หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 674-677
บทที่ 674 ศิษย์พี่ ท่านยังอยู่ไหม
คมกระบี่เดียวฟันตัดผ่านแขน!
แสงกระบี่พุ่งผ่านแขนเกล็ดสีแดงที่กำลังยื่นไปหาหวังเป่าเล่อ ฟันข้อมือจนขาด ฝ่ามือแตกสลายกลายเป็นโลหิตมายาไหลตรงไปยังแขนที่ถูกฟันขาด
แต่มันก็ไม่อาจทำเช่นนั้นได้ คมกระบี่ที่เฉือนแขนจนขาดฉายแสงขึ้นอีกครั้ง พลังแกร่งกล้าพลันจุติลงมาจากฟากฟ้าเหมือนมีหัตถ์ที่มองไม่เห็นเอื้อมลงมากวาดโลหิตออกไป ไม่ให้ไหลกลับเข้าสู่แขน
โลหิตพุ่งไปทางหวังเป่าเล่อแทน จิตของเจ้าของโลหิตถูกชำระล้างไปสิ้นจนตอนนี้มันไม่ใช่โลหิตของผู้ใด โลหิตที่กระเด็นมาปลดปล่อยพลังแปลกประหลาดที่เหมือนจะแปรเปลี่ยนเป็นโลหิตเสริมพลังเข้าผสานกับแก่นในอัสนี แก่นในแห่งความมืด และร่างกายของชายหนุ่มได้อย่างราบรื่น!
หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มจากโลหิตที่ไหลเวียนเข้ามา เขาพยายามต้านทานดาวเคราะห์ไว้อย่างทุลักทุเล โดยต้องปลดปล่อยพลังงานทั้งหมดมาช่วยเสริม แต่สติที่เหนื่อยล้ากลับรู้สึกเหมือนได้โอสถชั้นเลิศมาช่วยเสริมพลัง สติของเขาพลันกระจ่างในทันใด แม้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจะชวนให้ตื่นตะลึง แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีเวลามัวมาคิดอะไรให้มากความ โลหิตที่ไหลเข้าสู่ร่างนั้นอัดแน่นไปด้วยพลังชีวิต
แก่นในอัสนีและแก่นในแห่งความมืดที่ได้รับการบำรุงจากแหล่งพลังเข้มข้นแปรเปลี่ยนเป็นมหาสมุทรถาโถมเข้าภายในใจ เสียงกลองยักษ์ดังขึ้นในหัว ชายหนุ่มตัวสั่นจากโชคที่ร่วงหล่นใส่โดยไม่ทันตั้งตัว เขาร้องคำรามและส่งคลื่นพลังชีวิตที่ไหลหลากเข้ามาไปทั่วร่างเพื่อบรรลุขั้นการฝึกตน
“บรรลุ!”
ร่างของเขาส่องแสงเรืองรองขณะที่วิญญาณจุติดวงดาราค่อยๆ ก่อตัวขึ้นภายในร่าง ไม่นานพลังของวิญญาณจุติดวงดาราก็ปะทุขึ้น ชายหนุ่มแปรเปลี่ยนเป็นดวงดาราในทันใด ปราณวิญญาณเริ่มทวีคูณความแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
เสียงกัมปนาทดังก้องในหัวไม่หยุด เสียงร้องคำรามดังสะท้อนขึ้นไปถึงสรวงสวรรค์!
ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงพลังกล้าแกร่งที่เพิ่มพูนขึ้นภายใน เขาหายใจถี่รัวและปลดปล่อยทุกอย่างที่มีอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะเป็นพลังปราณ พลังกาย แก่นในอัสนี และแก่นในแห่งความมืด เพื่อบรรลุขั้นการฝึกตน!
หวังเป่าเล่อในตอนนี้เป็นเหมือนดวงดาราที่กำลังถือกำเนิด แสงส่องสว่างเป็นวงรัศมีรอบตัวค่อยๆ เจิดจ้าขึ้น ไม่นานดาวเคราะห์เบื้องหน้าเขาก็เริ่มสั่นไหว การต้านกำลังกันจากทั้งสองฝ่ายกำลังจะพังทลายลง ดวงดาราของหวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังออกมาเต็มขั้น ดาวดวงหนึ่งกำลังจะถือกำเนิดขึ้น!
ทุกอย่างเหมือนจะเกิดขึ้นเป็นภาพช้าๆ แต่จริงๆ แล้ว ตั้งแต่การโจมตีของเฉินชิงไปจนถึงการดูดซับโลหิตจวบจนดวงดาวที่ตื่นพลังขึ้นล้วนเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา และขณะที่พลังของดวงดาวกำลังจะปลดปล่อยออกมาเต็มขั้นนั้นเอง…
เสียงคำรามด้วยความเกรี้ยวกราดและเจ็บปวดก็ดังผ่านห้วงอวกาศมา น้ำเสียงฟังดูตื่นกลัว พลังวิญญาณของหวังเป่าเล่อเริ่มสั่นคลอน
“มาส่งของเสร็จแล้วยังไม่ไปอีก จะอยู่กินข้าวเย็นด้วยหรืออย่างไร” เสียงของเฉินชิงดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน ตามมาด้วยแสงของคมกระบี่ที่ปรากฏขึ้นและหายวับไปในพริบตาต่อมาก เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นขึ้น
“ไสหัวไป ถ้ายังส่งเสียงอีก ข้าจะฆ่าเจ้าทิ้งเสีย!” เฉินชิงแค่นเสียงไม่พอใจก่อนจะพูดขึ้นอย่างเย็นชา ขัดเสียงร้องโหยหวนที่ดังก้องในอากาศ
ห้วงความว่างเปล่าสั่นคลอน ผืนจักรวาลที่พวกเขาอยู่สั่นสะเทือน ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องก็เงียบไป แม้จะยังเจ็บแค้น แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงใดๆ ออกมาอีก มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลับออกไป
แขนด้วนหายวับไปพร้อมตัวตนนั้น ราวกับว่าตัวตนที่ไม่รู้จักดังกล่าวไม่เคยย่างกรายเข้ามา ครู่ต่อมา ทุกอย่างให้ผืนจักรวาลนี้ก็ดำเนินต่อไปอีกครั้ง
พอไม่มีใครมาขัดขวาง หวังเป่าเล่อก็ร้องคำรามเสียงดุดันแหวกห้วงอวกาศ แสงมารวมตัวกันนอกร่างกายของเขาและพวยพุ่งออกไปรอบด้าน สว่างเจิดจ้าจนแสบตาไปไกล ดวงไฟเรืองแสงสุกสว่างเหมือนดังดวงอาทิตย์และดวงดาวที่เพิ่งถือกำเนิด เสียงปริแตกเหมือนเปลือกไข่ร้าวดังก้องห้วงอวกาศ
“บอกว่าให้บรรลุไง!” ชายหนุ่มร้องคำราม พลังปราณเพิ่มพูนขึ้นในทันที จนบรรลุจากขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ไปสู่ขั้นจุติวิญญาณ!
พลังของดวงดาราพุ่งขึ้นสูงถึงสรวงสวรรค์ทันใดที่ชายหนุ่มบรรลุขั้นจุติวิญญาณ ด้านในดวงแสงเห็นเป็นร่างเล็กจิ๋วกำลังเหยียดแขนขา ร่างนั้นคือวิญญาณจุตินั่นเอง!
มันคือหนึ่งในห้าวิญญาณจุติในตำนาน วิชาต้องห้าม วิญญาณจุติดวงดารา!
สัมผัสพลังที่ไม่เคยพบมาก่อนก่อตัวขึ้นในร่างของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกราวกับว่าตนมีพลังควบคุมดวงดาราและสามารถท่องผ่านห้วงอวกาศได้ ชายหนุ่มหายใจถี่รัว เห็นตัวตนคุ้นเคยอยู่ไกลห่างออกไป ตัวตนนั้นยกมือที่ถือน้ำเต้าอยู่ขึ้นทักทาย
“ศิษย์พี่…” หวังเป่าเล่อเบิกตากว้างขณะพูดพึมพำ ร่างคุ้นเคยไม่รอให้ชายหนุ่มได้พูดต่อ เขาตวัดแขนเสื้อ พลันดาวเคราะห์เบื้องหน้าและห้วงความว่างเปล่าก็เริ่มสั่นไหว ทุกสิ่งเริ่มเลือนรางก่อนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ!
พลังแกร่งกล้าพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่ม พัดพาเขาลงไปยังหุบเหวไร้ที่สิ้นสุดก่อนจะหายวับไป
ก่อนพลังจะหายไปทั้งหมด เสียงของเฉินชิงก็ดังขึ้นในหัวที่อื้ออึงของชายหนุ่ม
“ศิษย์น้องที่รัก เจ้าเหลือเวลาไม่มากแล้ว ข้า…จะมารับเจ้าไปเร็วๆ นี้”
ห้วงความว่างเปล่าเริ่มเลือนหายไปพร้อมหวังเป่าเล่อ ทุกอย่างเริ่มมืดดำ เฉินชิงยกน้ำเต้าขึ้นซด เขาหันไปร้องเพลงอย่างยินดีปรีดา
“เมื่อสวรรค์และพื้นพิภพแยกจากกัน กงล้อแห่งโชคชะตาหยุดนิ่ง…”
“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่บังเกิดในอดีต เขาผู้ซึ่งทนทุกข์นั้น…”
“เมื่อครั้นได้รับรู้สิ่งที่จะเกิดในอนาคต เขาผู้ซึ่งทำงานหนักนั้น… ”
เป็นเพลงโบราณที่ฟังดูเก่าแก่ยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อชายหนุ่มเป็นคนร้อง ขณะที่กำลังจะหายวับไปในความมืด เขาก็พลันตัวแข็งทื่อ ก่อนจะหันไปจ้องตรงทิศทางหนึ่ง ราวกับว่าสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง
สายตาของเขามองทอดผ่านห้วงอวกาศไปหยุดอยู่ตรงระบบสุริยะที่มีกระบี่สำริดเขียวโบราณหลับใหลอยู่ เขาจ้องอยู่เนิ่นนานก่อนจะหัวเราะออกมา
โอหังจริงๆ ทั้งที่เป็นแค่เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า เอาเถอะ ได้เป็นตัวช่วยให้ศิษย์น้องของข้าเติบโตขึ้น ก็ถือว่าไม่เลวเท่าไหร่ เฉินชิงยิ้ม ก่อนจะหันกลับและเดินหายวับไปในความมืดมิด
ณ ปลายกระบี่สำริดเขียวโบราณ บริเวณที่พบวังทั้งสาม หวังเป่าเล่อปรากฏตัวอีกครั้งด้านนอกวังศิษย์แห่งเต๋าท่ามกลางแสงจ้า เขาเงยหน้าขึ้นมองรอบตัวด้วยลมหายใจถี่รัว
“ศิษย์พี่…” หวังเป่าเล่อพึมพำขึ้น จากนั้นก็เงียบไป เขานึกถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่บุกไปยังเรือบินรบ เริ่มตระหนักถึงสิ่งที่ไม่เข้าเค้าหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ศึกครั้งสุดท้ายกับโยวหรันทำให้ชายหนุ่มนึกอะไรบางอย่างออก
ขณะที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ความคิด ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าแม่นางน้อยที่อยู่ในหน้ากากตื่นตกใจเพียงใด คำว่าตื่นตกใจอาจเบาเกินไปที่จะอธิบายความรู้สึกของนางในตอนนี้เสียด้วยซ้ำ
เจ้าอ้วนน้อยนี่…สร้างวิญญาณจุติดวงดาราได้เฉยเลย!
บิดาข้าบอกว่ามีเพียงคนบ้าเท่านั้นที่จะเลือกวิญญาณจุตินี้ เจ้าอ้วนบ้านี่… แม่นางน้อยคลั่งไป ไม่ได้เป็นเพราะความอิจฉา แต่เป็นเพราะสิ่งที่นางเคยพูดไปก่อนหน้า ความรู้สึกที่ว่าคำพูดของนางมีพลังบางอย่างที่สามารถเปลี่ยนเป็นความจริงได้ถาโถมเข้าสู่ความคิดของแม่นางน้อยอีกครั้ง ทุกครั้งที่นางพูดอะไรบางอย่างซึ่งเกินความสามารถของชายหนุ่ม เขาก็จะทำได้สำเร็จเสมอ แม่นางน้อยเริ่มตื่นกลัวขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่เห็นจะเก่งอะไรเลย ก็แค่พึ่งพาบารมีศิษย์พี่ก็เท่านั้น!” แม่นางน้อยพึมพำขึ้นด้วยความหวาดกลัวเล็กน้อย
ผ่านไปสักพัก เมื่อหวังเป่าเล่อพบคำตอบของเรื่องราวต่างๆ เขาก็สูดหายใจลึก เหตุการณ์ทั้งหมดนำเขาไปสู่การค้นพบครั้งสำคัญ
ศิษย์พี่ชอบสอดแนม เขาเฝ้าดูทุกอย่างมาสักพักแล้ว! คิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็หันไปสำรวจรอบตัวอีกครั้ง ดวงตาเขาเลื่อนไปหยุดอยู่ตรงวังลำดับสาม จากนั้นก็กะพริบตาและกระแอมกระไอขึ้น
“ศิษย์พี่ ช่วยศิษย์น้องผู้แสนหล่อเหลาปลดผนึกวังลำดับสามได้หรือไม่” หวังเป่าเล่อพูดขึ้น จากนั้นก็ตั้งตาคอยด้วยความคาดหวัง แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นอีกด้วยสีหน้าออดอ้อน
“ศิษย์พี่ที่รัก นี่คือศิษย์น้องผู้แสนสำคัญของท่านที่ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวและทนลำบากมานานหลายปี ศิษย์พี่ ระดับพลังปราณของท่านนั้นไม่มีใครเทียบได้ ฝีดาบก็ช่ำชองไม่มีใครเกิน โปรดช่วยข้าปลดผนึกวังลำดับสามทีเถิด
“ศิษย์พี่ เลิกทดสอบข้าเสียทีแล้วปลดผนึกวังลำดับสามเสีย
“ศิษย์พี่ ข้าเริ่มโกรธแล้วนะ!
“ศิษย์พี่…ท่านยังอยู่ไหม”
บทที่ 675 ตราบเท่าที่มีดวงดารา!
หวังเป่าเล่อเกาหัวและหันมองรอบๆ ไม่ว่าจะร้องขอสักเพียงใดก็ไม่มีการตอบกลับจากศิษย์พี่ที่ชอบแอบเฝ้าดู เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าศิษย์พี่ที่บังเอิญเจอกันได้จากไปแล้วหรืออย่างไร…
ไม่มีทาง เขาไปแล้วจริงๆ หรือ ชายหนุ่มกะพริบตา พยายามเรียกหาศิษย์พี่อีกสองสามครั้ง แต่ก็ไม่ได้รับการตอบกลับ เขาถอนใจ ศิษย์พี่ของตนน่าจะจากไปแล้ว ถึงแม้จะยังอยู่ ก็ดูเหมือนว่าไม่น่าจะมาปรากฏตัวต่อหน้าหวังเป่าเล่อ
“เช่นนั้นก็ได้ หวังเป่าเล่อผู้นี้พึ่งพาความสามารถของตนเองมาโดยตลอด คงจะเป็นชะตาลิขิตเอาไว้ไม่ให้ข้าใช้ทางลัดหรือคอยพึ่งพาผู้อื่น” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำ พยายามปลอบใจตนเอง เขาไม่ได้สนใจเสียงแค่นจมูกเบาๆ ของแม่นางน้อยที่ดังขึ้นหลังจากตนพูดจบ
ชายหนุ่มมาถึงจุดที่สามารถเพิกเฉยต่อคำดูหมิ่นของแม่นางน้อยที่โพล่งออกมาด้วยความริษยา นอกจากนี้หวังเป่าเล่อยังเป็นคนมองโลกในแง่ดี แม้จะถอนใจให้กลับสถานการณ์ในปัจจุบัน แต่เขาก็ก้าวข้ามความรู้สึกนั้นได้อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นเรื่อยๆ หลังจากตรวจสอบระดับการฝึกตนของตัวเอง
ขั้นจุติวิญญาณ! หวังเป่าเล่อแสนสุขใจ ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขาพบว่าตนเองนั้นแข็งแกร่งขึ้นกว่าตอนอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในมาก ความแตกต่างนั้นเกินจะบรรยายได้ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกตื่นเต้นหนักขึ้นเรื่อยๆ
ข้าควรจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียน ไม่มั่นใจในตัวเองเกินไป ข้าควรฟังอีกฝ่ายให้ครบถ้วนก่อนจะตัดสินใจอะไรลงไป ชายหนุ่มนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวังศิษย์แห่งเต๋าและหาข้อสรุปอย่างจริงจัง เขายังไม่ได้เริ่มคิดหาทางเข้าไปในวังลำดับสาม หากแต่นั่งขัดสมาธิลงและเริ่มปรับสมดุลพลังปราณของตนเอง
เมล็ดดูดกลืน ดอกบัวสีเขียว และฝักกระบี่ได้กลับสู่ร่างกายเขาครบหมดแล้ว ตอนนี้มีร่างเล็กจิ๋วบนดอกบัวสีเขียวเพิ่มขึ้นมา เป็นร่างมนุษย์โปร่งใสส่องแสงแจ่มจรัส รูปร่างของมัน…ดูอ้วนท้วน ดูแล้วเหมือนหวังเป่าเล่อกำลังนั่งหน้าขรึมอยู่บนดอกบัวสีเขียวไม่มีผิด
ฝักกระบี่นั้นหดลงไปมาก มันหมุนวนรอบวิญญาณจุติ ปลดปล่อยพลังรัศมีน่าพรั่นพรึง เมล็ดดูดกลืนเปล่งแสงคล้ายคลึงกัน มันหมุนรอบตัวเองตามจังหวะการหายใจของชายหนุ่ม
ราวกับว่าเขาคือศูนย์กลางทุกอย่าง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดล้วนอยู่ภายใต้อำนาจของเขา!
หัวใจของชายหนุ่มเต้นถี่รัว รู้สึกเหมือนตัวเองเพิ่งได้ขึ้นเป็นผู้ปกครองสิ่งมีชีวิตทุกตน เมื่อพลังปราณสมดุลแล้ว เขาก็เริ่มศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณจุติดวงดาราที่ไหลหลากเข้าสู่หัวก่อนหน้านี้
ผ่านไปพักใหญ่กว่าหวังเป่าเล่อจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ความตื่นเต้นในแววตายังไม่หายไปไหน แต่กลับเด่นชัดมากยิ่งขึ้น ขณะที่พลังปราณในกายกลับมาอยู่ในสภาพสมดุล หลังจากศึกษาข้อมูลมากมายในหัวก็ได้พบความรู้ใหม่ที่ทำให้หัวใจเต้นระส่ำ
วิญญาณจุติดวงดารา…แข็งแกร่งขนาดนี้เลยหรือ ชายหนุ่มหายใจถี่รัว ยังคงตกอยู่ในอาการไม่อยากเชื่อแม้จะยืนยันกับข้อมูลในหัวอยู่หลายครั้ง ที่วิญญาณจุติดวงดาราได้ชื่อว่าเป็นวิชาต้องห้ามไม่ได้มาจากความยากในการฝึกเพียงอย่างเดียว แต่มาจากความแข็งแกร่งของมันด้วยเช่นกัน!
วิญญาณจุติดวงดารานั้นเกิดจากการชนกันกับดาวเคราะห์ ทำให้มีคุณสมบัติเฉพาะตัวที่วิญญาณจุติอื่นไม่มี อาจจะชัดเจนกว่าถ้าจะเรียกมันว่าคุณสมบัติภายใน
ด้วยคุณสมบัติภายในนี้…ทำให้ยิ่งผู้ฝึกตนเข้าใกล้ดาวเคราะห์มากเท่าใดก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นมากเท่านั้น โดยจะได้รับการเสริมพลังจากหมู่ดาวเคราะห์ บางคนอาจเถียงว่าผู้ครอบครองวิญญาณจุติดวงดารานั้นสามารถดูดซับพลังจากดาวเคราะห์ได้…สรุปก็คือ ผู้ฝึกตนที่มีวิญญาณจุติดวงดาราจะเก่งกาจในการสู้รบเมื่อมีดาวเคราะห์อยู่ใกล้ๆ
จริงๆ แล้ว…พลังที่ได้เสริมมานั้นจะเพิ่มพูนขึ้นตามขนาดและความพิเศษเฉพาะตัวของดาวเคราะห์ จากข้อมูลที่หวังเป่าเล่อได้มาพบว่า…การเสริมพลังนั้นไร้ซึ่งขีดจำกัด ขีดจำกัดเพียงอย่างเดียวคือขนาดของดาวเคราะห์ที่ได้อยู่ใกล้!
ตามทฤษฎีแล้ว หากมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ไร้ขอบเขตและไม่สามารถทำลายลงได้อยู่จริง หวังเป่าเล่อก็จะมีสถานะใกล้เคียงกับความเป็นอมตะแค่เพียงอยู่ใกล้ๆ ดาวเคราะห์ดวงนั้น
นี่คือพลังของหนึ่งในห้าวิญญาณจุติในตำนาน วิชาต้องห้าม…วิญญาณจุติดวงดารา!
เยี่ยมไปเลย! หวังเป่าเล่อใจเต้นถี่รัว หายใจติดขัด แทบทำใจเชื่อไม่ได้ว่าจะดวงดีถึงเพียงนี้ ต้องใช้เวลาอยู่พักหนึ่งถึงจะตระหนักได้ว่าตนแข็งแกร่งขึ้นเพียงใด เขาเงยหน้าขึ้นมองฟ้าและหัวเราะเสียงดัง ในใจรู้สึกฮึกเหิม ความเหนื่อยยากทั้งหมดที่ทุ่มเทไปได้ผลตอบแทนกลับมาอย่างคุ้มค่า
“สวรรค์ช่างยุติธรรม โลกใบนี้อาจจะเต็มไปด้วยคนที่ได้อะไรมาโดยไม่ต้องพยายาม หรือไม่ก็คนที่บังเอิญได้ดิบได้ดีเพราะโชคช่วย แต่…โชคชะตาก็ไม่ได้ละทิ้งผู้ที่ตรากตรำอย่างหนัก!”
แม่นางน้อยเห็นใบหน้าผยองและสิ่งที่ชายหนุ่มพล่ามออกมาก็ถึงกับพูดอะไรไม่ออก นางถอนใจด้วยความเหนื่อยอ่อน
“เอาที่สบายใจ…”
หวังเป่าเล่อไม่สนใจคำประชดของแม่นางน้อยและลุกยืนขึ้น เขายืดอกเอามือไพล่หลัง จ้องมองไปยังวังลำดับสุดท้ายด้วยความภาคภูมิ สายตาของชายหนุ่มฉายแววเฉียบขาด พลังแกร่งกล้าปะทุออกจากร่างของเขาในทันใด
มันเป็นพลังที่เหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน พลังขั้นจุติวิญญาณก่อให้เกิดพายุที่กรีดร้องอยู่รอบตัว แสงดวงดาวกระพริบวับวาวอยู่ภายในพายุ พลังวิญญาณกล้าแกร่งเพิ่มพูนขึ้นขณะหวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังปราณเต็มขั้น ปราณวิญญาณอัดแน่นขึ้น ก่อนจะก่อตัวเป็นเงามายาวิญญาณจุติของหวังเป่าเล่อ!
ร่างมายาที่ปรากฏขึ้นสั่นสะเทือนผืนฟ้าและผืนดิน ลมกรรโชกหวีดร้องขณะที่พายุพัดหมุนรอบชายหนุ่มที่กำลังรวบรวมพลัง แสงพลันสว่างวาบในดวงตาของหวังเป่าเล่อ เขาร้องคำรามและพุ่งตรงไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
เขาพุ่งตัวแหวกอากาศ ทิ้งเงาร่างไว้เบื้องหลังขณะมุ่งหน้าตรงไปทางวังลำดับสาม เมื่อเข้าไปใกล้ ชายหนุ่มก็ร้องคำรามพร้อมปล่อยหมัดตรงไปและปลดปล่อยแขนกระดูกอาวุธเทพ
“แหลกไปซะ!”
เสียงกัมปนาทดังก้องไปทั่วบริเวณ ตามมาด้วย…เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของหวังเป่าเล่อที่ถูกส่งกระเด็นขึ้นฟ้า ปลิวไปด้านหลังก่อนจะกระแทกลงพื้น พื้นดินสั่นสะเทือนจากการกระแทกจนเกิดเป็นหลุมขึ้นมา
ความเงียบเข้าปกคลุมพื้นที่ หวังเป่าเล่อใช้เวลาอยู่พักหนึ่งกว่าจะตะกายขึ้นมาจากหลุมได้ เขาดูสลดใจขณะจ้องตรงไปยังวังตรงหน้าที่ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย ชายหนุ่มหมุนข้อมือที่เจ็บระบบพร้อมกับถอนใจ
ข้ามั่นใจในตนเองเกินไป…
หวังเป่าเล่อนวดข้อมือและจ้องวังลำดับสามด้วยความขุ่นเคืองใจ หากกลับออกไปเฉยๆ คงจะเสียโอกาสที่ยิ่งใหญ่ไป สิ่งที่ได้มาจากวังทั้งสองแห่งนั้นช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก ดังนั้นรางวัลที่ได้จากวังลำดับสามคงจะยอดเยี่ยมไม่แพ้กันหรืออาจจะดีกว่าก็เป็นได้
ข้าจะเข้าไปได้อย่างไรกัน…ข้ามีคุณสมบัติไม่ถึง… ชายหนุ่มคิดพิจารณา เขาเข้าไปในวังลำดับแรกได้เพราะมีคุณสมบัติเหมาะสม ส่วนวังลำดับสองก็ได้แขนกระดูกของหลี่อู๋เฉินเมื่อชาติที่แล้วช่วยเบิกทาง
แสดงว่าแม้แต่ศิษย์แห่งเต๋าก็ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเข้าไปได้ มีเพียงคนที่มีสถานะสูงกว่าศิษย์แห่งเต๋าถึงจะเข้าไปได้อย่างนั้นหรือ หวังเป่าเล่อคิด ตามความเข้าใจของเขา มีเพียงผู้อาวุโสเท่านั้นที่มีสถานะสูงกว่าศิษย์แห่งเต๋า แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นแค่ผู้อาวุโสธรรมดาก็ยังถือว่ามีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะเข้าไปได้ อย่างน้อยต้องเป็นผู้อาวุโสระดับสูง หรืออาจจะต้องผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้นถึงจะเหมาะสม
แล้วข้าจะไปหาสิทธิ์ที่ว่ามาจากไหน ชายหนุ่มถอนใจด้วยความเหนื่อยอ่อน ใจหนึ่งก็จะอยากยอมแพ้ ทันใดนั้น ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็สว่างวาบขึ้น ในหัวเริ่มตรึกตรองไม่หยุดขณะภาพสิ่งต่างๆ ปรากฏขึ้น ภาพสุดท้ายที่เห็นเป็นภาพของศพยักษ์แผ่พลังแกร่งกล้าที่นอนอยู่กลางทะเลโลหิต!
หวังเป่าเล่อพบศพศพนั้นครั้งแรกบนแท่นคงกระพัน ภาพในตอนนั้นทำให้เขาต้องตื่นตะลึงไป พลางนึกสงสัยว่าศพศพนั้นอาจจะเป็นศพของบุคคลสำคัญมากสักคน
หัวใจชายหนุ่มเต้นรัวเมื่อคิดถึงศพศพนั้น ก่อนจะได้ข้อสรุปให้กับตนเอง
ข้าจะไปตามหาศพศพนั้นและเก็บเนื้อกลับมาส่วนหนึ่ง ถ้าได้เลือดด้วยก็คงดี พลังที่แผ่ออกมาน่าจะช่วยคลายผนึกวังลำดับสามได้! คิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็ทะยานออกไปตามหาแท่นคงกระพันทันที!
สำนักวังเต๋าไพศาลบนกระบี่สำริดเขียวโบราณนั้นกว้างใหญ่ สามารถพบเห็นแท่นคงกระพันมากมายกระจายอยู่ทั่วบริเวณ บางส่วนอาจพังทลายไปตอนที่ฟ้าดินพังทลาย แต่ก็มีเหลืออยู่อีกมากที่บริเวณปลายกระบี่ ไม่นานหวังเป่าเล่อก็พบแท่นหนึ่ง หลังจากเอ่ยขออย่างหน้าไม่อายอยู่สักพัก แม่นางน้อยก็ยอมสอนวิธีเปิดใช้งานให้ ผ่านไปครู่หนึ่งแท่นคงกระพันก็สั่นไหว ชายหนุ่มหลอมรวมกับหมอกและลอยขึ้นไปบนฟ้า!
เขาพอจะจำได้รางๆ ว่าเจอศพอยู่ตรงไหน เมื่อสามารถควบคุมแท่นคงกระพันได้มากขึ้น ใช้เวลาไม่นาน ประมาณแค่ครึ่งวัน หมอกก็พาชายหนุ่มมาถึง…ทะเลโลหิต!
ปราณโลหิตพวยพุ่งขึ้นมาจากทะเลเบื้องล่าง สายฟ้าสีแดงฟาดฝ่าส่งเสียงกัมปนาท ศพยักษ์ลอยอยู่กลางทะเลโลหิต มีพลังกล้าแกร่งไม่ต่างจากเทพ
แม้จะตายไปแล้วแต่ก็ยังส่งพลังแกร่งกล้าออกมา สร้างแรงกดดันมหาศาลแผ่พุ่งไปทั่วบริเวณ!
บทที่ 676 แมลงปอนำภัยอันตราย
หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงพลังมหาศาลแม้จะซ่อนตัวอยู่ในหมอก ศพกลางทะเลโลหิตเป็นเหมือนปากยักษ์น่าสะพรึงกลัวที่พร้อมจะเขมือบเขาทั้งเป็น
สัมผัสในคราวนี้รุนแรงกว่าตอนที่เขาเดินทางผ่านศพในครั้งแรก ตอนนั้นเขายังไม่ได้บรรลุขั้นจุติวิญญาณ ทว่าตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว เขาหยุดลอยอยู่บนฟ้าเหนือศพ ไม่ได้รีบเคลื่อนตัวผ่านไป ระดับพลังปราณของชายหนุ่มสูงขึ้นมาก จิตสัมผัสวิญญาณก็เฉียบคมขึ้นเช่นกัน ทำให้สามารถสัมผัสทุกสิ่งได้อย่างชัดเจน
รู้สึกได้ถึงอันตรายร้ายแรง… หวังเป่าเล่อเงียบไป เขาลังเลว่าควรจะทำตามแผนการต่อดีหรือไม่ แต่พอคิดถึงสิ่งที่รอตนอยู่ในวังลำดับสามก็ได้แต่กัดฟันแน่น
“บางทีก็จำเป็นต้องพาตัวเองไปลำบากเพื่อให้ได้รับโอกาสอันหายาก อาจจะถึงกับต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยง แน่นอนว่าจะต้องมีแผนสำรองอยู่เสมอ หากว่ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นจะได้หนีกลับออกมาได้อย่างปลอดภัย” เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาส่องประกายจ้า ก่อนจะเริ่มเอ่ยคาถาขึ้นในทันใด
“ตื่นเถิด…”
ทันใดที่เอ่ยคำแรกออกจากปาก พลังคุ้นเคยจากส่วนลึกสุดของจักรวาลก็ลงมาจุติ พลังวิญญาณที่พวยพุ่งออกมาจากศพดูเหมือนจะหยุดนิ่งไปชั่วครู่ เปิดโอกาสให้หวังเป่าเล่อได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นึกว่าจะใช้การไม่ได้แล้ว ยังใช้ได้ผลอยู่นี่… ชายหนุ่มจ้องมองฟากฟ้าและหยุดร่ายคาถา จากนั้นก็สร้างผนึกฝ่ามือขึ้นเพื่อแยกตัวจากควัน เตรียมพร้อมจะพุ่งลงไปหาศพกลางทะเลโลหิต ทันใดนั้นศพเบื้องล่างก็สั่นไหว!
เส้นขนมากมายปรากฏขึ้นบนผิวหนัง ทั้งส่วนที่เผยให้เห็นและส่วนที่ซ่อนอยู่ใต้ชุดคลุม แม้จะตายไปแล้ว แต่เส้นขนก็ไม่ได้หลุดร่วงจากร่าง ยังคงมีชีวิตอยู่ในสภาพแปลกๆ เหมือนว่าจะมีความรู้สึกนึกคิดเป็นของตนเอง
เส้นขนมีสีเขียวเข้ม หนาประมาณแขนมนุษย์ มันยืดยาวขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในชั่วพริบตา ตรงปลายเส้นขนก็แยกออก เหมือนปากที่เปิดกว้าง เปลี่ยนเส้นขนเหล่านั้นให้กลายเป็นฝูงงู!
งูจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนเกี่ยวพันกันยุ่งเหยิง ดูน่าสะพรึงกลัว ฝูงงูหันไปทางหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มสัมผัสได้ว่าอันตรายร้ายแรงกำลังพุ่งเข้ามาหา เขาได้ยินเสียงระฆังเตือนดังขึ้นในหัว กล้ามเนื้อทุกส่วนสั่นระริก เซลล์ทุกเซลล์ในร่างกายส่งเสียงกรีดร้อง แม้แต่วิญญาณจุติยังลืมตาตื่น
ฝูงงูส่งเสียงขู่ดังลั่น จากนั้นงูนับร้อยก็ยกตัวขึ้นมา และพุ่งตรงเข้าใส่ชายหนุ่มอย่างรวดเร็วจนทิ้งภาพติดตาไว้เบื้องหลัง หมายจะเขมือบทั้งเป็น
มองดูแล้วเหมือนลูกศรนับร้อยกำลังพุ่งตรงเข้าใส่ ฝูงงูชุดใหม่ส่งเสียงร้องขู่ขึ้นตามมา ถัดไปมีงูเหลือมสีเขียวใหญ่ยักษ์หลายตัวเลื้อยออกมาจากชุดคลุมที่ขาดเป็นริ้ว ทุกตัวดูน่าพรั่นพรึง
ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงวาบเมื่อภัยอันตรายพุ่งตรงเข้ามา เขาตั้งมือขวาไปด้านล่างพร้อมกับร้องคำรามขึ้น
“ตื่นเถิด…”
พลังแกร่งกล้าจุติลงมาจากห้วงอวกาศ เข้าปกคลุมทั่วบริเวณอีกครั้ง ฝูงงูเขียวรีบถอยกลับไปทันใด พวกมันตัวสั่นเทิ้ม นอนขดอยู่กับพื้น ไม่กล้าขยับเขยื้อนแม้แต่นิด
หวังเป่าเล่อใจชื้นเมื่อเห็นว่าคาถาใช้ได้ผล เขารีบพุ่งแหวกอากาศเข้าไปหยุดอยู่เหนือศพตรงตราประจำตัวพอดี เขาตะโกนขึ้นอีกครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าปลอดภัย
“ผู้ถูกจองจำในเต๋าสวรรค์…”
ระเบิดไร้เสียงเหมือนจะปะทุขึ้นในหัวของฝูงงู หลายตัวสั่นเทิ้มและตายไป อีกส่วนเริ่มน้ำลายฟูมปาก แม้แต่งูเหลือมตัวใหญ่ที่อยู่ถัดไปก็ขดตัวหนี ส่วนฝูงที่รายล้อมหวังเป่าเล่อต่างหนีหายไป ทิ้งเขาให้อยู่ตัวคนเดียว
ชายหนุ่มรู้ดีว่าที่แห่งนี้อันตรายเพียงใด จึงท่องคาถาต่ออย่างไม่ลังเลใจ หลังจากร่ายคาถาต่ออีกหนึ่งท่อน เขาก็คุกเข่าลงและหยิบตราประจำตัวบนศพขึ้นมา
ศพนั้นมีขนาดใหญ่ยักษ์ ตราประจำตัวจึงมีขนาดใหญ่ตามไปด้วย แต่ทันทีที่หวังเป่าเล่อเอื้อมมือไปแตะ แสงก็พลันสว่างจ้าออกมาจากตรา เหมือนว่ามันจะยอมรับเขาและยินยอมให้เก็บกลับไป แสงสว่างย่อส่วนเล็กลงเหลือขนาดเท่าฝ่ามือในพริบตา ชายหนุ่มเอื้อมมือไปคว้าและยัดใส่กระเป๋าคลังเก็บโดยไม่เหลือบไปมอง
ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อหอบหายใจถี่ ในหัวยังส่งสัญญาณเตือนไม่หยุด ภัยอันตรายที่สัมผัสได้ยังไม่หายไปไหน แต่กลับยิ่งทวีคูณความรุนแรงขึ้นแม้จะร่ายคาถาจนฝูงงูเขียวขดตัวหนี หวังเป่าเล่อกำลังจะหนีออกไป แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นผิวหนังของศพ เขากัดฟันแน่น
ลำบากเหลือเกินกว่าจะลงมาได้ ไหนๆ ก็ลงมาแล้ว…ข้าควรเก็บเลือดกลับไปสักหน่อย…แค่ตราประจำตัวเพียงอย่างเดียวอาจจะไม่พอ เขารู้ดีว่าสิ่งตรงหน้าคือศพ มีโอกาสน้อยมากที่จะมีเลือดหลงเหลืออยู่ แต่วัดจากสีของผิวหนังแล้ว หวังเป่าเล่อก็รู้สึกมีหวัง ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัวขณะที่ชายหนุ่มยกสองมือขึ้น
มือซ้ายของเขาเอื้อมไปทางขอบทะเลโลหิต มือซ้ายสร้างผนึกฝ่ามือ เกราะจักรพรรดิลักอัคคีที่ยังไม่สมบูรณ์และแขนกระดูกอาวุธเทพปรากฏขึ้น เส้นปราณของเกราะจักรพรรดิเลื้อยพันรอบแขนที่กำลังปลดปล่อยพลังของอาวุธเทพพุ่งเข้าไปเจาะผิวหนังศพ!
มือข้างซ้ายคว้าหยดน้ำขนาดเท่าฝ่ามือขึ้นมาจากทะเลและเก็บกลับไป ขณะที่แขนอาวุธเทพตรงมือขวาพุ่งตรงเข้าใส่ศพ
ถึงหวังเป่าเล่อจะมีอาวุธเทพและเพิ่งบรรลุขั้นการฝึกตนมา แต่ก็เห็นได้ชัดว่ายามมีชีวิตอยู่ศพตรงหน้านั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ผิวหนังของศพแข็งหนาแม้จะไร้ซึ่งชีวิต ไม่ว่าชายหนุ่มจะพยายามเท่าใดก็ทำได้แค่สร้างรอยแผลเล็กๆ ขึ้นบนผิวหนัง ไม่มีทางเลยที่จะสูบเลือดออกมาจากรอยแผลเหล่านี้ได้
เขาคงต้องปล่อยพลังปราณเต็มขั้นซ้ำๆ และใช้เวลาสักพักถึงจะสามารถเจาะทะลุผิวหนังได้สำเร็จ แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีเวลามากขนาดนั้น คลื่นบนทะเลโลหิตรอบศพเริ่มพัดกระเพื่อม เหมือนว่ามีบางสิ่งใต้ทะเลกำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว สัญญาณอันตรายที่หวังเป่าเล่อสัมผัสได้เริ่มรุนแรงขึ้นเมื่อตัวตนดังกล่าวเคลื่อนตัวเข้ามาหา
หวังเป่าเล่อเริ่มตื่นตระหนก หันมองทิวทัศน์รอบตัว จากนั้นก็หายวับไปและปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งห่างออกไปหลายร้อยเมตร จุดที่ชายหนุ่มอยู่เป็นบริเวณหน้าอกของศพ ตรงหน้ามีบาดแผลเปิดกว้างขนาดใหญ่ เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการโจมตีอันรุนแรง
ชายหนุ่มรีบคุกเข่าลงและวางมือขวาเหนือบาดแผล ดวงตาฉายแสงวาบ วิญญาณจุติเองก็ตาเป็นประกายเช่นกัน เขาสร้างผนึกฝ่ามือ ปลดปล่อยพลังเมล็ดดูดกลืนส่งแรงสูบไปยังแขนของตนเอง
แรงสูบพวยพุ่งออกจากฝ่ามือหวังเป่าเล่อ มุ่งลงไปในบาดแผลและกระจายไปทั่วศพ ไม่นาน ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงหยดเลือดเล็กๆ
ทันใดนั้นศพก็สั่นไหว ฝูงงูเขียวเริ่มลุกฮือขึ้นอีกครั้งพร้อมกับคลื่นกระเพื่อมในทะเลโลหิตที่เริ่มก่อตัวเป็นระลอกคลื่น สิ่งมีชีวิตในทะเลกำลังกราดเกรี้ยว
ทะเลพุ่งกระจายขึ้นสูง ปีกสองข้างรูปทรงคล้ายปีกของจักจั่นโผล่พ้นทะเล ปีกอีกส่วนกรีดกรายขึ้นมาจากน้ำราวกับเป็นใบเรือ ลวดลายบนปีกเหมือนอักขระโบราณที่จองจำอสูรเอาไว้ภายใน ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวเหมือนปีศาจ ดวงตาปูดโปนสองข้างโผล่พ้นน้ำขึ้นตรงกลางระหว่างปีก
สัญญาณอันตรายเกินบรรยายระเบิดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อทันทีที่อสูรปรากฏตัว ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงวาบ เมล็ดดูดกลืนยังปลดปล่อยแรงสูบผ่านมือขวาไม่หยุดขณะที่เขายกมือซ้ายขึ้นชี้ไปทางทะเลโลหิต
“สรรพชีวิตย่อมต้องเผชิญภัยพิบัตินับไม่ถ้วนเป็นสรณะ!”
ตู้ม!
พลังกดดันที่จุติลงมาจากฟากฟ้าทวีความรุนแรงขึ้นจากการใช้คาถาหลายต่อหลายครั้ง ทำให้เขารู้ว่าตัวตนที่อัญเชิญออกมาจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ หากร่ายคาถาต่อไปไม่หยุด ชายหนุ่มไม่เคยร่ายเกินสองวรรคเพราะกลัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา แต่ตอนนี้เขาอยู่ในสถานการณ์คับขัน จึงต้องร่ายวรรคที่สามออกมาด้วยความลนลาน
แรงกดดันที่เหล่าอสูรได้รับรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ อสูรที่โผล่พ้นขึ้นมาจากทะเลโลหิตตัวสั่นเทิ้ม เหมือนว่าถูกมือยักษ์ที่มองไม่เห็นกดทับอยู่ มันหยุดโผขึ้นจากทะเลไปชั่วขณะ
ประจวบเหมาะกับที่เมล็ดดูดกลืนปฏิบัติภารกิจสำเร็จพอดี หยดเลือดสีแดงคล้ำหุ้มไปได้รอยเส้นเลือดมากมายปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของชายหนุ่ม!
หยดเลือดเป็นเหมือนตัวเร่งปฏิกิริยา อสูรในทะเลโลหิตร้องคำรามลั่นพร้อมกระโจนขึ้นจากทะเล น้ำในทะเลสาดกระเซ็น อสูรร่างยักษ์ปรากฏร่างให้เห็น
รูปลักษณ์ของมันเหมือน…แมลงปอ ต่างตรงที่มันตัวใหญ่กว่าหลายต่อหลายเท่า ตัวของมันเป็นสีโลหิตดูน่าพรั่นพรึง
มันจ้องหวังเป่าเล่อเขม็งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคลุ้มคลั่ง!
บทที่ 677 ผนึกจงคลายออก!
หวังเป่าเล่อหรี่ตามองแมลงปอสีเลือดที่ปรากฏตัวขึ้น เขากำหยดเลือดสีแดงคล้ำและหายตัววับไปโดยไม่ลังเลใจ
คมมีดสีแดงชาดสองคมพุ่งตัดอากาศผ่านจุดที่ชายหนุ่มเคยอยู่ เกิดเป็นกากบาทสีโลหิตขนาดใหญ่บนท้องฟ้า
ชายหนุ่มขนหัวลุกเมื่อได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากหายตัวไปปรากฏถัดออกไปไกล เขาสัมผัสได้ถึงพลังล้นเหลือที่แผ่ออกมาจากแมลงปอ พลังที่สัมผัสได้นั้นเหนือชั้นกว่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณไปอีก อาจจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณหรือสูงกว่า
ตัวใหญ่อะไรขนาดนั้น! เขาคิดขึ้นในหัว แมลงปอโฉบขึ้นฟ้าจากทะเลโลหิตหลังโจมตีเสร็จ ส่งเสียงกึกก้องทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเสียงกัมปนาทที่ดังก้องในอากาศมีต้นตอจากปากกว้างหรือปีกขนาดมหึมากันแน่ อสูรยักษ์พุ่งเข้าใส่ชายหนุ่ม
มันปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อในพริบตาต่อมา เตรียมจะฉีกกระชากและเขมือบชายหนุ่มทั้งเป็น เขาคงไม่สามารถหลบการโจมตีนี้ได้หากยังไม่บรรลุขั้นจุติวิญญาณ อาจไม่สามารถมองการเคลื่อนไหวของแมลงปอได้ทันด้วยซ้ำ เพราะคงจะตายในทันที แต่ตอนนี้เขามีวิญญาณจุติดวงดาราในครอบครอง ดวงอาทิตย์ที่อยู่ในระยะอาจไม่ใช่ดาวเคราะห์ที่ช่วยเสริมพลังให้กับเขาได้ แต่ชายหนุ่มก็ยังมีระดับพลังปราณที่เพิ่มพูนขึ้นมากหลังบรรลุขั้นการฝึกตน เขาจึงหลบการพุ่งโจมตีได้ทันท่วงที
ถึงกระนั้น แมลงปอก็ยังแข็งแกร่งกว่าชายหนุ่มมาก แม้ตัวจะหลบได้พ้น แต่กระจุกผมกลับหนีไม่พ้น จึงถูกตัดขาดและปลิวไปกับสายลม
หวังเป่าเล่อใจเต้นถี่รัว เขายกมือขวาขึ้นและท่องคาถาในหัวอีกครั้ง
เพียงความคิดเดียวเท่านั้นก็จะปลดปล่อยเจ้าจากคุกจองจำอันล้ำลึกนี้ได้
นั่นคือวรรคที่สี่ของคาถา!
ส่วนประโยคต่อมาคือคำด่าทออสูร
“เจ้าอสูรจองหอง!”
ฟ้าดินสั่นคลอนขณะดวงจิตปริศนาจุติลงมาจนเกิดเสียงดังกัมปนาทอีกครั้ง พลังกดดันทวีความรุนแรง ราวกับมีหัตถ์มหึมาที่มองไม่เห็นกดทับทุกสิ่งและเข้าต้านทานแมลงปอที่กำลังพุ่งเข้ามาหาหวังเป่าเล่อ
แม้จะไม่มีร่างที่เป็นรูปธรรม แต่ก็สามารถทำให้แมลงปอที่พุ่งเข้ามาร้องลั่นด้วยความเจ็บปวดและรีบถอยกลับอย่างตื่นกลัว หวังเป่าเล่อเห็นว่าคาถาใช้ได้ผลก็รู้ว่าจังหวะนี้คือโอกาสเดียวที่จะหนีรอดจากความตายไปได้ เขาหายวับไปอีกครั้ง และปรากฏตัวขึ้นไกลออกไป จากนั้นก็ปลดปล่อยความเร็วเต็มขั้น หมายจะหนีออกจากทะเลโลหิตไปให้จงได้
แมลงปอดูโกรธแค้นเมื่อสัมผัสได้ว่าชายหนุ่มพยายามหลบหนี ดวงตาของมันเต็มไปด้วยความดุร้ายขณะกระพือปีกอย่างดุดัน หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่ามันคิดอะไรอยู่ อสูรร้ายร้องคำรามขึ้นพร้อมตีปีกสู้กับความกลัวที่เข้าเกาะกุมจิตใจ และพุ่งตามชายหนุ่มไปอีกครั้ง
ดื้อด้านเสียจริง! หวังเป่าเล่อลนลาน ไม่มีเวลาพอให้คิดอะไร เขาหันกลับไปตะโกนลั่น ไม่มีอารมณ์มามัววางมาด ในหัวคิดถึงคาถาขณะปากเอ่ยพูดเสียงดัง
“จงน้อม…”
ที่พูดขึ้นคือส่วนแรกของวรรคสุดท้ายที่เรียนรู้มา วรรคนี้มีทั้งหมดเก้าคำ หวังเป่าเล่อเอ่ยสองไปคำแรก และกำลังจะเอ่ยต่อ…แต่ก็มีบางสิ่งหยุดเขาไว้ในจังหวะสุดท้าย ทำให้ไม่กล้าท่องต่อให้จบ
พลังปริศนาระเบิดขึ้นหลังจากที่เขาเอ่ยสองคำออกไป ทวีคูณความรุนแรงขึ้นจากเดิมหลายเท่าตัว พลังดังกล่าวเป็นดังคลื่นยักษ์ที่ถาโถมใส่ทุกสิ่ง ทั่วบริเวณเริ่มสั่นไหวรุนแรง
แมลงปอตื่นกลัว รีบถอยหนีไม่คิดชีวิต ทิ้งเงาสีแดงเลือนรางไว้เบื้องหลัง ขณะถลากลับสู่ทะเล
มันตัวสั่นเทิ้มอยู่ใต้น้ำ สร้างคลื่นปั่นป่วนบนผิวทะเล ดวงตาของมันยังคงโผล่พ้นน้ำ จ้องไปทางหวังเป่าเล่อด้วยความหวาดกลัว
เป็นภาพที่ทำให้ใจสงบลงได้ ทั่วบริเวณไม่มีใครอื่น ชายหนุ่มคิดว่าตนไม่จำเป็นต้องวางมาดเป็นผู้ฝึกตนทรงพลังอีกต่อไป เขารีบปลดปล่อยความเร็วเต็มพิกัด พุ่งหายไปไกลลับตา
แมลงปอยังคงตื่นกลัว มันมองหวังเป่าเล่อหนีหายไป เลิกล้มความตั้งใจที่จะไล่ตามไปอีก
ผ่านไปพักใหญ่ เมื่อทั่วบริเวณกลับสู่ความสงบสุขอีกครั้ง แมลงปอก็โผขึ้นจากทะเล บินวนรอบศพหนึ่งรอบ จากนั้นก็ตีปีกดุดันราวกับจะแสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยว ห้วงอากาศแหวกออกในทันใด ฝูงงูเขียวบนศพสั่นกลัว แต่ก็ยังไม่จบแค่นั้น มันตีปีกอีกครั้ง สร้างความปั่นป่วนให้กับทะเลโลหิต เลือดพุ่งขึ้นสูงเฉียดฟ้า ก่อนจะบิดหมุนกลายร่างเป็นคน
ร่างสีแดงที่ปรากฏขึ้นมีรูปลักษณ์เหมือนหวังเป่าเล่อไม่มีผิด
แมลงปอคำรามลั่นเมื่อเห็นดังนั้น มันพุ่งตรงไปตัดแขนและขาอย่างละข้างด้วยปีก จากนั้นก็อ้าปากเขมือบเข้ากลางร่างที่สร้างขึ้นจากโลหิต การแก้แค้นดำเนินต่อไปจนร่างสีแดงพิกลพิการจนดูไม่ออกว่าเป็นใคร อสูรร้ายพ่นลมหายใจ เหมือนว่าจะสาแก่ใจขึ้นมาบ้าง มันสร้างร่างคล้ายหวังเป่าเล่อขึ้นมาอีกสองสามร่างและลงมือแก้แค้นซ้ำๆ เมื่อพึงพอใจแล้วก็หายวับกลับสู่ทะเลไป
หวังเป่าเล่อทนดูภาพเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้ มิเช่นนั้นคงได้กลัวจนตัวสั่นแน่ ไม่มีวันที่เขาจะไปทำให้แมลงปอแค้นเคืองอีก มันดูจะเป็นอสูรที่จำความแค้นไว้ได้จนขึ้นใจ
ชายหนุ่มเคลื่อนย้ายไปเรื่อยๆ อยู่หลายครั้งจนพบแท่นคงกระพัน จากนั้นก็ท่องหมอกกลับไปยังปลายกระบี่
สำหรับคนอื่นอาจเป็นเรื่องยาก แต่หวังเป่าเล่อรู้วิธีใช้งานแท่นคงกระพันแถมยังเพิ่งเดินทางมาจากปลายกระบี่ จึงรู้ว่าบริเวณไหนปลอดภัยที่จะผ่าน ไม่นานเขาก็กลับไปถึงจุดที่วังทั้งสามตั้งอยู่
หวังเป่าเล่อยืนจ้องชั้นน้ำแข็งอยู่หน้าวังลำดับสามอย่างมีความหวัง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่ารางวัลในวังแห่งนี้ย่อมต้องยิ่งใหญ่กว่าอีกสองวัง เขาไม่รอช้า สูดหายใจเข้าลึก ยกมือขวาหยิบตราประจำตัวขึ้นมาพร้อมตะโกนลั่น
“ผนึกจงคลายออก!”
เสียงของเขาดังก้องในอากาศ วังลำดับสามเริ่มสั่นไหว พลังที่มองไม่เห็นพวยพุ่งขึ้นตอบรับตราประจำตัวในมือชายหนุ่ม ชั้นน้ำแข็งที่ปกคลุมวังอยู่เริ่มสั่นไหว ส่งสัญญาณเหมือนจะทลายลง
หวังเป่าเล่อเริ่มตื่นเต้น เขาตั้งตาคอยด้วยความคาดหวัง เวลาผ่านไป นอกจากการสั่นไหวแล้วก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก ชั้นน้ำแข็งสั่นคลอนแต่ไม่ได้ทลายลงมา เหมือนกับว่า…ยังขาดอะไรไป
ชายหนุ่มหรี่ตา ยกมือซ้ายขึ้นสร้างผนึกฝ่ามือ เกราะจักรพรรดิลักอัคคีเริ่มตื่นพลัง เขาทำลายเกราะชิ้นแรกไป และเพิ่งจะสร้างขึ้นใหม่ได้เพียงขั้นแรก
แต่แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
เส้นปราณมายากระจายจากมือข้างซ้ายไปทั่วร่างกายชายหนุ่ม ร่างของหวังเป่าเล่อพลันหุ้มด้วยเกราะจักรพรรดิลักอัคคีสีโลหิต เขาสูดหายใจลึกและหยิบหยดเลือดสีแดงคล้ำออกมา
วังลำดับแห่งที่สามสั่นไหวรุนแรงขึ้น ชายหนุ่มตาเป็นประกาย รีบหลอมหยดเลือดเข้ากับเกราะจักรพรรดิ จากนั้นก็ปลดปล่อยพลังเต็มขั้น พลังจากเจ้าของหยดเลือดพวยพุ่งขึ้นทันใด หวังเป่าเล่อยกมือขวาชูตราประจำตัวและตะโกนขึ้นอีกครั้ง
“ผนึกจงคลายออก!”
วาจาของชายหนุ่มสะท้อนอยู่ในอากาศ เสียงระเบิดรุนแรงดังก้องขึ้นจากวังลำดับสาม ผนึกน้ำแข็งทลายลง พลังมหาศาลจากวังพัดกระจายออกไปทั่วบริเวณ เหมือนจะประกาศแสดงความยินยอม ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังหายใจไม่ทั่วท้องอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
“ในฐานะผู้อาวุโส เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะแบกรับหน้าที่ในการปกป้องสำนักวังเต๋าไพศาล เจ้าสามารถเข้าไปในวังวิญญาณลำดับสามเพื่อบรรลุขั้นการฝึกตนของเจ้าได้!”
เสียงกัมปนาทดังก้องท้องนภา ประตูสู่วังลำดับสามแง้มเปิดออก เผยให้เห็นวิสัยทัศน์ปริศนาที่อยู่ด้านใน!
หวังเป่าเล่อตื่นเต้นหนัก หลังจากผ่านวังลำดับแรกและลำดับสองมาได้ เขาก็รู้ว่าจะต้องทำเช่นไร ชายหนุ่มพุ่งตรงไปทางวังลำดับสาม
และเข้าไปในวังทันที!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น