หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 678-683

บทที่ 678 ขอขอบคุณท่านปรมาจารย์!

 

วิสัยทัศน์มืดสนิทแปรเปลี่ยนเป็นความมืดอันน่าหวาดหวั่น ก่อนจะค่อยๆ แจ่มชัดขึ้นหลังจากหวังเป่าเล่อก้าวเข้าไปในวัง ชายหนุ่มตัวแข็งทื่อ สัมผัสได้ถึงขนที่ลุกชัน เขายืนนิ่ง สัญชาตญาณบอกให้ถอยกลับออกไป


ด้านในวังลำดับสามนั้นแตกต่างจากวังทั้งสองแห่งก่อนหน้า ไม่มีใครรอตรวจสอบคุณสมบัติอยู่ด้านใน และทั่วบริเวณก็ดูกว้างใหญ่กว่า


สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ทั้งหมดที่ทำให้ชายหนุ่มหัวใจเต้นถี่รัว ด้านในยังมีสระขนาดใหญ่กินพื้นที่กว่าสามร้อยเมตร ในนั้นเต็มไปด้วยน้ำสีขาวดูคล้ายน้ำนม กลิ่นที่ลอยออกมาเย้ายวนให้อยากลองตักชิม


หมอกจางๆ ลอยอยู่ทั่วบริเวณ คลื่นพลังงานอัดแน่นอยู่ทั่วทั้งวัง สร้างแรงกดดันประหลาดไปทั้งพื้นที่


ต้นตอของแรงกดดันนี้มาจากสระสีน้ำนมตรงใจกลางวัง!


ใบบัวสิบเอ็ดใบลอยอยู่ในสระ มีคนนั่งอยู่บนใบบัวทั้งสิบ มีเพียงใบบัวใบที่สิบเอ็ดที่ไร้สิ่งใดอยู่ด้านบน


รวมแล้วมีคนอยู่ทั้งหมดสิบคน!


คนที่นั่งอยู่มีทั้งชายและหญิง หวังเป่าเล่อมองผ่านหมอกเห็นว่าร่างของพวกเขาล้วนผอมแห้งติดกระดูก และต่างนั่งนิ่งไม่ไหวติง กลิ่นอายความตายแผ่ออกมาจากร่างทั้งสิบ พวกเขาเหมือนเป็น…ศพ!


ชุดคลุมที่สวมใส่อยู่ดูคล้ายชุดคลุมของศพที่อยู่กลางทะเลโลหิต พวกเขาน่าจะเป็นผู้อาวุโสระดับใกล้เคียงกันของสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ละคนนั้นแผ่พลังแกร่งกล้าไม่ต่างกันออกมา ชายหนุ่มตัวสั่นเทิ้มจากพลังรัศมีของศพเหล่านี้


วังนี่มันอะไรกัน นอกจากจะแตกต่างจากอีกสองวังแล้ว ยังมีศพเยอะแยะขนาดนี้ซ่อนอยู่อีก! หวังเป่าเล่อปากสั่นด้วยความหวาดกลัว เขาหยุดหายใจไปชั่วขณะ ได้ยินเสียงหัวใจเต้นระส่ำดังก้องในหู พลังที่แผ่พุ่งออกมาจากเหล่าศพและบรรยากาศโดยรอบทำให้เขาตื่นกลัวและไม่สบายใจจนไม่รู้จะบรรยายอย่างไร


ใจหนึ่งก็อยากจะกลับออกไปจากที่แห่งนี้ แต่ร่างกายกลับหยุดนิ่งหลังจากถอยไปได้หนึ่งก้าว ดวงตาของเขาหรี่ลง ก่อนจะเบิกกว้างขึ้นในทันใด


ในหมอกมีปราณวิญญาณอยู่ แถมยังหนาแน่นมาก… ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มไม่ทันเอะใจเพราะมัวแต่ตื่นกลัว เขาพยายามผ่อนคลายร่างกายของตนเองและดูดซับหมอกรอบกายเข้าไป ตัวของเขาสั่นเทิ้ม


หมอกไหลเข้าสู่ร่างกายชายหนุ่มในทันที ความอบอุ่นและสัมผัสอันอุดมสมบูรณ์ที่ไม่เคยพบมาก่อนไหลหลากเข้าสู่ร่าง หวังเป่าเล่อรู้สึกเติมเต็มและอิ่มเอมใจ


ปราณวิญญาณนี่..แตกต่างจากปราณวิญญาณในสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาล ดูมีพลังและคุณภาพดีกว่า! หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปาก เขาจ้องมองสระและน้ำสีน้ำนมที่โดนหมอกบังอยู่ ไม่รู้เลยแม้แต่นิดว่าน้ำที่ว่านี่กลั่นมาจากสิ่งใด แต่ก็รู้ว่ามันน่าจะมีความพิเศษบางอย่าง ขนาดหมอกที่ลอยออกมาจากสระยังอัดแน่นไปด้วยปราณวิญญาณ แสดงว่าน้ำในสระจะต้องไม่ใช่สิ่งธรรมดาทั่วไปแน่


หวังเป่าเล่อกังวลเรื่องศพบนสระเล็กน้อย แต่ไม่นานเขาก็ปัดความกังวลทิ้งไปและเดินเข้าไปในหมอก อาจจะดูเป็นการกระทำที่บุ่มบ่าม แต่ชายหนุ่มก็คอยระแวดระวังตัวอย่างเต็มที่ เขาไม่ได้เข้าไปในสระ แต่นั่งลงกลางม่านหมอกด้านนอก พยายามดูดซับปราณวิญญาณที่อัดแน่นอยู่ในนั้น


ปราณวิญญาณจำนวนมากไหลเข้าสู่ร่างของเขา เริ่มมีเสียงปริแตกดังขึ้นขณะความอบอุ่นเกินบรรยายแผ่ซ่านไปทั่วทั้งร่าง ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนมีมือเล็กๆ มากมายกำลังนวดคลายความเมื่อยล้าให้หายไป แม้แต่ดวงวิญญาณยังรู้สึกอุ่นสบาย เสียงครางเกือบจะหลุดรอดออกมาจากริมฝีปาก โชคดีที่ชายหนุ่มห้ามตัวเองไว้ได้ทัน จึงไม่ได้ส่งเสียงอะไรแปลกๆ ออกมา


ทั่วทั้งร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและได้รับการบำรุง เส้นผมยืดยาวขึ้น ผิวหนัง เลือดเนื้อ รวมไปถึงกระดูกเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง หลังจากบรรลุไปขั้นจุติวิญญาณ เขาก็เป็นเหมือนผืนดินแห้งแล้ง แต่ตอนนี้มีฝนร่วงหล่นลงมาฟื้นฟูสภาพผืนดินขึ้นใหม่อีกครั้ง!


เขารู้สึกว่าร่างกายเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ขณะพลังชีวิตไหลเวียนเข้าไปบำรุงภายใน ระดับพลังปราณเองก็เริ่มกล้าแกร่งขึ้นเช่นกัน


หวังเป่าเล่อรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ ตลอดครึ่งชั่วโมงที่ผ่านไป ดวงตาของเขาส่องแสงเป็นประกายเมื่อได้พบว่าระดับพลังปราณของตนพุ่งสูงกว่าเดิมมาก


สิ่งนี้น่าจะเป็นของเหลววิญญาณอันกล้าแกร่งสักอย่างในตำนาน ทิ้งไว้ตรงนี้ก็น่าเสียดาย ศพเหล่าผู้อาวุโสก็ดูดซับไม่ได้อยู่แล้ว… ชายหนุ่มกะพริบตา ลุกยืนขึ้นกุมมือโค้งคำนับสระน้ำเบื้องหน้า


“ศิษย์ผู้นอบน้อมได้กระทำการอันหยาบคายเข้ามารบกวนการพักผ่อนของท่าน ข้าจำเป็นต้องทำเช่นนี้และหวังว่าท่านปรมาจารย์ผู้สูงส่งจะไม่คิดเอาผิดข้า ข้าไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากหาทางบรรลุขั้นการฝึกตนในสถานที่แห่งนี้เพื่อปกป้องสำนักวังเต๋าไพศาลจากภัยอันตราย!”


“โปรดยินยอมให้ข้านำของเหลววิญญาณในสระติดตัวไปเพื่อช่วยสำนักวังเต๋าไพศาล หากท่านไม่ยินยอมโปรดส่งสัญญาณบอกศิษย์ด้วย” หวังเป่าเล่อกุมมือและคำนับอีกครั้งด้วยสีหน้าจริงจังหลังพูดจบ เขาคอยอยู่อย่างนั้นอย่างนอบน้อมเพื่อรอการตอบกลับ


หลายสิบวินาทีผ่านไป ชายหนุ่มกะพริบตาและเงยหน้าขึ้น สีหน้ายังดูจริงจังไม่แปรเปลี่ยน เขาดูจะซึ้งใจจึงพูดขึ้นอีกครั้ง


“ท่านปรมาจารย์ผู้สูงส่งทั้งหลายช่างเที่ยงธรรม ข้าขอขอบคุณพวกท่านที่ไม่ปฏิเสธคำร้องขอของข้า!”


เขารู้สึกสบายใจ ส่วนตัวแล้วชายหนุ่มคิดว่าไม่ใช่เรื่องผิดอะไรที่จะสูบปราณวิญญาณในที่แห่งนี้ไป อย่างไรเสีย ตนก็เป็นศิษย์อุปถัมภ์ของสำนักวังเต๋าไพศาลและมีแม่นางน้อยอยู่เคียงข้าง ที่นี่ก็เหมือนบ้านของเขาเอง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาไม่ได้เอ่ยถามก่อน


ท่านปรมาจารย์ทั้งหลายไม่ได้ปฏิเสธคำขอของข้า หมายความว่าพวกเขายอมรับในตัวข้า หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจว่าเหล่าศพตรงหน้าไม่สามารถบอกปฏิเสธอะไรได้และเริ่มมั่นใจในการกระทำของตนเองมากขึ้น เขาเชิดหน้า ยืดอก จากนั้นก็เดินเข้าไปใกล้พร้อมสูบปราณวิญญาณในอากาศเข้าไป เขาดูดซับปราณวิญญาณขณะเดินตรงไปข้างหน้า หยุดพักบ้างเป็นครั้งคราวเพื่อปรับสมดุลปราณวิญญาณที่ดูดซับเข้ามา สี่ชั่วโมงผ่านไป หมอกทั่วบริเวณจางลงมาก ระดับพลังปราณของหวังเป่าเล่อเพิ่มพูนขึ้นจากปราณวิญญาณที่สูบเข้ามา พุ่งไปอยู่ใกล้จุดสูงสุดของขั้นจุติวิญญาณชั้นต้น


ชายหนุ่มเดินตรงไปทางสระน้ำขณะดูดซับปราณวิญญาณอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเขาก็มาหยุดยืนอยู่หน้าสระน้ำ จ้องมองน้ำในสระตาเป็นประกาย นึกลังเลใจอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยปลอบตนเอง จากนั้นก็สร้างผนึกฝ่ามือ ดึงหยดน้ำสีน้ำนมขึ้นมาจากสระ


หยดน้ำส่งกลิ่นเย้ายวนใจจนหวังเป่าเล่อเกือบจะพุ่งไปเขมือบลงคอ เขาเป็นคนรักสะอาดประมาณหนึ่งจึงหยุดตัวเองไม่ให้ทำเช่นนั้น เมล็ดดูดกลืนในกายตื่นพลัง ปลดปล่อยแรงสูบผ่านไปทางปลายนิ้วมือ หยดน้ำหายวับไปในทันใด กลายเป็นหมอกสีขาวไหลผ่านนิ้วมือเข้าไปในร่างกายชายหนุ่ม


เกิดการระเบิดขึ้นในหัวของเขา หวังเป่าเล่อหลับตาลง ปราณวิญญาณหนาแน่นเกินบรรยายถาโถมเข้าสู่ร่างราวกับเป็นคลื่นยักษ์ วิญญาณจุติพลันลืมตาตื่น จากนั้นก็สูดหายใจและเริ่มดูดซับพลังปราณ ผ่านไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มก็ลืมตาขึ้นพร้อมความตื่นเต้นที่พุ่งขึ้นสูง


เยี่ยมไปเลย! เขาเลียริมฝีปาก ประเมินระดับพลังปราณของตนที่เพิ่มขึ้นและตรวจดูให้มั่นใจว่าร่างกายไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากนั้นก็เดินไปนั่งริมขอบสระอย่างไม่ลังเลใจและปลดปล่อยพลังเมล็ดดูดกลืนเต็มกำลัง


เสียงกัมปนาทดังขึ้นในหัวราวกับมีอสนีบาตฟาดผ่าใส่ไม่ยั้ง น้ำในสระพวยพุ่งขึ้นก่อนจะเปลี่ยนเป็นไอหมอกไหลเข้าร่างหวังเป่าเล่อผ่านรูขุมขน ชายหนุ่มตัวสั่นเทิ้ม วิญญาณจุติรีบสูบปราณวิญญาณอย่างหิวกระหาย คลื่นพลังงานในกายแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผ่านพ้นไป


พลังปราณของเขาเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็วจนพุ่งขึ้นไปหยุดอยู่ตรงจุดสูงสุดของขั้นจุติวิญญาณชั้นต้น!


“ยังได้อีก มา!” หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัวขณะพูดพึมพำกับตนเอง เขาบังคับเมล็ดดูดกลืนให้ปล่อยพลังสูบรุนแรงอีกครั้ง วิญญาณจุติในร่างปรากฏตัวและลอยขึ้นไปบนหัว จากนั้นก็สร้างผนึกฝ่ามือสูบน้ำในสระเพื่อเร่งกระบวนการดูดซับ


หมอกปราณวิญญาณหนาแน่นไหลเข้ามาห้อมล้อมชายหนุ่ม เป็นเหมือนวังวนขนาดใหญ่ที่มีหวังเป่าเล่อนั่งอยู่ตรงกลาง ชายหนุ่มไม่ทันสังเกต…ว่าศพเหี่ยวแห้งศพหนึ่งที่นั่งอยู่บนใบบัวเริ่มสั่นไหว ขนตาปรือไปมา เหมือนว่ากำลังจะลืมตาตื่น



 

 

 


บทที่ 679 ทางเลือกทั้งสาม!

 

ปราณวิญญาณปกคลุมหนาแน่นไปทั่วบริเวณจนดูคล้ายหมอก หวังเป่าเล่อง่วนอยู่กับการดูดกลืนปราณวิญญาณเหล่านั้นและยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ชายหนุ่มกำลังพยายามไปให้ถึงอีกจุดหมายหนึ่งในเส้นทางแห่งการฝึกปราณ เขาไม่รู้ตัวเลยว่าหนึ่งในบรรดาซากศพกำลังจะตื่นขึ้น


ถือเป็นเรื่องดี เพราะหากเป็นคนอื่นมาที่นี่คงจะกลัวจนหัวหดเมื่อเห็นศพลืมตาขึ้น หากโชคดี ความกลัวนี้ก็คงแค่ขัดขวางการฝึกปราณเล็กน้อย หาไม่แล้ว…อาจจะทำให้ปราณวิญญาณพลุ่งพล่านจนเกินจะควบคุมได้


ศพนั้นยังไม่ตื่นเต็มที่ มันเพียงแต่เริ่มขยับขนตาก่อนจะหลับไหลลงอีกครั้ง หวังเป่าเล่อยังคงดูดกลืนปราณวิญญาณในอากาศต่อไปโดยไม่เดือดเนื้อร้อนใจ ระดับพลังปราณของเขาคืบเข้าใกล้การบรรลุขั้นต่อไปขึ้นทุกขณะ!


ชายหนุ่มตั้งใจดูดกลืนต่อกระทั่งปราณของเขาบรรลุสู่ขั้นจุติวิญญาณชั้นกลาง เรื่องนี้อาจเป็นการยากสำหรับผู้ฝึกตนทั่วๆ ไปที่ยังไม่จัดเจดเคล็ดวิชาฝึกตน ต้องมีการตระเตรียมมากมายเพื่อให้ฝึกได้เทียบเท่ากัน เคล็ดวิชาการฝึกตนเป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ในปราณขั้นใด แต่หวังเป่าเล่อมีวิญญาณจุติดวงดารา ตรงจุดนี้เองที่วิญญาณจุตินี้แตกต่างจากวิญญาณจุติทั่วไป


หวังเป่าเล่อสามารถผลักดันพลังปราณของตนให้รุดหน้าได้ด้วยการดูดกลืนปราณวิญญาณ โดยไม่จำเป็นต้องร่ำเรียนเคล็ดวิชาฝึกปราณใดๆ แม้แต่น้อย เพราะตอนนี้ชายหนุ่มยังไม่มีเคล็ดวิชาฝึกปราณขั้นจุติวิญญาณอยู่แม้แต่วิชาเดียว การบรรลุขั้นใดๆ ก็ตามที่เขาอาจทำได้ในช่วงนี้ยังไม่ถือเป็นการบรรลุขั้นอย่างแท้จริง แต่เมื่อใดก็ตามที่หวังเป่าเล่อฝึกเคล็ดวิชาการฝึกปราณจนช่ำชอง ชายหนุ่มก็จะสามารถทำให้พลังปราณของเขาเสถียรได้โดยไร้ผลข้างเคียงใดๆ


หวังเป่าเล่อเรียนรู้เคล็ดวิชาการฝึกปราณมาโดยตลอด ความทรงจำจากนิมิตมืด พลังเทพที่ได้รับมาจากสำนักวังเต๋าไพศาล รวมถึงวิชาที่ร่ำเรียนมาจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น แปลว่าเขารู้ดีว่าต้องเดินหน้าไปอย่างไรในขั้นจุติวิญญาณนี้


ไม่มีความจำเป็นต้องไปกวนใจถามแม่นางน้อย ชายหนุ่มมีแผนอยู่แล้วราวๆ เจ็ดถึงแปดแผนในศีรษะ แต่ละแผนมีจุดดีจุดด้อยต่างกันไป เขายังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเลือกใช้แผนใดแน่ หวังเป่าเล่ออยากศึกษาแผนแต่ละแผนให้ละเอียดหลังจากที่เดินทางกลับไปยังสหพันธรัฐแล้ว จากนั้นจึงค่อยตัดสินใจ


เคล็ดวิชาการฝึกปราณในขั้นจุติวิญญาณกำหนดอนาคตของผู้ฝึกตนได้เลยทีเดียว แผนที่หวังเป่าเล่อคิดขึ้นมาแต่ละแผนนั้นก็ดูน่าจะเป็นไปได้มากทั้งสิ้น และสามารถแบ่งออกได้เป็นสามจำพวกด้วยกัน


จำพวกแรกเป็นแผนที่มุ่งเน้นการฝึกปราณด้วยกายหยาบ โดยให้ปราณวิญญาณเป็นตัวหนุน หวังเป่าเล่อสามารถงัดเอาภูเขาขึ้นมาจากพื้นโลก หรือทุบแยกแผ่นดินให้แม่น้ำไหลผ่านได้ด้วยกำลังกายเพียงอย่างเดียว ชายหนุ่มยังสามารถหยิบดวงดาราลงมาจากท้องฟ้าได้อีกด้วย หากเขาเลือกทางนี้ จะมีเคล็ดวิชาฝึกปราณสามวิชาให้เลือก ซึ่งทั้งสามต่างก็ดูน่าสนใจพอๆ กัน


แผนต่อมาเน้นไปที่พลังเทพ การพัฒนาพลังเทพจะส่งผลให้ความสามารถในการรับรู้พลังธรรมชาติของหวังเป่าเล่อพุ่งสูง ซึ่งจะช่วยเร่งอัตราการเติบโตของปราณวิญญาณในกายอีกด้วย ชายหนุ่มจะสามารถแปรสภาพเมล็ดถั่วให้กลายเป็นทหาร เรียกพายุ และควบคุมทิศทางลมได้ วิญญาณจุติดวงดาราจะช่วยให้พลังของเขาก้าวหน้าไปกว่าผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันมาก อาจกล่าวได้ว่าหวังเป่าเล่อสามารถเอาชนะคนอื่นๆ ได้เพราะตัวตนอันยิ่งใหญ่เลยทีเดียว หากชายหนุ่มตัดสินใจเลือกแผนนี้ ก็จะมีเคล็ดวิชาการฝึกปราณอีกสามวิชาให้เลือกสรรค์ เขายังต้องศึกษาพวกมันให้ละเอียดขึ้นก่อนตัดสินใจ


แผนสุดท้ายเป็นแผนที่ทำให้หวังเป่าเล่อลังเลใจมากที่สุด แผนนี้ไม่สนใจกำลังกายหรือการรับรู้พลังธรรมชาติ หากแต่มุ่งเน้นไปที่การ…เข่นฆ่าเพียงอย่างเดียว!


ชายหนุ่มต้องไต่เต้าขึ้นไปด้วยการฆ่าฟัน หากเลือกเส้นทางนี้ เขาจะกลายมาเป็นสัญลักษณ์แห่งการสังหารและความรุนแรงในดินแดนของวิญญาณจุติทั้งหลาย ราวกับเป็นยมทูตแห่งสรรพชีวิตฉะนั้น!


มีเคล็ดวิชาฝึกปราณเพียงหนึ่งเดียวให้หวังเป่าเล่อเรียนหากเลือกเส้นทางนี้ นั่นก็คือ…วิชาดวงตาปีศาจ!


เคล็ดวิชานี้คือการสร้างดวงตาสีขาวที่ล่องลอยอยู่ข้างกายตลอดและกลายเป็นสิ่งแสดงถึงระดับพลังปราณของเขา วิธีการฝึกนั้นแตกต่างกับเคล็ดวิชาฝึกปราณอื่นๆ โดยสิ้นเชิง ผู้ฝึกตนต้องทำสิ่งเดียว ก็คือการ…ฆ่าฟัน!


การสังหารหนึ่งครั้งชายหนุ่มจะสร้างดวงตาได้หนึ่งดวง ดวงตาจะช่วยเพิ่มระดับพลังปราณให้เขา และดวงตานั้นก็คือดวงตาปีศาจนั่นเอง


หลังจากเข่นฆ่าผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนแล้ว ระดับปราณก็จะเกิดการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และหวังเป่าเล่อจะสามารถเรียกดวงตาออกมาล้อมกายตนเองได้นับไม่ถ้วน!


ดวงตาปีศาจแต่ละดวงสามารถปัดเป่าคาถาและยังแผ่พลังออกมามหาศาล พลังทำลายที่เกิดจากการทำลายตัวเองของดวงตารุนแรงเทียบเท่าแรงระเบิดที่ใช้สังหารคนเพื่อจะสร้างดวงตา


เคล็ดวิชาฝึกปราณนี้ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสังหารผู้อื่น ยิ่งผู้ฝึกตนฆ่าคนมากเท่าใดก็จะยิ่งแข็งแกร่ง และบ้าคลั่งมากขึ้นเท่านั้น!


เคล็ดวิชานี้ไม่ปรากฏอยู่ในดวงตาแห่งวิชาไม่รู้สิ้นหรือจารึกใดๆ ในสำนักวังเต๋าไพศาล กระทั่งแม่นางน้อยก็ยังไม่เคยได้ยินชื่อเคล็ดวิชานี้มาก่อน หวังเป่าเล่อไปอ่านมาจากจารึกของสำนักแห่งความมืดเมื่อครั้งที่อยู่ในนิมิตมืดนั่นเอง


หวังเป่าเล่อจำได้อย่างชัดเจนว่าเคยอ่านเรื่องนี้มาจากจารึกของสำนักแห่งความมืด วิชานี้เป็นกระบวนเวทลึกลับที่มีต้นกำเนิดมาจากอารยธรรมโบราณซึ่งสูญสิ้นไปนานแล้ว มีเพียงจารึกของการใช้กระเวทนี้ในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้นที่เหลือรอดมาได้ ที่เหลือสูญหายไปจนสิ้น เป็นเหตุให้กระบวนเวทนี้ถือว่าไม่สมบูรณ์ แม้จะทรงพลังเพียงใดก็ตาม


อย่าเพิ่งคิดถึงเรื่องนั้นเลย…หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะวางความคิดเหล่านั้นลง ชายหนุ่มหันกลับมาตั้งสมาธิกับการดูดกลืนของเหลววิญญาณในสระ ไม่ว่าเขาจะเลือกทางใด สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการสูบปราณวิญญาณจากสระและบรรลุไปสู่ขั้นจุติวิญญาณชั้นกลาง ระดับพลังจะเป็นรากฐานอันมั่งคงให้กับเขาไม่ว่าจะเลือกทางใดก็ตาม


เมื่อคิดได้เช่นนั้น เมล็ดดูดกลืนในกายของหวังเป่าเล่อก็เพิ่มพลังดูดกลืนขึ้นอีก วิญญาณจุติตัวน้อยร่างอ้วนท้วนบนศีรษะเขาประกบฝ่ามืออวบอูมทั้งสองเข้าด้วย มือทั้งสองเคลื่อนไหวรวดเร็วเสียจนพร่าเลือนเพื่อสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ ชายหนุ่มเริ่มดูดกลืนของเหลววิญญาณเข้าไปจำนวนมากราวกับเป็นวาฬขนาดยักษ์ ของเหลววิญญาณเหล่านั้นระเบิดปะทุขึ้นอย่างต่อเนื่องในกายเขา ก่อนจะแปรสภาพกลายเป็นปราณวิญญาณที่ผลักให้ระดับปราณของหวังเป่าเล่อพุ่งสูงขึ้นทุกที


ภายในเวลาไม่ถึงสิบนาที ร่างของหวังเป่าเล่อก็เริ่มส่งเสียงแตกร้าวอีกครั้ง เป็นสัญญาณว่าชายหนุ่มดูดกลืนของเหลววิญญาณเข้าไปมากกว่าที่ร่างกายจะรับไหว ปราณวิญญาณภายในกายของเขามีมากเกินกว่าที่ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นต้นจะแบกได้ ขณะนี้หวังเป่าเล่อมีปราณวิญญาณอยู่ในกายเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณชั้นกลางแล้ว


วิญญาณจุติของเขาก็ไม่ใช่เจ้าอ้วนน้อยอีกต่อไป แต่มันกลายสภาพเป็นลูกบอลเนื้ออ้วนกลม คนทั่วไปคงไม่มีทางรู้ได้ว่าสิ่งนี้คือวิญญาณจุติ…


หวังเป่าเล่อรู้สึกว่าตัวเขาถึงที่สุดแล้วทั้งทางกายและทางวิญญาณ ชายหนุ่มหายใจแทบไม่ทัน แต่เขาเองก็ไม่อยากหยุดอยู่เพียงเท่านั้น


ข้าพยายามไปตั้งมากกว่าจะเข้ามาที่นี่ได้ จะดูดกลืนปราณวิญญาณเข้าไปเพียงเท่านี้ไม่ได้! หวังเป่าเล่อลืมตาขึ้นจ้องมองสระน้ำตรงหน้า ส่วนที่เขาดูดกลืนไปแล้วนั้นไม่ถึงหนึ่งในพันของปริมาตรของสระด้วยซ้ำ นัยน์ตาของชายหนุ่มฉายแววมุ่งมั่น เขาต้องเคี่ยวเข็ญตัวเองสักหน่อยแล้ว


ข้าจะอ้วนเสียหน่อยก็ช่างปะไร ข้าจะดูดกลืนมันต่อไปเช่นนี้ละ! หวังเป่าเล่อตะโกนอยู่ในใจก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก เมล็ดดูดกลืนภายในกายเริ่มทำงานเต็มกำลังอีกครั้ง ปราณวิญญาณจำนวนมากจนน่ากลัวพวยพุ่งเข้าไปในกาย เมื่อเข้าไปแล้วก็พลุ่งพล่านไปทั่วตัวราวกับเป็นคลื่นยักษ์ที่ซัดสาด


เมื่อทั้งวิญญาณจุติและกายของหวังเป่าเล่อมาถึงขีดจำกัด ชายหนุ่มก็หันไปพึ่งทักษะที่คุ้นเคย…เขาเปลี่ยนปราณวิญญาณเป็นไขมันเก็บสะสมไว้ในร่างกาย


เรื่องนี้อาจเป็นปัญหาสำหรับคนอื่น แต่มันง่ายดายมากสำหรับหวังเป่าเล่อ ผู้ที่มีเมล็ดดูดกลืนเป็นของตนเอง ชายหนุ่มสามารถดูดกลืนปราณวิญญาณไปเรื่อยๆ จนกายระเบิดเป็นเสี่ยงก็ย่อมได้


ร่างของหวังเป่าเล่อบวมเป่ง คลื่นพลังวิญญาณที่แพร่กระจายออกมาแข็งแกร่งขึ้นทุกขณะ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ มาเห็นคงต้องตกตะลึงเป็น เพราะรัศมีที่แผ่ออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อในขณะนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณธรรมดาๆ ขวัญผวาได้เลย


ครึ่งชั่วโมงผ่านไป กระทั่งการหายใจก็ยังยากเย็น หวังเป่าเล่อขณะนี้ดูละม้ายคล้ายวิญญาณจุติของเขา คืออ้วนกลมจนเหมือนเป็นก้อนเนื้อใหญ่ๆ ใบหน้าหล่อเหลาหดเล็กจนหาไม่เจอ แม้จะเป็นคนที่รู้จักคุ้นเคยกับเขา หากมาเห็นตอนนี้ก็คงมองไม่ออก จิตใจของเขายังคงมุ่งมั่น แต่ร่างกายช่างอ่อนแอเสียเหลือเกิน ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกจึงต้องยอมหยุด


ข้าต้องหยุดเสียแล้ว หากไม่หยุดตอนนี้ ข้าคงจะกระโดดขึ้นฟ้าไม่ได้เป็นแน่…หวังเป่าเล่อเปิดตาอย่างยากเย็น ก่อนจะก้มลงมองท้อง ชายหนุ่มกัดฟันและดูดกลืนปราณวิญญาณเข้าไปอีกหน่อย จากนั้นจึงบังคับตนเองให้หยุด แล้วหยิบหุ่นเชิดออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ


แม้ว่าข้าจะไม่ไหวแล้ว แต่ข้าก็ยังมีหุ่นเชิดอยู่! ความมุ่งมั่นฉายชัดอยู่ในแววตาทั้งสอง ชายหนุ่มส่งหุ่นเชิดทั้งหมดลงไปในสระและเปิดแก่นวิญญาณของพวกมันขึ้นด้วยผนึกฝ่ามืด หุ่นเชิดเหล่านั้นกลายไปเป็นภาชนะบรรจุของเหลวในสระ


ต่อมาชายหนุ่มก็หยิบขวดทั้งใหญ่และเล็กออกมาจำนวนหนึ่ง ก่อนจะเริ่มกรอกของเหลววิญญาณใส่เข้าไป พอกรอกเสร็จแล้ว ในสระก็ยังเหลือของเหลววิญญาณอยู่อีกมหาศาล เขาเริ่มชั่งใจก่อนจะหยุดนิ่งคิดอยู่นาน ไกลออกไปบนใบบัว จู่ๆ เปลือกตาของศพศพหนึ่งก็กระตุก เป็นศพเดียวกับที่กระพือขนตาอยู่เมื่อครู่ ศพนั้นลืมตาขึ้นมาช้าๆ เผยให้เห็นแสงสีขาวเจือจางภายใต้ดวงตา


จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็ตบท้องของตนอย่างแรง


ข้าลืมเกราะจักรพรรดิไปได้อย่างไรกัน! หวังเป่าเล่อเงยศีรษะขึ้นอย่างเร่งรีบก่อนจะสร้างผนึกฝ่ามือเรียกเส้นปราณโลหิตให้พวยพุ่งออกมาจากกายและเลื้อยไปมาอยู่รอบๆ ก่อนจะแปรสภาพเป็นเกราะสีแดงฉาน หวังเป่าเล่อเรียกใช้วิชาลักอัคคีทันที!


วิชาลักอัคคีเป็นวิชาที่มุ่งเน้นการดูดกลืน ในขณะที่วิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิทำหน้าที่เป็นเหมือนภาชนะภายนอก ทั้งคู่ทำงานเข้าขากันเป็นอย่างดีในวังลำดับสาม เมื่อพวกมันปลดปล่อยพลังออกมาเป็นหนึ่งเดียวกัน ของเหลววิญญาณจำนวนมากก็พวยพุ่งเข้าไปในเกราะจักรพรรดิ ก่อนจะเปลี่ยนสภาพของเกราะไปมหาศาล เส้นปราณโลหิตปรากฏขึ้นอีกก่อนจะเข้าพันผูกกันเป็นแผ่นเส้นปราณโลหิตหนาหนัก เกราะจักรพรรดิทั้งสูงขึ้นและใหญ่ขึ้นอย่างมาก ช่างเป็นภาพที่น่าสยดสยองเป็นอย่างยิ่ง


ปราณวิญญาณทั้งหมดฟื้นฟูให้เกราะจักรพรรดิหายจากความเสียหายกลับสู่สภาพสมบูรณ์อีกครั้ง และเข้าสู่การพัฒนาระดับที่สอง โครงกระดูกปรากฏให้เห็น เส้นสายสีขาวแทรกอยู่ท่ามกลางเนื้อสีแดงสด และยิ่งปรากฏถี่ขึ้นทุกที เพิ่มมากกว่าครั้งที่หวังเป่าเล่อประมือกับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ก่อนจะค่อยๆ หนาแน่นขึ้นและกลายเป็นกระดูกขึ้นมาจริงๆ!



 

 

 


บทที่ 680 หลี่อู๋เฉินเป็นคนชั่วช้า!

 

ขณะที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงกลางสระนั้น หวังเป่าเล่อดูราวกับเป็นเทพสงครามผู้อ้วนท้วนบริบูรณ์ น่ากลัวไม่ต่างจากอสูรที่กำลังแผ่รังสีความอำมหิตออกมา!


บนแขนข้างขวาของเกราะคือแขนกระดูกอาวุธเทพ ที่พลังเพิ่มพูนขึ้นเช่นกันจากการได้รับปราณวิญญาณเพิ่ม ขณะนี้อาวุธเทพนี้รวมกับเกราะของหวังเป่าเล่อเป็นเนื้อเดียว พลังที่แผ่ออกมาจากเกราะนั้นก้าวพ้นขั้นจุติวิญญาณไปเทียบเท่าขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว


หวังเป่าเล่อขณะนี้นั้นสามารถปลดปล่อยพลังสูงสุดของเขาออกมาได้ หากต้องเผชิญกับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอีกครั้ง ชายหนุ่มก็ไม่ต้องพึ่งเล่ห์กลเพื่อเอาชนะอีกฝ่ายอีกต่อไปแล้ว!


ในที่สุดระดับน้ำในสระก็เริ่มลดลงบ้าง เกราะจักรพรรดิลักอัคคีค่อยๆ ถึงขีดจำกัดอย่างช้าๆ หากต้องดูดกลืนปราณวิญญาณเข้าไปอีกอาจทำให้เกราะระเบิดก็เป็นได้ เมื่อเห็นเช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็คิดว่าเขาคงสามารถดูดกลืนต่อไปได้อีกสักหน่อย แต่ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะดูดกลืนต่อนั้นเอง…


ศพที่นั่งอยู่บนใบบัวห่างออกไปที่เพิ่งเปิดตาขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง…จู่ๆ ก็ลืมตาโพลงขึ้นมา นัยน์ตาทั้งคู่อาบเคลือบไปด้วยความสับสนและแสงสีขาว ศพยกมือขวาขึ้นและขยับนิ้วอย่างแผ่วเบาราวกับเป็นนิสัยเคยชิน


พลังอันยากจะอธิบายระเบิดขึ้นต่อหน้าหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มผงะถอยหลังอย่างตกตะลึง ก่อนที่เขาจะทันได้ตอบสนองการจู่โจมอันฉับพลันนั้น ร่างของเขาก็ถูกเหวี่ยงไปข้างหลัง ชายหนุ่มถูกโยนออกไปจากสระ พ้นประตูวังพุ่งตรงออกไปด้านนอก


“เกิดอะไรขึ้นกัน” เสียงตะโกนด้วยความตกใจของหวังเป่าเล่อยังคงสะท้อนก้องไปทั่วโถงก่อนค่อยๆ จางหายไปช้าๆ แสงสีขาวในดวงตาของศพก็ค่อยๆ จางหายไปในเวลาเดียวกัน เผยให้เห็นแววตาแห่งความเข้าใจรางๆ


ราวกับว่าศพนั้นเพิ่งจะตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ในตอนนั้น มันกวาดตามองสิ่งรอบกายอย่างงงงวย ก่อนจะทำหน้ามุ่ยเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณรอบๆ กาย


“รัศมีของหลี่อู๋เฉิน…ไม่สิ มีคนนอกอยู่คนหนึ่งด้วย…” ศพพึมพำ ก่อนจะหลุบศีรษะลงจ้องมองสระน้ำ ผ่านไปพักใหญ่จึงโคลงศีรษะไปมา


“ข้าสงสัยมาตลอดว่าเจ้าหลี่อู๋เฉินตัวแสบต้องกำลังวางแผนการร้ายอะไรอยู่เป็นแน่ แล้วข้าก็คิดถูกเสียด้วย เจ้าคนโลภโมโทสัน!” ศพพึมพำอีกครั้ง อาจเป็นเพราะเพิ่งตื่นขึ้นมาหรือเพราะอาการบาดเจ็บรุนแรง จึงทำให้มันไม่อาจขยับเขยื้อนได้ ศพไม่ได้ทำสิ่งใดต่อ นอกจากหลับตาลงและเริ่มหลับลึกต่อไป


ฝ่ายหวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับว่าถูกขับออกมาจากวังด้วยแรงการโจมตีอันหนักหน่วงและรุนแรง ชายหนุ่มไม่อาจหยุดร่างกายได้เมื่อถูกเหวี่ยงออกมาไม่ว่าจะพยายามมากสักเพียงใด เขาถูกเหวี่ยงออกมาห่างวังร่วมห้าสิบกิโลเมตร ผมเผ้ายุ่งเหยิงดูน่าเวทนายิ่ง


หวังเป่าเล่อไม่ได้บาดเจ็บรุนแรง เพียงแต่ระบมไปทั่วทั้งร่าง ชายหนุ่มแยกเขี้ยวและบ่นพึมพำอย่างฉุนเฉียว


นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน ข้าขออนุญาตดูดน้ำออกมาจากสระแล้วไม่ใช่หรือ ไม่มีใครคัดค้านเสียหน่อย…อีกอย่างหนึ่ง ข้าไม่ได้จะเอาทั้งหมดด้วย เพียงจะขอแบ่งไปบ้างก็เท่านั้น หวังเป่าเล่อนึกย้อนไปถึงสถานการณ์ในวัง คาดเดาได้อย่างแม่นยำว่าเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่เขาจะถูกผลักออกมานั้น ชายหนุ่มมองเห็นร่างหนึ่งบนใบบัวยกมือขึ้น ผู้อาวุโสแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลในดูราวกับ…ยังมีชีวิตอยู่กระนั้น


หวังเป่าเล่อทอดถอนใจก่อนจะซวนเซลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มก้มลงมองท้อง ก่อนจะหันคอด้วยความยากลำบากไปมองรอบกาย แล้วจึงรู้ว่าตัวเขาขณะนี้อยู่ที่ไหนสักแห่งระหว่างปลายกระบี่กับตัวกระบี่ หวังเป่าเล่อจ้องมองไปยังทิศของวังอย่างโหยหาแต่ตัดสินใจยอมแพ้หลังจากที่ใคร่ครวญอยู่ระยะหนึ่ง


“ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ช่างเถอะ หากวังไม่ต้องการข้าแล้วอย่างไรกัน จะต้องมีที่อื่นที่ต้อนรับข้าอย่างแน่นอน ข้าจะไม่ขอทนอยู่ที่นี่อีกต่อไป ข้าจะกลับไปสู่สหพันธรัฐ เพื่อรับตำแหน่งผู้นำ!” หวังเป่าเล่อพึมพำ ชายหนุ่มคิดถึงคุณงามความดีที่เขาทำให้กับสหพันธรัฐ รวมถึงการที่เขาจัดการศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ซึ่งนับเป็นการปัดเป่าเสี้ยนหนามของสหพันธรัฐด้วย ถือเป็นความสำเร็จอันใหญ่หลวง และชายหนุ่มก็ยังส่งเคล็ดวิชาการฝึกปราณจำนวนไม่น้อยกลับไปยังสหพันธรัฐอีกต่างหาก ต้วนมู่น้อยต้องยกตำแหน่งผู้นำของสหพันธรัฐคนต่อไปให้เขาเป็นแน่ หาไม่แล้วก็คงไม่สมเหตุผลอย่างยิ่ง


หวังเป่าเล่อยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น การจะได้เป็นผู้นำของสหพันธรัฐเป็นความฝันของเขามาตลอดชีวิต แม้จะดูห่างไกลมาโดยตลอด แต่บัดนี้ ก็อยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น หวังเป่าเล่อเชิดหน้าขึ้นทันที ความเจ็บปวดรวดร้าวอันตรธานหายไป ชายหนุ่มลืมความรู้สึกหงุดหงิดและเศร้าสร้อยเมื่อครู่ไปหมดสิ้น พลางเงยหน้าขึ้นมองหาแท่นคงกระพัน


แต่ขณะนี้หวังเป่าเล่ออ้วนเกินไป ไขมันวิญญาณในร่างก็หนาแน่นนัก ทำให้ตัวเขาในตอนนี้หนักมาก ไขมันวิญญาณที่หวังเป่าเล่อมีอยู่ในร่างมาตลอดไม่ได้หนึ่งในสิบของตอนนี้ด้วยซ้ำไป ณ ขณะนี้ น้ำหนักของเขาพุ่งสูงจนน่ากลัว ชายหนุ่มดูคล้ายภูเขาเนื้อหนังหากมองจากที่ไกลๆ


ไม่ว่าเป็นใครหากได้เห็นหวังเป่าเล่อในตอนนี้ก็คงต้องตื่นกลัว เพราะคิดว่าพบอสูรร้ายน่าสะพรึงกลัวนั่นเอง


หวังเป่าเล่อกระโจนขึ้นฟ้ามาด้วยความปรีดา แต่ในทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มก็ร่วงหล่นลงมาบนพื้นชนิดแทบจะหัวคะมำลงกับดิน เขารู้สึกราวกับว่าแบกภูเขาใหญ่โตเอาไว้บนบ่า หวังเป่าเล่อใช้ความพยายามอย่างหนักก่อนที่จะจัดการกับตนเองได้ แต่ถึงอย่างนั้น ตอนนี้ทั้งร่างของชายหนุ่มก็อาบโทรมไปด้วยเหงื่อเย็นเยียบ


ไม่ได้การ ข้ากลับไปที่สหพันธรัฐตอนนี้ไม่ได้ ข้าควรกลับไปยังเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลและพยายามลดน้ำหนักลงเสียก่อน…หวังเป่าเล่อหายใจเข้าออกยาวๆ น้ำหนักของชายหนุ่มในตอนนี้ทั้งน่ายินดีและน่าสะพรึงกลัว เขานึกย้อนไปถึงประวัติครอบครัวและบรรพบุรุษจ้ำม่ำ รวมถึงการที่พวกเขาต่างจากไปก่อนวัยอันควร…แม้ว่าชายหนุ่มจะเป็นผู้ฝึกตนแล้ว แต่ก็ยังกังวลอยู่นั่นเอง


หลังจากที่คิดไตร่ตรองอย่างรอบคอบ หวังเป่าเล่อก็ปลดปล่อยพลังปราณทั้งหมด ยกร่างของตนขึ้น ก่อนจะพุ่งตัวออกไปไกลลิบ ไม่นานนักชายหนุ่มก็มาถึงแท่นคงกระพัน เขาแปลงกายเป็นหมอกกลุ่มใหญ่และเริ่มเดินทางข้ามตัวกระบี่ไป!


หวังเป่าเล่อยังไม่ล่วงรู้ถึงการฟื้นคืนชีพของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าผู้ฝึกตนแห่งเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋ามีตัวตนอยู่ในเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นด้วย ชายหนุ่มเข้าใจไปว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันตายแล้วและบัดนี้ความสงบสุขก็กลับมาเยือนแผ่นดินอีกครา


นี่เป็นสาเหตุว่าทำไมหวังเป่าเล่อจึงใช้เวลาฝึกฝนเพื่อบรรลุขั้นพลังปราณในวังทั้งสามไปมากมาย เพราะชายหนุ่มไม่รู้เลย…ว่าขณะนี้สหพันธรัฐกำลังทำศึกกับบรรดาผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลที่อยู่ภายใต้การควบคุมของตระกูลไม่รู้สิ้นอยู่!


สงครามเริ่มขึ้นแล้วเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็มๆ!


โชคยังดีที่เจ้าเยี่ยเหมิงไปเตือนสหพันธรัฐได้ทันเวลา ยิ่งไปกว่านั้น ต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวิน พร้อมกับผู้ฝึกตนระดับสูงคนอื่นๆ ในสหพันธรัฐต่างก็ระแวดระวังสำนักวังเต๋าไพศาลอยู่เป็นทุนเดิมและได้วางแผนรับมือไว้บ้างแล้ว ส่งผลให้แม้ว่าสงครามจะกระทบต่อสหพันธรัฐเป็นอย่างมาก แต่การรับมือของสหพันธรัฐก็ทำเอาทั้งศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันและสำนักวังเต๋าไพศาลถึงกับตกตะลึงไป!


เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด เพราะสิ่งหนึ่งที่สหพันธรัฐเชี่ยวชาญคือการวางแผนและการซุ่มโจมตี ความชาญฉลาดในด้านการรบพุ่ง รวมทั้งการเอาความคิดของผู้คนทั้งหลายมารวมกันเป็นจุดแข็งของพวกเขานั่นเอง!


แผนพันธุ์กล้าหนึ่งร้อยต้นก็เป็นส่วนหนึ่งของแผนการด้วย หากมันสำเร็จ พวกเขาจะควบรวมเป็นหนึ่งเดียวและอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุข แต่หากแผนการล้มเหลว…พวกเขาก็ยังมีอภิมหาวงแหวนปราณดาวพุธและระเบิดต้านทานวิญญาณที่พร้อมจะใช้งานได้ทุกขณะ


อันที่จริง สหพันธรัฐได้ทดสอบแผนการรบเอาไว้หลากหลายรูปแบบ พวกเขาได้ปรับปรุงแผนการรบเหล่านี้ตามข้อมูลที่หวังเป่าเล่อและผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ส่งมาให้ การเตรียมตัวเพื่อปกป้องการคงอยู่ของอารยธรรมมีมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว และมีการสร้างแนวป้องกันทั้งสามขึ้นมา!


แนวป้องกันแรกคือดาวพุธ!


แนวป้องกันที่สองคือดาวศุกร์!


และแนวที่สามก็คือดาวอังคาร!


หากแนวป้องกันทั้งสามไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้ โลกก็คงต้องพบจุดจบ


ไม่ว่าแผนของสหพันธรัฐจะรัดกุมเพียงใด ความเสี่ยงในการเกิดความผิดพลาดก็ยังมีอยู่ มีระเบิดต้านทานวิญญาณหลายลูกฝังอยู่บนดาวพุธ ซึ่งเป็นแนวป้องกันแรกของสหพันธรัฐ ดาวพุธจะถูกระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ ทันทีที่สหพันธรัฐสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากล การที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายถูกทำลายจะกระทบต่อสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างรุนแรง


แต่ต้วนมู่ฉีทำพลาดไปอย่างหนึ่ง ชายชราตั้งใจรอให้กองกำลังของสำนักวังเต๋าไพศาลมาถึงแล้วจึงค่อยจุดชนวนระเบิด เขาไม่เพียงต้องการทำลายวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเท่านั้น แต่ตั้งใจจะสร้างความเสียหายให้กองทัพที่บุกมาอีกด้วย


แต่กองกำลังของสำนักวังเต๋าไพศาลมาถึงรวดเร็วเกินกว่าที่ต้วนมู่ฉีจะต้อบสนองได้ทัน พลังที่แผ่ออกมาจากเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นรุนแรงเสียจบกลบการทำลายตนเองของดาวพุธไปเสียสิ้น แผนของสหพันธรัฐล้มเหลว พวกเขาทำได้เพียงล่าถอยออกมาจากแนวป้องกันแรก และถอยร่นไปยังดาวศุกร์ ซึ่งเป็นแนวป้องกันแนวที่สองแทน


แต่ถึงอย่างไร สหพันธรัฐก็มีเวลาเตรียมการมานานหลายปี แม้ว่าระเบิดต้านทานวิญญาณที่ใช้ในการระเบิดดาวพุธจะอ่อนแรงลง แต่ก็ยังสร้างความเสียหายให้เรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นและทำให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันกับสำนักวังเต๋าไพศาลตื่นตระหนกได้ ความเสียหายนั้นเข้าไปทับถมความเสียหายเดิมที่หวังเป่าเล่อสร้างไว้ สำนักวังเต๋าไพศาลต้องหยุดพักเพื่อซ่อมแซมเรือบินรบอยู่ระยะหนึ่ง


โอกาสแห่งความไม่แน่นอนสั้นๆ เผยขึ้นในช่วงสงครามนั่นเอง!



 

 

 


บทที่ 681 ไปตกปลากันไหม

 

หวังเป่าเล่อผู้ที่ยังไม่รู้เรื่องสงครามยังคงเดินทางข้ามตัวกระบี่ต่อไป ชายหนุ่มเหาะเหินอย่างรวดเร็วข้ามพื้นดิน ข้ามรอยฉีกขาดของอวกาศ พื้นที่ต้องสาป เปลือกแผ่นดินที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งปีศาจและอสูรที่เดินด้อมๆ มองๆ อยู่ไปสิ้น


ดูราวกับว่าไม่มีสิ่งใดจะหยุดการเคลื่อนไหวของหมอกซึ่งเคลื่อนที่ผ่านท้องฟ้าและผืนแผ่นดินไปอย่างรวดเร็วได้!


หมอกเคลื่อนที่มหัศจรรย์เสียจนหวังเป่าเล่อแอบเสียดายโอกาส เพราะไม่ได้เปิดเผยร่างอันงดงามของเขาให้โลกใบนี้ได้ชมเป็นขวัญตา


“นี่เป็นจะเป็นการลดน้ำหนักครั้งสุดท้ายของข้า!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองภายในหมอกเคลื่อนย้าย ชายหนุ่มตัดสินใจหนักแน่น สิ่งแรกที่เขาจะทำเมื่อกลับถึงสหพันธรัฐและหลังจากเข้ารับตำแหน่งผู้นำแห่งสหพันธรัฐคือการออกประกาศ หวังเป่าเล่อจะนิยามความอ้วนเป็นมาตรฐานของความงาม


ทุกๆ คนจะต้องขุนตัวเองให้อ้วนขึ้น เป็นวิธีเดียวที่จะรับประกันว่าโลกจะก้าวไปข้างหน้า เป็นทางเดียวที่จะข่มขู่บรรดาอารยธรรมต่างดาวที่จะเข้ามารุกราน! ยิ่งชายหนุ่มคิดเรื่องนี้มากเท่าใด ก็ยิ่งรู้สึกว่าสมเหตุสมผลขึ้นเท่านั้น ร่างกายที่ใหญ่โตนั้นดูน่าเกรงขามจริงๆ


ข้าหมายถึงว่า หากจับภูเขากองเนื้อกับถั่วงอกมาวางไว้ข้างเคียงกัน ผู้คนจะเกรงกลัวสิ่งใดมากกว่ากัน หวังเป่าเล่อเล่อครุ่นคิดอย่างจริงจังก่อนจะตกลงปลงใจว่าสิ่งแรกย่อมต้องน่ากลัวกว่า เป็นการยืนยันความคิดของเขาได้เป็นอย่างดี


เพื่อความอยู่รอดของมนุษยชาติ เพื่ออนาคตของอารยธรรมของเรา…และเพื่อการศึกษาค้นคว้าสาเหตุการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของบรรพบุรุษข้า มันอาจมีความลับอันยิ่งใหญ่บางอย่างซ่อนเร้นอยู่ก็เป็นได้! หวังเป่าเล่อปล่อยให้จินตนาการของเขาเตลิดไปไกลขณะที่กายก็เดินทางใกล้ด้ามกระบี่เข้าไปทุกที


เวลาผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ด้วยความเร็วปัจจุบัน หวังเป่าเล่อคาดว่าเขาจะพ้นเขตตัวกระบี่ในอีกร่วมๆ หนึ่งชั่วโมง ชายหนุ่มเริ่มเพ้อฝันไปถึงอนาคตของตนเองอีกครั้ง ความคาดหวังเพิ่มพูนขึ้นในใจขณะที่เดินทางต่อไป แต่จู่ๆ ก็มีบางอย่างดึงความสนใจของเขาไป หมอกเคลื่อนที่ลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ มันแหวกออกเผยให้ใบหน้าตื่นตกใจของหวังเป่าเล่อ


ข้าสัมผัสได้ถึงพลังเทพของขั้นเชื่อมวิญญาณ… ศีรษะของชายหนุ่มเอียงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือขณะที่สายตาของเขาเพ่งมองไปไกล หวังเป่าเล่อมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติ ทว่าตั้งแต่ที่ปราณของเขาบรรลุถึงขั้นจุติวิญญาณ จิตสัมผัสวิญญาณก็เฉียบคมขึ้นเป็นอันมาก จิตสัมผัสนั้นบอกเขาว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นที่นั่น


หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ แล้วจึงเปลี่ยนทิศทางของหมอกไปทางตะวันตกเฉียงเหนือแทน


คำสาปที่กระจายอยู่ทั่วไปทำให้ดินแดนนั้นมีแต่ความมืดมิด รอยฉีกขาดของห้วงอวกาศปรากฏให้เห็นบนท้องฟ้าอยู่ประปราย บนท้องนภามีสตรีในวัยกลางคน ใบหน้าซีดขาวผมเผ้ายุ่งเหยิงกำลังวิ่งเต็มฝีเท้าเพื่อเอาชีวิตรอด


นางบาดเจ็บหนัก และการวิ่งหนีเต็มฝีเท้าก็ไม่ส่งผลดีกับบาดแผลบนร่างเท่าใดนัก โลหิตหลั่งไหลออกมาจากริมฝีปากของนางอย่างต่อเนื่อง ด้านหลังมีร่างจำนวนมากที่วิ่งไล่ตามมา ทุกร่างต่างแผ่รัศมีเย็นเยียบออกมา ร่างเหล่านั้นโผล่ออกมาจากทั่วทุกสารทิศ ล้อมรอบสตรีนางนั้นเอาไว้พร้อมกับปิดทางหนีของนางจนสิ้น


ร่างที่วิ่งตามมาเหล่านั้นไม่ใช่ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล ศีรษะทั้งสามและแขนหกข้างบ่งบอกว่าพวกมันเป็นสมาชิกของตระกูลไม่รู้สิ้น!


สตรีนางนั้น…มีใบหน้าอันคุ้นเคยที่ไม่ว่าผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลคนใดก็ต้องรู้จัก นางคือ…หนึ่งในสี่ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล เฟิ่งชิวหรันนั่นเอง!


เจ้าเยี่ยเหมิงไม่ใช่คนเดียวที่หนีรอดออกมาได้จากครั้งที่หวังเป่าเล่อระเบิดเกราะจักรพรรดิในเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นและทำลายคลื่นแทรกการเคลื่อนย้าย เฟิ่งชิวหรันเองก็หนีออกมาได้เช่นกัน!


หากเทียบกับเจ้าเยี่ยเหมิงแล้ว เฟิ่งชิวหรันเป็นเป้าหมายที่สำคัญกว่ามากสำหรับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน แม้ว่าเขาจะเลือกติดตามหวังเป่าเล่อไปเพราะความแค้น แต่ชายชราก็ไม่ลืมที่จะส่งสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นไปไล่ตามเฟิ่งชิวหรัน


หลังจากที่ฟื้นคืนชีวิต ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนำเมี่ยเลี่ยจื่อและเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้นออกจากกระบี่สำริดเขียวโบราณและมุ่งหน้าไปยังสหพันธรัฐ แต่ถึงกระนั้น คำสั่งของเขาที่ให้ไล่ล่าและสังหารเฟิ่งชิวหรันก็ยังคงอยู่


เฟิ่งชิวหรันซ่อนตัวมาโดยตลอด รอดพ้นความตายมาได้อย่างหวุดหวิด หากนางไม่ได้อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณและมีวิธีการเอาตัวรอดซ่อนเร้นอยู่บ้าง ก็คงถูกสังหารไปนานแล้ว


ถึงกระนั้น…เฟิ่งชิวหรันก็กำลังจะถึงขีดสุด ระดับพลังปราณของนางลดต่ำลงจากขั้นเชื่อมวิญญาณมาสู่ขั้นจุติวิญญาณ เมื่อถูกพบตัวอีกครั้ง นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหลบหนี แต่เพราะอาการบาดเจ็บสาหัส ความเหนื่อยล้าเหลือประมาณ และความรู้สึกผิดอย่างรุนแรงที่เกาะกุมจิตใจ ได้ดึงรั้งให้เฟิ่งชิวหรันมีสภาพราวกับตายทั้งเป็น


เฟิ่งชิวหรันหมดสิ้นความหวัง มองไม่เห็นอนาคต ไร้ซึ่งทางที่จะมีชีวิตรอด โชคชะตาของนางถูกกำหนดเอาไว้ตั้งแต่วินาทีที่หญิงวัยกลางคนก้าวขึ้นไปบนเรือบินรบลำนั้น


ชีวิตข้าจะต้องสิ้นสุดตรงนี้แล้วหรือ…รอยยิ้มขมขื่นฉายฉาบบนริมฝีปากของเฟิ่งชิวหรัน นางบ้วนเอาเลือดออกมากองใหญ่ ไม่อาจควบคุมอาการบาดเจ็บสาหัสในร่างกายได้อีกต่อไป ความบาดเจ็บกำลังประทุษร้ายร่างกายนางจากภายใน อวัยวะภายในของนางทั้งบอบช้ำและมีเลือดออก เส้นปราณก็ยุบไปหลายจุด ชีวิตกำลังหลั่งไหลออกจากร่างไม่หยุดหย่อน เฟิ่งชิวหรันสัมผัสได้เพียงความสิ้นหวัง


สายตาของนางพร่ามัวเมื่อผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นสามคนเข้าขนาบทั้งสองด้าน นัยน์ตาของพวกเขาทั้งสามเย็บเยียบขณะที่พุ่งตัวเข้ามาใส่เฟิ่งชิวหรันอย่างรวดเร็วราวกับเป็นลูกศรจากแล่ง ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคนหนึ่งประชิดตัวนางจากด้านหลังด้วยความเร็วสูง ด้านหน้าเฟิ่งชิวหรัก็มีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นพุ่งเข้ามาหาเช่นกัน


มีทั้งสิ้นด้วยกันห้าคน บ้างก็มีรอยยิ้มแสยะอยู่บนริมฝีปาก บ้างก็ไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ โดยสิ้นเชิง บ้างก็แสดงความตื่นเต้นออกมาทางสีหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ พวกเขาทุกคนมีแผลเก่าที่ยังไม่หาย แถมยังอยู่ในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปที่ทั้งห้าคนจะรุมเฟิ่งชิวหรันซึ่งกำลังเจ็บหนัก หากไม่กลัวว่าเฟิ่งชิวหรันจะใช้การโจมตีรุนแรงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะสิ้นใจ พวกเขาก็คงสังหารนางไปเสียนานแล้ว


แต่ทั้งห้ายังไว้ชีวิตนางเพราะอีกเหตุผลหนึ่งด้วย ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันต้องการจับเป็นนางหากเป็นไปได้ การมีเฟิ่งชิวหรันอยู่ก็เปรียบเสมือนมีลูกสมุนขั้นเชื่อมวิญญาณเพิ่มขึ้นอีกคน อีกอย่างหนึ่ง เฟิ่งชิวหรันเป็นคนสำคัญที่มีสถานะสูงส่งให้สำนักวังเต๋าไพศาล นางย่อมช่วยศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยึดครองสำนักวังเต๋าไพศาลได้โดยสมบูรณ์


สิ่งนี้เป็นเหตุผลเดียวที่เฟิ่งชิวหรันยังมีชีวิตอยู่ถึงตอนนี้ ถึงกระนั้น…นางก็อับจนหนทาง เฟิ่งชิวหรันบัดนี้ราวกับเป็นสัตว์ป่าที่ติดกับ ไร้พลังและไร้ทางสู้โดยสิ้นเชิง ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าเข้ามาพร้อมกันโดยหวังจะสังหารนางเสีย!


เสียงฟ้าผ่าดังกระหึ่มก้องฟ้า ขณะที่เกราะกำบังเจือจางก่อตัวขึ้นรอบกายเฟิ่งชิวหรัน ป้องกันนางจากคาถาของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้า แถมยังมีแรงสะท้อนที่ส่งพวกเขาทั้งหมดลอยละล่องไป พวกเขาไม่ได้บาดเจ็บมากมายจากแรงสะท้อนกลับ แต่เฟิ่งชิวหรันคายเลือดออกมาอีกหนึ่งกองใหญ่ ก่อนจะทรุดลงไปนอนกับพื้น ไม่อาจหนีได้อีกต่อไป


ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้ารีบรุดกลับมาหาเฟิ่งชิวหรันในพริบตา ก่อนที่สองคนจะเริ่มสร้างผนึกฝ่ามือและร่ายคำสาปออกมา


“มี่เจิน!”


จู่ๆ ก็มีพลังมหาศาลที่ราวกับจะกดทับวิญญาณของคนได้พวยพุ่งลงมาจากสรวงสวรรค์ ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นอีกสามคนหยิบกระจกบานเล็กๆ ออกมา แสงที่สะท้อนออกมาจากกระจกเหล่านั้นผสานตัวกันเป็นเส้นใยมายาขนาดใหญ่ราวตาข่ายที่พุ่งตรงเข้าหาเฟิ่งชิวหรันอย่างรวดเร็ว


ทุกสิ่งเกิดขึ้นในพริบตาเดียว ผู้ฝึกตนทั้งห้าโจมตีผสานกันได้อย่างไร้ที่ติ และในสภาพปัจจุบัน เฟิ่งชิวหรันไม่อาจรับมือพวกเขาได้แม้แต่น้อย เส้นใยเรืองแสงพุ่งเข้าคลุมและรัดตัวนางเอาไว้แน่น สายฟ้าแตกเปรียะขณะที่ไหลบ่าผ่านตาข่ายอย่างรวดเร็ว ทำให้เฟิ่งชิวหรันต้องบ้วนเลือดออกมาอีกกองก่อนจะหมดสติไป


“ไปกันเถิด!” ผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าไม่รอช้า พวกเขาแปรสภาพเป็นสายรุ้งห้าเส้นทันทีก่อนจะพวยพุ่งออกไปไกลลิบ ทั้งหมดตั้งใจจะไปจากที่นี่เพื่อรายงานความสำเร็จในการจับกุมตัวเฟิ่งชิวหรัน


แต่ขณะที่พวกเขากำลังจะจากไปนั่นเอง หมอกกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากขอบฟ้าไกลๆ มันดูเหมือนหมอกธรรมดาๆ ในตอนแรก แต่เมื่อสังเกตเห็นผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น หมอกนั้นก็เริ่มแปรเปลี่ยนไป มันขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็วพลางส่งเสียงครั่นครืนไม่หยุด ก่อนจะก่อตัวเป็นใบหน้าขนาดใหญ่


ใบหน้าของหวังเป่าเล่อนั่นเอง!


ชายหนุ่มมองเห็นผู้ฝึกตนทั้งห้าและเฟิ่งชิวหรัน ผู้สลบไสลไม่ได้สติอยู่ภายในตาข่ายเรืองแสงนั้น


สายตาของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าเบนไปหาหวังเป่าเล่อทันทีที่เขาเผยกาย ประกายสว่างจ้าปรากฏขึ้นบนดวงตา พวกเขาไม่ได้ถอยหนี แต่กลับหยุดนิ่ง มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นบนใบหน้าของผู้ฝึกตนคนหนึ่ง เป็นรอยยิ้มเปื้อนไปด้วยความบ้าคลั่งและเหยียดหยาม เขาใส่เฟิ่งชิวหรันลงไปในกระเป๋าคลังเก็บ ก่อนจะกระซิบบางอย่างกับสหายเป็นภาษาตระกูลไม่รู้สิ้น


“เจ้าแพ้พนันแล้ว ข้าบอกแล้วว่าเราไม่จำเป็นต้องรีบจับเฟิ่งชิวหรัน หากไล่ตามนางไปอีกสักพัก เราต้องล่อพวกคนโชคร้ายออกมาได้อีกแน่นอน เห็นหรือยังว่าเราตกได้ปลาตัวใหญ่เชียวละ”


นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องสว่างขณะที่ร่างของเขาลอยอยู่กลางอากาศ ชายหนุ่มเริ่มท่องบทสวดในศีรษะก่อนที่ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนอื่นๆ จะได้ตอบคำสหาย จากนั้น ขณะที่พลังมหาศาลกำลังเคลื่อนตัวลงมาจากท้องฟ้า ชายหนุ่มก็กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็นเป็นภาษาโบราณของสำนักแห่งความมืด


“พวกเจ้าเคยตกได้ปลาฉลามหรือไม่เล่า”


ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ พลังอันยิ่งใหญ่ของบทสวดก็พวยพุ่งลงมาจากท้องฟ้าและไหลบ่าท่วมไปทั้งบริเวณ!


กลุ่มควันที่รวมตัวกันเป็นใบหน้าของหวังเป่าเล่อส่งเสียงคำรามและเริ่มระเหิดไป ก่อนจะพุ่งตรงเข้าใส่ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าด้วยความรุนแรงราวกับเป็นคลื่นคลั่ง!



 

 

 


บทที่ 682 อสูรยักษ์ที่น่าสะพรึงกลัว!

 

หวังเป่าเล่อท่องบทสวดอยู่ในใจ ขณะที่เอ่ยบางสิ่งซึ่งแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงเสียงดังพลางโจมตีไปยังศัตรู ชายหนุ่มทำสิ่งนี้มาก่อนหน้านี้แล้วหลายต่อหลายครั้งจนเคยชิน


พลังของบทสวดส่งตรงมาจากฟากฟ้า ความหวาดหวั่นพุ่งขึ้นภายในใจของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้า จิตใจของพวกเขาว่างเปล่า แม้ว่าจะเป็นนักรบที่ผ่านศึกมามากมาย พวกเขาก็ยังตื่นตะลึงกับพลังอันมหาศาลนั้น มีเพียงสองคนเท่านั้นที่ล่าถอยไปได้ทันท่วงที อีกสามคนเชื่องช้าเกินไป ภายในชั่วพริบตา หวังเป่าเล่อก็มาปรากฏตรงหน้าของพวกเขาพร้อมกับเมฆหมอกพายุรุนแรง


เสียงกัปมนาทของอสนีบาตดังกึกก้อง หมอกระเบิด ส่งคลื่นกระแทกรุนแรงที่ผลักเลือดในกายของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งสามให้ทะลักออกมาจากปาก ผู้ฝึกตนคนที่พูดอยู่เมื่อครู่รับแรงระเบิดเข้าไปเต็มเปา ในเสี้ยววินาทีนั้น หัตถ์อวบอ้วนขนาดยักษ์ก็เอื้อมมาจับศีรษะของเขาเอาไว้


หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้น ก่อนจะกดฝ่ามือลงบนศีรษะของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น และขยี้อีกฝ่ายลงไปกับดินด้วยพลังหนักหน่วงราวกับลูกตะกั่วที่ถูกทิ้งลงมาจากหอคอยสูงเสียดฟ้า ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เสียงดังสนั่นคำรามขึ้นอีกครั้งก่อนจะมีแอ่งแผ่นดินขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนพื้นดิน เป็นบริเวณที่หวังเป่าเล่ออัดผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นลงไปนั่นเอง!


เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดของผู้ฝึกตนคนนั้นถูกกลบด้วยเสียงดังสนั่นของการกระแทก ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่ลอยอยู่กลางอากาศอีกสี่คนมีสีหน้าตื่นตกใจ ขณะที่หวังเป่าเล่อเดินออกมาจากแอ่งแผ่นดินช้าๆ


ชายหนุ่มตัวใหญ่ราวภูเขาเลากา ท่าทางน่าสะพรึงกลัว เขาดูไม่เหมือนมนุษย์แม้แต่น้อย แต่จะดูคล้ายอสูรร้ายโบราณเสียมากกว่า พลังที่แผ่ซ่านออกมาจากกายท่วมท้นอยู่ในอากาศและไหลบ่าเข้าไปกระตุ้นความกลัวในใจของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทุกคน


สิ่งที่ทำให้ภาพนั้นน่าสะพรึงกลัวยิ่งขึ้นไปอีกก็คือ…เส้นปราณสีโลหิตจำนวนมหาศาลที่ล่องลอยอยู่รอบๆ ภูเขาแห่งเนื้อหนังราวกับรยางค์ ก่อนจะพันผูกเข้าด้วยกันก่อตัวเป็นชุดเกราะหน้าตาน่าสะพรึงขณะที่หวังเป่าเล่อย่างสามขุมออกมาจากแอ่งแผ่นดิน ทำให้เขาดูน่าเกรงขามขึ้นอีกระดับหนึ่ง ชายหนุ่มบัดนี้ดูเหมือนเทพสงครามที่อ้วนท้วนสมบูรณ์ก็ไม่ปาน!


มือขวาของเขาลากศพมาด้วยศพหนึ่ง ศีรษะทั้งสามของศพแหลกเหลว เลือดไหลแดงทาแผ่นดินเป็นทางยาว ภาพนั้น…ส่งเอากระแสแห่งความกลัวอันเย็นเยียบไหลผ่านสันหลังของทุกคนที่ได้พบเห็น!


“เจ้ามาจากอารยธรรมใดกัน”


“ดินแดนนี้เป็นสมบัติของตระกูลไม่รู้สิ้น อาจจะมีการเข้าใจผิดกันอะไรบางอย่าง…” ผู้ฝึกตนทั้งสี่ละล่ำละลักเมื่อเห็นภาพตรงหน้า พลางหันรีหันขวางปรึกษากันอยู่ไปมา


“สัตว์อสูรตนนี้คือสิ่งใดกัน”


“ข้าเคยได้ยินเรื่องของตระกูลชื่ออารยธรรมยักษ์ สมาชิกทุกคนของอารยธรรมนั้นเกิดมาเป็นกองเนื้อที่เติบโตขึ้นตามระดับการฝึกปราณ พวกเขาจะเติบใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถกลืนกินดวงดาวได้ทั้งดวง!”


“เจ้าหนุ่มคนนี้อยู่ในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น แต่กลับแสดงพลังได้ทัดเทียมผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ หรือเขาจะมาจากอารยธรรมยักษ์” ลมหายใจของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งสี่ถี่เร็วด้วยความกังวล พลังวิญญาณที่หวังเป่าเล่อแผ่ออกมา พร้อมทั้งร่างกายอันใหญ่โตมโหฬาร ทำให้ทั้งสี่เกรงกลัวจนสุดประมาณ


หวังเป่าเล่อไม่ได้ใส่ใจสิ่งที่ผู้ฝึกตนทั้งสี่พูด ชายหนุ่มลากศพออกมา นัยน์ตาทั้งคู่ส่องประกายเย็นเยียบ ตอนนั้นเอง เขาก็พุ่งทะยานเข้าใส่ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างรวดเร็วราวกับเป็นก้อนเนื้อขนาดยักษ์ที่กลิ้งหลุนๆ เข้าใส่


ศัตรูของเขามีสีหน้าตื่นตะลึง ก่อนจะพากันล่าถอยไม่เป็นกระบวน เมื่อนั้นเอง พลังของบทสวดที่ท่องอยู่เมื่อครู่ก็กลับปรากฏขึ้นอีกครั้งจากฟากฟ้าพร้อมการระเบิดที่ไร้เสียง ผู้ฝึกตนทั้งสี่ตัวสั่นเทา ประสาทสัมผัสมึนชา จิตใจก็มึนงง หวังเป่าเล่อไล่ตามทัน แต่แทนที่จะส่งกำปั้นเข้าใส่ ชายหนุ่มกลับใช้ร่างกายที่ใหญ่โตประหนึ่งภูเขาเลากาพุ่งเข้าหาผู้ฝึกตนคนหนึ่งแทน


เสียงกัมปนาทดังสนั่นเลื่อนลั่นไปทั่ว พลังที่ออกมาจากทั้งเกราะจักรพรรดิและกายของหวังเป่าเล่อก่อให้เกิดแรงกระแทกมหาศาล พอๆ กับถูกอุกกาบาตขนาดย่อมๆ พุ่งชน เสียงกระดูกแตกและเสียงตะโกนอย่างเจ็บปวดดังออกมา ผู้ฝึกตนที่ถูกหวังเป่าเล่อพุ่งชนไม่อาจต้านทานการโจมตีนั้นได้ ร่างกายของเขาแหลกเหลวไปในพริบตา เลือดกระจายเป็นฝอยอยู่ในอากาศ วิญญาณจุติของเขาพยายามจะหนี แต่ก็ไม่อาจหลบเมล็ดดูดกลืนและเกราะจักรพรรดิของหวังเป่าเล่อได้


วิญญาณจุติพยายามดิ้นรนแต่ก็ไม่เป็นผล มันดิ้นหนีพลังดูดกลืนมหาศาลที่จู่ๆ ก็ปรากฏขึ้นไม่พ้น จนถูกหวังเป่าเล่อดูดเข้าไปในที่สุด เกราะจักรพรรดิกลืนวิญญาณจุติเข้าไปราวกับเป็นขนม หวังเป่าเล่อเรอก่อนเลียริมฝีปากและเงยหน้าขึ้นมองผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอีกสามคน ทั้งสามตัวสั่นเทา ขนหัวลุกชันไปจนหมด พวกเขาหนีอย่างไม่คิดชีวิต แยกกันออกเป็นสามทาง


พยายามจะหนีอย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มเหวี่ยงศพในมือขวาเข้าใส่ผู้ฝึกตนที่วิ่งหนีไปทางขวาอย่างแรง เกราะจักรพรรดิกระตุกก่อนจะแยกส่วนออกมา แปรสภาพกลับเป็นเส้นปราณสีโลหิตที่พุ่งออกไปหาผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคน เส้นปราณเหล่านั้นพุ่งถึงตัวเขาทันที ผู้ฝึกตนคนนั้นส่งเสียงร้องพลางพยายามดิ้นหนีแต่ก็ไม่เป็นผล เส้นปราณเหล่านั้นล้อมรอบกายเขาก่อนจะกลายเป็นเกราะจักรพรรดิที่เป็นเสมือนคุกขังอีกฝ่ายไปโดยปริยาย


เสียงตะโกนด้วยความกลัวของชายผู้นั้นเงียบหายไปแทบจะในทันที หวังเป่าเล่อพุ่งตัวออกไปปรากฏตัวอยู่กลางอากาศ ชายหนุ่มกำลังไล่ตามผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคนหนึ่ง


เมื่อไม่มีเกราะจักรพรรดิ พลังการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อก็ลดระดับลงจากขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่กายเนื้อที่แข็งแกร่งของชายหนุ่ม บวกกับพลังปราณขั้นจุติวิญญาณ รวมทั้งปราณวิญญาณมหาศาลภายในกายทำให้พลังในการสังหารของเขายังคงยอดเยี่ยม หวังเป่าเล่อปล่อยปราณวิญญาณในร่างออกมาเต็มที่ ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นเพิ่งจะตั้งตัวได้หลังการปลดปล่อยพลังอันยิ่งใหญ่ก่อนหน้า หวังเป่าเล่อก็ซัดเขาจนร่วงจมดินไปด้วยหมัดระเบิดกำเนิดดวงดารา สร้างความเสียหายหนักจนผู้ฝึกตนคนนั้นต้องกระอักเอาโลหิตออกมากองใหญ่


หวังเป่าเล่อโบกมือเพียงครั้งเดียวก็มีหุ่นเชิดจำนวนมากพุ่งออกมาจับกุมผู้ฝึกตนคนนั้นไว้ เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณจุติของเขาหลบหนี หวังเป่าเล่อเตะเส้นปราณของอีกฝ่าย แรงเตะส่งคลื่นพลังวิญญาณมหาศาลเข้าไปในกายผู้ฝึกตนคนนั้น ปิดผนึกวิญญาณจุติของเขาเอาไว้อย่างหมดจด


ทุกสิ่งเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่หนีไปทางขวา ถึงกับผงะเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อจัดการกับสหายทั้งสองของตนได้อย่างง่ายดาย เขาเอี้ยวตัวหลบศพที่หวังเป่าเล่อเหวี่ยงใส่และกำลังออกวิ่งหนีเต็มฝีเท้า


ตอนนั้นเอง ศพไร้ศีรษะก็ระเบิด เส้นใยสีดำจำนวนมหาศาลพวยพุ่งออกมาจากเลือดและเนื้อที่แยกออกจากกัน และรวมตัวกันเป็นเงาคน เงานั้นคือร่างอวตารของหวังเป่าเล่อนั่นเอง!


ร่างอวตารรีบรุดเข้าไปจับผู้ฝึกตนคนนั้นไม่ให้หนี แน่นอนว่านี่ไม่ใช่จุดประสงค์หลักของมัน เป้าหมายหลักของการใช้ร่างอวตารในครั้งนี้มีเพียงหนึ่งเดียว นั่นคือ…เพื่อสลับตำแหน่งกับหวังเป่าเล่อนั่นเอง!


หวังเป่าเล่อสลับตำแหน่งกับร่างอวตารในพริบตา การสลับร่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป จนหัวใจของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นคนสุดท้ายเต้นโครมครามด้วยความกลัว เขาไม่มีเวลากระทั่งจะเร่งความเร็วก่อนที่จะถูกหวังเป่าเล่อจับ พลังจากบทสวดเมื่อครู่พุ่งกระแทกลงกับพื้นพร้อมๆ กันกับพลังวิญญาณอันยิ่งใหญ่ของหวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นกรีดร้องด้วยความกลัว ก่อนที่ศีรษะสองในสามของเขาจะถูกบดขยี้จนแหลก พร้อมกับกายที่ถูกกระแทกลงจมแผ่นดิน เขาหมดสติไปทันที


ภายในชั่วพริบตา ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นทั้งห้าคน ถูกสังหารไปสองคน บาดเจ็บสาหัสสองคน อีกหนึ่งคนถูกจับกุมเอาไว้!


ผู้ที่ได้พบเห็นการต่อสู้ครั้งนี้คงต้องตกใจเหลือล้นพ้นประมาณเป็นแน่!


หวังเป่าเล่อเองก็ควรภูมิใจในตนเองเช่นกัน แต่ชายหนุ่มไม่มีเวลามาคิดเรื่องนั้นในตอนนี้ เฟิ่งชิวหรันถูกไล่ล่ามาอย่างไม่ลดละ และตระกูลไม่รู้สิ้นก็ยังคงก่อความวุ่นวายไปทั่ว สถานการณ์ไม่ได้เป็นไปอย่างที่เขาคาดคิดแม้สักนิด


บางทีศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอาจจะไม่ได้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้กระมัง หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มก้มลงจับตัวผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่สลบไสลไม่ได้สติเอาไว้ ก่อนจะก้าวออกไปปรากฏตัวอยู่ข้างๆ ผู้ฝึกตนอีกคนที่ถูกหุ่นเชิดของเขาจับตัวอยู่


เส้นปราณของผู้ฝึกตนคนนั้นเสียหายอย่างหนัก พลังปราณก็ถดถอยไปมากเช่นกัน แถมวิญญาณจุติก็ไม่อาจหลบหนีได้ ผู้ฝึกตนคนนั้นถูกหุ่นเชิดจำนวนมากจับเอาไว้อย่างแน่นหนา สิ่งเดียวที่เขาทำได้คือจ้องมองหวังเป่าเล่อที่ย่างกรายเข้ามาด้วยสายตาเคียดแค้นก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแหบพร่า


“ข้าไม่สนใจว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าลบหลู่ตระกูลไม่รู้สิ้น เจ้า…”


“พูดมากชะมัด!” หวังเป่าเล่อพูดออกมาอย่างสบายใจ ก่อนจะยกมือขึ้นกดหน้าผากผู้ฝึกตนคนนั้นและใช้คาถาค้นวิญญาณ ที่ผ่านมาชายหนุ่มอาจใช้คาถาได้ไม่คล่องนัก แต่ตั้งแต่บรรลุขั้นจุติวิญญาณมาก็สามารถใช้ได้ดีขึ้นแล้ว


ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นตัวสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะส่งเสียงกรีดร้องโหยหวน สีหน้าของหวังเป่าเล่อเคร่งขรึมขึ้นทันที หลังจากผ่านไปสิบวินาทีกว่า ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น ลมหายใจของเขาถี่เร็ว มีความไม่อยากเชื่อปรากฏอยู่ในแววตา เขาหันกลับไปมองผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่หมดสติก่อนจะใช้คาถาค้นวิญญาณอีกครั้ง


ชายหนุ่มยังไม่อาจเชื่อข้อมูลที่เขาได้รับจากการค้นวิญญาณครั้งที่สอง หวังเป่าเล่อบินข้ามบริเวณไปยังบริเวณที่เกราะจักรพรรดิของเขาตั้งอยู่ ก่อนจะจับตัวผู้ฝึกตนอีกคนออกมาจากเกราะ และใช้คาถาค้นวิญญาณอีกครั้งหนึ่ง!


คำตอบที่ได้รับจากการค้นวิญญาณสามครั้งตรงกัน!


ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังไม่ตาย สำนักวังเต๋าไพศาลกับสหพันธรัฐ…กำลังมีสงครามครั้งใหญ่!


………………………….



 

 

 


บทที่ 683 การกลับมา!

 

บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ซึ่งท้องฟ้าที่มืดมัวเต็มไปด้วยรอยฉีกขาดของห้วงอวกาศ และพื้นที่ต้องสาปปกคลุมทั่วผืนดิน หวังเป่าเล่อยืนนิ่ง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความเคร่งขรึมและโทสะ ชายหนุ่มไม่เข้าใจว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันฟื้นคืนกลับมาหลังจากที่ถูกจู่โจมอย่างรุนแรงได้อย่างไร


ร่างนั้นเป็นร่างอวตารหรือ หวังเป่าเล่อเงียบงัน ความเคลือบแคลงใจฉายชัดอยู่ในแววตา ประกายเย็นเยียบสะท้อนอยู่รอบกายขณะที่พลังปราณมหาศาลไหลบ่าออกมา พลังนั้นแทรกแฝงไปด้วยความบ้าคลั่ง


เหลือเวลาไม่มากแล้ว…หวังเป่าเล่อหลับตาลง สูดลมหายใจเข้าสองสามครั้ง ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าคลังเก็บของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นขึ้นมาโดยไม่รอช้า ก่อนจะพบเฟิ่งชิวหรันที่ถูกผนึกเอาไว้อยู่ภายใน


เฟิ่งชิวหรันบาดเจ็บสาหัสและไม่ได้สติอยู่ ทั้งพลังชีวิตและพลังวิญญาณของนางถูกใช้ไปจนเหือดแห้ง ไม่ใช่เพียงเพราะอาการบาดเจ็บเท่านั้น แต่เพราะนางไม่มีเวลาจะได้พักรักษาตัวแม้แต่น้อย ส่งผลให้อาการบาดเจ็บย่ำแย่ลงและพลังปราณของนางก็ตกลงมาสู่ขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น


เฟิ่งชิวหรันคอยยืนเคียงข้างและปกป้องหวังเป่าเล่อมาโดยตลอด ทัศนคติของนางต่อสหพันธรัฐเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ชายหนุ่มต้องช่วยนางเอาไว้ แม้ว่าจะรู้สึกกังวลไปหมด เขาก็ต้องบังคับตัวเองให้สงบสติอารมณ์ ก่อนจะดึงขวดออกมาขวดหนึ่ง และเทของเหลววิญญาณที่อยู่ภายในออกมา หวังเป่าเล่อสร้างผนึกฝ่ามือส่งของเหลววิญญาณเหล่านี้เข้าไปในกายเฟิ่งชิวหรัน


ของเหลววิญญาณนี้ไม่ใช่ของเหลวธรรมดาๆ เพียงแค่ขวดเดียวก็ยังให้ผลสุดมหัศจรรย์ ใบหน้าอันซีดเซียวราวกับศพของเฟิ่งชิวหรันมีสีเลือดขึ้นมาทันทีที่นางได้รับของเหลววิญญาณไป นางตัวสั่นน้อยๆ ก่อนจะลืมตาตื่น


นัยน์ตาของนางกระตุกเมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อ หลังจากที่ชายหนุ่มอธิบายไปยืดยาวนางก็เริ่มเชื่อว่าเขาเป็นตัวจริง เฟิ่งชิวหรันไม่ได้แปลกใจแม้แต่น้อยเมื่อรู้ว่าหวังเป่าเล่อบรรลุขั้นจุติวิญญาณแล้ว ถึงกระนั้น นางก็ยังทึ่งเมื่อมองเห็นศพผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่เรียงรายอยู่รอบกาย


นางสัมผัสได้ว่าการบรรลุขั้นของชายหนุ่มไม่ธรรมดา แต่ขณะนี้ก็ไม่ใช่เวลาถามหารายละเอียด พวกเขาไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่น้อย หลังจากที่พูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งคู่ก็พุ่งทะยานมุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล ณ ด้ามกระบี่ทันที


วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายในสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นเครื่องมือเดียวที่จะพาพวกเขาออกจากกระบี่สำริดเขียวโบราณได้ ทั้งคู่รู้ดีว่าพอไปปรากฏอยู่อีกฟากหนึ่งของวงแหวนปราณเมื่อใดก็อาจพบอันตรายได้ทุกเมื่อ ถึงกระนั้น พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเดินทางกลับไปยังสหพันธรัฐ


“เป่าเล่อ ของเหลววิญญาณในขวดนี้ช่างยอดเยี่ยม ความเข้มข้นขนาดนี้ข้าไม่เคยพบเห็นมาก่อน แม้กระทั่งในยุครุ่งเรืองของสำนักวังเต๋าไพศาลก็ตาม ช่างเป็นโชคชะตาของเจ้าแล้วที่ได้พบของเหลวขวดนี้เข้า อย่าเอามาสิ้นเปลืองกับข้าเลย เก็บไว้เถิด เมื่อเรากลับไปยังสหพันธรัฐ เจ้า…” เฟิ่งชิวหรันควบคุมอาการบาดเจ็บของนางไว้ได้เพราะของเหลววิญญาณที่หวังเป่าเล่อมอบให้ก่อนหน้านี้ นางยื่นขวดส่งคืนให้ชายหนุ่ม หญิงวัยกลางคนรู้ระดับการบาดเจ็บของนางดี แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะหายดีในระยะเวลาเพียงเท่านี้ ของเหลววิญญาณขวดนี้ช่วยให้นางรักษาระดับพลังปราณในขั้นจุติวิญญาณเอาไว้ได้เพียงเท่านั้น


ของเหลววิญญาณมีมูลค่ามหาศาล และจะเป็นประโยชน์กับหวังเป่าเล่อมากกว่า เพราะอย่างไรเสีย เมื่อดูจากศพของผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่รอบกาย หวังเป่าเล่อในขณะนี้นั้นทรงพลังกว่าเฟิ่งชิวหรันไปแล้ว


“ผู้อาวุโสชิวหรัน ท่านต้องใช้ของเหลววิญญาณมากเพียงใดจึงจะรักษาระดับพลังปราณให้กลับไปอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณได้” หวังเป่าเล่อไม่ได้ยื่นมือออกมารับขวดแต่กลับถามคำถามนางแทน


เฟิ่งชิวหรันชะงัก ความไม่อยากเชื่อและความหวังเลือนรางปรากฏขึ้นในใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ชายหนุ่มถาม ประกายกล้าส่องสะท้อนอยู่ในแววตานาง ลมหายใจรัวเร็วขึ้นเล็กน้อย


“ห้าขวด…ไม่สิ สามขวดก็พอ!”


หวังเป่าเล่อยกมือขวาขึ้นมาอย่างเงียบงัน ชายหนุ่มตบกระเป๋าคลังเก็บของตนเองหนึ่งครั้ง ดึงขวดของเหลววิญญาณออกมาหกขวดก่อนจะโยนไปให้เฟิ่งชิวหรัน แต่ละขวดบรรจุของเหลววิญญาณจนแทบล้นออกมา การปรากฏของขวดทั้งหกทำให้อากาศโดยรอบหนาแน่นไปด้วยปราณวิญญาณเข้มข้น


“นี่มัน…” เฟิ่งชิวหรันจ้องมองขวดทั้งหก นางรู้สึกได้ถึงความเข้มข้นของของเหลววิญญาณภายใน ซึ่งทำเอานางผงะ ไป เฟิ่งชิวหรันยกมือขวาขึ้นและเก็บขวดทั้งหกเอาไว้ ก่อนจะหันไปมองหวังเป่าเล่ออย่างจริงจังและกล่าวว่า


“เป่าเล่อ ขอเวลาข้าสองสัปดาห์ ข้าจะ…”


“สองสัปดาห์ยาวนานเกินไป! ผู้อาวุโสชิวหรัน ท่านสามารถรักษาตัวให้กลับไปอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณภายในสามวันได้หรือไม่” หวังเป่าเล่อหมุนมือขวาอีกครั้งก่อนจะดึงขวดของเหลววิญญาณออกมาอีกหลายสิบขวดจากบรรดานับร้อยๆ ขวดที่อยู่ในกระเป๋าคลังเก็บ ก่อนจะยื่นให้นางอีกครั้ง


“ได้!” เฟิ่งชิวหรันที่ตาแทบถลนตกปากรับคำอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาทั้งคู่ของนางส่องประกายกล้า จู่ๆ ก็เหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้หลังจากที่ตอบไปอย่างเร่งรีบ นางยกมือขวาขึ้นและส่งกำไลคลังเวทอันหนึ่งให้หวังเป่าเล่อ


“อันนี้เป็นของเจ้าไม่ใช่หรือ ข้าเก็บมันเอาไว้ให้ตั้งแต่เรือบินรบนั้นจากไป”


หวังเป่าเล่อลิงโลดขึ้นมาเมื่อได้เห็น มันเป็นของเขาจริงๆ ชายหนุ่มทิ้งกำไลคลังเวทอันนี้ไว้กับร่างอวตาร มันจึงหายไปพร้อมๆ กับตอนที่ร่างอวตารถูกทำลาย ชายหนุ่มเก็บวัตถุเวทและสมบัติจำนวนมากเอาไว้ในนั้น


เพราะการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างตัวเขากับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทำให้ชายหนุ่มหมดสติไป หลังจากนั้นหวังเป่าเล่อก็วุ่นอยู่กับการบรรลุขั้นหลายครั้ง จึงยังไม่มีเวลาคร่ำครวญกับการเสียกำไลคลังเวทไปเท่าใดนัก ชายหนุ่มตั้งใจจะออกตามหามันหลังจากทุกอย่างสงบเรียบร้อย แต่ตอนนี้มันกลับมาหาเขาแล้ว หวังเป่าเล่อตรวจสอบของด้านในทันทีที่ได้รับ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้เฟิ่งชิวหรันเป็นเชิงขอบคุณ จากนั้นทั้งคู่ก็เร่งความเร็วพุ่งไปไกลลิบ


พวกเขาอยู่ห่างจากเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลพอสมควร ต้องใช้เวลาราวสองสัปดาห์หากเดินทางด้วยความเร็วธรรมดา แต่ด้วยความรอบรู้ของหวังเป่าเล่อเรื่องแท่นคงกระพัน การเดินทางระยะไกลจึงไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป


ชายหนุ่มนำเฟิ่งชิวหรันไปยังแท่นคงกระพันที่ใกล้ที่สุด ก่อนที่ทั้งคู่จะละลายกลายเป็นหมอกเคลื่อนที่และเดินทางมุ่งไปยังเกาะหลักบนด้ามกระบี่อย่างรวดเร็ว เฟิ่งชิวหรันคุ้นเคยกับแท่นคงกระพันดี แต่นางไม่มีสิทธิ์เปิดใช้แท่น แถมยังไม่รู้วิธีการควบคุม แม้ในยุครุ่งเรืองของสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้ที่ใช้แท่นคงกระพันได้ก็จะต้องเป็นศิษย์เอกขึ้นไปเท่านั้น


เฟิ่งชิวหรันมองวิธีที่หวังเป่าเล่อใช้แท่นคงกระพันอย่างชำนิชำนาญแล้วก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าชายหนุ่มเป็นศิษย์อุปถัมภ์ที่แท้จริง แต่ก็ยังไม่วายนึกสงสัย นางคิดว่าการที่หวังเป่าเล่อบรรลุขั้นการฝึกปราณได้อย่างต่อเนื่องนั้นต้องเป็นเพราะชายหนุ่มพบโอกาสชิ้นงามอย่างแน่นอน และดูเหมือนว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่หลับไหลอยู่ด้วย


หวังเป่าเล่อไม่ปริปากพูดสิ่งใดแม้แต่น้อย เฟิ่งชิวหรันอาจจะคาดเดาไปต่างๆ นานา แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยปากถามเช่นกัน นางรู้ดีว่าเป้าหมายเดียวของหวังเป่าเล่อในยามนี้คือการเดินทางกลับไปยังสหพันธรัฐ ชายหนุ่มกังวลเรื่องนี้มากกว่านาง และแน่นอนว่าเขาเองยังกังวลเรื่องสงครามครั้งนี้มากกว่านางเช่นกัน


เมื่อชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร ก็แปลว่าโอกาสที่เขาได้รับและข้อมูลที่เขาได้มานั้นไม่มีประโยชน์กับสงครามครั้งนี้ ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ หวังเป่าเล่อเพิ่งจะค้นพบว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยังไม่ตาย ชายหนุ่มอยากเดินทางกลับยังวังลำดับสามและร้องขอให้เหล่าบรรดาปรมาจารย์ตื่นจากการจำศีลและมาช่วยรณรงค์ในสงครามครั้งนี้!


ทว่าสุดท้ายแล้ว หวังเป่าเล่อก็ตัดสินใจไม่ทำเช่นนั้น!


ไม่มีใครรับรองได้ว่าความพยายามนั้นจะส่งผลดี มีโอกาสเป็นไปได้สูงว่าการปลุกพยัคฆ์มาไล่จิ้งจอกนั้น…อาจมีผลสะท้อนกลับรุนแรง พวกเขาอาจถูกพยัคฆ์ขย้ำกินเสียเองในตอนท้ายก็เป็นได้!


สหพันธรัฐในปัจจุบันไม่มีทั้งรากฐานและประสบการณ์ของการเป็นอารยธรรมฝึกปราณ ตามหลักการแล้ว พวกเขาควรจะแก้ปัญหาในปัจจุบันด้วยตนเองและค่อยๆ เติบโตขึ้นตามกาลเวลา ยิ่งไปกว่านั้น หากต้องเผชิญกับชะตากรรมอันเลวร้ายที่ยากเกินหลีกเลี่ยง หวังเป่าเล่อก็เลือกจะพึ่งพาศิษย์พี่ของเขามากกว่าผู้อาวุโสสำนักวังเต๋าไพศาล ที่ไม่รู้ว่าจริงๆ  แล้วต้องการสิ่งใดกันแน่


คนสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างไรเสียก็เป็นคนนอกอยู่นั่นเอง…หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ชายหนุ่มยังคงระมัดระวังตัวอยู่เสมอกระทั่งกับเฟิ่งชิวหรัน แต่เขาได้ซ่อนความระแวดระวังนี้เอาไว้เป็นอย่างดีขณะที่ทั้งคู่มุ่งหน้าไปสู่เกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักก็ผ่านไปสองวัน!


สภาพแวดล้อมและอุณหภูมิบริเวณด้ามกระบี่โหดร้ายน้อยกว่าตัวกระบี่มากนัก ความเร็วของหมอกเคลื่อนย้ายเพิ่มขึ้นอย่างมาก หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันมาถึงเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลในอีกสองวันให้หลัง และตอนนั้นพลังปราณของเฟิ่งชิวหรันก็ฟื้นกลับมาเกือบจะสมบูรณ์แล้ว


เกาะหลักนั้นแทบจะว่างร้างผู้คน มีเพียงผู้ฝึกตนจำนวนหยิบมือที่หลงเหลืออยู่ มีคนตระกูลไม่รู้สิ้นยืนยามอยู่จำนวนหนึ่งเช่นกัน แต่พวกเขาก็ไม่อาจรับมือหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันได้ ทั้งคู่สังหารผู้ฝึกตนเหล่านั้นอย่างไร้เมตตา


การปะทะกันใช้เวลาไปเพียงสามสิบนาที สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นเจ็ดหรือแปดคนที่เหลืออยู่บนเกาะถูกสังหารสิ้น การกลับมาของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันถูกเก็บเป็นความลับ ไม่มีการส่งสัญญาณ ไม่มีการปล่อยข่าว ทั้งคู่เดินทางต่อไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายทันที เมื่อสำรวจตรวจตราวงแหวนปราณเสร็จ พวกเขาก็รีบเปิดใช้งานมัน


ลำแสงส่องสว่างขึ้นส่งเสียงดังกระหึ่ม ก่อนจะฉายโชนขึ้นไปยังฟากฟ้า แผ่นดินสั่นไหว หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันมองตากัน


“ผู้อาวุโสชิวหรัน เราควรจะอยู่ด้วยกัน โปรดตามข้ามา…เราจะสู้ฝ่าออกไปพร้อมกัน!”


“เรารออีกวันหนึ่งไม่ได้หรือ ข้าต้องการเวลาอีกวันเดียวเท่านั้นในการฟื้นฟูพลังปราณ ตอนนี้ข้าเกือบจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณแล้ว” เฟิ่งชิวหรันนิ่งเงียบไปอึดใจหนึ่งก่อนจะถาม


หวังเป่าเล่อไม่ได้เอ่ยคำ หากแต่หันหน้าไปหานางและก้มคำนับต่ำ


เฟิ่งชิวหรันจ้องมองหวังเป่าเล่อ นางสัมผัสได้ถึงภาระที่ชายหนุ่มแบกเอาไว้บนบ่า หญิงวัยกลางคนทำได้เพียงทอดถอนใจและไม่ตอบคำ เพียงแต่เรียกใช้พลังปราณของตน พลังขั้นเชื่อมวิญญาณทะลักล้นออกมาจากร่างขณะที่นางก้าวเข้าไปในวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย


หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก เส้นปราณสีโลหิตปรากฏขึ้นทั่วกาย ส่งเสียงดังเปรียะขณะที่รวมตัวกันเข้าเป็นเกราะจักรพรรดิสีโลหิต ร่างใหญ่ยักษ์น่าสะพรึงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกระหายการต่อสู้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มก้าวเข้าไปในวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเช่นกัน


วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเริ่มทำงานในวินาทีนั้น แสงสว่างจ้าฉายฉาบไปยังสรวงสวรรค์ขณะที่พลังวิญญาณทะลักเป็นคลื่นออกมาภายนอก ทั้งสวรรค์และพื้นปฐพีสั่นสะเทือน สายลมคลั่งพัดโบกอย่างรุนแรงทำให้ก้อนเมฆแตกกระจาย ก่อนที่ทั้งคู่…จะหายตัวไป!


………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)