ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 670-681

 บทที่ 670 เห็นผู้หญิงดีกว่าน้อง (สาว)


เหมยเหมยมุ่ยปากใส่เขา เธอหมดคำพูดกับพี่สามแล้วจริงๆ ทั้งๆที่เขาดูเหมือนจะเป็นคนที่พึ่งพาได้ที่สุดในบรรดาพี่ชายทุกคน แต่ในความเป็นจริงเขากลับเป็นคนที่พึ่งพาไม่ได้ที่สุด


ใจเสาะดั่งไก่อ่อนที่ไม่เอาไหนและโลภมาก คงต้องพรรณนาเสริมเข้าไปว่า เห็นผู้หญิงดีกว่าน้อง(สาว)


เหมยเหมยเหลือบมองพี่สาวคนสวยเพียงแวบหนึ่งและหนุ่มน้อยหน้าสวย รูปร่างหน้าตาค่อนข้างคล้ายคลึงกัน เพียงแต่แตกต่างกันเพียงเอกลักษณ์เฉพาะตัว


ผมยาวปลิวสยาย อ่อนโยนดูมีสง่าราศี ช่างเป็นดั่งหญิงบริสุทธิ์และงดงามอย่างหาที่เปรียบเปรยไม่ได้ ไม่แปลกที่พี่สามของเธอจะจับจ้องไม่วางตา !


มองข้ามน้องสาวอย่างเธอที่นั่งอยู่ตรงนี้ไปแล้วพูดคุยกับสาวสวย !


จ้าวเสวียเอร่อตื่นเต้นจนน้ำตาแทบไหลพราก พลาดบทละครฉากกอดกับน้องดาวมหาลัยคนสวยไป ทำให้เขานึกเสียดายไปตลอดสองค่ำคืนเต็ม


นึกไม่ถึงว่าคืนนี้จะบังเอิญได้พอดิบพอดีขนาดนี้ ดูเหมือนว่าน้องสาวตนจะไม่ได้นำมาแต่ความวุ่นวายเพียงอย่างเดียว แต่ยังสามารถนำมาซึ่งดาวมหาลัย !


เหลือบมองหนุ่มสาวทั้งคู่ที่ลืมเธอไปเสียสนิท เหมยเหมยจึงลอบถอนหายใจ ช่างน่าเบื่อยิ่งนัก เธอหยิบเอาเนื้อแห้งออกมาจากกระเป๋าหนึ่งถุง ฉีกเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อป้อนให้ฉาฉากิน ที่เหลือตัวเองก็นั่งกินไปพลาง


หากพาฉิวฉิวมาด้วยจะเป็นที่จับตามองของทุกคนเกินไป เหมยเหมยจึงพามาแค่เสี่ยวฉาฉา มันขดอยู่บนข้อมือราวกับกำไลมรกต เมื่อถูกบดบังด้วยแขนเสื้อ ก็ทำให้มองไม่เห็น


หนุ่มน้อยข้างๆมีท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอเห็นว่าแขนเสื้อด้านในของเด็กผู้หญิงคนข้างๆขยับเขยื้อน อีกทั้งเด็กสาวยังยื่นเนื้อเข้าไปในแขนเสื้อ เธอกำลังทำอะไร ?


“เธออยากกินเนื้อแห้งไหม ?”


เหมยเหมยเคี้ยวไปได้ครู่หนึ่งจึงคิดว่ากินอยู่คนเดียวคงไม่ดีนัก ถึงอย่างไรพี่สาวคนสวยก็เป็นคนรู้จักของพี่ชายเธอ และไม่แน่ว่าพวกเขาอาจมีความสัมพันธ์ที่มากกว่าคำว่าเพื่อน


พอพูดถึงตรงจุดนี้ ไม่แน่ว่าในอนาคตเธอกับคนสวยคนนี้อาจจะกลายเป็นครอบครัวเดียวกัน !


หนุ่มน้อยปรายมองเหมยเหมย เธอมีดวงตาที่โต อีกทั้งรูม่านตาเป็นสีเหลืองอำพัน  งดงามเสียยิ่งกว่าอำพัน เกรดพรีเมี่ยมเสียอีก


และนั่นเป็นจังหวะที่เหมยเหมยได้เห็นใบหน้าของหนุ่มน้อยชัดเจน เบ้าตาดูลึก ผิวพรรณขาวผ่อง นึกไม่ถึงว่าเป็นลูกครึ่ง ไม่แปลกเลยที่หน้าตาและสรีระของเธอจะดูมีมิติมากถึงเพียงนี้


เพียงแต่กรรมพันธุ์ชาวต่างชาติของเขาไม่เด่นชัดนัก  หากไม่สังเกตให้ดีก็คงจะมองไม่ออก


“คุณอยากกินเนื้อวัวอบแห้งไหม ? อร่อยนะคะ” เหมยเหมยยกชูเนื้อวัวอบแห้งในมือ


หนุ่มน้อยเกิดลังเลเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้า ยื่นมืออันเรียวขาวไปหยิบเนื้อวัวอบแห้งในถุง จากนั้นส่งเข้าปากกัดกินคำเล็กๆทีละคำ


“อร่อยใช่ไหมคะ ฉันยังมีอีกเยอะเลย คุณกินหมดแล้วมาหยิบอีกได้ ไม่ต้องเกรงใจนะคะ !”


เหมยเหมยวางถุงเนื้อวัวอบแห้งลงบนที่วางแขน ยิ้มตาหยีมองคนสวย มองคนสวยมองยังไงก็ทำให้รู้สึกสบายตาสบายใจ !


“ขอบใจจ้ะ” คนสวยพูดขึ้นเสียงเบา น้ำเสียงของเธอช่างน่าฟัง เสมือนเสียงปะทะบนเครื่องลายคราม ใสกังวานแต่ไม่ได้หวานเยิ้มราวกับนางฟ้า


“ที่แท้คุณก็เป็นผู้หญิงนี่เอง ฉันคิดว่าคุณเป็นผู้ชายเสียอีก ฮ่าๆ ฉันชื่อจ้าวเหมย คุณชื่ออะไรคะ ?”


เหมยเหมยที่ได้ยินน้ำเสียงจึงรู้ได้ทันทีว่าคนสวยคนนี้เป็นผู้หญิง น้ำเสียงของผู้ชายไม่แหลมขนาดนี้ เธอจ้องมองหญิงงาม ซึ่งพบเห็นได้น้อยมากกับเด็กผู้หญิงที่งดงามดั้งหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง ราวกับนางเอกในการ์ตูนที่มีชีวิตอยู่จริง !


“เซียวเซ่อ !”


หญิงงามนิ่งไปพักใหญ่ ก่อนจะหลุดสองคำนี้ออกมา


เหมยเหมยกระพริบตาปริบๆ และถาม “เซียวตัวไหน แล้วเซ่อตัวไหน ? ใช่ตัวเซียวของชุยเซียวที่แปลว่าเป่าขลุ่ย แล้วก็ตัวเซ่อของเหยียนเซ่อที่แปลว่าสีไหมคะ ?”


“ไม่ใช่ เป็นเซียวเซ่อที่แปลว่าความเยือกเย็นของฤดูหนาว” หญิงงามตอบด้วยใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก


เหมยเหมยรู้สึกได้ดี ในจังหวะที่หญิงสาวพูดถึงชื่อของตัวเอง เธอดูเย็นยะเยือกไปทั้งตัว ราวกับพันตัวเองไว้ในรังไหมขนาดมหึมา


อย่าเข้าใกล้คนแปลกหน้า !


คนนอกห้ามข้องเกี่ยว !


…………………………………………………………


บทที่ 671 เพื่อนใหม่แสนสวย


เหมยเหมยขมวดคิ้วแน่น เซียวเซ่อโดยทั่วไปมักจะเป็นช่วงที่ฤดูหนาวมาถึง พืชพรรณต่างๆเหี่ยวเฉา ไม่หลงเหลือความมีชีวิตชีวาของธรรมชาติ ดูเหมือนจะเหลือเพียงความอ้างว้างของธรรมชาติ


นี่ก็คือเซียวเซ่อ ไม่ว่าจะฟังยังไงก็ไม่ใช่คำที่ดี


เหตุใดถึงยังมีพ่อแม่ที่ตั้งชื่อแบบนี้ให้กับลูกได้ ?


ไม่กลัวว่าจะซวยหรือไง ?


ดูจากท่าทีของเซียวเซ่อก็รู้ว่าเธอเป็นเด็กที่พูดคุยไม่เก่ง ไม่ชอบสนทนาอะไร เหมือนกับเหมยเหมยในชาติก่อน !


เซียวเซ่อกินเนื้อแห้งแผ่นนั้นหมดไป ดูจากลักษณะแล้วคงจะถูกปากเธอไม่น้อย เธอจับจ้องอยู่กับเนื้อแห้งที่วางอยู่บนที่วางแขนไม่วางตา แต่กลับไม่ยื่นมือไปหยิบมัน


เหมยเหมยยัดเนื้อแห้งทั้งถุงใส่มือเซียวเซ่อ “อันนี้ให้คุณ ในกระเป๋าของฉันยังมีอีก”


ขณะที่พูดอยู่เธอก็หยิบอีกถุงออกมาจากกระเป๋า เนื้อแห้งในยุคสมัยนี้ถือว่าคุณภาพดีสมนำสมเนื้อ เป็นของดีราคาถูก ต่อไปในอนาคตจะหากินเนื้อคุณภาพดีแบบนี้ได้ยาก เหมยเหมยซื้อครั้งหนึ่งเป็นกองใหญ่ๆ และเก็บไว้ในช่องเก็บของของฉิวฉิว เพราะฉิวฉิวและฉาฉาต่างก็ชอบกิน


เซียวเซ่อที่เห็นถุงเนื้อแห้งในมือเกิดอาการนิ่งงัน มุมปากค่อยๆยกขึ้น จากนั้นส่งยิ้มให้กับเหมยเหมย งดงามมาก !


“เธอควรจะยิ้มบ่อยๆนะ เธอยิ้มแล้วน่ามองมาก”


เหมยเหมยพูดอย่างมีไมตรีจิต แม้ว่าเธอจะพูดอยู่คนเดียว แต่มันคงดีกว่าการที่เธอนั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนี้ เพราะอย่างน้อยเซียวเซ่อก็นับว่าเป็นผู้ฟังที่ดีคนหนึ่ง แม้จะไม่ส่งเสียง แต่เธอก็ตั้งใจฟังมาก นั่นจึงทำให้เหมยเหมยรู้สึกว่าก็ยังประสบผลสำเร็จ


“เธอก็เป็นผู้เข้าแข่งขันหรอ ?” เหมยเหมยถาม


เซียวเซ่อพยักหน้า เหมยเหมยถามอย่างดีใจ “ฉันก็เป็น ฉันเป็นตัวแทนจากเมืองจินเข้าแข่งขัน เธอน่าจะเป็นตัวแทนจากเมืองหลวงสินะ ?”


เป็นอีกครั้งที่เซียวเซ่อพยักหน้าตอบ เด็กผู้หญิงคนนี้ดูซื่อบื้อดีแหะ แต่คำพูดของเธอก็น่าสนใจดีเหมือนกัน และเนื้อแห้งของเธอก็อร่อยมากด้วย ที่สำคัญคือ เธออยากรู้ว่าแขนเสื้อด้านในของเหมยเหมยคืออะไร ?


เป็นอีกครั้งที่เหมยเหมยยัดเนื้อแห้งเข้าไปในแขนเสื้อ เพราะไม่กล้าที่จะให้ฉาฉาโผล่หน้าออกมา เธอกลัวว่าจะทำให้เซียวเซ่อตกใจ


ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนที่จะใจกล้าบ้าบิ่นเหมือนเธอ !


เหมยเหมยรู้สึกอิ่มใจมาก การกลับมาเกิดใหม่เธอไม่เพียงแต่ฉลาดขึ้น อีกทั้งความคิดยังปราดเปรื่อง พระเจ้าช่างเป็นใจให้เธอเหลือเกิน !


“แขนเสื้อด้านในของเธอมีอะไร ? หนูหรือว่าแมงมุม ?” เซียวเซ่อมองไปยังแขนเสื้อของเหมยเหมยอย่างแปลกใจ


เหมยเหมยกระพริบตาปริบๆ  ดูจากสไตล์เหมือนมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแล้วล่ะ ?


ทำไมต้องเป็นหนูหรือแมงมุม ?


เป็นลูกแมวหรือลูกหมาไม่ได้รึไง ?


คำถามของเซียวเซ่อเอาใจเหมยเหมยไปได้ เธอจึงเลิกแขนเสื้อขึ้นด้วยท่าทีดูลึกลับ ฉาฉาที่กำลังกัดกินเนื้อแห้งอยู่ เงยหน้ามองเซียวเซ่อแค่เพียงแวบเดียว


กลิ่นตัวถือว่าหอมใช้ได้ อืม ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ไม่ใช่วัตถุอันตรายอย่างที่พี่ฉิวบอก มันสามารถกินเจ้าเนื้อต่อได้ !


แววตาของเซียวเซ่อเปล่งประกายทอแสงอันแรงกล้า ราวกับการได้เห็นวัตถุล้ำค่าที่หาได้ยากบนโลกใบนี้ก็มิปาน เธอกลืนน้ำลายลงคอแล้วถาม “ฉันขอจับตัวมันได้ไหม ?”


“ได้สิ ฉาฉาเป็นเด็กดีมาก”


เซียวเซ่อยื่นมือออกไปลูบเบาๆที่หัวของฉาฉา ฉาฉาจึงส่ายหัวไปมา และเปลี่ยนเส้นทางใหม่ในการกินเนื้อ เชื่อฟังเสียไม่มีที่ติ !


“คิกๆ !”


เซียวเซ่อกลั้นขำไว้ไม่อยู่ เธอหยิบเนื้อแห้งออกมาหนึ่งแผ่นจากนั้นยื่นไปตรงหน้าของฉาฉา พูดขึ้นเสียงเบา “เนื้อของฉันให้แกกิน ให้ฉันสวมใส่แกหน่อยได้ไหม ?”


ฉาฉากลืนเนื้อทั้งแผ่นลงไป จากนั้นเลื้อยขึ้นไปยังข้อมือของเซียวเซ่อโดยไม่ผ่านการไตร่ตรอง มันขดงอตัวกลายเป็นกำไลมรกต จากนั้นจึงกัดกินเนื้อแห้งต่อ


“สัตว์เลี้ยงของเธอเชื่อฟังมากเลยนะ เชื่อฟังกว่าที่ฉันเลี้ยงเยอะเลย คนสวยของฉันไม่เชื่อฟังเอาเสียเลย !”


เซียวเซ่อคืนฉาฉาให้เหมยเหมยอย่างอาลัยอาวรณ์ จากเดิมที่นิ่งเงียบ กลับกลายเป็นพูดมากขึ้น


“คนสวย ? คือสัตว์ที่เธอเลี้ยงไว้เหรอ ? คืออะไรล่ะ ?” เหมยเหมยถามอย่างแปลกใจ


สายตาของเซียวเซ่อฉายแววเปล่งประกาย เธอล้วงเอาสิ่งของเล็กๆบางอย่างที่มีสีน้ำตาลกาแฟออกมาจากแขนเสื้อ


……………………………………………………….


บทที่ 672 สัตว์เลี้ยงแปลกประหลาด


เหมยเหมยเบิกตากว้างพยายามจ้องมองสัตว์เลี้ยงของเซียวเซ่อให้ชัด แต่เพียงแค่ครู่เดียวเจ้าตัวเล็กก็เปลี่ยนเป็นอีกสีหนึ่ง โดยมีลักษณะคล้ายคลึงกับสีผิวของเซียวเซ่อ หากไม่ตั้งใจมองก็จะแยกไม่ออก


“มันคือกิ้งก่าหรอ ? น่าสนใจ !”


เหมยเหมยมองปราดเดียวก็รู้ว่าเจ้าตัวเล็กคือสัตว์อะไร เป็นกิ้งก่าสวยงามตัวหนึ่ง ไม่แปลกเลยที่เซียวเซ่อจะเรียกมันว่าคนสวย


“ใช่ มันคือกิ้งก่า ในบ้านฉันยังมีจิ้งจกอีกหนึ่งตัว แมงมุมหนึ่งตัว และงูหลามหยกอีกหนึ่งตัว พวกมันต่างเป็นเพื่อนที่ดีของฉัน”


เซียวเซ่อพูดขึ้นเสียงเบา และพยายามสังเกตสีหน้าของเหมยเหมยที่เปลี่ยนแปลง เมื่อเห็นว่าเหมยเหมหยไม่ได้มีสีหน้าแปลกไปเธอจึงรู้สึกโล่งใจ


ที่แท้ก็เป็นเพื่อนที่มีความนิยมชมชอบตรงกับเธอ แต่ความกล้ามีมากกว่าใครเป็นไหนๆ


เหมยเหมยเองก็สังเกตเห็นท่าทีกระวนกระวาย ดูตึงเครียดของเซียวเซ่อ จึงเกิดรู้สึกสงสารเซียวเซ่อขึ้นมา และแน่นอนว่าเซียวเซ่ออยู่ที่บ้านต้องไม่ได้เป็นดั่งเจ้าหญิงตัวน้อยที่ได้รับความรักใคร่เอ็นดู เพราะเด็กที่ได้รับการดูแลปกป้องจากพ่อแม่ มักจะไม่ใส่ใจต่อความรู้สึกของคนอื่นมากขนาดนี้


ความจริงแล้วเมื่อครู่ที่เธอได้ฟังเซียวเซ่อแนะนำถึงบรรดาเพื่อนของเธอ เหมยเหมยก็รู้สึกขนหัวลุกไปบ้างเล็กน้อย แต่เธอสามารถควบคุมสีหน้าไว้ได้ อีกอย่างในใจของเธอเป็นผู้ใหญ่ที่บรรลุนิติภาวะแล้ว สามารถควบคุมอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองได้ดี


“เธอสุดยอดไปเลย เธอเลี้ยงคนเดียวหรอ ?” เหมยเหมยชื่นชมสรรเสริญ


เซียวเซ่อยิ้มอย่างดีใจ “ฉันเลี้ยงด้วยตัวเอง คนในบ้านกลัวกันเลยไม่กล้าเลี้ยง” ราวกับฉาฉาสนใจต่อเจ้าคนสวยอย่างเซียวเซ่อ จึงได้เลื้อยข้ามไปหาเพื่อทำการทักทาย แต่ดูเหมือนเจ้าตัวเล็กจะตกใจราวกับนกติดกับ มันมุดหนีกลับเข้าไปในแขนเสื้อของเซียวเซ่อ และไม่กล้าโผล่ออกมาอีก


“คนสวยใจเสาะน่ะ เอาไว้คราวหน้าฉันจะพากษัตริย์มาด้วย กษัตริย์ใจกล้ามาก”


เซียวเซ่อรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย เจ้าสัตว์ไม่ค่อยไว้หน้าเธอสักเท่าไหร่ !


เหมยเหมยยกยิ้มมุมปาก และถามขึ้น “ในบ้านเธอมีนางสนมเอกด้วยใช่ไหม ?”


ราวกับเซียวเซ่อได้พบเจอกับเพื่อนรู้ใจก็มิปานเธอ ฉีกยิ้มและพูดขึ้น “ใช่แล้ว ยังมีพระชนนีกับสนมเอก พวกมันใจกล้าทั้งนั้น หรือเธอจะมาเที่ยวเล่นที่บ้านฉันก็ได้นะ ?”


เหมยเหมยตอบออกไปอย่างจนปัญญา “พรุ่งนี้ฉันต้องกลับเมืองจินแล้ว หรือไม่งั้นรอให้ถึงช่วงตรุษจีนดีไหม ช่วงตรุษจีนฉันจะกลับเมืองหลวง”


แววตาเซียวเซ่อเปลี่ยนเป็นหม่นหมอง ถอดถอนหายใจเบาๆ มันไม่ง่ายเลยที่จะเจอเพื่อนที่พูดคุยกันได้ถูกคอแบบนี้ เพิ่งได้เจอกันก็จะต้องแยกกันเสียแล้ว


จ้าวเสวียเอร่อที่คุยกับดาวมหาลัยจนหลงลืมน้องสาวไป ในที่สุดก็นึกถึงน้องสาวได้เสียที เขาหันกลับมาเพื่อจะแนะนำเพื่อนให้เหมยเหมยรู้จัก แต่กลับเห็นว่าน้องสาวตนได้เพื่อนใหม่ไปแล้ว น่าชื่นชมอย่างสุดซึ้ง !


“พระเจ้า นึกไม่ถึงว่าเซ่อเซ่อจะยอมพูดคุยกับคนอื่น มหัศจรรย์ยิ่งนัก” ดาวมหาลัยคนสวยตกใจอย่างสุดขีด


จ้าวเสวียเอร่อกำลังจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น พิธีการมอบรางวัลก็ได้เริ่มขึ้น พิธีกรคือหร่วนหวาไฉ่ ก่อนหน้ามีผู้นำจำนวนไม่น้อยที่ขึ้นกล่าวปราศรัยและผ่านพ้นเสียงปรบมือจำนวนนับไม่ถ้วน จนในที่สุดก็มาถึงพิธีการมอบรางวัลเสียที


“ผู้ชนะในการแข่งขันครั้งนี้คือเซียวเซ่อ ผลงานการแข่งขันของเธอคือการค้นหาดอกเหมยกลางหิมะ”


หร่วนหวาไฉ่ประกาศชื่อผู้ที่ได้รับรางวัล เหมยเหมยสะดุ้งตกใจ มองเพื่อนใหม่คนข้างๆด้วยความตกตะลึง ปัดโธ่ สายตาเธอนี่ช่างไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย เจอคนมีชื่อเสียงยืนอยู่ตรงหน้ากลับไม่รู้จักเขาซะงั้น !


เซียวเซ่อส่งยิ้มให้กับเธอ ลุกขึ้นและมุ่งหน้าขึ้นไปบนเวที ใบหน้าท่าทีที่ดูเท่ เมื่อเธอรับถ้วยรางวัลและประกาศนียบัตรจากมือผู้อำนวยการจูมาได้ก็ลงจากเวทีทันที เธอวางถ้วยรางวัลลงกับที่นั่งอย่างไม่แยแส แต่เลือกหันกลับมาหยอกล้อกับฉาฉาเหมือนเดิม ไม่ได้ให้ความสนใจกับรางวัลชนะเลิศแต่อย่างใด


“รางวัลรองชนะเลิศในครั้งนี้คือจ้าวเหมย และรางวัลรองชนะเลิศอันดับสองคือ…”


เหมยเหมยหันไปขยิบตาส่งให้เซียวเซ่อที่มีท่าทีตกตะลึงไม่ต่างไปจากเธอ ในใจอารมณ์ดีไม่น้อย ยังไงก็ไม่ควรจะทำให้เธอตกตะลึงอยู่คนเดียวสิ !


คนที่มอบรางวัลให้กับเหมยเหมยเป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างผอมสูง หน้าตาสะอาดสะอ้าน แลดูมีความสุภาพเรียบร้อย เมื่อครู่หร่วนหวาไฉ่เรียกเขาว่าเจิ้งซื่อหลิน


………………………………………………………


บทที่ 673 อยากเป็นศิษย์ของฉันไหม ?


เจิ้งซื่อหลินยื่นถ้วยรางวัลและประกาศนียบัตรให้กับเหมยเหมย ส่งยิ้มและมองเธอ แต่ในดวงตากลับแฝงด้วยความหมายลึกๆบางอย่าง


หร่วนหวาไฉ่ที่เป็นศิษย์น้องเล่าเรื่องเหตุการณ์วันนั้นให้เขาฟังหมดแล้ว ทั้งยังให้เขาดูผลงานการแข่งขันของยัยเด็กนั่น ที่เป็นภาพวาดกระรอก แม้ศิลปะการวาดจะออกแนวอ่อนหัดไปบ้าง แต่สิ่งที่หาได้ยากกลับเป็นปฏิภาณไหวพริบและความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเธอ ถือเป็นจุดเด่นมากที่สุดในบรรดาผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด ได้รับรางวัลรองชนะก็ถือว่าเหมาะสมดีแล้ว


เขาและศิษย์มีความรู้สึกเหมือนกัน ราวกับว่าคำพูดของเด็กคนนี้ได้ทำให้นึกถึงคนคนนั้นขึ้นมา แม้จะดูแตกต่างแต่ก็มีความคล้ายคลึงอยู่มาก แต่หากมองอย่างละเอียดกลับไม่มีความเหมือนเลย


“การวาดของเธอเป็นเอกลักษณ์มาก เคยไหว้เป็นศิษย์ของอาจารย์คนไหนไหม ?” เจิ้งซื่อหลินยกยิ้มและถามด้วยท่าทีอัธยาศัยดีมีไมตรี


เหมยเหมยเก็บซ่อนความโกรธเกลียดเคียดแค้นเอาไว้ และพูดขึ้นอย่างแน่นิ่ง “แน่นอนสิคะ ครูผู้ให้ทางสว่างแก่ฉันคือครูเห้อ”


สีหน้าท่าทีของเจิ้งซือหลินแสดงออกอย่างสงสัย ในสมองขบคิดประมวลผลบุคคลที่เขารู้จักแล้วอยู่ในวงการอาชีพเดียวกัน มีอาจารย์คนไหนมีแซ่เห้อ แต่พอเขาค่อยๆตัดคนที่รู้จักทั้งหมดออกไป ไม่มีอาจารย์ที่มีแซ่เห้อเลยจริงๆ


ซึ่งเขาก็ไม่กล้าดูแคลน เข้าใจว่าอาจเป็นอาจารย์ทางภาคใต้ ซึ่งเป็นไปได้ที่เขาจะไม่รู้จัก เขายิ้มให้พร้อมกับถาม “อาจารย์ของเธอชื่ออะไรล่ะ ?”


“เห้อเหวินจิ้ง”


เจิ้งซื่อหลินขมวดคิ้วในทันที ชื่อนี้ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นผู้หญิง ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกผู้หญิง แต่นอกจากการให้กำเนิดบุตรที่ผู้ชายทำไม่ได้แล้วนั้น อาชีพอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นงานละเอียดหรืองานเบาๆทั่วไป ผู้หญิงก็ทำได้ไม่ดีเท่าผู้ชาย !


ในวงการวาดภาพก็เหมือนกัน ผู้หญิงที่สามารถวาดภาพจนมีชื่อเสียงได้ มีเพียงแค่ไม่กี่คน น้อยจนสามารถนับได้ !


เจิ้งซื่อหลินรู้ตัวว่าไม่ควรโอ้อวดว่ามีความรู้แค่หางอึ่งต่อหน้าเด็กคนนี้ จึงหันหน้าไปถามหร่วนหวาไฉ่ผู้เป็นศิษย์น้อง “หัวหน้าเลขาหร่วนเคยได้ยินชื่อเห้อเหวินจิ้งไหม ? เธออยู่แขนงไหน ?”


หร่วนหวาไฉ่ส่ายหน้าไปมา ด้วยใบหน้างงงวย


วงการวาดภาพมีผู้หญิงที่ชื่อเห้อเหวินจิ้งตั้งแต่เมื่อไหร่ ?


เหมยเหมยเรียกน้ำย่อยได้พอหอมปากหอมคอ ถึงจะพูดออกไป “เห้อเหวินจิ้งเป็นครูที่สอนฉันตอนอยู่ที่ห้องเรียนเยาวชน เธอยังสอนฉันเต้นด้วย เธอเก่งมากเลยค่ะ !”


ขณะนี้เห้อเหวินจิ้งได้นั่งอยู่ในแถวคนดู เพราะแม่ของเธอเป็นเพื่อนร่วมงานกับผู้อำนวยการจู และโอหยางเซี่ยงหมิง พวกเขาต่างอยู่ในแผนกเดียวกัน เป็นธรรมดาที่ค่ำคืนนี้จะต้องเข้าร่วม เห้อเหวินจิ้งรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเหมยเหมยได้รับรางวัล เธอดีใจจนเนื้อเต้นและมาเพื่อให้กำลังใจเหมยเหมยโดยเฉพาะ


แม่ของเธอที่ได้ฟังเจ้าเด็กแสบที่ปั่นหัวเจิ้งซื่อหลินและหร่วนหวาไฉ่ด้วยท่าทีจริงจังอยู่บนเวที จึงหลุดขำออกมา หันไปพูดกับลูกสาวที่ตื่นเต้นเป็นไหนๆ “ลูกศิษย์ตัวเล็กของเธอนี่ใจกล้าดีแท้ เมื่อวันก่อนก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โตในสนามแข่งขัน คืนนี้ยังเริ่มป่วนอีก แม่จะบอกอะไรให้นะ บอกให้ลูกศิษย์ตัวน้อยของลูกเพลาๆลงหน่อย เจิ้งซื่อหลินและหร่วนหวาไฉ่ไม่ใช่คนที่เราจะจัดการได้ง่ายๆ”


เห้อเหวินจิ้งทำปากบูดบึ้ง พูดขึ้นอย่างโอ้อวด “เหมยเหมยเป็นถึงเจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลจ้าว เจิ้งซื่อหลินและหร่วนหวาไฉ่ พวกเขาคงต้องใจกล้าให้มากกว่านี้แล้วล่ะ !”


“แต่นั่นก็ยังต้องระวังอยู่ดี หากทำเรื่องไม่ดีลับหลังเราก็หาทางป้องกันได้ยาก !” แม่เห่อพูดกำชับ


เจิ้งซื่อหลินที่ยืนอยู่บนเวที หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเหมยเหมย เขามีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่นานก็ปรับสีหน้าเป็นยิ้มดั่งเดิม กำแพงเมืองชุดนี้แข็งแกร่งกว่าศิษย์น้องของเขาหลายสิบเท่า


“เด็กคนนี้ช่างน่าสนใจนัก ครูประจำห้องเรียนเยาวชนไม่นับว่าอาจารย์ แม่สาวน้อยอยากจะไหว้เป็นศิษย์ของฉันไหม ?”


เจิ้งซื่อหลินไม่ใช่คนใจร้อน เขามักคิดก่อนทำเสมอ เหมยเหมยเป็นหลานสาวของตระกูลจ้าว ตระกูลจ้าวเป็นตระกูลสูงส่งในแวดวงสังคม หากว่าเขาสามารถเข้ากับตระกูลจ้าวได้ ก็ไม่จำเป็นต้องอยู่กับชายชราอย่างเหอเจิ้งตานอีกต่อไป !


อีกทั้งการวาดของเหมยเหมยยังมีความผิดปกติเล็กน้อย หากอยู่ใกล้ตัวเขาจะได้วางใจหน่อย !


เหมยเหมยแอบหัวเราะเยาะ คนสารเลววาดฝันซะสวยหรู อยากจะรับเธอไว้เป็นศิษย์ ?


เขาเหมาะสมรึ ?


………………………………………………………………


บทที่ 674 ความไม่ซื่อสัตย์ ความอกตัญญู ความอยุติธรรม


เหมยเหมยกดอารมณ์ความรู้สึกไว้ ส่ายหน้าตอบ “ไม่เต็มใจค่ะ”


ไม่ว่าจะเป็นบนหรือล่างเวที พวกคนที่ไม่รับรู้เรื่องราวภายในต่างแอบนึกพากันเสียดาย โดยเฉพาะผู้เข้าแข่งขันที่ตกรอบไป อาจารย์ของพวกเขาต่างก็ไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียงอะไร กระทั่งบางคนยังไม่เคยไหว้ครูด้วยซ้ำ


ผู้คนที่เห็นนึกไม่ถึงว่าเหมยเหมยจะกล้าปฏิเสธอาจารย์ชื่อดังระดับประเทศอย่างง่ายดาย พวกเขาต่างสูดหายใจเข้าอย่างนึกเจ็บปวด


กลับกันหากเป็นพวกเขา คงไม่ต้องพูดอะไรแล้วตอบตกลงในทันที มีอะไรให้ลังเลอีกหรือ พวกเขาไม่มีทางปฏิเสธ !


รอยยิ้มบนใบหน้าของเจิ้งซื่อหลินกลับกลายเป็นฝืนทน ส่งยิ้มให้กับผู้คนล่างเวที จากนั้นหันมาถามอีกครั้ง “ทำไมเธอถึงไม่เต็มใจให้ฉันเป็นอาจารย์ล่ะ? หรือคิดว่าฉันมีฝีมือไม่สูงพอ?”


ล่างเวทีมีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง หร่วนหวาไฉ่รีบพูดหยอกล้อ “อาจารย์เจิ้งก็ถ่อมตัวเกินไปครับ หากว่าคุณมีฝีมือไม่สูงพอ คนอย่างผมคงกลายเป็นคนที่มีฝีมือระดับเด็กประถมแล้วล่ะ!”


คนอื่นๆบนเวทีต่างพากันคุยโม้โอ้อวด แค่นี้ก็ดูออกแล้วว่าเจิ้งซื่อหลินมีตำแหน่งในแวดวงการวาดภาพสูงมากพอควร คนจำนวนมากต่างมองเขาเป็นหัวหลักหัวตอเสมอ


เจิ้งซื่อหลินพูดหยอกล้ออย่างคิดเข้าข้างตัวเอง “ฝีมือระดับฉันถือว่าไม่เลวนะ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคนชื่นชมฉันมากขนาดนี้หรอก เธอจะลองคิดดูอีกทีไหม?”


เหมยเหมยยังคงส่ายหน้า “ไม่ต้องคิดหรอกค่ะ คนพวกนั้นก็แค่ประจบคุณเท่านั้นเอง!”


รอยยิ้มบนใบหน้าของหร่วนหวาไฉ่หายไปทันที คนอื่นๆ ก็ด้วย บรรยากาศกลับกลายเป็นไร้ชีวิตชีวา ทุกอย่างชะงักงัน ภายในหอประชุมใหญ่เงียบสงัดอย่างไร้เสียง


เห้อเหวินจิ้งนั่งฟังอย่างถึงอกถึงใจ และเป็นคนเริ่มปรบมือขึ้น ในขณะเดียวกันยังมีเซียวเซ่อและจ้าวเสวียเอร่อที่ปรบมืออย่างพร้อมเพรียง เซียวเซ่อยินดีกับเหมยเหมยจากใจจริง จ้าวเสวียเอร่อกลับไม่อยากให้บรรยากาศดูอึดอัดเกินไป


ยัยเด็กแสบนี่นับวันยิ่งใจกล้ามากขึ้น ไม่ดูสถานการณ์อะไรเลย คำพูดอะไรก็กล้าพูดออกมาเสียหมด!


“พี่จ้าว น้องสาวของพี่น่ารักจัง เยี่ยมไปเลย!” ดาวมหาลัยคนสวยปรบมือด้วยความตื่นเต้น


จ้าวเสวียเอร่อพลันปรับสีหน้าให้เป็นรอยยิ้มที่ทำให้คนหลงใหล ขยับเข้าใกล้ดาวสาวสวยมากขึ้น “เหมยเหมยเป็นคนน่ารัก ในบรรดาพี่ชายทั้งหมด เธอสนิทกับพี่มากที่สุด…”


ถึงยังไงการพูดคุยเรื่องไกลตัวกับดาวคนสวยนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า ส่วนน้องสาวเขาจะวุ่นวายหรือไม่ เขาไม่มีกระจิตกระใจจะเข้าไปยุ่ง ถึงยังไงก็เป็นแค่พิธีการประกาศรางวัลเท่านั้นเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร


เจิ้งซื่อหลินยังคงยิ้มอ่อนๆ เพียงแต่รอยยิ้มกลับดูเย็นยะเยือกลง หากไม่ใช่ว่าเหมยเหมยเป็นหลานสาวของตระกูลจ้าว เขามีวิธีมากมายเกินจะนับได้ ที่จะทำให้เหมยเหมยเดินอยู่ในวงการวาดภาพอย่างยากลำบาก


เหมยเหมยจ้องหน้ากับเจิ้งซื่อหลินอย่างสงบ จากนั้นพูดต่อ “ฝีมือของคุณเป็นยังไงฉันไม่รู้หรอก ฉันรู้แค่ว่าม้าที่ดีมักจะคู่ควรกับอานที่ดี[1] คนเราไม่ไหว้ครูถึงสองคนหรอกค่ะ หนูมีครูอยู่แล้ว และแน่นอนว่าไม่มีทางไหว้คนอื่นเป็นครูอีก ไม่เช่นนั้นจะกลายเป็นคนไม่ซื่อสัตย์ อกตัญญู รวมถึงไร้ซึ่งคุณธรรมและความผิดชอบชั่วดี หลายพันคนชี้ให้เห็นว่าหากชื่อเสียงเรื่องราวฉาวโฉ่ถูกเล่าขานต่อไป มักจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่คิดจะดูหมิ่นเหยียดหยาม”


คำพูดของเธอชัดถ้อยชัดคำ รอยยิ้มบนใบหน้าของหร่วนหวาไฉ่และเจิ้งซื่อหลินจางหายลงไปมาก จนกลายเป็นเยือกเย็น


เรื่องราวในปีนั้นเป็นหนามแทงใจของพวกเขามาตลอด ท้ายที่สุดแล้วชื่อเสียงของการทรยศต่อครูของตนนั้นถือเป็นเรื่องที่เลวร้ายมาก ตลอดยี่สิบปีมานี้ศิษย์พี่ศิษย์น้องทั้งสองต่างจัดการกับเรื่องนี้ โดยการพยายามปกปิดข้อเท็จจริง


ยี่สิบปีที่กำลังจะผ่านไป ฐานะในวงการวาดภาพของพวกเขานั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ คนที่รู้ความจริงก็ลดน้อยลงไปทุกที ต่อให้มีคนรู้ ก็ไม่มีใครกล้าที่จะพูดต่อหน้าพวกเขา


จ้าวเหมยกำลังรนหาที่ตาย!


อย่าคิดว่าเธอเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลจ้าว แล้วพวกเขาจะจัดการกับเธอไม่ได้!


เล่นในที่แจ้งไม่ได้ ก็เล่นในที่มืดสิ อยากกำจัดใครสักคน มีอยู่นับร้อยพันวิธี!


หร่วนหวาไฉ่ดึงสติกลับมาได้อย่างรวดเร็ว เขาพูดจาติดตลกไปไม่กี่ประโยคเพื่อให้บรรยากาศครึกครื้นขึ้น เหมยเหมยส่งยิ้มบางๆให้พวกเขา ก่อนจะถือถ้วยรางวัลลงจากเวที


เจิ้งซื่อหลินและหร่วนหวาไฉ่พยายามปกปิดข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ในปีนั้น แต่เธอกลับพูดมันขึ้นมาอีกครั้ง


คุณตาของเธอเหยียนตานชิง จะต้องกลับเข้ามาในวงการวาดภาพอย่างเจิดจรัสเฉิดฉายอีกครั้ง ใครหน้าไหนก็อย่าได้ลืม!


……………………………………………………..


บทที่ 675 สองปีผ่านไป


เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้วสองปี


ฤดูร้อนในปีนี้ร้อนกว่าปีก่อนๆ และปีที่ผ่านมาเป็นไหนๆ สัตว์นานาพันธุ์บนต้นอูถง[2]กลางสนามไม่มีแม้แต่เรี่ยวแรงเปล่งเสียงร้อง เงียบเหงาที่สุดในประวัติการณ์ พัดลมเพดานในห้องเรียนพัดหมุนดังเอี๊ยดๆ ราวกับเสียงเครื่องยนต์เก่าๆก็มิปาน แต่ที่น่าเป็นห่วงหน่อยก็เห็นจะเป็นส่วนคมของใบพัด ซึ่งมันอาจจะหมดอายุและหล่นลงมาได้ทุกเวลา


แม้ว่าพัดลมเพดานจะถูกเปิดจนถึงระดับสูงสุด แต่ลมที่พัดส่งออกมากลับเป็นลมร้อน ไม่แม้แต่จะรับรู้ได้ถึงความเย็นสบาย นักเรียนหลายคนถือสมุดแบบฝึกหัดขึ้นมาพัดกระพือไม่หยุด เพื่อรับความเย็นสบายจากลม


“ร้อนจะตายอยู่แล้ว ทำไมครูอู๋ยังไม่มาอีกนะ ?”


เจ้าเด็กอ้วนอู่เชา ไม่สิ ตอนนี้ต้องเรียกเขาว่าพี่อ้วนแล้ว


เพราะในช่วงเวลาสองปีที่คืนวันได้ผันผ่าน ไขมันบนตัวของเด็กชายอู่เชาพัฒนาขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ จากที่เขามีส่วนสูงอยู่ที่หนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร หนักหนึ่งร้อยยี่สิบห้าจิน ในตอนนี้ได้ข้ามกระโดดมามีส่วนสูงหนึ่งร้อยหกสิบสี่ และหนักหนึ่งร้อยสี่สิบจินได้จนสำเร็จ


ทั้งหมดนี่เป็นเพราะน้ำพักน้ำแรงของเหมยเหมยและสยงมู่มู่ ที่คอยสนับสนุนอย่างเต็มที่


สองปีมานี้พวกเขาห่อข้าวเที่ยงมาให้เจ้าอ้วนเสมอดั่งสายฝนที่ไม่ขาดสาย เนื้อปลาไข่สารอาหารครบครันไม่มีขาด และด้วยมื้อเที่ยงของเหมยเหมยที่แทบจะไม่กินเนื้อเลย และด้วยกล่องกับข้าวจากเหยียนซินหย่า ล้วนเป็นเจ้าอ้วนที่เป็นคนจัดการ


จนสุดท้ายต้องกลายมาเป็นพี่อ้วนอย่างสมบูรณ์แบบ!


และนั่นทำให้เขาถูกเปรียบเทียบกับพี่ชายอย่างอู่เจี่ยได้อย่างชัดเจนยิ่งนัก จนแอบคร่ำครวญในใจว่าน้องของเขาเป็นหมู ไม่ว่าสิ่งที่เขากินเข้าไปจะเป็นอะไร แต่ส่วนที่งอกเงยก็คือส่วนเนื้อ!


แม่ของพวกเขาอย่างเว่ยชิวเยวี่ย สองปีผ่านไปสำหรับการฝึกฝนและเปลี่ยนแปลง แต่ฝีมือในการทำอาหารกลับไม่พัฒนาขึ้นเอาเสียเลย กับข้าวที่ทำออกมาในแต่ละวันเหมือนกับอาหารหมู เขากินจนเหลือแต่กระดูกแล้ว แต่น้องชายเขากลับตัวอ้วนกลมดิก หากไม่ใช่หมูแล้วจะเป็นอะไรได้!


เหมยเหมยนั่งอยู่อย่างเงียบสงบ ไม่ได้รู้สึกร้อนระอุเหมือนกับคนอื่นๆ แม้แต่ส่วนปลายจมูกของเธอยังไม่มีหยดเหงื่อเลย เย็นๆสบายๆ ราวกับไม่ได้รับความร้อนเสียอย่างนั้น


ในความเป็นจริงเธอไม่ได้รู้สึกว่าร้อนแต่อย่างใด เธอเป็นคนธาตุเย็น ไม่รู้สึกร้อนง่าย อีกทั้งเธอสวมใส่เสี่ยวฉาฉาไว้ ต่อให้ร่างกายเธออยู่กลางเตาอบ ก็ไม่รู้สึกถึงความร้อน!


เพราะเจ้าฉาฉาจอมน่ารักเป็นดั่งโรงเก็บน้ำแข็งเคลื่อนที่!


และยังเป็นโรงเก็บน้ำแข็งที่สามารถปรับอุณหภูมิได้อีกด้วย มันสามารถปรับเปลี่ยนได้ทุกเมื่อตามอุณหภูมิด้านนอกที่เปลี่ยนแปลง ซึ่งอุณหภูมิที่ถูกส่งออกมาจะพอดีกับร่างกายของเหมยเหมยมากที่สุด ดีกว่าเครื่องปรับอากาศส่วนกลางร้อยเท่า


“เหมยเหมย ทำไมเธอถึงไม่ร้อนเลยสักนิด ? ฉันขอจับมือเธอหน่อยได้ไหม?”


เจ้าอ้วนที่เหงื่อเม็ดใหญ่ผุดเต็มหน้ามองเหมยเหมยอย่างอิจฉา เขาขยับหน้าเข้าไปใกล้มากขึ้น เพื่อที่จะได้รับเอาอากาศเย็นมาจากเหมยเหมย


“เพี้ยะ!”


เหมยเหมยออกแรงฟาดไปบนมือของอู่เชา กรอกตามองเขาครู่หนึ่ง และพูดอย่างราบเรียบ “ชายหญิงห้ามอยู่ใกล้กันมาก ออกไปห่างๆจากฉันหน่อย !”


อู่เชาลุกออกไปนั่งให้ห่างอย่างโมโห เหมยเหมยที่โตขึ้นไม่น่ารักเลยสักนิด แค่จับนิดจับหน่อยจะทำไม?


ตอนเด็กๆ ยังเคยนอนด้วยกันเลย!


เหมยเหมยเหลือบมองท่าทีอึดอัดใจของเจ้าอ้วน จึงอดหัวเราะไม่ได้ ลักยิ้มข้างแก้มปรากฏขึ้น ทั้งตัวเธอดูงดงามราวกับน้ำใสกลางหุบเขาก็มิปาน ทำให้ห้องเรียนเย็นสบายไประลอกหนึ่ง


ช่วงเวลาสองปี เหมยเหมยเปลี่ยนไปมาก ช่วงตัวดูยาวขึ้น จากเดิมที่มีใบหน้ากลมมนดั่งเด็กทารก กลับเปลี่ยนเป็นเล็กแหลม ใบหน้าก็ดูสดใสขึ้น มองยังไงก็ดูโดดเด่น และยิ่งงดงามมากขึ้น


ความจริงแล้วควรพรรณนารูปลักษณ์หน้าตาของเหมยเหมยว่าสวยจนทำลายล้างประเทศชาติ ไม่เหมาะจะใช้คำว่าบริสุทธิ์งดงาม สง่างาม หรือน่ารัก ใจกว้าง สารพันคำพวกนี้มาพรรณนาทั้งนั้น แต่ควรใช้แค่เพียงคำว่าสวยเจ้าเล่ห์


“ถ้าใจสงบนิ่งก็จะรู้สึกเย็นเองแหละ นายนั่งนิ่งๆ อย่าขยับ เดี๋ยวก็รู้สึกเย็นเอง” เหมยเหมยพูดขึ้น


อู่เชาออกแรงพัดด้วยสมุดการบ้าน แลบลิ้นหอบแหกๆ ทำปากบูดบึ้ง ถ้าไม่ขยับแล้วสายลมจะมาจากไหนล่ะ?


ถ้าต้องพึ่งพัดลมติดเพดานสองตัวบนนี้ เขาคงได้ร้อนตาย!


ครูอู๋ที่เข้ามาสายยังคงสุขุมเข้มงวดดังเดิม แต่ความเมตตาบนใบหน้าที่หาได้ยากของเขากลับมีมากขึ้น เป็นอีกครั้งที่เขาจะต้องมาส่งเด็กที่เรียนจบ ความชื่นชมของเขามีอยู่เหลือล้น แต่ก็มีความเศร้าโศกอยู่เล็กน้อย


…………………………………………………………………………………………..


[1] ของดีๆ มักจะคู่ควรกับสิ่งดีๆ เสมอ


[2] เมเปิ้ลสายพันธุ์จีน


บทที่ 676 อยู่กับพี่หมิงซุ่น เงินไม่ขาดมือ


วันนี้เป็นวันเลี้ยงฉลองเนื่องในโอกาสสำเร็จการศึกษาของห้องเหมยเหมย และถือเป็นการรวมกันครั้งสุดท้ายของชั้นมัธยมปีที่สามห้องหก ต่อจากนี้ทุกคนก็ต้องแยกย้ายกันไปเรียนที่โรงเรียนอื่น หรืออาจจะย้ายไปเรียนรวมกับห้องอื่น


“ไม่รู้ว่าพวกเราจะได้อยู่เดียวกันอีกไหม ?” อู่เซาเองก็รู้เสียใจเล็กน้อย เขากินแตงโมไปห้าชิ้นติดกัน เลยไม่ได้รู้สึกร้อนเท่าก่อนหน้านี้แล้ว


เหมยเหมยกรอกตามองเขาอย่างเอือมระอา “ไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันก็ไม่เห็นเป็นไร อย่างน้อยก็อยู่โรงเรียนเดียวกัน”


เป็นอีกครั้งที่อู่เซาเบ้ปาก ยัยบ้านี่ใจดำชะมัด ไม่คิดจะปลอบใจเขาเลยสักนิด !


“อีกไม่กี่วันเธอก็กลับเมืองหลวงแล้วใช่ไหม ? นั่งเครื่องบินหรือว่ารถไฟล่ะ ?” อู่เซาถามขึ้น


“อื้ม อีกไม่กี่วันก็ไปแล้ว ถึงยังไงเครื่องบินก็เร็วกว่า จะกลับเวลาไหนก็ได้ !”


ไม่ง่ายเลยที่เหมยเหมยจะกินแตงโมสักชิ้นให้หมด เธอล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเพื่อเช็ดปากและมือ ตามร่างกายยังคงสะอาดสะอ้านดังเดิม นั่นจึงกลายเป็นข้อเปรียบเทียบกับเพื่อนในห้องที่กำลังกินแตงโมอยู่อย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่นเจ้าอ้วนที่อยู่ข้างๆเธอ


ตั้งแต่ที่เหยียนหมิงซุ่นเปิดโรงงานผลิตเสื้อผ้ามานั้น เงินของเหมยเหมยก็ไม่ขาดมืออีกเลย ในไตรมาสแรกเธอก็มีเงินเป็นหมื่นๆ ซึ่งเธอเองก็ตกใจอยู่ไม่น้อย หนึ่งหมื่นหยวนในยุคแปดสิบเลยนะ !


ทำให้คนเราดีใจได้มากกว่าเงินจำนวนหนึ่งล้านในอนาคต !


แต่ผลลัพธ์นั้นเหยียนหมิงซุ่นกลับบอกว่าเพิ่งเริ่ม รายรับจึงไม่ประสบผลดีเท่าที่ควร ผ่านไปสักสองปี จะต้องได้มากกว่านี้แน่


นึกไม่ถึงว่าต่อไปเธอจะมีเงินที่ทยอยได้มาเล็กๆน้อยๆ เป็นเงินปันผล ตอนนี้นับรวมๆกันเธอมีอยู่เกือบๆห้าหมื่นหยวนแล้ว เงินพวกนี้เธอยังไม่กล้าที่จะบอกกับสองสามีภรรยาจ้าวอิงหัว กลัวว่าพวกท่านจะรับไม่ได้ !


เธอแค่ร่วมลงทุนไปแค่หนึ่งพันหยวน แต่ส่วนแบ่งกลับได้มามากมายขนาดนี้ เหยียนหมิงซุ่นถือเป็นคนลงทุนหลัก ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องได้รับมามากเป็นธรรมดา แต่เหยียนหมิงซุ่นยังไม่พึงพอใจเท่าที่ควร ปีที่แล้วเขาขยายโรงงานให้กว้างขึ้น จากนั้นก็เปิดห้างขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ที่ขายจำพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างโทรทัศน์ เครื่องถ่ายวีดิโอ ตู้เย็น พัดลมโดยเฉพาะ แน่นอนว่าช่องทางการรับเข้าวัสดุก็ต้องมาจากทางภาคใต้


ตอนนี้เหยียนหมิงซุ่นคุ้นชินกับคนที่นั่นเป็นอย่างดี แค่มีสายโทรเข้ามา ทางฝั่งนั้นก็จะทำการส่งของมาให้ทันที ซึ่งนับว่าสะดวกสบายเป็นอย่างมาก


ห้างขายเครื่องใช้ไฟฟ้าของเหยียนหมิงซุ่น เหมยเหมยก็ได้ร่วมลงทุนด้วย เธอลงทุนไปหนึ่งหมื่นหยวน แต่เป็นเพียงสิบเปอร์เซ็นของหุ้นทั้งหมด เพราะเหยียนหมิงซุ่นยังมีบรรดาลุงและลูกพี่ลูกน้องอีกมาก เธอไม่กล้าจะเอาเปรียบไปมากกว่านี้


พูดได้แค่ว่า ยุคแปดสิบนั้นทุกพื้นที่ล้วนเป็นเงินเป็นทอง ตราบใดที่คุณมีช่องทาง และกล้าพอที่จะเดินหน้ากับเงินลงทุน นั่นไม่ยากเลยที่จะได้เงินมา


ผลกำไรที่ได้จากห้างขายเครื่องใช้ไฟฟ้าสูงกว่าโรงงานเสื้อผ้าเป็นไหนๆ เหมยเหมยเองก็ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาแบ่งเป็นเงินเท่าไหร่ เธอเลือกเก็บไว้ติดตัวแค่หนึ่งหมื่นหยวน ที่เหลือเป็นส่วนเกินที่ได้มา เหมยเหมยให้เหยียนหมิงซุ่นช่วยเอาไปลงทุนให้ทั้งหมด เธอก็ไม่อยากเข้าไปยุ่ง เพียงทำหน้าที่รอเก็บเงินก็พอแล้ว !


ถึงยังไงเธอก็วางใจต่อเหยียนหมิงเกินร้อย !


เพราะงั้นเหมยเหมยที่ไม่ได้ขาดแคลน เธอไม่มีทางไปนั่งรถไฟอีกแน่ !


มีเงินแล้วไม่ใช่ก็ไม่ต่างกับคนซื่อบื้อ !


อู่เซาพูดขึ้นอย่างอิจฉา “ฉันไม่ได้ไปเที่ยวเมืองหลวงมานานหลายปีมาก แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าตอนนี้เมืองหลวงเป็นยังไง ? อีกอย่างฉันโตมาขนาดนี้แล้ว ยังไม่เคยนั่งเครื่องบินเลยสักครั้ง !”


ที่เขาอิจฉาที่สุดก็คือการที่เหมยเหมยได้นั่งเครื่องบิน เปรียบเสมือนนกที่บินล่องลอยอยู่กลางอากาศ ต้องสนุกมากแน่ๆเลย !


เหมยเหมยกลอกตาและยกยิ้มขึ้น “งั้นนายไปเที่ยวเมืองหลวงกับฉันสิ !”


เจ้าเด็กอ้วนดวงตาเปล่งประกาย แต่ฉับพลันก็ดับมืดลง แน่นอนว่าเขาอยากไปเที่ยวเมืองหลวง แต่เงินค่าขนมของเขาแค่จะซื้อตั๋วรถไฟยังไม่พอเลย จะเอาปัญญาที่ไหนมานั่งเครื่องบิน !


และแม่เขาก็คงจะไม่ยอมด้วย ครอบครัวเขาเพิ่งจะซื้อบ้านหลังใหม่ เงินเก็บที่มีก็ใช้ไปหมดแล้ว แม่ยังบอกอีกว่าจะเก็บเงินไว้ให้เขาและพี่ชายสำหรับใช้เข้ามหาลัย เพราะฉะนั้นตอนนี้ทุกคนในบ้านจะต้องช่วยกันกินอยู่อย่างประหยัด เธอคงไม่มีทางออกเงินช่วยหรอก


เหมยเหมยเห็นท่าทีของเจ้าเด็กอ้วนก็รู้ได้ทันทีว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ แอบกระซิบเสียงเบาที่ข้างหู “วางใจได้ ค่าตั๋วไปกลับ ค่ากินค่าที่พักฟรีทุกอย่าง นายแค่พาตัวเองไป !”


………………………………………………………………..


บทที่ 677 เหอปี้อวิ๋นวันๆเอาแต่โดนตี


แววตาครอบจักรวาลของอู่เซากลับกลายเป็นประกายสดใสอีกครั้ง ฝืนกลั้นความตื่นเต้นดีใจเอาไว้ หันไปกระซิบที่ข้างหูของเหมยเหมย “แบบนี้ไม่ดีหรือเปล่า ? ฉันรู้สึกเกรงใจน่ะ !”


ตั๋วเครื่องบินไปกลับเป็นร้อยกว่าหยวน ไหนจะรวมค่ากินค่าอยู่ให้อีก ช่างเป็นอะไรที่น่าอึดอัดใจมากจริงๆ !


เหมยเหมยกลอกตาขาวส่งให้เขาในทันที “สรุปว่านายจะไปหรือไม่ไป ? ไม่ไปก็ช่างเหอะ !”


“ไปสิ ไปแน่นอน !”


เจ้าเด็กอ้วนสลัดความอึดอัดใจทั้งหลายแหล่ทิ้งลงไปในแม่น้ำหวงผู่[1] ตบปากรับคำอย่างแน่วแน่


ถึงยังไงเขาก็เกาะติดพึ่งใบบุญมื้อเที่ยงจากเหมยเหมยมาเป็นเวลาสองปีเศษ จะเกาะเธอช่วงปิดเทอมฤดูร้อนอีกสักนิดคงจะไม่เป็นอะไร อย่างมากแค่รอให้โตขึ้นแล้วหาเงินให้ได้มากๆ ค่อยเอาไปคืนเธอก็ได้ !


ส่วนในอนาคตจะหาเงินก้อนใหญ่ได้หรือไม่นั้น เจ้าเด็กอ้วนมีความมั่นใจในตัวเองมากพอ !


คนมีพรสวรรค์อย่างเขา หาเงินง่ายนิดเดียว !


ด้านข้างมีเจินหวานหว่านที่คอยนั่งแทะกินแตงโมพร้อมกับแอบฟังพวกเขาพูดคุยอยู่ตลอดอย่างสนอกสนใจ เธออดไม่ได้ที่จะถามออกไป “เหมยเหมย ความรู้สึกตอนนั่งเครื่องบินเป็นยังไงหรอ ?”


“ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร งีบไปสักพัก ตื่นขึ้นมาก็ถึงแล้ว แต่บนเครื่องบินมีของอร่อยๆเยอะมาก”


แม้ว่าจะไม่ชอบเจินหวานหว่านนัก แต่เหมยเหมยก็ฝืนใจตอบออกไป อันที่จริงเครื่องบินในตอนนี้เทียบไม่ได้กับชาติก่อนเลย โดยเฉพาะฤดูร้อน ไม่มีเครื่องปรับอากาศ แออัดและไม่มีช่องระบาย พูดง่ายๆก็คือเครื่องนึ่งดีๆนี่เอง ข้อดีเพียงข้อเดียวคือรวดเร็ว


เจินหวานหว่านที่โตขึ้นก็ดูสวยขึ้นมาก แต่นัยน์ตาของเธอดูเจ้าแผนการ จึงทำให้ดูเป็นเหมือนพวกหน้าเลือด ซึ่งไม่น่าคบค้าสมาคมด้วยสักเลยนิด


“เหมยเหมยนี่โชคดีจัง ทุกๆปีก็จะได้นั่งเครื่องบิน ทั้งยังได้ไปเที่ยวที่เมืองหลวง ฉันโตขนาดนี้แล้ว แม้แต่รถไฟก็ยังไม่เคยนั่งเลย !” เจินหวานหว่านรู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก นักเรียนที่นั่งอยู่ข้างๆต่างพากันพยักหน้าตาม


นักเรียนในห้องส่วนมากไม่เคยออกไปนอกเขตเมืองจินเลย เป็นธรรมดาที่จะพากันอิจฉาเหมยเหมย ที่อายุยังน้อยแต่ได้ไปเที่ยวสถานที่ไกลๆแบบนั้น ทั้งยังได้บินอยู่บนฟ้า !


เหมยเหมยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ พูดขึ้น “วันข้างหน้าพวกเธอก็จะได้นั่งเครื่องบินเอง”


อย่างมากก็สิบปี การนั่งเครื่องบินจะไม่จัดเป็นสิ่งที่พบเห็นได้น้อยอีกต่อไป คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถนั่งได้ ผ่านไปอีกสิบปีก็จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา สะดวกสบายเสียยิ่งกว่าการดื่มน้ำสักแก้วหนึ่งเสียอีก !


เด็กนักเรียนคนอื่นๆไม่มีทางเชื่อ ต่างคิดว่าเหมยเหมยบ่ายเบี่ยงประเด็นกับพวกเขา ตั๋วเครื่องบินหนึ่งใบยัง ราคาสูงกว่าเงินเดือนทั้งเดือนของพ่อแม่พวกเขาด้วยซ้ำไป พวกเขาคงไม่ปัญญาได้นั่ง !


งานเลี้ยงไม่ได้มีกิจกรรมอะไร แค่เป็นการรวมตัวครั้งสุดท้ายของทุกคน มีแตงโมให้กินเล็กน้อย กินไปคุยไป ไม่ต่างไปจากงานเลี้ยงน้ำชา


เจินหวานหว่านไม่ยอมอยู่เงียบๆ และพูดขึ้นมาอีก “เหมยเหมย ฉันจะบอกอะไรให้นะ เมื่อวานแม่ของอู่เยวี่ยโดนตบตีอีกแล้ว เป็นเพราะแม่ของเธอทอนเงินผิดไปห้าเจี่ยว พ่อเลี้ยงจึงด่าว่าตบตีไปชุดใหญ่ หากตบตีต่ออีกนิดคือตายได้เลย ยังคงเป็นแม่ของฉันและคนอื่นๆที่ช่วยกันท่าไว้ จึงช่วยไถ่คืนชีวิตกลับมาได้ !”


พูดจบเจินหวานหว่านมองหน้าเหมยเหมยอย่างเอาใจ หวังว่าจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงจากใบหน้าเธอ แบบนั้นเธอถึงจะรับรู้ได้ถึงความสำเร็จ แต่คิ้วของเหมยเหมยไม่แม้แต่จะขยับเลย


“รู้แล้ว”


เหมยเหมยพูดอย่างราบเรียบ ในตอนนี้เธอไม่ได้สนใจอะไรเหอปี้อวิ๋นแล้ว บุญคุณสิ้นสุดลงแล้ว ในวันข้างหน้าไม่ว่าเหอปี้อวิ๋นจะเป็นหรือจะตาย ก็ไม่มีเรื่องข้องเกี่ยวอะไรกับเธออีก !


เธอสนใจเพียงแค่ความเป็นความตายของอู่เยวี่ย !


“อู่เยวี่ยล่ะ ? ตอนนั้นเธอไม่อยู่รึ ?” เหมยเหมยถามขึ้นหนึ่งประโยค ท่าทีซึมเศร้าของเจินหวานหว่านเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นในทันที


“ไม่อยู่ แม่ของเธอไม่เคยให้เธอไปช่วยขายปลาที่ตลาดสดเลย ครั้งนี้เลยไม่รู้ว่าแม่เธอโดนตบตีไปไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง” เจินหวานหว่านพูดขึ้น


เหมยเหมยหัวเราะเยาะไปที ช่างเป็นมารดาที่แท้จริง แต่น่าเสียดายที่เลี้ยงลูกให้กลายเป็นหมาป่าตาขาวที่เป็นดั่งลูกทรพี !


เธอสามารถคาดเดาถึงอนาคตของเหอปี้อวิ๋นได้แล้ว…


สามีคนที่สองที่แต่งงานด้วยติดเหล้า ติดพนัน ขี้เหนียว เห็นแก่ตัว ทั้งยังทำร้ายร่างกายผู้หญิง ลูกเลี้ยงก็เป็นเด็กอันธพาลต่อสังคม ลูกสาวแท้ๆก็เห็นแก่ตัว เลือดเย็น พ่อแม่แท้ๆและบรรดาพี่น้องของเธอกลับยิ่งช่วยรีดเหงื่อรีดไคล เหอปี้อวิ๋นเป็นดั่งคนที่ไม่มีหวัง และในอนาคตเธอจะต้องตายเพราะเงื้อมมือของคนในครอบครัว !


……………………………………………………………..


[1] ภาษาจีนกลางเรียกว่า หวงผู่เจียง ซึ่งถือเป็นแม่คงคาของเซี่ยงไฮ้ก็ว่าได้


บทที่ 678 ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ


สมแล้วที่คุณยายเหอเป็นคนคัดค้านเหอปี้อวิ๋นโดยเฉพาะ ในปีนั้นมีชายมากหน้าที่ถูกตาต้องใจเหอปี้อวิ๋น แม้ว่าเหอปี้อวิ๋นจะเป็นหญิงม่ายลูกติดที่แต่งงานถึงสองครั้ง แต่ยังคงมีเสน่ห์ดั่งเดิม หน้าตาก็ไม่ได้แย่ อีกทั้งยังดูมีวัฒนธรรม ยิ่งตรงจุดนี้ถือว่าแกร่งกว่าผู้หญิงมือสองคนอื่นไปมาก


ซึ่งแน่นอนว่าคนส่วนใหญ่มักจะเป็นพ่อม่าย หรือไม่ก็พวกผู้ชายขึ้นคาน และยังมีชายที่แต่งงานมาแล้วสองครั้ง หรือจำพวกชายแก่ๆ หนังเหี่ยว มีทุกประเภททุกรูปแบบให้คุณยายเหอเลือกจนตาลาย


บรรดาชายชาตรีทั้งหลายต่างมีความจงรักภักดี และอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับเหอปี้อวิ๋นจริงๆ หากว่าเหอปี้อวิ๋นแต่งงานกับพวกเขา ชีวิตของเธอต้องดีขึ้นแน่ แต่คุณยายเหอกลับไม่สนใจคนพวกนี้ มาตรฐานเดียวที่เธอจะเลือกลูกเขยคือสินสอด สินสอดอยู่เหนือสิ่งอื่นใด เพราะอย่างอื่นเธอไม่คิดเล็กคิดน้อยด้วย


เป็นของมือสองแล้ว ได้โอกาสคว้าผลประโยชน์ก็ต้องรีบคว้าเอาไว้ให้มาก !


เพราะงั้นผู้ชายที่คุณยายเหอเลือกให้กับเหอปี้อวิ๋นคนปัจจุบัน เป็นชายร่างท้วมสมบุกสมบันซึ่งเป็นพ่อค้าขายปลา บนตัวมีกลิ่นคาวปลาที่รุนแรง เหอปี้อวิ๋นไม่ชอบตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ กลิ่นคาวปลาบนตัวชายผู้นี้รุนแรงจนเธอแทบจะอ้วกออกมา


แต่คุณยายเหอกลับพึงพอใจ เพราะพ่อค้าปลาคนนี้ให้ราคาสินสอดสูง มากกว่าตั้งห้าสิบหยวนแน่ะ !


เหอปี้อวิ๋นที่ไม่เต็มใจเป็นอย่างมาก ที่ถูกคุณยายเหอขายออกไปเสียแบบนั้น แม้แต่สินสมรสก็ไม่มี กระทั่งสินสอดที่ฝ่ายชายให้ก็ไม่ได้กลับมา เหลือแต่ตัวอย่างแท้จริง เธอออกมาจากที่นั่นอย่างลำพังและยังได้พาอู่เยวี่ยออกมาด้วย


และนี่คือเหตุผลที่ชายผู้นี้มักจะตบตีเหอปี้อวิ๋น !


คนทำกิจการค้าขายอย่างเขาคิดเงินด้วยลูกคิดได้แม่นเสียยิ่งกว่าใคร เงินสินสอดพวกนั้นเขาคิดคำนวณไว้ตั้งแต่แรกแล้ว โดยทั่วไปถ้าลูกสาวแต่งงาน สินสอดจะต้องหักออกครึ่งหนึ่ง ส่วนอีกครึ่งหนึ่งยกให้ลูกสาวไว้ใช้เป็นสินสมรสเอากลับมา เท่ากับว่าเงินนั่นจะกลับมาหาเขาอีกครั้ง


แต่เป็นอย่างที่คิดเสียที่ไหน ความดีงามสูงขึ้นหนึ่งฟุต แต่ความชั่วร้ายสูงขึ้นสิบฟุต[1] เขาเจอกับมือโปรลูกคิดอย่างคุณยายเหอ หักเงินสินสอดเอาไว้ทั้งหมด อย่าว่าแต่สินสมรสเลย แม่แต่ชักโครกเขายังไม่ได้คืนมา


เท่ากับว่าเขาสู่ขอของมือสองมา แม่เจ้า แพงเสียยิ่งกว่าการสู่ขอหวงฮวาต้ากุยหนี่[2] มีหรือที่พ่อค้าปลาที่ทำธุรกิจอย่างเขาจะไม่โกรธ !


เป็นธรรมดาที่จะมองเหอปี้อวิ๋นไม่เข้าตาไปเสียแล้ว !


ตั้งแต่แต่งงานกันมา เหมยเหมยก็มักจะได้ยินเจินหวานหว่านพูดเรื่องเหอปี้อว๋น การทะเลาะเป็นเรื่องธรรมดาของครอบครัว ดีกันอย่างมากก็แค่สามวัน สามวันหลังจากนั้นก็มักจะเกิดสงครามขึ้นอีก


ตามที่เจินหวานหว่านพูด ชีวิตของเหอปี้อวิ๋นในตอนนี้น่าสงสารมาก ไม่มีฐานะใดๆในบ้าน ฆ่าปลาก็เป็นหน้าที่ของเธอ มือทั้งสองข้างแตกร้าวจนแทบทนไม่ไหว เป็นแบบนี้แล้วยังถูกตบตีอีก ดูยังไงก็ไม่เหมือนกับการใช้ชีวิตของคน


เหมยเหมยไม่เกิดอาการคล้อยตามแต่อย่างใด อยากดื่มก็ดื่ม อยากกินก็กิน ทุกอย่างมีเหตุมีผล เหอปี้อวิ๋นสร้างเหตุร้ายๆเองกับมือ หากเธอไม่ยอมกินผลแล้วใครจะกิน ?


เจินหวานหว่านพูดขึ้นอีก “คะแนนของอู่เยวี่ยในตอนนี้แย่เป็นที่สุด เกรงว่าโรงเรียนมัธยมสิบสองยังยากที่จะสอบเข้าได้ เหอะ ฉันล่ะสงสัยจริงๆว่าเมื่อก่อนเธอต้องลอกคนอื่นๆแน่ !”


“ฉันก็ลอกได้ ลอกให้ได้ที่หนึ่งของโรงเรียนเลย !”


เหมยเหมยระเบิดโทสะกลับไป แม้ว่าเธอจะเกลียดอู่เยวี่ย แต่เมื่อก่อนที่อู่เยวี่ยได้คะแนนดีเป็นเพราะความสามารถที่แท้จริงของเธอ จุดนี้ไม่มีอะไรให้ต้องสงสัย


เจินหวานหว่านประจบสอพลอไม่หยุด เธอกัดกินแตงโมอย่างโมโห แอบด่าแช่งเหมยเหมยในใจ !


หากในอนาคตเธอได้ดีแล้ว เธอจะทำให้ทุกคนที่ดูถูกเธอ ต้องก้มหัวคุกเข่าตรงหน้าเธอเพื่อขอร้อง !


เมื่อกินทุกอย่างหมดแล้ว งานเลี้ยงห้องก็ถือว่าสิ้นสุดลง เหมยเหมยถ่ายรูปให้ตัวเอง เพื่อนร่วมห้องและคุณครู ทั้งยังได้ไหว้วานให้เจ้าเด็กอ้วนช่วยจดบันทึกที่อยู่ให้ จากนั้นจึงได้ขอตัวกลับ


ช่วงบ่ายเธอนัดกับเหยียนหมิงซุ่นไว้ว่าจะไปเที่ยวที่บ้านของคุณยายเขา และจะต้องรีบกลับไปเก็บกระเป๋าเดินทาง


……………………………………………………………….


บทที่ 679 ทั้งหมดนี่หมิงซุ่นให้มา


เหมยเหมยแยกกับเจ้าหมูอ้วนที่หน้าโรงเรียน ซึ่งเขาต้องนั่งรถเมล์กลับบ้าน ทางมหาลัยของเว่ยชิวเยวี่ยได้ช่วยระดมทุนช่วยเหลืออาจารย์ เธอจึงได้หยิบยืมมาเพื่อซื้อบ้าน เพราะงั้นตอนนี้อู่เซาอาศัยอยู่ในเขตมหาลัยเมืองจิน ซึ่งมีระยะที่ไกลจากโรงเรียนทดลองมากพอสมควร จำต้องต่อรถถึงสองสาย


เหยียนซินหย่าอยู่บ้านเอง และยังมีจ้าวอิงหนานและสยงมู่มู่สองแม่ลูก พวกเขาหยิบแตงโมขึ้นกินอย่างเอร็ดอร่อย


“สะใภ้เล็ก แตงโมนี่ซื้อมาจากไหนเหรอ ? ฉันจะไปซื้อซักหนึ่งคันรถ หวานมากเลย !”


จ้าวอิงหนานกินติดต่อกันถึงสี่ชิ้นไม่มีหยุด หากไม่ใช่เพราะว่าเธออิ่มจนท้องไม่อาจยัดต่อได้ เธอคงจะยัดต่ออีกซักสี่ชิ้น


เหยียนซินหย่ายื่นผ้าขนหนูผืนสะอาดให้ ส่งยิ้มพร้อมกับพูด “แตงโมพวกนี้หมิงซุ่นให้มาน่ะ ลุงของเขาเหมาพื้นที่ราบบนภูเขาปลูกแตงโม ส่งมาให้ตลอดปี ถ้าเธอชอบก็เอากลับบ้านไปกินได้ ในบ้านฉันยังเหลืออีกเยอะ !”


เหมยเหมยได้แอบนำหญ้าวิเศษใส่ในน้ำให้เหยียนซินหย่าและจ้าวอิงหัวกินด้วย เพราะช่วงนี้ท่านทั้งสองร่างกายไม่แข็งแรงนัก เหยียนซินหย่าจึงยิ่งดูอ่อนเยาว์และงดงามมากขึ้น ดูไม่ออกเลยว่าลูกชายคนโตเกือบจะงานแล้ว


“ได้ เดี๋ยวฉันจะเอากลับไปกินที่บ้านสักสองลูก กินหมดแล้วค่อยกลับมาเอาใหม่”


จ้าวอิงหนานไม่ได้นึกเกรงใจแต่อย่างใด สยงมูมู่ที่นั่งอยู่ข้างๆสะกิดเธอไปหลายครั้ง จากนั้นถามออกมา “น้าสะใภ้ เหมยเหมยล่ะครับ ? ทำไมถึงไม่เห็นเธอเลย”


“กลับไปงานเลี้ยงห้องที่โรงเรียน คงใกล้ถึงเวลากลับแล้วล่ะ มู่มู่อย่ากินแตงโมเยอะเกินล่ะ เดี๋ยวเที่ยงนี้แม่ทำปลาซิวทอดกรอบให้ ของโปรดของเธอเลย” สยงมู่มู่ยกยิ้มดีใจ


สยงมู่มู่ดวงตาเป็นประกาย วางแตงโมในมือลง และพูดจาออดอ้อน “ทำไมแม่น้าไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะครับ อีกนิดนี่ผมจะอิ่มจนกินปลาซิวทอดกรอบไม่ได้แล้วนะ”


“ไม่เป็นไร เที่ยงนี้เรากินกันช้าหน่อยก็ได้”


จ้าวอิงหนานฟาดหลังมือใส่ลูกชายตน พร้อมกับตะโกนขึ้น “ไปเข้าห้องน้ำเอาออกให้หมดก็จบแล้วไหม  โง่เง่าจริงๆเลย !”


เมื่อพูดจบก็ไม่ได้สนใจอะไรลูกชายอีก เธอลุกเดินเข้าไปยังห้องครัวอย่างอารมณ์ดี แต่กลับเห็นปลาตัวเล็กสีขาวจัดวางไว้เต็มจาน รวมทั้งมีปลาน้ำจืดอีกหลายอย่าง และเธอยังเห็นกบตัวใหญ่อีกหลายตัว ตัวหนึ่งคงหนักราวๆหนึ่งจินกว่าๆ


“โอ้วโหว นี่เป็นของดีเลยนะเนี่ย สะใภ้เล็ก เที่ยงนี้เรากินอันนี้กัน อันนี้อร่อย !”


เมื่อเห็นเจ้ากบรสโอชะ จ้าวอิงหนานจึงรู้สึกน้ำลายสอ


เหยียนซินหย่ามองเจ้ากบอัปลักษณ์นั่นอย่างนึกรังเกียจ พลันส่ายหน้าปฏิเสธ “ฉันเห็นเจ้าพวกนี้ก็รู้สึกขนหัวลุกแล้ว ไม่งั้นเย็นนี้รอพี่เธอกลับมา ให้เขาทำให้เธอกินแล้วกัน ฉันไม่กล้าทำหรอก”


“ไม่เป็นไร ฉันเรียกให้ฉูฉูมาทำให้”


จ้าวอิงหนานตะโกนเรียกคนในห้องรับแขก สั่งการให้สยงมู่มู่เรียกพ่อเขาให้มาปรนนิบัตรรับใช้สีภรรยาและลูกชายโดยด่วน


“สะใภ้เล็ก ของดีๆแบบนี้ได้มาจากไหนล่ะ ? ช่วงนี้ตลาดสดขายของพวกนี้ด้วยรึ ?” จ้าวอิงหนานเกิดสงสัยไม่หาย


“ไม่ได้ซื้อ หมิงซุ่นส่งมาพร้อมกับแตงโม เจ้าเด็กคนนี้สามวันดีสี่วันไข้ส่งของพวกนี้มาไม่หยุด บอกอะไรก็ไม่ฟัง” เหยียนซินทั้งหมดปัญญาและรู้สึกชื่นชม เธอนับวันยิ่งพึงพอใจต่อเหยียนหมิงซุ่นมากขึ้น


จ้าวอิงหนานขยี้ตาด้วยอาการมองไม่ชัด “คนเราตกปลาใหญ่ด้วยเชือกเส้นยาว ก็เหมยเหมยของเรารูปร่างหน้าตาดีขนาดนี้ อีกไม่กี่ปีข้างหน้าเธอน่ะไม่มีทางได้หยุดพัก คานประตูต้องถูกเบียดเสียดแน่นจนหักแน่”


เหยียนซินหย่าหัวเราะร่า “ฉันชอบหมิงซุ่นนะ เด็กคนนี้รู้ที่ต่ำที่สูงรู้ว่าอะไรควรไม่ควรหายห่วงเลย แต่พี่ชายของเธอนั่นแหละที่ไม่ยอม บอกว่าจะเลี้ยงดูเหมยเหมยจนถึงอายุยี่สิบห้าถึงจะให้แต่งงาน”


“ความคิดของพี่ชายไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนัก สะใภ้เล็กต้องมั่นคงเข้าไว้ หมิงซุ่นถือว่าเป็นเด็กที่หน้าตาดี ทั้งยังมีความเป็นผู้เป็นคน เขาดูแลเหมยเหมยก็ดี เหมาะสมกันจะตาย !”


จ้าวอิงหนานและเหยียนซินหย่าต่างมีความคิดที่ตรงกัน ชื่นชมเหยียนหมิงซุ่นไม่หยุดปาก


“หนูกลับมาแล้วค่ะ” เหมยเหมยเดินเข้ามาในบ้าน ได้กลิ่นอาหารหอมหวน จนต้องกลืนน้ำลายลงคอไปหลายอึก


ฝีมือการทำอาหารของแม่เทียบไม่ได้กับฝีมืออาเขยเลย !


……………………………………………………………….


[1] เรื่องราวเดิมที่เพิ่งสำเร็จไปได้ไม่นาน กลับต้องพบพานและเผชิญกับปัญหาใหม่


[2] หรือเรียกหวงฮวายาโถ่ว มีอายุราว16-26ปี ส่วนใหญ่ในจีนพื้นบ้านใช้เป็นคำเรียกหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่งงาน


บทที่ 680 มีหลอดไฟส่องตามอยู่


มื้อเที่ยงจ้าวอิงหัวไม่กลับมาร่วมโต๊ะด้วย เมื่อสองปีก่อนหลังจากที่กลับมาจากฮ่องกงและไต้หวัน เขาได้ดึงดูดความสนใจจากนักลงทุนชาวต่างชาติเป็นจำนวนมาก เพราะเขาเสนอนโยบายพิเศษที่เป็นที่น่าพึงพอใจต่อเหล่านักลงทุน รวมทั้งเมืองจินที่เดิมทีเป็นเมืองเศรษฐกิจการค้าอยู่แล้ว นักลงทุนกลุ่มนี้ได้รับคำเชื้อเชิญจากรองผู้ว่าโดยตรง เป็นธรรมดาที่ไม่อาจจะมองข้าม จึงได้นำเงินและเทคนิคต่างๆติดตามมาด้วย


ขณะนี้สิ่งก่อสร้างอาคารบ้านเรือนกำลังเริ่มก่อร่างสร้าง จ้าวอิงหัวยุ่งมากถึงขั้นลดช่วงเวลาในการนอนลงไปมาก แต่นั่นยังไม่เพียงพอ จ้าวอิงหัวแทบอยากจะตัดแบ่งตัวเขาเองออกเป็นสามส่วน


แต่โชคดีที่เหมยเหมยช่วยปรับสมดุลให้แก่ร่างกายเขา มิเช่นนั้นการงานที่มีภาระหน้าอันหนักหน่วงแบบนี้ ต่อให้เป็นมนุษย์เหล็กก็คงทนไม่ได้ !


แม้ว่าทุกวันนี้จะยุ่งมากแค่ไหน จ้าวอิงหัวจะพยายามหาเวลากลับบ้านมาร่วมโต๊ะอาหารเพื่อทานมื้อเย็นพร้อมหน้ากับภรรยาและลูก ก่อนออกบ้านเช้านี้ เขาสัญญากับเหยียนซินหย่าไว้แล้วว่าเย็นนี้จะกลับมาให้เร็วขึ้น


ถือโอกาสในช่วงที่ลูกสาวและลูกชายจะออกไปเที่ยว เขาจะต้องดินเนอร์ใต้แสงเทียนอย่างโรแมนติก กับภรรยาสักมื้อ ซึ่งนับเป็นโอกาสที่หาได้ยาก


“คุณอา หอยขมที่คุณอาทำอร่อยมากเลยค่ะ แม่หนูทำพวกนี้ไม่อร่อย ยังเทียบไม่ได้กับฝีมือของพ่อเลยด้วย !”


เหมยเหมยดูดกินหอยขมรสเผ็ดเข้าไปหลายเม็ด เผ็ดร้อนที่ขอบปากจนบวมแดง รู้สึกดีจริงๆ !


ฝีมือการทำกับข้าวของเหยียนซินหย่าถือว่าใช้ได้ เพียงแต่จะหน่วงไปทางรสชาติจืดๆจำพวกต้มตุ๋นนึ่ง รสเผ็ดพริกนับว่าน้อยมากที่จะทำ แต่อย่างอาหารทะเลจำพวกปลากุ้งปู ถ้าไม่ใส่พริกลงไปจะทำให้รสชาติไม่ถึง !


“เวลาจะพูดให้กลืนอาหารในปากให้หมดก่อน ช่วงบ่ายเธอไปเป็นแขกของบ้านคุณยายหมิงซุ่น อย่าพูดจาแบบนี้ล่ะ เดี๋ยวเขาจะหาว่าไม่ได้การอบรมสั่งสอนจากที่บ้าน”


น้ำเสียงของเหยียนซินหย่านุ่มนวลมาก ฟังยังไงก็ไม่เหมือนกับการตำหนิร เหมยเหมยหันไปขยิบตาส่งให้จ้าวอิงหนาน จากนั้นเคี้ยวต่อสามสี่คำถึงได้กลืนอาหารลงคอ


แม่ของเธอดีทุกอย่าง แค่กฎระเบียบเยอะไปหน่อย อันนั้นไม่ได้อันนี้ไม่ดี ทั้งยังบอกอีกว่าเป็นมารยาทของสตรี ที่เด็กผู้หญิงจำเป็นต้องเรียนรู้


สยงมู่มู่นิ่งอึ้งทึ่งไปพักหนึ่ง กว่าจะได้ถามขึ้น “เหมยเหมยจะไปเที่ยวที่บ้านของคุณยายเหยียนหมิงซุ่นหรอ ? ทำไมฉันถึงไม่รู้ ?”


“ทำไมฉันต้องบอกนายทุกเรื่องด้วย !” เหมยเหมยสบทออกมาเบาๆ


การไปเที่ยวที่บ้านคุณยายของพี่หมิงซุ่นครั้งนี้ เธอยกแม่น้ำทั้งห้ามาพูดไม่ง่ายเลยที่จะผ่านพ้นอุดมการณ์ความคิดของจ้าวอิงหัวได้ เขารับปากอย่างฝืนทน ทั้งยังกำชับว่าต้องให้จ้าวเสวียหลินตามไปด้วย


แค่นึกถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่เล่นกับพี่หมิงซุ่นแล้วนั้น แต่ด้านหลังกลับมีพี่ชายน่าโมโหตามมาด้วย ความดีใจของเหมยเหมยเลือนหายไปแล้วครึ่งหนึ่ง !


“แม่คะ พี่จะกลับมาเมื่อไหร่ ? อีกสักพักพี่หมิงซุ่นจะมารับหนูแล้วนะ !”


จ้าวเสวียหลินยังไม่ปิดเทอม วันนี้เขาไปเอาคะแนนที่โรงเรียน พูดไว้เสียดิบดีว่าจะกลับมาให้ทันทานมื้อเที่ยง แต่นี่ทานมื้อเที่ยงจวนจะเสร็จ ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของจ้าวเสวียหลินเลย


ช่วงบ่ายเขากลับมาไม่ทัน เพราะหลังจากช่วงที่ได้รับใบคะแนนยังเหลือเวลาอยู่มาก ดังนั้นเขาเลยเลือกที่จะไปเล่นบาสเกตบอลกับเพื่อน แต่เป็นเพราะมีนักเรียนคนหนึ่งออกแรงมากเกินไป จึงทำให้ล้มจนมือหัก เขาและเพื่อนคนอื่นๆจึงไปดูแลคนไข้ที่โรงพยาบาล !


“แม่ บอกเหมยเหมยว่าค่อยไปพรุ่งนี้ ตอนนี้ผมไม่ว่าง !”


เสียงของจ้าวเสวียหลินส่งผ่านออกมาจากลำโพง ทำให้เหมยเหมยที่นั่งทำหูตั้งอยู่ได้ยินอย่างชัดเจน พร้อมกระโดดโลดเต้นในทันที


“ไม่ต้อง หนูนัดกับพี่หมิงซุ่นไว้แล้ว พี่ไม่ไปไม่เป็นไร หนูไม่ใช่เด็กๆแล้ว”


เหมยเหมยดีใจเป็นอย่างมาก ไม่มีหลอดไฟอย่างจ้าวเสวียหลินคอยตามติด เธอจะเที่ยวให้สนุกกว่าเดิมเลย !


“ไม่ได้ ต้องมีพี่ตามไปด้วย ไม่งั้นก็ไม่ต้องไป !” จ้าวเสวียหลินพูดอย่างแน่วแน่


ล้อเล่นหรือไง เขาจะยอมให้น้องสาวคนสวยไปเหยียบถิ่นของเหยียนหมิงซุ่นด้วยตัวคนเดียวรึ ?


นั่นมันเท่ากับการปล่อยแกะเข้าถ้ำหมาป่าไม่ใช่หรือไง ?


“งั้นพี่ก็ต้องกลับมาตอนนี้ ถ้าถึงเวลานัดฉันก็จะไป !”


เหมยเหมยโต้ตอบกลับ ราวกับการกำหลาบสามี ช่างน่ารำคาญ !


………………………………………….


ตอนที่ 681  มีก้างขวางคอเพิ่มมาอีกหนึ่ง


จ้าวเสวียหลินที่อยู่ทางนั้นโกรธจนแทบกระอักเลือด รู้อยู่แล้วว่ายายหนูอยากสลัดเขาให้หลุดจะตาย!


อย่าคิดว่าเขาจะไม่รู้ทันความคิดของน้องสาว หึ!


“ผมตามไปเองพี่หก ผมจะไปช่วยดูให้ พี่สบายใจเถอะ รับรองว่าจะคอยจับตาดูให้ดี!” สยงมู่มู่พูดเสนอตัวด้วยเสียงอันดัง


เขากำลังเบื่อหน่ายอยู่ที่บ้านพอดี!


แม้จ้าวเสวียหลินไม่ค่อยไว้วางใจในศักยภาพการทำงานของลูกพี่ลูกน้องสักเท่าไหร่  แต่ไม่มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว คงต้องจำใจตอบตกลง อีกอย่างสยงมู่มู่เสนอขึ้นว่าให้เรียกเจ้าอ้วนไปด้วย นี่ยิ่งทำให้จ้าวเสวียหลินวางใจมากกว่าเดิม


ก้างขวางคอยิ่งเยอะยิ่งปลอดภัยไงล่ะ!


เหยียนหมิงซุ่นทานมื้อเที่ยงที่บ้านลวกๆ เสร็จก็เตรียมตัวออกจากบ้าน คุณตาเหยียนกับคุณยายหยางไม่ได้ถามไถ่อะไร  เพราะการสอบเข้ามหาวิทยาลัยสิ้นสุดลงแล้วย่อมต้องให้เด็กผ่อนคลาย ๆ สักหน่อย ปล่อยให้เล่นเต็มที่ไปเลย!


เพียงแต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าเหยียนหมิงซุ่นไม่ได้เข้าร่วมการสอบแต่อย่างใด เขาไม่แม้แต่จะก้าวเข้าสนามสอบด้วยซ้ำ


ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะลองไปเสี่ยงดูกับค่ายทหาร!


การสอบเข้ามหาวิยาลัยไม่ได้มีความหมายสำหรับเขาสักนิด!


“คุณปู่คุณย่าครับ ผมไปอยู่บ้านคุณตาสองสามวันนะครับ”


เหยียนหมิงซุ่นสะพายกระเป๋าเข็นจักรยานออกมา เหยียนหมิงต๋าได้ยินแล้วเกิดอาการคันยุบยิบในใจ เขาเองก็อยากไปเที่ยวที่บ้านคุณยายของพี่ใหญ่จัง ที่นั่นมีภูเขามีแม่น้ำ ไม่เหมือนบ้านคุณยายของเขาที่อยู่ในเมืองจิน ไม่น่าสนใจเลยสักนิด


แต่เขารู้ว่าเหยียนหมิงซุ่นต้องไม่ตอบตกลงแน่ ๆ อีกอย่างเขาเองก็ไม่กล้าไป


คนที่บ้านคุณยายของพี่ใหญ่เกลียดแม่ของเขาจะตาย เขาไปก็เท่ากับหาเรื่องไม่สบายใจให้ตัวเอง!


พอเจ้าอ้วนน้อยอู่เชาได้ยินว่าได้ไปเที่ยวเล่นแถบชนบทจะไม่ตอบตกลงได้อย่างไร ขนาดข้าวกินยังไม่ทันเสร็จก็รีบวิ่งมาอย่างดีอกดีใจ


สองปีนี้เจ้าอ้วนมาเล่นที่บ้านเหมยเหมยอยู่บ่อยครั้ง เพราะบ้านตระกูลจ้าวไม่ถือสาอะไรมากจึงไม่รู้สึกอึดอัดอะไร


“เหยียนหมิงซุ่นยังมาไม่ถึงเหรอ งั้นฉันไปกินข้าวอีกหน่อยนะ มื้อเที่ยงฉันเพิ่งกินไปได้แค่ครึ่งถ้วยเอง!” เจ้าอ้วนวิ่งไปตักข้าวที่ห้องครัวด้วยตัวเองแล้วเริ่มลงมือทานอย่างตะกละตะกลาม


สยงมู่มู่กลอกตามองบนใส่เขาแวบหนึ่ง ดูสิมันใช้ได้ที่ไหน!


เหยียนหมิงซุ่นเห็นก้างขวางคอสองคนที่คนหนึ่งอ้วน คนหนึ่งผอม คนหนึ่งสูง คนหนึ่งเตี้ยยืนอยู่ตรงหน้าแล้วมุ่นคิ้วเล็กน้อย แต่ก็คลายลงอย่างรวดเร็วพลางทักทายพวกเหยียนซินหย่ากับจ้าวอิงหนานอย่างมีมารยาท


“คุณน้าเหยียนวางใจได้ครับ ผมจะดูแลเหมยเหมยอย่างดี” เหยียนหมิงซุ่นพูดรับปาก


เหยียนซินหย่าต้องวางใจอยู่แล้ว คนที่ไม่วางใจคือสองพ่อลูกจ้าวอิงหัวต่างหาก เธอพูดกำชับไม่กี่ประโยคก็ไปหยิบข้าวสาลีบด เหล้าเหมาไถสองขวดและของว่างอีกบางส่วนจากในห้องออกมาให้เหมยเหมยพกติดตัวไป


“อยู่เที่ยวสักสองวันก็กลับมานะ อย่าไปสร้างความเดือดร้อนให้ที่บ้านพี่หมิงซุ่นล่ะ พวกเขายุ่งกันมาก”


เหยียนซินหย่าถ่ายทอดคำสั่งที่จ้าวอิงหัวฝากไว้ เหมยเหมยแลบลิ้นใส่อย่างซุกซนโดยที่ไม่ได้ตอบตกลงแต่ก็ไม่ปฏิเสธ


ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ต้องเที่ยวให้เต็มที่จนพอใจถึงจะกลับมา ไปเที่ยวในที่อันไกลโพ้นเช่นนั้นใครก็ควบคุมเธอไม่ได้หรอก!


สยงมู่มู่จะกลับไปหยิบเสื้อผ้าสำหรับซักเปลี่ยนที่บ้าน เหยียนหมิงซุ่นให้เขาไปรอที่ปากทางเข้าเมืองทางตะวันตก สยงมู่มู่จึงต้องปั่นจักรยานพาเจ้าอ้วนกลับบ้านด้วยกันอย่างเหนื่อยหอบ ใครใช้ให้เจ้าอ้วนปั่นจักรยานไม่เป็นกันล่ะ!


“พี่หมิงซุ่น พี่สอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นยังไงบ้าง?” เหมยเหมยนั่งซ้อนเบาะหลังและโอบเอวได้รูปของเหยียนหมิงซุ่นอย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งร้อนผ่าวทั้งแน่นปึก ทั้งยังสัมผัสได้ถึงเลือดที่ไหลเวียนอยู่


เหยียนหมิงซุ่นก้มมองมือเล็กขาวละเอียดตรงหน้าท้องก็อดฉีกยิ้มที่มุมปากไม่ได้ เผยรอยยิ้มที่ทำให้ใจอ่อนระทวยเอาได้


เหยียนหมิงซุ่นในวัยสิบแปดปีที่มีความสูงถึงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร รูปร่างสูงโปร่งกำยำ มีเส้นโค้งเว้ารูปตัววีสวยงามและใบหน้าหล่อเหลา โดยเฉพาะลูกกระเดือกสุดเซ็กซี่นั่นทำเอาเหมยเหมยหลงปักหัวปำได้ตลอดเวลา


“ฉันไม่ได้เข้าสอบ” เหยียนหมิงซุ่นยิ้มตอบ


…………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)