ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 675-681
บทที่ 675 น่าปวดหัว
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปืนใหญ่ของเรือความเร็วสูงสองลำมีวิถีกระสุนมากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบเมตร ฉินสือโอวคิดจะเชือดไก่ให้ลิงดู จึงให้เรือทั้งสองลำไปจัดการเรือประมงพันตันพร้อมกัน
เรือประมงพันตันลำนั้นชื่อว่า ‘เรือคริสโตเฟอร์’ ยาวหกสิบเมตร สมกับเป็นสัตว์ประหลาด มันจอดอยู่บนน้ำเหมือนสัตว์ดึกดำบรรพ์ที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเล เสาหย่อนอวนท้ายเรือยกขึ้นสูงทิ้งอวนลงไปในน้ำเรียบร้อย
เรือกำปั่นขนาดยี่สิบสี่เมตรเมื่อเผชิญหน้ากับมันก็ไม่ต่างจากเด็กน้อยกับผู้ใหญ่เลย
การเทียบเรือไม่ควรดูแค่ความยาว ต้องดูที่ความกว้าง อัตรากินน้ำลึกและน้ำหนักทั้งหมด เพราะเรือไม่ได้เป็นเส้นตรงแต่เป็นวัตถุสามมิติขนาดใหญ่
ลูกเรือบนเรือคริสโตเฟอร์เริ่มไม่สนใจว่าพวกเขาจะทำอะไรกัน พอเห็นเรือเล็กสองลำขับเข้ามาแต่หยุดอยู่ห่างไปไกล พวกลูกเรือก็พากันหัวเราะพูดคุยอย่างย่ามใจสบายๆ อย่างมากก็ชมว่าเรือสองลำนี้สวยดี
ทว่าเมื่อผ้าคลุมปืนใหญ่ที่คลุมปืนฉีดน้ำถูกดึงออก ถึงเริ่มมีคนเห็นท่าไม่ดี พวกเขาชี้ไปยังเรือความเร็วสูงตะโกนว่า “ดูสิ นั่นมันอะไรน่ะ?!”
กัปตันหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นดู พลันหน้าซีดเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “บ้าจริง นั่นมันปืนฉีดน้ำ! ทุกคนไม่ต้องห่วง พวกเขาคิดว่าเรามือเปล่ากันก็ได้? ไปบอกห้องบังคับการให้หันหัวเรือโชว์ปืนฉีดน้ำของพวกเราบ้าง!”
เรือประมงพันตันเป็นเรือน้ำลึก จึงมีการติดตั้งปืนฉีดน้ำไว้อยู่แล้ว เพราะต้องออกทะเลลึกห่างไกลจากประเทศ เลยอาจมีการปะทะกับเรือประมงลำอื่นเพื่อแย่งชิงทรัพยากรประมงหรืออาจเจอโจรสลัด ทำให้ต้องมีอะไรที่ใช้ป้องกันตัวได้
เป็นชาวประมงอเมริกาเหนือ ต้ององอาจเข้าไว้!
หลังกัปตันออกคำสั่ง ก็มีคนเอ่ยขึ้นอย่างลังเลว่า “หัวหน้า ระยะมันห่างเกินไปนะครับ วิถีปืนฉีดน้ำพวกเรายิงได้หนึ่งร้อยเมตร แต่ตอนนี้เราอยู่ห่างกันหนึ่งร้อยห้าสิบเมตรไม่ใช่เหรอครับ?”
กัปตันเคราหนาหัวเราะชั่วร้ายตอบว่า “แล้วยังไงล่ะ? ถ้าพวกมันจะโจมตีเราเดี๋ยวก็เข้ามาใกล้เอง แล้วตอนนั้นเราค่อย…”
เขายังพูดไม่ทันจบก็เห็นแสงระยิบระยับ กัปตันเคราหนานิ่งอึ้ง อ้าปากค้างมองลำน้ำที่เข้ามาใกล้และเป็นประกายขึ้นเรื่อยๆ
อีกฝ่ายยิงปืนฉีดน้ำมาแล้ว!
ยามนั้นเป็นเวลาบ่ายสี่โมงตรง ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำไปทางทิศตะวันตก แสงแดดสะท้อนลำน้ำที่พ่นออกมาเป็นประกายสีทองบางๆ ทั้งดูศักดิ์สิทธิ์และน่าเกรงขาม
ปืนฉีดน้ำนี้ไม่ใช่ปืนใหญ่ ที่พ่นออกมาก็เป็นลำน้ำไม่ใช่ลูกกระสุน ดังมีคำกล่าวว่าธนูที่ขึ้นสายจนสุดจะไม่สามารถเจาะแม้แต่ผ้าแพรบางๆ ได้ ในระยะปลายสุดของสายน้ำก็ไม่ได้แรงพอสังหาร เพียงกระเซ็นเป็นสายน้ำเต็มฟ้า
แต่ความแรงมันก็ไม่ได้น้อยเช่นกัน ทำให้เจ็บเอาการทีเดียว ถึงแรงกระแทกจะลดลงแต่ลองนึกดูว่าการโดนน้ำทะเลกระแทกลงมาใส่ทุกวินาทีบนตัว มันก็ยังเจ็บอยู่ดี
โดยเฉพาะเรือกำปั่นทะเลที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ พร้อมความแรงของน้ำที่เพิ่มขึ้นตามระยะทางที่ร่นลง
ลำน้ำยักษ์ที่สาดใส่บนเรือประมง ทำกลุ่มลูกเรือล้มลุกคลุกคลานไปตามๆ กัน กล้องส่องทางไกลที่เคยอยู่ในมือกัปตันก็หายไปไหนแล้วไม่ทราบ เขาอ้าปากจะพูดแต่ลำน้ำก็ขัดขวาง ทันทีที่เปิดปากน้ำเค็มของทะเลก็พาลเข้าปากตลอด
ปืนใหญ่กระบอกหนึ่งยิงได้ 3200 ลูกบาศก์เมตรต่อชั่วโมง และตอนนี้ดันมีปืนสองกระบอกยิงมาพร้อมกัน ย่อมไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว!
เหล่าชาวประมงบนเรือคริสโตเฟอร์โดนลำน้ำอัดใส่เสียจนเหมือนสุนัข ถ้าไม่วิ่งวุ่นก็ไปหลบกัน การยิงถล่มของปืนใหญ่สองกระบอกนี้ ควรเรียกว่ากลยุทธ์โจมตีไร้จุดอับ!
กัปตันเคราหนาวิ่งหัวซุกหัวซุนไปยังห้องบังคับการ ใช้เสื้อลูกเรือเช็ดหน้าลวกๆ ก่อนจะตะโกนอย่างเกรี้ยวกราดว่า “สู้กลับสิ แค่ก ช่วยฉัน แค่ก ช่วยฉันสู้กลับหน่อย! ปืนเรา แค่ก ปืนฉีดน้ำพวกเราล่ะ? แค่กแค่กแค่ก…”
เพราะกลืนน้ำทะเลเข้าไปเยอะ กัปตันเคราหนาเลยคลื่นไส้จะแย่แล้ว พอจะพูดสุดท้ายก็ทำได้แค่อาเจียนลงพื้นเท่านั้น
เหล่าลูกเรือมองหน้ากัน ใครจะหาทางไปสู้กลับได้ เพราะปืนฝั่งนั้นยิงมาจากระยะไกล พวกเขาไม่มีทางยิงถึงแน่ ต่อให้ทำไปก็มีแต่จะเปลืองดีเซลเปล่าๆ
แถมด้านนอกก็ยังยิงลำน้ำมารัวๆ ใครจะกล้าออกไปคุมปืนหลักกัน?
กัปตันเคราหนาเองก็เข้าใจเรื่องนี้ดี เขารู้ว่าวันนี้คงเจอตอเข้าแล้ว ไม่มีประโยชน์ที่จะดันทุรังต่อ เรือฝ่ายนั้นเข้ามาใกล้แล้ว และยังสามารถทำสงครามยืดเยื้อกับเขาได้แบบนี้ ไม่เหมือนกับเฮลิคอปเตอร์ที่แค่มาวนรอบหนึ่งแล้วกลับไป
พลันวิทยุก็เปิดขึ้นพร้อมเสียงตะคอก “พวก ก่อนฟ้ามืดนะ ก่อนฟ้าจะมืดนายต้องออกไปให้พ้นน่านน้ำฉันซะ! ไม่ใช่แค่ฟาร์มปลาฉันนะ ถ้ายังมาให้ฉันเห็นหน้าล่ะก็! เชื่อเถอะว่าฉันยังมีไม้เด็ดซ่อนไว้อีก!”
ภายในห้องบังคับการเรือกำปั่นทะเลตะวันออก บูลหันไปมองฉินสือโอว “กัปตัน เสียงผมทรงพลังพอไหมครับ?”
ฉินสือโอวลูบคาง ตอบว่า “ไม่เลว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับสามัญสำนึกของหมอนั่นแล้ว ถ้าแบบนี้ยังขู่เขาไม่ได้ คงต้องให้เรือกำปั่นทะเลตะวันตกคอยคุ้มกันไว้ ส่วนพวกเราจะขึ้นไปยิงมิสไซล์กันไฟใส่ให้ตายไปเลย!”
ทั้งที่แค่ออกมาตกปลาไม่ได้จะมาสู้แท้ๆ คนบนเรือคริสโตเฟอร์ไม่ได้คิดจะคร่าชีวิตใคร ที่จริงปกติจะใช้วิธีแอบเข้ามาขโมยปลาเงียบๆ แล้วค่อยหนีเมื่อถูกเจอ เรือลำนี้ก็แค่แข็งนอกอ่อนในใช่ปืนสุญญากาศมาขู่ฉินสือโอวเท่านั้น
เดิมกัปตันเคราหนาตั้งใจจะเสี่ยงชีวิตสู้ตอบ แต่พวกลูกเรือไม่เห็นด้วย พวกเขายังต้องเลี้ยงดูครอบครัวถ้าเกิดตายขึ้นมาคงอนาถเกินไป
ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ เรือคริสโตเฟอร์จึงได้แต่เร่งความเร็วหนี โดยไม่ทันได้เก็บอวน แต่ทำยังไงได้ ค่อยว่ากันตอนจ่ายค่าน้ำมันก็แล้วกัน
เรือแกนนำอย่างคริสโตเฟอร์ยังถอยไป เรือประมงที่เล็กกว่าทั้งสี่ลำจะกล้าอยู่ต่อได้อย่างไร?
ก็ต้องรีบหนีให้ไวที่สุดสิ ไม่อยู่แล้ว!
อีกครั้งที่เรือหัวขโมยล่าถอยไป แต่ฉินกลับไม่สบายใจ เขายืนบนดาดฟ้าเรือมองอาทิตย์อัสดงด้วยความกลัดกลุ้ม
ให้ตายเถอะ ทำไมฝ่ายการประมงแคนาดาถึงไม่ทำแบบที่จีนกันนะ อย่างการห้ามจับปลาระยะยาว? แล้วจะสั่งห้ามนานแค่ไหน จะสิ้นสุดเมื่อไร?
การจัดการประมงของแคนาดากับจีนนั้นจะไม่เหมือนกัน ที่จีนจะกำหนดระบบสั่งห้ามการจับปลาไว้ แต่ของแคนาดานั้นขึ้นอยู่กับระบบTACเป็นหลัก แน่นอนว่ามันก็คือระบบการจัดการประมงเชิงวิทยาศาสตร์แบบหนึ่งนั่นเอง
ชื่อเต็มของระบบTACคือ Total Allowable Catches แปลว่าปริมาณที่อนุญาตให้จับได้ เป็นระบบการจัดการประมงที่ค่อนข้างละเอียด
การใช้งานระบบห้ามจับปลานั้นค่อนข้างง่าย แค่กำหนดตำแหน่งและช่วงเวลาให้ชัดเจนก็พอ สิ่งที่ต้องจัดการเป็นหลักคือพวกเรือประมงอุปกรณ์จับปลาของท่าเรือ การตรวจสอบการขโมยปลาในทะเล รวมถึงการสั่งห้ามจับปลาของท่าเรือและตลาด
วิธีจัดการแบบนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นการฟื้นฟูทรัพยากรทางประมงและอนุรักษ์สิ่งมีชีวิตในทะเล
ระบบTACนอกจากเพื่ออนุรักษ์ฟื้นฟูสิ่งมีชีวิตในทะเลแล้ว ยังเพื่อพัฒนาส่งเสริมการสร้างรายได้ให้กับพวกชาวประมงด้วย
และมุ่งเน้นกำหนดปริมาณการจับผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำของแต่ละสายพันธุ์ให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เท่านี้ฝ่ายประมงแคนาดาก็ตั้งกฎปริมาณการจับกุ้งล็อบสเตอร์ ปูหิมะ ปลาซาบะ แมคเคอเรล ปลาค็อดที่แน่นอนได้
พูดง่ายๆ คือ ระบบห้ามจับปลาคือการสั่งห้ามทีเดียว ไม่มีเวลาที่แน่นอน ส่วนระบบTACจะละเอียดขึ้นมาหน่อย มีการกำหนดช่วงเวลาจับสัตว์ทะเลอะไรได้บ้างจับได้แค่ไหน
แต่แคนาดามักสั่งห้ามแค่ช่วงสั้นๆ อาทิตย์เดียว ด้วยเหตุนี้ถึงได้มีเรือประมงเข้ามาจับปลาในฟาร์มประมงเราอีก เหมือนยินดีเปิดต้อนรับให้พวกเขาเข้ามาขโมยปลาได้นั่นเอง
ฉินสือโอวล่ะปวดหัว!
บทที่ 676 วันเกิดเจ้าหมาแลบราดอร์
โดย
Ink Stone_Fantasy
รุ่งเช้าฉินสือโอวลงมาด้านล่างหลังอาบน้ำเสร็จ แต่ไม่เห็นหู่จือกับเป้าจือ
พอเดินออกไปนอกวิลล่า ฉินสือโอวก็เจอเจ้าสองตัวอยู่ใต้ต้นชูการ์เมเปิล
เจ้าสองตัวที่ขดตัวอยู่ด้วยกันพอเห็นฉินสือโอวก็ยืนขึ้นด้วยความดีใจ แต่ไม่ได้พุ่งเข้าไปหาแบบที่ผ่านมา เพียงส่งเสียงเห่าพร้อมนั่งกระดิกหางเป็นเด็กดี มองฉินสือโอวตาปริบๆ จากไกลๆ
เห็นดังนั้น ฉินสือโอวก็แทบใจสลายรีบกวักมือกล่าวว่า “มาหาพ่อมา พ่อรักพวกแกที่สุดเลยนะ”
ผ่านมาหนึ่งปีครึ่ง หู่จือกับเป้าจือเติบโตเป็นแลบราดอร์ตัวโตเสียแล้ว ช่วงเจริญเติบโตแลบราดอร์จะมีปัญหาอย่างหนึ่ง นั่นคือช่วงที่ผลัดขนอย่างหนักนั่นเอง หลายวันมานี้บนโซฟาในบ้านมักจะมีขนสีทองติดอยู่เรื่อยๆ
หู่จือกับเป้าจือก็เป็นเด็กดีมาก พอรู้ว่าขนตัวเองที่ร่วงนั้นไม่ใช่เรื่องดี ช่วงนี้จึงไม่ค่อยวิ่งเข้าไปในบ้านแล้ว ซึ่งทำให้วินนี่และฉินสือโอวทั้งรักทั้งสงสาร
ตั้งแต่เรือประมงห้าลำที่มาขโมยปลาคราวก่อนโดนฉินสือโอวใช้ปืนฉีดน้ำยิงใส่จนหนีไป ฟาร์มปลาก็สงบสุขไปหลายวัน ดูท่าข่าวลือเกี่ยวกับฟาร์มปลาที่มีเรือปืนฉีดน้ำจะกระจายไปยังฟาร์มของชาวประมงทั่วชายฝั่งนิวฟันด์แลนด์เรียบร้อย
ฉินสือโอวนำเรือปืนฉีดน้ำสองลำไปจอดไว้ในน่านน้ำตะวันออกและตะวันตก ใช้ท่อสูงหนาของปืนฉีดน้ำในการข่มขวัญ
พอไม่มีเจ้าบ้าพวกนั้น ฉินสือโอวเลยมีเวลาว่างมากขึ้น และมาตั้งใจช่วยแปรงขนให้หู่จือกับเป้าจือ
สุนัขแลบราดอร์จะผลัดขนสองครั้งต่อปี และตอนนี้ก็ถึงคราวของพวกมันแล้ว นอกจากที่จะผลัดขนทุกๆ ปีก็ยังขึ้นอยู่กับอุณหภูมิที่เปลี่ยนไปในฤดูกาลต่างๆ ด้วย ตอนต้นฤดูร้อนจะเยอะที่สุด เพราะช่วงนี้ต้องสลัดขนออกเยอะๆ เพื่อระบายความร้อน
ขนบนตัวของหู่จือกับเป้าจือเป็นประกายสีทองนุ่มนวล แต่พอร่วงลงมาก็กลายเป็นความน่ารำคาญ ขนพวกนี้ติดหนึบอยู่ตามเฟอร์นิเจอร์ เสื้อผ้าและยังลอยว่อนไปทั่วเหมือนวัชพืช
ฉินสือโอวหยิบแปรงขนออกมา หู่จือกับเป้าจือก็รีบหาที่อากาศถ่ายเทก่อนล้มตัวนอนบนพื้นรอพ่อแปรงขนให้
วินนี่ที่สวมชุดไหมพรมอยู่บ้านไปกดตู้น้ำเย็นเอาแก้วนมกับน้ำผลไม้มาให้ฉินสือโอวพร้อมวางหลอดไว้ เขาจะได้กินไปแปรงขนเจ้าสองตัวนี้ไปได้
ขนสุนัขที่โดนหวีจนหลุดบางส่วนปลิวไปติดกับแก้วเข้า ฉินสือโอวดื่มนมกับน้ำผลไม้รวดเดียวแล้วเอ่ยว่า “เอาแก้วไปเก็บเถอะ ขนนี่มันเหนียวจริงๆ”
วินนี่ยิ้มตอบ “มีภาษิตเกี่ยวกับแลบราดอร์กล่าวว่า ‘ขนสุนัขจะติดทุกอย่างในบ้านยกเว้นตัวหมาเอง’ คิดว่าไงล่ะ นึกภาพออกไหม?”
ฉินสือโอวพยักหน้า ไม่ใช่การพูดเกินจริงเลย ขนสุนัขนั้นทรงพลังเกินไปแล้ว
หลังตั้งใจแปรงขนจนเสร็จ หู่จือกับเป้าจือก็ลุกขึ้นสะบัดตัว พอเห็นว่าไม่มีขนร่วงลงมาแล้ว เจ้าสองตัวก็ดีใจมาก อ้าปากแลบลิ้นไปทางฉินสือโอวกับวินนี่และเลียทั้งสองคน
แลบราดอร์เป็นสุนัขที่รักมนุษย์ที่สุด พวกมันจึงค่อนข้างสนิทสนมกับเจ้าของ ถ้าใครแพ้ขน น้ำลาย ไคลของสุนัขคงเลี้ยงหมาพันธุ์นี้ไม่ไหวแน่
วันนี้เป็นวันเกิดที่สำคัญมากของหู่จือและเป้าจือ เมื่อหนึ่งปีก่อนวันนี้เป็นวันที่ฉินสือโอวกับวินนี่ได้รับทั้งสองมาเลี้ยงนั่นเอง
โดยไม่รู้ตัวฉินสือโอวก็เลี้ยงเจ้าสองตัวนี้มาปีหนึ่งเสียแล้ว แต่เขาดันรู้สึกเหมือนผ่านไปสิบปีมากกว่า!
“พวกเราน่าจะฉลองวันเกิดให้หู่จือเป้าจือนะ ที่รัก คุณคิดว่าไง?” ฉินสือโอวอุ้มเจ้าสองตัวขึ้นมาถามวินนี่ยิ้มๆ
วินนี่นิ่งคิดก่อนตอบ “พาพวกมันไปปีนเขาสักรอบละกัน ปีนี้ยังไม่ได้ปีนเขาเลย เดี๋ยวถ่ายรูปมันด้วย”
ปีนเขาเป็นกีฬาที่สุนัขแลบราดอร์ชอบมาก ในช่วงกำลังโตพวกมันจำเป็นต้องออกกำลังกายมากๆ เพราะเป็นสายพันธุ์ที่มีพลังล้นเหลือเลยต้องใช้พลังงานให้เต็มที่ทุกวัน
เมื่อเห็นวินนี่ชี้ไปบนเขา หู่จือเป้าจือก็กระโดดโลดเต้นดีใจ ส่วนฉงต้าที่อยู่ด้านข้างกลับจ้องป่าเขาด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม ท่าทางวันนี้มันคงไม่อยากขยับไปไหน
ฉินสือโอวจึงทิ้งฉงต้าไว้ที่บ้าน ในฐานะที่วันนี้เป็นวันเกิดหู่จือเป้าจือ พวกเขาเลยพาแค่เจ้าสองตัวนี้ไปปีนเขากัน เป็นวันพิเศษของแลบราดอร์โดยเฉพาะ
ในเวลาอย่างนี้อีวิลสันมักพึ่งพาได้มากทีเดียว ฉินสือโอวรับผิดชอบกระเป๋าสะพายใบใหญ่ ส่วนอีวิลสันเดินแบกเรมิงตันกระบอกหนึ่งโดยไม่บ่นแม้แต่น้อย
วินนี่ถือกล้องถ่ายภาพเจ้าสองตัวไปตลอดทาง
ทันทีที่เข้ามาในป่า หู่จือเป้าจือก็เริ่มคึกขึ้นมา พวกมันวิ่งไล่กันวุ่นวายโดยไม่กลัวว่าจะเปื้อนพื้นโคลนที่เพิ่งโดนฝน กลิ้งตะลุมบอนกันได้สักพักทั้งตัวก็เปรอะโคลนไปหมด
วินนี่หัวเราะพลางถ่ายรูปพวกมัน ไม่ได้ว่าอะไร มันเป็นธรรมชาติของแลบราดอร์ ที่จริงพวกมันก็ไม่ได้สะอาดอะไร ทั้งขุดหลุมโคลน เล่นในขยะ ยิ่งหมาน้อยใจเด็กยิ่งชอบทำตัวตามใจ
หู่จือเป้าจือเองก็ตัวไม่น้อยแล้ว แต่จิตใจพวกมันกลับยังเรียบง่ายแบบลูกหมา โดยปกติสุนัขแลบราดอร์จะเริ่มมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเมื่อย่างเข้าสามขวบแล้ว
แน่นอน มันไม่ได้ซ่อนความฉลาดหลักแหลมของพวกมันเลย แม้จิตใจจะไม่ได้เป็นผู้ใหญ่ก็ตาม พวกมันก็ยังฉลาดมาก
วินนี่ไม่ได้อึดอัดใจกับนิสัยตามธรรมชาติของหู่จือเป้าจืออย่างใด พวกมันห้ามอึหรือฉี่ในห้อง ห้ามอาเจียนของที่กินเลอะเทอะในบ้าน แต่ข้างนอกจะทำอะไรก็ได้
ขอเพียงไม่ใช่ในบ้าน วินนี่อนุญาตให้เล่นอะไรก็ได้ทั้งนั้นเดี๋ยวกลับบ้านไปเธอค่อยจับพวกมันอาบน้ำทีหลัง ไม่ได้เดือดร้อนอะไร
นั่นเป็นสิ่งที่ฉินสือโอวชอบในตัวเธอ วินนี่รู้วิธีการเป็นทั้งภรรยาและแม่
หู่จือเป้าจือตะลุมบอนกันสักพักก็หยุด มันเอียงคอฟังก่อนจะรีบพุ่งไปยังพุ่มไม้ดังลูกธนูแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ฉินสือโอวยิ้มขมส่ายหน้า กล่าวว่า “ผมอยากส่งหมาสักตัวไปเฝ้าฟาร์มให้เหมาเหว่ยหลง เขาบอกผมว่าเขาชอบสุนัขแลบราดอร์มาก ถ้าให้หมอนั่นได้มาเห็นท่าทางของเจ้าสองตัวนี้ตอนอยู่กันส่วนตัว คงเสียใจทีหลังแน่”
วินนี่ตอบ “สุนัขแลบราดอร์ไม่ไหวหรอก ส่งพิทบูลไม่ก็สก็อตติช คอลลี่ไปดีกว่า แลบราดอร์ทั้งซนทั้งวุ่นวายเกินไป ถึงจะฉลาดแต่ฉันกลัวว่าพวกเขาจะไม่มีความอดทนพอจะสอนมันตอนโตได้”
และยังมีอีกอย่าง คือแลบราดอร์นั้นชอบเด็กมาก แต่ฟันพวกมันคมเกินไป และเด็กผิวก็บอบบาง ถึงลูกแลบราดอร์จะเล่นแบบไม่เบาไม่แรงแต่ก็ยังเป็นอันตรายต่อผิวเด็กอยู่ดี
เมื่อเดินไปตามเข้าไปในป่าจนถึงน้ำตกเล็ก วินนี่ก็เรียกทั้งสองตัวมาอาบน้ำแล้วจัดการเตรียมใส่หูกระต่ายเล็กๆ ให้พวกมัน และให้นั่งข้างบ่อน้ำถ่ายรูป
หู่จือใส่โบสีขาว เป้าจือใส่โบสีดำ พวกมันมองหน้ากันก่อนจะอ้าปากเห่าด้วยความตื่นเต้น
วินนี่ทำท่า ‘ชู่ว’ เป็นเชิงบอกให้เงียบ เจ้าสองตัวจึงสงบลง นั่งข้างบ่อน้ำกระดิกหางอย่างมีความสุขกัน
บทที่ 677 เค้กภูเขา
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังใส่หูกระต่ายแล้ว หู่จือเป้าจือก็พยายามถอดออก วินนี่ถ่ายรูปเสร็จพวกมันก็เริ่มวิ่งกันอีก คราวนี้ไม่ตะลุมบอนแล้ว แต่วิ่งไปเชิดหน้าตั้งไปแทน
เห็นดังนั้นฉินสือโอวก็หลุดหัวเราะ “เจ้าสองตัวนี้ขี้อวดจริง”
“เรียกว่าถูกใจต่างหาก” วินนี่ครวญ
อีวิลสันหันมายิ้มแหยๆ ให้ วินนี่จึงถาม “คุณก็อยากได้เหรอ?”
อีวิลสันเกาหลังหัวที่ยุ่งเหยิงไม่ได้พูดอะไร เพียงยิ้มซื่อบื้ออย่างนั้น
วินนี่เปิดกระเป๋าหาของจนเจอโบสีทอง เธอช่วยใส่ให้อีวิลสัน จากนั้นก็มองแล้วหัวเราะ “เล็กไปหน่อยแฮะ แต่ไม่เป็นไร กลับบ้านไปเดี๋ยวทำอันที่ใหญ่กว่านี้ให้คุณดีไหม?”
อีวิลสันหัวเราะพลางกุมอก ตอบว่า “นี่มันดีมากเลย อีวิลสันชอบ”
ฉินสือโอวชะโงกหน้ามาถามบ้าง “แล้วของผมล่ะ?”
วินนี่กระซิบตอบ “นั่นเป็นของสำหรับเด็กต่างหาก คุณอยากเป็นลูกฉันเหรอ?”
สองวันก่อนวินนี่เตรียมฉลองวันเกิดให้หู่จือเป้าจือ นอกจากหูกระต่ายแล้วเธอยังเตรียมแว่นกันแดดหมาไว้ให้ด้วย
แต่พอเจ้าสองตัวใส่กลับไม่ชอบ พวกมันไม่ชินกับสภาพแวดล้อมมืดๆ แล้วบุ่มบ่ามวิ่ง จนชนต้นไม้เข้า!
บนต้นไม้ เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เสี่ยวหง กระรอกแดงอเมริกาเหนือสองตัวที่กำลังกินเบอร์รีอยู่ ต่างสะดุ้งโยนเบอร์รีในมือทิ้งแล้วกระโดดหนีไป คิดว่ามีคนบ้ามาฆ่าตัวตาย
ด้วยเหตุนี้พวกมันจึงยิ่งไม่ชอบแว่นกันแดด พากันมาให้วินนี่ถอดออก พอทัศนวิสัยเดิมกลับมาก็วิ่งไปมาด้วยความดีใจ
สุนัขแลบราดอร์รักการเล่นมาก ตะลุมบอนอย่างสนุกสนานไม่นานก็เริ่มมีความคิดอวดดี วิ่งแข่งบนเขากันอีกครั้ง
ฉินสือโอวเดินหัวเราะตามหลัง เห็นทั้งสองตัวร่าเริงขนาดนี้ เขาพลันตระหนักว่าปกติตัวเองนั้นติดบ้านเกินไป เอาแต่อยู่ในฟาร์มปลา ไม่สนใจงานอดิเรกของพวกมัน
ทิวทัศน์บนภูเขาช่วงต้นฤดูร้อนช่างสวยงาม นอกจากสีเขียวเข้มของใบไม้ต้นหญ้าแล้ว ยังมีดอกไม้หลากสีอีกมากมาย ฉินสือโอวยังเจอพุ่มดอกรักเร่ข้างเนินด้วย มันคือดอกไม้ประจำชาติของเม็กซิโก ชอบขึ้นตามสภาพแวดล้อมที่เย็นร่มรื่นแต่มีแสงสว่าง เลยสามารถเจริญเติบโตอยู่บนเขาเคอร์บัลได้
ดอกรักเร่นั้นสูงใหญ่มากเกือบจะสูงเท่าฉินสือโอวเลย ตัวเป็นดอกสีแดงขอบขาวสีสันสวยงาม ยามลมพัดโบกไหวก็ดูคล้ายกับลูกไฟ
ฉินสือโอวเด็ดมาทัดผมสวยๆ ของวินนี่ วินนี่ฉีกยิ้มปฏิเสธว่า “ดอกไม้ใหญ่ไปนะ ฉันใส่แล้วจะดูประหลาดเปล่าๆ เอาไปให้หู่จือเถอะ”
พอเห็นดอกไม้ภูเขา จู่ๆ วินนี่ก็อารมณ์ไม่ดีขึ้นมา ฉินสือโอวถามว่าเธอเป็นอะไร เธอตอบ “แล้วสวนดอกไม้ของพวกเราล่ะ? คุณบอกว่าปีนี้จะช่วยฉันถางหญ้าทำสวนดอกไม้กันไม่ใช่เหรอ?”
ฉินสือโอวตบหน้าผากตัวเอง เขาลืมสนิทเลย หลายวันก่อนเขายังบอกชาร์คให้ออกแบบสวนดอกไม้ให้ ปรากฏว่ากลายเป็นสวนองุ่นแล้วเขาก็ลืมไป
“งั้นกลับไปผมจะรีบช่วยคุณปลูกดอกไม้ โอเคไหม?” ฉินสือโอวเกลี้ยกล่อมวินนี่
วินนี่รู้ดีว่าฉินสือโอวนั้นยุ่งทั้งวัน จึงไม่ได้ใส่ใจเท่าไร เธอทำหน้ามุ่ยตอบ “นี่มันหน้าร้อนแล้วนะ ถ้ามาปลูกตอนนี้เมื่อไรมันจะบานล่ะ? เดี๋ยวมันก็แข็งตายตอนหน้าหนาวหรอก ไว้ปีหน้าดีกว่า ค่อยมาช่วยฉันถางหญ้าทำสวนดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิปีหน้าแทนนะ”
ฉินสือโอวมีพลังโพไซดอน จะกังวลอะไรถ้าดอกไม้ไม่บาน? เขาตบอกตัวเองเหมือนจะบอกว่าเชื่อมือผมได้เลย วินนี่จึงล้อว่าเขาช่างไม่รู้เรื่องดอกไม้ตามฤดูกาล ฉินสือโอวเกือบจะพูดว่าเขามีเวทมนตร์อยู่แต่ก็เงียบไว้ เพราะตระหนักว่าแบบนี้มันค่อนข้างเหนือธรรมชาติเกินไป ควรเก็บจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไว้เป็นความลับดีกว่า
นกร้องเพลงอยู่เหนือหัว แมลงส่งเสียงอยู่รอบข้าง ทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มตลอดทางที่เดินผ่าน ฉินสือโอวยืนมองด้านล่างจากบนเขา ทะเลกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา เรือสินค้าเรือโดยสารดูเหมือนกล่องไม้ขีดบนน้ำไปเลย ชวนให้รู้สึกว่าตัวเองช่างยิ่งใหญ่
ลมทะเลแอตแลนติกเหนือพัดผ่านเทือกเขาเคอร์บัล ต้นหญ้าสั่นไหว ‘แซ่กแซ่ก’ เมื่อมองจากเขาลงมา ใบไม้เขียวสดมากมายที่พลิ้วไหวเสียดสีตามลมช่างราวกับเสียงคลื่นซัดสาด
เขาพบพื้นที่ราบตรงไหล่เขาซึ่งอยู่ห่างจากลำธารค่อนข้างไกล แต่ดูจากสีขาวที่ปกคลุมพื้นที่บางส่วนแล้วนี่น่าจะเป็นจุดสูงสุดของเขาเคอร์บัล ด้านล่างก็มองเห็นป่าเขียวหนาทึบ แถมยังรับลมเขาอ่อนๆ ได้ เหมาะที่จะเป็นทำเลทองมาก
เนื่องจากอยู่ไกลจากลำธารเลยทำอาหารไม่สะดวกเท่าไร แถมยังมีนักท่องเที่ยวอยู่ด้วย ฉินสือโอวแค่อยากเล่นกับหู่จือเป้าจือเงียบๆ ไม่อยากยุ่งกับนักท่องเที่ยว
อีวิลสันไปตักน้ำที่ลำธาร ฉินสือโอวล่าสัตว์เตรียมทำอาหารจีน นี่ก็เป็นหนึ่งในโปรแกรมท่องเที่ยวที่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าร่วมกิจกรรมได้โดยมีไกด์คอยนำ ไม่อนุญาตให้ล่าสัตว์ใหญ่อย่างหมูป่าและกวางป่า ฆ่าได้เฉพาะไก่ป่ากับกระต่ายป่าเท่านั้น
เพราะตอนต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองแฟร์เวลได้ล่าไก่ป่ากับเป็ดป่าไปสองพันตัว และทำการเพาะพันธุ์กระต่ายป่าสโนว์ชูอีกหนึ่งพันกว่าตัว
กระต่ายป่าสามารถฆ่าได้ตามสบาย เพราะพวกมันขยายพันธุ์ได้เร็วมาก เพราะบนเขาเคอร์บัลมีอาหารอยู่มากมาย แถมมีศัตรูตามธรรมชาติอย่างหมาป่าเทาหรือเหยี่ยวน้อย กระต่ายป่าสโนว์ชูรังหนึ่งสามารถมีลูกได้เจ็ดแปดตัว สองเดือนก็เพิ่มมาอีกรัง ซึ่งถือว่าจำนวนไม่น้อยเลย
ฉินสือโอวหยิบธนูทดออกมา ยังไม่ทันได้ขึ้นลูกธนู หู่จือเป้าจือก็วิ่งไล่กระต่ายกันอุตลุดแล้ว เพียงครึ่งชั่วโมง กระสอบของฉินสือโอวก็เต็มไปด้วยกระต่ายป่าเนื้อแน่นห้าตัวแล้ว
เมื่อกลับมาถึงแคมป์ กลิ่นหอมหวานของครีมก็ลอยเข้าจมูกเป็นอย่างแรก วินนี่ตั้งเตาอบเล็กบนเตาแก๊สอบเค้กเนย
ในแก๊สมีพวกโพรเพน บิวเทน และไอโซบิวเทนอยู่ ครั้งนี้ฉินสือโอวเลือกใช้แบบผสม ทำให้การเผาไหม้คงที่และคุมง่าย ความปลอดภัยสูง และยังสามารถใช้ในสภาพแวดล้อมที่ความสูงอยู่เหนือระดับน้ำทะเลได้อีกด้วย
ไฟโหมแรงมาก วินนี่คอยมองไฟแสดงสถานะเล็กๆ บนเตาอบ เมื่อไฟคงที่แล้วก็ปิดตัวจ่ายแก๊สของถังแก๊ส และเตรียมเปิดเตา
พอได้กลิ่นหอมของเค้ก หู่จือเป้าจือก็วิ่งเข้ามาด้วยความดีใจ นั่งเป็นเด็กดีอยู่ข้างวินนี่เลียปากไม่หยุด เป้าจือหูลู่ไปด้านหลัง เงยหน้าส่งเสียง ตาเล็กๆ จ้องเตาอบเขม็ง
เมื่ออุณหภูมิลดลงจนได้ที่ วินนี่ก็สวมถุงมือเปิดเตา ด้านในมีเค้กขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสามสิบเซนติเมตรโดยประมาณกำลังส่งกลิ่นหอมฉุย
วินนี่หยิบออกมาโดยยังไม่ยอมให้พวกมันแตะ แล้วโรยเนื้อแห้งที่เตรียมไว้ลงไป พร้อมใช้ครีมบีบตรงกลางเขียนเป็นคำว่า ‘สุขสันต์วันเกิด’
ฉินสือโอวยิ้ม “ต้องใส่เทียนด้วยไหม? หู่จือเป้าจือเราอายุหนึ่งขวบแล้ว”
วินนี่ตบหน้าผากตัวเอง พูดอย่างอารมณ์เสีย “ฉันลืมเอามา”
ช่างเป็นช่วงเวลาแสนสุข แม้ไม่มีเทียน วินนี่ตัดเค้กแบ่งให้อีวิลสันก่อน
อีวิลสันที่หิวมานานแล้ว เคี้ยวบิสกิตแห้ง ‘กรุบกรุบ’ พอได้เค้กมาเขาก็หัวเราะกินอย่างตะกละตะกลามทันที
เค้กที่เหลือวินนี่หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ป้อนหู่จือเป้าจือ ฉินสือโอวก็แบ่งมากินส่วนหนึ่ง รสชาติอร่อยจนยากจะต้านทาน ทั้งเนื้อเค้ก ไข่ นม น้ำตาลล้วนผ่านการทำมาอย่างดี
หู่จือเป้าจือได้กินก็ยิ่งร่าเริง ตาเล็กหรี่ลงแทบเป็นขีดด้วยความสุขใจ
วินนี่ตั้งกล้องถ่ายรูปอัตโนมัติและดึงฉินสือโอว หู่จือ เป้าจือ อีวิลสันมายืนด้วยกัน เสียงกล้องดัง ‘แชะ’ พร้อมภาพถ่ายครอบครัวใบหนึ่งที่ออกมา…
บทที่ 678 วิกฤตสาหร่ายทะเล
โดย
Ink Stone_Fantasy
เค้กเป็นแค่ของหวานเรียกน้ำย่อยเท่านั้น อาหารหลักคือกระต่ายย่างและไก่ป่าตุ๋น นอกจากนี้เขายังไปเก็บพวกขึ้นฉ่ายฝรั่ง กระเทียมป่า หัวหอมและต้นหอมป่า เขานำหอยนางรมมาทำซุปแล้วพลาด จึงผสมผักป่าลงไปไม่ให้รสชาติแย่นัก
อีวิลสันกับหู่จือเป้าจือไม่แตะต้องผัก หู่จือกับเป้าจือได้กระต่ายย่างคนละตัว ส่วนอีวิลสันได้สอง ฉินสือโอวกับวินนี่แบ่งกันกินคนละหนึ่งตัว และซุปไก่ป่าอีกหม้อ มื้อเที่ยงนี้ทุกคนต่างกินกันอย่างสุขสันต์
ช่วงบ่าย ฉินสือโอวไม่ได้ปีนเขาต่อ แต่นั่งคุยกับวินนี่แทน
ขณะที่นั่งคุยกัน พลันเสียงร้องของหู่จือเป้าจือดังขึ้นจากไม่ไกล ฉินสือโอวได้ยินก็รีบลุกขึ้นด้วยความร้อนใจ
อีวิลสันถือเรมิงตันจะเดินไปดู ฉินสือโอวตบบ่าบอกให้เขาคอยคุ้มครองวินนี่ไว้ ปรากฏวินนี่กลับหยิบปืนสั้นUSPสีเทาดำออกมา แล้วยิ้มสบายๆ กล่าวว่า “พวกคุณไปดูเถอะ ฉันไม่เป็นไรหรอก”
ฉินสือโอวยังคงให้อีวิลสันอยู่ที่เดิม เขาถือธนูทดตามไปดูเสียงร้อง ที่แท้ก็เป็นหมูป่าขนาดกลางตัวหนึ่งกำลังประจันหน้ากับหู่จือเป้าจือนั่นเอง
หมูป่าตัวนี้น่าจะออกมาหาอาหาร ท้องที่ตอบลง ดวงตาเกรี้ยวกราด กำลังจ้องหู่จือเป้าจือด้วยสายตาเอาเรื่อง เขี้ยวในปากยกขึ้นในท่าพร้อมโจมตี
ฉินสือโอวไม่ได้เคลื่อนไหวบุ่มบ่าม เขารักษาระยะห่างไว้เพื่อความปลอดภัย ดูการต่อสู้ของหู่จือเป้าจือ สุนัขแลบราดอร์ผู้ใหญ่สองตัวสามารถจัดการหมูป่าขนาดกลางได้อยู่แล้ว แถมพวกมันยังซึมซับพลังโพไซดอนมาด้วย
ด้วยเหตุนี้ ฉินสือโอวจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดถ่ายวิดีโอ บันทึกการแสดงในงานวันเกิดของแลบราดอร์
หู่จือไม่ขยับ ส่วนเป้าจือค่อยๆ เดินไปด้านข้าง ทันใดนั้นหู่จือก็เข้าจู่โจมเพื่อเบี่ยงความสนใจหมูป่า ต่างฝ่ายเริ่มสู้กันอย่างดุเดือด
แรงกระแทกของหมูป่านั้นทรงพลังมาก มันเลยไม่ใช้วิธีแบบบุกลุยอย่างเดียว แต่เป็นแบบกลยุทธ์กองโจรที่ผลัดกันสู้ผลัดกันถอย
เมื่อเป็นเช่นนั้นหมูป่าจึงไม่สามารถทำอะไรหู่จือได้เลย ทำให้มันยิ่งร้อนใจจนลืมสนใจเป้าจือที่ค่อยๆ ลอบเข้าไปด้านข้างมัน
รอจนความสนใจทั้งหมดไปอยู่ที่หู่จือ เป้าจือจึงเริ่มลงมือในที่สุด มันวิ่งเหยาะไปใกล้อีกนิด ทันทีที่หมูป่าหันหลังให้ กล้ามเนื้อขาทั้งสี่ก็เกร็งขึ้นก่อนพุ่งเข้าใส่มันราวกับลูกธนู!
หมูป่ารับรู้ถึงแรงลมจากเป้าจือที่กระโจนเข้ามา จึงรีบหันกลับไป ทว่าสายไปเสียแล้ว เป้าจือกระโดดกัดคอของมัน พร้อมใช้ขาทั้งสี่เกาะรัดหัวและตัวแน่น
หู่จือฉวยโอกาสโจมตี พุ่งเข้าใส่ท้องหมูป่าราวกับกระสุนปืนใหญ่จนมันล้มลง แล้วกัดคอซ้ำบิดหัวกระชากเปิดเนื้อหนาๆ ของหมูป่า ขย้ำเส้นเลือดใหญ่ของมัน
หมูป่าถูกหมาตัวใหญ่ทั้งสองกดไว้ดิ้นหนีไปไหนไม่ได้ สุดท้ายขาของมันกระตุกเล็กน้อยก่อนสิ้นใจไป
ฉินสือโอวเก็บโทรศัพท์ลูบหัวเจ้าสองตัว ทำได้ดีมาก เย็นนี้มีเนื้อให้กินอีกแล้ว
หู่จือและเป้าจือผู้กล้าหาญไม่เพียงล้มหมูป่าขนาดกลางได้อย่างง่ายดาย แต่มันยังแสดงให้เห็นว่าสามารถฆ่าหมูป่าได้โดยไม่เปื้อนเลือดมากอีกด้วย
จากนั้นฉินสือโอวก็เรียกอีวิลสันมาจัดการหมูป่า กระทั่งพระอาทิตย์ตกถึงเวลาลงเขาแล้ว เขาก้าวเดินไปอย่างเรื่อยเฉื่อย
ระหว่างทางพวกเขาเจอนักท่องเที่ยวกลุ่มหนึ่งโดยบังเอิญ ฝ่ายนั้นเองก็รู้จักฉินสือโอวและวินนี่ คนหนึ่งคือไกด์แคนาดาที่สวยที่สุด อีกคนคือเจ้าของฟาร์มชาวจีนที่โด่งดังมากและมีอิทธิพลมากที่สุดในเมืองแฟร์เวล
พอนักท่องเที่ยวเห็นหมูป่าบนบ่าอีวิลสันก็พากันอึ้ง มีคนถามขึ้นว่า “ทำไมพวกเขาถึงล่าหมูป่าได้แต่พวกเราทำไม่ได้?”
วินนี่ช่วยตอบคำถามแทนพวกไกด์ เธอผิวปากแล้วถอดแว่นกันแดดโยนออกไป หู่จือพุ่งตัวกระโดดเข้ามารับด้วยความเร็วราวสายฟ้า แว่นกันแดดไม่แม้แต่ร่วงลงพื้นแต่อยู่ในปากหู่จืออย่างพอดิบพอดี
“เพราะนั่นแหละค่ะ” วินนี่ยิ้มตอบ
มีบางคนเริ่มเข้าใจและถามอย่างตะลึง “หมูป่าตัวนี้คือที่หมาน้อยสองตัวล่ามางั้นเหรอ?”
ฉินสือโอวให้พวกเขาดูวิดีโอ พวกนักท่องเที่ยวประหลาดใจกันถ้วนหน้า แล้ววิ่งไปจะถ่ายรูปหมู่กับหู่จือเป้าจือ
แต่ทั้งสองตัวกลับวิ่งไปหาวินนี่ นักท่องเที่ยวบางคนพูดด้วยความผิดหวัง “พวกมันขี้อายกันจริงๆ”
วินนี่พยายามไม่หลุดหัวเราะพลางตอบว่า “เปล่าค่ะ พวกมันหยิ่ง”
ช่วงบ่ายเพราะหู่จือและเป้าจือตะลุมบอนกันจนหูกระต่ายหลุด วินนี่เลยไม่ได้ให้พวกมันใส่ต่อ แต่พอเห็นมีคนถือกล้องมาถ่ายวิดีโอตัวเอง เจ้าสองตัวก็รีบกลับมาใส่โบอีกรอบ
ปรากฏว่า หลังวินนี่ใส่หูกระต่ายให้พวกมัน ทั้งสองตัวก็นั่งนิ่งเรียบร้อยปล่อยให้นักท่องเที่ยวเข้ามาถ่ายรูปได้
พวกนักท่องเที่ยวมองด้วยความแปลกใจ หมาพวกนี้จะฉลาดเกินไปแล้ว
ตอนกลับมาถึงฟาร์มปลาก็จวนจะค่ำแล้ว อีวิลสันโยนหมูป่าให้บุช บุชใช้จะงอยปากแหลมคมจิกลอกหนังออก ชาร์คตั้งเตา บูลกับแลนซ์ไปเอาเบียร์มา เย็นนี้ก็กินบาร์บีคิวกันอีกแล้ว
ฉินสือโอวกลายเป็นคนคลั่งบาร์บีคิวไปเรียบร้อย ถึงจะยังเทียบกับพวกชาวประมงไม่ได้ก็เถอะ เขาน่ะยังแค่ระดับมือสมัครเล่น แต่พวกชาวประมงนั้นคลั่งไคล้ระดับบ้าคลั่งแล้ว!
…
ขณะดื่มเบียร์นิวฟันด์แลนด์สโนว์ กินเนื้อหมูย่างสีทอง ชาร์คก็ถามขึ้นว่า “บอส สาหร่ายคอมบุเราส่งขายได้แล้วนะครับ คุณมีแผนอะไรไหม?”
สาหร่ายนิวฟันด์แลนด์คอมบุที่ฟาร์มปลาปลูกไว้ได้มาถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว คอมบุพันธุ์นี้มีชื่อเสียงในแถบอเมริกาเหนือมาก มีสรรพคุณทางชีวภาพคือช่วยลดไขมันในเลือด ลดน้ำตาลในเลือด ปรับภูมิคุ้มกัน ป้องกันเลือดจับตัวเป็นก้อน ป้องกันมะเร็ง ล้างลำไส้และมีสารต้านอนุมูลอิสระ แถมรสชาติไม่เลว ดูจากที่ชาวประมงถือคอมบุย่างหลายพวงในมือก็รู้แล้ว
เพราะนิวฟันด์แลนด์คอมบุอยู่ในเขตเหนือเส้นศูนย์สูตร ทำให้เจริญเติบโตช้า จึงค่อนข้างสมเหตุสมผลที่จะต้องรอถึงสองปีกว่าจะส่งขายได้ แต่เพราะฉินสือโอวใส่พลังโพไซดอนเข้าไป มันเลยเติบโตอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ทั้งน่านน้ำฝั่งตะวันออกเฉียงใต้กลายเป็นผืนสีเขียวเข้มไปหมด
ฉินสือโอวไม่รีบร้อนเก็บเกี่ยวคอมบุเท่าไร มันเป็นไฮไลท์อาหารซีฟู้ดประจำฟาร์มปลาต้าฉินเช่นกัน สาหร่ายที่กินได้กับสาหร่ายที่ใช้ทำอาหารยังส่งขายได้น้อยเกินไป เลยต้องพึ่งคอมบุมาประคองสถานการณ์ไว้ก่อน
เขาบอกชาร์คว่าไม่ต้องรีบ ฉินสือโอวเริ่มอยากกินคอมบุสักพวงบ้างแล้ว อืม อร่อยมาก
ชาร์คท่าทางร้อนใจจริงๆ เอ่ยว่า “ช่วงนี้อากาศร้อนขึ้นแล้ว จะทำให้เกิดเหาน้ำง่าย ผมกลัวว่าเหาน้ำมันจะไปทำลายคอมบุหมด ถ้าเป็นอย่างนั้นละก็น่าเสียดายแย่”
ฉินสือโอวส่งจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปดู คอมบุเขียวชอุ่มแผ่นใหญ่ลอยเต็มผืนน้ำโดยตัวรากฝังอยู่ใต้น้ำ กลายเป็นป่าแบบสาหร่ายสีน้ำตาล ถึงจะไม่หนาเท่าแต่ก็มากพอเป็นป่าได้
ปลาอีโต้มอญฝูงใหญ่อาศัยอยู่ที่นี่อย่างมีความสุข สาหร่ายคอมบุเป็นเหมือนบาร์เรียธรรมชาติสำหรับพวกมัน โดยซ่อนตัวอยู่ในพืชที่มีสีแทบจะใกล้เคียงกับตัวมัน ทำให้ปลากุ้งตัวอื่นหาปลาอีโต้มอญไม่พบ
ทว่าพอฉินสือโอวมองอย่างละเอียด ก็พบว่าความกังวลของชาร์คนั้นก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว เพราะมีเหาทะเลแอตแลนติกเกาะอยู่ตามรากสาหร่ายคอมบุจริงๆ!
เหาน้ำแอตแลนติกคือศัตรูตามธรรมชาติของคอมบุ พวกมันชอบกินลำต้นใต้ดินนุ่มๆ ของคอมบุ มันจะกินทั้งต้นไม่หยุดจนกว่ารากจะเกลี้ยง
นอกจากนี้เหาน้ำยังระบาดได้ง่ายอีกด้วย เพราะจุดแข็งพวกมันคือการวางไข่ ตอนนี้บนรากและใบสาหร่ายคอมบุหลายต้นมีจุดสีดำเล็กๆ เต็มไปหมด ต้องเป็นไข่เหาน้ำแอตแลนติกแน่นอน!
บทที่ 679 การค้นพบอันน่าตกใจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เห็นสาหร่ายคอมบุเจอการรุกรานจากเหาน้ำอย่างนี้ ฉินสือโอวก็เริ่มกังวล แต่ไม่ได้กลัว เพราะเขามีวิธีรับมือเจ้าปรสิตพวกนี้อยู่
ตอนนี้จะได้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตในฟาร์มปลานั้นมีหลากหลายชนิดแค่ไหน
กุ้งอาร์กติกที่กินปลาบริเวณน้ำตื้นมาตลอดได้เปลี่ยนไปบริเวณน้ำลึกแทน ซึ่งกุ้งพวกนี้เมื่ออยู่ในน้ำลึกก็แทบจะไม่ต่างจากห่ากระสุน อะไรที่กินได้พวกมันก็กินหมด
อาหารของกุ้งอาร์กติกคือแพลงก์ตอนและยังชอบกินไข่เหาน้ำเช่นกัน จิตสำนึกแห่งโพไซดอนมาถึงด้านใต้ทะเลไหล่ทวีป ไม่นานก็เจอฝูงกุ้งอาร์กติกจำนวนมาก จึงเตรียมควบคุมพาพวกมันไป
ทว่าทันทีที่จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าไปใกล้ ฝูงกุ้งอาร์กติกส่วนใหญ่กลับมีอาการลนลานเหมือนเจอนักล่า
ในทะเลลึกจะยังเหลือนักล่าหน้าไหนอีก? ฉินสือโอวมองด้วยความสงสัย ทันใดนั้นฝูงปลาตัวใหญ่ที่มีหลังสีน้ำตาล ข้างตัวสีน้ำตาลอ่อน ท้องสีขาวก็โผล่มา
มันเป็นปลานิสัยดุร้าย กำลังเข้าล้อมเตรียมโจมตีกุ้งอาร์กติกไว้เป็นทรงพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว บนตัวมันมีลายสีดำตั้งแต่ตรงปากถึงโคนหาง ด้านข้างมีลายอ่อนๆ เหมือนกันทั้งตัวคล้ายม้าลายทะเล
ฉินสือโอวรู้จักปลาชนิดนี้ มันเป็นม้าลายปลอมในทะเล ปลาช่อนทะเลนั่นเอง เป็นปลาชนิดเดียวในเกมตกปลาแอตแลนติกที่ตัวเพรียวและเคลื่อนที่ว่องไว
ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของปลาช่อนทะเลคือราชิเซนทรอน (Rachycentron) เป็นปลาทะเลเขตร้อน ชอบอยู่ในน่านน้ำที่อบอุ่น มีเยอะเป็นพิเศษในอ่าวเม็กซิโก คาดว่าปลาพวกนี้น่าจะมาตามกระแสน้ำอุ่นจากอ่าวเม็กซิโกจนถึงฟาร์มปลาต้าฉิน
ทะเลไม่เคยโกหก ถ้าฟาร์มปลาใครดี น่านน้ำตรงไหนสะอาดอุดมสมบูรณ์ ตรงนั้นก็จะมีปลาเยอะ
กระแสน้ำใต้ทะเลไม่เพียงพาปลาและเหยื่อจากน่านน้ำอื่นมายังฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ ยังพาปลาและอาหารของฟาร์มไปที่อื่นเช่นกัน แพลงก์ตอนกับพืชน้ำสาหร่ายที่ฟาร์มปลาต้าฉินก็มาด้วยวิธีนี้นั่นเอง
ปลาช่อนทะเลเป็นสัตว์กินเนื้อ ขนาดตัวไม่น้อยไปกว่าปลาทูน่า ปกติมีความยาวหนึ่งเมตรกว่า พอโตเต็มวัยอาจยาวสามเมตรกว่า กินกุ้ง ปู ปลาตัวเล็กทั้งหมดและกินจุด้วย
เพื่อให้อิ่มท้อง ปลาช่อนทะเลสามารถท่องไปทั้งทะเลเพื่อหาอาหารได้เลย กระแสน้ำอุ่นของอ่าวเม็กซิโกคงพาปลาแฮร์ริ่งกับปลาซาบะของฟาร์มไป แน่นอนว่าพอปลาช่อนทะเลได้กินย่อมติดใจรสชาติแล้วย้อนกระแสน้ำอุ่นมาที่ฟาร์มปลา
ซึ่งฉินสือโอวนั้นยินดีต้อนรับปลาพันธุ์นี้มาก แม้พวกมันจะกระเพาะใหญ่แต่ก็ราคาดี เนื้อนุ่ม อร่อย เจริญเติบโตเร็ว มีมูลค่าสูง เป็นผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำที่ขายดีในตลาด จนประเทศตามชายฝั่งต้องมีกรงตาข่ายเพาะพันธุ์เป็นหลัก
แต่กุ้งอาร์กติกพวกนี้ยังมีประโยชน์อยู่ ฉินสือโอวจึงใช้พลังโพไซดอนกับปลาช่อนทะเลให้มันไปหาปลาเล็กกินแทน แล้วพากุ้งอาร์กติกไป
กุ้งอาร์กติกที่หวาดกลัวว่าจะโดนปลาช่อนทะเลฆ่า พอเข้ามาในดงคอมบุก็พบว่านอกจากปลาอีโต้มอญแล้วก็ไม่มีนักล่าตัวอื่นเลย ปลาอีโต้มอญตัวเล็กกว่าปลาช่อนทะเลเยอะ แถมอาหารยังอุดมสมบูรณ์อีก จึงรีบพากันเข้าไปหาอาหารด้วยความดีใจ
พวกมันจัดการกับไข่เหาน้ำได้ แต่ไม่ใช่กับตัวเหาน้ำเพราะขนาดปากของพวกมันเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับตัวเหาน้ำ
ยังมีตัวที่จะมาจัดการเหาน้ำได้อยู่ กุ้งล็อบสเตอร์ไงล่ะ
อาหารที่ล็อบสเตอร์กินนั้นค่อนข้างผสม ทั้งพืชน้ำนิ่มๆ สดๆ สัตว์ที่อยู่ตามหน้าดิน พวกหอยปลาหมึก แพลงก์ตอนจำนวนมาก ปลาพันธุ์ต่างๆ ซึ่งคนส่วนใหญ่คิดว่าซากปลากุ้งเป็นของที่พวกมันชอบ
ถึงอาหารที่กินจะผสมกัน ทว่าการกินในแต่ละช่วงระหว่างเจริญเติบโตของพวกมันก็ยังมีความต่างอยู่บ้าง ตัวอ่อนที่เพิ่งฟักจะกินแต่เมือกของตัวเองที่เก็บไว้เพื่อสารอาหาร จากนั้นไม่นานก็เริ่มกินสัตว์ที่เคลื่อนไหวได้อย่างแพลงก์ตอนเล็กๆ
พอโตขึ้นล็อบสเตอร์ก็เริ่มกินแพลงก์ตอนใหญ่ขึ้น สัตว์ตามหน้าดินและซากพืช จนล็อบสเตอร์ตัวเต็มวัยจะกินทั้งพืชและสัตว์ อาหารหลักคือซากพืชซากสัตว์ พวกตัวเล็กๆ อย่างหนอนน้ำ ริ้นน้ำ และแมลงเปลือกแข็งบางส่วน
ปกติเหาน้ำก็เป็นของที่ล็อบสเตอร์ตัวเต็มวัยกิน
ฉินสือโอวล่อพวกล็อบสเตอร์รุ้งมา ทันทีที่พวกมันมาถึงก็เริ่มทำลายคอมบุด้วยความอยากรู้อยากเห็นเจ้าสาหร่ายนุ่มๆ แต่ความสนใจของพวกมันก็ยังไม่เลวร้ายเท่าเหาน้ำหรอก
ภาพล็อบสเตอร์รุ้งเดินด้วยกันเป็นกลุ่มใหญ่ช่างงดงามเกินบรรยาย กระดองหลังของมันแต่ละตัวมีดาวเล็กๆ เต็มไปหมด พอมองรวมกันก็ดูเหมือนทะเลดาวกว้างใหญ่ที่สวยงามลึกลับ
ได้เห็นทะเลดาวนับไม่ถ้วนในทะเล ฉินสือโอวพาลถอนหายใจอย่างอดไม่ไหว สวยเกินไปแล้ว สวยมากจริงๆ…
จู่ๆ ฉินสือโอวก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้นหลังได้เห็นความสวยงามของล็อบสเตอร์ ความคิดเรื่องสถานที่ที่จะขอวินนี่แต่งงานนั่นเอง
ถ้าขอวินนี่โดยมีล็อบสเตอร์รุ้งเป็นฉากหลัง ภาพจะเป็นยังไงกันนะ?
ฉินสือโอวลองจินตนาการด้วยความสงสัย จิตสำนึกแห่งโพไซดอนพาล็อบสเตอร์รุ้งมาจนถึงน่านน้ำสาหร่ายคอมบุเสร็จก็ลอยออกไปทางน้ำลึก
สักพักใหญ่ถึงดึงสติกลับมา ฉินสือโอวมองอีกทีก็ไม่รู้ว่าจิตสำนึกแห่งโพไซดอนมาอยู่ที่ไหนแล้ว รอบข้างเป็นทะเลลึกไม่ค่อยเห็นปลาหรือสาหร่าย แต่เจอปลาทูน่าครีบเหลืองตัวประมาณเท่าแขนฝูงหนึ่ง
แน่นอนปลาพวกนี้เป็นตัวลูกของพ่อแม่ทูน่า ทูน่าครีบเหลืองจะวางไข่ผสมพันธุ์ไปเรื่อยๆ ถ้าห้าสิบเปอร์เซ็นต์ของไข่ทูน่าฟักมา เกรงว่าฟาร์มปลาต้าฉินคงมีทูน่าครีบน้ำเงินพันกว่าตัวแล้ว
แต่เป็นไปได้ยากที่ลูกปลาพวกนี้จะรอดหมด พวกมันอยู่จุดต่ำสุดของห่วงโซ่อาหาร กว่าพวกมันแต่ละตัวจะโตก็อาจถูกล่าโดยปลาแฮร์ริ่งกับปลาซาบะเสียก่อน
ส่วนปลาพวกนี้โตพอแล้ว แม้จะยังตัวแค่แขนก็ตาม แต่ถ้าหนักถึงสิบกิโลกรัมได้ก็ไม่มีปัญหา รูปทรงหยดน้ำที่สวยงาม ดูเปี่ยมไปด้วยพลังยามว่ายไปมา ทำให้น่านน้ำนี้ดูมีชีวิตชีวา
ถึงปลาทูน่าครีบเหลืองจะไม่ได้มีค่าเท่าทูน่าครีบน้ำเงิน แต่พวกมันก็มีจำนวนมากจนเป็นหนึ่งในปลาเศรษฐกิจที่สำคัญ ด้วยเหตุนี้ฉินสือโอวจึงใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนส่งพลังใส่พวกมัน
ฝูงปลาว่ายน้ำกันเร็วมากขึ้น ทันใดนั้นป่าหินสีแดงก็ปรากฏแก่สายตา
พวกทูน่าครีบเหลืองจากเดิมที่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง ตอนนี้กลับว่ายเก็บออกซิเจนไม่หยุด ฉินสือโอวยังคงมองป่าหินสีแดงด้วยความตะลึง
แน่นอนมันไม่ใช่ป่าหินอะไรหรอก มันคือขุมทรัพย์ปะการังน้ำลึก!
ปะการังแบ่งเป็นสองประเภทคือปะการังน้ำตื้นและปะการังน้ำลึก ปะการังน้ำตื้นมีเยอะที่สุด หลังมันโผล่ขึ้นมาแล้วก็จะหลอมกันกลายเป็นหิน หน้าที่ของมันก็คือการเพิ่มจำนวนสิ่งมีชีวิตในทะเลให้หลากหลาย
สำหรับมนุษย์ จะได้รับประโยชน์จากปะการังโดยตรงไม่มากนัก เพราะพวกมันยังกลวงและไม่แข็งพอที่จะนำไปแกะสลักทำเครื่องประดับได้
ส่วนปะการังน้ำลึกไม่เหมือนกัน พวกมันสามารถโตใต้ทะเลได้ที่ความลึก 200-2000 เมตร พอผ่านกระบวนการกลายเป็นหินในน้ำลึก โครงสร้างก็แข็งขึ้น จนสามารถใช้เป็นวัตถุดิบสำคัญในแกะสลักทำเครื่องประดับได้ มันถึงเป็นปะการังที่มีค่ามาก
สร้อยปะการังสีแดงที่ฉินสือโอวได้มาก่อนหน้า ก็ทำจากปะการังทะเลลึกแกะสลักเหมือนกัน ตอนที่สือฉงกับหวังข่ายประชันฐานะกัน ต้นปะการังที่พวกเขาย้ายก็เป็นปะการังน้ำลึกนั่นเอง เดี๋ยวนี้แรงงานเก็บปะการังน้ำลึกหายากแล้ว มันจึงมีค่ามาก และเอาไว้ใช้เป็นไพ่ตายก้นหีบได้
บทที่ 680 ปลาวางไข่บนฝั่ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
การปรากฏของปะการังน้ำลึกทำฉินสือโอวประหลาดใจ เกินคาดมาก
ตอนนั้นเองเขาถึงเข้าใจความรู้สึกของบิลลี่ตอนเห็นปะการังน้ำลึกที่ฟาร์มปลาเขา มันเหลือเชื่อมาก เกินสามัญสำนึกไปแล้ว!
ปะการังน้ำลึกค่อนข้างมีค่า พวกมันจะกระจายอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ใช้เวลานานกว่าจะเป็นรูปร่าง ไม่สามารถทำซ้ำได้ และการลงไปเก็บในทะเลลึกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มันเลยไม่ใช่ของราคาถูก
ไม่เหมือนปะการังน้ำตื้นที่มีเยอะในน่านน้ำออสเตรเลียและทะเลแปซิฟิกใต้ สถานที่หลักๆ ที่มีปะการังน้ำลึกมีสามที่คือ เมดิเตอร์เรเนียน รอบๆ ฮาวายจนถึงเกาะมิดเวย์ และน่านน้ำไต้หวันถึงเกาะทางใต้ของญี่ปุ่น
สามที่นี้ล้วนเป็นบริเวณที่มีโอกาสการปะทุของภูเขาไฟแผ่นดินไหวบ่อยที่สุดในโลก ส่วนใหญ่มักเป็นภูเขาไฟก้นทะเล และชีวิตใหม่ที่เกิดขึ้นหลังการระเบิด คือสาหร่ายอันอุดมไปด้วยเหล็ก แมงกานีส แมกนีเซียมและธาตุอื่นๆ ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการเกิดปะการัง
นอกจากสถานที่เหล่านี้ ก็ยังมีน่านน้ำอีกหลายแห่งที่มีปะการังน้ำลึก แต่มีจำนวนน้อย ไหนจะที่ยังไม่ค้นพบอีก เรืออับปางบนโลกนี้มีสามล้านลำ แต่ปะการังน้ำลึกทั้งหมดรวมกันยังไม่ถึงสามหมื่นด้วยซ้ำ แถมทั้งสองอย่างก็อยู่ในทะเลลึก ถ้าให้เลือกหาเรืออับปางทะเลยังมีโอกาสมากกว่าอีก
ปะการังที่อยู่ตรงหน้าฉินสือโอวมีขนาดค่อนข้างเล็ก ไม่ถึงหนึ่งพันตารางเมตร ปะการังสูงต่ำไม่เท่ากัน มีแค่ตรงกลางที่สูงสองเมตรกว่า ส่วนรอบข้างสูงไม่ถึงครึ่งเมตร นอกจากความสูง สีสันก็แตกต่างกัน รอบนอกพวกมันเป็นสีขาว ด้านในมีสีชมพูเล็กน้อย และตรงกลางเป็นสีแดงเข้มเหมือนเปลวไฟ
ซึ่งเป็นเรื่องปกติ หลักๆ สีของปะการังน้ำลึกแบ่งได้ห้าสี มีสีแดงเข้ม สีชมพูอ่อน สีชมพู สีซีด สีขาว ยิ่งซึมซับธาตุเหล็ก แมงกานีส แมกนีเซียมเยอะสีก็จะยิ่งเข้ม และยิ่งสีเข้ม ราคาก็สูงตาม
การที่สามารถหาปะการังเจอแถวฟาร์มปลาตัวเองได้ ทำฉินสือโอวรู้สึกอยากขอบคุณปู่รองที่คอยอวยพรเขาอยู่บนสวรรค์จริงๆ ถ้าบอกว่าปะการังน้ำตื้นนั้นมาจากการแนะนำของคุณปู่ หมายความว่าปะการังน้ำลึกนี้ย่อมต้องเป็นฝีมือคุณปู่ด้วยแน่นอน
เพราะปะการังน้ำลึกเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีวงจรชีวิตยาวนานที่สุด โดยเฉพาะปะการังสีแดง มีวงจรชีวิตถึงสิบล้านปี จึงมีคำกล่าวในตลาดเครื่องประดับว่า ‘ปะการังพันปีสีชาดหมื่นปี’
ประโยคนี้หมายความว่าอะไรงั้นเหรอ? คำตอบง่ายๆ ใช้เวลาพันปีปะการังน้ำลึกถึงจะเจริญเติบโตต้นหนึ่ง และยังต้องรออีกหมื่นปีถึงจะดูดซึมธาตุเหล็ก แมงกานีส แมกนีเซียมจนเป็นสีแดงได้
ต่อให้ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนฝืนธรรมชาติ เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองต้องใช้เวลากี่สิบปีกว่าจะได้ปะการังแบบนี้
เขานำจิตสำนึกแห่งโพไซดอนห่อหุ้มป่าปะการังไว้ สัมผัสได้ถึงความอ่อนล้าแต่เปี่ยมด้วยพลัง เป็นเครื่องยืนยันว่าพลังชีวิตไม่มีปัญหาอะไร คิดดูแล้วก็ไม่น่าแปลกใจ ปะการังน้ำลึกนั้นเป็นที่รู้จักในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีประสิทธิภาพที่สุดในทะเล ต้องการสารอาหารเพียงเล็กน้อยก็เพียงพอต่อการอยู่รอดแล้ว
เพื่อปกป้องป่าปะการังนี้ ฉินสือโอวจึงรีบส่งพลังโพไซดอนให้ ปรากฏว่าแม้เขาจะส่งพลังเข้าไปจนเหนื่อย แต่ปะการังน้ำลึกนี้กลับไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย พลังชีวิตก็ไม่เพิ่มขึ้น
นี่คงเป็นความต่างระหว่างปะการังน้ำลึกและน้ำตื้น ถ้าให้พลังโพไซดอนเท่ากับขนาดพื้นที่ของปะการังน้ำตื้น ก็น่าจะขยายเพิ่มได้สักครึ่งหนึ่ง
แต่อย่างน้อยพลังโพไซดอนก็พอมีประโยชน์กับปะการังพวกนี้อยู่ คือช่วยเร่งการขยายพันธุ์ของมัน ซึ่งเป็นหนึ่งในความสามารถของปะการังอยู่แล้ว โพลิปที่อยู่รอดมาได้ถึงพันปีแล้วยังสามารถเพิ่มจำนวนได้อีก
มองอย่างนี้แล้วเหมือนว่า ไม่ว่าจะตะพาบพันปีหรือเต่าแปดพันปี ก็เหมือนหยุดอยู่กับที่ไปเลย
เนื่องจากใช้พลังโพไซดอนไปเยอะมาก ฉินสือโอวเลยง่วงนอนมาก จึงดึงจิตสำนึกกลับแล้วเข้านอน สุดท้ายเขาก็กลับไปดูป่าปะการังนั้นอีกรอบอย่างอาลัย เพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ฝัน แล้วหลับตาลง
รุ่งเช้าฉินสือโอวได้ยินเสียงตะโกนจากด้านนอก พอตื่นแล้วเขาก็ขยี้ตาเดินออกไปนอกวิลล่า เป็นบูลที่จ้องเขาทั้งตาแดง พร้อมตะโกนอย่างตื่นเต้นว่า “กัปตัน คุณทายดูสิว่าผมไปเจออะไรมา?!”
ฉินสือโอวจำความตื่นเต้นยามได้เจอปะการังน้ำลึกได้ เลยถามไปโดยไม่รู้ตัว “บ้าน่า นายก็เจอปะการังน้ำลึกแล้วเหรอ?”
บูลมองเขาด้วยความประหลาดใจ “ปะการังน้ำลึก? ปะการังน้ำลึกอะไรครับ?”
ฉินสือโอวแอบด่าความง่วงจนเลอะเลือนของตัวเองในใจ เขาเพียงหัวเราะตอบว่า “ไม่มีอะไร ฉันพูดไปเรื่อยน่ะ ทำไมเหรอ นายไปเห็นอะไรมาถึงตื่นเต้นขนาดนั้น? ตานี่แดงหมดแล้ว เจอทองหรือไง?”
บูลหัวเราะตอบว่า “เปล่าครับ ตาผมแดงเพราะผมทำงานกะดึกทั้งคืนต่างหาก ตามผมมาสิกัปตัน เดี๋ยวผมให้ดูเวทมนตร์แห่งท้องทะเล!”
เขาเดินตามบูลไปทั้งสงสัย ฉินสือโอวเดินเลียบชายฝั่ง ไกลออกไปนั้นเขาก็มองเห็นฉากเวทมนตร์
บนชายหาดริมทะเล ปลาตัวยาวสีเงินขาวกำลังบิดตัวไปมา แสงแดดยามเช้าส่องกระทบเป็นประกายบนตัวพวกมัน สะท้อนแสงเป็นสีสันสวยงาม!
ฉินสือโอวมองไปรอบๆ และพบว่ามันมีปลาชนิดนี้อยู่ทั่วชายฝั่งเลย หางของปลาบางตัวติดอยู่ในทราย และบางตัวก็กระโดดวนเป็นวงกลม เหมือนกำลังมีความสุข
หลังอยู่บนหาดได้ไม่นาน ปลาสีเงินตัวยาวพวกนี้ก็พยายามดิ้นกระโดดกลับลงทะเลไป ฉินสือโอวมองอยู่อย่างนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง พวกมันกลับลงน้ำไปได้ แต่มีส่วนน้อยที่ยังดิ้นรนอยู่บนหาดอย่างเหนื่อยอ่อน
ปลาบรู๊ก ซิลเวอร์ไซด์!
ฉินสือโอวศึกษาเรื่องสิ่งมีชีวิตในทะเลทั่วโลก แล้วค่อนข้างประทับใจปลาในอเมริกาเหนือ
ปลาบรู๊ก ซิลเวอร์ไซด์อาศัยอยู่นอกชายฝั่งอเมริกาเหนือ พวกมันเหมือนกับปลาไข่ที่จะวางไข่ในทรายแล้วพึ่งแสงอาทิตย์ในการฟักตัว
เดือนมีนาคมถึงเดือนสิงหาคมของทุกปี จะสามารถเห็นปลาพวกนี้กระโดดขึ้นมาจากทะเลเพื่อขยายพันธุ์ ที่ฉินสือโอวเห็นเอาหางจุ่มทรายนั่นก็คือตัวเมียนั่นเอง มันกำลังวางไข่อยู่ และตัวที่กระโดดไปมารอบๆ ก็เป็นตัวผู้ที่ปล่อยน้ำเชื้อผสมพันธุ์
ปลาไข่จะต่างจากปลาบรู๊ก ซิลเวอร์ไซด์ตรงที่มีพละกำลังมากกว่า พวกมันไม่จำเป็นต้องพึ่งคลื่นในการขึ้นชายหาด ทุกครั้งที่พวกมันขยายพันธุ์ร่างกายจะแอบหลั่งฮอร์โมนประเภทหนึ่งเพื่อกระตุ้นพลัง ทำให้มันสามารถกระโดดขึ้นมาบนฝั่งได้เอง
พอหลังขยายพันธุ์ปลาบรู๊ก ซิลเวอร์ไซด์จะไม่เหลือกำลังพอกระโดดกลับทะเล พวกมันจึงต้องพึ่งน้ำขึ้นช่วงกลางคืนถึงจะลงน้ำได้
ปลาบรู๊ก ซิลเวอร์ไซด์ถือเป็นปลาที่น่าสนใจมาก พวกมันกับแมงกะพรุนมีความสามารถแบบเดียวกัน แมงกะพรุนสามารถทำนายการเกิดพายุได้ล่วงหน้าถึงสิบห้าชั่วโมง ขณะที่ปลาบรู๊ก ซิลเวอร์ไซด์ทำนายการเกิดน้ำขึ้นครั้งใหญ่ได้ล่วงหน้าสิบวัน
ด้วยผลงานชิ้นเอกของธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ ไข่ของปลาชนิดนี้ใช้ความอุ่นจากแสงอาทิตย์ฟักไข่ในทราย ซึ่งต้องใช้เวลาสิบวัน ดังนั้นพวกมันจึงมาก่อนล่วงหน้าสิบวันเพื่อขึ้นฝั่งวางไข่ และสิบวันต่อมาลูกปลาก็สามารถกลับลงทะเลได้
แต่ที่ฉินสือโอวไม่เข้าใจคือ ทำไมหลังจากนั้นสิบวันถึงมีน้ำขึ้นได้?
จากประสบการณ์ของเขาและพยากรณ์อากาศ ช่วงนี้จะมีแต่น้ำลง และน้ำลงก็ไม่น่าจะขึ้นมาถึงบนหาดไกลขนาดนั้น แล้วปลาบรู๊ก ซิลเวอร์ไซด์มันกลับลงทะเลได้ยังไงกัน…?
บทที่ 681 งูเหลือมทะเลยังใหญ่ขึ้นอีก
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้ปลาบรู๊ก ซิลเวอร์ไซด์จะไม่ได้ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อย แต่รสชาติก็ไม่เลว เนื้อปลาเนียนละเอียด ดูจากที่มันบิดตัวกระโดดดิ้นไปมาได้ขนาดนั้น ถ้าเนื้อหนาหยาบคงไม่มีทางทำได้
ถึงปลาส่วนใหญ่จะกระโดดลงน้ำกันได้ แต่ชายฝั่งทะเลนั้นอยู่ไกลมาก มีบางส่วนที่นิ่งไปแล้วระหว่างทาง ฉินสือโอวให้พวกชาวประมงที่ตื่นมาแต่ละคนเอากลับไป ถ้ากินไม่ได้ก็ขาย
พวกชาร์คพากันสงสัยชายผู้อยู่จุดสูงสุดของห่วงโซ่อาหารอย่างฉินสือโอวไม่สนใจกินได้ยังไง ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาย่อมเก็บปลาทุกตัวไปด้วยความยินดีแน่
เหตุผลนั้นง่ายมาก ตอนนี้ฉินสือโอวกำลังร้อนใจอยากไปดูปะการังน้ำลึกนั้นมากกว่าไงล่ะ
เขาดึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอนขึ้นมาเหนือน้ำดู สถานที่ตั้งอยู่น่านน้ำฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะเล็กๆ ลักษณะของเกาะประมาณยี่สิบกว่ากิโลเมตร น้ำสะอาดแต่ขาดสาหร่าย ไม่เหมาะให้สิ่งมีชีวิตอื่นอยู่ แต่เหมาะสำหรับโพลิปปะการังน้ำลึก
พอมองปะการังอย่างละเอียด ฉินสือโอวก็ถอนหายใจด้วยความพอใจ สิ่งนี้ไม่ได้เป็นของมีราคา ถึงมีแต่ก็เอาไปขายไม่ได้อยู่ดี ประเด็นคือมันสวย รู้สึกสุขใจถ้าได้มาครอบครอง
เพื่อไม่ให้ตัวอะไรก็ตามในทะเลมาทำลายปะการัง ฉินสือโอวจึงรวบรวมงูเหลือมมาเฝ้าไว้โดยเฉพาะ
พวกงูเหลือมทะเลอาศัยอยู่ที่ป่าสาหร่ายสีน้ำตาลแบบเรียกได้ว่าอิ่มหมีพีมัน สาหร่ายสีน้ำตาลมีปลาพระอาทิตย์และแพลงก์ตอนมหาศาลทำให้ดึงดูดปลาจำนวนมากเข้ามาใกล้ ทุกวันพวกงูเหลือมต้องมาคิดว่าจะกินปลาตัวนี้ดีไหมนะ หรือตัวนี้ดี หรือว่ากินตัวอื่นดีนะ…
พอฉินสือโอวเห็นพวกมันอีกครั้งก็สะดุ้ง งูเหลือมบ้าอะไรมันตัวใหญ่ขนาดนี้ได้? ตัวหัวหน้าพี่ใหญ่ก็ยาวยี่สิบเมตรแล้ว ถ้าบอกว่ามันหนาพอๆ กับถังน้ำก็ไม่ได้เกินจริงเลย นี่มันกลายเป็นสัตว์ประหลาดไปโดยสมบูรณ์แล้ว!
ทันทีที่สัมผัสถึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอนได้ พวกงูเหลือมทะเลก็รุมแย่งกันเข้ามาหา เหมือนนางสนมวังหลังผู้อ้างว้างได้เจอพระมาโปรดแล้วหลงรักเขาสุดหัวใจ
ฉินสือโอวไม่กล้าให้พลังโพไซดอนพวกมันเพิ่มแล้ว ยี่สิบเมตรยังพอรับได้ แต่ถ้ายาวห้าสิบเมตรนี่คงต้องให้กองทัพเรือมาล้อมปราบแล้ว!
แต่คิดดูอีกที ตัวเขาที่มัวแต่ใช้ชีวิตเลี้ยงปลาค็อดห่วงสันติภาพของโลก งูเหลือมยาวสักห้าสิบเมตรแล้วยังไงล่ะ นั่นก็เพราะพลังตัวเองไม่ใช่เหรอ ให้พวกมันไปหลบในน้ำลึกก็ได้นี่นา?
งูเหลือมน่าจะกลายเป็นกองกำลังที่ใหญ่ที่สุดของเขาได้ จากนั้นเวลาเกิดอะไรขึ้น ก็สามารถพึ่งพวกมันให้มาช่วยป้องกันในทะเลได้
แม้เขาจะเชื่อว่าด้วยอำนาจแห่งเทคโนโลยี ฝูงงูพวกนี้คงกลายเป็นแค่กองทัพกระจอกไป…
คิดสักพัก ฉินสือโอวก็ส่งพลังโพไซดอนส่วนหนึ่งให้พวกงูเหลือม
ด้วยเหตุผลบางอย่าง งูเหลือมพวกนี้กลับนำพลังไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าสัตว์ตัวอื่นๆ กล่าวคือ งูเหลือมทะเลดูดซับพลังโพไซดอนไปไว้ที่ตัวแทนที่จะเป็นสมอง ไม่เหมือนพวกบอลหิมะเลย
หรือว่า สัตว์เลื้อยคลานจะไม่มีสมอง?
หลังส่งพลังให้งูเหลือมทะเลเรียบร้อย ฉินสือโอวก็พาไปทางทะเลลึก โดยปล่อยให้พวกมันนำทาง
งูเหลือมอยู่ในน้ำลึกนานไม่ได้เพราะแรงดันน้ำ หลังบอกทางพวกมันแล้วเขาก็ให้พวกมันเปลี่ยนกะกันมาทำหน้าที่
พอพาฝูงมาว่ายน้ำเล่น ฉินสือโอวดันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนรวยยุคเก่าที่พาลูกน้องมาเดินเที่ยวข่มขวัญชาวบ้านบนถนนเลย ไม่ว่าจะปลาค็อด ปลาโอแถบ ปลากระโทงร่ม ปลาใหญ่ปลาเล็กก็พร้อมใจกันแหวกทาง…ไม่สิ คุกเข่าคำนับเขาต่างหาก!
ฉลามขาวเฮยป้าหวังที่สัมผัสถึงฉินสือโอวได้ก็เข้ามาทำตัวบ้องแบ๊วใส่ โดยการแลบลิ้นเลียหน้าตัวเอง ต่อให้มองจากระยะไกลก็ยังรู้สึกว่ามันไม่เข้าอยู่ดี เจ้าบ้า ทั้งฝูงนี่ยังทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากกว่านายเยอะเลย เล่นบ้าอะไรเนี่ย?
เฮยป้าหวังหันหัวว่ายไปทางน้ำลึกทันที โดยไม่สนใจตามการล่อลวงของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนแบบตัวอื่น พวกงูเหลือมที่หวาดกลัวต่างรีบว่ายให้เร็วขึ้นกลัวโดนจับ…
ฉินสือโอวแอบด่าไอ้เด็กขี้ขลาด แม่นายเป็นถึงนักรบงูเหลือมที่กล้าหาญเชียวนะ สู้เก่งแต่ดันไม่มีสมองกัน เฮยป้าหวังนี่ก็ฉลาดเกินไปบางทีเลยไม่ค่อยฟังคำพูดเขา
หลังจัดการปัญหาเรื่องการป้องกันปะการังเสร็จ ฉินสือโอวก็เก็บจิตสำนึกแห่งโพไซดอนคืน เดินเอื่อยๆ กลับไปเตรียมอาหารเช้า
กลุ่มเด็กพาวเวลกำลังเล่นตู้เครื่องดื่มกันอยู่ พอเห็นฉินสือโอวเชอร์ลี่ย์ก็ตะโกนว่า “ฉิน คุณอยากดื่มอะไรไหมคะ?”
“ฉันขอนมสดแก้วหนึ่งแล้วกัน” ฉินสือโอวหัวเราะ มีตู้เครื่องดื่มก็ไม่เลว พวกเด็กๆ จะได้ตื่นเช้าขึ้นมาเล่นก่อนไปเรียนทุกเช้า
ไม่นานเชอร์ลี่ย์ก็ถือเหยือกเบียร์มาให้ ฉินสือโอวกะพริบตาปริบๆ นี่มันนมสดเหรอ? ทำไมถึงแดงขนาดนี้?
“แน่นอนว่ามันไม่ใช่นมค่ะ พวกเราเป็นตู้เครื่องดื่ม ทำแค่นมเฉยๆ มันก็ไม่ท้าทายสิคะ นี่คือนมผลไม้ ใช้องุ่นดำ ลองชิมดูสิคะ อร่อยนะ”
ฉินสือโอวยกจิบอึกหนึ่งก่อนจุ๊ปาก “เย็นไปหน่อยนะสาวน้อย”
“หนูให้น้ำแข็งคุณสี่ก้อนเลยค่ะ!”
“น่ารักจริงๆ!”
หลังกินข้าวเสร็จ เชอร์ลี่ย์ถามวินนี่อย่างคาดหวัง “พี่คะ พี่จะเอาเครื่องดื่มแก้วหนึ่งด้วยไหมคะ?”
วินนี่ยิ้มตอบ “ที่รัก ตอนเช้าไม่ควรดื่มของเย็นจัดนะ พวกเรามาดื่มนมอุ่นด้วยกันดีกว่าไหม?”
โลลิต้า “งั้นเดี๋ยวหนูทำแบบเย็นให้แล้วค่อยเอาไปอุ่นได้ไหมคะ?”
วินนี่บีบๆ เนื้อแก้มโลลิต้า ตอบยิ้มๆ “ก็ได้จ้ะ เอานมแบบไม่มีไขมันนะ”
สาวน้อยโลลิต้าวิ่งแท่ดๆๆ ออกไป และวิ่งแท่ดๆๆ กลับมาอย่างรวดเร็ว ส่งแก้วเครื่องดื่มสีส้มอ่อนให้
วินนี่กำลังจะถาม ฉินสือโอวก็ช่วยตอบแทนเชอร์ลี่ย์ “นมเฉยๆ มันไม่ท้าทาย นี่คือนมผลไม้ ฉันทายว่าเป็นรสส้ม”
“ไม่ใช่ค่ะ เป็นรสสับปะรดต่างหาก!” โลลิต้าค้าน
ปอหลัวที่กำลังก้มหน้ากินสาหร่ายจีฉ่ายได้ยินคนเรียกชื่อตัวเอง ก็เงยหน้าขึ้นมองโลลิต้าอย่างกระตือรือร้น มีอะไรอร่อยๆ ให้กินเหรอ?
วินนี่เอาไปอุ่นในไมโครเวฟ พอเอาออกมาก็ทำหน้างุนงง “ทำไมมันไม่อุ่นล่ะ? ไมโครเวฟเสียแล้วเหรอ?”
สาวน้อยโลลิต้าทำท่าภูมิใจมาก “หนูใส่น้ำแข็งให้คุณด้วยค่ะ แปดก้อน!”
ฉินสือโอว “…”
หลังส่งพวกเด็กๆ ขึ้นรถบัสต่างชาติไปเรียน ขณะฉินสือโอวกำลังจะเดินกลับ เจี้ยนผานโฮ่วก็ขับรถเข้ามาที่ฟาร์มปลา แล้วเดินมาอย่างหดหู่
“นายไม่ไปทำงานเหรอ?” ฉินสือโอวถามด้วยความประหลาดใจ
เจี้ยนผานโฮ่วตอบน้ำเสียงทั้งหมดอาลัยตายอยาก “น้องชายภรรยาผมช่วยดูแทนให้แล้ว”
ประโยคนี้ทำฉินสือโอวสับสนงุนงงมาก น้องชายภรรยา? ดูแทนเขา? ดูอะไร?
เจี้ยนผานโฮ่วถอนหายใจ “ก็หวงเฮ่าเจียไงครับ คุณเพื่อน เขาก็เป็นน้องชายผมเหมือนกัน”
เห็นฉินสือโอวยังไม่หายงุนงง เขาจึงเอ่ยเสริม “ก็เรียกไว้ล่วงหน้าก่อน ผมจะแต่งงานกับพี่สาวเขา เขาก็ต้องเป็นน้องภรรยาผมไม่ใช่เหรอ?”
ฉินสือโอวขมวดคิ้วเอ่ยว่า “เขาจะดูร้านยังไง? นั่นมันร้านขายปืนนะเพื่อน! เขาจะไปทำอะไรได้เล่า?”
เจี้ยนผานโฮ่วอธิบาย “พี่พอลก็อยู่ แล้วน้องเขาก็กำลังลองงาน เขาก็ฝันอยากจะมาทำงานที่ร้านปืนเหมือนกัน พี่พอลแกเลยให้ลองดู”ฉินสือโอวรู้สึกว่าเรื่องมันชักยุ่งเหยิงไปใหญ่แล้ว เขาโบกมือเอ่ยว่า “พูดให้มันรู้เรื่องหน่อยสิ!”
เจี้ยนผานโฮ่วถอนหายใจ พูดเศร้าๆ “เฮีย ช่วงนี้ความเป็นเหตุเป็นผลของผมมันไม่ค่อยดีเท่าไร สมองก็เหมือนจะเริ่มเลอะเลือน…”
“ฉันก็มองออกอยู่” ฉินสือโอวมองเขาด้วยความสมเพช
เจี้ยนผานโฮ่วถอนหายใจต่อ “ผมกำลังมีความรัก…”
“รักข้างเดียวต่างหาก!” ฉินสือโอวยิ่งสมเพชกว่าเดิม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น