หมอดูยอดอัจฉริยะ 674-681

 ตอนที่ 674 ลางสังหรณ์

Ink Stone_Fantasy

“ประเทศไทยจริงๆ…”


สีหน้าของเยี่ยเทียนเคร่งขรึม เหลือบสายตาไปทางจั่วเจียจวิ้น กล่าวว่า “ศิษย์พี่จั่ว  รู้ไหมว่าเมื่อครู่นี้ผมมองเห็นภาพของใคร?”


เดิมทีเยี่ยเทียนยังไม่กล้าตัดสิน แต่เมื่อได้ยินคำพูดของถังเหวินหย่วนแล้ว เขาสามารถสรุปได้ว่า ภัยพิบัติครั้งนี้ของถังเหวินหย่วน คงไม่อาจหลีกหนีความเกี่ยวข้องไปจากนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์เป็นแน่


“ศิษย์น้องเล็ก เธอหมายถึงนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์น่ะหรือ?”


ชีวิตที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาของจั่วเจียจวิ้น เคยพลาดพลั้งที่ประเทศไทยหนเดียวเท่านั้น สาเหตุเพราะเมื่อในอดีตเขาไม่สามารถฝึกฝนข้ามขั้นพลังลมปราณแฝงได้ จึงยังฝังใจเรื่องนี้อยู่เช่นกัน


“ถูกต้องครับ เขานั่นแหละ ผมเป็นคนฆ่าชาญ ทองทวน หลังจากเก็บตัวอยู่นานเขาคงตัดสินใจเคลื่อนไหว ออกมาแก้แค้นให้กับลูกศิษย์แล้ว!”


ตอนที่เยี่ยเทียนทำนายเมื่อสักครู่ ก็สัมผัสได้อย่างเบาบางว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับเขา เมื่อครุ่นคิดโดยละเอียด จึงเข้าใจได้ในทันที ว่าเหตุใดถังเหวินหย่วนถึงโดนหางเลขจากตนเอง


ด้วยสถานภาพของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ไม่ยากลำบากนักที่จะตรวจสอบความสัมพันธ์ของถังเหวินหย่วนกับตัวเขา ดูท่าภัยพิบัติในดวงชะตาของถังเหวินหย่วนครั้งนี้ คงเป็นตัวเขาเองที่นำพามา


“ศิษย์น้องเยี่ย ถ้าอย่างไร…ให้พี่ไปดูด้วยดีไหม?”


พอพูดถึงนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ จั่วเจียจวิ้นก็โกรธแค้นจนอยู่ไม่สุข คนผู้นี้แม้มีสถานะสูงส่ง แต่การกระทำชั่วร้ายเลวทราม ในอดีตถ้าหากไม่ถูกเขาลอบทำร้าย ตัวเองก็คงไม่ต้องทุกข์ทรมานถึงขนาดนั้น


“ไม่ได้ ศิษย์น้องจั่วไปไม่ได้”


เยี่ยเทียนยังไม่ทันตอบ โก่วซินเจียก็ส่ายหน้าเสียก่อน “ระหว่างคิ้วของน้องมัวหมอง ช่วงนี้ดวงชะตาก็ไม่ดีนัก อยู่ที่ฮ่องกงจะดีกว่า”


แม้มีคำกล่าวว่าไม่อาจดูชะตาให้ตนเอง อีกทั้งระหว่างผู้ร่วมอาชีพการดูดวงชะตาให้กันเป็นสิ่งต้องห้าม


แต่คนไม่กี่คนภายในห้องนี้ นอกจากโจวเซี่ยวเทียนกับถังเหวินหย่วนแล้ว ล้วนมีวิชาอยู่ในขั้นจุดสูงสุดที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถไปถึง แต่พอเป็นเรื่องของกฎแห่งสวรรค์ ยังคงสัมผัสได้แค่เพียงเลือนราง


“ศิษย์พี่ใหญ่พูดไม่ผิด ศิษย์พี่จั่ว โอกาสครั้งนี้ไม่ดีนัก พี่อย่าไปเลย”


เยี่ยเทียนเองก็พยักหน้าเล็กน้อย หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็กล่าวว่า “เหล่าถังครับ สิ่งใดสำคัญกว่าผมไม่ขอพูดแล้ว คุณเข้าใจดีกว่าผม เรื่องประเทศไทย ให้พวกเขาไปกันเองเถอะ!”


“ตกลง ฉันเชื่อเธอ เดี๋ยวฉันจะโทรไปหาเหล่าต่ง!”


ถังเหวินหย่วนพยักหน้า ไม่มีเรื่องไหนสำคัญไปกว่าความตาย สิ่งที่เกี่ยวกับโชคชะตาของเขา อย่าว่าแต่ไปเข้าร่วมพิธีธรรมดาเลย ต่อให้แม่ยายเขาที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้เกิดเสียชีวิตกะทันหัน ถังเหวินหย่วนก็คงไม่ไปร่วมงานศพ


“เยี่ยเทียน ถ้าอย่างไร…ฉันไปแทนศิษย์น้องจั่วดีไหม?”


ในฐานะลูกศิษย์คนแรกของสำนักพยากรณ์เสื้อป่าน โก่วซินเจียเองก็รู้สึกขุ่นข้องหมองใจกับเรื่องที่จั่วเจียจวิ้นถูกทำร้าย เมื่อมีโอกาสตอนนี้ เขาจึงอยากจะช่วยออกตัวแทนศิษย์น้องสักครั้ง


“อย่าเลยครับ ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยดีนัก ศิษย์พี่ใหญ่เองก็อย่าไปเลย…”


สีหน้าของเยี่ยเทียนค่อนข้างเคร่งเครียด คิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยปากถามว่า “เหล่าถัง ทำไมการแข่งขันมวยใต้ดินของญี่ปุ่น ถึงต้องจัดที่ประเทศไทยล่ะครับ?”


เรื่องส่วนแบ่งของจู้เหวยเฟิง เยี่ยเทียนเองก็พอรู้ ประเทศไทยเป็นถิ่นดั้งเดิมของฟรุส  เขาใช้จ่ายเงินเป็นจำนวนสิบกว่าล้านดอลลาร์อเมริกาเพื่อนำหุ้นส่วนใหญ่ของตนเองกลับคืน


ว่ากันตามเหตุผลแล้วจู้เหวยเฟิงเป็นหุ้นส่วนรายย่อยของตลาดมวยใต้ดินในประเทศไทย และในมือเขายังมีสถานที่จัดมวยใต้ดินในญี่ปุ่นและมาเลเซียอีกทั้งประเทศจีนสามแห่ง จึงไม่จำเป็นต้องจัดมวยใต้ดินพรีเมียร์ที่เขาทุ่มทุนซื้อมาในประเทศไทย


ถังเหวินหย่วนส่ายหน้า กล่าวว่า “รายละเอียดสถานการณ์เป็นอย่างไรฉันไม่รู้ชัดเจน ดูเหมือนเป็นฟรุสที่เชิญ เขาบอกว่าจะจัดมวยใต้ดินครั้งใหญ่ในทวีปเอเชียสักครั้ง กษัตริย์แห่งประเทศไทยก็จะเข้าร่วมในพิธีด้วย!”


เบื้องหลังของฟรุสในประเทศไทยนั้นล้ำลึกอย่างยิ่ง เขามีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับผู้มีอำนาจทางการทหารในประเทศไทยมากมาย และยังมีความสัมพันธ์หลากหลายช่องทางกับเหล่าเชื้อพระวงศ์


ฟรุสขยับขยายการแข่งขันมวยใต้ดินไปทั่วทั้งประเทศไทย และได้รับการยอมรับจากรัฐบาล ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ทุ่มทุนอย่างหนักซื้อสิทธิในการจัดการกลับมาจากจู้เหวยเฟิง


“เรื่องภายในนี้ออกจะแปลกประหลาด ทำไมผมถึงรู้สึกว่าเรื่องนี้พุ่งเป้ามาที่ผมตลอดเลยนะ?”


 แม้จะปราศจากปราณชีวิตแท้ภายในร่างกาย จนเยี่ยเทียนไม่สามารถใช้วิชามาทำนายได้ แต่ด้วยการก่อโครงร่างจิตดั้งเดิม สัมผัสที่หกอันแหลมคมเหนือคนทั่วไปของเขา ส่งผลให้พอมีภาพหลอกหลอนเลือนรางของชายชราที่ปรากฏภายในหัวแล้ว ในใจของเยี่ยเทียนรู้สึกว่าเรื่องนี้มีส่วนเกี่ยวพันกับเขาอยู่ตลอดเวลา


“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เหล่าถัง คุณคุยกับจู้เหวยเฟิงและต่งเซิงไห่สักหน่อย ว่าการแข่งมวยครั้งนี้ไม่ไปร่วมจะดีกว่า บอกว่าเป็นคำพูดของผม”


อยู่บนเรือสำราญควีนอลิซาเบธด้วยกันหลายวัน จึงรู้สึกสนิทสนมกันอยู่บ้าง เยี่ยเทียนไม่อยากให้จู้เหวยเฟิงและต่งเซิงไห่ต้องรับเคราะห์อะไรจากตนเอง ถึงได้ให้ถังเหวินหย่วนไปเตือนพวกเขาด้วยประโยคนี้


“ได้ เดี๋ยวฉันจะโทรศัพท์หาต่งเซิงไห่”


ถังเหวินหย่วนพยักหน้า ลังเลอยู่ชั่วขณะ กล่าวว่า “เยี่ยเทียน เธอ…เธอว่า…ขอแค่ฉันไม่ออกจากฮ่องกงก็ปลอดภัยแล้วใช่ไหม?”


ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ที่เยี่ยเทียนเคยทำนายไว้ว่าถังเหวินหย่วนจะมีเคราะห์ เพียงแต่ไม่ได้อธิบายตรงๆ หลายปีมานี้ผู้เฒ่าถังจึงรู้สึกกังวลโดยไม่มีเหตุผล


เยี่ยเทียนเหลือบมองถังเหวินหย่วนแวบหนึ่ง กล่าวว่า “อืม เหล่าถัง อีกสองสามวันคุณย้ายมาอยู่กับผมที่นี่ก็แล้วกัน เดี๋ยวผมจะเอาจี้หยกให้คุณห้อยเอาไว้”


“ได้ เยี่ยเทียน งั้นเธอพักผ่อนก่อน ฉันจะไปบอกทางพวกเหล่าต่ง”


ถังเหวินหย่วนได้ยินเข้าก็ดีอกดีใจ ทำความรู้จักมักคุ้นกับพวกเยี่ยเทียนมามาก เขาจึงพอรู้เรื่องอยู่บ้าง เหตุฮวงจุ้ยในฮ่องกงที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น ไม่อาจปฏิเสธความเกี่ยวข้องกับคฤหาสน์หลังนี้ คนที่เคยสัมผัสรสชาติอันหอมหวานจากเรือนสี่ประสานในปักกิ่งอย่างเขา ย่อมรู้ว่าการย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่เป็นข้อดี


“ศิษย์น้องเล็ก เธอนี่มีเมตตาไม่น้อยเลย!” หลังจากรอให้ถังเหวินหย่วนออกไปจากห้อง โก่วซินเจียก็ยิ้มขึ้นมา


“ศิษย์พี่ใหญ่ พี่เองก็ดูออกหรือ?”


เยี่ยเทียนหัวเราะแหะๆ ออกมา กล่าวว่า “ตอนผมเข้าวงการได้รับการช่วยเหลือจากเขามาพอสมควร ถึงแม้ว่าต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่สมควร แต่ผมก็ยังติดค้างหนี้เขาอยู่บ้าง”


“อาจารย์ พวกคุณกำลังคุยเรื่องอะไรอยู่หรือครับ?” โจวเซี่ยวเทียนได้ยินแล้วออกจะงุนงง ผู้เฒ่าถังคนนั้นใช่ว่าเมื่อก่อนไม่เคยอยู่ในค่ายกลรวมปราณเสียเมื่อไหร่ ทำไมครั้งนี้ถึงกลายเป็นความเมตตาอันยิ่งใหญ่ได้?


“เซี่ยวเทียน สกุลโจวของพวกนายเชี่ยวชาญเรื่องฮวงจุ้ยภูมิลักษณ์พยากรณ์ แต่ว่านายก็เข้ามาเป็นศิษย์สำนักพยากรณ์เสื้อป่านอย่างเป็นทางการแล้ว วันหลังก็ศึกษาตำรานรลักษณ์ศาสตร์ที่ฉันถ่ายทอดให้นายเยอะๆ หน่อย!”


มองโจวเซี่ยวเทียนแล้ว เยี่ยเทียนส่ายหน้าอย่างเหลือทน ลูกศิษย์ของเขานั้นเรื่องนิสัยไม่ต้องพูดถึง ความเข้าอกเข้าใจในด้านวิชาก็ปราดเปรื่องมาก


แต่มีเพียงอย่างเดียว นั่นคือโจวเซี่ยวเทียนดูเหมือนจะไม่มีพรสวรรค์ทางด้านทำนายทายทักเลย


เยี่ยเทียนเคยให้เขานั่งคุกเข่าทำนายดวงชะตาให้คนที่ริมกำแพงพระราชวัง แต่ดูไปสิบคนพลาดเสียเก้า ถูกกลุ่มคุณลุงคุณป้าไล่ตีหนีหัวซุกหัวซุน นับแต่นั้นเป็นต้นมา ดูเหมือนจะกลายเป็นเรื่องฝังใจของเด็กคนนี้ จึงไม่นึกสนใจในการทำนายดวงชะตาอีกเลย


ถึงโจวเซี่ยวเทียนเมื่ออายุยังน้อยมีพรสวรรค์สูง แต่ก็เข้าสำนักมาเมื่อเกินวัยแล้ว เยี่ยเทียนจึงไม่อาจถ่ายทอดแก่นวิชาสำนักพยากรณ์เสื้อป่านให้เขาได้ เลยแสร้งปิดตาข้างเดียวต่อเรื่องนี้มาตลอด


“แหะๆ อาจารย์ เดี๋ยวผมจะไปท่องตำรานรลักษณ์ อาจารย์ช่วยอธิบายให้ผมฟังก่อนได้ไหมครับว่าเกิดอะไรขึ้น?” ติดตามเยี่ยเทียนมานมนาน โจวเซี่ยวเทียนรู้ว่าอาจารย์เป็นคนสบายๆ มาตลอด คงไม่ลงโทษเขาด้วยเรื่องพวกนี้


“อายุขัยของเหล่าถังประมาณแปดสิบสามปีเท่านั้น ต่อให้ผ่านเคราะห์ในต้นปีหน้าไปได้ ก็มีชีวิตอยู่ได้อีกแค่สองปี”


เยี่ยเทียนมองไปยังโจวเซี่ยวเทียน พูดต่อว่า “ค่ายกลรวมปราณของฉันปิดบังซ่อนเร้นลิขิตฟ้า ให้เขามาอยู่ระยะหนึ่ง เท่ากับเป็นการเพิ่มอายุขัยให้เขา นี่ถือว่าเมตตาน้อยอยู่หรือไง?”


สำหรับคนมีเงิน ตอนที่พวกเขาใกล้ตาย แม้จะช่วยให้อยู่ต่อได้เพียงแค่วันเดียว เกรงว่าคนเหล่านี้ก็ยอมสละทรัพย์สินให้ การกระทำนี้ของเยี่ยเทียนอย่างน้อยก็ช่วยเพิ่มอายุไขให้ถังเหวินหย่วนหลายปี จึงนับว่าเป็นความเมตตาอย่างมหาศาล


อีกทั้งการกระทำนี้ถือว่าสุ่มเสี่ยงต่อเยี่ยเทียน เพราะถึงอย่างไรนี่ก็นับว่าเป็นการพลิกลิขิตแก้ไขชะตา ใครจะไปรู้ว่าเกิดเทพยดาบนสวรรค์ไม่พอใจขึ้นมาเมื่อไหร่ จะส่งเยี่ยเทียนเข้าไปสู่อันตรายอีกก็เป็นได้?


หลังจากได้ยินว่าเยี่ยเทียนรับปากให้เขาย้ายเข้าไปอยู่ในคฤหาสน์แล้ว ความฉับไวของถังเหวินหย่วนก็ทำให้ผู้คนตกอกตกใจ เยี่ยเทียนพูดออกไปเมื่อตอนเช้า เที่ยงวันเขาก็ย้ายเข้ามาอยู่แล้ว อีกทั้งยังนำข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องทางประเทศไทยมาบอกด้วย


“พวกเขาจะไปให้ได้หรือครับ?”


เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว ภาพชายชราคนนั้นที่ปรากฏในหัว ให้ความรู้สึกอันตรายอย่างยิ่งยวดต่อเขา ดังนั้นเขาจึงให้       ถังเหวินหย่วนแนะนำพวกจู้เหวยเฟิงให้ล้มเลิกความคิดจัดมวยใต้ดินที่ประเทศไทย


ถังเหวินหย่วนหัวเราะแห้งตอบว่า “ฉันเอาคำพูดของเธอไปบอกพวกเขาแล้ว แต่พวกเขาบอกว่าครั้งนี้รัฐบาลไทยเป็นฝ่ายจัด คงไม่เกิดปัญหาอะไร ถึงตอนนั้นมหาเศรษฐีแต่ละประเทศจะเข้าร่วมด้วย เหล่าต่งยังบ่นฉันมายกใหญ่เลย”


ถังเหวินหยวนแม้ไม่ร่ำรวยมีอำนาจมหาศาลระดับหลี่เชาเหริน แต่เบื้องหลังหงเหมินของเขากลับยิ่งใหญ่กว่าต่งเซิงไห่ มีอิทธิพลต่อหลายวงการในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยิ่งกว่าหลี่เชาเหริน


ดังนั้นตงเซิงไห่จึงอยากเชิญเขาไปร่วมงาน นึกไม่ถึงว่าถังเหวินหย่วนจะไม่ไปแล้ว เรื่องนี้ทำให้ต่งเซิงไห่ค่อนข้างไม่พอใจเช่นกัน และไม่เอาคำพูดของเยี่ยเทียนไปใส่ใจ


ต้องเข้าใจก่อนว่า จู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่เพียงเคยเห็นพลังของเยี่ยเทียน แต่ไม่รู้จักสถานะที่แท้จริงของเยี่ยเทียน ดังนั้นคำแนะนำของเยี่ยเทียนจึงกลายเป็นเรื่องขบขันสำหรับพวกเขา


“ช่างพวกเขาเถอะครับ ตอนนี้ผมคงไปวุ่นวายมากขนาดนั้นไม่ได้”


เยี่ยเทียนทำสิ่งใดไม่ละอายใจภายหลัง เมื่อสิ่งที่ตนเองแบกรับอาจทำให้เกิดภัยอันตรายจึงตักเตือนพวกเขา สองคนนั้นไม่ซาบซึ้งใจ ภายหลังหากเกิดอะไรขึ้น ก็ไม่เกี่ยวกับตัวเขาแล้ว


“จริงสิ เหล่าถังครับ มีเรื่องหนึ่งอยากขอร้องคุณ”


ทันใดนั้นเยี่ยเทียนคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นได้ เอ่ยปากบอกว่า “คุณมีคนรู้จักมากมาย ช่วยผมจับตาดูตำราสำนักเต๋าโบราณให้หน่อยครับ ถ้าหากมีปรากฎงานประมูลที่ไหน ต้องช่วยผมประมูลมาให้ได้นะ!”


ภัยพิบัติที่ประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่พบเจอ นอกจากสงครามภายในแล้ว ยังมีการข่มเหงรังแกจากต่างชาติ สมบัติวัตถุโบราณและตำรามากมาย ล้วนถูกโจรขโมยปล้นชิงไปจนหมด


ในขอบเขตวัตถุโบราณมากมาย ที่หลงเหลืออยู่ภายในประเทศ ยังไม่สมบูรณ์เท่าที่เก็บอยู่ภายในพิพิธภัณฑ์ของต่างชาติ ด้วยเหตุนี้เยี่ยเทียนจึงเกิดความคิดภายในใจว่าในกลุ่มตำราที่สูญหายไปเหล่านั้น อาจจะมีเคล็ดวิชาฝึกฝนหลอมจิตกลับสู่ความว่างเปล่าหรือไม่?


แน่นอนว่าเยี่ยเทียนไม่ได้ละเมอเพ้อพกไปเอง เพราะกระทั่งหลี่ซั่นหยวนเองก็ยังเคยสงสัย ว่าภาพดันหลังจะถูกขนย้ายไปอยู่ต่างประเทศ และคำพูดพวกนั้นของหนานไหวจิ่น ก็ดูเหมือนจะหมายถึงเรื่องนี้เอง


เพียงแต่ว่าตอนเยี่ยเทียนอยู่ที่อเมริกาเกิดเรื่องราวมากมาย การไปประเทศอังกฤษจึงถูกถ่วงเวลาให้ล่าช้า ไม่อาจไปตรวจสอบได้ว่าภาพดันหลังที่นั่นเป็นของจริงหรือปลอม?


ตอนที่ 675 คืนถิ่น

Ink Stone_Fantasy

หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ถังเหวินหย่วนก็พยักหน้า บอกว่า “เรื่องนี้จัดการง่าย ช่วงที่ผ่านมาตลาดศิลปะวัตถุโบราณของประเทศจีนเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว องค์กรจัดประมูลรายใหญ่ของต่างชาติมากมายล้วนจัดประมูลศิลปวัตถุของจีน ให้กับคนกลุ่มพิเศษในองค์กรศิลปะวัตถุจีน ถึงเวลาฉันจะคอยสอดส่องให้!”


ฮ่องกงมีมหาเศรษฐีมากมาย ล้วนมีนิสัยชอบเก็บสะสมศิลปะวัตถุ ถังเหวินหย่วนเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น บ้านของเขามีห้องเก็บรักษาศิลปะวัตถุโดยเฉพาะ แต่ว่าเขาสะสมเครื่องสำริดและเครื่องเคลือบ ไม่เคยอ่านภาพเขียนตำราโบราณผ่านตา


คฤหาสน์ที่กงเสี่ยวเสี่ยวยกให้เยี่ยเทียนหลังนี้ แม้อยู่อาศัยกันถึงเจ็ดแปดคน ยังไม่ถึงกับหนาแน่น


ซ่งเวยหลันและสามีย่อมไม่ยอมจากไปอยู่แล้ว และอวี๋ชิงหย่าเองก็ขอลาพักร้อน เพื่อมาดูแลเยี่ยเทียนโดยเฉพาะ หญิงสาวผู้จบการศึกษาจากชิงหวาอันน่าภูมิอกภูมิใจ ยังคล่องแคล่วในการปฐมพยาบาลไม่น้อยเลย


ถึงแม้จิตดั้งเดิมจะไม่อาจฝึกฝนต่อไป แต่ก็แข็งแรงมั่นคงสมบูรณ์ขึ้น เวลาผ่านไปในแต่ละวัน กำลังวังชาของเยี่ยเทียนก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็วจนใครต่อใครต้องประหลาดใจ


หนึ่งเดือนผ่านไป แขนทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนก็สมานเข้าหากันหกสิบเจ็ดสิบเปอร์เซนต์ แม้จะยังไม่สามารถใช้แรงยกของหนัก แต่เวลากินข้าวก็ไม่ต้องให้อวี๋ชิงหย่าป้อนทีละคำอีกแล้ว


ยิ่งไปกว่านั้นกระดูกสันหลังของเยี่ยเทียนก็ฟื้นตัวขึ้นมาก เมื่ออาทิตย์ก่อน กระดูกสันหลังของเขายังไม่อาจรับน้ำหนักได้แม้เพียงเล็กน้อย ได้แต่ต้องนอนอยู่บนเตียง และกินเพียงอาหารเหลวเท่านั้น


จากการคาดคะเนของเยี่ยเทียน เพียงใช้เวลาอีกครึ่งเดือน กระดูกสันหลังที่แตกหักก็จะสมานเข้าหากัน ถึงเวลานั้นตัวเองก็จะสามารถยืนขึ้นได้ แต่ละวันคืนเกือบสองเดือนที่เขาไม่สามารถขยับร่างกายได้ แทบจะทำให้เยี่ยเทียนถึงกับเสียสติไปเลยจริง ๆ


ผลักประตูเข้าห้องของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียก็เห็นเยี่ยเทียนพลิกตำราโบราณฉีกขาดรุ่งริ่งเล่มหนึ่ง จึงเอ่ยปากว่า “เยี่ยเทียน ตำราเหล่านี้ช่วยเหลือเธอได้บ้างไหม?”


ช่วงระหว่างนั้นลูกน้องของถังเหวินหย่วน ส่งของประมูลมาหลายต่อหลายชิ้น ล้วนเป็นตำราโบราณที่ประมูลมาจากงานประมูลต่างๆ


ในหมู่ตำราเต๋าโบราณจำนวนมากนี้ มีกระทั่งชิ้นส่วนที่หลงเหลือของ “เหล่าจื่อสอนเจ้า” ที่จางหลิงเขียน และ “ความลับอันสูงสุด” ที่อวี่เหวินหย่ง กษัตริย์แห่งเป่ยโจวรวบรวมเรียบเรียงตำราเต๋าเอาไว้


“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกพี่เองก็อ่านหมดแล้ว ในนี้มีแต่ทฤษฎีแนวคิด แม้จะเอ่ยถึงคาถาฝึกวิชาบ้างสักสองประโยค แต่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย”


เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะ รวบตำราโบราณในมือเข้าหากัน วางไว้บนผ้าไหมบนโต๊ะอย่างระมัดระวัง สิ่งของเหล่านี้แม้ช่วยอะไรเขาไม่ได้มากนัก แต่ก็ยังเป็นวัตถุโบราณอันล้ำค่า


แน่นอนว่า แม้จะไม่มีเคล็ดวิชาที่เยี่ยเทียนต้องการ แต่เมื่อได้พักผ่อนอ่านแนวคิดคนโบราณ ก็ทำให้สภาวะจิตใจของเขาพัฒนาขึ้น


“ไม่รู้เหมือนกันว่าน้องหนานไหวจิ่นจะเป็นยังไงบ้างแล้ว ไปครั้งนี้ใช้เวลาไม่น้อยเลยทีเดียว?”


โก่วซินเจียถอนหายใจ แม้เขาจะล่วงรู้สรรพสิ่ง แต่ปัจจุบันขอบเขตที่เยี่ยเทียนไปถึงนั้นเหนือกว่าเขาขั้นหนึ่งแล้ว โก่วซินเจียเองยังไม่อาจทำอะไรได้


“แม่ของผมส่งคนไปแถวเขาชิงเฉิงแล้ว บางทีอาจหาศิษย์พี่หนานพบ ศิษย์พี่ใหญ่ อย่ากังวลใจไปเลยครับ”


เยี่ยเทียนรู้ว่าโก่วซินเจียกังวลเรื่องอะไร เรื่องคนแปลกๆ ปลีกวิเวกในเขาลึกนิสัยพิสดาร มักมีให้ได้ยินอยู่เสมอ ถ้าหากเกิดเหตุขึ้นกับหนานไหวจิ่นเข้า สำนักพยากรณ์เสื้อป่านของพวกเขาคงจะติดค้างหนี้ครั้งนี้ใหญ่หลวง


“ขอให้ฉันคิดมากไปเองเถอะ ศิษย์น้อง เธอเองก็รักษาตัวก่อนดีกว่า!” โก่วซินเจียส่ายหน้า ออกมาจากห้องของเยี่ยเทียน


…………


เวลาสิบกว่าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หนานไหวจิ่นที่เดินทางไกลไปในจีนแผ่นดินใหญ่ยังคงไร้ซึ่งข่าวคราว ทำให้โก่วซินเจียค่อนข้างอยู่ไม่สุข ถ้าหากเยี่ยเทียนไม่ตักเตือนไว้ เกรงว่าเขาคงจะออกเดินทางไปแผ่นดินใหญ่แล้ว


“อาจารย์ ฝืนมากไม่ได้นะครับ อาการบาดเจ็บของอาจารย์ คนธรรมดาลุกมานั่งได้ก็ถือว่าไม่แย่แล้ว!” โจวเซี่ยวเทียนเห็นเยี่ยเทียนนั่งบนรถเข็น สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล


เช้าวันนี้ตอนเยี่ยเทียนนั่งบนรถเข็นเดินเล่นในสวนเหมือนวันก่อน ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ยังอยากจะลองลุกขึ้นยืนดู เยี่ยเทียนคิดว่าเรื่องนี้ไม่น่าเป็นปัญหา จึงทำให้ทุกคนตกอกตกใจกันใหญ่ ยกเว้นถังเหวินหย่วนที่ออกไปจัดการเรื่องราวเมื่อวาน


“ใช่แล้ว เสี่ยวเทียน อีกไม่กี่วันเท่านั้น รอให้ดีขึ้นอีกหน่อยค่อยลองดูว่าเดินได้ไหมดีกว่า!” ซ่งเวยหลันเองก็พูดด้วยความเหลืออด พอต้องเผชิญหน้ากับลูกชายจอมดื้อรั้น เธอเองก็ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน


“แม่ ผมบอกว่าไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรสิ!” เห็นอวี๋ชิงหย่ายังอ้าปากค้าง เยี่ยเทียนก็หัวเราะถามว่า “ทำไมเหรอ ชิงหย่า เธอเองก็ไม่เชื่อฉันหรือไง?”


“ฉันเชื่อเธอ เธอต้องทำได้อยู่แล้ว!” เห็นสายตาเว้าวอนของเยี่ยเทียน คำพูดของอวี๋ชิงหย่าที่ออกมาจากปากก็เปลี่ยนไปทันที


“ต้องอย่างนี้สิ”


เยี่ยเทียนหัวเราะออกมาเสียงดัง หลังจากรักษาอาการบาดเจ็บมาสองเดือนกว่า กระดูกสันหลังที่หักของเขา ก็สมานเข้าหากัน ถึงแม้จะยังไม่สมบูรณ์ดีนัก แต่เยี่ยเทียนเชื่อว่า ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินเหินอีกแล้ว


สองมือจับรถเข็นพยุงมือ เยี่ยเทียนวางสองขาไว้บนพื้นด้านหน้า ค่อยๆ ออกแรงแขนแล้วลุกยืนขึ้นอย่างช้าๆ ทีแรกร่างกายของเขายังเอนไปด้านหลังเล็กน้อย แต่เมื่อเยี่ยเทียนยืนได้อย่างมั่นคงแล้ว ร่างกายนั้นก็ตรงดิ่งราวต้นสน ไม่โค้งงอแม้แต่นิดเดียว


“ยืน…ยืนได้แล้วหรือ?”


เห็นลูกชายลุกขึ้นยืนได้จริงๆ ซ่งเวยหลันก็อดน้ำตาไหลด้วยความดีใจไม่ได้ เมื่อหนึ่งเดือนก่อน เธอถึงขั้นเตรียมใจไว้แล้วว่าชีวิตนี้เยี่ยเทียนอาจไม่สามารถลุกยืนขึ้นได้อีก


เยี่ยตงผิงถึงแม้ไม่เอ่ยปากว่าดีอกดีใจเหมือนอย่างภรรยา แต่ริมฝีปากที่สั่นเทาก็อธิบายได้ว่าเวลานี้เขาตื้นตันไปถึงกลางหัวใจ พึ่งพาอาศัยกันกับลูกชายมายี่สิบปี ความสัมพันธ์ฉันพ่อลูกเช่นนี้ยากที่คนอื่นจะมาเทียบเคียงได้


“อาจารย์ เยี่ยมไปเลยครับ!” โจวเซี่ยวเทียนกำหมัดแน่น สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้น


“เยี่ยเทียน ระวังหน่อยนะ” ท่ามกล่างกลุ่มคนเหล่านี้ มีเพียงอวี๋ชิงหย่าที่ค่อนข้างสงบนิ่งอย่างเห็นได้ชัด ก้าวเข้ามาประคองแขนของเยี่ยเทียน


ทั้งสองอยู่ร่วมกันหนึ่งวัน เมื่อหลายวันก่อน ความหงุดหงิดของเยี่ยเทียนก็ส่งสัญญาณออกมาว่าอยากขยับเขยื้อนตัวแล้ว ถ้าหากอาการบาดเจ็บไม่ฟื้นฟูขึ้นมากคงไม่มีอาการนี้ออกมา ด้วยเหตุนั้นอวี๋ชิงหย่าจึงค่อนข้างเตรียมใจเอาไว้อยู่แล้ว


“ศิษย์น้องเล็ก จิตดั้งเดิมให้ผลลัพธ์น่าทึ่งอย่างนี้เชียวหรือ?”


เห็นเยี่ยเทียนก้าวเดินไปข้างหน้าสองก้าวอย่างระมัดระวัง กระทั่งโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นยังมีสีหน้าตกตะลึงออกมา  หากอาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนเกิดขึ้นกับตัวพวกเขา หากไม่ได้เวลารักษาสักปีครึ่ง คงไม่อาจทำได้อย่างเยี่ยเทียน


“เจ้านี่ใช้รักษาบาดแผลได้ไม่เลว แต่ใช้ประโยชน์เรื่องอื่นไม่ได้มากเท่าไหร่นัก…” เยี่ยเทียนได้ยินแล้วหัวเราะแห้งออกมา เพราะหลังจากสัมผัสมาชั่วระยะหนึ่ง เขาก็พบว่า จิตดั้งเดิมเพียงใช้ได้แต่ภายใน ไม่อาจใช้ภายนอก


พูดอีกอย่างก็คือ จิตดั้งเดิมสามารถใช้รักษาอาการป่วยฟื้นฟูร่างกาย แต่กลับไม่สามารถนำมาใช้ห้ำหั่นศัตรูได้อย่างพลังปราณชีวิตแท้


ถ้าหากไม่สามารถจัดการกับปัญหาปราณชีวิตแท้สูญสลาย เยี่ยเทียนที่มีจิตดั้งเดิม อย่างมากที่สุดก็สามารถเป็นแค่คนธรรมดาที่มีร่างกายแข็งแรงเท่านั้น อีกทั้งการสืบทอดวิชาในความคิดก็ไม่อาจทำได้ดีอย่างใจเหมือนเมื่อก่อน


โก่วซินเจียรู้สถานการณ์ร่างกายของเยี่ยเทียนดี จึงปลอบใจว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ไม่ต้องรีบร้อนไป ว่ากันแล้วเดิมทีจิตดั้งเดิมกล่าวขานกันมาเพียงในตำนานเท่านั้น เธอเพิ่งเข้าสู่ระดับแรก อาจจะยังไม่ค้นพบประโยชน์อีกมากมายของมันก็ได้”


ความจริงโก่วซินเจียพูดไว้ไม่ผิด คนผู้หนึ่งสร้างจิตแห่งหยางได้ นั่นหมายความว่าเขาต้องมีพลังจิตเหนือชั้นกว่าคนธรรมดาทั่วไป เมื่อฝึกฝนถึงขั้นล้ำลึก เพียงนึกคิดก็กำหนดความเป็นความตายของคนได้ ไหนเลยจะเอาปราณชีวิตแท้มาเปรียบเทียบ?


เพียงแต่ว่าร่างกำเนิดจิตดั้งเดิมครึ่งๆ กลางๆ ของเยี่ยเทียนถูกฝืนบังคับมากเกินไป อีกทั้งยังใช้รักษาร่างกายมาตลอด จึงทำให้เยี่ยเทียนไม่อาจค้นพบประโยชน์ของมันอีกมากมาย


ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น ที่หน้าประตูคฤหาสน์ก็มีเสียงเบรกรถยนต์ดังขึ้น ดึงดูดความสนใจของพวกเขาไปในทันที


“หือ ทำไมถึงมีรถสองคันล่ะ?”


ทุกคนพบว่า ที่หน้าประตูคฤหาสน์ มีรถเล็กสองคนจอดอยู่ คันหนึ่งเป็นรถพิเศษของถังเหวินหย่วน พวกเขาทุกคนล้วนรู้จัก แต่ป้ายทะเบียนรถอีกคันนั้นค่อนข้างแปลกตา


คนที่ลงจากรถคันแรกมาย่อมเป็นถังเหวินหย่วน แต่คนที่ลงมาจากรถคันที่สอง กลับทำให้พวกเยี่ยเทียนตกตะลึงไปชั่วขณะ จากนั้นค่อยมีสีหน้ายินดีออกมา


“น้องไหวจิ่น ในที่สุดก็กลับมาเสียที!”


โก่วซินเจียรีบรุดออกไปต้อนรับ โจวเซี่ยวเทียนที่ตามหลังเขารีบใช้กุญแจรีโมทเปิดประตูใหญ่ออก


ใช้แขนข้างเดียวกอดหนานไหวจิ่น โก่วซินเจียเอ่ยปากตำหนิ “น้องหนานไหวจิ่น ไปนานขนาดนี้ ทำไมถึงไม่โทรศัพท์มาสักครั้งเลย”


“ฉันไปกลางภูเขา จะหาโทรศัพท์จากที่ไหนล่ะ?”


หนานไหวจิ่นหัวเราะแห้งออกมา ตอบว่า “อีกอย่างถึงพวกลูกศิษย์จะให้โทรศัพท์ฉันสองสามเครื่อง แต่ฉันก็ใช้ของแบบนั้นไม่เป็น คิดว่ามาถึงก็ได้พบหน้ากันเอง เลยไม่ได้โทรหา”


ความจริงไม่เพียงแต่หนานไหวจิ่นเท่านั้น โก่วซินเจียเองก็ไม่เคยชินการใช้โทรศัพท์ของพวกนี้ ซ่งเวยหลันเคยเอาโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่หลายเครื่องจากอเมริกามาให้เขา แต่ก็ถูกเขาวางทิ้งเอาไว้ที่มุมห้อง


“ศิษย์น้องเยี่ย นี่…นี่เธอหายดีแล้วหรือ?”


หลังจากคุยกับโก่วซินเจียสองสามประโยค หนานไหวจิ่นก็เหลือบไปเห็นเยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ตรงกลางลาน จึงรีบเข้าไปทักทาย เฝือกที่แขนทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนเอาออกแล้ว ดูจากภายนอก เขาก็ไม่แตกต่างจากคนปกติทั่วไป


“ศิษย์พี่หนาน ยังหรอกครับ ต้องใช้เวลาสักสามถึงห้าเดือน ถึงจะกลับไปเป็นปกติ”


ทันใดนั้นเยี่ยเทียนนึกถึงจุดตันเถียนซึ่งแตกสลายและปราณชีวิตแท้ที่สูญไป จึงเผลอร้องออกมา “จุดตันเถียนที่ถูกทำลายนั้นหายดีแล้ว ผมว่าคงจะไม่ต่างจากคนธรรมดาหรอกครับ ศิษย์พี่หนาน พี่เดินทางมาเหนื่อยๆ เข้าไปดื่มชาที่ห้องรับแขกก่อนเถอะ!”


แม้จะมีใจอยากสอบถามเรื่องที่หนานไหวจิ่นไปยังเขาชิงเฉิง แต่เมื่อเห็นสีหน้าเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทางนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเอ่ยปากออกไปได้


หนานไหวจิ่นหันมองคนรอบตัวเยี่ยเทียน แล้วพยักหน้า กล่าวว่า “ได้ พวกเราเข้าไปคุยกันข้างในเถอะ”


“เยี่ยเทียน ลูกเดินช้าๆ หน่อยนะ!”


พ่อแม่และภรรยาของเยี่ยเทียนรู้มานานแล้วว่าศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่างพวกเขาคุยกัน จะไม่ให้คนนอกอยู่ด้วยเสมอ ซ่งเวยหลันบอกกล่าวกับลูกชายแล้ว ทุกคนก็ไม่ได้ตามเข้าไปในห้อง


“เยี่ยเทียน ฉัน…ฉันมีเรื่องจะคุยกับเธอ” ที่นอกเหนือไปจากความคาดหมายของเยี่ยเทียนก็คือ ถังเหวินหย่วนกลับตามหลังมา


“เหล่าถัง ไว้ค่อยคุยกันเถอะครับ ผมมีเรื่องต้องปรึกษากับศิษย์พี่หนาน!”


เยี่ยเทียนโบกมือ เวลานี้ในใจเขา จะมีอะไรสำคัญยิ่งไปกว่าเรื่องที่หนานไหวจิ่นกลับมา?


ตอนที่ 676 ความทรงจำในอดีต

Ink Stone_Fantasy

“เยี่ยเทียน เป็นเรื่องสำคัญจริงๆ นะ!” ถังเหวินหย่วนหยุดฝีเท้าลง ร้องอย่างไม่ค่อยพอใจนัก


“เหล่าถัง เรื่องนี้ของผมสำคัญกว่า คุณเดินเล่นอยู่ในสวนก่อน เดี๋ยวผมก็มาแล้วครับ!”


เยี่ยเทียนเวลานี้ไหนเลยจะมีใจหยุดคุยกับถังเหวินหย่วน จึงโบกมือแล้วเดินเข้าห้องรับแขก   ถึงแม้บาดแผลบนกระดูกสันหลังจะยังคงเจ็บปวดอยู่บ้าง   แต่ถ้าไม่เดินเร็ว ก็จะไม่กระทบต่อร่างกายเยี่ยเทียนมากนัก


” นี่… เฮ้อ! “


แม้ถังเหวินหย่วน จะเป็นมหาเศรษฐีมีชื่อเสียงชาวจีน อีกทั้งยังมีสถานภาพสูงส่งในสำนักหงเหมิน  แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าเยี่ยเทียน   เขากลับไม่มีความหมายอะไรเลย


 พูดถึงเรื่องความร่ำรวย เยี่ยเทียนกวาดเงินสี่ห้าร้อยล้านดอลลาร์อเมริกาจากบนเรือสำราญควีนอลิวาเบธ   ตอนนี้สถานะจึงสูงกว่าถังเหวินหย่วน


 พูดถึงเรื่องเบื้องหลัง สถานะของเยี่ยเทียนในสำนักหงเหมิน ยังเหนือกว่าถังเหวินหย่วน ดังนั้นผู้เฒ่าถังที่ทุกคนเคารพนบนอบภายนอก จึงต้องยอมจำใจรออยู่ด้านนอกประตู


 ดีที่คฤหาสน์หลังนี้ของเยี่ยเทียน มีพลังปราณอุดมสมบูรณ์ ถังเหวินหย่วนจึงไม่รู้สึกหงุดหงิดมากนัก รอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าของเขาลดหายไปไม่น้อย


 พอมาถึงห้องรับแขก เยี่ยเทียน ก็เห็นทุกคนนั่งอยู่กับที่แล้ว จึงร้องว่า “เซี่ยวเทียน เอาชาต้าหงเพ่าจากปักกิ่งไปชง!”


“ศิษย์น้องเยี่ย เธอนี่ใจดีจริงๆ ฉันยังไม่เคยดื่มชาต้าหงเพ่าของเธอเลย คงไม่ใช่เก็บมาจากบนต้นไม้ที่เชิงเขานั่นหรอกนะ? “


ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียก็ยิ้มออกมา ผู้เฒ่าอย่างพวกเขาล้วนเปี่ยมประสบการณ์ ความสามารถในการฟื้นฟูร่างกายต่างจากคนหนุ่มนัก จึง ไม่มีใครรีบร้อนไต่ถามเรื่องการเดินทางไปเขาชิงเฉิงของหนานหวยจิ่น


” ศิษย์พี่ใหญ่ครับ ชานี้ผมกับท่านอาจารย์ เก็บมาจากต้นชาสามต้นนั้น เหลือเพียงแค่สิบกว่าใบ ตอนนั้นท่านอาจารย์เก็บเองกับมือเชียวนะ ทีแรกผมตั้งใจจะเก็บเป็นที่ระลึกเฉยๆ”


เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็ตัดพ้อออกมา ตอนที่อาจารย์ไปสู่สวรรค์ นอกจากมอบเข็มทิศและตำแหน่งเจ้าสำนักให้เขาแล้ว ที่เหลือก็ไม่มีสิ่งใดอื่นนอกจากตำราคาถาจำนวนหนึ่ง และใบชาเหล่านี้


อย่างไรเสียเยี่ยเทียนยังมีนิสัยอย่างวัยรุ่น เมื่อหลายปีก่อนจึงไม่ชอบดื่มชา เป็นเพราะคราวก่อนกลับไปไหว้อาจารย์ แล้วค้นขึ้นมาได้จากภายในบ้าน จึงเก็บไว้ด้วยความเสียดายไม่กล้าดื่ม


“เซี่ยวเทียน เธออย่าชงมาเลย” หนานไหวจิ่นร้องห้ามโจวเซี่ยวเทียน มองมายังเยี่ยเทียนแล้วบอกว่า “ศิษย์น้องเยี่ย ชานี้ฉันดื่มแล้วจะรู้สึกละอายใจน่ะ!”


“ไม่ต้องหรอกครับ เจตนาของศิษย์พี่หนาน คู่ควรต่อชานี้แล้ว!”


เยี่ยเทียนแม้จะปวดใจ แต่ใบหน้ายังยิ้มออก “ศิษย์พี่ทุกท่านล้วนเป็นผู้เข้าใจเรื่องชา วันนี้มาลิ้มลองชาที่อาจารย์เก็บเองกับมือกันเถอะ เซี่ยวเทียน รีบไปยกมาเร็ว! “


” ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้!” โจวเซี่ยวเทียนรับคำ แล้วหันร่างขึ้นชั้นบนไป


เวลานี้ในห้องรับแขกเหลือเพียงศิษย์พี่ศิษย์น้องเยี่ยเทียนสามคนและหนานไหวจิ่น โก่วซินเจียเอ่ยปากถามว่า “น้องไหวจิ่น ผู้อาวุโสท่านนั้นจากไปแล้วหรือไม่?”


ว่ากันตามตรง เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องและเยี่ยเทียนถึงแม้คาดหวังกับการเดินทางครั้งนี้ของหนานไหวจิ่น พวกเขาก็เตรียมใจสำหรับความผิดหวังไว้เช่นกัน


ตอนนี้หนานไหวจิ่นอายุกว่าแปดสิบปีแล้ว ตอนที่เขาปลีกวิเวกไปขอฝากตัวเป็นศิษย์อยู่บนเขาชิงเฉิง อายุเพียงยี่สิบต้นๆ เท่านั้น ห่างจากปัจจุบันมามากกว่าหกสิบปี


คนที่ถูกหนานไหวจิ่นเรียกขานว่าท่านอาวุโส อีกทั้งยังฝึกวิชาในระดับสูงจนถึงขั้นหลอมจิตกลับสู่ความว่าง อายุอานามในเวลานั้น เกรงว่าน่าจะเกินเจ็ดถึงแปดสิบปี


เมื่อรวมสองสิ่งนี้เข้าด้วยกัน ถ้าหากผู้อาวุโสคนนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ เกรงว่าตอนนี้อย่างน้อยน่าจะมีอายุถึงหนึ่งร้อยสามสิบถึงสี่สิบปี คนผู้นี้จะยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ พวกเยี่ยเทียนเองก็ไม่มั่นใจเท่าไหร่นัก


“เฮ้อ ฉันค้นหาทั่วเขาชิงเฉิง แต่ก็ยังไม่พบร่องรอยของผู้อาวุโสท่านนี้ ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ฉันเองก็ตอบไม่ได้“


หนานไหวจิ่นถอนหายใจ กล่าวว่า “แต่ฉันเห็นลายมือที่ผู้อาวุโสท่านนั้นทิ้งเอาไว้ ฉันกับเขาไม่มีสัมพันธ์ต่อกันแล้ว เรื่องเมื่อในอดีตจึงสามารถเล่าให้พวกเธอฟังได้”


“อ้อ งั้นอย่าเพิ่งพูดถึงลายมือของผู้อาวุโสท่านนั้นเลย น้องไหวจิ่น เล่าเรื่องในอดีตมาก่อนเถอะ!”


เมื่อได้ยินคำพูดของหนานไหวจิ่นแล้ว พวกเยี่ยเทียนก็ตื่นเต้นขึ้นมา พวกเขาสงสัยมาตลอดว่า คนแบบไหนกันที่สามารถทำให้หนานไหวจิ่นมีสีหน้าเทิดทูนบูชาจนไม่กล้าพูดอะไรมากยามเอ่ยถึง


“พี่หยวนหยาง ความจริงตอนฉันอายุสิบสองขวบ ก็เคยพบผู้สูงส่งท่านนี้ ภายหลังปลีกวิเวกบนเขาชิงเฉิงในยุคปลดแอก เพียงหวังอยากจะค้นหาร่องรอยของท่านเซียนอีกครั้ง แต่วาสนาของฉันมีไม่เพียงพอ ถึงแม้ได้พบผู้อาวุโสท่านนั้น แต่กลับไม่ได้ให้เขารับเป็นศิษย์ในสำนัก!”


เมื่อหนานไหวจิ่นเล่าเรื่องในอดีตที่เกิดขึ้นเมื่อเจ็ดถึงแปดสิบปีที่แล้ว ภาพเหล่านั้นก็ปรากฏขึ้นอีกครั้งต่อหน้าพวกเยี่ยเทียน


เดิมทีหนานไหวจิ่นเกิดในวงศ์ตระกูลเหล่าบัณฑิต พ่อของเขามีความรู้กว้างขวางรอบด้าน ตอนที่หนานไหวจิ่นยังเด็ก เคยพาเขาไปยังเขาชิงเฉิง


หนานไหวจิ่นในวัยเด็กมีนิสัยไม่ชอบอยู่นิ่ง วันหนึ่งขณะที่พ่อและสหายอยู่ในอารามเต๋าบนเขาชิงเชิงดื่มเหล้าสนทนากันเรื่องปรัชญา หนานไหวจิ่นแอบหนีออกมาจากภายในอารามเต๋า


หนานไหวจิ่นเติบโตมาในเมือง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็นในภูเขาใหญ่ เห็นกระต่ายป่าผีเสื้อจึงวิ่งไล่ตามไป โดยไม่ทันรู้ตัว เขาก็เข้ามายังส่วนลึกของเขาชิงเฉิงเสียแล้ว


หนานไหวจิ่นมีนิสัยใจคอกล้าหาญมาแต่เด็ก ถึงแม้อายุเพียงสิบเอ็ดสิบสองปี แต่เขาก็ไม่ร้อนรนเท่าไหร่ ขนาดท้องหิวยังเก็บผลไม้ป่าจากต้นไม้บนเขามาเติมท้อง


เลิ่กลั่กลนลานในเขาตลอดทั้งบ่าย หนานไหวจิ่นกลับยิ่งห่างไกลจากอารามเต๋ามากขึ้นทุกที ตอนที่เขาเดินทางมาถึงภูเขาอันมีน้ำตกสาดกระเซ็น ก็พบว่าด้านล่างสุดของน้ำตกนั้น มีนักพรตเต๋าผมเคราขาวผู้หนึ่งนั่งอยู่


หนานไหวจิ่นในเวลานั้นดีใจมาก เดินตามทางลงมายังหุบเขา แต่ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดนั้นกลับตกใจ เพราะเขาเห็นว่าเหนือหัวของนักพรตเต๋าผู้ชราในระยะสามฉือ มีคนตัวเล็กล่องลอยอยู่ในอากาศ


 คนตัวเล็กนี้เปลือยทั้งร่าง ใบหน้าเหมือนนักบวชเต๋าผู้นั้นทุกกระเบียดนิ้ว เพียงแต่ร่างกายค่อนข้างโปร่งใส ถ้าหากไม่เดินเข้าไปใกล้ หนานไหวจิ่นคงมองไม่เห็น


ขณะที่หนานไหวจิ่นไม่รู้จะทำอย่างไรอยู่นั้นเอง คนตัวเล็กนั้นก็พลันเปิดตาขึ้น หลังจากเห็นเขาแล้ว ก็ผลุบหายเข้าไปในเหนือหัวของนักพรต และในขณะเดียวกัน นักพรตผู้นั้นก็ลุกขึ้นยืน


“เทพเซียน? ท่านผู้เฒ่าเป็นเทพเซียนหรือ?” ในบ้านของหนานไหวจิ่นเก็บสะสมหนังสือไว้มากมาย เขาเคยเห็นภาพเทพเซียนและสัตว์ประหลาดที่ถูกบันทึกไว้ในตำรามาไม่น้อย เวลานั้นสิ่งที่ปรากฏขึ้นมาในความคิด จึงเป็นตัวเองได้พบเจอกับเทพเซียนแล้ว


“เจ้าหนูคนนี้ ช่างใจกล้าเสียจริง”


นักพรตเต๋าผู้ชรายื่นมือมาดึงตัวหนานไหวจิ่น หลังจากจับต้องเนื้อตัวของเขาแล้ว  ก็กล่าวว่า “เอาเถอะ เธอเห็นฉันได้ ก็นับว่ามีวาสนาต่อกัน ฉันจะให้ตำราเธอม้วนหนึ่ง  ภายหลังถ้าหากเธอฝึกฝนได้สำเร็จ ก็สามารถกลับมาหาฉันที่นี่ได้!”


“ท่านอาจารย์ ได้โปรดรับไหวจิ่นเป็นศิษย์ด้วยเถิด!”


หนานไหวจิ่นเองก็เป็นเด็กฉลาดเฉลียวไม่ธรรมดา เมื่อได้ยินคำพูดของนักพรตเต๋าแล้ว ก็คุกเข่าลงร้องเรียกอาจารย์ แต่นักพรตยื่นมือมาแตะ ไม่ว่าจะทำอย่างไรเขาก็ไม่สามารถงอเข่าลงไปได้


“ภายหลังหากเธอฝึกฝนตำรานี้สำเร็จ บางทีอาจารย์และศิษย์อย่างพวกเราคงมีวาสนาต่อกัน แต่ตอนนี้นั้นยังเร็วเกินไป” นักพรตเต๋าหัวเราะตอบ “ฉันจะส่งเธอกลับไปล่ะ  สิบห้าปีให้หลัง เธอค่อยกลับมาที่นี่อีกครั้ง!”


ระหว่างที่พูด หนานไหวจิ่นก็พบว่า ใต้ร่างของนักพรตเต๋าบังเกิดหมอกควันกลุ่มหนึ่ง พยุงร่างของเขาให้ลอยขึ้น แต่ว่าขณะที่หนานไหวจิ่นคิดจะมองให้ชัดเจนขึ้นนั้น กลับรู้สึกวิงเวียนศีรษะ สูญสิ้นสติสัมปชัญญะไป


เมื่อหนานไหวจิ่นรู้สึกตัว ร่างของเขาก็อยู่ห่างจากอารามเต๋าไม่ไกล ไม่นานก็ถูกพ่อที่ตามหาจนทั่วของเขาเจอตัว แต่ว่าในอ้อมอกของหนานไหวจิ่น กลับมีตำราเพิ่มมาอีกหนึ่งเล่ม


นับจากตอนนั้น หนานไหวจิ่นก็ฝึกฝนตามเนื้อหาในตำราอย่างหนัก ทั้งยังเสาะหาทั้งอาจารย์และสหายจากทั่วทุกทิศเพื่อร่ำเรียนวิชาอันบริสุทธิ์


และในช่วงเวลาหลายปีที่หนานไหวจิ่นศึกษาอ่านตำราเต๋า ก็เข้าใจถึงสถานะของนักพรตเต๋าในเวลานั้น อันเป็นสภาวะจิตแห่งหยางออกจากร่างกายที่กล่าวขานในตำนาน จากสายตาของคนทั่วไปจึงถือเป็นเทพเซียนอย่างสมบูรณ์


นั่นยิ่งทำให้เขามั่นใจในความคิดจะขอตัวเป็นศิษย์ ดังนั้นไม่ว่าหลี่ซั่นหยวนจะมีความคิดอยากรับเขาเป็นลูกศิษย์กี่ครั้งกี่หน กลับถูกหนานไหวจิ่นปฏิเสธอย่างสุภาพ


หลังยุคปลดแอก หนานไหวจิ่นก็เข้าไปยังกลางภูเขาชิงเฉิงอีกครั้ง พลิกแผ่นดินตามหาหลายต่อหลายครั้ง จึงพบสถานที่ซึ่งมีน้ำตกแห่งนั้น


หลังจากเฝ้ารอนานถึงสามวัน ในที่สุดหนานไหวจิ่นก็ได้พบกับนักพรตเต๋า


เพียงแต่ว่าหลังจากกนักพรตเต๋ามองเขาเพียงแวบหนึ่ง ใบหน้าก็แสดงให้เห็นถึงความผิดหวัง เอ่ยปากว่าช่วงเวลาสิบห้าปีหนานไหวจิ่นยังไม่อาจสามารถเข้าถึงขั้นหลอมปราณสู่จิต วาสนาของทั้งสองจึงสิ้นสุดลง และอนาคตก็ไม่อาจเล่าให้คนอื่นล่วงรู้เรื่องของนักพรตเฒ่า


หลังจากหนานไหวจิ่นเฝ้าวิงวอนแต่ไม่สำเร็จ ทั้งยังไม่เห็นนักพรตเต๋าผู้นั้นแสดงท่าทีใดๆ เพียงหายตัวไปต่อหน้าเขา หนานไหวจิ่นเศร้าโศกจนถึงที่สุด ยังคงรั้งอยู่บนเขาชิงเฉิงต่ออีกสามปี แต่ก็ไม่อาจพบเจอคนผู้นั้นอีก สุดท้ายจึงได้แต่จากมา


“น้องไหวยจิ่น ที่…ที่แท้น้องมีวาสนาถึงเพียงนี้!” โก่วซินเจียรู้จักหนานไหวจิ่นมาหกถึงเจ็ดสิบปี เพิ่งมารู้เรื่องเอาในวันนี้ จึงรู้สึกประหลาดใจอย่างที่สุด


“พี่หยวนหยาง หากมีโอกาส วาสนาก็ไม่จำเป็น”


หนานไหวจิ่นแค่นหัวเราะออกมา กล่าวว่า “ฉันตากตรำฝึกฝนสิบกว่าปี จนกระทั่งสิบปีก่อนถึงเข้าสู่ขั้นปัจจุบันได้ ท่านอาวุโสผู้นั้นต้องการให้ฉันฝึกเพียงสิบห้าปี ฉันจะทำได้อย่างไร !”


โก่วซินเจียพยักหน้า เอ่ยปากว่า “มันก็จริง เพียงช่วงเวลาสั้นๆ สิบกว่าปีหากสามารถฝึกฝนถึงขั้นหลอมปราณสู่จิต วัยอย่างพวกเรานี้ไม่เรียกว่ามีชีวิตอย่างสูญเปล่าหรอกหรือ?”


“หือ? ไม่สิ ศิษย์…ศิษย์น้องเยี่ยก็ทำได้นี่นา?” เมื่อคำพูดจบลง โก่วซินเจียก็หันไปมองยังเยี่ยเทียนราวกับเห็นผี เขาถือว่าเหมาะเจาะต่อเงื่อนไขของนักพรตผู้นั้นไม่ใช่หรือ?


“ศิษย์พี่ใหญ่ ภายในร่างกายผมไม่เหลือพลังปราณชีวิตแท้แม้แต่นิดเดียว ไม่รู้ว่ายังสามารถฝึกฝนได้หรือเปล่า อย่าเพิ่งพูดถึงผมเลย”


เยี่ยเทียนหันหน้าไปมองยังหนานไหวจิ่น  ถามว่า “ศิษย์พี่หนาน ไม่ทราบว่าตำราที่ท่านอาวุโสผู้นั้นให้พี่ในอดีต จะให้พวกเราดูได้หรือเปล่าครับ?”


นักพรตเต๋าผู้นั้นคาดหวังว่าหนานไหวจิ่นจะสามารถเข้าถึงขั้นหลอมปราณสู่จิตได้จากตำรา  ตำราเล่มนี้จึงจะต้องมีวิธีฝึกพลังปราณชีวิต เยี่ยเทียนจึงอยากจะมองหาเบาะแสที่อยู่ภายในนั้น


 “ศิษย์น้องเยี่ย ไม่มีประโยชน์หรอก จริงอยู่ที่ในตำราฉบับนี้มีวิธีฝึกพลังปราณชีวิต แต่ว่าแค่ทำให้สามารถเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิตเท่านั้น ไม่มีบอกขั้นตอนหลังจากนั้นแล้ว”


หนานไหวจิ่นส่ายหน้า กล่าวว่า “ถ้าหากเธอไม่เชื่อ จะให้ลูกศิษย์เอามาให้เธอดู”


“คำพูดของศิษย์พี่หนานผมต้องเชื่ออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องนำมาให้หรอกครับ พี่เขียนวิธีฝึกพลังปราณชีวิตภายในนั้นออกมาก็เพียงพอแล้ว”


เยี่ยเทียนได้ยินเข้าก็ผิดหวังเล็กน้อย เขาเองก็เคยลองฝึกพลังปราณชีวิตแท้ขึ้นมาใหม่  เพียงแต่ไม่ว่าเขาจะทำสมาธิอย่างไรก็ไม่เกิดปราณชีวิตแท้ขึ้นมาแม้แต่น้อย แน่นอนว่าเคล็ดวิธีก่อนหน้าการฝึกจิตเข้าสู่ความว่าง จึงไม่มีประโยชน์อันใดต่อเขา


ตอนที่ 677 หยั่งรู้ล่วงหน้า

Ink Stone_Fantasy

“ได้ เดี๋ยวฉันจะเขียนออกมาให้พวกเธอ”


หนานไหวจิ่นพยักหน้า กล่าวว่า “ตำราม้วนนี้มีประโยชน์อยู่บ้างต่อโจวเซี่ยวเทียน แต่ว่าสำหรับพวกเรานั้น กลับใช้ประโยชน์ได้ไม่มากนัก”


“น้องไหวจิ่น เคล็ดวิชาซึ่งสามารถฝึกฝนสูงได้ถึงขั้นหลอมปราณสู่จิต ก็นับว่าสุดยอดมากแล้ว ใช้อ้างอิงสำหรับพวกเราได้พอสมควรทีเดียว!”


พบพานหายนะหลายต่อหลายครั้งในยุคประวัติศาสตร์ร่วมสมัย เคล็ดวิชาในตำนานโบราณและที่สืบทอดกันมาในแต่ละสำนักเหล่านั้น ต่างถูกทำลายไปในไฟสงคราม เคล็ดวิชาเหล่านี้แม้ไร้ประโยชน์ต่อพวกโก่วซินเจีย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าไร้คุณค่า


“ศิษย์พี่หนาน อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย…” เยี่ยเทียนเบี่ยงประเด็น กล่าวว่า “การเดินทางครั้งนี้ของพี่ ไม่พบเจอผู้อาวุโสคนนั้น แล้วลบล้างคำสาบานเมื่อในอดีตได้อย่างไรกัน?”


เพื่อทำตามคำสาบานในอดีต หนานไหวจิ่นไม่ยอมบอกกล่าวแม้กระทั่งเพื่อนสนิทอย่างโก่วซินเจีย แต่เวลานี้กลับเผยออกมาหมดเปลือก ทำให้เยี่ยเทียนอดประหลาดใจไม่ได้


หนานไหวจิ่นได้ยินเข้าก็สลดลงเล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยปาก “เฮ้อ ฉันเล่าเรื่องที่พบในการเดินทางครั้งนี้ให้พวกเธอฟังแล้วกัน…”


ที่แท้ หลังจากหนานไหวจิ่นเข้าไปยังเขาชิงเฉิงแล้ว ก็แวะเยี่ยมเยียนสหายเก่าในอดีตและศิษย์รุ่นหลัง โดยคาดหวังว่าจะได้ข่าวสารของผู้สูงส่งคนนั้นจากปากของพวกเขา


เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หนานไหวจิ่นผิดหวังก็คือ สหายเก่าและศิษย์รุ่นหลังเหล่านี้ ล้วนออกจากสำนักกันหมดแล้ว หากไม่ทำการค้าก็พัฒนาการท่องเที่ยว มีคนมากมายที่บนเนื้อตัวไม่มีแม้กระทั่งพลังวิชาเหลืออยู่


เมื่อหมดหนทาง หนานไหวจิ่นจึงไปตามเส้นทางที่พบผู้อาวุโสท่านนั้นเมื่อในอดีต ไปยังส่วนลึกของเขาชิงเฉิง


ถึงแม้หนานไหวจิ่นจะยังไม่อยู่ในขั้นฝึกจิตเข้าสู่ความว่าง แต่เขาก็รู้ว่าการฝึกจิตดั้งเดิมในสำนักเต๋า มักหลีกเลี่ยงการรบกวนจากผู้คนรอบข้างมากที่สุด และเมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ต่อให้ผู้อาวุโสท่านนั้นยังมีชีวิต ก็เกรงว่าจะละทิ้งสถานที่หนีจากไปแล้ว


หนานไหวจิ่นผู้ไม่ยอมแพ้บุกเข้าไปยังส่วนลึกของภูเขา ต้องเข้าใจด้วยว่าการฝึกหลอมปราณเข้าสู่จิต จะทำให้มีอายุยืนกว่าร้อยปี ผู้อาวุโสท่านนั้นสามารถฝึกจิตแห่งหยางออกจากร่างได้นานแล้ว ความเป็นไปได้ว่าอาจยังมีชีวิตอยู่จึงมีถึงแปดหรือเก้าในสิบส่วน


ว่ากันว่าเขาชิงเฉิงมี “สามสิบหกยอดเขา” “แปดถ้ำใหญ่” “ เจ็ดสิบสองถ้ำเล็ก” “ ร้อยแปดทิวทัศน์” ครอบคลุมพื้นที่ กว่าร้อยกิโลเมตร ป่าไม้เขียวขจีทั่วขุนเขา ผลิบานทั้งสี่ฤดู ยอดเขาเผชิญหน้าหากัน


การเสาะหาของหนานไหวจิ่นครั้งนี้ ใช้เวลาอยู่กลางป่าเขาถึงเดือนกว่าเต็มๆ อย่าว่าแต่หาเบาะแสของท่านอาวุโสผู้นั้นได้ กระทั่งร่องรอยของคนที่ใช้ชีวิตอยู่บนป่าเขานั้นก็ยังไม่พบ


สิ่งนี้ทำให้หนานไหวจิ่นผิดหวังอย่างที่สุด แต่ขณะที่เขากำลังจะหันหลังกลับนั้นเอง ก็ได้พบถ้ำแห่งหนึ่งระหว่างทางขึ้นเขา


ปากถ้ำแห่งนี้หันไปทางทิศตะวันออก แสงส่องผ่านได้ปรุโปร่ง สามารถเข้าไปภายในถ้ำได้ลึกสิบกว่าเมตร ปากถ้ำมีรั้วกั้นขวาง ภายในถ้ำมีเตียงไม้ไผ่และเบาะสำหรับนั่งสมาธิ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีสิ่งใดอื่นอีก


ทว่าบนผนังถ้ำ กลับแกะสลักตัวอักษรขนาดใหญ่เอาไว้ว่า “คลื่นบังเกิดเมฆสลาย วาสนาเก่าสิ้นสุดลง สหายน้อยจงรักษาตัว!”


เมื่อใช้นิ้วมือลากบนตัวอักษรเหล่านั้น หนานไหวจิ่นก็ต้องประหลาดใจเมื่อพบว่า ตัวอักษรเหล่านั้นใช้นิ้วเขียนลงบนหิน


แม้ตัวอักษรสิบสองตัวนี้ไม่มีต้นสายปลายเหตุ แต่หนานไหวจิ่นกลับกระจ่างแก่ใจว่า ผู้อาวุโสท่านนั้นเขียนบอกกับตนเอง เมื่อไม่อาจฟื้นคืนวาสนาแต่เก่าก่อน คำสัญญาในอดีตจึงไม่จำเป็นต้องรักษาอีกแล้ว


โก่วซินเจียแทรกถามขึ้น “น้องไหวจิ่น หรือเป็นเพราะผู้อาวุโสท่านนั้นพบว่าน้องกำลังตามหาเขา จึงจงใจหลบหลีกไม่มาพบ?”


“ไม่ใช่หรอก ฉันเห็นแล้วว่าตัวหนังสือนั่นมีฝุ่นเกาะอยู่เต็ม ระยะเวลาที่ตัวอักษรถูกทิ้งไว้อย่างน้อยต้องสิบกว่าปีขึ้นไป”


หนานไหวจิ่นส่ายหน้า บอกว่า “พี่หยวนหยาง หลังจากฝึกฝนเข้าขั้นหลอมจิตเข้าสู่ความว่างแล้ว ความเข้าใจในสรรพสิ่งบนโลกมนุษย์จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ถึงขั้นสามารถคาดเดาอดีตและอนาคตของตนเอง!”


แม้หนานไหวจิ่นจะไม่ได้นับถือผู้อาวุโสท่านนั้นเป็นอาจารย์ แต่ภายหลังเขาก็เสาะหาบทความตำราที่บรรยายเรื่องการหลอมจิตสู่ความว่างเปล่าไม่น้อย จึงรู้เรื่องพลังวิเศษหลังจากเชี่ยวชาญในการควบคุมจิตดั้งเดิมได้


“อย่ามามองที่ผม ผมเพิ่งอยู่ขั้นจิตดั้งเดิมครึ่งๆ กลางๆ เท่านั้น แล้วยังใช้รักษาบาดแผลเป็นส่วนใหญ่ ไม่ลึกซึ้งถึงขั้นที่ศิษย์พี่หนานพูดถึงหรอกครับ”


เห็นทุกคนต่างจับจ้องสายตามองมาที่ตนเอง เยี่ยเทียนก็หัวเราะแห้งออกมา หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “บางทีที่ศิษย์พี่หนานพูดคงจะจริง ก่อนหน้านี้ที่ผมให้เหล่าถังมาพบ ยังไม่ได้ทำนายอะไร แต่ในหัวกลับปรากฏภาพใบหน้าของนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์!”


เยี่ยเทียนหันหน้าไปทางจั่วเจียจวิ้น บอกว่า “ศิษย์พี่จั่ว นายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ ร่างกายผอมเล็ก ใบหน้าอึมครึม บนดวงตาด้านขวามีไฝเม็ดหนึ่งใช่ไหม?”


ก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนเพียงบอกว่าเรื่องที่ประเทศไทยเกี่ยวข้องกับนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์ แต่ไม่ได้บอกว่าภายในหัวเขาปรากฏภาพของฝ่ายตรงข้าม เพิ่งจะมาพูดถึงเอาตอนนี้


“ใช่ นั่นแหละคือนายทักษิณ สวรรค์ศักดิ์สิทธิ์!”


จั่วเจียจวิ้นพยักหน้า ตอบด้วยสีหน้าประหลาดใจ “หรือว่าพอหลังจากฝึกจิตดั้งเดิมแล้ว จะสามารถล่วงรู้ถึงลางสังหรณ์? ถ้าอย่างนั้นจะมีประโยชน์อะไรต่อนักทำนายอย่างพวกเราล่ะ?”


การทำนายทายทักนับแต่อดีตกาล ซึ่งถ่ายทอดมาจนถึงยุคปัจจุบันนั้น มีระบบที่สลับซับซ้อน ไม่เหมือนอย่างคนเข้าใจว่าเป็นพวกปลิ้นปล้อนหลอกลวงสร้างเรื่อง หากต้องการเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ จะต้องใช้แรงกายทั้งชีวิตเพื่อศึกษาค้นคว้า


แต่หากฝึกฝนถึงขั้นหลอมจิตสู่ความว่างเปล่า จะสามารถทำได้ถึงขั้นล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าอย่างแท้จริง  ทำให้จั่วเจียจวิ้นที่ใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการทำนาย ออกจะรับไม่ได้


“ศิษย์น้องจั่ว เธอยึดติดเกินไป”


หลังจากได้ยินคำพูดของจั่วเจียจวิ้น โก่วซินเจียก็ส่ายหน้า กล่าวว่า “การทำนายฮวงจุ้ยโหงวเฮ้ง ก็อยู่ในขอบเขตของการฝึกวิชา ย่อมเป็นการเดินคนละเส้นทาง แต่มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน อีกทั้งนับแต่อดีตจนปัจจุบัน มีคนที่เข้าสู่ขั้นหลอมจิตกลับสู่ความว่างเสียเท่าไหร่กัน? พวกเขาหรือจะไปแย่งชามข้าวจากเธอ?”


“ศิษย์พี่ใหญ่พูดถูกต้องแล้ว!”


คำพูดของโก่วซินเจียทำให้ทุกคนต่างหัวเราะออกมา ความจริงก็เป็นอย่างที่โก่วซินเจียว่า


บุคคลในตำนานอย่าง ก่วงหลิงจื่อ เก๋อหง หลู่ต้งปิน เหล่านี้ล้วนเป็นดั่งหงส์งามทำให้ผู้คนตกตะลึง แม้มีเรื่องเล่าลือสืบต่อกันมาให้ได้ยินบ้าง แต่คนที่เคยพบพวกเขาอย่างแท้จริง กลับมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย


“ศิษย์พี่หนาน ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมต้องขอขอบคุณพี่มาก!”


หลังจากฟังหนานไหวจิ่นอธิบายเรื่องการเดินทางไปเขาชิงเฉิงจบแล้ว เยี่ยเทียนก็ยกถ้วยชาที่เพิ่งรินเสร็จ กล่าวว่า “ผมขอใช้น้ำชาแทนเหล้า คารวะศิษย์พี่หนานหนึ่งถ้วย!”


เพื่อช่วยเยี่ยเทียนเสาะหาเคล็ดลับ  หนานไหวจิ่นซึ่งอายุกว่าแปดสิบปี เดินทางกลางเขาเป็นเวลาร่วมเดือนกว่า ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ถือว่าเยี่ยเทียนติดค้างน้ำใจครั้งนี้


“ฉันละอายใจนัก!” หนานไหวจิ่นยกถ้วยชาคำนับซ้ำๆ กลับไปทางเยี่ยเทียน


“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย น้องไหวจิ่นเล่าเรื่องในอดีตนั่นอีกครั้งเถอะ ผู้อาวุโสท่านนั้นเหยียบเมฆขึ้นสู่ท้องฟ้าจริงหรือ?”


หลังจากได้ยินคำพูดของหนานไหวจิ่น โก่วซินเจียก็หัวเราะเบี่ยงประเด็น ในใจยังคงสงสัยเรื่องนักพรตเต๋าผู้นั้น หรือว่าหลังจากฝึกฝนจิตดั้งเดิมแล้ว จะสามารถเป็นได้อย่างเทพเซียนในตำนานจริง?


“จริงแท้แน่นอน เวลานั้นถึงแม้อายุยังเยาว์ แต่ฉันมองไม่ผิดแน่”


หนานไหวจิ่นพยักหน้า กล่าวว่า “ ฉันสงสัยว่าหลังจากเข้าสู่ความว่างเปล่าแล้ว คุณสมบัติของปราณชีวิตแท้จะเกิดการเปลี่ยนแปลง เมฆที่เกิดขึ้นใต้เท้า อาจเป็นการขับเคลื่อนนำพาปราณชีวิตแท้ก็ได้”


“น่าเสียดาย ที่ศิษย์น้องสูญเสียปราณชีวิตแท้ทั้งหมด ไม่อย่างนั้นพวกเราคงสามารถหาคำตอบได้แล้ว”


โก่วซินเจียถอนหายใจ ใบหน้าเหม่อลอย ไม่เพียงเขาที่มีท่าทีอย่างนั้น แต่ทั้งเยี่ยเทียนที่นั่งอยู่ในกลุ่มคนก็เหม่อมองไปข้างหน้าเช่นเดียวกัน


ในอดีต ความคิดอันยิ่งใหญ่สูงสุดของมนุษยชาติก็คือการโบยบินขึ้นไปบนท้องฟ้า เหินเวหาอย่างอิสระได้อย่างนก


ถึงแม้ภายหลังในยุคปัจจุบัน ความคิดนี้จะถูกเครื่องบินมาแทนที่ แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธก็คือ เทพเซียนที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศในตำนานเหล่านั้น ยังคงทำให้พวกเราอิจฉาริษยา


หลังจากทุกคนคุยเล่นกันต่อสักครู่หนึ่ง สีหน้าของหนานไหวจิ่นก็เริ่มอ่อนเพลีย เยี่ยเทียนจึงให้โจวเซี่ยวเทียนพาหนานไหวจิ่นไปพักผ่อนที่ชั้นบนทันที ภายในคฤหาสน์หลังนี้มีพลังปราณอุดมสมบูรณ์ จึงเหมาะแก่การฟื้นฟูร่างกายอย่างยิ่ง


ทุกคนล้วนรู้ว่าวันนี้เยี่ยเทียนเพิ่งลุกขึ้นยืนเดินได้เป็นครั้งแรก จึงกลัวว่าเขาจะเหน็ดเหนื่อย โก่วซินเจียและจั่วเจียจวิ้นเองก็ออกจากคฤหาสน์ ไปยังสถานที่สงบเงียบเหมือนเมื่อวันก่อนเพื่อนั่งสมาธิ


“เยี่ยเทียน ในที่สุดเธอก็เสร็จธุระเสียที!”


 เห็นพวกโก่วซินเจียออกมาจากคฤหาสน์ ถังเหวินหย่วนที่วนไปมาอยู่หน้าประตูก็เดินเข้าไป ความจริงท่านผู้เฒ่าเองก็ออกจะอึดอัดขัดใจ ตั้งแต่เขาอายุยี่สิบปี ในโลกนี้ก็ไม่เคยมีใครกล้าปล่อยให้เขารออย่างนี้


“เหล่าถัง มีอะไรหรือครับ?” พอเห็นถังเหวินหย่วนเดินเข้ามา เยี่ยเทียนก็ยิ้มให้ “มีเรื่องด่วนอะไรทำให้คุณเป็นกังวลขนาดนี้หรือ?”


เมื่อครู่ถกเรื่องหลักแห่งเต๋ากับเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้อง เยี่ยเทียนถึงกับลืมว่าถังเหวินหย่วนมีเรื่องมาคุยกับตัวเอง


“ก็เรื่องของเธอน่ะสิ”


ถังเหวินหย่วนถือว่าคุ้นเคยกันกับเยี่ยเทียนแล้ว จึงพูดอย่างหงุดหงิดว่า “พรุ่งนี้จะมีการจัดงานประมูลศิลปวัตถุของจีนขึ้นเป็นพิเศษที่ฮ่องกงโดยคริสธีส์ ฉันเอารายการของประมูลมาให้เธอ”


เรื่องที่เยี่ยเทียนฝากฝัง ถังเหวินหย่วนหรือจะกล้าละเลยไม่จริงจัง? เขากว้านซื้อตำราโบราณหลากหลายชนิดภายในหนึ่งเดือน เสียเงินไปเกือบสิบล้านเหรียญฮ่องกง ทำให้งานประมูลประเภทนี้เกิดโด่งดังขึ้นมา


แต่ว่าหลังจากของส่งมาถึงเยี่ยเทียนแล้ว กลับไม่มีสักชิ้นที่เขาใช้ประโยชน์ได้ ให้มีเงินสักเท่าไหร่ถังเหวินหย่วนก็ไม่อาจดันทุรังอย่างนี้ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงนำเอารายการประมูลมา ตั้งใจว่าจะให้เยี่ยเทียนดูก่อน หากมีสิ่งที่เขาต้องการค่อยไปประมูลก็ยังไม่สาย


เยี่ยเทียนรับใบรายการมา ยิ้มถามว่า “งานประมูลของคริสธีส์? ไม่เห็นเคยได้ยินเลยครับ เป็นงานประมูลเล็กๆ หรือเปล่า?”


ตอนอยู่ที่ปักกิ่ง มักมีคนส่งบัตรเชิญเข้าร่วมงานประมูลมาให้เยี่ยตงผิง สำหรับชื่อคริสตี้หรือซอธบี้นั้นเขายังพอคุ้นหู แต่ว่างานประมูลของคริสธีส์นี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน


ช่วงหลายปีที่ผ่านมาการเก็บสะสมของโบราณเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง คนมีเงินมากมายทำสิ่งนี้เพื่อเป็นการลงทุนรูปแบบหนึ่ง จึงทำให้งานประมูลแต่ละประเภทราวกับเป็นหน่อไม้ที่งอกขึ้นหลังจากฝนตก ของที่นำมาประมูลก็มีคุณภาพคละเคล้ากันไป


“งานประมูลเล็กหรือ? งานประมูลที่ใหญ่กว่าของคริสธีส์บนโลกนี้ เกรงว่าคงจะมีแต่ของโซธบีส์เท่านั้น!”


พอได้ยินคำพูดเยี่ยเทียนแล้ว ถังเหวินหย่วนก็ชะงักไปชั่วขณะ แต่ก็ตอบกลับมาทันที “เป็นฉันเองที่พูดไม่ชัด การออกเสียงแบบแผ่นดินใหญ่กับที่ฉันพูดไม่เหมือนกัน


เยี่ยเทียน งานประมูลของคริสธีส์นี้ในแผ่นดินใหญ่เรียกว่าคริสตี้ ส่วนโซธบีส์ก็คือซอธบี้ส์ แค่ออกเสียงแตกต่างกันเท่านั้น”


ตอนที่ 678 คัมภีร์เต๋าไคหยวน

Ink Stone_Fantasy

คริสตี้กับซอธบี้เป็นคำทับศัพท์มา เนื่องจากสมัยก่อนฮ่องกงเป็นเมืองขึ้นของประเทศอังกฤษ ดังนั้นหลายต่อหลายครั้งฮ่องกงจึงยังคงอ่านออกเสียงอย่างชาวต่างชาติ


การจัดการของบริษัทประมูลคริสตี้และซอธบี้นั้นทำกันแบบแฟรนไชส์ พวกนั้นไม่เพียงก่อตั้งสาขาในประเทศของตนเอง แต่ยังจัดงานประมูลข้ามชาติ โดยใช้ระบบและวิธีการให้สิทธิ์สัมปทาน จนสามารถปันส่วนแบ่งจากงานประมูลขนาดยิ่งใหญ่ระดับโลกได้อย่างรวดเร็ว


จากข้อมูลทางสถิติของปลายศตวรรษก่อนชี้ให้เห็นว่า มีบริษัทประมูลซอธบี้ตั้งอยู่ในสามสิบเก้าประเทศทั่วโลก มีการจัดตั้งระบบประมูลและออฟฟิศในเมืองหนึ่งร้อยเก้าแห่ง และบริษัทประมูลคริสตี้ก็มีอยู่ในสี่สิบหกประเทศทั่วโลก จัดตั้งระบบประมูลและออฟฟิศในเมืองถึงสามสิบสี่แห่ง


ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ซอธบี้และคริสตี้ต่างเป็นราชาแห่งตลาดการประมูลศิลปวัตถุประจำชาติ ชนิดที่ไม่มีใครเทียบได้ กระทั่งเยี่ยเทียนหรือคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับวงการประมูล ยังเคยได้ยินชื่อของพวกเขา


“เยี่ยเทียน ฉันไม่ค่อยเข้าใจเกี่ยวกับตำราเต๋าสักเท่าไหร่ คราวนี้จะมีการประมูลตำราพวกนี้ เธอลองดูสิว่าต้องการใช้หรือเปล่า ถ้าต้องการ ฉันจะช่วยประมูลให้เธอแน่นอน!”


สองสามครั้งก่อนทุ่มเงินทองประมูลสิ่งของมาจำนวนหนึ่ง แต่ล้วนไม่มีประโยชน์อะไรต่อเยี่ยเทียนเลย ถังเหวินหย่วนเป็นคนทำการค้ามาก่อน ถึงแม้ไม่เสียดายเงินทอง แต่ก็ไม่ยอมเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์


ได้ยินคำพูดของถังเหวินหย่วนแล้ว เยี่ยเทียนก็เลื่อนสายตาออกจากรายการประมูล เงยหน้ายิ้มว่า “เหล่าถัง ค่าใช้จ่ายในการประมูลก่อนหน้านี้ คุณเรียบเรียงตัวเลขมาให้ผม แล้วผมจะให้โจวเซี่ยวเทียนจัดการให้คุณครับ”


“อย่าเลย ทำแบบนี้เหมือนเป็นการตบหน้าฉันน่ะสิ?”


ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว ถังเหวินหย่วนก็เบิกตาโตขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันก็รู้สึกละอายใจ ว่าตัวเองไม่น่าทำเป็นเรื่องใหญ่ เยี่ยเทียนต้องการให้ประมูลก็ทำไป สุขภาพของตนเองเมื่อเทียบกับเงินเหล่านี้แล้วยังนับว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย


“เหล่าถังครับ ผมไม่เสียดายเงินเล็กน้อยพวกนี้ คุณช่วยผมตามหาข้อมูลเหล่านี้ ก็ถือเป็นค่าเช่าห้องอยู่ที่นี่แล้ว ซื้อของอะไรย่อมไม่จำเป็นต้องให้คุณออกเงิน”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วยิ้มออกมา ก่อนหน้านี้ไม่นาน ซ่งเวยหลันให้บัตรเงินสดเขาใบหนึ่ง ภายในมีเงินสิบล้านดอลลาร์อเมริกา แต่นั่นเพราะซ่งเวยหลันกลัวว่าลูกชายจะเอาเงินให้เธอหมด จนตัวเองไม่ได้ใช้ จึงทิ้งเอาไว้ให้สิบล้านดอลลาร์อเมริกา


เมื่อรวมกับเงินสี่ห้าพันล้านดอลลาร์อเมริกาที่เขาให้แม่ยืม ตอนนี้เยี่ยเทียนจึงสบายอกสบายใจมาก ลำพังแค่เงินสิบล้านหยวนฮ่องกงยังเล็กน้อย เขาจึงไม่เก็บมาใส่ใจ


“เอาเถอะ ไม่ต้องพูดแล้วครับ น้ำใจผมรับไว้ แต่เงินยังต้องให้”


เห็นถังเหวินหย่วนยังพยายามอธิบาย เยี่ยเทียนก็โบกมือไปมา ทันใดนั้นสายตาสะดุดอยู่ที่หน้าหนึ่งของรายการ “เหล่าถัง ตำราที่คุณว่าคือเล่มนี้หรือเปล่า?”


แม้คริสตี้จะมีประวัติศาสตร์การจัดงานประมูลใหญ่มาเป็นเวลาร้อยสองร้อยปี แต่ก็ยังหลังจากบริษัทประมูลซอธบี้ถึงยี่สิบสองปี จึงเป็นที่นิยมน้อยกว่านิดหน่อย


ทั้งสองบริษัทแข่งขันกันในตลาดอย่างดุเดือดเลือดพล่าน กระทั่งโฆษณาที่ใช้ในใบรายการประมูล ยังพิมพ์อย่างสวยสดงดงาม และใต้รายชื่อของที่นำมาประมูลก็มีภาพขยายขนาดใหญ่


สายตาของเยี่ยเทียนเวลานี้ ถูกรูปภาพชุดหนึ่งดึงดูดเอาไว้ เป็นสมุดเย็บทรงพัดสามเล่ม กระดาษหนังสือสีเหลืองจาง มุมขอบมีร่องรอยแมลงกัดกิน คุณภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก


แต่ผิวปกด้านบนสุดของตำรานั้น เขียนไว้ว่า “คัมภีร์เต๋าไคหยวน”สี่อักษรอย่างชัดเจน แล้วยังมีอักษรเล็กๆ เขียนว่า “ถ้ำที่แท้” หลังจากเห็นตัวอักษรพวกนี้แล้ว สายตาของเยี่ยเทียนก็ไม่อาจละออกมาจากบนภาพได้อีก


ที่ว่าเป็น “คัมภีร์เต๋า” ความจริงก็เหมือนกับ “คัมภีร์วิชา” ที่เยี่ยเทียนสืบทอด เป็นตำราที่รวบรวมศาสตร์แห่งเต๋าตามเจตนารมณ์อันแน่วแน่ ซึ่งเก็บสะสมนำเอาตำราต่างๆ ในขอบเขตโครงสร้างผสมผสานเข้าไว้ด้วยกันเป็นคัมภีร์เต๋าชุดใหญ่ รวมไปถึงตำราสำนักเต๋าภายใต้ราชวงศ์โจวกับราชวงศ์ฉิน และอีกหกราชวงศ์ไว้ด้วยกัน


ตั้งแต่ยุคราชวงศ์เหนือใต้ ลู่ซิวจิ้งก็แต่งตำราเต๋า “เนื้อหาตำราสามถ้ำ” ในคริสต์ศักราชที่ 471 ซึ่งเป็นต้นกำเนิดยุคเริ่มแรกของ “คัมภีร์เต๋า”


ตำราเต๋าถูกรวบรวมให้เป็น “คัมภีร์” อย่างเป็นทางการ ครั้งแรกในสมัยไคหยวนราชวงศ์ถัง จากนั้นในราชวงศ์ซ่ง จิน หยวน หมิงก็ได้ตบแต่งแก้ไขกลายเป็น “คัมภีร์เต๋า” และถูกเรียบเรียงใหม่จนกลายเป็น “แก่นคัมภีร์เต๋า” ในราชวงศ์ชิง


เนื้อหาในคัมภีร์เต๋ามีความหลากหลายอย่างยิ่ง ภายในมีตำราศาสตร์แห่งเต๋า หลักปรัชญา กฎปฏิบัติ ยันต์คาถา เคล็ดวิชา อาหารการกิน บทสรรเสริญ ประวัติศาสตร์ บันทึกรายนามเทพเซียนและบุคคลสำคัญในลัทธิเต๋าเป็นต้น


 นอกจากนั้นยังรวบรวมผลงานปรัชญาร้อยสำนัก ภายในนั้นมีตำราโบราณบางส่วนนอกเหนือไปจากคัมภีร์เก่าที่สูญหายไป อีกทั้งยังมีผลงานที่เกี่ยวข้องกับวิทยาศาสตร์โบราณของจีนอีกไม่น้อย เช่นตำราบำรุงรักษา ยาภายในและภายนอก ปฏิทินดาราศาสตร์เป็นต้น


ความจริงหลังยุคก่อตั้งสาธารณรัฐ ก็ยังเคยมีการเรียบเรียงตำราอย่าง “ตำราเต๋านอกคัมภีร์” “คัมภีร์เต๋าตุนหวง” “คัมภีร์เต๋าแห่งจีน”  ในช่วงเวลาที่ผ่านมาเยี่ยเทียนล้วนอ่านผ่านตามาหมดแล้ว


แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เขาผิดหวังก็คือ ตำราคัมภีร์เต๋าในยุคปัจจุบันเหล่านี้ เนื้อหาภายในล้วนธรรมดาไร้ความแปลกใหม่ ไม่แตกต่างอะไรกับตำราเต๋าทั่วไป ที่บอกว่าเป็นเคล็ดวิชาภายใน ยังห่างไกลจากที่เขาสืบทอดมามากนัก


แต่เยี่ยเทียนรู้ว่า “คัมภีร์เต๋า” ในยุคปัจจุบันไม่อาจเทียบกับ “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” บนรูปนี้ได้ มันคือคัมภีร์เต๋าฉบับแรกในประวัติศาสตร์ลัทธิเต๋าแห่งชาติจีน


ถังเสวียนจงขึ้นครองราชย์ แล้วรับสั่งให้ฉงเสวียนกับอีกสี่สิบคนเขียนตำรา “เสียงและความหมายทั้งหมดในตำราเต๋า” จากรากฐานนั้นเขายังส่งคนไปค้นหาตำราเต๋าจากทั่วทุกสารทิศในช่วงกลางสมัยไคหยวน และพอรวมกับตำราดั้งเดิมที่มีในเมืองหลวง ก็เรียบเรียงจนกลายเป็น “คัมภีร์”


แต่จากบันทึกที่เกี่ยวข้อง พอถึงช่วงไฟสงครามปลายสมัยราชวงศ์ถังห้าวงศ์สิบรัฐ ตำราอันล้ำค่าเหล่านี้ก็ถูกทำลายภายใต้มีดดาบของกองทัพ ผู้คนในยุคหลังไม่อาจล่วงรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นหลังจากนั้น


“เหล่าถังครับ ของประมูลชุดนี้มีทั้งหมดสามเล่มใช่ไหม? ได้พวกมันมาจากที่ไหนครับ?”


หลังจากเห็นรูปภาพนี้แล้ว เยี่ยเทียนก็อยู่ไม่สุขอีกต่อไป เพราะว่า “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “แก่นหยกสามถ้ำ” นั้นแบ่งเป็นสามถ้ำสามสิบหกส่วน อันมีถ้ำที่แท้ ถ้ำแห่งความมืด และถ้ำแห่งจิตอย่างละสิบสองส่วน


ถ้ำที่แท้ว่าด้วยสูตรแห่งเทียนเป่าจวิน อันเป็นมหายาน


ถ้ำแห่งความมืดว่าด้วยสูตรแห่งหลิงเป่าจวิน อันเป็นยานกลาง


ถ้ำแห่งจิตว่าด้วยสูตรแห่งเสินเป่าจวิน อันเป็นหีนยาน


บุคคลผู้สอดคล้องต่อสูตรสามถ้ำนี้แบ่งเป็นหยวนสื่อเทียนจวิน ซ่างชิงหลิงเป่าเทียนจวินกับไท่ชิงเต้าเต๋อเทียนจวิน อันเป็นปรมาจารย์ผู้ให้กำเนิดลัทธิเต๋าทั้งสามนั่นเอง


คนโบราณล่ำลือกันว่า ในสูตรถ้ำที่แท้มีเคล็ดวิชาเหินฟ้ากลายร่างเป็นเซียน แต่ไม่ได้สืบต่อกันมา คนรุ่นหลังจึงไม่มีใครรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จ


ดังนั้นพอเยี่ยเทียนเห็นอักษรสองตัวเขียนว่าถ้ำที่แท้ จึงตาลุกวาวขึ้นมาทันใด เวลานี้สิ่งที่เขาต้องการมากที่สุด ไม่มีอะไรยิ่งไปกว่าเคล็ดวิชาฝึกฝน อีกทั้งขอบเขตของการหลอมจิตสู่ความว่างเปล่ากับการกลายร่างเป็นเซียนนั้น แตกต่างกันไม่มากนัก สามารถเทียบเคียงกับสูตรถ้ำที่แท้ได้พอดิบพอดี


“ได้ยินว่าทั้งหมดมีหกเล่ม แต่นำสามเล่มนี้เอามาใช้โฆษณา”


เห็นเยี่ยเทียนลุกลี้ลุกลนอย่างนั้น ถังเหวินหย่วนก็ยิ้มกล่าวว่า “ต้นทางของพวกมันฉันเองก็ไปสืบมาแล้ว เป็นสมบัติสืบทอดกันมาของลูกหลานตระกูลชาวอังกฤษ ดูเหมือนจะชื่อ…ชื่อสเตนสักอย่าง เขาเป็นนักโบราณคดีน่ะ!”


เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนสนใจของประเภทนี้ ถังเหวินหย่วนจึงส่งคนไปสืบหาโดยเฉพาะ แต่ว่าเขาอายุมากแล้ว ความทรงจำไม่ค่อยดีนัก ครุ่นคิดอยู่นานก็คิดชื่อของคนนั้นไม่ออก


“ชาวอังกฤษ นักโบราณคดีหรือครับ?”


หลังจากได้ยินคำพูดของถังเหวินหย่วนแล้ว ใบหน้าของเยี่ยเทียนก็เผยรอยยิ้มเย็น “ผมรู้แล้ว ชาวอังกฤษคนนั้นที่คุณบอก ชื่อว่าสเตนสินะครับ เป็นนักโบราณคดีกะผีน่ะสิ คนนั้นน่ะมันโจรชัดๆ!”


“ใช่แล้ว คือสเตนนั่นแหละ” ถังเหวินหย่วนพยักหน้า แล้วถามด้วยความสงสัย “ทำไมเขาถึงเป็นโจรล่ะ?”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า ไม่ตอบกลับ “คุณรู้ไหมครับว่าตำรานี่เป็นของที่ไหน?”


“ไม่รู้หรอก ของประจำชาติเราที่หลุดรอดออกไปกว่าร้อยปีมีน้อยที่ไหนกัน?”


ถังเหวินหย่วนไม่คล้อยตามกับคำพูดของเยี่ยเทียนสักเท่าไหร่ เพราะทุกปีมีสมบัติทางวัฒนธรรมจำนวนมากถูกลักลอบนำมายังฮ่องกง ว่ากันตามความจริง เครื่องสำริดเหล่านั้นที่เขาสะสม ส่วนใหญ่ก็ซื้อมาจากช่องทางผิดกฎหมายทั้งนั้น


“เฮ้อ ถ้าหากผมทายไม่ผิดล่ะก็ “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” เล่มนี้ คงจะหลุดรอดมาจากตุนหวง นายสเตนคนนี้ เป็นคนแรกที่ขโมยสมบัติโบราณจากถ้ำพระสูตรที่ตุนหวงครับ!”


เยี่ยเทียนถอนหายใจ จวบจนปัจจุบัน พุทธและเต๋าทั้งสองศาสนาล้วนตกต่ำ จริงอยู่ว่าเป็นไปด้วยปัจจัยมากมาย แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าการสูญหายของตำราก็เป็นการมุ่งทำลายครั้งยิ่งใหญ่ต่อสองศาสนานี้


เรื่องที่วัตถุโบราณในตุนหวงถูกปล้นชิง ทำให้คนในสองศาสนานี้เจ็บปวดใจที่สุด หลังจากหลี่ซั่นหยวนได้ยินเรื่องราวนี้ในยุคปี 20 ก็เคยเร่งรุดไปยังตุนหวง แต่ส่วนใหญ่ตำราที่นั่นกลับสูญหายไปแล้ว ทำให้นักพรตเต๋าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันด้วยความโกรธ


แต่สเตนผู้นี้ ใช้เพียงเงินก้อนสี่ก้อน ลักลอบเอาม้วนตำรายี่สิบสี่ฉบับและพระสูตรอีกห้าเล่มไปกับภาพวาดผ้าไหมและงานฝีมือเย็บปัก จากมือของนักพรตหวังผู้ดูแลถ้ำพระสูตรที่ตุนหวงในนามของนักโบราณคดี


ปี 1914 ขณะที่สเตนมาประเทศจีนเป็นครั้งที่สามเพื่อทำการ “สืบเสาะ” ทางโบราณคดี ก็ได้มายังตุนหวงอีกครั้ง และรับตำราชุดใหญ่ไปอีกห้าเล่มจากนักพรตหวัง


แม้ว่าในอดีตเอกสารส่วนใหญ่จะถูกคณะสำรวจพอล คณะสำรวจโอทานิและรัฐบาลปักกิ่งขนย้ายไป แต่สิ่งที่สเตนได้รับจากการมาเยือนครั้งนี้ ส่วนใหญ่เป็นของที่นักพรตหวังแอบนำขนย้ายออกมาซุกซ่อนยังที่ปลอดภัยก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้ สเตนจึงกลายเป็นคนที่ได้เอกสารในถ้ำพระสูตรไปมากมายที่สุด


ดังนั้นพอเยี่ยเทียนได้ยินชื่อของสเตนสองคำนี้ จึงรู้ความเป็นมาของ “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” เล่มนี้ในทันที


ถึงแม้คัมภีร์ที่อยู่ภายในถ้ำพระสูตรตุนหวง ส่วนใหญ่เป็นตำราศาสนาพุทธ แต่ก็มีคัมภีร์ศาสนาเต๋าด้วยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะในสมัยราชวงศ์สุยและถัง ซึ่งเป็นช่วงที่ตุนหวงรุ่งเรืองที่สุด ขอเป็นเพียงพระสูตรที่ถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ ก็จะไม่ถูกเผาทำลายจากไฟสงคราม


 แม้ว่าเอกสารที่สเตนช่วงชิงไปจากประเทศจีนส่วนใหญ่ล้วนถูกเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑ์ใหญ่ในอังกฤษในปัจจุบัน แต่ตำราที่เขาได้รับไปมีมากเหลือเกิน คิดว่าหลังจากลูกหลานของเขาเห็นว่าศิลปวัตถุของจีนกลายเป็นที่นิยมแล้ว จึงได้ยกให้บริษัทประมูลซอธบี้นำไปประมูลขาย


“เยี่ยเทียน เธอวางใจได้ ตำราหกเล่มนี้ฉันจะช่วยประมูลมาให้เธอเอง!” เห็นว่าเยี่ยเทียนให้ความสำคัญขนาดนี้ ถังเหวินหย่วนก็ยกมือตบหน้าอก


“งานประมูลมีพรุ่งนี้ใช่ไหมครับ? เหล่าถัง คุณมีบัตรเชิญอยู่ในมือหรือเปล่า?”


เยี่ยเทียนเลื่อนสายตาออกมาจากรูปภาพแล้ว มองยังถังเหวินหย่วน กล่าวว่า “ พรุ่งนี้ผมอยากจะเข้าร่วมงานประมูลนี้ เหล่าถัง ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อใจคุณนะ แต่ของเหล่านี้ จะไปตกในมือคนอื่นไม่ได้!”


ไม่ต้องพูดถึงว่า “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” อาจจะมีเคล็ดวิชาที่เยี่ยเทียนต้องการหรือเปล่า แต่เพื่อสนองเจตนารมณ์ของท่านอาจารย์ ย่อมไม่อาจปล่อยให้พวกมันหลุดรอดออกไปนอกประเทศได้อีก


อีกทั้งช่วงเวลานี้เยี่ยเทียนเจ็บป่วยนอนซมมาตลอด รู้สึกอึดอัดไม่สบายตัว หลังจากวันนี้ได้ลุกขึ้นเดินเหินได้แล้วสภาพร่างกายดีขึ้นมาก จึงอยากจะออกไปกินลมชมวิวสักหน่อย


ตอนที่ 679 การต้อนรับ

Ink Stone_Fantasy

เยี่ยเทียนเป็นคนมีความคิดเป็นของตัวเองมาตั้งแต่เด็ก เรื่องที่เขาตัดสินใจแล้ว ยากที่คนอื่นจะเปลี่ยนใจได้ ดังนั้นเมื่อได้ยินว่าพรุ่งนี้เยี่ยเทียนจะเข้าร่วมงานประมูลแม้ว่าซ่งเวยหลันจะคัดค้านหัวชนฝา แต่ก็ไม่อาจห้ามปรามด้


ยิ่งหลังจากที่โก่วซินเจียได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับ “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” แล้ว นอกจากจะตกตะลึงก็ยังสนับสนุนเยี่ยเทียนอย่างเต็มที่ ไม่ว่า “คัมภีร์เต๋า” เล่มนี้จะมีเคล็ดวิชาอยู่ภายในหรือไม่ มันก็ยังเป็นตำราเต๋าอันล้ำค่าอย่างยิ่ง


เมื่อหมดหนทาง ซ่งเวยหลันจึงได้แต่พยักหน้ายอมตาม แต่เดิมที่เยี่ยเทียนเพียงคิดว่าจะเข้าร่วมประมูลกับถังเหวิน หย่วนเพียงสองคน กลับกลายเป็นว่าไปกันทั้งครอบครัว กระทั่งโจวเซี่ยวเทียนยังไม่ยอมอยู่เฝ้าบ้าน


โชคดีที่ถังเหวินหย่วนมีอิทธิพลกว้างขวางในฮ่องกง แล้วยังได้รับบัตรเชิญมาหลายใบจากช่องทางผิดกฎหมาย ต้องเข้าใจก่อนว่า งานประมูลคริสตี้นั้นไม่ใช่ใครก็ตามจะสามารถเข้าร่วมได้


“แม่ครับ งานนี้จัดขึ้นที่ฮ่องกง ไม่ใช่ปักกิ่งซะหน่อย ทำไมต้องใส่เสื้อผ้ามากมายขนาดนั้น?”


เช้าตรู่วันต่อมา ซ่งเวยหลันก็มายังห้องของลูกชาย บอกว่าตอนนี้เดือนธันวาคมแล้ว จะให้เยี่ยเทียนใส่เสื้อกันหนาวก่อนออกไปข้างนอก ไม่งั้นไม่ยอมให้ออกไป ทำเอาเยี่ยเทียนจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ออก


เห็นอวี๋ชิงหย่าแอบหัวเราะอยู่ที่ประตู เยี่ยเทียนก็พูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “มาหัวเราะอีก ชิงหย่า ขืนยังหัวเราะต่อละก็ จะให้เธอใส่เสื้อหนังออกไปด้วย!”


เห็นสามีโกรธขึ้นมาจริงๆ อวี๋ชิงหย่าก็ยิ้มเดินมาหา กล่าวว่า “แม่คะ ตอนนี้อุณหภูมิข้างนอกยี่สิบกว่าองศาเอง แม่ให้เยี่ยเทียนใส่เสื้อกันหนาว ออกไปข้างนอกเขาก็ร้อนแย่สิ!”


“งั้นไม่ใส่ก็ได้ ชิงหย่าเธอถือให้เขาแล้วกัน เวลารู้สึกหนาวจะได้ให้เขาใส่”


ซ่งเวยหลันคิดๆ ดูแล้วว่าจริง แต่เธอยังคงรู้สึกว่าลูกชายบาดเจ็บหนักยังไม่หายดี ร่างกายจึงอ่อนแอกว่าคนอื่นมาก ด้วยเหตุนั้นจึงยังกังวลใจ


หลังจากกินข้าวเช้าเสร็จ ก็เป็นเวลาประมาณเก้าโมง รถบัสคันหรูแล่นมารับสมาชิกภายในคฤหาสน์ทั้งหมด มุ่งสู่วงแหวนใจกลางเกาะฮ่องกง


งานประมูลศิลปวัตถุชาติจีนของคริสตี้ครั้งนี้ จัดขึ้นเป็นเวลาทั้งหมดสามวัน


ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว วันแรกสุด จะมีการจัดแสดงของสินค้าประมูลตัวชูโรงหลายชิ้น ทำให้บรรยากาศของงานประมูลครึกครื้นขึ้นมา จากนั้นเมื่อถึงเวลาใกล้จบ ก็จะจัดแสดงสินค้าตัวชูโรงอีกครั้ง ถือเป็นการเสร็จสิ้นกิจกรรมทั้งหมดโดยสมบูรณ์


ทางคริสตี้จัดเตรียมนำเครื่องเคลือบดินเผาซ่งจวินขึ้นแสดงในฐานะสินค้าชูโรงชิ้นแรกสุด


แต่เมื่อพิจารณาจากความนิยมพุ่งพรวดของตลาดตำราโบราณเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมา จึงจัดการให้ “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” เป็นสินค้าประมูลตัวชูโรงในวันแรก


ดังนั้นพวกเยี่ยเทียนจึงรีบมายังสถานที่ประมูลล่วงหน้า เพราะสำหรับ “คัมภีร์เต๋าไคหยวน” ไม่กี่เล่มนั้น ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยเทียนหรือโก่วซินเจียต่างก็หมายมั่นปั้นมือครอบครองให้ได้


วงแหวนกลางคือชื่อสถานที่แห่งหนึ่งในเขตตะวันตกของฮ่องกง ขณะเดียวกันก็เป็นศูนย์กลางรัฐบาลและการค้าของฮ่องกงด้วย ธนาคารมากมายกับองค์กรแลกเปลี่ยนเงินตราและกงสุลต่างชาติล้วนตั้งอยู่ที่วงแหวนกลาง


เยี่ยเทียนกักเก็บอาการตื่นเต้นเอาไว้ ถึงแม้เขาจะมาฮ่องกงหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เคยมาที่วงแหวนกลาง ครั้งนี้นับว่าผู้คนหนาแน่นมาก แต่เยี่ยเทียนก็มองกลุ่มคนที่พลุกพล่านบนท้องถนนด้วยความสนอกสนใจ


 รถขับมาจอดยังที่จอดรถในศูนย์กลางของวงแหวนกลาง เพื่อสร้างแรงสั่นสะเทือนในวงการ  คริสตี้จึงเจาะจงเลือกสถานที่บนใจกลางควีนส์โร้ดเป็นพิเศษ อันเป็นตึกระฟ้าสูงที่สุดในเกาะฮ่องกง


“ทำไมต้องมาจัดงานประมูลที่นี่ด้วย เลือกศูนย์ประชุมสักที่ไม่ได้หรือไง?”


อาจเป็นเพราะยังไม่อาจก้าวข้ามความหวาดกลัวจากการโจมตีอย่างฉับพลันที่นิวยอร์คเมื่อสองเดือนก่อนไม่ได้ พอเห็นตึกสูงใหญ่ถึงเจ็ดสิบสามชั้น ซ่งเวยหลันจึงเผลอบ่นพึมพำตอนเข้าไปในลิฟท์


หลังจากพบเหตุการณ์บุกโจมตีสะเทือนขวัญที่นิวยอร์ค ซ่งเวยหลันก็ไม่กล้าถอนบริษัทออกจากนิวยอร์ค แต่ไปก่อตั้งตึกออฟฟิศแห่งใหม่ที่ซานฟรานซิสโกเป็นสำนักงานใหญ่ และตึกหลังนี้ก็มีเพียงสามชั้นเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นส่งผลกระทบกับเธอ


“แม่ ไม่เป็นไรหรอกครับ”


เยี่ยเทียนจับมือแม่เอาไว้ หัวเราะบอกว่า “เหตุการณ์นั้นร้อยปีเกิดขึ้นหนหนึ่ง ถ้าหากพวกเราประสบเข้าอีกครั้งล่ะก็ ผมว่าแม่บินกลับอเมริกาไปซื้อลอตเตอรี่ เป็นไปได้ว่าอาจแจ็คพอตได้ถึงสามสิบล้านดอลลาร์อเมริกาเลยนะครับ!”


“เจ้าเด็กบ้า ไม่รู้จักพูดเรื่องดีๆ พูดจาอัปมงคลให้น้อยๆหน่อย” แม้ซ่งเวยหลันจะตำหนิลูกชาย แต่ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาก


หลังจากได้รับผลกระทบจากการโจมตีกะทันหันที่นิวยอร์คก่อนหน้านี้ เวลาแต่ละสถานที่จัดกิจกรรมงานประชุม ก็จะตรวจสอบอย่างละเอียดเข้มงวดขึ้นมาก ด้วยเหตุนี้ทางฝ่ายจัดงานจึงลงทุนติดตั้งประตูนิรภัยเป็นพิเศษ


หลังจากเข้าไปในห้องประชุมแล้ว เยี่ยตงผิงก็มองซ้ายมองขวา กล่าวว่า “ที่นี่ใหญ่กว่างานประมูลที่จัดขึ้นในปักกิ่งมากทีเดียว”


องค์กรประมูลในปักกิ่ง มักจัดงานในห้องประชุมของโรงแรมสักแห่งเสมอ ส่วนใหญ่แล้วภายในสถานที่มีที่นั่งเพียงหนึ่งร้อยสิบที่นั่ง แต่สถานที่ตรงหน้ากลับจุคนได้เต็มที่ถึงสี่ห้าร้อยคน


“น้องเยี่ย ฮ่องกงนับว่าเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจฝั่งตะวันออก บริษัทประมูลคริสตี้นับว่าให้ความสำคัญมากทีเดียว”


เพราะมีเยี่ยเทียนอยู่ ถังเหวินหย่วนจึงไม่กล้าโอ้อวดใส่เยี่ยตงผิง  อธิบายว่า “ งานประมูลครั้งนี้ไม่ได้มีแค่นักสะสมชาวฮ่องกง แต่ยังมีนักสะสมวัตถุโบราณแผ่นดินใหญ่ต่างประเทศมากมายมาร่วมด้วย พูดแบบไม่เกินเลย งานนี้ถือเป็นงานประมูลระดับโลกงานหนึ่ง!”


แน่นอนว่า ขณะที่ถังเหวินหย่วนกำลังอธิบายอยู่นั้น ภายในงานนอกจากจะมีกลุ่มชาวจีนที่นั่งอยู่ ยังมีฝรั่งผมทองตาสีฟ้าอยู่ด้วย อีกทั้งคนเหล่านี้จับจองที่นั่งไปกว่าครึ่ง


ตอนที่พวกเยี่ยเทียนมาถึง ก็เป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คน เนื่องจากการรวมตัวของพวกเขาค่อนข้างแปลกประหลาด


นอกจากคนหนุ่มสาวอย่างเยี่ยเทียนกับภรรยาและโจวเซี่ยวเทียนแล้ว โก่วซินเจียผู้มีแขนข้างเดียวกับหนานไหวจิ่นที่ยังดูสดใสแข็งแรงก็เป็นที่จับตามองของผู้คน


ด้านจั่วเจียจวิ้นและถังเหวินหย่วนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ภายในงานมีชาวจีนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งลุกขึ้นยืนเพื่อทำความเคารพสองคนนี้ พวกเขาล้วนเป็นมหาเศรษฐีภายในฮ่องกง


ส่วนซ่งเวยหลันและสามีวันนี้แต่งกายธรรมดาอย่างมาก กลุ่มคนจึงพุ่งความสนใจส่วนใหญ่ไปที่พวกจั่วเจียจวิ้น ภายใต้การนำทางของพนักงาน คนทั้งกลุ่มก็มาถึงที่นั่งแถวแรกสุดในงานประชุม


“คนพวกนี้คือใครกันน่ะ? ทำไมถึงได้นั่งแถวแรก?”


“นั่นน่ะสิ เมื่อกี้ฉันเห็นท่านเซอร์เหอยังนั่งแถวสามเลย”


“เชยจริง คนผู้นั้นคือคุณถัง ข้างๆ เขาคือปรมาจารย์จั่ว  แค่นี้ก็ยังไม่รู้จักหรือ?”


“ต่อให้เป็นคุณถังกับปรมาจารย์จั่ว ก็ไม่น่ามีคุณสมบัตินั่งที่แถวแรกได้หรือเปล่า? พวกเธอรู้ไหมว่า วันนี้ท่านเทศมนตรีมาร่วมงานประมูลนี้ด้วย?”


หลังจากที่พวกเยี่ยเทียนนั่งลงแล้ว คนที่นั่งอยู่ทางด้านหลัง ก็อดส่งเสียงพึมพำขึ้นมาไม่ได้


ไม่ว่าจะเป็นในหรือนอกประเทศ ลำดับที่นั่งล้วนดึงดูดความสนใจของผู้คนเสมอ หากพูดถึงภายในงานประมูล ตำแหน่งที่นั่งแถวแรกมักถูกตระเตรียมไว้ให้กับแขกผู้มีเกียรติตลอดทุกครั้ง


และงานประมูลเช่นวันนี้ ท่านเทศมนตรีในเขตปกครองพิเศษฮ่องกงก็อาจมาร่วมงานด้วย


เทศมนตรีอาจไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมประมูลตลอดทั้งงาน แต่ว่าที่นั่งแถวแรก จะต้องถูกจัดเตรียมเอาไว้ จริงอยู่ที่      ถังเหวินหย่วนและจั่วเจียจวิ้นมีชื่อเสียงไม่น้อยบนเกาะฮ่องกง แต่ก็ยังไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะนั่งตรงนั้น


“น้องจั่ว พวกเราดึงดูดสายตาคนกันหรือเปล่า?”


ถังเหวินหย่วนเองก็นึกไม่ถึงว่าทางฝ่ายจัดงานจะเตรียมที่นั่งแถวแรกไว้ให้พวกเขา ดังนั้นพอได้ยินเสียงซุบซิบจากด้านหลังแล้ว จึงอดขำ เผลอมองไปทางซ่งเวยหลันไม่ได้


จั่วเจียจวิ้นได้ยินแล้วก็ยิ้มตอบ “เดาว่าน่าจะเป็นศิษย์น้องเล็กมากกว่า”


เมื่อต้นปีเพื่อเสาะหาเครื่องรางฮวงจุ้ยจำนวนหนึ่ง จั่วเจียจวิ้นเองก็เป็นแขกประจำของงานประมูล เพียงแต่เขาก็เหมือนกับถังเหวินหย่วน คือไม่เคยได้รับที่นั่งแถวแรก


แต่ว่าถังเหวินหย่วนและจั่วเจียจวิ้นต่างก็เป็นคนแก่ประสบการณ์ จึงไม่ใส่ใจกลับคำซุบซิบนินทาเหล่านี้ ต่างพูดคุยกันเป็นปกติ ไม่สนใจว่าคนด้านหลังจะพูดอะไรก็ตาม


กลุ่มเยี่ยเทียนไม่ได้มาถึงไวเกินไปนัก หลังจากพวกเขานั่งลงไม่ถึงห้านาที บานประตูใหญ่ทั้งสองบานของห้องประชุมก็ถูกผลักออกจากด้านนอก ชายชราผมขาวอายุราวห้าสิบกว่าปี ล้อมรอบด้วยคนจำนวนเจ็ดแปดคนเดินเข้ามาข้างใน


“สวัสดีครับคุณต่ง!”


“สวัสดีครับท่านเทศมนตรี!”


“สวัสดีครับคุณต่ง!”


เมื่อเห็นคนผู้นี้เข้ามา ภายในห้องก็มีเสียงปรบมือดังเกรียวกราว กลุ่มเยี่ยเทียนเองก็ลุกขึ้นยืน ถึงแม้เขาจะไม่รู้จักท่านเทศมนตรีคนแรกของฮ่องกงซึ่งถือกำเนิดในตระกูลส่งออกสินค้าผู้นี้ แต่ก็เคยเห็นเขาในโทรทัศน์มาไม่น้อย


ข้างกายของท่านเทศมนตรี เป็นชาวอังกฤษร่างผอมแห้งผู้หนึ่ง ดูอายุแล้วน่าจะห้าสิบกว่าปีเช่นกัน หลังจากที่คุณต่งเดินมาถึงแถวแรกแล้ว คนผู้นั้นก็เดินมาหาพวกเยี่ยเทียนทันที


สิ่งที่ทำให้ทางพวกเยี่ยเทียนประหลาดใจก็คือ ซ่งเวยหลันกลับลุกไปต้อนรับ ยิ้มเอ่ยปากว่า “วิลสัน ได้ยินว่าคุณขยับขยายที่ทางมาฝั่งตะวันออก ไม่นึกว่าคุณจะมาฮ่องกง?”


“ครับ มิสซ่งแสนสวย พอได้ยินว่าคุณจะมาร่วมงานประมูลครั้งนี้ เมื่อคืนผมถึงกับนอนไม่หลับ!”


วิลสันที่ซ่งเวยหลันทักทายนั้นพูดภาษาจีนกลาง พอมาถึงด้านหน้าซ่งเวยหลันแล้ว ก็ประคองมือขวาของซ่งเวยหลันขึ้น จุมพิตแผ่วเบาครั้งหนึ่ง


“บ้าเอ๊ย ไอ้เวรนั่นเป็นใครกัน? บังอาจมาจูบเมียฉัน?”


ถึงแม้จะรู้ว่าการจุมพิตที่มือเป็นวัฒนธรรมทั่วไปของฝั่งตะวันตก แต่เมื่อเห็นภาพนี้ เยี่ยตงผิงยังออกจะทนไม่ได้ หันไปเห็นหน้าเยี่ยเทียนมีสีหน้าเฉยเมยก็อดไม่ได้ กระทืบเท้าหลังฝ่าเท้าของลูกชาย กระซิบเสียงต่ำ “ไอ้ลูกเวร นั่นแม่ของแกนะ จะไม่สนใจหน่อยหรือ?”


“พ่อ จะหึงโดยไร้เหตุผลไปหน่อยแล้ว นั่นมันเรื่องธรรมดาที่เข้าใจได้อยู่”


เยี่ยเทียนกลอกตาใส่พ่อ แต่พอเห็นสีหน้าดุดันอย่างนั้นของพ่อ ก็ถอนหายใจออกมาอย่างเหลืออด เดินหน้าขึ้นไปพูด “คุณวิลสันครับ ผมว่าคุณควรจะเรียกเธอว่ามาดามซ่ง ไม่ใช่มิส”


“ใช่แล้ว นี่น่ะลูกชายของฉัน!” เยี่ยตงผิงที่อยู่ด้านข้างได้ยินแล้วร่าเริงขึ้นมา


“อ้อ ท่านผู้นี้คือ?” วิลสันส่งสายตาสงสัยไปทางซ่งเวยหลัน


“เขาคือลูกชายของฉันเองค่ะ วิลสัน ฉันเคยบอกแล้วนี่ว่าฉันแต่งงานมาหลายปีแล้ว คุณไม่เชื่อเอง”


ซ่งเวยหลันยิ้มอ่อน เดินไปข้างกายเยี่ยตงผิง คว้าแขนของสามีไว้ กล่าวว่า “คนผู้นี้คือเยี่ยตงผิง สามีของฉันเองค่ะ เยี่ยตงผิง เขาชื่อวิลสัน เมื่อก่อนเป็นประธานบริษัทที่ประเทศอังกฤษของฉัน”


หลังจากอธิบายให้เยี่ยตงผิงฟังแล้ว ซ่งเวยหลันก็มองไปทางวิลสันอย่างแปลกๆ “คุณอยู่ที่สำนักงานใหญ่คริสตี้ไม่ใช่หรือคะ ทำไมถึงย้ายมาทางฮ่องกงล่ะ?”


“ผมหวังว่าจะได้มาพบหญิงสาวสวยเหมือนคุณทางทิศตะวันออกไงล่ะครับ”


วิลสันหัวเราะเสียงดังออกมา ยิ้มขอโทษขอโพยกับเยี่ยตงผิง กล่าวว่า “คุณเยี่ยครับ ผมล้อเล่นน่ะ มาเถอะผมจะแนะนำให้ทุกคนรู้จัก!”


ตอนที่ 680 งานประมูล

Ink Stone_Fantasy

“ไม่ต้องอธิบายแล้วล่ะ คนผู้นี้คงเป็นมาดามซ่งแห่งเวยหลันแน่นอน!”


โดยไม่รอให้วิลสันแนะนำตัว ท่านเทศมนตรีต่งเซิงที่กำลังคุยกับถังเหวินหย่วนก็เดินเข้ามา ขณะที่อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตร ก็ยื่นมือมาทางซ่งเวยหลัน


ต่งเซิงกำเนิดในตระกูลเจ้าพ่อสินค้าส่งออก ตอนเขายังหนุ่มประสบกับวิกฤตการเงินทั่วโลกเข้า จนฐานะการเงินของครอบครัวล่มสลาย ภายหลังด้วยความดิ้นรนอุตสาหะของเขา จึงได้กลับมาอยู่ในอันดับต้นๆ ของมหาเศรษฐีในเกาะฮ่องกงอีกครั้ง


แต่ว่าธุรกิจการค้าของเขาส่วนใหญ่อยู่ในเขตเกาะฮ่องกง แม้จะรู้จักชื่อซ่งเวยหลัน แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้พบหน้าหญิงสาวผู้เก่งกาจในตลาดธุรกิจจีนคนนี้เลย


ดังนั้นถึงแม้วันนี้เขาจะมีสถานะสูงส่งเป็นที่เคารพยกย่อง แต่เมื่อได้พบซ่งเวยหลันแล้ว ก็ไม่แสดงท่าทีอย่างนายกเทศมนตรีแห่งเกาะฮ่องกง แต่กลับใช้มารยาทอย่างในวงการธุรกิจทั่วโลกจับมือทักทายกับซ่งเวยหลัน


“คุณต่งเกรงใจไปแล้วค่ะ ได้ยินชื่อเสียงโด่งดังของคุณต่งมานาน วันนี้เพิ่งมีโอกาสได้พบ”


ซ่งเวยหลันจับมือตอบต่งเซิง พูดว่า “พวกเรากำลังแย่งจุดดึงดูดสายตาหรือเปล่าคะนี่? วันนี้ตัวเอกของงานควรจะเป็นวิลสันต่างหาก!”


“ใช่แล้วครับ ใช่ มาดามซ่งพูดได้ถูกต้อง”


ต่งเซิงได้ยินเข้าก็หัวเราะออกมา กล่าวว่า “คุณวิลสัน ในฐานะรัฐบาลเกาะฮ่องกง ผมขออวยพรให้งานประมูลศิลปะประจำชาติจีนครั้งนี้ประสบความสำเร็จโดยสมบูรณ์นะครับ!”


“ขอบคุณครับ ขอบคุณท่านทั้งสอง”


 วิลสันรับไมค์ที่ส่งมา เดินไปยังเวทีที่ยกขึ้นสูงกว่าที่นั่งเล็กน้อย กล่าวว่า “ผมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่วันนี้ได้รับเกียรติจากคุณต่งแห่งรัฐบาลฮ่องกงมาร่วมงานประมูลศิลปวัตถุประจำชาติจีนที่ทางคริสตี้จัดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นยังถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มาดามซ่งแห่งกลุ่มธุรกิจนานาชาติเวยหลันมาร่วมงานด้วย ขอทุกคนปรบมือให้หน่อยครับ!”


“กลุ่มธุรกิจเวยหลัน? ไม่เห็นเคยได้ยินเลย!”


“นั่นน่ะสิ ทำไมชื่อนี้ถึงฟังดูเป็นผู้หญิงจัง?”


“นั่นน่ะคือบริษัทเก่าแก่ในอเมริกา ก่อนหน้านี้ทำเครื่องสำอางเป็นหลัก ภายหลังขยับขยายทำหลายกิจการ มูลค่ากว่าพันล้านดอลลาร์อเมริกา คุณถังยังห่างชั้นจากเธอเยอะนัก ถึงได้มีคุณสมบัติจะนั่งตรงนั้นยังไงล่ะ”


พอเสียงของวิลสันจบลง ภายในงานก็มีเสียงพูดคุยซุบซิบกันดังขึ้นหลากหลาย


ธุรกิจของซ่งเวยหลันส่วนใหญ่อยู่ในเขตอเมริกาเหนือและทางยุโรป และเนื่องจากเธอค่อนข้างเก็บตัว คนที่รู้จักเธอจึงมีไม่มาก


แน่นอนว่า คนที่รู้จักซ่งเวยหลันแม้มีไม่มาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนเหล่านี้จะไม่รู้จักกลุ่มธุรกิจเวยหลัน ขณะที่มีคนอธิบายด้วยเสียงแผ่วเบาอยู่นั้น ก็มีเสียงร้องอย่างตกอกตกใจดังแผ่วเบาขึ้นมาเป็นระลอก


ผู้หญิงก่อตั้งบริษัท เดิมทีก็ลำบากยากเข็ญแล้ว แต่ซ่งเวยหลันสามารถก่อตั้งกลุ่มธุรกิจต่างชาติขนาดใหญ่ได้ถึงขั้นนี้ จึงยิ่งยากไปกว่าหลายเท่าตัว คนที่เมื่อครู่สงสัยในตำแหน่งที่นั่งแถวแรกของเธอต่างพากันเงียบเสียงลงในทันที


“ยิ่งไปกว่านั้นต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ให้การสนับสนุนคริสตี้ตลอดมา…”


หลังจากกล่าวออกไปพอสมควรแล้ว วิลสันก็ตัดบทเข้าสู่ประเด็น “เพื่อเป็นการตอบแทนทุกท่าน ของสะสมที่พวกเรานำมาในครั้งนี้ ล้วนเป็นผลงานชิ้นประณีตที่ไม่เคยปรากฏที่ไหนมาก่อน เอาล่ะ ต่อไปขอมอบหน้าที่นี้ให้แก่นักประมูล ขอให้ทุกคนประมูลกันอย่างเต็มที่นะครับ!”


“เวยหลัน ผู้ชายคนนี้คือใครน่ะ? สนิทกับเธอหรือเปล่า?” อยู่ข้างล่างเวทีมาเนิ่นนาน ในที่สุดเยี่ยตงผิงก็เอ่ยปากถามขึ้น


ชายชาวอังกฤษที่อยู่บนเวทีถึงแม้อายุไม่น้อยแล้ว แต่ยังหล่อเหลาเอาการ อีกทั้งยังมีนิสัยอย่างสุภาพบุรุษ ทำให้เยี่ยตงผิงรู้สึกหงุดหงิดรำคาญเป็นที่สุด


“นึกว่าคุณจะปล่อยผ่านได้ซะอีก”


 ซ่งเวยหลันกลอกตาใส่สามี กล่าวว่า “วิลสันเคยเป็นประธานบริษัทที่อังกฤษของฉัน สิบปีที่แล้วเคยตามจีบฉันอยู่ ทำไมล่ะ หึงหรือไง?”


ซ่งเวยหลันดูแลบริษัทใหญ่ขนาดนั้นเพียงคนเดียว แล้วยังสวยสดงดงาม หลายปีที่ผ่านมาพบคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตตามจีบมาไม่น้อย วิลสันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น


“ลูกโตขนาดนี้แล้ว ฉันจะยังหึงอะไรล่ะ…” เยี่ยตงผิงปากไม่ตรงกับใจอย่างเห็นได้ชัด


เยี่ยเทียนแม้จะสูญสิ้นปราณชีวิตแท้ แต่พลังในการได้ยินและประสาทสัมผัสยังดีอยู่ พอได้ยินคำพูดของพ่อกับแม่แล้ว ก็อดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “พ่อ พ่อต้องจับตาดูให้ดีนะ ผมว่าตอนไอ้ฝรั่งนั่นมองแม่ สายตาไม่ปกติเท่าไหร่”


“ไอ้ลูกชาย แกก็เห็นอย่างนั้นเหมือนกันใช่ไหม” เยี่ยตงผิงเป็นกังวลขึ้นมาทันที


เห็นพ่อท่าทางอย่างนั้น เยี่ยเทียนยังอดแหย่เขาไม่ได้ หัวเราะแล้วตอบว่า “พ่อ พ่อนี่แหย่ง่ายจริง ถ้าแม่จะหาใหม่ มีหรือจะวนกลับมาหาพ่อ อย่าคิดฟุ้งซ่านให้มากนักเลย”


“ตายแล้ว ไปคุยกับลูกเรื่องนั้นทำไม?” ซ่งเวยหลันยื่นมือมาที่เอวของเยี่ยตงผิงอย่างอารมณ์เสีย หยิกจนเขาซู้ดปากออกมาทีหนึ่ง


……


“ท่านสุภาพบุรุษและท่านสุภาพสตรี นับเป็นความยินดีอย่างยิ่งที่ทุกท่านได้มาเข้าร่วมในงานประมูลศิลปวัตถุประจำชาติจีนครั้งนี้ ผมคือเฮนรี่ ผู้ประมูล จากนี้จะขอแนะนำสินค้าประมูลหมายเลขหนึ่งให้กับทุกท่านครับ!”


ขณะที่ซ่งเวยหลันกำลังสั่งสอนสามีอยู่นั้น งานประมูลก็เริ่มต้นขึ้น นักประมูลอายุราวสามสิบกว่าปียืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะประมูล ใบหน้าของเขาเปี่ยมด้วยความมั่นอกมั่นใจ


ผู้คนมากมายนึกว่านักประมูลเพียงแค่ป่าวประกาศเคาะราคาด้วยค้อน ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น นักประมูลที่มีคุณสมบัติยอดเยี่ยม จะสามารถเสนอราคาที่ดีที่สุดตามสถานการณ์ในตลาด ยิ่งเมื่อบวกกับบรรยากาศในสถานที่อันสับสนปนเป มักจะทำให้การประมูลได้รับผลลัพธ์อันคาดไม่ถึง


และนักประมูลที่เก่งกาจคนหนึ่ง ก่อนเข้างานประมูล เขาจะสามารถคาดเดาได้ว่าสินค้าประมูลชิ้นไหนจะได้รับความนิยม และสามารถคาดเดาราคาสูงสุดของสินค้าประมูลแต่ละชิ้น


ผู้ประมูลชั้นนำถึงขั้นรู้ได้แน่ชัดว่าใครมีความสามารถในการประมูลสินค้าแต่ละชิ้น


ในฐานะนักประมูลชั้นนำระดับโลก เฮนรี่จึงทำรายการประมูลสูงสุดในแต่ละครั้ง และเขาก็มีความมั่นใจว่าจะไม่มีการบันทึกสินค้าหลุดประมูลในงานของเขาที่ฮ่องกง


“สมบัติชิ้นแรกคือเครื่องเคลือบแจกันเหมยจากเตาเผาหลวงในราชวงศ์ชิงหนึ่งคู่ ผลิตขึ้นในรัชสมัยเฉียนหลงยุคราชวงศ์ชิง เล่าลือกันว่าเป็นสมบัติสุดหวงแหนของกษัตริย์ในราชวงศ์ชิง…”


ขณะที่เฮนรี่กำลังพูดอยู่ แจกันเหมยเคลือบสีขาวเลียนแบบศิลปะราชวงศ์หมิงในยุคราชวงศ์ชิงอันประณีตงดงามหนึ่งคู่ก็ปรากฏขึ้นบนเวที


จากเลนส์กล้องที่ซูมเข้าใกล้บนจอภาพ ผู้คนล้วนสามารถเห็นได้ชัดเจน ว่าแจกันเหมยคู่นี้มีปากกลมหนา ไร้ร่องรอยบิ่นอย่างเห็นได้ชัด ช่วงไหล่ยกขึ้นด้านบน เส้นขอบอวบอิ่มสมบูรณ์ทว่ามีพลัง ส่วนล่างช่วงท้องดิ่งเป็นเส้นตรง เห็นได้ชัดว่าเป็นรูปแบบแจกันอย่างราชวงศ์หมิง


“ราคาของแจกันเหมยคู่นี้คือห้าแสนเหรียญฮ่องกง บวกราคาขึ้นครั้งละหนึ่งหมื่นเหรียญฮ่องกง ขอเชิญทุกท่านเสนอราคากันได้ครับ!”


งานประมูลของคริสตี้อย่างครั้งนี้ สามารถรับประกันได้ร้อยเปอร์เซนต์ว่าสมบัติเป็นของแท้ หลังจากได้แนะนำคุณสมบัติแจกันเหมยแล้ว เฮนรี่ก็เปิดราคาประมูล


“ผมให้ห้าแสนสองหมื่นเหรียญฮ่องกง!” พอเสียงของเฮนรี่เงียบลง ด้านล่างเวทีก็มีคนชูหมายเลขขึ้น


เยี่ยเทียนหันหลังกลับไปมองคนที่ชูหมายเลขขึ้นแวบหนึ่ง กระซิบเสียงต่ำว่า “ทำไมถึงรีบอย่างนี้ล่ะ? กลัวจะประมูลไม่ได้เหรอ?”


“เสี่ยวเทียน ลูกไม่เข้าใจ พวกเขามาที่งานประมูล ล้วนคิดอยู่ในใจแต่แรกแล้วว่าต้องการประมูลอะไร…”


พอได้ยินคำพูดของลูกชายแล้ว เยี่ยตงผิงก็ยิ้มออกมา คลุกคลีอยู่ในวงการวัตถุโบราณมาสิบถึงยี่สิบปี หากมองจากมุมนี้ เขาก็นับว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญแล้ว จึงอธิบายให้ลูกเข้าใจ


ประเภทของสมบัติโบราณมีมากมาย ส่วนใหญ่แบ่งเป็นเครื่องสำริด เครื่องเคลือบดินเผา ภาพวาดภาพเขียน อัญมณีเครื่องประดับ เครื่องมือเครื่องใช้โบราณ และของเบ็ดเตล็ดหกประเภทใหญ่ นอกจากเครื่องใช้สำริด กระเบื้องเคลือบ และภาพวาดตำราสามชนิดแล้ว ชนิดอื่นๆ ล้วนกล่าวเป็นขอบเขตได้กว้างมาก


อีกทั้งของสะสมและสมบัติโบราณยังมีข้อแตกต่าง เนื่องจากสมบัติโบราณยังรวมไปถึงสถาปัตยกรรมโบราณ ฟอสซิลเพื่อใช้สำหรับการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาความรู้เป็นต้น


ดังนั้นผู้มีใจรักของสะสมโบราณคนหนึ่ง จึงไม่อาจเหมารวมถึงชนิดของสะสมโบราณทุกประเภท ส่วนใหญ่แล้วก็จะสะสมสิ่งของตามประเภทไป บางคนพุ่งเป้าไปที่เครื่องสำริดเป็นหลัก บางคนก็ชื่นชอบเครื่องเคลือบ


เวลาที่พวกเขาทำการสะสม มักจะมีเป้าหมายอยู่แล้ว อย่างเช่นคนที่เสนอราคาเมื่อครู่นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นคนสะสมเครื่องเคลือบคนหนึ่ง กระทั่งเป้าหมายที่เขามาครั้งนี้ก็ยังเพื่อแจกันคู่นั้น


“ห้าแสนสองหมื่นเหรียญฮ่องกง คุณจางจากฮ่องกงเสนอราคาห้าแสนสองหมื่นเหรียญฮ่องกง ยังมีท่านไหนเสนอราคาอีกไหมครับ นี่เป็นของใช้ของฮ่องเต้แห่งประเทศจีนเชียวนะครับ!”


พอได้ยินด้านล่างเวทีมีคนเสนอราคาอย่างรวดเร็วเช่นนั้น เฮนรี่ก็ถอนใจโล่งอกอยู่ภายใน ต้องเข้าใจก่อนว่า สิ่งที่นักประมูลหวาดกลัวที่สุดก็คือการเปิดตลาดอย่างเงียบเชียบ หากเป็นเช่นนั้นความเป็นไปได้ที่จะมีของหลุดประมูลในภายหลังค่อนข้างสูง


“ห้าแสนห้าหมื่นเหรียญฮ่องกง!”


เห็นได้ชัดว่าเฮนรี่ประเมินความคึกคักภายในตลาดศิลปะวัตถุประจำชาติจีนต่ำเกินไป หลังจากที่เสียงของเขาเงียบลงนั้นเอง ราคาที่ถูกเสนอขึ้นใหม่ก็ดังขึ้น


“คุณจ้าวเสนอราคาห้าแสนห้าหมื่นเหรียญฮ่องกง งานประมูลครั้งก่อนที่ลอนดอน เครื่องเคลือบคู่หนึ่งรูปแบบเดียวกับแจกันเหมยในยุคสมัยเดียวกันนี้ เคยประมูลได้ในราคาถึงหกแสนแปดหมื่นปอนด์อังกฤษ อันเป็นมูลค่าเท่ากับสิบล้านเหรียญฮ่องกง ผมคิดว่าพวกมันยังมีช่องว่างให้ประเมินราคาได้อีกไกลนะครับ”


ก่อนหน้านี้เฮนรี่ทำการบ้านมาแล้วไม่น้อย เขาสามารถเรียกชื่อที่จับคู่กับหมายเลขได้ทุกคน ว่ากันด้วยจุดนี้ เขาจึงเป็นนักประมูลผู้เก่งกาจอย่างแท้จริง


“หกแสนแปดหมื่น!”


“แปดแสนเหรียญฮ่องกง!”


ตอนที่ตะโกนถึงแปดแสน ภายในงานก็เงียบสงบลงครั้งหนึ่ง แต่จากการกระตุ้นของเฮนรี่ ราคากลับเริ่มพุ่งสูงขึ้นอีกครั้ง


เยี่ยเทียนสามารถดูออกว่า ทุกครั้งที่เฮนรี่พูด สายตาของเขามักจะมองไปที่ใครคนหนึ่งตลอดเวลา บางทีอาจเป็นเพราะข้อมูลที่เขาได้รับมาก่อนหน้านี้ เขาจึงรู้ว่าใครที่ต้องการสินค้าประมูลชิ้นนี้


“หนึ่งล้านสองแสน!”


“หนึ่งล้านแปดแสน!”


“ผมเสนอสองล้าน!”


ภายใต้การควบคุมของเฮนรี่ บรรยากาศในงานก็ค่อยๆ ดุเดือดขึ้นมา ในตลาดศิลปะวัตถุอันร้อนแรงเช่นนี้ กระทั่งผู้คนมากมายที่ไม่ได้อยู่ในวงการ ยังอาจประมูลของโบราณเหล่านี้ไปไว้สะสมได้


ดังนั้นภายในงานจึงไม่ได้มีเพียงนักสะสมของโบราณเหล่านั้นที่แข่งขันกันเรื่องราคา แต่ยังมีนักธุรกิจผู้ชื่นชอบในศิลปะวัฒนธรรมบางส่วน เฉกเช่นท่านผู้เฒ่าถังเป็นต้น


แน่นอนว่า ถังเหวินหย่วนชอบเครื่องสำริดโบราณ ไม่มีความสนใจใดๆ เลยต่อเครื่องเคลือบชิ้นนี้ ด้วยเหตุนั้นจึงไม่ชูหมายเลขขึ้นร่วมประชันกับบรรยากาศอันครึกครื้น


“สองล้านสามแสนแปดหมื่นเหรียญฮ่องกง ยังมีท่านไหนเสนอราคาอีกไหมครับ? สองล้านสามแสนแปดหมื่นครั้งที่หนึ่ง สองล้านสามแสนแปดหมื่นครั้งที่สอง สองล้านสามแสนแปดหมื่นครั้งที่สาม ปิดการขาย ยินดีด้วยครับคุณจาง!”


ผู้คนเหล่านั้นที่มีเจตนาซื้อแจกันเหมยชูหมายเลขครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้ราคาค่อยๆ พุ่งสูง จนเครื่องเคลือบเตาเผาหลวงยุคสมัยราชวงศ์ชิงราคาเปิดที่ห้าแสนห้าหมื่นเหรียญฮ่องกง ปิดการขายที่สองล้านสามแสนแปดหมื่นในท้ายที่สุด


“สินค้าที่จะประมูลชิ้นต่อไป คือตำราโบราณของจีน…”


หลังจากสินค้าประมูลชิ้นแรกปิดการขายเรียบร้อยแล้ว คำพูดต่อไปของเฮนรี่ ทำให้พวกเยี่ยเทียนต่างตาลุกวาว


…………………………………………………….


ตอนที่ 681 เริ่มประมูล

Ink Stone_Fantasy

“ตำราซึ่งมาจากตุนหวงเล่มนี้ มีทั้งหมดหกเล่ม โดยตระกูลของคุณสเตนเป็นผู้เสนอมา พวกเรารับประกันได้ว่าเป็นของแท้ มันคือผลงานชิ้นโด่งดังของลัทธิเต๋า และจากการตรวจสอบ ตำราทั้งหกเล่มนี้มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นสมบัติที่สูญหายไปของชาติจีน…”


หลังจากอธิบายประวัติของ “ตำราเต๋าไคหยวน” แล้ว  เฮนรี่ก็กล่าวต่อ “ราคาเปิดของตำราหกเล่มนี้อยู่ที่สามแสนสองหมื่นเหรียญฮ่องกง ประมูลโดยเพิ่มครั้งละหนึ่งหมื่นเหรียญ สหายผู้ที่สนใจสามารถเริ่มประมูลได้เลยครับ!”


ว่ากันตามตรงแล้ว งานประมูลศิลปวัตถุชาติจีนในครั้งนี้ เฮนรี่ทุ่มเทเวลาให้กับมันมากจริงๆ เขาถึงขั้นสามารถบอกประวัติและยุคสมัยของสมบัติทุกชิ้นได้อย่างชัดเจน เรื่องนี้ต่อให้เป็นนักประมูลชาวจีนเองก็ยังไม่อาจทำได้


หลังจากได้ยินคำพูดของเฮนรี่แล้ว เยี่ยเทียนก็ขยับมือขวา กำลังจะชูหมายเลขที่อยู่บนขาขึ้นไป แต่ยังไม่ทันได้ยกมือกลับถูกเยี่ยตงผิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ฉุดเอาไว้


เยี่ยเทียนขมวดคิ้วอย่างงงๆ กระซิบถามว่า “พ่อทำอะไรน่ะ ผมกำลังจะประมูลของชิ้นนี้นะ”


“เหลวไหล ฉันหรือจะไม่รู้ว่าแกมาที่นี่ทำไม?”


เยี่ยตงผิงมองลูกชายอย่างอารมณ์เสีย กล่าวว่า “จะซื้อของก็ต้องต่อราคาทั้งนั้น ลูกจะรีบร้อนไปทำไมกัน รอมันจะหลุดประมูลแล้วค่อยยกมือก็ยังไม่สาย!”


เยี่ยตงผิงค้าขายของโบราณมาสิบกว่าปี เคยไปร่วมงานประมูลมานับไม่ถ้วน มีประสบการณ์การรับมือกับนักประมูลอย่างโชกโชน


เยี่ยตงผิงรู้ว่า ตอนเปิดประมูล จะต้องไม่แสดงออกว่ามีท่าทีต้องการต่อสิ่งของชิ้นนั้น ไม่อย่างนั้นนักประมูลจะมีวิธีถลุงเงินออกจากกระเป๋ากางเกงมากขึ้น


เยี่ยเทียนเองก็เป็นคนหัวไว พอพ่อพูดแบบนี้ ก็เข้าใจในทันใด สงบอารมณ์นั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น ถึงแม้เขาจะไม่ขาดเงินแต่ก็จะไม่ยอมโดนฝรั่งหลอกฟัน


“เยี่ยเทียน?”


ถังเหวินหย่วนที่นั่งด้านซ้ายของเยี่ยเทียน ใช้แขนกระทุ้งเขาเบาๆ ตัวเอกของงานประมูลวันนี้คือเยี่ยเทียน ถังเหวิน   หย่วนจึงไม่อยากทำเกินหน้าเกินตา


“รอก่อนครับ…” เยี่ยเทียนส่ายหน้าน้อยๆ ถึงแม้ว่าพลังของเขาจะหายไปจนหมด แต่สภาพจิตกลับมั่นคงขึ้นไม่น้อย ความสามารถในการสงบสติอารมณ์นั้นห่างไกลเกินกว่าคนธรรมดาจะเปรียบเทียบได้


“หกเล่มมูลค่าถึงสามแสนสองหมื่น นี่ค่อนข้างจะแพงไปหรือเปล่า?”


“นั่นน่ะสิ ผลงานของจางต้าเชียนยังขายแค่แปดหมื่นหยวน แค่ตำราไม่กี่เล่มนี้ราคาสูงได้ขนาดนั้นเชียวหรือ?”


หลังจากที่เฮนรี่ประกาศราคาสามแสนสองหมื่นเหรียญฮ่องกงแล้ว ภายในงานประมูลก็เงียบลงครู่หนึ่ง เหล่าคนที่เดิมทีมีความสนใจภาพเขียนหรือตำราโบราณ ต่างฮือฮากันขึ้นมา


ต้องเข้าใจก่อนว่า งานประมูลในปี 2000 นี้ ถึงแม้ตลาดศิลปวัตถุจะเป็นที่นิยมขึ้นในทุกๆ วัน แต่ราคาของวัตถุโบราณประเภทภาพเขียนก็ไม่ได้สูงค่านัก มีตลาดประมูลหลายแห่งเปิดแสดงภาพเขียนอันวิจิตรงดงาม แต่กลับมีราคาเพียงหมื่นหรือแสนเหรียญฮ่องกง


อีกทั้งสมบัติอย่างตำราโบราณชนิดนี้ ยิ่งถูกแยกประเภทออกมาอีก กลุ่มคนที่สะสมมีน้อยมาก สถิติการหลุดประมูลในงานที่ผ่านมาจึงมีสูง


ในงานประมูลทั่วไป จากสภาพตำราโบราณหกเล่มนี้ สามารถเสนอราคาได้ประมาณห้าหมื่นถึงแปดหมื่นเหรียญฮ่องกงเท่านั้น สูงสุดก็ไม่เกินหนึ่งแสน


แต่ราคาประมูลของเฮนรี่กลับสูงถึงสามแสนสามหมื่น สูงกว่าราคาในตลาดทั่วไปหลายต่อหลายเท่า นั่นทำให้ผู้มีความตั้งใจซื้อตำราทั้งหลายเกิดไม่พอใจขึ้นมาทันที


“พวกนายต่างหากที่ไม่เข้าใจ ช่วงนี้ท่านผู้เฒ่าถังกว้านประมูลซื้อสินค้าชนิดนี้อยู่ น่ากลัวว่าคริสตี้คงจะไปแอบได้ยินมานะสิ?”


“ฉันว่าแล้ว มิน่าล่ะถึงโก่งราคาสูง ที่แท้ก็จ้องผู้เฒ่าถังอยู่นั่นเอง?”


“เฮ้อ ผู้เฒ่าถังมีทุกอย่างเพียบพร้อมขนาดนั้น จะมาแย่งของชิ้นนี้กับพวกเราทำไมกัน ของสะสมตำราโบราณไม่ได้กำลังเป็นที่นิยมซะหน่อย”


ช่วงเวลาที่ผ่านมาถังเหวินหย่วนกว้านซื้อตำราโบราณจากตลาดประมูลทั่วทุกทิศ ดึงดูดความสนใจจากผู้คนไม่น้อย ปัจจุบันเมื่อเชื่อมโยงราคาสามแสนสองหมื่นเข้ากับท่านผู้เฒ่าถังแล้ว จึงเริ่มมีคนเข้าใจที่มาที่ไป


ทางฝั่งถังเหวินหย่วนไม่ส่งเสียงใดๆ ส่วนอีกฝั่งที่เป็นผู้ซื้อและมีเจตนาจะซื้อเหล่านั้นก็รังเกียจราคาสูงลิบลิ่ว ดังนั้นหลังจากเฮนรี่เปิดราคาต่ำสุดผ่านไปนาทีกว่า บรรยากาศทั้งงานกลับเย็นชืดลงทันใด


เมื่อเห็นบรรยากาศภายในงานเงียบสงบ ใจของเฮนรี่ก็สั่นไหว สายตาเหลือบมองไปยังถังเหวินหย่วนโดยไม่ตั้งใจ


ผู้คนด้านล่างเวทีคาดเดาไว้ไม่ผิด ช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่ถังเหวินหย่วนกว้านซื้อตำราโบราณเหล่านั้น ถึงขั้นมีบางครั้งที่ถูกเสนอราคาออกไปอย่างไร้เหตุผล  ของชิ้นละราคาสามแสนห้าหมื่น แต่เขากลับปั่นจนถึงสามล้านห้าแสน


คนที่มีสถานภาพระดับถังเหวินหย่วน แม้เขาจะเข้าร่วมงานประมูลเพียงครั้งเดียว ก็ยังถูกคริสตี้บันทึกเอาไว้ในบัญชีแขกสำคัญ ยิ่งในช่วงเวลาที่ผ่านมาเขาใช้จ่ายแบบไม่ยั้ง จึงถูกเฮนรี่จับตามองไว้แต่แรกแล้ว


ดังนั้นตอนเรียบเรียงและจัดอันดับรายการสินค้า เฮนรี่จึงตัดความความเป็นไปได้ทุกอย่างออก นำตำราทั้งหกเล่มนี้ไว้อยู่หน้าสุด เขาเชื่อมั่นว่าด้วยท่าทีของถังเหวินหย่วนในช่วงนี้ จะต้องสามารถประมูลออกไปในราคาที่สูงลิบลิ่วแน่นอน


เพียงแต่ที่เฮนรี่ไม่ได้คาดคิดไว้ก็คือ ถังเหวินหย่วนที่อยู่ด้านล่างเวทีกลับไม่มีความคิดจะชูหมายเลขขึ้นแม้แต่น้อย


และยิ่งสำหรับคนอื่น ราคานี้ยังไม่อาจทำให้พวกเขาพึงพอใจ ด้วยเหตุนี้แม้แต่เฮนรี่ยังลนลานขึ้นมาเล็กน้อย  หนึ่งนาทีผ่านไปเมื่อไม่มีใครเสนอราคา ความเป็นไปได้ที่สินค้าประมูลชิ้นนี้จะหลุดประมูลจึงมีสูงมาก


“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรีครับ ที่ตำราโบราณหกเล่มมีราคาสูงถึงขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะพวกมันเป็นตำราชุดสุดท้าย ผมสามารถรับประกันได้ว่าบนโลกใบนี้ไม่มีตำราเหมือนกับพวกมันอีกแล้ว ราคาสามแสนสองหมื่นเหรียญฮ่องกงจึงเป็นราคาที่คุ้มค่าจริงๆ!”


แม้ว่าเฮนรี่จะทุ่มเทนำเสนอตำราโบราณหกเล่มนี้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่า คนที่อยู่ด้านล่างเวทีไม่สนใจจะซื้อ กระทั่งถังเหวินหย่วน ยังไม่มีความคิดจะชูหมายเลขขึ้นมาแม้แต่นิดเดียว


คราวนี้เฮนรี่ชักวิตกกังวลขึ้นมาจริงๆ เวลาผ่านไปถึงสามนาทีแล้ว ถ้าหากยังไม่มีใครชูหมายเลขขึ้นมาล่ะก็ เขาจะต้องประกาศหลุดประมูล และนั่นจะกลายเป็น จุดด่างพร้อยสำหรับประมูลคริสตี้อย่างเขา


“บัดซบ ชาวจีนพวกนี้มันจิ้งจอกเฒ่าชัดๆ!”


แน่นอนว่า เหตุการณ์นี้เป็นเรื่องที่เฮนรี่ไม่อาจทนยอมรับได้ สายตาเขามองไปยังร่างของคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงมุมแถวที่สี่ นิ้วก้อยข้างขวาเคาะลงบนโต๊ะประมูลสามครั้งโดยบังเอิญ


“สามแสนสองหมื่นเหรียญ ผมเอา!”


ด้วยท่าทางที่เฮนรี่แสดงออกไปเมื่อครู่ ทำให้ชายผู้นั้นชูหมายเลขในมือขึ้นมา ดึงดูดสายตาผู้คนให้หันไปมองทางเขา


“นั่นใครน่ะ?”


“ไม่เคยเห็นเลย เป็นคนในแผ่นดินใหญ่ละมั้ง?”


“ประมูลของชิ้นนี้ในราคาสามแสนสองหมื่น นึกว่าจะเป็นผู้เฒ่าถังเสียอีก?”


การชูป้ายของผู้ชายคนนั้น กระตุ้นให้เกิดเสียงหัวเราะขบขันภายในงาน หากพูดถึงราคาตลาด ตำราเหล่านี้ไม่ได้มีมูลค่าสูงถึงขนาดนั้น นี่จึงไม่ใช่การแลกเปลี่ยนที่ประสบความสำเร็จราคาเท่าไหร่


“ได้ครับ คุณชายท่านนี้เสนอราคาสามแสนสองหมื่นหยวน ถ้าหากยังไม่มีใครเสนอราคา งั้นตำราหกเล่มนี้จะกลายเป็นของคุณชายท่านนี้แล้วครับ!”


หลังจากที่ชายคนนั้นเสนอราคา สีหน้าของเฮนรี่ที่อยู่บนเวทีก็แสดงความดีใจออกมา แต่หากเป็นคนช่างสังเกต จะสามารถมองเห็นความตื่นตระหนกจากภายในดวงตาของเขา


คนผู้นี้ ความจริงแล้วเป็นหน้าม้าที่เฮนรี่จัดหามา ประโยชน์ของหน้าม้านั้นเดิมทีไว้ใช้เพื่อตะโกนโก่งราคา แต่ว่าเมื่อสินค้าชิ้นนี้ไม่มีใครเริ่มเปิดราคา เฮนรี่จึงต้องพนันกันสักตั้ง


เยี่ยตงผิงเองก็มองจุดนี้ออก จึงกระซิบข้างหูลูกชายว่า “เยี่ยเทียน คนนั้นน่าจะเป็นหน้าม้า”


“พ่อ เอาเถอะครับ ขอให้เขาเป็นหน้าม้า ผมก็ยอมแล้ว!”


 เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะออกมา ตำราหกเล่มนั้นมีความสำคัญกับเขามากเหลือเกิน ถ้าหากภายในมีเคล็ดวิชาหลอมจิตกลับสู่ความว่างจริงล่ะก็ อย่าว่าแต่สามแสนสองหมื่นเหรียญฮ่องกงเลย ต่อให้เป็นสามสิบล้านสองแสน เยี่ยเทียนก็สามารถควักออกมาจ่ายภายในพริบตาเดียว


ความจริงก่อนหน้านี้เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงสายตาและการเต้นหัวใจของเฮนรี่ แต่ครั้งนี้เขาเดิมพันไม่ได้จริงๆ ยินยอมจ่ายเงินมากหน่อย เพื่อที่จะได้คว้าของชิ้นนี้เข้ากระเป๋า


“สามแสนสามหมื่นเหรียญฮ่องกง!”


ตอนที่บนเวทีตะโกนว่า “สามแสนสองหมื่นครั้งที่หนึ่ง” เยี่ยเทียนก็ชูหมายเลขขึ้นในที่สุด เขาถือป้ายของซ่งเวยหลัน บนป้ายแสดงหมายเลข 1 อย่างชัดเจน


“ตกลงครับ คุณชายท่านนี้เสนอราคาสามแสนสามหมื่น ดูเหมือนว่ายังมีคนที่รู้ถึงคุณค่าของตำราทั้งหกเล่มนี้ สามแสนสามหมื่นเหรียญฮ่องกง ยังมีใครเสนอราคาอีกไหมครับ?”


เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งชูป้ายขึ้น แต่กลับไม่ใช่ถังเหวินหย่วน เฮนรี่ที่อยู่บนเวทีก็ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง แต่เมื่อเห็นหมายเลขบนป้ายนั้นแล้ว สายตาของเขายังอดเหลือบไปมองยังซ่งเวยหลันไม่ได้


ถึงแม้จะเตรียมการมาอย่างดีก่อนเริ่มงาน แต่เฮนรี่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่า ซ่งเวยหลันที่มักเข้าร่วมประมูลในงานการกุศลอย่างเดียวเท่านั้น จู่ๆ ทำไมถึงเข้าร่วมงานประมูลครั้งนี้


ตอนนี้ในใจเขาพอเข้าใจมาบ้างแล้ว บางทีคงเป็นเพราะเจ้าหนุ่มนี่นั่นเอง


เมื่อคิดถึงตรงนี้ แววตาของเฮนรี่ก็เปล่งประกายขึ้นมา นิ้วก้อยมือขวาแอบเคาะลงบนมุมโต๊ะประมูลอย่างแผ่วเบาห้าครั้ง


“ผมเสนอสามแสนแปดหมื่นเหรียญฮ่องกง!” คนที่ชูหมายเลขเมื่อครู่นั้น เสนอราคาใหม่ขึ้นมาอีก ทั้งยังเพิ่มถึงห้าหมื่น


 ในฐานะนักประมูลที่ประสบความสำเร็จ ไม่ต้องสงสัยว่าความสามารถด้านจิตวิทยาของเฮนรี่นั้นยอดเยี่ยม หลังจากผ่านเหตุการณ์เกือบหลุดประมูลมาแล้ว เขากลับกล้าให้หน้าม้าเพิ่มราคาสูงขึ้นไปอีก


“ห้าแสนเหรียญฮ่องกง” เยี่ยเทียนชูมือ บวกราคาเพิ่มสูงขึ้นไปอีกหนึ่งแสนสองหมื่น เขาไม่ใช่คนค้าขาย เพียงแค่คิดว่าเงินนี้จ่ายไหวเท่านั้น


“คุณชายท่านนี้เสนอราคาห้าแสนเหรียญฮ่องกง สหายเมื่อครู่ยังจะเสนอราคาอีกไหมครับ?”


เฮนรี่รู้ว่าตัวเองพนันได้ถูกต้อง ในใจถึงแม้จะลิงโลด แต่ใบหน้ายังคงนิ่งเฉยไม่เปลี่ยนแปลง นิ้วนางบนมือข้างขวา เคาะลงบนโต๊ะเบาๆ อีกครั้ง


“ผมชอบค้นคว้าวัฒนธรรมลัทธิเต๋า ผมขอเสนอหนึ่งล้าน!” หลังจากได้รหัสลับจากเฮนรี่แล้ว ชายคนนั้นก็เพิ่มราคาขึ้นอีกเท่าตัว ความจริงคำพูดของเขา ล้วนถูกเตรียมการเอาไว้ก่อนหมดแล้ว


“ให้ตายสิ จะหลอกฟันกันจริงๆ หรือไง?”


หลังจากเห็นท่าทีของคนนั้นแล้ว เยี่ยเทียนก็ออกจะโมโหขึ้นมา คนอื่นมองการกระทำของเฮนรี่ไม่ออก แต่ภายใต้ความสามารถการอ่านใจของเขา การขยับนิ้วมือขวาเล็กน้อยของเฮนรี่ ไม่ได้หลุดรอดจากสายตาของเยี่ยเทียนเลย


คราวนี้เยี่ยเทียนจึงไม่ชูป้ายอีก แต่หัวเราะขึ้นมา มองไปยังเฮนรี่บนเวทีแล้วกล่าวว่า “คุณเฮนรี่ ถ้าหากผมไม่เสนอราคาต่อ ไม่รู้ว่าจะมีใครเช็คบิลเพื่อของชิ้นนี้ในราคาหนึ่งล้าน?”


“คุณผู้ชายครับ ถ้าหากคุณไม่เสนอราคาแล้ว แน่นอนว่าของประมูลชิ้นนี้จะกลายเป็นของคุณชายท่านนั้น” หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน เฮนรี่ก็ตกใจจนเหงื่อซึมไปทั้งร่าง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)