จับข้อบกพร่องที่ปรากฏขึ้นเพียงแวบเดียวของพวกเขาได้แล้วโจมตีเข้ามาอย่างรุนแรง มีหลายครั้งที่ไล่ต้อนจนนางทำอะไรไม่ถูกได้
ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป ต่อให้กลุ่มตนเอาชนะในรอบนี้ได้ก็เป็นการชนะอย่างเฉียดฉิวเท่านั้น รอบต่อไปก็ยากจะพูดแล้ว!
กล่าวอีกนัยคือรอบต่อไปมีความเป็นไปได้สูงที่อีกฝ่ายจะชนะ!
หากรู้เช่นนี้แต่แรก นางไม่พูดจาวางโตเช่นนั้น ยามนี้กลายเป็นทุ่มหินทับเท้าตนเข้าเสียแล้ว คิดจะเก็บกลับมาก็สายไปแล้ว!
ไม่ได้การแล้ว รอบนี้นางจำเป็นต้องแสดงฝีมืออย่างดุเดือด ต้องทุบตีอีกฝ่ายจนพิการให้ได้ ทำให้พวกเขาลงสนามรอบต่อไปอีกไม่ได้!
อารมณ์รุนแรงวาบผ่านดวงตา นางกัดลิ้นทันที ภายใต้ความเจ็บปวดรุนแรงพลังยุทธ์จะถูกกระตุ้นขึ้นจนมาถึงสิบสองส่วน โจมตีใส่หลานไว่หูปานพายุคลั่ง!
ในบรรดาคนทั้งสาม วรยุทธ์ของหลานไว่หูแย่ที่สุดและจัดการได้ง่ายที่สุด ขอเพียงทำให้นางพิการก็จัดการได้ง่ายแล้ว!
ระหว่างการต่อสู้ที่ดุเดือดนางเผยช่องออกมา หลีกเลี่ยงการประทะกับลูกไฟยักษ์ของเชียนหลิงอวี่ ลำแสงทองจากมือขวาสกัดกั้นวิชาแยกวายุของกู้ซีจิ่ว กระบี่ล้ำค่าปรากฏขึ้นมาในมือซ้าย แสงเยียบเย็นส่องวาบ สาดเข้าใส่หลานไว่หู!
ก่อนหน้านี้ยามที่ต่อสู้มือซ้ายของนางจะประสานกับมือขวาของนางอยู่เสมอ ดังนั้นจึงไม่มีผู้ใดทราบว่าอันที่จริงแล้วนางก็ใช้กระบี่มือซ้ายได้ร้ายกาจมากเช่นกัน จู่โจมคนจนถึงแก่ชีวิตอยู่ประจำ
และทิศทางที่กระบี่ของนางพุ่งเข้าใส่คือทรวงอกด้านซ้ายของหลานไว่หู รวดเร็วดั่งดาวตกว่องไวปานฟ้าแลบ ด้วยความสามารถของหลานไว่หูในยามนี้นางย่อมหลบไม่พ้น!
ดังนั้นขอเพียงถูกแทง หากไม่ตายนางก็ต้องพิการแน่นอน!
กระบี่นี้ของนางจู่โจมอย่างน่าประหลาดใจเกินไป! เรียกได้ว่าแทบจะอยู่นอกเหนือความคาดหมายของทุกคน
เยี่ยนเฉินหน้าเปลี่ยนสี รีบร้อนไปหมายจะช่วยเหลือ แต่จะทันได้อย่างไร?
เคราะห์ดีที่ถึงเขาจะไปไม่ทันก็ยังมีคนที่เข้าไปทัน!
เมื่อถึงยามคับขันเข้าจริงๆ ย่อมไม่มีผู้ใดรวดเร็วกว่าตี้ฝูอีที่ชมการประลองพลางคาดเดาเหตุการ์ไว้ล่วงหน้าอยู่ตลอด!
นิ้วมือเขาขยับเล็กน้อย ทันใดนั้นลำแสงสีทองก็รวมตัวกัน ขณะที่กำลังจะดีดออกไป เบื้องหน้าพลันพร่ามัว กู้ซีจิ่วที่เดิมทีอยู่รอบนอกของหลานไว่หูไม่แยแสกระบวนท่าที่ฝาแฝดคู่นั้นจู่โจมใส่ ใช้วิชาเคลื่อนย้ายไปปรากฏหน้าร่างหลานไว่หูทันที จากนั้นก็ใช้วิชาเคลื่อนย้ายเข้ามารับกระบี่ของอวิ๋นชิงหลัว!
วิชาเคลื่อนย้ายของเธอรวดเร็วเป็นที่สุด รวดเร็วกว่าปฏิกิริยาตอบสนองของทุกคน และเร็วกว่าการเคลื่อนไหวของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายและหลงซือเย่…
‘ฉึก!’ กระบี่ล้ำค่าของอวิ๋นชิงหลัวแทงเข้าที่อกขวาของกู้ซีจิ่ว
————————————————————————————-
บทที่ 696 ข้าไม่ต้องการเจ้า 4
‘ฉึก!’ กระบี่ล้ำค่าของอวิ๋นชิงหลัวแทงเข้าที่อกขวาของกู้ซีจิ่ว ความเร็วในการเคลื่อนย้ายของกู้ซีจิ่วว่องไวเหลือเกิน เธอไม่หยุดฝีเท้าเลย ไม่สนใจกระบี่ล้ำค่าที่แทงทะลุอกขวาเคลื่อนย้ายไปปรากฏเบื้องหน้าอวิ๋นชิงหลัวทันที ซัดฝ่ามืออันทรงอานุภาพออกไป!
‘ปัง!’ ฝ่ามือของเธอซัดใส่ทรวงอกของอวิ๋นชิงหลัวอย่างจัง!
จะอย่างไรอวิ๋นชิงหลัวก็คิดไม่ถึงว่ากู้ซีจิ่วจะใช้วิธีเช่นนี้มาสู้สุดชีวิตกับนาง ถึงขั้นไม่เกรงกลัววซึ่งความตายเลย!
ระหว่างที่นางตกตะลึงก็ถูกฝ่ามือกู้ซีจิ่วซัดกระเด็นออกไป หล่นลงไปจากเวที…
การเปลี่ยนแปลงนี้รวดเร็วเกินไป ทุกอย่างแทบจะจบสิ้นในชั่วพริบตาเดียว
จวบจนยามนี้ฝูงชนที่อยุ่ด้านล่างเวทีถึงได้ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ…
อวิ๋นชิงหลัวหล่นกระแทกพื้นเสียงดังปัง ทรวงอกของนางเจ็บปวดอย่างยิ่ง รู้สึกว่าซี่โครงของตนถูกซัดหักแล้ว…
ส่วนกู้ซีจิ่วที่ถูกกระบี่เสียบอก กระบี่เล่มนั้นแทงทะลุจากทรวงอกด้านหน้าของเธอ โผล่ออกมาที่ด้านหลัง โลหิตพุ่งกระฉูดออกมาจากหน้าอกและแผ่นหลังเธอ เธอยืนอยู่ตรงนั้นร่างกายซวนเซเล็กน้อย แต่กลับยิ้มออกมา ยิ้มอย่างภูมิใจ “อวิ๋นชิงหลัว เจ้าแพ้แล้ว!”
คณะอาจารย์ทั้งหมดที่อยู่บนเวทีลุกพรวดขึ้นมา แม้แต่ตี้ฝูอีก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน ร่าสงเขาไหววูบ พุ่งเข้าหากู้ซีจิ่ว…
หลงซือเย่ก็ทะยานเข้ามาในเวลาเดียวกัน “ซีจิ่ว!”
กู้ซีจิ่วฝืนไว้ไม่อยู่อีกต่อไป ร่างกายล้มหงายหลัง หล่นลงในอ้อมแขนคนผู้หนึ่ง
อ้อมแขนคนผู้นั้นมีกลิ่นหอมอื่นจางที่คุ้นเคย เคยโอบกอดเธอเอาไว้หลายครา เคยทำให้เธอลุ่มหลง ถึงขั้นอาวรณ์อยุ่บ้าง แต่ตอนนี้พอเธอร่วงสู่อ้อมแขนคนผู้นี้ กลับเสมือนถูกแมงป่องต่อย รีบดิ้นรนทันที “ปล่อยนะ!”
ในเวลาเดียวกันนี้หลงซือเย่ได้พุ่งมาอยู่ด้านหน้าแล้ว ช้ากว่าตี้ฝูอีเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น พลาดโอกาสจากกู้ซีจิ่วไปต่อหน้าต่อตา บัดนี้เขายืนอยู่เบื้องหน้าตี้ฝูอี สีหน้าเขาไม่ดียิ่งนัก “ตี้ฝูอี มอบนางให้ข้า!”
ตี้ฝูอีไม่มองหลงซือเย่เลย แขนซ้ายโอบกู้ซีจิ่วไว้ มือขวาวนเวียนอยู่ที่บดแผลเธอ “เจ้าบ้าไปแล้ว!”
ยามนี้กู้ซีจิ่วรู้สึกเจ็บปวดจนตัวเธอขดงอแล้ว ใบหน้าเธอซีดเผือด ทว่าไม่อยากสัมผัสใกล้ชิดกับตี้ฝูอี จึงดิ้นรนอย่าไม่คิดชีวิต “เจ้าปล่อยข้านะ! เจ้าสำนักหลงช่วยข้าด้วย…”
หลงซือเย่ก็เอ่ยขึ้นว่า “ให้ข้าดูอาการนาง!”
คิดจะแย่งตัวคนมา…
แต่ตี้ฝูอีขยับร่างแวบหนึ่ง หลบหลีกเขา จากนั้นก็อุ้มคนหายไปในชั่วพริบตา
หลงซือเย่โกรธจนตัวสั่น “ตี้ฝูอี เจ้าจะพานางไปไหน?!”
ตี้ฝูอีหายไปว่องไวนัก มือเขายื่นออกมาทว่าแม้แต่มุมชุดของอีกฝ่ายก็ฉวยไว้ไม่ได้ อาจารย์ของชั้นเมฆาม่วงห้องหนึ่งปราดมาขวางเขาไว้ “เจ้าสำนักหลง ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บมิใช่แม่นางกู้คนเดียว นู่น ยังมีแม่นางอวิ๋นด้วย รบกวนท่านช่วยดูอาการนางทีเถิด”
ยามนี้หลงซือเย่ไหนเลยจะสนแม่นางเมฆแม่นางฝน[1]อะไรอีก เขาคร้านจะพูดจาไร้สาระกับผู้อื่น ร่างกายวูบไหวหายไปทันที
อวิ๋นชิงหลัวที่อยู่บนพื้นเพิ่งจะเงยหน้าขึ้นมา ซี่โครงของนางหักไปอย่างน้อยสี่ซี่ จะหายใจก็แทบลำบากแล้ว แต่กลับจ้องเขม็งไปบนเวทีในทิศทางที่กู้ซีจิ่วหายลับไป ใบหน้าซีดขาวจนน่ากลัว ขนริมฝีปากแน่นจนเลือดออก…
ฝ่ายหลานไว่หูและคนที่เหลือก็เพิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนองในยามนี้ หลานไว่หูมองโลหิตที่เจิ่งนองอยู่ใต้ฝ่าเท้า ตกใจจนใบหน้าน้อยไร้สีเลือด “ซีจิ่ว…”
ฝูงชนก็มีอาการเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้าเช่นกัน
จากนั้นสายตาก็หันเหไปที่ร่างอวิ๋นชิงหลัวอย่างพร้อมเพรียง
เมื่อครู่ถึงแม้ทุกคนจะขวางไว้ไม่ทัน แต่ทุกคนก็เห็นการจู่โจมด้วยกระบี่เล่มนั้นของอวิ๋นชิงหลัวอย่างชัดเจน
กระบี่นั้นโหดเหี้ยมและเจ้าเล่ห์ยิ่ง เสมือนปฏิบัติต่อศัตรูคู่อาฆาต ถ้าตำแหน่งที่เล็งเป็นทรวงอกด้านซ้ายของหลานไว่หู มิใช่กู้ซีจิ่วทุ่มสุดชีวิตเพื่อสกัดไว้ ยามนี้ผู้ที่นอนอยู่บนพื้นคงเป็นหลานไว่หูแล้ว!
ถึงแม้จะกล่าวไว้ล่วงหน้าชัดเจนแล้วว่าการประลองครั้งนี้เดิมพันด้วยชีวิต ทุกคนต้องทุ่มเทสุดกำลัง แต่…
————————————————————————————-
[1] เป็นการเล่นคำ ตัวอวิ๋นในชื่อของอวิ๋นชิงหลัว มีความหมายว่าเมฆ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น