หมอดูยอดอัจฉริยะ 672-673
ตอนที่ 672 โลกียะโลก
Ink Stone_Fantasy
ถึงแม้แขนและมือทั้งสองข้างของเยี่ยเทียนจะขยับได้ แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ว่า พลังงานที่ปกป้องแผลที่บาดเจ็บนั่นมีจำนวนจำกัด อย่างน้อยที่สุดก็ไม่สามารถออกแรงที่แขนของตัวเองได้
ดังนั้นเยี่ยเทียนถึงอยากให้อวี๋ชิงหย่าลองประคองตัวเองให้ลุกขึ้นมา แต่ไม่คิดว่าเธอจะตื่นเต้น แล้วก็วิ่งไปบอกพ่อกับแม่ เหลือเยี่ยเทียนที่นอนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับใบหน้าที่จะร้องไห้ก็ไม่ได้จะหัวเราะก็ไม่ออก
“เสี่ยวเทียน ลูก…มือลูกขยับได้แล้วเหรอ?”
แค่เวลาเพียงครู่เดียว คนที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์หลังนี้ทุกคนก็กรูกันเข้ามา ซ่งเวยหลันเข้าไปหาเยี่ยเทียนก่อนเป็นคนแรก เธอมีใบหน้าที่ตึงเครียด เพราะกลัวว่าอวี๋ชิงหย่าจะเข้าใจผิดและบอกข้อมูลผิดไปด้วย
“แม่ครับ แม่จะเครียดไปทำไม? แต่ก่อนมือของผมก็ขยับได้ไม่ใช่เหรอ!”
เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสความตึงเครียดของแม่ได้ จึงรีบยิ้มพูด “อาการบาดเจ็บของผมสามารถฟื้นกลับมาเป็นเหมือนเดิม พวกคุณไม่ต้องเครียดขนาดนั้นหรอก อ้อใช่ เซี่ยวเทียน นายประคองฉันขึ้นมาหน่อย”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียที่ยังไม่ทันถามเยี่ยเทียนถึงเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเมื่อคืน จึงรีบพูดห้าม “ศิษย์น้องเล็ก จะประมาทไม่ได้ กระดูกสันหลังของเธอแตกหักสามส่วน ถ้าหากผิดตำแหน่งทั้งหมด เกรงว่าจะรักษาไม่ได้อีกแล้ว”
โก่วเซินเจียเดิมทีก็มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม เกี่ยวกับแพทย์แผนตะวันตก เขาแค่ดูผ่านๆ ตาก็เข้าใจภาพของเอ็กซเรย์พวกนั้นทั้งหมด เขารู้ว่าเยี่ยเทียนเจ็บหนักมาก ต่อให้มีจิตดั้งเดิมคอยปกป้องร่างกาย ก็ไม่ควรจะประมาทเลินเล่อแม้แต่นิดเดียว
“ศิษย์พี่ใหญ่ ไม่เป็นไร ผมอยากลองดู และวางน้ำหนักอยู่ที่ตัวของเซี่ยวเทียน”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าเล็กน้อย ความจริงเขาก็มีความกลัวอยู่ในใจ กลัวว่าตัวเองจะไม่อาจลุกขึ้นได้อีก ดังนั้นถึงได้ยืนกรานอยากจะลองลุกขึ้นดู
“ก็ได้ เธอระวังหน่อยนะ!” โก่วซินเจียส่ายหน้าอย่างจนใจ แล้วจึงส่งสายตาให้โจวเซี่ยวเทียน
“อาจารย์ อาจารย์วางมือไว้บนไหล่ของผม”
เมื่อเดินมาถึงหน้าเปลหามของเยี่ยเทียน โจวเซี่ยวเทียนจึงใช้สองมือจับไปที่ซี่โครงล่างของเขา หลังจากค่อยๆ ยกร่างกายของเขาขึ้นมาแล้ว จึงรีบเอาตัวแนบเข้าไป ใช้ไหล่ขวาแบกเยี่ยเทียน ขณะเดียวกันก็ใช้มือขวาโอบไปที่หลังของเขา
“ในที่สุดก็ยืนได้แล้ว!”
เยี่ยเทียนคิดว่าบนตัวของเขาจะมีบาดแผลมากมาย ตอนที่เท้าทั้งสองเหยียบลงไปบนพื้น จึงอดมีสีหน้าที่ตื่นเต้นไม่ได้ ว่ากันว่าคนที่ป่วยหนักถึงจะรู้ถึงความสำคัญของสุขภาพที่แข็งแรง ตอนนี้เยี่ยเทียนก็มีอารมณ์เช่นนี้
เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงที่ไหล่ของโจวเซี่ยวเทียน เยี่ยเทียนจึงตบเขาเบาๆ พลางพูด “เซี่ยวเทียน นายทำตัวต่ำๆ หน่อย ให้ฉันได้เหยียบเต็มที่!”
“อาจารย์ จะไหวเหรอครับ?” โจวเซี่ยวเทียนได้ยินจึงสับสน พลางมองเยี่ยเทียนด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“เหลวไหล มีหรืออาจารย์ของนายจะทำอะไรไม่ได้?” เยี่ยเทียนถลึงตามอง จะว่าไปแล้วถึงคนจะเต็มบ้าน แต่เขาก็สามารถใช้ลูกศิษย์คนนี้ได้คนเดียว
โจวเซี่ยวเทียนลดตัวต่ำลงเล็กน้อยอย่างไม่ค่อยเต็มใจ สองเท้าของเยี่ยเทียนรู้สึกถึงความหนัก แต่ขณะเดียวกัน เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นมา
“ยังไม่ได้ สงสัยจะต้องพักรักษาตัวอีกระยะหนึ่ง!”
น้ำหนักของร่างกาย ทำให้พลังของจิตที่อยู่ภายในร่างกายของเยี่ยเทียนไม่สามารถยึดกระดูกสันหลังที่หักของเขาได้ เยี่ยเทียนก็ไม่ดื้อดึง แล้วรีบย้ายน้ำหนักกลับไปบนไหล่ของโจวเซี่ยวเทียน
สำหรับเรื่องที่ลุกยืนไม่ได้ ตัวของเยี่ยเทียนก็พะว้าพะวงอยู่เหมือนกัน แต่เขากลับไม่รู้ว่า ถ้าหากหมอเวย์แมนมาเห็นสภาพของเขาในตอนนี้ จะต้องคิดว่าเยี่ยเทียนเป็นลูกนอกสมรสของพระเจ้าแน่นอน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่ได้รับการสนใจดูแลขนาดนี้
อาการบาดเจ็บบนตัวของเยี่ยเทียน อย่าว่าแต่ลุกขึ้นยืนเลย แม้แต่นั่งก็ยังนั่งไม่ได้ หนำซ้ำอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังก็ยังมีผลต่อประสาทศูนย์กลาง ตามหลักแล้ว ร่างกายท่อนล่างของเยี่ยเทียนควรจะไม่มีความรู้สึก
ดังนั้นการแสดงออกของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ จึงมากพอที่จะล้มล้างความรู้เรื่องกระดูกสันหลังของมนุษย์ของพวกหมอฝีมือเยี่ยม และเกรงว่าองค์กรลึกลับของพื้นที่ Area 51 คงจะทำทุกวิถีทางเพื่อนำตัวเยี่ยเทียนไปทำการวิจัย
“แม่ครับ แม่เป็นอะไร?” ตอนที่เยี่ยเทียนกลับไปนอนในเปลอีกครั้ง กลับพบว่าแม่กำลังเช็ดน้ำตาอยู่
“ปะ…เปล่า แม่แค่ดีใจ!”
ถึงแม้ลูกชายจะก้าวไม่สำเร็จ แต่การลุกขึ้นของเขา ก็ทำให้ซ่งเวยหลันมองเห็นความหวังในการฟื้นฟูของเยี่ยเทียน เธอจึงร้องไห้ออกมาด้วยความดีใจ
“เฮ้อ ไม่รู้ว่าต้องนอนอีกนานแค่ไหน”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางพูด “ศิษย์พี่รอง รบกวนพี่กับเซี่ยวเทียนช่วยหามผมกลับไปที่ห้องที อีกเดี๋ยวพระอาทิตย์ส่อง จะอยู่ตรงนี้ไม่ไหวแล้ว”
ช่วงเดือนกันยายนของฮ่องกง กำลังเป็นช่วงที่ร้อนอบอ้าวที่สุดของปี ถึงแม้ค่ายกลชุมนุมพลังจะสามารถปรับอุณหภูมิในคฤหาสน์หลังนี้ได้ แต่ถ้าถูกแสงอาทิตย์ส่องมาที่ตัว ความรู้สึกแบบนั้นก็ไม่น่าสบายเท่าไร
หลังจากกลับเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว ซ่งเวยหลันมีความปีติ เข้าครัวไปทำข้าวต้มให้ลูกชายด้วยตัวเอง เยี่ยตงผิงเห็นโก่วซินเจียและคนอื่นๆ คอยอยู่ไม่ห่างกายของเยี่ยเทียน เขาจึงดึงอวี๋ชิงหย่าให้ไปช่วยงานอย่างรู้จักกาละเทศะ
“ศิษย์พี่ใหญ่ พวกพี่อย่ามองผมแบบนี้สิ”
เมื่อเห็นสายตาของโก่วซินเจียและคนอื่นๆ เยี่ยเทียนจึงยิ้มเจื่อนๆ “เมื่อคืนผมกำลังเข้าฌานระดับลึก เกิดเรื่องอะไรขึ้น ผมก็ไม่รู้เลยสักนิดและยังอยากจะถามพวกพี่อยู่เหมือนกัน”
“เธอไม่รู้สักนิดเลยเหรอ?”
จั่วเจียจวิ้นเกือบสะดุ้งโหยง เมื่อวานเขาเสียหายมากที่สุด เพราะปราณชีวิตที่อุตส่าห์ฝึกมานับแรมปี กลับถูกเยี่ยเทียนดึงดูดเข้าไปทั้งหมด ทำให้จั่วเจียจวิ้นเสียใจไม่หยุด
“ศิษย์น้องรอง เธออย่าเพิ่งร้อนใจ”
โก่วซินเจียโบกมือแล้วจึงพูดว่า “เยี่ยเทียน เมื่อวานจิตของเธอออกจากร่าง แล้วก็ดูดเอาพลังปราณชีวิตที่อยู่ในค่ายกลชุมนุมพลังจนหมดเกลี้ยง นอกจากนี้ปราณวิเศษที่อยู่ท่ามกลางภูเขาก็ถูกเธอดูดซับเข้าไปจนหมดเหมือนกัน ร่างกายของเธอตอนนี้รู้สึกอึดอัดตรงไหนบ้างไหม?”
พูดตามจริง โก่วซินเจียไม่เชื่อว่าพลังปราณชีวิตมหาศาลเหล่านี้จะถูกเยี่ยเทียนดูดซับไปทั้งหมด ด้วยพลังของคนคนเดียว จะรับเอาพลังปราณชีวิตมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร? จากความคิดของเขา บางทีอาจจะมีสาเหตุอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น
“พลังปราณชีวิตของค่ายกลชุมนุมพลังถูกผมดูดไปจนหมด?”
หลังจากได้ยินคำพูดของโก่วซินเจีย เยี่ยเทียนก็ตื่นตะลึงอยู่บ้าง เพราะเขาเป็นคนสร้างค่ายกลชุมนุมพลังมากับมือตัวเอง ซึ่งมันสามารถเปลี่ยนพลังปราณชีวิตของทะเลที่รุนแรงให้กลายเป็นปราณวิเศษได้ และความเข้มข้นของปราณวิเศษนี้ ค่ายกลชุมนุมพลังที่อยู่ปักกิ่งก็ยากที่จะเทียบได้
“ถูกแล้ว ตอนนี้ปราณวิเศษพวกนี้ เพิ่งจะแปรเปลี่ยนสภาพมา” โก่วซินเจียพยักหน้า
“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้…”
เยี่ยเทียนใช้พลังจิต แล้วจึงตรวจพบปราณวิเศษภายในห้องที่มีอยู่อย่างเบาบาง จากนั้นจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ทั้งหลาย ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แต่จิตดั้งเดิมที่อยู่ภายในร่างกายของผมมันกระชับรวมกันไม่น้อย และมีประโยชน์ต่ออาการบาดเจ็บของผมมาก เมื่อครู่ที่ผมสามารถลุกขึ้นได้ สาเหตุก็มาจากเจ้านี่!”
ถึงแม้จะก้าวไม่ได้สักก้าว แต่เยี่ยเทียนเชื่อว่า ต่อไปถ้าใช้พลังจิตในการหล่อเลี้ยงทั้งวันทั้งคืน อาการบาดเจ็บจะต้องฟื้นฟูกลับมาเป็นเหมือนเดิมแน่นอน
กระทั่งเยี่ยเทียนยังมีความรู้สึกว่า การใช้พลังจิตในการหล่อเลี้ยงร่างกายตัวเองทุกวัน ได้ทำให้ร่างกายของเขาแข็งแรงมากขึ้นกว่าแต่ก่อน เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าปราณชีวิตแท้ของตัวเองยังคงอยู่ได้อย่างไร และมันได้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพไหม?
“แค่กระชับขึ้นแค่นี้?”
หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียและคนอื่นต่างก็ตกใจอ้าปากค้าง เมื่อวานก่อเรื่องจนใหญ่โต แต่พลังจิตของเยี่ยเทียนได้แต่กระชับตัวแน่น อย่างนั้นพลังแห่งฟ้าดิน ก็มีประโยชน์เพียงแค่นี้เองหรือ?
“ใช่ เป็นแบบนี้จริงๆ” เยี่ยเทียนพยักหน้าแล้วพูด “เมื่อครู่ผมลองตรวจสอบดูแล้ว ยังมีระยะห่างจากสภาพของจิตแห่งหยางอีกไกลมาก”
ตามบันทึกของคัมภีร์โบราณ จิตแห่งหยางในตอนแรก จะมีลักษณะเหมือนคนตัวขาว หน้าตาคล้ายกับตัวเอง แต่จิตของเยี่ยเทียนนั้นแตกต่างกันมาก แม้แต่รูปร่างมนุษย์ก็ไม่มี
หลังจากจิตแห่งหยางเป็นรูปเป็นร่างจริงๆ จะสามารถเปลี่ยนแปลงได้ดั่งใจนึก ทำให้คนรอบข้างสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่เยี่ยเทียนในตอนนี้ไม่มีความสามารถแบบนั้น ได้แต่อาศัยสัญชาตญาณของพลังจิตที่บันทึกใว้ในคัมภีร์โบราณในการขยับเขยื้อนตัว
หนานไหวจิ่นถอนหายใจแล้วจึงพูดว่า “ไม่แปลกใจเลยที่ยอดฝีมือเหล่านั้นจะปลีกวิเวกอยู่อย่างสันโดษ น่าจะเป็นเพราะสาเหตุนี้!”
“ศิษย์น้องหนานไหว คำพวกนี้อธิบายว่าอย่างไร?”
โก่วซินเจียมองไปทางหนานไหวจิ่นแล้วจึงพูด “เกี่ยวอะไรกับการอยู่อย่างสันโดษในป่าลึก ถ้าหากยอดฝีมือวรยุทธสูงจริง พวกเขาก็ต้องสามารถสร้างค่ายกลแบบนี้ในโลกมนุษย์แล้วก็ฝึกวรยุทธได้เหมือนกัน!”
“พี่หยวนหยาง มันไม่เหมือนกัน”
หนานไหวจิ่นส่ายหน้าแล้วพูดว่า “คนที่บำเพ็ญเพียร ทุกคนต่างก็ตั้งมั่นพลังจิตไปที่สิ่งนี้ พวกเขาจะเอาเวลาที่ไหนไปสนใจเรื่องทางโลก และเรื่องของกำลังทรัพย์และเส้นสายเหมือนอย่างศิษย์น้องเยี่ย พวกเขาก็ทำไม่ได้”
หนานไหวจิ่นหยุดไปครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “เมื่อวานทุกคนก็เห็นแล้ว ตอนที่ศิษย์น้องเยี่ยกำลังฝึกวรยุทธก็เกิดเหตุการณ์ประหลาด หากถูกใครเห็นเข้าก็จะยุ่งยากมาก หรือบางทีนี่คงเป็นสาเหตุที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในป่าลึก!”
ถึงแม้หนานไหวจิ่นจะพูดไม่ถูกทั้งหมด แต่ก็ไม่ต่างกันมาก
คนที่ฝึกถึงขั้นจิตแห่งหยางออกจากร่างได้จริงๆ นั้น เวลาที่ฝึกฝนทั้งวันทั้งคืน พลังจิตจะออกจากร่างเพื่อดูดซับพลังแห่งฟ้าดิน จิตดั้งเดิมของพวกเขาเสมือนของจริง ก็คือคนธรรมดาสามารถมองเห็นได้
เหมือนกับในสมัยโบราณที่คนธรรมดาได้พบกับเซียน ส่วนใหญ่ก็เพราะได้เห็นพลังจิตของคนที่ฝึกฝนวิชาจนสามารถมุดดินบินไปบนท้องฟ้าได้ และสิ่งนี้ยังเป็นเทพนิยายในตำนานที่หลงเหลือไว้ให้คนรุ่นหลัง
หนานไหวจิ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยพูด “ศิษย์น้องเยี่ย ต่อไปเวลาเธอฝึกวรยุทธก็อยู่ในบ้านเนี่ยแหละ ตอนนี้วิทยาศาสตร์มีความเจริญก้าวหน้ามาก ถ้าหากถูกคนจับตามอง คงจะยุ่งยากไม่น้อย!”
ความจริงไม่เพียงแต่ฐานทัพลึกลับที่วิจัยในพื้นที่ Area 51 ของอเมริกาเท่านั้น ประเทศอื่นๆ ก็มีหน่วยงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาศักยภาพของมนุษย์เช่นกัน เพียงแต่ไม่ได้เปิดเผยความลับให้กับคนภายนอกได้ล่วงรู้เท่านั้นเอง
การแสดงความสามารถของเยี่ยเทียนก่อนหน้านั้น ถึงแม้จะน่าตื่นตามากพอ แต่ก็ยังไม่พอที่จะทำให้บางประเทศและกองกำลังมุ่งเน้นให้ความสนใจ แต่ถ้าหากเรื่องที่จิตดั้งเดิมของเขากลายเป็นรูปร่างได้ถูกเผยแพร่ออกไป เกรงว่าจะไม่มีความสงบสุขนับตั้งแต่บัดนี้
“ผมรู้แล้ว ขอบคุณศิษย์พี่หนานครับ”
เยี่ยเทียนได้ยินจึงพยักหน้า โบราณว่าเซียนของยุทธภพยิ่งแก่ก็ยิ่งขี้ขลาด นับตั้งแต่เข้ามาสู่โลกใบใหม่นี้ เยี่ยเทียนถึงได้พบว่าแต่ก่อนตัวเองเป็นเพียงกบในกะลา ที่ยังไม่รู้ความกว้างขวางของโลกภายนอก
ระบบทางลัทธิเต๋าหลังจากที่เหล่าจื่อขี่ควายออกด่านก็ได้เป็นตำนานแพร่หลายต่อมา เยี่ยเทียนไม่เชื่อว่ามีเพียงตัวเองที่โชคดีได้รับวิชาโดยบังเอิญ บนโลกใบนี้อาจจะมีคนที่เหมือนเขาอีก เพียงแต่หลบซ่อนตัวไม่ออกมาก็เท่านั้นเอง
“ศิษย์น้องเล็ก เธอก็รักษาตัวให้ดีๆ วันนี้ฉันจะกลับประเทศจีนเพื่อไปภูเขาชิงเฉิงสักรอบ หวังว่าท่านอาวุโสท่านนั้นจะยังมีชีวิตอยู่ แล้วช่วยถ่ายทอดระบบทางด้านความคิดของลัทธิขงจื้อ!”
ถึงแม้หนานไหวจิ่นจะปิดบังเรื่องในอดีตและไม่ยอมพูดมาตลอด แต่นันก็เป็นเพราะคำสาบานที่ได้พูดไว้ตอนนั้น ซึ่งไม่ได้มีเจตนาที่จะปิดบังทุกคนแต่อย่างใด
ตอนที่ 673 เข้าร่วมพิธี
Ink Stone_Fantasy
ไม่อาจอธิบายเรื่องราวที่ตนเองได้พบเจอต่อเพื่อนที่คบหากันมาหลายปี ในใจของหนานไหวจิ่นออกจะละอายอยู่บ้าง
หลังจากพักผ่อนครู่หนึ่ง โทรศัพท์เสร็จแล้ว หนานไหวจิ่นก็หุนหันออกไป พวกพ้องในแผ่นดินใหญ่และเกาะฮ่องกงของเขามีมากมาย จึงมีคนจัดการเรื่องพวกนี้ให้เขา
หลังจากที่หนานไหวจิ่นออกไปแล้ว โก่วซินเจียก็มองไปยังเยี่ยเทียน กล่าวว่า “ศิษย์น้องเล็ก อาการบาดเจ็บของเธอสาหัสมาก อย่ารีบร้อนให้มากเกินไปเลย”
ผู้ฝึกวิชาอย่างพวกเขา ถึงแม้จะมีคุณสมบัติเหนือกว่าคนทั่วไป แต่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นเลือดเนื้อมนุษย์ ไม่สามารถฝ่าฝืนกฎแห่งฟ้าดินได้ เมื่อได้รับบาดแผลก็ต้องรู้สึกเจ็บ และหากถูกยิงที่จุดสำคัญก็อาจตายได้
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมรู้แล้วครับ วางใจเถอะ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เขาเองก็เข้าใจว่ารีบร้อนไปก็เปล่าประโยชน์ ช่วงนี้ที่เวลากลางวันยังฝึกวิชาไม่ได้ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจะฝึกอย่างไร จึงได้แต่ใช้พลังจิตดั้งเดิมฟื้นฟูบาดแผลอย่างสงบ
ทว่าพลังจิตดั้งเดิมมีประสิทธิภาพดีต่อการรักษาอวัยวะภายในเท่านั้น อาการบาดเจ็บที่กระดูกกลับฟื้นฟูได้อย่างเชื่องช้า เยี่ยเทียนคาดคะเนว่า ด้วยความเร็วเท่านี้ เกรงว่าหากไม่พักสักสองสามเดือน ตนเองคงไม่ต้องคิดจะกลับไปเป็นปกติเหมือนที่เคยเป็น
ช่วงเดียวกันนี้ยังเกิดเรื่องอีกมากมาย นอกจากหน่วยงานสิ่งแวดล้อมของเกาะฮ่องกงจะมายังภูเขาเพื่อตรวจสอบด้านการอนุรักษ์แล้ว โทรศัพท์ของจั่วเจียจวิ้นยังดังไม่หยุด ล้วนเป็นพวกมหาเศรษฐีเหล่านั้นโทรมา สอบถามเรื่องการเปลี่ยนแปลงภายในภูเขา
แต่ว่าจากการฟื้นฟูของค่ายกลรวมปราณ ทำให้ในภูเขามีพลังปราณฟ้าดินกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด ผลการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงแสดงออกมาว่ามีสภาพอากาศดีเยี่ยม เรื่องนี้จึงได้แต่ปล่อยเอาไว้ตามเดิม
พอถึงเวลาเที่ยงคืน เยี่ยเทียนให้พวกคุณแม่ไปพักผ่อนกันหมดแล้ว เขาก็คิดจะทดสอบดูอีกครั้ง ว่าจะสามารถเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งล้ำลึกไร้ทุกข์ไร้สุขอย่างเมื่อวานได้หรือเปล่า
สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้ว หัวคิ้วของเยี่ยเทียนก็ปรากฏแสงสว่างวาบ จิตดั้งเดิมถอดออกมานอกร่าง ล่องลอยอยู่เหนือร่างกายเขา
เมื่อเทียบกับการถอดจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนเมื่อวานแล้ว จิตตั้งเดิมของเยี่ยเทียนนั้นเข้มข้นกว่าเดิมมาก
เยี่ยเทียนมีความรู้สึกว่า ถ้าหากจิตวิญญาณนี้ของตนพัฒนาไปอีกขั้น อาจมีระดับใกล้เคียงกับจิตแห่งหยางที่กล่าวไว้ในตำรา มีแขนมีขา เปลี่ยนร่างเป็นรูปคนได้จริงๆ
“หืม? ทำไมไม่ได้ล่ะ?”
ท่องคาถาฝึกพลังปราณชีวิตแท้ แล้วเยี่ยเทียนกลับพบว่า เขาไม่สามารถเข้าไปสู่สภาวะสงบนิ่ง สติสัมปชัญญะกลับล่องลอยวนไปมาอยู่ภายในจิตดั้งเดิม อีกทั้งความเร็วในการดูดซึมปราณของจิตดั้งเดิม ยังว่องไวกว่าปราณชีวิตแท้เล็กน้อย
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
เยี่ยเทียนเกาหัวแกรก เดิมทีเขานึกว่าตนเองสามารถหาวิธีฝึกฝนจิตดั้งเดิมได้แล้ว แต่เหตุการณ์กลับไม่ราบรื่นอย่างที่ตนเองคิดเอาไว้
“บ้าเอ๊ย ขืนเป็นอย่างนี้อีกร้อยปี ก็ไม่สำเร็จจิตแห่งหยางน่ะสิ?”
สัมผัสถึงพลังปราณที่หลั่งไหลเข้าไปภายในจิตดั้งเดิม ราวกับหินจมลงไปในมหาสมุทร แม้หยาดน้ำกระเซ็นยังไม่มีแม้แต่น้อย กระทั่งจิตดั้งเดิมของตนเองยังไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่นิดเดียว
เวลานี้เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงความแตกต่างของการฝึกพลังปราณชีวิตแท้และจิตดั้งเดิม พลังปราณฟ้าดินที่เดิมสามารถเผาผลาญร่างกายของเขา เมื่อเทียบกับจิตดั้งเดิมแล้ว กระทั่งตัวช่วยฟื้นบำรุงยังเป็นไม่ได้
“ทำไมเมื่อวานถึงสามารถดูดซับพลังดั้งเดิมได้มากขนาดนั้นนะ?”
หลังจากเยี่ยเทียนขบคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก บังคับใช้พลังวิชาสำนักเต๋าที่เขารู้ทั้งหมดไปแล้ว แต่กลับได้ผลเพียงเล็กน้อย ความเร็วในการดูดพลังปราณของจิตดั้งเดิมไม่เร็วขึ้นแม้แต่นิดเดียว
“หรือต้องมีทักษะวิชาที่สอดคล้องกัน จึงจะหลอมรวมจิตดั้งเดิมได้?” เยี่ยเทียนกระจ่างขึ้นมาในใจ
เขาคิดไม่ผิด การฝึกฝนสติสัมปชัญญะล้ำลึกกว่าฝึกฝนร่างกายร้อยเท่า คนที่สามารถฝึกฝนจนถึงระดับนี้ ล้วนสืบทอดพลังอันยิ่งใหญ่มานับแต่โบราณ เป็นอัจฉริยะที่ฝึกฝนตามลำดับขั้นตอน
ทว่าเยี่ยเทียนที่บังเอิญพบโอกาส ทะลุทะลวงข้ามผ่านระดับนั้นเข้าไปได้หลายต่อหลายครั้ง แม้ไม่อาจพูดได้ว่าไม่เคยมีในอดีตกาล แต่ก็หาได้ยากยิ่ง
ต่อให้เมื่อวานจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนดูดซับพลังปราณได้โดยอัตโนมัติ นั่นก็เป็นจิตดั้งเดิมของเขาเองที่ยังไม่เป็นรูปร่าง ซึ่งมีความเสี่ยงว่าจิตดั้งเดิมจะแตกสลายได้ในระดับนี้
แต่เวลานี้ เยี่ยเทียนมาอยู่ในค่ายกลรวมปราณซึ่งเต็มไปด้วยพลังปราณชีวิตดั้งเดิม จิตตั้งเดิมของเขานั้นราวกับคนที่หิวโหยเห็นอาหารกองอยู่ตรงหน้า ดูดซับเข้าไปโดยอัตโนมัติ จึงได้เห็นภาพอย่างเมื่อวาน
แต่หลังจากเยี่ยเทียนงมหาวิธีข้ามผ่านประตูฝึกจิตวิญญาณ กลับสู่ความว่างอันสำคัญที่สุด พอไม่มีทักษะการฝึกฝนต่อจากนั้น เขากลับไม่สามารถดูดซับพลังปราณชีวิตดั้งเดิมแบบปลาวาฬดูดน้ำได้เหมือนเมื่อวาน
พยายามซ้ำไปซ้ำมาอยู่ทั้งคืน สุดท้ายเยี่ยเทียนก็ล้มเลิกความคิดจะฝึกจิตดั้งเดิม หลังจากที่คราวก่อนได้รับบาดเจ็บหนัก เยี่ยเทียนก็ตระหนักว่าการกระทำเรื่องเหนือมนุษย์ยังต้องมีขอบเขต ไม่เช่นนั้นจะนำพาหายนะอันยิ่งใหญ่มาถึงตนเอง
“ศิษย์น้องเล็ก เมื่อวานเธอไม่ได้ฝึกวิชาหรือ?”
เช้าวันต่อมา พวกโก่วซินเจียก็มารวมกันภายในห้องของเยี่ยเทียน เมื่อคืนพวกเขาเองก็เป็นกังวลทั้งคืน กลัวว่าตอนที่ตัวเองดูดซับพลังปราณชีวิตดั้งเดิม เยี่ยเทียนจะเป็นอะไรขึ้นมาอีก
“ผมก็อยากฝึก แต่ไม่มีทักษะวิชาจะฝึกครับ!”
เยี่ยเทียนแค่นหัวเราะ เล่าเรื่องการนำจิตดั้งเดิมดูดซับพลังปราณชีวิตดั้งเดิม แต่คนที่อยู่ตรงนั้นต่างไม่รู้เรื่องสภาวะการฝึกจิตจนเข้าสู่ความว่าง จึงไม่มีใครให้คำแนะนำอะไรได้
“ลองดูว่าน้องไหยจิ่นจะสามารถตามหาผู้เชี่ยวชาญคนนั้นได้หรือเปล่า?”
โก่วซินเจียถอนหายใจ เยี่ยเทียนสามารถก้าวข้ามขั้นหลอมรวมจิตกลับสู่ความว่าง ทำให้เขาและจั่วเจียจวิ้นอีกทั้งพวกหนานไหวจิ่นเริ่มเห็นความหวังเลือนราง
แม้โก่วซินเจียจะมีอายุถึงเก้าสิบ แต่เลือดลมยังแข็งแรงสมบูรณ์ เขายังสามารถมีชีวิตอยู่ได้อีกถึงสามสิบปี แต่เวลานานขนาดนี้ ยังไม่แน่ว่าจะก้าวข้ามขั้นหลอมรวมจิตกลับสู่ความว่างได้
เมื่อไม่มีทักษะวิชาฝึกฝนต่อ ก็ทำให้พวกเขาคาดเดาภายในใจ ว่าเส้นทางการฝึกฝนจะต้องพิสดารเกินคาดเดา อันอาจนำไปสู่ความตายได้โดยง่าย
ขณะที่ศิษย์พี่ศิษย์น้องกำลังพูดคุยกันอยู่นั้นเอง โจวเซี่ยวเทียนก็เดินเข้ามาในห้อง เอ่ยปากว่า “อาจารย์ครับ ท่านผู้เฒ่าถังมาแล้ว ให้เขาเข้ามาเลยไหม?”
“ถังเหวินหย่วนเหรอ? ให้เขาเข้ามาสิ!”
ศาสนาพุทธกล่าวถึงเหตุผล ลัทธิเต๋าว่าด้วยโชคชะตา ถ้าหากไม่ได้รู้จักถังเหวินหย่วน ค่ายกลรวมปราณนี้คงไม่มีปรากฏแล้ว ดังนั้นหากว่ากันตั้งแต่ต้น เยี่ยเทียนยังคงติดค้างความช่วยเหลือจากถังเหวินหย่วน
“เยี่ยเทียน ทำ…ทำไมเธอถึงบาดเจ็บหนักอย่างนี้?”
หลังจากเข้ามาในห้องของเยี่ยเทียนแล้ว ถังเหวินหย่วนก็เบิ่งตาโตทันที ถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเยี่ยเทียนบาดเจ็บหนักจากทางโทรศัพท์ แต่ก็ไม่นึกว่าจะถึงขั้นนอนซมบนเตียงลุกขึ้นไม่ไหว
“เหล่าถัง ผมบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง จึงไม่สะดวกลุกมาต้อนรับคุณได้ นั่งตามสบายเลยนะ!”
เยี่ยเทียนผงกหัวเล็กน้อย หลังจากหางตามองเห็นใบหน้าของถังเหวินหย่วนแล้ว ก็ตกตะลึงไปชั่วขณะ เอ่ยปากว่า “เหล่าถัง คุณมายืนตรงนี้ ยืนข้างหน้าผมนี่!”
“ทำไมหรือ? ก่อนนี้ไม่นานพวกเราก็เพิ่งเจอกันไม่ใช่หรือ?”
ถังเหวินหย่วนมายืนตรงหัวเตียงของเยี่ยเทียนอย่างงงๆ มองดูสีหน้าของเขา พูดว่า “เยี่ยเทียน คงไม่ใช่การแข่งมวยใต้ดินพวกนั้นส่งผลกระทบต่อเธอหรอกกระมัง?”
เดิมทีถังเหวินหย่วน เป็นหัวหน้าใหญ่ส่วนทำพิธีหงเหมิน มีความสัมพันธ์อันดีกับต่งเซิงไห่ เรื่องที่เกิดบนเรือหลวงลำนั้น จึงแพร่กระจายเข้าสู่หูเขานานแล้ว
เพียงแต่ว่าหลังจากการประชุมใหญ่ของสำนักหงเหมินจบลง ถังเหวินหย่วนก็กลับสู่ฮ่องกงทันที ตอนที่เหตุการณ์ 9/11เกิดขึ้น เขาจึงไม่ได้อยู่ที่อเมริกา
“เหล่าถัง อย่าเพิ่งพูดถึงผมเลย ช่วงนี้คุณมีเรื่องกวนใจอะไรอยู่หรือเปล่า?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตัดบทถังเหวินหย่วนกลางคัน เอ่ยปากถามตรงๆ ว่า “ผมเห็นสีหน้าคุณไม่ค่อยดี สีสันระหว่างหัวตาหม่นมืด เหล่าถัง ใบหน้าดูไม่ดีเลย!”
คำพูดนี้ของเยี่ยเทียนหากคนทั่วไปได้ยิน คงจะนึกว่าเขาเป็นเพียงสิบแปดมงกุฎทั่วไป พูดจาละเมอเพ้อพก แต่เมื่อถึงหูถังเหวินหย่วน กลับเหมือนถูกสายฟ้าฟาด สะเทือนใจจนแทบล้มลงบนตัวเยี่ยเทียน
“เยี่ยเทียน ฉัน…ฉันเพิ่งจะไปเยี่ยมสำนักหงเหมินมา นอกจากนั้นก็อยู่ที่ฮ่องกงตลอด!”
แม้จะอายุกว่าแปดสิบปีแล้ว แต่คนพวกนี้ยิ่งอายุมากกลับยิ่งเสียดายชีวิต โดยเฉพาะคนที่มีอำนาจชื่อเสียงประสบความสำเร็จอย่างถังเหวินหย่วน จะยิ่งอยากอยู่ต่อไปอีกหลายๆ ปี
ไม่อย่างนั้นต่อให้เยี่ยเทียนมีความอาวุโสสูงในสำนักหงเหมิน ด้วยสถานภาพของถังเหวินหย่วน ก็ไม่จำเป็นต้องคุกเข่าสานความสัมพันธ์ต่อเยี่ยเทียน
“ศิษย์พี่จั่ว ช่วยดูเขาหน่อยสิครับ”
เยี่ยเทียนไม่ตอบถังเหวินหย่วน หันหน้าไปทางจั่วเจียจวิ้น เมื่อเผชิญหน้ากันแล้ว ในกลุ่มศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสามคน ความรอบรู้ของจั่วเจียจวิ้นล้ำลึกที่สุด ตอนที่เยี่ยเทียนถ่ายทอดวิชาให้กับเขา ยังเน้นหนักในเรื่องนี้
“ได้ พี่ถัง คุณหันมาสิ!”
จั่วเจียจวิ้นรับคำ หลังจากรอให้ถังเหวินหย่วนหันหน้ามา ก็มองไปยังระหว่างหัวตาทั้งสองข้างตามที่เยี่ยเทียนบอก แล้วหัวคิ้วของจั่วเจียจวิ้นก็ขมวดมุ่นขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“น้องจั่ว ทำไมหรือ? มีปัญหาอะไรหรือไง?”
ไม่ว่าจะเป็นเยี่ยเทียน จั่วเจียจวิ้น สำหรับถังเหวินหย่วน ต่างเป็นผู้วิเศษที่หาได้ยากยิ่ง เมื่อเห็นคิ้วขมวดของจั่วเจียจวิ้น ถังเหวินหย่วนก็เป็นกังวลขึ้นมา
“ศิษย์น้องเยี่ยกล่าวไม่ผิด พี่ถัง ในช่วงเวลาครึ่งปีนี้ คุณอย่าออกไปไหน ไม่อย่างนั้นจะเกิดภัยพิบัติถึงเลือดตกยางออก เกรงว่า…”
จั่วเจียจวิ้นส่ายหน้า แม้จะยังพูดไม่จบ แต่ใครได้ยินก็เข้าใจได้ ด้วยวัยของถังเหวินหย่วน คงไม่สามารถเอาตัวรอดจากสิ่งนั้นได้
“ได้ๆ ภายในครึ่งปีนี้ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ขอบคุณน้องจั่ว ขอบคุณน้องจั่วจริงๆ!”
ถังเหวินหย่วนตกลงอย่างทันควัน แต่ว่าสีหน้ากลับลังเลเล็กน้อย เอ่ยปากว่า “น้องจั่ว ในช่วงครึ่งปีนี้แม้แต่ประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ไปไม่ได้ใช่ไหม?”
ด้วยประเทศอเมริกาพุ่งเป้าไปที่กลุ่มอัลเคด้าในเหตุการณ์ 9/11 ดังนั้นช่วงนี้จึงเกิดภัยสงครามในทางใต้ของทวีปเอเชีย ดูเหมือนใครๆ ต่างก็รู้ว่า การแก้แค้นของอเมริกาจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
“เหล่าถัง คุณต้องไปประเทศไทยสินะ?”
เยี่ยเทียนที่นอนอยู่บนเตียงเอ่ยถามขึ้นมาอย่างฉับพลัน ในเวลานั้นเอง สมองของเขาพลันเกิดภาพขึ้นมาภาพหนึ่ง เป็นภาพชายชราใบหน้าเลือนราง แต่ดูจากเสื้อผ้าแล้วน่าจะเป็นคนไทยอย่างไม่ต้องสงสัย
“ใช่แล้ว น้องต่งส่งคำเชิญมาให้ฉัน เขากับจู้เหวยเฟิงที่ร่วมมือกับชาวญี่ปุ่นทำตลาดมวยใต้ดินในเมืองหลวง จะจัดศึกมวยวันที่ 1 เดือนมกราคมที่ประเทศไทย จึงชวนฉันให้ไปร่วมพิธีด้วย!”
ถังเหวินหย่วนมีสีหน้าลำบากใจ ก่อนหน้านี้เขาตกปากรับคำกับต่งเซิงไห่ว่าจะไป แล้วยังเชิญชวนมหาเศรษฐีชาวฮ่องกงอีกไม่น้อย หากถึงเวลาแล้วไม่ไปละก็ ออกจะเป็นการไม่เคารพต่อเพื่อนฝูงทางเกาะฮ่องกง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น