หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 670-673

 บทที่ 670 จุติวิญญาณ!

 

หวังเป่าเล่อไม่ทันได้ยินประโยคเมื่อครู่ เขาทุ่มพลังตบหน้าผากตนเองเต็มที่ ถ้าร่างกายไม่แข็งแกร่งพอ ชายหนุ่มคงได้ตายไปแล้ว ไม่ใช่แค่หมดสติไป


แม้ดอกบัวสีเขียวจะช่วยฟื้นฟูร่างกายได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาถึงสองชั่วโมงกว่าเขาจะลืมตาตื่น ชายหนุ่มหันมองรอบตัวด้วยสายตางุนงง รู้สึกเหมือนหัวจะแยกเป็นสองส่วน โชคดีที่เคยชินกับการสลบและฟื้นกลับขึ้นมา ไม่นานหวังเป่าเล่อก็จำเรื่องราวก่อนหน้าที่จะหมดสติไปได้ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง รีบลุกขึ้นยืนและหันมองรอบตัว ชายหนุ่มไม่ได้อยู่ด้านนอกวัง แต่เป็นภายใน!


ภาพมายาผู้อาวุโสหายไปแล้ว ตรงจุดที่เขาเคยนั่งมีประตูทางเข้าทรงรีส่องแสงเจิดจ้าลอยอยู่ ราวกับว่ากำลังรอหวังเป่าเล่อ


ชายหนุ่มตื่นเต้นกับภาพเบื้องหน้า หายปวดหัวในทันใดขณะรีบวิ่งเข้าไปใกล้ เขาตรวจสอบทางเข้าและหันมองรอบตัว เขาคงจะเรียกตัวเองว่าหวังเป่าเล่อไม่ได้ถ้ายังไม่รู้ตัวว่าผ่านการทดสอบแล้ว ชายหนุ่มระเบิดหัวเราะออกมา


“ข้าช่างเป็นบิดาที่ชาญฉลาดจริงๆ การทดสอบแสนธรรมดานี้เป็นแค่ของกล้วยๆ!” เขาพูดอย่างโอ้อวดพร้อมลูบท้องไปมา แต่กลับไม่พบความเด้งดึ๋งอย่างเคย มีเพียงมัดกล้ามเนื้อแข็งแกร่งเท่านั้น มันเป็นความรู้สึกไม่คุ้นเคยที่ทำให้ไม่ค่อยสบายใจเอาเสียเลย


ผอมเกินไปก็ไม่ดี ต้องมีเนื้อมากกว่านี้ถึงจะจับแล้วรู้สึกสบายใจ หวังเป่าเล่อถอนใจ เขายืนอยู่หน้าทางเข้าที่ส่องสว่าง สูดหายใจลึกและก้าวผ่านเข้าไป


วิสัยทัศน์พลันเลือนรางก่อนจะแจ่มชัดขึ้นทันที ทางเข้าเมื่อครู่เป็นเหมือนประตูเคลื่อนย้าย ส่งหวังเป่าเล่อมาสู่โลกขนาดเล็กที่สำนักวังเต๋าไพศาลเคยสร้างไว้เป็นมรดกตกทอด!


โลกใบนี้ขนาดเล็กกว่าดวงจันทร์ ใหญ่ไม่ถึงหนึ่งส่วนสิบของดวงจันทร์เลยด้วยซ้ำ อาจจะใหญ่โตสำหรับคนธรรมดา แต่ก็ถือว่าน้อยนิดสำหรับหวังเป่าเล่อ


ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็ยังตื่นตะลึงไปเมื่อได้เห็นทัศนียภาพของโลกนี้ ฟากฟ้าเป็นสีขาวบริสุทธิ์ มีสีแดงแต้มอยู่ตรงกลาง สีสันด้านบนไม่ใช่สีจริงของท้องนภา…แต่เป็นเงาสะท้อนจากผืนแผ่นดิน!


ผืนดินสีขาวปราศจากพันธุ์พืช มีเพียงหาดทรายสีขาวปกคลุมทั่วทั้งโลกและแอ่งแผ่นดินตั้งอยู่ตรงกลาง


พูดให้ถูกคือตรงใจกลางของโลกใบนี้มีเทือกเขาขดรอบเป็นวงกลม มองไกลๆ เห็นเป็นเหมือนแอ่งแผ่นดิน แต่จริงๆ แล้วเป็นเหมือนทะเลสาบปล่องภูเขาไฟมากกว่า!


แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อตื่นตกใจ สิ่งที่ทำให้เขาต้องอ้าปากค้างและตัวสั่นสะท้านไปถึงทรวงคือศพอสูรขนาดมหึมาจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่กองสุมอยู่บนเทือกเขาที่ขดเป็นวงกลม!


ศพอสูรเหล่านั้นดูน่าพรั่นพรึง ส่วนใหญ่แล้วเป็นอสูรที่ไม่เคยพบเห็น แต่ก็มีอยู่บางส่วนที่ชายหนุ่มรู้จัก นั่นก็คือเหล่าอสูรที่เล่าขานในตำนานของสหพันธรัฐ อย่างเช่นเหล่ามังกรผู้ยิ่งใหญ่!


เขาเห็นมังกรมีปีกตามตำนานฝั่งตะวันตกหลายตัว รวมถึงมังกรสีเขียวตัวยาวเหมือนงูของฝั่งตะวันออกด้วย


นอกจากนี้ยังเห็นศพของยักษ์มากมายและผู้คนจากตระกูลไม่รู้สิ้น บนเทือกเขาแห่งนี้น่าจะมีศพอยู่อย่างน้อยหนึ่งแสนศพ


พวกมันถูกปาดคอและจับโยนขึ้นไปบนเทือกเขา หากชายหนุ่มสามารถมองทะลุไปถึงในนั้นก็จะเห็นหินภูเขาสีม่วงคล้ำมากมาย ราวกับว่าถูกอาบไปด้วยเลือด!


สีหน้าของหวังเป่าเล่อหน้าเคร่งขรึมลงเมื่อเห็นภาพตรงหน้า เขาห้ามความคิดที่ผุดขึ้นในหัวไม่ได้ หลายปีก่อน ต้องมีใครสักคนมาสังหารฝูงอสูรและคนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่นี่ ใครคนนั้นไล่ปาดคอเหล่าอสูรกับตระกูลไม่รู้สิ้น จากนั้นก็ยืนดูพวกมันกรีดร้องขณะที่เลือดพวยพุ่งออกมา ไหลลงภูเขา ไปรวมกันในแอ่งแผ่นดิน…แปลงแอ่งแผ่นดินให้กลายเป็น…ทะเลสาบโลหิตกลางวงเทือกเขา!


ทะเลโลหิตสะท้อนขึ้นฟากฟ้า ปรากฏเป็นสระสีเลือดกลางนภาสีขาวบริสุทธิ์!


นี่คือ…สระโลหิตหมื่นวิญญาณหรือ หวังเป่าเล่อลอยค้างอยู่กลางอากาศ ขณะก้มหน้ามองทะเลสาบสีเลือดที่ตั้งอยู่กลางเทือกเขา ผ่านไปสักพักเขาก็เก็บงำความตื่นตกใจไป ก่อนดวงตาจะฉายแสงผิดแปลกขึ้น


จากข้อมูลที่ผู้อาวุโสบอก ทำให้เขาทราบว่าสระโลหิตหมื่นวิญญาณมีคุณสมบัติช่วยเสริมพลังกาย พอได้เห็นศพมากมายด้วยตาตัวเอง เขาก็ตระหนักแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่


น้ำในสระกลั่นมาจากเลือดของวิญญาณหนึ่งหมื่นดวง จากนั้นก็นำสารอาหารในเลือดมาบำรุงร่างกายของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้ที่มาบรรลุตนที่นี่จึงมีร่างกายแข็งแกร่ง!


นี่เป็นโอกาสอันหายากยิ่ง! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก เขาไม่ใช่คนคลั่งความสะอาดและไม่ได้แขยงกลิ่นเลือดหรือที่มาของทะเลสาบโลหิต แม้แต่พวกบ้าความสะอาดยังรู้สึกยากที่จะบอกปฏิเสธโอกาสบรรลุตนนี้ไปได้ ความหิวกระหายเริ่มคุกรุ่นในจิตใจขณะที่เขาจ้องมองไปยังทะเลสาบโลหิต


หวังเป่าเล่อรู้สึกเป็นเหมือนผืนดินแห้งแล้งที่โหยหาหยาดฝน เขาครุ่นคิดเพียงชั่วครู่ก่อนดวงตาจะฉายแสงวาบและออกพุ่งทะยานตรงไปยังทะเลสาบ


ชายหนุ่มเข้าไปใกล้ทะเลสาบ จากนั่งก็นั่งขัดสมาธิ ปล่อยตัวให้จมลงไปก้นทะเลสาบอย่างไม่ลังเลใจ


ปราณโลหิตมหาศาลพวยพุ่งตรงมาทางหวังเป่าเล่อทันใดที่เขาสัมผัสน้ำในทะเลสาบ!


ราวกับว่าปราณโลหิตได้สะสมอยู่ในทะเลสาบมานานหลายปีจนเต็มปริ่ม การปรากฏตัวของหวังเป่าเล่อจึงเป็นเหมือนการเปิดช่องทางระบาย ปราณโลหิตมหาศาลไหลหลากเข้าสู่ร่าง เจาะผ่านทุกรูขุมขนเข้าไปในกายชายหนุ่มอย่างบ้าคลั่งในทันใด


หวังเป่าเล่อเกือบจะกรีดร้องออกมา รู้สึกเหมือนมีเลือดเนื้อกำลังเจาะเข้ามาในร่างกายและมีเข็มมากมายนับไม่ถ้วนกำลังทิ่มแทงอยู่ ชายหนุ่มตัวสั่นเทิ้มขณะปราณโลหิตไหลหลากเข้าสู่ภายใน ความเจ็บปวดทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกเหมือนว่ามีบางสิ่งพยายามฉีกกระชากตัวเขาออกจากภายใน ร่างกายเหมือนจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ


ปราณโลหิตนั้นไม่เหมือนปราณวิญญาณ ปราณโลหิตไม่ได้ช่วยเสริมพลังปราณ แต่ช่วยบำรุงร่างกาย ชายหนุ่มไม่รู้ว่าตนคิดฝันไปเองหรือเปล่า แต่ขณะกำลังทนทรมานจากความเจ็บปวด เขาก็รู้สึกได้ว่าร่างกายแข็งแกร่งขึ้นหลังจากที่ไม่ได้มีพัฒนาการมาเป็นเวลานาน!


ร่างกายเขาแข็งแกร่งขึ้นจริงอย่างที่คิด ปราณโลหิตที่ไหลหลากเข้ามาไม่หยุดทำให้ร่างกายของชายหนุ่มถูกฉีกกระชาก เส้นปราณ กระดูก และอวัยวะภายในล้วนถูกฉีกออกจากกัน!


หากมองใกล้ๆ จะพบว่าขณะที่ปราณโลหิตเจาะผ่านเข้าสู่ร่างกาย เลือดเนื้อและกระดูกก็สลายไปทีละนิด ก่อนจะค่อยๆ ก่อตัวขึ้นใหม่เมื่อได้ปราณโลหิตช่วยบำรุงหล่อเลี้ยง!


ดังนั้นจึงไม่มีทางเลยที่จะไม่รู้สึกเจ็บปวด!


ไม่ว่าร่างกายหวังเป่าเล่อจะทนทานเพียงใด ก็ยังต้องทนเจ็บปวดจนแทบหมดสติไป เขากัดฟันแน่น พยายามฝืนครองสติ ชายหนุ่มสามารถทำเช่นนั้นได้เนื่องจากเคยสลบเหมือดมาแล้วหลายครั้งจนชินชา มิเช่นนั้นคงจะหมดสติไปนานแล้ว


เขาไม่รู้ว่าถ้าหมดสติไปแล้วการทดสอบจะจบลงไปด้วยหรือเปล่า แต่ก็ไม่นึกอยากลองเสี่ยง จึงเป็นเหตุให้ชายหนุ่มพยายามครองสติให้ตื่นอยู่อย่างสุดความสามารถ!


ความเจ็บปวดเริ่มทวีคูณแรงขึ้น ความรู้สึกที่ร่างกายกำลังถูกฉีกกระชากและเสียงกัมปนาทที่ดังขึ้นพร้อมกันเป็นความทรมานอย่างที่สองที่ตามมา แต่แล้วเขาก็ต้องพบกับอีกการทดสอบที่ยากจะทนไหว


ขณะที่ร่างกายค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ความคิดที่ยังหลงเหลืออยู่ในศพซึ่งติดค้างอยู่ในทะเลสาบ ทั้งความโกรธแค้นและความเศร้าเสียใจต่างระเบิดขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อขณะร่างกายกำลังสูบเอาปราณโลหิตเข้าไป!


เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจากอสูรนับไม่ถ้วนดังขึ้นในหัวหวังเป่าเล่อที่กำลังทนทรมาน เหล่าอสูรและตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าครอบงำชายหนุ่ม เขาต้องเผชิญความเจ็บแค้นและความเศร้าโศกที่พวกมันรู้สึกตอนก่อนจะจบชีวิตลง!


ความคิดที่หลงเหลืออยู่เหล่านี้ทำให้ชายหนุ่มสูญเสียความเป็นตัวเองไปชั่วขณะ เขากลายเป็นมังกรตัวใหญ่ถูกปาดคอเปิดกว้าง จากนั้นก็กลายเป็นอสูรตนอื่นๆ ที่ถูกปาดคอเช่นกัน อีกทั้งยังสัมผัสได้ว่าตนเองได้กลายร่างเป็นเหล่าอสูรและผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น


เขารู้สึกเหมือนต้องตายซ้ำไปซ้ำมา บอกไม่ได้เลยว่าตนได้ตายไปแล้วกี่ครั้ง


ชายหนุ่มไม่สามารถทนได้อีกต่อไป เขาหมดสติลง ถือเป็นสัญญาณสิ้นสุด!


ทันทีที่หมดสติไป…ร่างกายของเขาก็ส่งกลิ่นไม่คุ้นเคยออกมาขณะนอนอยู่ในทะเลสาบเลือด ก่อนจะพวยพุ่งขึ้นและระเบิดเป็น…พลังแกร่งกล้าเกินกว่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทั่วไป!


ร่างกายของเขาได้บรรลุสู่ขั้นจุติวิญญาณเรียบร้อยแล้ว!

 

 

 


บทที่ 671 วังศิษย์แห่งเต๋า!

 

หวังเป่าเล่อฟื้นคืนสติ


ชายหนุ่มลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งที่ด้านนอกวังแห่งแรก เขาจ้องมองฟากฟ้า รู้สึกงุนงงเล็กน้อย ในหัวมีคำถามหนึ่งผุดขึ้น ทำไมตนจึงหมดสติไปเสมอหลังจากสู้กับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน


กี่ครั้งแล้วนะ… หวังเป่าเล่อถอนใจขณะพยายามพยุงตัวลุกขึ้นยืน ดวงตาของเขาเบิกกว้าง แค่เพียงกดมือลงบนพื้นธรรมดาก็รู้สึกได้ถึงพลังที่พวยพุ่งออกมาจากร่างกาย ผืนดินสั่นสะเทือนก่อนจะส่งเขาลอยขึ้นฟ้าไป


หวังเป่าเล่อกลืนน้ำลายอึกใหญ่ขณะลอยอยู่กลางอากาศ ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาเขายังไม่ทันได้ตรวจระดับการฝึกตนของตนเองเลย ชายหนุ่มก้มมองสำรวจต้วเอง ดวงตาฉายแววตื่นเต้นดีใจ


ระดับการฝึกตนไม่ได้เปลี่ยนไป ยังอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในชั้นสมบูรณ์ แต่ร่างกายของข้า…ได้บรรลุไปสู่ขั้นจุติวิญญาณแล้ว! หวังเป่าเล่ออ่ได้านตำรามากมายในสำนักวังเต๋าไพศาลและรู้ว่าพลังของผู้ฝึกตนนั้นมาจากสี่แหล่งด้วยกัน ได้แก่ พลังปราณ เคล็ดวิชา สมบัติเวท และท้ายที่สุด…ความแข็งแกร่งของร่างกาย


ทั้งสี่แหล่งนั้นช่วยเติมเต็มกันและกัน การบรรลุสิ่งใดในทั้งสี่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการต่อสู้ให้ผู้ฝึกตน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเคล็ดวิชาและสมบัติเวทแล้ว การพัฒนาด้านพลังปราณและความแข็งแกร่งของร่างกายถือเป็นเรื่องสำคัญกว่าและเป็นกุญแจหลักของพลังผู้ฝึกตน


โดยเฉพาะอย่างหลัง…ความแข็งแกร่งของร่างกายนั้นอาจดูพัฒนาได้ง่าย แต่ถ้าผู้ฝึกตนไม่ได้มีสายเลือดพิเศษ การพัฒนาความแข็งแกร่งของร่างกายก็ถือเป็นเรื่องท้าทายไม่ต่างจากการพัฒนาพลังปราณ ยิ่งระดับสูงขึ้นเท่าใดก็ยิ่งก้าวหน้าได้ยากขึ้นเท่านั้น


นอกจากนี้ ผู้ฝึกตนยังมีเวลาและทรัพยากรที่จำกัด มีเพียงผู้ฝึกตนทรงพลังที่บรรลุขั้นการฝึกตนไปไกลแล้วเท่านั้นที่จะหันมามุ่งฝึกฝนร่างกาย มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะมีร่างกายแข็งแกร่งเหมือนหวังเป่าเล่อขณะอยู่ในขั้นจุติวิญญาณ


ในที่สุด…ข้าก็บรรลุสู่ขั้นจุติวิญญาณ! หวังเป่าเล่อระเบิดหัวเราะหลังจากตรวจสอบร่างกายของตนเอง เขาหายวับไปและปรากฏขึ้นอีกครั้งห่างออกไปสามร้อยเมตร


เขาไม่ได้ทำการเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา มันคือความเร็วที่ร่างกายขั้นจุติวิญญาณสามารถปลดปล่อยออกมาได้ ทำให้ได้ผลออกมาคล้ายคลึงกับการเคลื่อนย้าย เขายกมือขวาขึ้นกำหมัด สัมผัสได้ถึงพลังแกร่งกล้าในกำมือแม้จะยังไม่ได้ปลดปล่อยพลังปราณออกมา ชายหนุ่มยิ่งตื่นเต้นมากขึ้น


แม้จะยังแข็งแกร่งไม่เท่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันหากวัดจากฝีมือจากการสู้ครั้งล่าสุด แต่ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าตนเองคงไม่จบในสภาพน่าเวทนาเหมือนรอบที่แล้ว


แค่วังแรก ร่างกายข้าก็บรรลุไปขั้นจุติวิญญาณแล้ว… ชายหนุ่มสูดหายใจลึกขณะมองวังแห่งแรก เขาเห็นว่าแสงสีแดงที่พุ่งออกมาจากวังจางลงไป น้ำแข็งเริ่มเกาะกุมรอบๆ เหมือนว่ากำลังจะโดนผนึกอีกครั้ง หวังเป่าเล่อถอนใจด้วยความเสียดาย


แม้การทดสอบจะเป็นไปอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา แต่เขาก็ยังตัวสั่นเทิ้มเมื่อนึกถึงความเจ็บปวดที่ได้สัมผัสในสระโลหิตหมื่นวิญญาณ ทั้งปราณโลหิตที่เจาะเข้าสู่ร่างกายและความนึกคิดของอสูรนับไม่ถ้วนที่เข้าครอบงำได้สร้างความเจ็บปวดมหาศาลให้ตนเอง ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนว่าได้ตายไปหลายหมื่นหนอย่างไรอย่างนั้น


น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถทนได้นานเท่าที่ตั้งใจไว้ มิเช่นนั้นละก็…ดูจากขนาดของสระโลหิตหมื่นวิญญาณแล้ว ข้าอาจจะบรรลุไปถึงขั้นเชื่อมวิญญาณ หรือไม่ก็ขั้นจิตวิญญาณอมตะ ที่จริง…ร่างกายข้าอาจจะบรรลุไประดับดาวพระเคราะห์เลยก็เป็นได้!


บางทีเต็มที่อาจจะได้เท่านี้ เอาไว้แข็งแกร่งกว่านี้ข้าจะหาทางกลับมาที่นี่ใหม่ ข้าจะลองซึบซับปราณโลหิตและบรรลุขั้นการฝึกตนอีก! หวังเป่าเล่อเลียริมฝีปาก รู้สึกว่าเขาจะติดอกติดใจการบรรลุขั้นปราณเสียแล้ว ในใจของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง ผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาของชายหนุ่มก็จับจ้องไปยังวังอีกสองแห่งที่ถูกน้ำแข็งปกคลุมอยู่


ข้าจะเข้าไปในอีกสองวังได้ไหมนะ… ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างวาบเมื่อคิดเช่นนั้น เขาเดินตรงไปตรวจสอบใกล้ๆ น้ำแข็งที่เกาะอยู่ในวังทั้งสองไม่ได้ละลายลงแม้แต่นิด เสียงเยือกเย็นก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้ดังขึ้น


หมายความว่าข้ามีคุณสมบัติไม่เพียงพอจะเข้าไปได้หรือ ชายหนุ่มเกาหัว ตระหนักแล้วว่าที่แห่งนี้มีกฎอย่างไร แต่ก็ยังไม่พร้อมจะกลับออกไป เขาเดินวนรอบวังอยู่สองสามรอบ ทันใดนั้นสายตาก็หันไปจ้องวังทางด้านขวา ดวงตาเริ่มฉายแสงสว่างอบอุ่นขณะสำรวจวังแห่งนั้น


วังด้านขวามีขนาดเท่าวังด้านซ้าย แต่ภาพสลักตกแต่งมีรายละเอียดซับซ้อนกว่ามาก เห็นได้ชัดว่าผู้ที่มีสิทธิ์เข้าวังนี้ต้องมีสถานะสูงกว่าศิษย์อุปถัมภ์


หวังเป่าเล่อปวดใจขึ้นมาเมื่อคิดได้เช่นนั้น ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็กัดฟันแน่น ยกมือขวาขึ้นปลดปล่อยพลังปราณและพลังกายเต็มขั้น ก่อนจะปล่อยหมัดตรงเข้าใส่น้ำแข็งที่ปกคลุมรอบวังด้านขวา


“แหลกไปซะ!”


ชายหนุ่มร้องคำราม พายุพลังทำลายล้างก่อตัวขึ้นรอบหมัดขวา ทรงอำนาจกว่าเกราะจักรพรรดิลักอัคคีเสียอีก!


หมัดนั้นตรงเข้าใส่ชั้นน้ำแข็ง แต่มันก็เหมือนหินที่จมหายไปในมหาสมุทร เสียงอู้อี้ดังก้องขึ้น ทว่าชั้นน้ำแข็งกลับไม่ได้รับความเสียหายใดๆ มันปราศจากแม้รอยขีดข่วน


เขาลนลาน กำลังจะปล่อยหมัดไปอีกครั้ง ทันใดนั้นสายฟ้าสีม่วงก็ปรากฏขึ้นในชั้นน้ำแข็งหลังจากได้ดูดซับพลังจากหมัดแรกไป สายอัสนีพุ่งผ่านน้ำแข็งมาปรากฏตรงหน้าหวังเป่าเล่อและระเบิดอัดเต็มหน้าของชายหนุ่ม


เสียงระเบิดดังสนั่น หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มและกระเด็นถอยหลังไปจากแรงระเบิด เขากระเด็นไปไกลประมาณสามร้อยเมตรถึงเริ่มทรงตัวได้อีกครั้ง หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมอง หายใจติดขัด วังเบื้องหน้าและชั้นน้ำแข็งรอบๆ ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ สายฟ้าสีม่วงหายวับไปสักพักแล้ว ที่คงเหลืออยู่มีเพียงความกลัวที่แล่นผ่านเส้นเลือดในกาย เมื่อครู่คือสัญญาณเตือน หากเขายังคิดโจมตีอีก อาจจะไม่ได้รับแค่คำเตือน อาจกลายเป็นการเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงแทน


ไร้ความเมตตาเสียจริง! หวังเป่าเล่อมองวังด้านขวา เริ่มรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา ที่ไม่สามารถเข้าไปด้านในได้น่าจะเป็นเพราะสถานะหรือไม่ก็ขั้นการฝึกตนไม่สูงพอ


ถ้าข้าเป็นศิษย์แห่งเต๋าละก็… ชายหนุ่มยืนวิเคราะห์ จากนั้นแสงผิดแปลกก็ฉายวาบขึ้นในดวงตาเมื่อความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว


ถึงข้าจะไม่ได้เป็นศิษย์แห่งเต๋า แต่ข้าก็มีแขนที่อาจจะเป็นของศิษย์แห่งเต๋า… เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจลึก ก่อนจะหยิบแขนกระดูกอาวุธเทพออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ เขาถือแขนกระดูกไว้ในมือ ปลดปล่อยพลังปราณให้ไหลเข้าสู่กระดูก แขนอาวุธเทพเริ่มฉายแสงจ้า แผ่พลังกล้าแกร่งออกมา


ทันทีที่พลังน่าพรั่นพรึงปะทุขึ้นจากแขนอาวุธเทพ วังด้านขวาก็เริ่มสั่นไหวขณะที่ชายหนุ่มมองตรงไปด้วยสายตาเป็นกังวล วังสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยุดนิ่งไป


หรือว่าพลังที่ปลดปล่อยจากแขนจะแข็งแกร่งไม่พอ หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก็สรุปได้ว่าพลังที่ปลดปล่อยออกไปน่าจะยังแข็งแกร่งไม่พอ นอกจากนี้ การเชื่อมโยงระหว่างเขาและแขนกระดูกก็ยังไม่สมบูรณ์เหมือนที่ตั้งใจไว้


ความแน่วแน่ฉายแสงขึ้นในดวงตา ชายหนุ่มล้มเลิกความคิดที่จะอัดพลังปราณเข้าไปในแขนกระดูก เขานั่งลง ตั้งใจว่าจะหลอมเกราะจักรพรรดิชุดใหม่ขึ้นด้วยวิธีการหลอมแบบดั้งเดิม!


มันไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย แต่ความท้าทายอยู่ตรงการปลดปล่อยพลังที่แท้จริงของวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ โดยเขาต้องผสานวิชาเกราะจักรพรรดิเข้ากับกระบวนเวทลักอัคคีเพื่อที่จะปลดปล่อยพลังออกมาได้ ซึ่งเป็นผลมาจากการศึกษาของชายหนุ่มเรื่องการผสานสองวิชาเพื่อเสริมพลังของกันและกันให้เพิ่มพูนขึ้น


กระบวนเวทเกราะจักรพรรดินั้นกินพลังชีวิตมาก ซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เสร็จสมบูรณ์ในเร็ววัน แต่เขาก็มั่นใจว่าแค่สร้างเกราะจักรพรรดิขึ้นใหม่ได้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ด้วยประสบการณ์จากครั้งก่อน ชายหนุ่มจึงใช้เวลาแค่สองสัปดาห์ เส้นปราณมายาสีโลหิตก็เริ่มปรากฏขึ้นบนร่างกาย


เส้นปราณพวกนั้นคือเกราะจักรพรรดิขั้นแรก พลังและความแข็งแกร่งไม่สามารถเทียบเท่าเกราะจักรพรรดิชุดก่อนได้แม้แต่น้อย แต่ก็สามารถใช้หลอมแขนกระดูกเข้ากับชุดเกราะได้


เส้นปราณคืบคลานเข้าไปในแขนกระดูกอาวุธเทพด้วยการควบคุมของชายหนุ่ม หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังปราณอีกครั้งโดยไม่ลังเลใจ พลังวิญญาณไหลหลากผ่านเส้นปราณเข้าไปในแขนอาวุธเทพ


คลื่นพลังวิญญาณเริ่มพวยพุ่งออกมาจากแขนกระดูกเมื่อถูกปลุกพลังให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง!


ทันใดนั้น…วังด้านขวาก็เริ่มสั่นไหว เสียงเยือกเย็นดังก้องขึ้นในอากาศอีกคราหนึ่ง!


“ในฐานะศิษย์แห่งเต๋า เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะแบกรับหน้าที่ในการสร้างสำนักวังเต๋าไพศาลขึ้นใหม่อีกครั้ง เจ้าสามารถเข้าไปในวังวิญญาณลำดับสองเพื่อบรรลุขั้นการฝึกตนของเจ้าได้!”

 

 

 


บทที่ 672 ต้องห้าม!

 

สำเร็จ! หวังเป่าเล่อตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงนั้น หัวใจเริ่มเต้นรัว เขาดีใจยิ่งกว่าตอนที่ปลดผนึกวังลำดับแรกได้สำเร็จ เพราะวังแรกเขาสามารถเข้าไปได้ด้วยสิทธิ์ที่ตนมี ส่วนวังลำดับสองนั้น…


เป็นเพราะความพยายามของข้า! ชายหนุ่มเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจขณะมองชั้นน้ำแข็งรอบวังลำดับสองทลายลงพื้น จากนั้นลำแสงสีฟ้าก็พวยพุ่งจากวังขึ้นสู่ฟากฟ้า!


คลื่นพลังวิญญาณสั่นคลอนผืนฟ้าและผืนดิน แรงสั่นสะเทือนนั้นรุนแรงกว่าตอนที่ปลดผนึกวังลำดับแรกได้ แม้ร่างกายของเขาจะอยู่ในขั้นจุติวิญญาณแต่ก็ยังถูกส่งกระเด็นถอยหลังไปหลายร้อยเมตร ชายหนุ่มรอให้พลังปะทะรุนแรงราวกับเป็นคลื่นยักษ์ที่สาดซัดไปทั่วพื้นที่จางลง จากนั้นจึงเริ่มเดินเข้าไปใกล้ด้วยความตื่นเต้นที่เอ่อล้นอยู่ในใจ


ไม่นานเขาก็หยุดอยู่หน้าวัง มองเห็นบานประตูเปิดแง้ม มีแสงสีฟ้าพวยพุ่งออกมาจากภายใน หวังเป่าเล่อผุดยิ้มสุขใจ ก่อนจะก้าวเข้าไปด้านในด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวัง


ความรู้สึกแสนคุ้นเคยพัดผ่านร่าง เมื่อวิสัยทัศน์แจ่มชัดขึ้นอีกครั้ง ชายหนุ่มก็พบว่าตนได้มายืนอยู่ตรงบริเวณที่แสนคุ้นตา ด้านในของวังนี้มีความคล้ายคลึงกับวังลำดับแรก ทั้งรูปปั้นและสถาปัตยกรรมภายในล้วนคุ้นตาทั้งสิ้น แตกต่างตรงที่ครั้งนี้ ไข่มุกตรงหน้าส่องแสงสีฟ้า


ด้านล่างไข่มุกมีร่างหนึ่งนั่งอยู่ ไม่ใช่ผู้อาวุโสคนเดิมจากวังลำดับแรก แต่เป็นชายวัยกลางคนสีหน้าเรียบเฉย


ชายคนนั้นเหลือบมองหวังเป่าเล่อ แต่ไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนตอนที่ผู้อาวุโสคนก่อนมองมา ชายหนุ่มไม่ได้รู้สึกเหมือนกำลังโดนมองชนิดทะลุปรุโปร่ง แต่กลับหวาดผวาอยู่ภายใน ชายเบื้องหน้าเหมือนจะครอบครองพลังน่าพรั่นพรึงบางอย่างอยู่ หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว รีบก้มหัวทักทาย


“สวัสดีศิษย์พี่ ศิษย์น้องมีนามว่าหวังเป่าเล่อ!”


ชายผู้นั้นไม่ได้ตอบอะไรกลับ เพียงแค่จ้องมองมาด้วยสายตาเย็นชา หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าเขากำลังมองมาที่ตนเอง หรือมองทะลุผ่านไปถึงแขนกระดูกอาวุธเทพที่เก็บกลับไปแล้ว ความเงียบทำให้ชายหนุ่มเริ่มเป็นกังวล ในหัวคิดไปต่างๆ นานาด้วยความร้อนใจ ก่อนที่ชายวัยกลางคนจะพูดขึ้น


“วังแห่งนี้…จะพาผู้ฝึกตนก้าวข้ามอุปสรรคทุกอย่างเพื่อบรรลุขั้นการฝึกตน ถ้าเจ้าสามารถผ่านการทดสอบไปได้ด้วยขั้นปราณของเจ้าในปัจจุบัน เจ้าก็สามารถอาศัยวังแห่งนี้เป็นที่บรรลุไปขั้นจุติวิญญาณได้!”


“สำนักวังเต๋าไพศาลมีบันทึกวิญญาณจุติเก้าร้อยสามสิบแปดชนิดซึ่งเก็บรวบรวมมาตั้งแต่ครั้งกาลนาน ถ้าเจ้าผ่านการทดสอบไปได้ เจ้าจะสามารถเลือกวิญญาณจุติได้หนึ่งชนิดโดยวัดจากผลการทดสอบของเจ้า!” ชายวัยกลางคนอธิบายเสียงเย็นชา ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ เสียงของเขาแตกต่างจากเสียงที่หวังเป่าเล่อได้ยินด้านนอก แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันในแง่ของความไร้อารมณ์และวิธีพูดที่เหมือนหุ่นยนต์


 หวังเป่าเล่อรู้อยู่แล้วว่าชายวัยกลางผู้นี้เป็นเพียงภาพมายาเหมือนผู้อาวุโสที่วังลำดับแรก แม้จะมีความเชี่ยวชาญด้านอาวุธเวท แต่เขาก็ไม่รู้ว่าวังทั้งสามมีกลไกในการทำงานอย่างไร บอกได้เพียงว่าทั้งผู้อาวุโสและชายวัยกลางคนน่าจะเป็นวิญญาณวุธ


เสียงของชายวัยกลางคนดังก้องขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังใคร่ครวญ


“วิญญาณจุติที่เจ้าจะมีสิทธิ์เลือกขึ้นอยู่กับความสามารถและดวงชะตาของเจ้า ถ้าเจ้าสามารถทนรับพลังวิญญาณของข้าได้จนนับถึงสิบ เจ้าจะมีสิทธิ์เลือกวิญญาณจุติดวงใดก็ได้ที่ไม่ใช่สิบดวงวิญญาณที่แข็งแกร่งที่สุดในบันทึกของเรา!


“ถ้าเจ้าทนได้จนข้านับถึงยี่สิบ เจ้าจะมีสิทธิ์เลือกวิญญาณจุติที่แข็งแกร่งที่สุดทั้งสิบ ถ้ายังทนจนนับได้หกสิบ เจ้าจะมีสิทธิ์ตัดสินใจว่า…จะรับวิญญาณจุติดวงดาราซึ่งเป็นวิญญาณจุติในตำนานเพียงหนึ่งเดียวที่สำนักวังเต๋าไพศาลมีอยู่ไปหรือไม่!”


วิญญาณจุติดวงดาราหรือ หวังเป่าเล่อตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขานึกทบทวนข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณจุติที่เคยอ่านเจอในสำนักวังเต๋าไพศาลทันที


วิญญาณจุติที่สามารถพบได้ในสำนักวังเต๋าไพศาลนั้นมีมากมายหลายชนิด ขั้นจุติวิญญาณถือเป็นขั้นสำคัญ การบรรลุจากขั้นกำเนิดแก่นในไปขั้นจุติวิญญาณเหมือนเป็นการสร้างชีวิตที่สองขึ้น ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงผู้ฝึกตนไปอย่างมาก


กุญแจสำคัญของการเปลี่ยนแปลงนี้คือคุณภาพของวิญญาณจุติ!


ยิ่งมีคุณภาพดีเท่าไหร่ ก็ยิ่งส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของผู้ฝึกตนมากขึ้นเท่านั้น หวังเป่าเล่อพบว่าถ้าตัดเรื่องเคล็ดวิชากับสมบัติเวทออกไปและพิจารณาความสามารถของผู้ฝึกตนแล้ว ระดับพลังปราณถือเป็นตัววัดพื้นฐาน คุณภาพของวิญญาณจุติของผู้ฝึกตนจะช่วยทวีคูณระดับพลังปราณเพื่อเพิ่มพูนความสามารถในการต่อสู้ของผู้ฝึกตน


พลังที่จะปลดปล่อยในการต่อสู้จึงจะแตกต่างกันไปตามระดับพลังปราณที่ได้รับการทวีคูณ คุณภาพของวิญญาณจุติจึงส่งผลต่อพลังของผู้ฝึกตน!


คุณภาพของวิญญาณจุติมีผลต่อการหลอมรวมกับกฎธรรมชาติ ซึ่งจะเป็นตัวตัดสินความแข็งแกร่งในการต่อสู้และอนาคตของผู้ฝึกตน ที่สำคัญที่สุดคือ…หวังเป่าเล่อจำได้ว่าในบันทึกของสำนักวังเต๋าไพศาลได้กล่าวถึงเรื่องหนึ่งเอาไว้!


มีวิญญาณจุติหายากห้าชนิดกระจายอยู่ในอารยธรรมนับไม่ถ้วนในจักรวาล ทั้งห้าดวงถือเป็นตำนาน สำนักวังเต๋าไพศาลดั้งเดิมได้มาหนึ่งดวงเพราะโชคช่วย แต่ในบันทึกของสำนักวังเต๋าไพศาลปัจจุบันบอกไว้ว่าวิญญาณจุติในตำนานได้สูญหายไปแล้ว!


หวังเป่าเล่อเคยถามแม่นางน้อยเกี่ยวกับวิญญาณจุติดังกล่าว แต่นางก็บอกเขาว่าอย่าหวังเกินตัวมากนัก เห็นได้ชัดว่านางไม่น่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย


เป็นเหตุให้ชายหนุ่มรู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินชายวัยกลางคนพูดถึงวิญญาณจุติดวงดาราซึ่งเป็นวิญญาณจุติในตำนาน เขาระเบิดเสียงหัวเราะขึ้นก่อนที่ชายวัยกลางคนจะทันได้พูดจนจบ


“ข้าเลือกวิญญาณจุติดวงดารา!” ดวงตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงเป็นประกาย เขากลัวว่าอาจจะได้รับโทษจากการโกงเข้ามา จึงรีบท่องคาถาในหัวทันทีที่ประกาศออกไปเช่นนั้น!


ชายหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หวังพึ่งความพยายามของตนเองอีก เพราะเชื่อว่าได้พยายามอย่างหนักแล้วจนมาอยู่ในจุดนี้ได้ ทุกอย่างที่มีในปัจจุบันเป็นผลจากเลือด หยาดเหงื่อ และหยดน้ำตาของตัวเอง การช่วยเหลือจากภายนอกเป็นครั้งคราวนั้นไม่ได้ขัดต่อหลักการของเขาแต่อย่างใด


หวังเป่าเล่อท่องคาถาด้วยความตื่นเต้น ฟากฟ้าเริ่มร้องคำราม วังเริ่มสั่นไหวเมื่อพลังจากลึกสุดของจักรวาลพุ่งตรงลงมา กระบี่สำริดเขียวโบราณสั่นสะเทือน พลังเข้ากดทับชายวัยกลางคนที่อยู่ภายในวัง!


ชายวัยกลางคนเบิกตากว้าง ไม่ได้ดิ้นรนหรือสู้กลับ เขาหลับตา ขยายจิตสัมผัสวิญญาณออกไป ก่อนจะลืมตาขึ้นอีกครั้ง ชายวัยกลางคนทำสีหน้าแปลกประหลาด ขณะมองหวังเป่าเล่อและพยักหน้าให้


“เจ้าผ่านการทดสอบ!”


ชายหนุ่มเป็นกังวลใจอยู่นานจนกระทั่งได้ยินประโยคดังกล่าว ภายในเต็มไปด้วยความตื่นเต้น เขากำลังจะพูดอะไรออกไป ตอนนั้นเองชายวัยกลางคนก็มองตรงมาด้วยสายตาลุ่มลึก


“สมกับที่เป็นคนที่เข้ามาได้ด้วยพลังของศิษย์แห่งเต๋า ข้าขอชื่นชมความกล้าหาญของเจ้า ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะกล้าเลือกวิญญาณจุติในตำนาน ซึ่งเป็นวิชาต้องห้ามที่แทบไม่มีใครเคยฝึกสำเร็จเลย!”


“ว่าอย่างไรนะ” หวังเป่าเล่อที่กำลังกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจนิ่งอึ้งไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำว่า ‘วิชาต้องห้าม’ รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมา ก่อนจะทันได้ถามรายละเอียดอะไร ชายวัยกลางคนก็ยกมือขวาขึ้นชี้ตรงมาทางชายหนุ่ม


“เจ้าจะได้สิ่งที่ตนเองต้องการ เข้าสู่ขั้นตอนการบรรลุตนได้!” ชายวัยกลางคนพูด ไม่เปิดโอกาสให้หวังเป่าเล่อได้ต่อรองหรือนึกเสียดายที่เลือกไปเช่นนั้น แสงสว่างพุ่งจากปลายนิ้วตรงไปกลางหน้าผากหวังเป่าเล่อทันที!


ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนเกิดการระเบิดขึ้นในหัว วิสัยทัศน์พลันเลือนราง เริ่มรู้สึกเหมือนเท้าลอยขึ้นจากพื้น ก่อนจะถูกแสงสว่างนำพาขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์!


เขาพุ่งทะลุฟากฟ้าเข้าสู่ห้วงอวกาศและปรากฏตัวอีกครั้งในฟากฟ้ามายาไม่คุ้นตา ดวงดาวส่องแสงเป็นประกายอยู่รอบตัว ยังไม่ทันที่สติจะกลับมาครบสมบูรณ์ ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับวิธีหลอมวิญญาณจุติดวงดาราก็ถาโถมเข้าใส่สมอง!


ข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณจุติแล่นเข้าสมองทำให้เขาเข้าใจเรื่องวิญญาณจุติมากขึ้น ขณะที่ความรู้เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ความรู้สึกมากมายๆ ก็ถาโถมเข้ามาในใจ สุดท้ายชายหนุ่มก็ได้แต่ร้องโหยหวนด้วยความทุกข์ระทมออกมา


“ข้าไม่อยากฝึกวิชานี้แล้ว! ข้าพลาดไป…ข้าคิดผิด คิดผิดจริงๆ ข้าไม่อยากศึกษาวิชานี้แล้ว แม่นางน้อย ศิษย์พี่ ช่วยข้าด้วย…”


วิญญาณจุติดวงดารา หนึ่งในห้าวิญญาณจุติในตำนานจากทั่วทั้งจักรวาลที่สำนักวังเต๋าไพศาลได้ครอบครองโดยบังเอิญ สำนักวังเต๋าไพศาลรู้ซึ้งดีว่าความยากของการสร้างวิญญาณจุติชนิดนี้อยู่ในระดับใด และได้ตีตราให้มันเป็นวิชาต้องห้าม!


ทฤษฎีบอกไว้ว่าผู้ฝึกตนต้องแยกแก่นในทองคำออกมาและนำไปปะทะกับดาวเคราะห์ที่หลอมรวมกับผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์ หากผิดพลาด แก่นในจะพังทลายและผู้ฝึกตนก็ต้องพบกับความตาย หากสำเร็จก็จะสร้างวิญญาณจุติดวงดาราขึ้นได้

 

 

 


บทที่ 673 วิญญาณจุติดวงดารา!

 

วิญญาณจุติในตำนานบ้าบออะไรกัน เลือกวิญญาณจุตินี่ก็เท่ากับฆ่าตัวตายชัดๆ! หวังเป่าเล่อกัดฟันแน่นขณะโอดครวญในใจ ข้อมูลมากมายเกี่ยวกับวิญญาณจุติดาราอัดแน่นอยู่ในหัว ทำให้เขาเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องดาวพระเคราะห์มากขึ้น


จากที่หวังเป่าเล่อได้ศึกษาบันทึกของสำนักแห่งความมืด เขาพบว่าระดับดาวพระเคราะห์เป็น ระดับการฝึกตนสูงสุดระดับแรกที่ผู้ฝึกตนสามารถบรรลุได้ ถัดจากขั้นจุติวิญญาณ ขั้นเชื่อมวิญญาณ และขั้นจิตวิญญาณอมตะ


ผู้ฝึกตนในระดับนี้มีวิญญาณและกายเนื้ออันทรงพลัง หลังจากใคร่ครวญข้อมูลที่ได้รับตอนอยู่ในสำนักแห่งความมืดและที่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับวิญญาณจุติดวงดารา หวังเป่าเล่อก็เริ่มเห็นภาพรวมของระดับดาวพระเคราะห์มากขึ้น


ที่ระดับดาวพระเคราะห์ได้ชื่อเช่นนี้ เป็นเพราะผู้ฝึกตนขั้นจิตวิญญาณอมตะที่หวังจะบรรลุขึ้นมาถึงระดับนี้ต้องหลอมตนเองเข้ากับดาวเคราะห์จริงๆ ในห้วงอวกาศ!


อาจเรียกว่าเป็นการกลืนกินดาวเคราะห์ก็ได้ ผู้ฝึกตนต้องแปลงดาวเคราะห์มาเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง จากนั้นดาวเคราะห์ก็จะเข้ามาอยู่ในร่างและกลายเป็นรากฐานแห่งเต๋าที่จะช่วยส่งผู้ฝึกตนขึ้นไปอยู่ท่ามกลางหมู่ดวงดารา ตำนานกล่าวขานไว้ว่าหลายอารยธรรมเรียกขั้นตอนนี้ว่าการจุติ!


เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ฝึกตนขั้นดาวพระเคราะห์จึงเทียบได้ว่าเป็นดาวเคราะห์จริงๆ!


ขั้นตอนการกลืนกินและหลอมรวมกับดวงดาวนั้นท้าทายมาก หากผิดพลาดจะต้องพบกับความตาย ถือเป็นช่องว่างที่ผู้ฝึกตนจะต้องข้ามผ่านไปให้ได้ในเส้นทางการฝึกตน!


นอกจากนี้…ขนาดของดาวเคราะห์ เส้นผ่านศูนย์กลาง และคุณสมบัติอื่นๆ รวมถึงพลังงานที่เก็บซ่อนอยู่ จะเป็นตัวกำหนดว่าผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จะแข็งแกร่งเพียงใด ผู้ฝึกตนขั้นดาวพระเคราะห์ที่แข็งแกร่งจะมีหน้ามีตาในจักรวาล สามารถท้าสู้กับผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ได้และถึงแพ้มาก็ไม่เสียเกียรติ ส่วนผู้ฝึกตนขั้นดาวพระเคราะห์ที่อ่อนแอนั้นทำได้แค่รังแกผู้ฝึกตนที่มีระดับการฝึกตนด้อยกว่า เพราะผู้ฝึกตนในระดับเดียวกันถือเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยาก


หวังเป่าเล่ออยากจะร้องไห้ออกมาเมื่อคิดได้เช่นนั้น เขารู้ว่าไม่สามารถโทษใครได้เลยที่ต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์นี้ ความสามารถและความฉลาดได้นำพาตนเองมาพบปัญหาเสียแล้ว ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้วังศิษย์แห่งเต๋านึกอิจฉาจนส่งผลให้ความยากในการบรรลุไปยังขั้นจุติวิญญาณของเขาทวีคูณสูงขึ้น


 ความเสียใจก่อตัวขึ้นภายใน แต่ก็ไม่สามารถอะไรได้เลยในตอนนี้ เขาสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังวิญญาณที่ไหลเวียนรอบตัวในห้วงความว่างเปล่ากว้างไกลไร้ดวงดาวแห่งนี้ พลังทำลายล้างแกร่งกล้าที่สามารถบดขยี้ทุกสิ่งและทำให้ชายหนุ่มขนหัวลุกตัวสั่นเทิ้มพุ่งตรงเข้ามาอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว เส้นเลือดปูดโปนขึ้นในตา ใบหน้าบิดเบี้ยวจนดูไม่ได้


“ตื่นเถิด!” ชายหนุ่มเอ่ยคาถาขึ้น ก่อนจะต้องนิ่งอึ้งไปในเวลาต่อมา ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด คาถาที่คอยช่วยชีวิตมานักต่อนักกลับใช้การไม่ได้!


เกิดอะไรขึ้นกัน หวังเป่าเล่อเบิกตากว้างด้วยความงุนงง หรืออาจต้องท่องในหัวถึงจะสำเร็จ เขาท่องคาถาในหัวอย่างรวดเร็ว ร่ายคาถาต่อเนื่องไปอีกหลายคำ แต่พลังอันคุ้นเคยที่เคยส่งตนมาจากส่วนลึกสุดของห้วงอวกาศกลับไม่ปรากฏขึ้นแต่อย่างใด


เมินข้าอย่างนั้นหรือ


ไม่มีเวลาพอให้เขาได้คิดอะไรมาก หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มเมื่อคลื่นพลังวิญญาณรอบตัวเริ่มทรงพลังขึ้นทันทีที่พลังทำลายล้างพุ่งตรงเข้ามา ความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่างเมื่อดวงแสงส่องสว่างปรากฏขึ้นห่างไกลออกไปในฟากฟ้ามืดมิดเบื้องหน้า!


มันเริ่มขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ครู่ต่อมา ชายหนุ่มก็ได้ยินเสียงดังสนั่น เหมือนว่าดวงดาราได้ทลายลง


หากมีใครมองลงมาจากด้านบน จะเห็นว่ามีลูกไฟขนาดมหึมากำลังพุ่งตรงมาทางหวังเป่าเล่อ!


สิ่งนั้นไม่ใช่ลูกไฟธรรมดา…แต่เป็นดาวเคราะห์ ขนาดไม่ได้ใหญ่มากเมื่อเทียบกับดวงอื่นๆ แต่ก็ยังถือว่าใหญ่อยู่ดี ดาวเคราะห์ดวงนี้มีขนาดประมาณดวงจันทร์ เมื่อเทียบกันดูแล้ว หวังเป่าเล่อก็เป็นเหมือนฝุ่นผงเท่านั้น!


แม้จะยังอยู่ห่างไกลออกไป แต่คลื่นพลังวิญญาณรอบตัวชายหนุ่มกลับสั่นไหวรุนแรง หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม สัมผัสได้ถึงสัญญาณอันตรายและความตายที่ถาโถมไปทั่วร่างราวกับเป็นคลื่นยักษ์


ไม่เห็นจะเหมือนเป็นการทดสอบเลย! หวังเป่าเล่อตื่นตระหนก ดวงตาแดงก่ำ ไม่มีเวลามัวคิดอะไรไปมากกว่านี้ จากข้อมูลที่ได้ศึกษามาทำให้เขารู้ว่าตนมีเพียงโอกาสเดียว ถ้าไม่ได้บรรลุขั้นการฝึกตนก็…ต้องพบกับความตาย


ไม่มีทางใดให้หนี มีเพียงต้องเดินหน้าต่อไป!


“ดาวเฮงซวยอะไรกัน! รู้ไหมว่าในร่างกายข้ามีสิ่งแปลกประหลาดอะไรอยู่ภายในบ้าง คิดว่าข้าจะกลัวเจ้าอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อตะโกนลั่น เขายกมือขวาตบเข้าที่อกเสียงดัง เมล็ดดูดกลืนตื่นขึ้น ดอกบัวสีเขียวภายในเมล็ดดูดกลืนสั่นไหวไปมา สายฟ้ามากมายฟาดผ่าไปมาขณะที่แก่นในอัสนีโผล่พ้นออกจากปากของชายหนุ่ม!


อัสนีเปล่งประกายฟาดผ่าไปทั่วพื้นที่ราวกับเป็นฝูงสัตว์เลื้อยคลานสีเงิน แก่นในอัสนีปลดปล่อยพลังเต็มขั้น พยายามต้านทานแรงกดดันของดาวเคราะห์ที่พุ่งตรงเข้ามา เป็นดังตั๊กแตนที่พยายามจะหยุดเกวียนเทียมม้า แก่นในอัสนีไม่สามารถต้านทานพลังของดาวเคราะห์ได้แม้แต่น้อยและเริ่มส่งสัญญาณแตกหักเมื่อดาวเคราะห์เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้


หวังเป่าเล่อเจ็บระบมไปทั่วร่าง เขายกมือขวาขึ้นตบอกอีกครั้งอย่างไม่ลังเลใจด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นพร้อมพลังอันแกร่งกล้ายิ่งกว่าแก่นในอัสนีปะทุออกมาจากร่างชายหนุ่ม ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมพื้นที่ เปลวไฟสีดำลุกโชนขึ้นรอบตัวหวังเป่าเล่อ!


เปลวไฟสีดำนั่นเอง!


หวังเป่าเล่อถ่มแก่นในชิ้นที่สองซึ่งก็คือ…แก่นในแห่งความมืดออกมา!


คลื่นพลังวิญญาณพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าขณะที่แก่นในแห่งความมืดและแก่นในอัสนีพยายามต้านทานพลังดาวเคราะห์ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ทำได้แค่ชะลอดาวเคราะห์ลงไปเล็กน้อยเท่านั้น!


การชะลอความเร็วของดาวเคราะห์ลงไม่ได้ช่วยอะไรแม้แต่น้อย ห้วงอวกาศเบื้องหน้าหวังเป่าเล่อถูกปกคลุมไปด้วยแสงจากดาวเคราะห์ลุกโชติช่วงที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา ชายหนุ่มไม่สามารถมองเห็นสิ่งใดได้อีก เบื้องหน้ามีเพียงดาวเคราะห์ที่กำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้และทะเลเพลิงที่คืบคลานมาจากที่ไกลโพ้น!


พลังที่พุ่งตรงเข้ามาหาหวังเป่าเล่อนั้นแกร่งกล้าน่าพรั่นพรึง แก่นในอัสนีเริ่มแตกร้าว แก่นในแห่งความมืดเริ่มละลาย แม้แต่แก่นในหัวใจยังถูกกลืนกินไปในทันที เหมือนว่านี่จะเป็นจุดสิ้นสุดของชายหนุ่ม เขากำลังจะหมดสติไป ดวงชีวิตกำลังจะถูกดาวเคราะห์ลุกโชติช่วงกลืนกิน ทันใดนั้น หวังเป่าเล่อก็ยกมือขวาขึ้นตบอกเสียงดังอีกครั้ง


“ถ้าพวกเจ้าไม่ออกมา เราได้ตายกันหมดแน่!” ชายหนุ่มร้องคำราม รู้สึกได้ว่าพลังชีวิตเริ่มจางหายไป เมล็ดดูดกลืนในกายเป็นสิ่งแรกที่ไม่สามารถทานทนพลังของดาวเคราะห์ได้ไหว มันปรากฏตัวขึ้นพร้อมปลดปล่อยพลังแกร่งกล้าและแปรเปลี่ยนร่างเป็นวังวนพยายามหยุดยั้งดาวเคราะห์ที่กำลังพุ่งตรงมา ดาวเคราะห์ชะลอความเร็วลงอีกครั้ง


ดอกบัวสีเขียวก่อตัวขึ้น ปล่อยพลังชีวิตไม่รู้สิ้นกลางอากาศ มันรวมพลังช่วยวังวนต้านดาวเคราะห์เอาไว้!


ยังไม่จบเพียงเท่านั้น ในช่วงเวลาคับขันนั้นเอง ฝักกระบี่ภายในกายของหวังเป่าเล่อก็ปรากฏขึ้นเหมือนเป็นเชลยที่ถูกลากตัวออกมาอย่างไม่เต็มใจ คมคำสาปมากมายพุ่งตรงไปทางดาวเคราะห์!


ดาวเคราะห์ชะลอลงเป็นอย่างมาก ทั้งสองฝ่ายเหมือนจะต้านพลังกันได้อย่างเท่าเทียม ทุกวินาทีที่ผ่านไปช่างเนิ่นนานสำหรับหวังเป่าเล่อ


พลังกดดันจากดาวเคราะห์ทำให้ร่างของชายหนุ่มสั่นเทิ้ม แก่นในอัสนีปริแตกมากขึ้น ส่วนแก่นในแห่งความมืดก็ยังละลายอย่างต่อเนื่อง ร่างกายที่เริ่มสลายตัวสร้างความเจ็บปวดรุนแรงทรมานไปถึงจิตใจ ขณะที่แรงกดดันถาโถมเข้าใส่ พลังงานแห่งการเกิดใหม่ก็เริ่มไหลเวียนออกมาจากแก่นในที่กำลังสลายตัว เข้าโอบล้อมรอบตัวชายหนุ่มไว้!


พลังงานดังกล่าวเป็นเหมืองเปลวเพลิงริบหรี่และดวงดาวที่กำลังก่อตัวขึ้น พลังวิญญาณที่พวยพุ่งออกมานั้นแสนแกร่งกล้า ราวกับว่าเทพได้ถือกำเนิดขึ้น!


สิ่งนี้คือหนึ่งในห้าวิญญาณจุติในตำนาน…วิญญาณจุติดวงดารา!


วิญญาณจุติดวงดาราสูบพลังจากแก่นในทั้งสามของหวังเป่าเล่อและดาวเคราะห์ แล้วค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ทันใดนั้น ห้วงแห่งความว่างเปล่าก็สั่นไหว พลังจากภายนอกเหมือนจะสัมผัสได้ว่าเกิดอะไรขึ้นจึงเข้ามาหยุดยั้งไม่ให้วิญญาณจุติดวงดาราถือกำเนิดขึ้น!


พลังแกร่งกล้าจากภายนอกสั่นคลอนห้วงแห่งความว่างเปล่า ส่งผลให้โลกไร้ดวงดาวเริ่มบิดเบี้ยว ปรากฏเป็นแขนมายาขนาดยักษ์ปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดง แขนนั้นยืดตรงไปทางหวังเป่าเล่อ หมายจะทำลายร่างกายรวมถึงวิญญาณของชายหนุ่มและหยุดยั้งไม่ให้วิญญาณจุติดวงดาราถือกำเนิดขึ้นได้


ทันใดนั้น…เสียงแค่นจมูกอย่างไม่พอใจก็ดังก้องขึ้นในอากาศ เหมือนว่ามีคนมากมายนับไม่ถ้วนแค่นจมูกขึ้นพร้อมกันจนเกิดเป็นเสียงดังสนั่น!


“เจ้าโง่หน้าไหนบังอาจมาขัดขวางการบรรลุของศิษย์น้องข้า”


แสงอันทรงพลังราวกับจะผ่าสวรรค์เป็นสองท่อนได้พุ่งตรงลงมาอย่างรวดเร็ว มุ่งหน้าไปทางแขนสีแดงที่กำลังเหยียดตรงไปหาหวังเป่าเล่อ!


กระบี่ร่วงลงมา!


แขนถูกฟันขาด!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)