ลำนำบุปผาพิษ 673-680

 บทที่ 673 เช่นนั้นเจ้าชอบกู้ซีจิ่วหรือไม่


หลานไว่หูไม่ยอมรับ “ข้าไม่ได้นินทาว่าร้ายพวกเขาเสียหน่อย ข้าก็แค่เคยพบคู่ต้วนซิ่วเป็นครั้งแรกเท่านั้น คำว่าต้วนซิ่วก็มิใช่คำพูดให้ร้ายอันใด ซีจิ่วบอกว่าจริงๆ แล้วต้วนซิ่วเป็นเรื่องปกติมาก ขอเพียงคนสองคนรักกันด้วยใจจริง ก็สมควรจะได้รับคำอวยพร ซีจิ่วบอกไว้…”


เส้นเลือดที่ขมับเยี่ยนเฉินเต้นตุบๆ คืนนี้จิ้งจอกน้อยเอาแต่พูดว่าซีจิ่วกล่าวเช่นนั้นซีจิ่วบอกเช่นนี้อยู่ตลอด เขาแทบจะสงสัยว่าจิ้งจอกน้อยของเขาหลงรักกู้ซีจิ่วเข้าแล้ว…


“จิ้งจอกน้อย เจ้าชอบข้าไหม?”


“ชอบสิ” หลานไว่หูตอบอย่างไม่ลังเล


หัวใจเยี่ยนเฉินพลันอุ่นวาบ สีหน้าอ่อนโยนลง “เช่นนั้นเจ้าชอบกู้ซีจิ่วหรือไม่?”


“ชอบ!” นางตอบอย่างไม่ลังเลเช่นกัน


ว่าแล้วเชียว!


“เช่นนั้นเจ้าชอบข้าหรือว่าชอบนาง?”


“ชอบทั้งคู่เลย”


“แล้วถ้าหากเลือกได้เพียงคนเดียวจากสองคนเล่า? เจ้าจะเลือกข้าหรือเลือกนาง?” เยี่ยนเฉินรู้สึกว่าตนต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ ถึงได้หึงหวงเด็กสาวคนหนึ่งเช่นนี้ แต่เขาอยากรู้มากจริงๆ


หลานไว่หูตาโต “เหตุใดเลือกได้เพียงคนเดียว?”


“เพราะ….ข้าพูดสมมุติ เข้าใจคำว่าสมมุติหรือไม่? เป็นการสร้างสถานการณ์จำลองขึ้นว่าเจ้าจะเลือกใคร?”


“แต่การสมุติของท่านไม่ได้เกิดขึ้นชัดๆ…” หลานไว่หูบ่นงึมงำ เมื่อเห็นเยี่ยนเฉินมองนางอยู่ตลอด ท่าทางราวกับถ้าไม่ให้คำตอบจะไม่ยอมเลิกรา นางปวดเศียรเวียนเกล้าขึ้นมาอีกแล้ว “ก็ได้ๆ ให้ข้าคิดดูก่อนนะ”


ยังต้องคิดดูก่อนอีกหรือ? ตัดสินใจยากปานนั้นเชียว?


เยี่ยนเฉินรู้สึกว่าตนได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว…


หลานไว่หูคอดอยู่พักหนึ่ง แล้วเอ่ยคำตอบที่ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสุดขีดออกมาอย่างระมัดระวังยิ่ง “ข้าเลือกซีจิ่ว”


เยี่ยนเฉินทึ่มทื่อไปแล้ว


“เพราะอะไร?” ผ่านไปสักพักเขาถึงเอ่ยออกมาสามคำ


หลานไว่หูจึงสาธยายให้เขาฟัง “ซีจิ่วดีต่อข้าด้วยใจจริง ยอมรับข้าในช่วงเวลาที่ข้าโดดเดี่ยวที่สุด อยู่ข้างกายนางข้าได้ลิ้มรสความสุขของการมีเพื่อน และไม่มีใครดูถูกข้าอีก ไม่มีใครมองข้าเป็นตัวโง่เง่าอีกต่อไป ข้าถูกรังแกนางก็หาทางให้ข้าได้แก้แค้นด้วยตนเอง แถมนางยังสอนหลักการดำเนินชีวิตให้ข้ามากมายด้วย…เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ในอดีตข้าไม่เคยได้สัมผัสเลย อยู่กับนางข้ามีความสุขมากจริงๆ” ซ้ำยังโบกกำปั้นน้อยๆ ขมขู่เยี่ยนเฉิน “ดังนั้นท่านห้ามหาเรื่องนาง มิเช่นนั้นข้าจะไม่สนใจท่าน!”


เยี่ยนเฉินพูดไม่ออก


เขาได้รับความสะเทือนใจยิ่งนัก เขานึกถึงถ้อยคำที่กู้ซีจิ่วเคยสั่งสอนเขา บอกว่าเขาเลี้ยงจิ้งจอกดั่งวิหคน้อยในกรง ยามนั้นยังรู้สึกไม่ยอมรับอยู่บ้าง ทว่ายามนี้จู่ๆ ก็เข้าใจขึ้นมา!


เมื่อก่อนเขาเพียงปกป้องนางไว้ใต้ปีก คิดเพียงว่าจะให้นางได้รับบาดเจ็บน้อยที่สุด แต่กลับไม่เคยพิจารณาเลยว่าความจริงแล้วนางต้องการอะไร…


เมื่ออยู่ข้างกายเขา จิ้งจอกน้อยถูกเขาเลี้ยงไว้ดั่งนกคีรีบูน…


แต่พออยู่ข้างกายกู้ซีจิ่ว จิ้งจอกน้อยถูกนางฝึกปรือจนกลายเป็นเหยี่ยวน้อย ให้นางได้สัมผัสความสุขจากการกางปีกเหินเวหา


ไม่แปลกใจเลยที่จิ้งจอกน้อยจะชอบกู้ซีจิ่วมากกว่า…


เฮ้อ แพ้เสียแล้ว!


เยี่ยนเฉินหดหู่และสะท้อนใจไปในเวลาเดียวกัน


แน่นอนว่ารู้สึกขัดตาแม่จิ้งจอกน้อยข้างกายที่ช่างไม่รู้เรื่องรู้ราวเสียบ้างเลย ไม่อยากสนใจนาง


“พี่เยี่ยนเฉิน ทางนั้นมีละครลิง พวกเราไปดูกันไหม?” หลานไว่หูไม่ทราบว่าทำให้เยี่ยนเฉินขุ่นเคืองเข้าแล้ว จึงดึงแขนเสื้อเขาแล้วเขย่าไปมา


“ไม่ไป! เจ้าก็ให้กู้ซีจิ่วไปดูเป็นเพื่อนเจ้าสิ!” เยี่ยนเฉินเชิดหน้าไม่มองนาง


“แต่ว่า…แต่ว่าซีจิ่วไม่ได้อยู่ที่นี่นะ”


“หากว่านางอยู่ที่นี่เจ้าก็จะไปกับนางใช่ไหม?!”


“ไม่ใช่” หลานไว่หูส่ายหน้า


อารมณ์หดหู่ในใจเยี่ยนเฉินดีขึ้นมาเล็กน้อย “เจ้ามิใช่บอกว่านางดีที่สุดหรอกหรือ?”


“แต่นางไม่ให้ข้าตามนางในเวลาว่าง นางบอกว่าทุกคนล้วนมีเวลาส่วนตัว เวลาที่นางอยากคิดอะไรเงียบๆ จะไม่ชอบให้คนอื่นไปรบกวนนาง…” หลานไว่หูกล่าวอย่างชัดถ้อยชัดคำ


————————————————————————————-


บทที่ 674 แล้วทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายล่ะ?


เยี่ยนเฉินกระอักแล้ว!


เขาสะบัดหน้าจากไปทันที เขาก็ต้องการเวลาส่วนตัวเหมือนกัน เขาก็อยากคิดอะไรเงียบๆ บ้าง!


….


“พอแล้ว อย่ามองเลย พวกเขาไปกันแล้ว” เงาร่างคนทั้งสองหายลับไปในฝูงชนแล้ว ทว่าสายตาของกู้วีจิ่วยังคงมองไปยังทิศทางนั้นอยู่


มือของหลงซือเย่โบกอยู่ตรงหน้าเธอ ในที่สุดเธอก็รู้สึกตัว


กู้วีจิ่วมองเขาแวบหนึ่ง “คุณก็รู้จักพวกเขาเหรอ?”


“พวกเขาเป็นเพื่อนของเธอใช่ไหมล่ะ? ฉันต้องรู้จักอยู่แล้ว แถมเยี่ยนแนคนนั้นก็มีชื่อเสียงขนาดนั้น” หลงซือเย่ตอบด้วยท่าทีสบายๆ


“คุณคงไม่ได้จับตามองความเคลื่อนไหวของฉันอยู่ตลอดใช่ไหม?”


ข้อสงสัยนี้ของกู้ซีจิ่วมีความเป็นไปได้ยิ่งนัก! ไม่งั้นเขาจะรู้มากขนาดนี้ได้ยังไง?!


หลงซือเย่นวดคลึงหว่างคิ้ว “เธอคิดมากไปแล้ว ฉันสนิทกับกับกู่ฉานโม่อยู่บ้าง ระยะนี้เขาเล่าเรื่องเธอให้ฉันฟังตั้งเยอะ และภูมิใจในตัวเธอมาก เขายังบอกด้วยว่าเธอปล้นหินวิญญาณเขาไปไม่น้อย…”


ยามที่เอ่ยประโยคหลังออกมามุมปากก็หยักเป็นรอยยิ้ม เอ่ยเสริมอีกประโยคหนึ่ง “แน่นอนว่าฉันก็ภูมิใจในตัวเธอด้วยเหมือนกัน”


“คุณสนิทกับกู่ฉานโม่มากเหรอ?” กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงว่ากู้ฉานโม่ก็มีช่วงเวลาที่พูดมากเหมือนกัน


“ฉันเคยเป็นลูกศิษย์ที่เขาภาคภูมิใจที่สุด” หลงซือเย่ก็ไม่ปิดบังเช่นกัน


กู้ซีจิ่วตะลึง ไม่คิดว่าเขาก็สำเร็จการสึกษาจากที่นี่เหมือนกัน เธอนึกถึงคำถามข้อหนึ่งขึ้นมาได้จึงเอ่ยถาม “สานุศิษย์สวรรค์ต้องมาที่นี่ทุกคนใช่ไหม?”


“เท่าที่ฉันรู้มา เป็นแบบนั้นจริงๆ”


“แล้วทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายล่ะ?” กู้ซีจิ่วหลุดปากถามออกมา


“เขา…” หลงซือเย่ขมวดคิ้ว ส่ายศีรษะพลางตอบ “เรื่องนี้ฉันก็ไม่รู้ เขาอายุมากกว่าพวกเราทั้งหมด มีชื่อเสียงมานานแล้ว แถมเขายังทำอะไรลึกลับซับซ้อน ดังนั้นเลยไม่มีใครรู้ที่มาที่ไปของเขา”


“ที่แท้เขาก็อายุมากที่สุดในบรรดาพวกคุณ มิน่าล่ะเขาถึงเป็นผู้ถ่ายทอดคำสั่งของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ประจำ การทดสอบสานุศิษย์สวรรค์ก็เป็นหน้าที่ของเขา” กู้ซีจิ่วเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว


หลงซือเย่ยิ้มขื่น “อันที่จริง คนที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไว้ใจที่สุดก็คือเขา บางครั้งคนบัดซบผู้นี้ก็ทำตัวเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสือ…”


“ฉันได้ยินว่าเขาเป็นคนทดสอบฐานะสานุศิษย์สวรรค์ของคุณใช่ไหม?”


หลงซือเย่ถอนหายใจ “อันที่จริงฉันก็เหมือนเธอนั่นแหละ เนื่องจากฉันมีความทรงจำมาตั้งแต่เกิด ก็เลยมีความสามารถพิเศษ ความรู้ทั้งหมดก็ไม่ใช่สิ่งที่โลกใบนี้สมควรรู้ เลยถูกเอาไปลือกันแปลกๆ ตอนนั้นฉันอายุยังน้อย เกิดในสถานที่อันห่างไกล ดังนั้นจึงไม่ทราบว่าสานุศิษย์สวรรค์คืออะไร พอมีคนเข่นถามว่าฉันเรียนรู้ทุกอย่างมาจากไหน ฉันร้อนรนไปชั่วขณะเลยตอบไปว่าเป็นพรสวรรค์ฟ้าประทาน ผลคือ…เกิดข่าวลือแพร่ออกไป! ไม่กี่วันต่อมาเขาก็มาเยือนถึงหน้าประตู จับฉันไปทดสอบด้วยตัวเอง…”


“เขาเคยทรมานคุณไหม?”


“ยิ่งกว่าทรมานเสียอีก…” หลงซือเย่ยิ้มขื่น เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่คความทรงจำที่ดีนัก คิ้วเขาขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ “สานุศิษย์สวรรค์ทุกคนเคยถูกเขาทรมานจนเกือบตายมาแล้วทั้งนั้น โดยเฉพาะหลังจากทดสอบสำเร็จ ต่อไปก็เป็นการฝึกนรกทันที ทำผิดนิดหน่อยก็จะถูกลงโทษ บทลงโทษรุนแรงมาก ตอนนั้นฉันหวังจะให้ตัวเองไม่ถือกำเนิดขึ้นมาใจจะขาด…เพียงแต่วิธีนี้ของเขาก็เป็นวิธีที่ฝ่าทะลวงขั้นได้รวดเร็วที่สุดจริงๆ เรื่องที่คนอื่นฝึกฝนมาเป็นร้อยปีก็ยังไม่แน่ว่าจะทำได้ ทว่าเหล่าสานุศิษย์สวรรค์ใช้เวลาแค่ยี่สิบปีก็ทำได้แล้ว…”


นี่อยู่เหนือความคาดหมายของกู้ซีจิ่วอยู่บ้าง “วรยุทธ์ของพวกคุณล้วนเป็นเขาสอนให้หรือ?”


หลงซือเย่ส่ายหน้า “เขาไหนเลยจะมีเวลาขนาดนั้น? ทักษะบางอย่างของพวกเราก็มีติดตัวมาตั้งแต่เกิด ความสามารถหลักจะใช้เป็นเองอย่างน่าประหลาด แถมพวกเราก็ได้รับคำชี้แนะจากท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ในความฝันด้วย ได้รับตำราล้ำค่าที่เกี่ยวข้อง ตี้ฝูอีคือผู้ดูแล ส่วนใหญ่เขาจะมาตรวจสอบพวกเราเดือนละครั้ง หากผ่านเกณฑ์ก็กลับไปฝึกฝนที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ต่อ หากไม่ผ่านเกณฑ์…”


บทที่ 675 เธอตั้งตารอฉันมาเหรอ?


“ไม่ผ่านเกณฑ์แล้วจะเป็นยังไง?”


“ถ้าไม่ผ่านเกณฑ์จะถูกโยนเข้าไปรับโทษในแดนต้องห้าม เชื่อฉันเถอะ แดนต้องห้ามแห่งนั้นเข้าไปเพียงครั้งเดียวก็กลายเป็นฝันร้ายของเธอ ไม่อยากเข้าไปอีกตลอดกาล!”


ที่แท้การเป็นสานุศิษย์สวรรค์ก็น่ากลัวมากขนาดนี้!


กู้ซีจิ่วลอบส่ายหน้า ทว่าหัวใจกลับสั่นไหว อดไม่ได้ที่จะซักถาม “ในเมื่อเป็นการรับโทษ แถมคุณยังบอกว่าที่นั่นน่ากลัวมาก ถ้างั้นหลังจากรับโทษเสร็จก็จะขยับเขยื้อนไม่ไหวใช่ไหม?” กู้ซีจิ่วเอ่ยข้อสงสัยของตนออกมา


หลงซือเย่ส่ายหน้า “แดนต้องห้ามแห่งนั้นทำให้คนเหมือนตกนรกทั้งเป็นก็จริง แต่ก็ได้รับบาดเจ็บเพียงเนื้อหนังมังสาเท่านั้น ถ้าอยู่ในนั้นแล้วฝึกนให้ดี วรยุทธ์ก็ก้าวหน้าขึ้น เมื่ออกมาแล้วก็ไม่ถึงกับขยับไม่ไหว อย่างมากก็แค่สีหน้าไม่ค่อยดีนิดหน่อย อีกอย่างก่อนเขาจะลงโทษคนจะมอบโอสถวิญญาณเม็ดหนึ่งให้กินก่อนทุกครั้ง โอสถวิญญาณเม็ดนั้นจะทำให้คนอยู่ข้างในได้รับความทรมานเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว แต่ก็รับประกันได้ว่าไม่ตายอยู่ในนั้นแน่นอน ไม่ทำให้พลังชีวิตเสียหายจริงๆ…”


กู้ซีจิ่วนึกถึงอวิ๋นชิงหลัวขึ้นมา อวิ๋นชิงหลัวถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายส่งคนมารับตัวไปกว่าหนึ่งเดือน เป็นไปได้ไหมที่ถูกเขาทดสอบแล้วไม่ผ่านเกณฑ์ เลยถูกโยนเข้าไปรับโทษในแดนต้องห้ามอะไรนั้นทันที?


สีหน้ายามที่นางกลับมาก็ดูไม่ค่อยดีจริงๆ…


หากกู้ซีจิ่วได้ยินคำบอกเล่าเหล่านี้จากหลงซือเย่เมื่อหลายวันก่อน อาจจะคิดว่าตี้ฝูอีกพาอวิ๋นชิงหลัวไปเพื่อทดสอบและรับโทษจริงๆ


แต่เมื่อได้เห็นท่าทางอิงแอบคลอเคลียของอวิ๋นชิงหลัวกับเขาในคืนนี้ เธอก็ส่ายหน้าอีกครั้ง


ถ้าเขารักอยู่กับอวิ๋นชิงหลัว เกรงว่าคงหักใจให้นางได้รับความทุกข์ทรมานเช่นนั้นไม่ลงกระมัง?


อวิ๋นชิงหลัวก็คงชิงชังความใจดำของเขา แต่ดูจากท่าทางของอวิ๋นชิงหลัวในวันนี้ สีหน้าเปี่ยมด้วยความอาวรณ์และเทิดทูน ไม่มีวี่แววว่าจะเคียดแค้นชิงชังเลยสักนิด


แต่ก็พูดยาก บางทีตี้ฝูอีอาจลงโทษนางตามกฎเหมือนเดิม ซ้ำยังสงสารนางจับใจ ดังนั้นคืนนี้จึงมาเดินเที่ยวกับนางเพื่อชดเชยให้…


“ซีจิ่ว ซีจิ่ว…ใจลอยอีกแล้วเหรอ?” หลงซือเย่เรียกให้เธอได้สติอีกครั้ง


กู้ซีจิ่วเหงื่อตกเล็กน้อย ความคิดตนประหวัดไปหาตี้ฝูอีอีกแล้ว! คำถามนี้ที่ตนอยากทำให้กระจ่างชัดเจนดูเหมือนว่าจะทำให้กลายเป็นบ้าไปเสียแล้ว


กู้วีจิ่วส่ายศีรษะ ตัดสินใจสลัดคำถามทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับตี้ฝูอีทิ้ง แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ใช่แล้ว ตอนนั้นคุณบอกว่าจะไปสอนที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ แล้วทำไมถึงไม่มาล่ะ?”


ดวงตาหลงซือเย่ส่องประกายแวบหนึ่ง “เธอตั้งตารอฉันมาเหรอ?”


“ฉันแค่สงสัยนิดหน่อยเท่านั้น วันนั้นคุณไปส่งองค์ชายแปดลงเขาแล้วไม่กลับมาอีกเลย ฉันยังนึกว่าองค์ชายหรงเช่อเกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้นเสียอีก กังวลใจอยู่ตั้งหลายวัน อ่อใช่ องค์ชายหรงเช่อเป็นยังไงบ้าง? หายดีหรือยัง?”


แววตาหลงซือเย่หมองลงเล็กน้อย แต่ว่ายังคงตอบคำถามเธอ “ตอนนนั้นเขาอ่อนแรงอย่างหนัก อย่าว่าแต่เดินเลย จะคลานก็ยังคลานไม่ไหว หลังจากฉันพาเขาลงเขาไป ตอนแรกก็คิดจะหารมม้าให้เขาสักคัน ต่อมาเห็นเขาอ่อนแอมากจริงๆ ฉันกลัวเขาจะเกิดเรื่องขึ้นระหว่างทาง ก็เลยไปส่งเขากลับด้วยตัวเอง จากนั้น…อืม ถึงยังไงพลังยุทธ์ของเขาก็อ่อนแอเกินไป ตอนป่วยอาการกำเริบ ฉันเลยทิ้งไม่ได้ จนมาถึงตอนนี้”


“เขาบาดเจ็บหนักขนาดนี้เชียว! ตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้าง?”


“ตอนนี้ร่างกายไม่เป็นไรแล้ว พลังยุทธ์ก็อยู่ในระยะฟื้นฟู เพียงแต่ถ้าอยากให้พลังยุทธ์ฟื้นฟูกลับมาอย่างสมบูรณ์ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามปี” หลงซือเย่วินิจฉัย


กู้ซีจิ่วทราบวิชาแพทย์ของเขาดี ย่อมรู้ว่าที่เขาพูดเป็นความจริง ในใจรู้สึกละอายใจต่อองค์ชายหรงเช่อ หากมิใช่เพราะเธอ องค์ชายหรงเช่อจะบาดเจ็บจนกลายเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?


คนทั้งสองเดินชมทิวทัศน์บนถนนใหญ่แบบผ่านๆ พลางคุยกันเรื่อยเปื่อยไปด้วย ดั่งสหายธรรมดา


นี่คือฉากที่กู้ซีจิ่วเคยใฝ่ฝันหา ยามนี้ในที่สุดก็เป็นจริงแล้ว…


————————————————————————————-


บทที่ 676 ตนคงจะอาวรณ์ความรู้สึกอันงดงามนี้กระมัง?


บางทีอาจเป็นเพราะเฝ้ารอมาเนิ่นนานเกินไป จนรู้สึกเหนื่อยล้า กู้ซีจิ่วจึงไม่พบความสุขจากฝันที่กลายเป็นจริง…


เป็นความคิดที่แปรเปลี่ยนไป หรือเป็นเพราะตนยังไม่เชื่อเขา?


กู้วีจิ่วไม่ใช่คนที่ชอบเยิ่นเย้อยืดยาด อันที่จริงเธอชอบพูดจาตรงไปตรงมามากกว่า


หากเจ้าไร้เยื่อใยข้าจะไม่ตอแย เมื่อลาจากแล้วก็อย่าได้ฝันว่าข้าจะหันหลังกลับ!


นี่คือมุมมองที่เธอมีต่อความรัก และเป็นข้อบัญญัติของตัวเธอ


เมื่อก่อนเธอคิดว่าตนกับหลงซือเย่ไม่มีทางเป็นไปได้อีก ถึงอย่างไรก้หักหลังกันเช่นนั้น ไม่ว่าเขาจะชดเชยอย่างไรเธอก็ก้าวข้ามกำแพงในใจตนไปไม่ได้


แต่ระหว่างเธอกับเขากลับกลายเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน ถึงเขาจะเคยสลับตัวเธอตอนยังเด็กกระทำเรื่องผิดพลาดและผิดต่อเธอ แต่เรื่องเหล่านั้นที่เขาทำในภายหลังถึงแม้จะไม่เข้าท่าไปบ้าง แต่ก็เป็นเพราะหวังดีต่อเธอจริงๆ…


เช่นนั้นเธอควรจะหันกลับไปหรือไม่?


อย่างไรเสียตัวคนก็ยังมีชีวิตอยู่ จะมีความรักสักครั้งนั้นไม่ง่ายเลย


ว่ากันตามหลักเหตุผลแล้วเธอรู้สึกว่าควรให้อภัยเขา รำลึกความฝันในวันวานกับเขา แต่ถ้าว่ากันตามความรู้สึกแล้วเธอกลับปล่อยวางไม่ลง ไม่สามารถทุ่มสุดตัวได้อีก


หลงซีในอดีตมอบความรู้สึกอบอุ่นให้เธอ หลงซือเย่ในปัจจุบันก็ยังคงมอบความรู้สึกอบอุ่นให้เธอเหมือนเดิม เวลาที่อยู่กับเขาจะรู้สึกสงบสุขดั่งวันเวลาค่อยๆ ผันผ่านไปอย่างเชื่องช้า


ตนคงจะอาวรณ์ความรู้สึกอันงดงามนี้กระมัง?


“พวกเราไปลอยประทีปกันไหม?” หลงซือเย่ชักชวน


กู้ซีจิ่วส่ายศีรษะ “ไม่อยากลอย”


ปกติแล้วการลอยประทีปจะเป็นเรื่องของคู่รัก แต่เธอกับหลงซือเย่ยังไม่ได้อยู่ในความสัมพันธ์เช่นนั้น อย่างน้อยตอนนี้ก็ยังไม่ใช่


“วางใจเถอะ พวกเราแค่ไปลอยประทีปมงคลสักอัน ไม่ใช่ประทีปคู่รักหรอก” หลงซือเย่ไม่ว่าเปล่าเท่านั้นยังดึงเอให้ออกเดินด้วย “พรุ่งนี้ไม่ใช่ว่าเธอต้องแข่งรอบชิงชนะเลิศหรอกเหรอ? พวกเราไปลอยเอาฤกษ์เอาชัยกันก่อนดีกว่า! อธิฐานให้เธอประสบความสำเร็จไง!”


….


หลงซือเย่กล่าวได้ถูกต้อง ดวงประทีปในแม่น้ำมิใช่ประทีปคู่รักไปเสียทั้งหมดจริงๆ ส่วนใหญ่มีประทีปทุกชนิด


มีทั้งประทีปอธิฐานการสอบคัดเลือกขุนนาง ประทีปอธิฐานขอให้บิดามารดาแข็งแรง…แน่นอนว่าประทีปที่มีเยอะที่สุดคือประทีปคู่รัก วาดหวังให้รักมั่นกันยืนยาวชั่วชีวิต…ต่างๆ นานา ประทีปสารพัดสีล่องลอยอยู่ในสายธารนำพาความวังนับไม่พ้นของมวลมนุษย์ในโลกหล้า มองจากที่ไกลๆ แล้วดูราวกับดาวดวงน้อย


ความจริงแล้วกู้ซีจิ่วไม่เชื่อเรื่องแบบนี้ หากว่าลอยประทีปสักดวงก็สามารถสมหวังได้ เช่นนั้นผู้ที่รับผิดเรื่องเหล่านี้จะยุ่งเพียงใดกัน?


ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด เธอนึกถึงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา


ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เป็นเทพ เทพผู้มีอำนาจเหนือทุกสิ่ง คนขายประทีปบอกว่า ขอเพียงมีความจริงใจ เขาก็จะมองเห็นคำอธิฐานในดวงประทีป จากนั้นก็จะช่วยให้เธอสมปรารถนา…


เชื่อว่าผู้ที่ลอยประทีปทุกคนล้วนจริงใจยิ่งทั้งนั้น แต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะมองเห็นสักกี่อันกัน? คนอย่างเขามิใช่ผู้ที่จะช่วยให้ผู้อื่นสมปรารถนาสะเปะสะปะ…


เมื่อนึกถึงนิสัยหยิ่งทะนงเช่นนั้นของเขา กู้ซีจิ่วจึงอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า ด้วยนิสัยพิสดารของท่านผู้เฒ่าเทพศักดิ์สิทธิ์ เขาไม่หาทางขัดขวางความปรารถนาเธอก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว! หากสบช่วงที่เขาอารมณ์ไม่ดีนึกอยากทำอะไรแผลงๆ คาดว่าความปรารถนานั้นคงล่มตั้งแต่ยังไม่เริ่ม!


เดิมทีเธอไม่ได้วางแผนว่าจะลอย แต่หลงซือเย่คอยชักชวนอยู่ด้านข้างตลอด กู้ซีจิ่วจึงครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วเขียนเรื่องหนึ่งลงไป ใส่เข้าไปในประทีปสมหวังดั่งใจดวงหนึ่ง ลอยไปบนแม่น้ำ มองมันค่อยๆ ลอยไปปะปนในทะเลแสงประทีปแล้วค่อยๆ ลอยห่างไป…


หลงซือเย่ก็ลอยด้วยอันหนึ่งเหมือนกัน แถมยังลอยอย่างเคารพบูชายิ่งนัก


กู้ซีจิ่วมองอยู่ครู่หนึ่งในที่สุดก็อดไว้ไม่อยู่ “ฉันคิดว่าถ้าคุณมีความปรารถนาจากใจจริงก็ควรไปขอกับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ตรงๆ ดีกว่า น่าจะได้เรื่องกว่าเขียนความปรารถนาใส่ไว้ในประทีป”


หลงซือเย่ส่ายศีรษะเล็กน้อย “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์…มิใช่จะพบได้ง่ายดายปานนั้น แถมเขายังสูงส่งถึงขนาดนั้น ไม่แปดเปื้อนโลกโลกีย์ หลายปีมานี้ฉันเคยคุยกับเขาไม่ถึงสิบประโยคด้วยซ้ำ”


บทที่ 677 เธอไม่รู้จักเขาแล้ว


กู้ซีจิ่วเงียบงัน


ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จากถ้อยคำของหลงซือเย่กับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เธอรู้จักใช่คนเดียวหรือไม่?


เธอมองประทีปของหลงซือเย่ที่ลอยไปไกล จะว่าไปก็แปลก เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าประทีปของเขาลอยทีหลังเธอ หลังจากปล่อยไปแล้วมีระยะห่างกับประทีปของเธอช่วงใหญ่ นึกไม่ถึงว่าผ่านไปครู่เดียว ประทีปของเขาจะไล่ตามประทีปของเธอทัน


ประทีปสองดวงอยู่เคียงกัน ลอยไปพร้อมกัน น่ามองกว่าประทีปคู่รักเหล่านั้นเสียอีก


กู้ซีจิ่วมองอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนสายตากลับมา เธอรู้ว่าหลงซือเย่แอบเล่นเล่ห์ อันที่จริงคืนนี้เขาใช้สารพัดวิธีเพื่อสื่อความในใจอยู่ตลอด


สายลมริมแม่น้ำหนาวยะเยือก ถึงแม้จะเป็นเพียงต้นฤดูใบไม้ร่วง แต่ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดน้ำในแม่น้ำสายนี้ถึงเย็นเยียบอยู่ตลอดปี ดังนั้นริมแม่น้ำจึงหนาวเย็นมากเช่นกัน


“หนาวไหม?” หลงซือเย่ถอดเสื้อคลุมตัวนออกแล้วคลุมลงบนไหล่เธอ


กู้ซีจิ่วตัวแข็งทื่อ เสื้อคลุมตัวนอกของเขาแฝงความอบอุ่นบางๆ จากร่างเขาไว้ แถมยังเจือกลิ่นหอมยาจางๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเขาไว้ด้วย…


กลิ่นยานี้แตกต่างจากจากตอนที่เขาเป็นหลงซี ถึงจะเป็นกลิ่นยาเหมือนกัน ทว่ากลิ่นบนร่างหลงซือเย่หอมกว่า แต่กลับไม่ใช่กลิ่นที่เธอคุ้นเคย…


เธอดึงเสื้อคลุมตัวนอกผืนนั้นออกจากไหล่ ส่งคืนเขา กล่าวยิ้มๆ “ตอนนี้ฉันไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาแล้วนะ ความเย็นนิดๆ หน่อยๆ แค่นี้ฉันไม่หนาวหรอก”


หลงซือเย่ก็ไม่บังคับเธอ เพียงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “ในใจฉัน เธอคือกู้ซีจิ่วตลอดกาล ไม่ว่าจะพิเศษหรือธรรมดา…”


ดูท่าคืนนี้คนผู้นี้คงถูกคุณยายฉยงเหยาสิงร่างจริงๆ!


ถ้อยคำหวานซึ้งประโยคแล้วประโยคเล่าถูกกล่าวออกมา แถมยังใช้อย่างเป็นเหตุเป็นผลถึงเพียงนี้


เธอไม่รู้จักเขาแล้ว


เพียงแต่…


เอสูดหายใจเข้าลึกๆ มองหลงซือเย่แล้วถามออกมาตรงๆ “เจ้าสำนักหลง คุณตามจีบฉันเหรอ?”


เมื่อหลงซือเย่ถูกเธอเรียกว่าเจ้าสำนักหลงก็ตัวแข็งทื่อ ถอนหายใจออกมา “ฉันรู้สึกว่านี่ไม่น่าใช่ประโยคคำถามนะ แต่เป็นประโยคยืนยัน”


กู้ซีจิ่วเม้มปาก “แต่ฉันยังไม่แน่ว่าจะตอบรับความรู้สึกคุณได้ แม้กระทั่งทุกอย่างที่คุณเล่าในคืนนี้ฉันก็ยังไม่เชื่อทั้งหมด…”


เมื่อเห็นหลงซือเย่เหมือนอยากจะเอ่ยอะไร เธอเลยพูดต่อไป “ฉันรู้ว่าฉันควรเชื่อ แต่ฉันรู้ว่าในใจของฉันยังทำไม่ได้ ดังนั้นเลยไม่อยากปิดบังคุณ ฉันเกลียดคนที่หลอกลวงเรื่องสำคัญกับฉันที่สุด ไม่ว่าเขาจะมีวัตถุประสงค์อะไร แต่หลอกลวงก็คือหลอกลวง ดังนั้นอย่าให้ฉันพบว่าทุกอย่างที่คุณเล่ามาเป็นเรื่องโกหก ต่อให้คุณโกหกแค่ประโยคเดียว ฉันก็จะละทิ้งทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณอีกแม้แต่น้อย คุณกล้ารับประกันไหม?”


หลงซือเย่กำลังจะพยักหน้า กู้ซีจิ่วก็เอ่ยขัดเขาอีกครั้ง “อย่าเพิ่งรีบพยักหน้ายอมรับ ฉันยังมีเรื่องจะพูดอีก ฉันจะให้โอกาศคุณอีกครั้ง ตอนนี้คุณยังสามารถบอกความจริงได้ ขอเพียงคุณมา ฉันรับรองว่าจะไม่ซักไซ้อะไรแน่นอน ยังจะพิจารณาความสัมพันธ์ของคุณกับฉันเหมือนเดิม แต่ถ้าคุณพลาดช่วงเวลาในคืนนี้ไปแล้ว ฉันจะไม่ให้โอกาสคุณอีก ตอนนี้ คุณจะรับประกันอยู่ไหม?”


ดวงตาทั้งคู่ของเธอสุกสกาวดั่งแสงดารา แฝงแววเฉียบคมรางๆ รอคำตอบจากเขา


หลงซือเย่ก็ตอบอย่างไม่ลังเล “ซีจิ่ว ฉันรับประกัน! ทุกอย่างที่เล่าให้เธอฟังในคืนนี้เป็นความจริง!”


กู้ซีจิ่วหลับตาลงเล็กน้อย จากนั้นก็ลืมตามองเขา “ขอเวลาฉันทบทวนสองสามวัน ตัวฉันในตอนนี้ยังตัดสินใจให้ตัวเองไม่ได้”


“ซีจิ่ว ฉันรอไหว และสามารถรอเธอได้ตลอด” น้ำเสียงหลงซือเย่อ่อนโยน


เขายืนอยู่ตรงนั้น สายลมพัดเสื้อคลุมเขาเลิกขึ้นนิดๆ ขับเน้นให้ตัวคนสง่างามดั่งต้นอวี้ แววตาสุกใสดุจดวงเดือน


ทำให้คนนึกถึงภาษิตขึ้นมาอย่างง่ายดาย ‘คนแปลกหน้าที่งดงามปานหยก’


บางทีอาจเป็นเพราะคืนนี้คือเทศกาลความรัก ทำให้คนอ่อนไหวง่าย ดังนั้นหัวใจของกู้ซีจิ่วจึงอุ่นวาบขึ้นมา


“อ๋า สารภาพรักแล้ว! คู่นี้สารภาพรักกันจริงๆ ด้วย!”


————————————————————————————-


บทที่ 678 อยู่ตรงหน้าดั่งไม่พบพาน มีรักมิสู้ไร้ใจ


“ข้าเติบใหญ่มาจนป่านนี้ในที่สุดก็ได้เห็นคู่ต้วนซิ่วตัวเป็นๆ แล้ว!”


“ทั้งสองคนรูปงามนัก น่าเสียดาย เป็นต้วนซิ่วไปเสียได้!”


เสียงกระซิบกระซาบพูดคุยขัดจังหวะความอบอุ่นในหัวใจของกู้ซีจิ่ว เธอเหลียวมองแวบหนึ่ง ถึงพบว่าตอนนี้รอบข้างมีผู้คนรายล้อมอยู่…


เธอกระแอมไอคราหนึ่ง ลากหลงซือเย่จากไป


“เขินเหรอ?” หลงซือเย่ข่มใจไว้ไม่อยู่อยากจะยิ้มออกมา ทว่านัยน์ตากลับมองมือเธออยู่ นับแต่พบกันอีกหน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจูงมือเขาก่อน เมื่อก่อนเวลาที่เธอจับมือเขา เขาไม่รู้สึกอะไรสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้พอถูกเธอจับมืออีกครั้งกลับรู้สึกเปี่ยมสุขนัก


“เขินบ้าเขินบออะไร!” กู้ซีจิ่วก็ยิ้มออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ “ผู้เฒ่าแค่ไม่อยากถูกคนที่มุงดูคิดว่าเป็นฝ่ายรับ! เคราะห์ดีที่ผู้เฒ่ามิใช่บุรุษ ไม่เช่นนั้นคงต้องแบกรับชื่อเสียงต้วนซิ่วนี้ไว้!” ทันใดนั้นเธอก็คิดเพ้อเจ้อขึ้นมา “ใช่แล้ว การกลับชาติมาเกิดแบบนี้ยากจะรับประกันได้ว่าจะกลายเป็นชายหรือหญิง ถ้าหากฉันกลับชาติมาเกิดเป็นผู้ชายล่ะ…”


“ถ้างั้นฉันก็จะเป็นต้วนซิ่ว!” หลงซือเย่กุมมือเธอแน่น


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก…


เธอกระแอมไอ “ฉันคิดว่าต่อให้ฉันกลับชาติมาเกิดเป็นผู้ชายรสนิยมทางเพศก็คงจะปกติมาก ในตอนนั้นฉันคงจะชอบผู้หญิง ไม่คดงอ”


“อันที่จริงก็ไม่ยากนะ” น้ำเสียงหลงซือเย่เนิบนาบ “อย่าลืมว่าฉันเป็นหมอ สามารถผ่าตัดแปลงเพศได้”


“ฉันไม่คิดจะแปลงเพศหรอกนะ!” กู้ซีจิ่วเอ่ยขัดเขา เธอยังชอบเพศสภาพตามธรรมชาติอยู่ ควรเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้น


“งั้นฉันแปลงเพศเอง!” หลงซือเย่โพล่งออกมา


กู้ซีจิ่วตกตะลึง คนๆ นี้บ้าไปแล้ว! เขาอยู่ในฐานะผู้ชายมาร้อยแปดสิบปีแล้วคิดจะเปลี่ยนเป็นผู้หญิงจริงๆ เหรอ…


ถ้าบอกว่าไม่ซาบซึ้งเลยก็คงจะโกหก คราวนี้กู้ซีจิ่วไม่ได้ชักมือตนกลับ ยอมให้เขาจูงมือเดินเลียบริมแม่น้ำ


ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ไปชั่วชีวิตก็ไม่เลว ทั้งสองคนผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายมาแล้ว เรื่องราวอื่นๆ จึงดูเบาบางไปเลย


ชั่วชีวิตช่างยาวนานเหลือเกิน หาผู้ที่รักกันด้วยใจจริงได้ยากนัก ในเมื่อชอบพอคนผู้หนึ่งแล้ว เช่นนั้นก็ควรแต่งงานซะ!


อีกอย่างใครจะรับรองได้ว่าชั่วชีวิตจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้น? ขอเพียงไม่ใช่เรื่องที่ผิดต่อหลักการก็พอแล้ว


บนโลกนี้ คนที่ไม่มีความรักต่อกันยังสามารถจูงมือประคับประคองกับไปชั่วชีวิตได้เลย เช่นนั้นเธอกับเขาที่ผ่านประสบการณ์ข้อพิพาทบุญคุณความแค้นมาแล้ว ถ้าก้าวไปด้วยกันอีกครั้ง ผู้ใดบอกไว้เล่าว่าพวกเขาจะยั่งยืนตราบชั่วฟ้าดินสลายไม่ได้?


“หลงซือเย่ วันมะรืนจะเป็นวันเข้าพิธีปักปิ่นในวัยสิบห้าปีของร่างนี้ คุณจะมาหาฉันไหม?” กู้ซีจิ่วเอ่ยขึ้นมา


ดวงตาหลงซือเย่ทอประกายทันที “แน่นอน!” เขาทราบดี ว่าเธอจะให้คำตอบเขาในวันนั้น


ซีจิ่วของเขา เป็นคนเด็ดขาดตรงไปตรงมาเช่นนี้เสมอ


….


ดวงดาวส่องสกาวเต็มฟากฟ้า กระจัดกระจายอยู่บนท้องนภา แต่ละดวงมีวงโคจรของตน แต่ละดวงต่างมีชะตากรรมของตน


ถ้าคุณไม่เข้าใจโหราศาสตร์ เวลาที่คุณเงยหน้ามองดวงดาว จะดูเหมือนว่าไม่เคยมีความเปลี่ยนแปลงเลย แต่กลับไม่ทราบว่าดวงดาวเหล่านี้ก็มีขึ้นมีลง มีกำเนิดใหม่และมีแตกดับ…


บนแท่นชมดาวที่แสนใหญ่โต เทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูเอนกายอยู่บนตั่งหยกขาวตัวหนึ่ง ด้านข้างคือโต๊ะหยกขาว บนโต๊ะมีสุรามีน้ำชาและมีภาพวาด…


สุราเป็นสุราที่นางเคยเมามาย ชาคือชาที่นางเคยชื่นชม ส่วนภาพวาด ก็คือภาพเหมือนของนาง


ในภาพคือเด็กสาวชุดดำคนหนึ่ง เรือนผมดำขลับ บุคลิกเย็นชา ใบหน้าน้อยๆ แฝงแววหยิ่งทะนงไม่ยอมศิโรราบ ราวกับกำลังมองเขาอยู่


เขาเพ่งพิศภาพนั้นอยู่พักหนึ่ง แล้วยืดกายขึ้นเขียนกลอนลงบนภาพนั้นสองวรรค ‘อยู่ตรงหน้าดั่งไม่พบพาน มีรักมิสู้ไร้ใจ’


เมื่อเขียนเสร็จ ก็เงยหน้าขึ้นมองดวงดาวบนฟ้าอยู่ครู่ใหญ่ พบว่าดาวน้อยที่ขึ้นมาใหม่ดวงนั้นเหมือนจะเจิดจ้าขึ้นกว่าเดิม


เดิมทีมันอยู่โดดเดี่ยวดวงเดียว แต่ตอนนี้รอบกายมันเริ่มปรากฏดาวหลายดวงรายล้อม มีอยู่สองสามดวงที่ถึงขั้นเจิดจ้ากว่ามันเสียอีก…


บทที่ 679 นางกำลังเผชิญหน้ากับความเป็นความตายหรือ?


แต่เขารู้ดี ถึงดาวดวงอื่นจะสว่างไสวเพียงใดก็เป็นได้เพียงดาวบริวารที่โคจรรอบมันเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็วแสงของมันจะเจิดจ้าจนกลบดาวบริวารทั้งหมดกลายเป็นตัวตนที่โดดเด่นที่สุด และก่อตัวเป็นดาราจักรของมันเอง…


จากนั้นเขาก็มองดวงดาวกลางท้องนภาที่เจิดจ้าที่สุดดวงนั้น มันยังเปล่งแสงรุ่งโรจน์เช่นเดิม ส่องสว่างทั่วท้องนภา


แต่ผู้ใดจะทราบว่ามันจะส่องแสงได้อีกนานเพียงใด? สามารถค้ำจุนโลกใบนี้ได้อีกนานแค่ไหน?


เขาลุกขึ้นยืน สะบัดแขนเสื้อพรึ่บ บนพื้นมีลูกแก้วเก้าลูกเปล่งแสงขึ้นมาตามลำดับ เรียงตัวเป็นผังนพเคราะห์ เขาสวมชุดขาว ชักกระบี่ออกมา ทำพิธีอยู่ใจกลางกลุ่มลูกแก้ว แสงสีรุ้งอ่อนจางแผ่ออกมารอบกายเขา พุ่งขึ้นไปบนฟ้า…


หนึ่งชั่วยามผ่านไป ดวงดาวที่สว่างที่สุดดวงนั้นเจิดจ้าขึ้นมาอีกครั้ง ดูราวกับพระอาทิตย์ดวงน้อยก็มิปาน…


ดั่งสุภาษิตว่าไว้ เดือนเด่นดาวจะดับ


อันที่จริงก็มิใช่ว่าดวงดาวดับไปจริงๆ แต่เป็นแสงจันทร์สว่างเกินไป จึงบดบังดวงดาวทั้งหมดอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นผู้คนที่อยู่บนพื้นจึงมองไม่เห็นพวกมัน เช่นนี้จึงดูเหมือนหมองลงไปมาก


ยามนี้ก็เช่นกัน ดาวหลักดวงนั้นเจิดจ้าเกินไป บดบังแสงดาวส่วนใหญ่บนฟากฟ้า


ดาวน้อยที่กำเนิดใหม่ดวงนั้นเดิมทีก็ไม่โดดเด่นอยู่แล้ว บัดนี้พอถูกแสงสว่างของดาวหลักบดบัง ก็แทบจะมองไม่เห็นเลย…


เห็นได้ชัดว่าวิชาเช่นนี้สิ้นเปลืองพลังยุทธ์ยิ่งนัก ยามที่หวงถูประกอบพิธีเสร็จ สีหน้าก็ซีดเซียวมากแล้ว เขานั่งลงไป จิบสุราอึกหนึ่ง จู่ๆ ก็สำลักขึ้นมา สีหน้าย่ำแย่กว่าเดิม


“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์?” ด้านนอกแว่วเสียงถามไถ่ด้วยความห่วงใยของทูตเฉิงเอ้อ


“มีอันใด? ว่ามา!”


“เอ่อ ข้าน้อยแค่คิดจะรายงานให้ท่านทราบว่า สถานการณ์ในเมืองหลวงของอาณาจักรเฟยซิงปกติดี ไม่มีอะไรผิดปกติขอรับ” จากนั้นก็นิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วรายงานต่อ “สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ก็ปกติดีขอรับ เพียงแต่แม่นางกู้ซีจิ่ว…” ดูเหมือนเขาจะนึกไม่ออกว่าควรพูดอย่างไรดีขึ้นมาชั่วขณะ จึงนิ่งไป


หวงถูที่อยู่ด้านในน้ำเสียงราบเรียบ “นางเกิดอุบัติเหตุขึ้นหรือ?”


“ไม่มีขอรับ! นางสบายดี อยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ก็ปรับตัวได้ดุจมัจฉาพบวารี…”


หวงถูตัดบทเขา “ดูเหมือนเปิ่นจุนจะเคยสั่งการพวกเจ้าไว้แล้ว เรื่องของนางถ้ามีมีเรื่องใหญ่อันใดก็ไม่ต้องมารายงานเปิ่นจุนเป็นพิเศษ นอกจากจะเป็นเรื่องความเป็นความตาย นางกำลังเผชิญหน้ากับความเป็นความตายหรือ?”


“ไม่ขอรับ! นางสบายดี!” ทูตเฉิงเอ้อรีบตอบ “เพียงแต่วันนี้เป็นเทศกาลความรัก นางลงเขาไปเที่ยวเล่นเพียงลำพัง บังเอิญพบหลงซือเย่ในเมืองเล็ก ทั้งสองเที่ยวเล่นด้วยกันทั้งคืน ดูแล้วสำราญยิ่งนัก…”


ทูตเฉิงเอ้อกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ออกมาอย่างรวดเร็ว พอกล่าวจบก้ถอนใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง


มารดาเถอะ ในที่สุดเขาก็ได้พูดเรื่องที่อยากบอกท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ออกมาแล้ว!


ในแท่นชมดาว มือของหวงถูที่กำลังรินสุราอยู่พลันชะงัก สุราไหลล้นออกมาจากจอกสุรา…


ยามที่เขาพบเห็น สุรานั้นก็ชุ่มโชกภาพวาดบนโต๊ะแล้ว ทำให้ภาพเหมือนที่เพิ่งวาดเสร็จพร่าเลือนอย่างรวดเร็ว…


เขาขมวดคิ้วครู่หนึ่ง แล้วทำลายภาพนั้นทิ้ง เอ่ยถามประโยคหนึ่ง “หลงซือเย่มิใช่จับตามองหรงเช่อยู่รึ?”


“เรียนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ พรุ่งนี้สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์จะมีการประลองคู่สำคัญ เป็นการประลองระหว่างกลุ่มของแม่นางกู้กับกลุ่มของสตรีศักดิ์สิทธิ์อวิ๋น หากว่าแม่นางกู้ชนะ จะได้เข้าชั้นเรียนเมฆาม่วงอย่างเที่ยงธรรมผ่าเผย นี่ย่อมกลายเป็นการต่อสู้อย่างดุเดือดนัดหนึ่ง อาจารย์ใหญ่กู่เกรงว่าศิษย์ทั้งสองกลุ่มควบคุมกำลังไม่อยู่ คมกระบี่ไร้ดวงตาอาจทำให้บาดเจ็บล้มตายได้ ดังนั้นจึงส่งสารถึงหลงซือเย่ เชิญเขาไปนั่งคุมสถานการณ์ในวันพรุ่งนี้…”


ทูตเฉิงเอ้อเล่าถึงตรงนี้ก็สูดลมหายใจเข้าไปเบาๆ เงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวด้านใน เมื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ไม่มีท่าทีว่าจะเอ่ยขัดตน เขาจึงระดมความกล้ากล่าวต่อไป “เช้าวันนี้หลงซือเอ่ยได้ขอลาหยุดกับข้าน้อยแล้วขอรับ แถมยังจัดวางผู้ที่เหมาะสมไว้ข้างกายหรงเช่อแทนเขาแล้ว น่าจะไม่เกิดปัญหาอะไรขึ้นขอรับ”


————————————————————————————-


บทที่ 680 พรุ่งนี้ไปชมเรื่องครื้นเครงที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์กัน


ด้านในเงียบงันไปสักพัก ในที่สุดเสียงของหวงถูก็แว่วออกมา “อวิ๋นชิงหลัวจับกลุ่มกับผู้ใด? กลุ่มของนางมีศักยภาพเพียงใด?”


เห็นได้ชัดว่าทูตเฉิงเอ้อทราบสถานการณ์อย่างชัดเจน รีบรเอ่ยายงานทันที “เป็นเล่อชิงซิ่งกับเล่อจื่อซิ่งขอรับ ล้วนแต่เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะทั้งสิ้น! เกรงว่ากลุ่มของแม่นางกู้ต้องแพ้เป็นแน่…”


ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เงียบไปครู่หนึ่ง “ความพ่ายแพ้ของนางเกี่ยวอันใดกับข้าผู้เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์?”


ทูตเฉิงเอ้อนิ่งงัน


ดูเหมือนท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะวางมือแล้วจริงๆ ไม่สนใจเรื่องของกู้ซีจิ่วอีกต่อไป ทำได้เพียงสวดภาวนาให้แม่นางน้อยผู้นั้นพึ่งพาตัวเองแล้ว


เคราะห์ดีที่เด็กสาวผู้นั้นเอาตัวรอดเก่ง สามารถปรับตัวตามสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ไม่ทำให้คนต้องกังวลจนเกินไป


ว่ากันตามจริงแล้วเขาชอบเด็กสาวผู้นั้นอย่างยิ่ง ขณะที่เขาใจลอยอยู่ ป้ายหยกตรงเอวเขาก็ส่องแสงขึ้นมา เขาเปิดใช้งาน ด้านในปรากฏภาพมู่เตี่ยนที่มีสีหน้ากระวนกระวายขึ้นมา “มู่เหลย อาณาจักรเฟยซิงผิดปกติแล้ว!”


มู่เหลยสีหน้าเคร่งขรึมทันที “ผิดปกติยังไง?”


“หัวเมืองหนึ่งของอาณาจักรเฟยซิงถูกสังหารล้างบางในชั่วข้ามคืน สภาพการตายแปลกประหลาด เหลือพยานรอดมาแจ้งเบาะแสเพียงคนเดียว จักรพรรดิซวนพิโรธนัก ส่งคนรุดไปตรวจสอบดู แต่คนทั้งหมดที่ส่งไปประหนึ่งซาลาเปาเนื้อที่ถูกขว้างใส่สุนัข[1] ไม่กลับมาอีกเลย จักรพรรดิววนส่งนายพลไป ก็ไปแล้วไปลับไม่กลับมาเช่นเดิม ตอนนี้ประชาชนในอาณาจักรเฟยซิงต่างอกสั่นขวัญแขวน พวกเราควรจัดการหรือไม่?”


มู่เหลยสูดหายใจเฮือกหนึ่ง “แล้วองค์ชายหรงเช่อมีปฏิกิริยาอะไรบ้างไหม?”


“ไม่มีเลย เขาน่าจะยังไม่รู้ ตามที่สายสืบรายงานกลับมา เนื่องจากเขาบาดเจ็บสาหัสนัก จักรพรรดิซวนจึงให้เขาหยุดพักครึ่งปี ให้เขาไม่ต้องเข้าร่วมว่าราชกิจ ดังนั้นยามนี้เขาเลยชมนกชมไม้ชมสาวงามอยู่ในตำหนักองค์ชายแปดของเขาตลอด…”


มู่เหลยรีบนำข่าวที่ได้รับมาจากมู่เตี่ยนไปรายงานแก่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ เมื่อรายงานเสร็จก็ไม่ได้ที่จะเอ่ยออกมาประโยคหนึ่ง “ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ พวกเราจับตามองผิดคนหรือเปล่าขอรับ?”


ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์นิ่งเงียบอยู่ตลอด มู่เหลยจึงไม่กล้าถามอีก ระยะนี้ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่เสมอ ยามที่เขาอารมณ์ไม่ดีจะชอบกลั่นแกล้งทรมานคน…


มู่เหลยไม่อยากประสบพบเจอพายุอารมณ์ลูกนั้น…


ผ่านไปครู่หนึ่ง ประตูก้เปิดออก เทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูก้าวออกมา เขาเอ่ยสั่งการมู่เหลย “เก็บกวาดให้เรียบร้อย พรุ่งนี้ไปชมเรื่องครื้นเครงที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์กัน”


มู่เหลยตกตะลึง เขานึกว่าท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จะไปจัดการคดีที่อาณาจักรเฟยซิงเสียอีก ไม่นึกเลยว่า…


“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ เช่นนั้นพวกเราจะไม่ไปตรวจสอบคดีที่อาณาจักรเฟยซิงหรือขอรับ? ไม่ง่ายเลยกว่าอีกฝ่ายจะโผล่หัวออกมาจากกระดอง…” มู่เหลยเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่ได้


หวงถูมองเขา สายตาเหมือนมองตัวโง่เง่าตัวหนึ่งยิ่งนัก มองจนทำให้มู่เหลยสงสัยในสติปัญญาของตน เขาถึงเปิดปากเอ่ยช้าๆ “จิ้งจอกตัวหนึ่งคิดจะกินลูกเสือ แต่ในถ้ามีเสือคอยเฝ้าอยู่ มันควรจะทำอย่างไร?”


มู่เหลยไม่คิดว่าท่านเทพศักดืสิทธิ์จะเล่านิทานเด็กน้อยให้เขาฟังกะทันหัน จึงตอบอย่างแทบไม่คิดเลยว่า “แน่นอนว่าต้อหาทางล่อเสือออกมาจากถ้ำก่อน”


“อืม แค่ล่อออกมาจากถ้ำใช่ไหม?”


“ไม่ใช่!จะต้องล่อเสือให้ไปไกลๆ เมื่อเสือออกห่างจากภูเขาถึงจะกินลูกของมันได้”


พอกล่าวมาถึงตรงนี้มู่เหลยก็ดูเหมือนจะเข้าใจแล้ว “ความหมายของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ก็คือคนผู้นั้นต้องการใช้แผนล่อเสือออกจากถ้ำกับพวกเราใช่ไหมขอรับ?!”


ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ใจชื้นขึ้นมาก “ในที่สุดสติปัญญาที่เถลไถลไปของเจ้าก็กลับมาบ้างแล้ว”


มู่เหลยสีหน้าอึมครึม เพียงแต่เขายังงงงวยอยู่ “แต่เหตุใดท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ถึงทราบว่าคนผู้นั้นจะลงมือกับสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์? อาจเป็นที่อื่นก็ได้นะขอรับ?”


ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์งุนงงกว่าเขาอีก ถามเขากลับว่า “สถานที่ที่เปิ่นจุนเลี้ยงลูกเสือไว้ยังมี่ที่อื่นอีกหรือไง?”


มู่เหลยพูดไม่ออก เอาเถอะ!


เขาดูอึกๆ อักๆ เหมือนยังมีอะไรจะพูดอีก ท่านเทพศักดิ์จึงกล่าวอย่างเหลืออด “มีอะไรก็ว่ามา!”


“ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ขอรับ ข้าน้อยคิดว่า ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มองสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เป็นสถานที่เลี้ยงลูกเสือ แต่ไม่แน่อีกฝ่ายอาจไม่ได้มองเช่นนั้น”


————————————————————————————-


[1] ซาลาเปาเนื้อที่ถูกขว้างใส่สุนัข หมายถึง ไปแล้วไม่กลับมาหรือให้ไปแล้วไม่มีทางได้คืน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)