ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 667-687
ตอนที่ 667 งานประมูลในตลาดเหมียวจง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็รู้สึกร้อนบนแขนข้างหนึ่ง อักขระแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนผิวหนัง จากนั้นก็สูญเสียความรู้สึกไปโดยไม่อาจควบคุมได้ ไม่ว่าจะกระตุ้นอย่างไรก็ไม่มีการตอบสนองเลยแม้แต่น้อย
ขณะนี้ พอไอหมอกสีเหลืองม้วนตัวออกมา ชายฉกรรจ์เผ่าหมานก็มาปรากฏตัวด้านข้างหลิ่วหมิง กระบองฟันหมาป่าในมือโจมตีเข้ามา
แมลงเมฆาสีดำกลายเป็นฝูงผึ้งพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง
ทั้งสามร่วมมือกันได้อย่างไม่มีที่ติ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาร่วมมือรับมือกับศัตรูอยู่บ่อยๆ
ร่างหลิ่วหมิงพร่ามัว จากนั้นแสงสีดำก็ม้วนตัวออกมา และกลายเป็นเงาร่างสองเงาเคียงข้างกัน กระบองฟันหมาป่าฟาดใส่เงาร่างหนึ่งในนั้นจนดับไป
แต่เงาร่างอีกเงากลับกลายเป็นร่างแจ่มชัดของหลิ่วหมิงอีกครั้ง และตบมือข้างหนึ่งไปทางแมลงเมฆาสีดำ สายฟ้าสีเงินขนาดเท่าปากถ้วยเปล่งประกายออกมา และพุ่งเข้าไปในกลุ่มแมลง จากนั้นก็ระเบิดออกมาเป็นไหมเงินจำนวนนับไม่ถ้วน
เกิดเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” แมลงปีกแข็งแต่ละตัวร่วงลงมาพร้อมกับหมอกควันสีดำ
แมลงที่เหลือไม่ถึงครึ่งรู้สึกหวาดกลัวพลังของสายฟ้าอย่างเห็นได้ชัด มันบินวนอยู่บริเวณนั้น และไม่กล้าเข้าใกล้หลิ่วหมิงเลยแม้แต่น้อย
ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าส่งเสียงคำรามออกมา พออ้าปาก แสงโลหิตก็ถูกพ่นออกมา และเจาะทะลุผ่านศีรษะหลิ่วหมิงไป
แต่ร่างหลิ่วหมิงกลับพร่ามัวกลายเป็นจุดแสงสีดำก่อนสลายไป
ครู่ต่อมามีคลื่นสั่นสะเทือนด้านหลังชายฉกรรจ์ จากนั้นหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ขณะเดียวกัน พอยกแขนข้างหนึ่งขึ้น สายฟ้าสีเงินขนาดเท่าปากถ้วยก็ฟาดออกมา
ชายฉกรรจ์เผ่าหมานกลับมีปฏิภาณเฉียบแหลมมาก พริบตาที่รับรู้ว่ามีคลื่นสั่นสะเทือนด้านหลัง เขาก็หันหน้ากลับไปอย่างรวดเร็ว และอ้าปากพ่นอาวุธจิตวิญญาณสีทองอร่ามออกมา มันหมุนวนตรงหน้าอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นม่านแสงสีทองจางๆ ขณะเดียวกัน กระบองฟันหมาป่าในมือก็ฟาดออกไปด้านหน้า
“ตู๊ม!” เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
สายฟ้าสีเงินแฉลบผ่านด้านข้างกระบองฟันหมาป่า และม่านแสงสีทองจางๆ ก็ไม่อาจต้านทานอานุภาพของสายฟ้าสีเงินได้เลยแม้แต่น้อย พอถูกปะทะก็แตกกระจายออกมาราวกับกระจก!
หลังจากเกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ ก็มีเสียงระเบิดดัง “ตู๊ม!”
พอสายฟ้าสีเงินดับลง รูเลือดขนาดเท่าศีรษะก็ปรากฏอยู่บนหน้าอกของชายฉกรรจ์ผู้นี้
แม้ว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางของเผ่าหมานผู้นี้ จะมีระดับการฝึกฝนไม่เบา แต่กลับต้านทานสายฟ้าสวรรค์ของหลิ่วหมิงราวกับว่ามันเป็นวิชาประเภทสายฟ้าทั่วไปเช่นนี้แล้วย่อมเป็นเรื่องรนหาที่ตายชัดๆ
หลังจากโซซัดโซเซถอยออกไปสองก้าวด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ เขาก็โยนกระบองฟันหมาป่าที่ชำรุดทิ้ง และร่วงลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง
“ฟู่!”
เงากำปั้นสีดำพุ่งออกมา พริบตาเดียวก็โจมตีศีรษะของชายฉกรรจ์จนแตกกระจุย ส่วนร่างของเขาก็หล่นลงบนพื้นอย่างรุนแรง
ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงเก็บกำปั้นกลับไป และมองดูผู้ฝึกฝนเผ่าหมานทั้งสองด้วยท่าทีเย็อกเย็น ตั้งแต่เขากระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬจนถึงตอนที่สังหารชายฉกรรจ์เผ่าหมาน ใช้เวลาแค่สองสามอึดใจเท่านั้น คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนหนึ่งจะเสียชีวิตเช่นนี้!
พวกเขาทั้งสอง คนหนึ่งยังคงกระตุ้นฝูงแมลงอย่างสุดชีวิต อีกคนก็ยังทำท่ามือแปลกประหลาดอยู่
ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะหายจากอาการตกใจกับการตายของหัวหน้า มืออีกข้างของหลิ่วหมิงที่เดิมทีไม่อาจเคลื่อนไหวได้ ก็ส่งเสียงดังขึ้นมา และเคลื่อนไหวท่ามกลางแสงสายฟ้าที่รายล้อม
หลิ่วหมิงสะบัดแขนเบาๆ และกวาดสายตาลงบนพื้น
จะเห็นว่าอักขระแปลกๆ ที่โผล่บนแขนในก่อนหน้านั้นหายไปท่ามกลางแสงสายฟ้าอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มเล็กน้อย
แม้เขาจะไม่รู้ว่าวิชาที่ชายหนุ่มร่างผอมแสดงออกมาในก่อนหน้านั้นเป็นวิชาอะไร แต่ก็ดูชั่วช้าเป็นอย่างมาก ดังนั้นหลังจากเขานำพลังสายฟ้าเข้าไปในแขนแล้ว ก็สามารถทำลายวิชานี้ได้อย่างง่ายดาย
เพราะวิชาชั่วร้ายประเภทนี้ เดิมทีก็ถูกพลังสายฟ้าควบคุมอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวิชาสายฟ้าสวรรค์เลย
“พี่ใหญ่!”
หลังจากผู้ฝึกฝนเผ่าหมานที่มีแผลเป็นเต็มใบหน้าได้สติกลับมา ก็ตะโกนด้วยเสียงอันดัง และกระโจนเข้าหาศพของชายฉกรรจ์โดยไม่สนใจแมลงปีกแข็งสีดำที่ใกล้จะตายเพราะถูกสายฟ้าสวรรค์โจมตี
“เจ้าเด็กสารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ขณะที่ผู้ฝึกฝนที่มีแผลเป็นบนใบหน้าแหงนหน้าขึ้นมาอีกครั้ง เขาก็คำรามด้วยความโมโห และสะบัดแขนเสื้อเพื่อทำการโจมตีอีกครั้ง
แต่ขณะนั้นเอง มีเงาร่างเคลื่อนไหวข้างตัวของเขา จากนั้นชายหนุ่มร่างผอมก็มาปรากฏตัวด้านข้างราวกับปีศาจ และดึงแขนของเขาไว้ก่อนกล่าวออกมาอย่างรวดเร็ว
“พี่รอง คนผู้นี้สามารถทำลายวิชาของพวกเรา และสังหารพี่ใหญ่อย่างง่ายดายเช่นนี้ จะต้องเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้อย่างแน่นอน เพียงแต่เป็นเสือซ่อนเล็บเท่านั้น ยังไม่รีบไปอีก! รออะไรอยู่เล่า!”
จากนั้น ชายหนุ่มเผ่าหมานก็ขยี้ยันต์ในแขนเสื้อโดยไม่รอให้ชายที่มีแผลเป็นบนใบหน้าพูดอะไรออกมา แสงสีฟ้าม้วนตัวออกมาห่อหุ้มทั้งสองไว้ และกลายเป็นสายรุ้งยาวสีฟ้าก่อนพุ่งออกไป เพียงแค่เคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็มาถึงอากาศที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยกว่าจั้ง
แต่หลิ่วหมิงไหนเลยจะปล่อยให้ทั้งสองหนีไปได้โดยง่าย มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่บินสีทองก็พุ่งออกไปราวกับสายน้ำ
“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!”
แสงกระบี่สีทองลำหนึ่งพุ่งขึ้นฟ้า หลังจากหมุนวนกลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นสายรุ้งสีทองที่ยาวยี่สิบกว่าจั้ง และพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าจะเร็วกว่าแสงสีฟ้าตรงหน้าหนึ่งเท่าขึ้นไป
ครู่ต่อมา มีเสียงร้องอย่างเวทนาดังขึ้นกลางอากาศพร้อมกัน ศพสองศพที่ถูกฟันเป็นสี่ส่วนร่วงลงมาจากแสงสีฟ้าท่ามกลางฝนโลหิต…….
ครึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงขี่เมฆไปท่ามกลางหุบเขาต่อ
โจรปล้นสะดมในเมื่อครู่มีสมบัติไม่น้อย
หลิ่วหมิงค้นตัวทั้งสามจนได้หินจิตวิญญาณมาลี่ล้านกว่า และได้โอสถระดับของเหลวกับระดับผลึกมาจำนวนหนึ่ง อาวุธจิตวิญญาณระดับกลางถึงระดับสูงมีไม่น้อยกว่ายี่สิบถึงสามสิบชิ้น แต่ระดับสุดยอดกลับมีไม่กี่ชิ้น รวมทั้งหมดคงมีมูลค่าห้าสิบล้านกว่าหินจิตวิญญาณ
นอกจากนี้แล้วยังมีวัสดุที่มีมูลค่าไม่น้อยอยู่จำนวนหนึ่ง จากการที่หลิ่วหมิงได้ฟังได้เห็นมาในหลายเดือนนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นสัญลักษณ์เคล็ดวิชาบางอย่างที่เผ่าหมานวาดขึ้น
ภายใต้เวลาอันกระชั้นชิด หลิ่วหมิงไม่อาจดูอย่างละเอียดได้ แต่กลับเอาสิ่งของเหล่านี้ใส่เข้าไปในแหวนย่อส่วน จากนั้นก็ออกเดินทางต่อ
ระยะเวลาหลังจากนี้ เขาพยายามหลีกเลี่ยงเส้นทางเปล่าเปลี่ยวจำนวนหนึ่ง พร้อมกับเก็บซ่อนรูปโฉมและกลิ่นไอที่แท้จริงอย่างระมัดระวัง ในที่สุดก็กลับถึงตลาดเหมียวจง
เวลาในช่วงสองปีต่อมา หลิ่วหมิงปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณอยู่ไม่หยุด ไม่เพียงแต่ทำให้ระดับการฝึกฝนของเขาก้าวหน้าเท่านั้น ทั้งยังสะสมหินจิตวิญญาณจนได้จำนวนที่น่าตกใจ ซึ่งมีทั้งหมดราวๆ ห้าสิบล้าน
ในขณะเดียวกัน การประเมินในตลาดเหมียวจงก็เริ่มขึ้นในที่สุด
บริเวณถนนทางเข้าหลักทางด้านเหนือของลานกว้างในตลาดเหมียวจง มีหอสีขาวที่ดูคล้ายกับพระราชวังเปล่งประกายอยู่หลังหนึ่ง พอมองจากด้านนอก มันมีทั้งหมดห้าชั้น พื้นที่มีขนาดลดน้อยลงจากล่างขึ้นบน ซึ่งดูคล้ายกับเจดีย์
หอแห่งนี้นับว่าสูงที่สุดในตลาด เป็นสิ่งก่อสร้างที่สะดุดตามากที่สุด
งานประมูลในตลาดเหมียวจงที่ขึ้นในทุกๆ สามปี จะจัดขึ้นที่นี่
วันที่เริ่มงานประมูลนั้น ผู้คนบนลานจะเพิ่มจำนวนขึ้นมาไม่น้อย และจะเห็นคนเดินเข้าเดินออกหอสีขาวอยู่ตลอดเวลา
หลิ่วหมิงปะปนเข้าไปกับฝูงชน และยืนมองมาจากที่ไกลๆ
ขณะนี้เขาสวมชุดผ้าแพร พอโบกพัดภาพวาดในมือถือ ก็สามารถปลอมตัวเป็นคุณชายผู้สูงสง่าได้
มองดูไกลๆ จะเห็นว่ามีผู้พิทักษ์สวมชุดเกราะสีดำยืนอยู่ทั้งสองด้าน
ตลาดเหมียวจงนี้อยู่ภายใต้การดูแลของฝ่ายชิงหมาน เห็นได้ชัดว่าผู้พิทักษ์เหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนที่มาจากฝ่ายชิงหมาง
ผ่านไปสักพัก หลิ่วหมิงถึงเดินมาถึงด้านหน้าของหอ
ขณะนี้ยังห่างจากเวลาที่งานประมูลจะเริ่มขึ้นเล็กน้อย
ผู้พิทักษ์ทั้งสองมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และโค้งตัวเล็กน้อย จากนั้นก็ปล่อยเขาเข้าไป
ตอนนี้หลิ่วหมิงเข้าร่วมงานประมูลโดยไม่ปิดบังระดับการฝึกฝนของตนเอง อาศัยสถานะผู้ฝึกฝนระดับผลึกเข้าร่วมในงานประมูลย่อมเพียงพอแล้ว
วันนี้มีผู้ฝึกฝนมาร่วมงานประมูลที่จัดขึ้นสามปีครั้งเป็นจำนวนมาก ระดับแก่นแท้ก็มีไม่น้อย หากระดับการฝึกฝนต่ำล่ะก็ จะไม่เอื้อประโยชน์ต่อการประมูล
เพราะในดินแดนป่าเถื่อนทางใต้ หากพูดถึงพลังที่แท้จริงล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือว่าผู้ฝึกฝนล้วนปฏิบัติตัวตามกฎของการอยู่รอด โดยผู้ที่อ่อนแอเป็นเนื้อสมัน ผู้แข็งแกร่งเป็นเนื้อสมิง
“ผู้อาวุโสท่านนี้ ยินดีต้อนรับที่มาร่วมงานประมูลในครั้งนี้!”
หลิ่งหมิงเพิ่งจะเหยียบเข้าไปในสถานที่ทำการประมูล หญิงสาวชุดเขียวที่ยืนอยู่ตรงประตูทางเข้า ก็คารวะอย่างอ่อนช้อย
เพียงแค่มองดู หลิ่วหมิงก็รู้ว่าหญิงนางนี้แตกต่างจากผู้ฝึกฝนระดับของเหลวสองคนที่อยู่ด้านนอก ซึ่งนางมีการฝึกฝนแค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น
หลังจากหลิ่วหมิงตอบรับเบาๆ แล้ว ก็เงยหน้ามองสถานที่ประมูลโดยไม่สนใจหญิงนางนี้อีก
สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างกว้างขวาง ด้านในมีโต๊ะหินจัดวางอยู่หลายร้อยตัว บนนั้นมีผลไม้จิตวิญญาณ ชาหอม และสิ่งของอื่นๆและเพื่อตอบสนองความต้องการของแขก ข้างโต๊ะก็มีเก้าอี้กว้างๆ หนึ่งถึงสองตัววางอยู่
งานประมูลยังไม่ทันได้เริ่มขึ้น ก็มีคนนั่งอยู่ที่นี่ไม่น้อยแล้ว แต่ว่าสถานที่ใดก็ตามที่มีแขก ก็จะมีหญิงรับใช้สวมชุดกระโปรงยาวสีเขียวยืนอยู่หนึ่งคน
ส่วนแขกเหล่านี้ก็มีการฝึกฝนระดับผลึกเช่นเดียวกับหลิ่วหมิง พวกเขาต่างก็นั่งอยู่อย่างสงบ บ้างก็มองดูหลิ่วหมิง และละสายตากลับไปอย่างรวดเร็ว
“ข้าน้อยลี่ว์อวิ๋น เชิญผู้อาวุโสตามข้ามา” หญิงสาวชุดเขียวพาหลิ่วหมิงเดินเข้าไปด้านใน จนมาถึงเก้าอี้ที่ยังว่างอยู่
“ไม่ต้องเรียกผู้อาวุโสอะไรนั่นแล้ว นี่เรียกข้าซะแก่เชียว เรียกข้าตรงๆ ว่าคุณชายเย่ก็พอ ใช่สิ! ข้าได้ยินมาว่าตลาดเหมียวจงของพวกเจ้าอุดมณ์ไปด้วยของเหลวห้าแสง ข้าเดินทางมาไกลเพื่อร่วมงานประมูลใหญ่ในครั้งนี้ ไม่ทราบว่าครั้งนี้มีสินค้าระดับสูงเหลืออยู่หรือไม?” หลิ่วหมิงนั่งลงบนเก้าอี้อย่างไม่ใส่ใจ ด้านหนึ่งนำพัดออกมาพัดเบาๆ ด้านหนึ่งก็แสร้งสอบถามอย่างไม่ใส่ใจ
“คุณชายเย่วางใจได้เลย งานประมูลใหญ่ในครั้งนี้จัดขึ้นสามปีครั้ง ของเหลวห้าแสงเป็นสิ่งของสำคัญในการประมูล ซึ่งครั้งนี้ไม่เพียงแต่มีของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงออกมาประมูลเป็นจำนวนมาก ส่วนคุณภาพสุดยอดก็อาจจะมีปรากฏออกมาก็ได้” พอหญิงสาวชุดเขียวได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง ก็รีบเปลี่ยนสรรพนามในการเรียกทันที
ตอนที่ 668 ของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอด
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อ๋อ! ของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดก็มีด้วย ถ้าอย่างนั้นก็นับว่าครั้งนี้ไม่ได้มาเสียเที่ยว” หลิ่วหมิวพยักหน้าและยกชาจิตวิญญาณขึ้นมาจิบ
นอกจากชาจิตวิญญาณแล้ว บนโต๊ะสี่เหลี่ยมยังมีป้ายหยกสีขาววางอยู่ มีหมายเลขห้าสิบห้าเขียนอยู่บนนั้น
“คุณชาย งานประมูลใหญ่ในครั้งนี้ นอกจากของเหลวห้าแสงแล้วยังมีของล้ำค่าอื่นๆ อีกมาก อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด โอสถจิตวิญญาณระดับผลึก แม้กระทั่งยังมีต้นแบบอาวุธเวทขายด้วย สิ่งที่คุณชายต้องตาก็สามารถประมูลได้ทั้งหมด……” หญิงสาวชุดเขียวยืนมองหน้าหลิ่วหมิงอยู่ด้านข้างอย่างระมัดระวัง และแนะนำสิ่งของที่จะนำออกมาประมูล
หลิ่วหมิงสังเกตดูสถานการณ์ในห้องประมูล ขณะเดียวกันก็พูดคุยกับลี่ว์อวิ๋นอย่างไม่ใส่ใจ ไม่นานก็ถึงเวลาประมูลตามที่กำหนดไว้
ขณะนี้ ที่นั่งหนึ่งร้อยกว่าที่ในห้องประมูลล้วนไม่มีที่ว่าง อีกอย่างดูเหมือนว่าคนสองสามคนที่นั่งติดด้านหน้า ล้วนมีการฝึกฝนไม่ต่ำกว่าระดับผลึก ทำให้หลิ่วหมิงเหลือบมองสองสามทีอย่างอดไม่ได้
ไม่นาน ชายหน้าเหลี่ยมคนหนึ่งก็เดินมาจากด้านหลังอย่างช้าๆ และตรงไปยังแท่นสูงตรงด้านหน้าก่อนกล่าวเปิดงานด้วยเสียงดังก้อง
“ข้าได้ยินมาว่าตลาดเหมียวจงอยู่ภายใต้การปกครองของฝ่ายชิงหมาน ที่ประจำการอยู่ที่นี่คือศิษย์สายตรงของปีศาจวายุหมัวจี๋ ใช่สหายบนนั้นหรือไม่?” หลิ่วหมิงใช้นิ้วเคาะโต๊ะ และจ้องมองชายหน้าเหลี่ยมบนแท่นก่อนถามออกมาอย่างราบเรียบ
ชายบนแท่นมีการฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายแล้ว ดูเหมือนว่าจะฝึกฝนพลังปีศาจบางอย่าง
“คุณชายพูดล้อเล่นแล้ว ท่านเจี๋ยหลัวเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ ไหนเลยจะลดสถานะมาเป็นผู้ดำเนินการประมูล” พอหญิงสาวชุดเขียวได้ยินชื่อของปีศาจวายุหมัวจี๋ ร่างของนางสั่นก็สะท้านเบาๆ และกล่าวด้วยรอยยิ้มที่แข็งกระด้าง
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นขึ้นมา แม้เขาจะได้ยินมาว่าผู้ที่ประจำการอยู่ในตลาดคือศิษย์สายตรงของปีศาจวายุหมัวจี๋ แต่กลับไม่รู้ชื่อมาก่อน ตอนนี้ถึงรู้ว่าที่แท้ก็ชื่อเจี๋ยหลัวนั่นเอง
ระหว่างที่ทั้งสองพูดคุยกันนั้น ได้มีนักรบทรงพลังสองคนที่สวมชุดเกราะยกกล่องหยกสี่เหลี่ยมขึ้นไป ในกล่องหยกมีหินแร่สีดำขนาดเท่าแผ่นโม่ ดูเหมือนว่าจะมีไอดำจำนวนนับไม่ถ้วนเคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด
“นี่คือหินเหล็กไขกระดูกปีศาจ เป็นหินแร่ธาตุหยินระดับสุดยอด เป็นวัสดุชั้นยอดในการหลอมอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด และต้นแบบอาวุธเวท อีกอย่างหินแร่ที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ สามารถหลอมอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดได้สี่ถึงห้าครั้ง” ลี่ว์อวิ๋นแนะนำเบาๆ
หลิ่วหมิงมีสีหน้าซึมกระทือ เขามองดูแค่ทีเดียวก็ละสายตากลับมา
เขาไม่รู้สึกสนใจมันเลยแม้แต่น้อย ไม่นานก็ถูกชายชุดดำประมูลไปด้วยราคาที่สูงถึงสองล้านห้าแสนหินจิตวิญญาณ
ลำดับถัดไปคืออาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด สากกระดูกปีศาจ……” ชายหน้าเหลี่ยมบนแท่นสูงโบกมืออยู่ครู่หนึ่ง ก็มีคนยกกล่องเดินขึ้นไป
เวลาต่อมา ของล้ำค่าแต่ละชิ้นก็ค่อยๆ ทยอยยกขึ้นไปบนแท่น เป็นอย่างที่ลี่ว์อวิ๋นพูดไว้ ล้วนเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง ไม่เพียงแต่มีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด วัสดุหลอมอาวุธจิตวิญญาณ วัตถุดิบปรุงโอสถ เตาหลอม ยังมีแม้กระทั่งต้นแบบอาวุธเวทที่ใช้ในการโจมตีสองชิ้น
ขณะที่ต้นแบบอาวุธเวทโผล่ออกมานั้น ผู้ฝึกฝนระดับผลึกจำนวนมากก็เริ่มนั่งไม่ติดที่ บรรยากาศในงานประมูลก็ค่อยๆ เข้าสู่ขั้นดุเดือดที่สุด
แต่ว่ามีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้เหล่านั้นอยู่ด้วย ผู้ฝึกฝนระดับผลึกย่อมได้แต่ร่วมประมูลเท่านั้น
สุดท้ายต้นแบบอาวุธเวทสองชิ้น พัดสายฟ้าวายุกับกระบองอิสระ ก็ถูกผู้แข็งแกร่งเผ่าหมานระดับแก่นแท้สองคนประมูลไปด้วยราคาที่สูงถึงสิบล้านกว่าหินจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงกลับไม่มีอารมณ์สนใจ ดูเหมือนว่าของล้ำค่าเหล่านี้ไม่เข้าตาเขาเลยแม้แต่น้อย สิ่งนี้ทำให้หญิงชุดเขียวที่อยู่ด้านข้างรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย
และเมื่องานประมูลดำเนินมาถึงครึ่งทาง คำพูดประโยคหนึ่งของชายหน้าเหลี่ยมก็ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกคึกคักขึ้นมา
“สิ่งของประมูลลำดับต่อไปคือผลิตผลพิเศษของสถานที่แห่งนี้ ของเหลวห้าแสง! สามารถใช้ปรุงโอสถเพิ่มพูนพลังเวทระดับผลึกได้ เช่นโอสถแฝงจิตวิญญาณ โอสถฮว่าหยวน เป็นต้น ทุกท่านสามารถประมูลได้อย่างเต็มที่!”
เมื่อน้ำเสียงของชายหน้าเหลี่ยมสิ้นสุดลง นักรับเกราะดำสองคนก็ยกกล่องที่สูงเท่าคนหนึ่งคนขึ้นไปบนแท่น หลังจากเปิดออกมาจะเห็นว่าในนั้นเต็มไปด้วยขวดหยกสีขาวเล็กๆ ซ้อนกันสามชั้น ซึ่งมีทั้งหมดหลายร้อยขวด
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมทันที และนั่งตัวตรงขึ้นมา
“คุณชาย ตามความเคยชินของตลาด ของเหลวห้าแสงที่นำมาประมูลแบ่งเป็นสามชุด ชุดนี้เป็นของเหลวห้าแสงคุณภาพกลางที่ห่างจากคุณภาพสูง แต่ก็มีจำนวนมากที่สุด อีกประเดี๋ยวจะมีของเหลวคุณภาพสูง ซึ่งมีจำนวนน้อยกว่ามาก ส่วนของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดนั้น ครั้งนี้มีแค่ขวดเดียวเท่านั้น” ลี่ว์อวิ๋นเห็นว่าหลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเช่นนี้ นางก็พูดออกมาเบาๆ
“อ๋อ! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” หลิ่วหมิงได้ยินก็เผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
ที่เขามาเข้าร่วมงานประมูลในครั้งนี้ ย่อมไม่ได้มาเพราะของเหลวห้าแสงคุณภาพกลางเหล่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ของเหลวจิตวิญญาณกล่องนี้ก็ถูกประมูลอย่างดุเดือด หลังจากนั้นก็ถูกผู้ฝึกฝนระดับผลึกหลายคนประมูลไปด้วยราคาที่สูง
เพราะสำหรับการปรุงโอสถระดับผลึกแล้ว ของเหลวห้าแสงเป็นวัตถุดิบที่หาได้ยาก
“ของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงในครั้งนี้มีไม่มาก ทุกท่านต้องจับกุมโอกาสนี้กันไว้ให้ดีๆ!” ชายหน้าเหลี่ยมกวาดสายตามองดูฝูงชน และกล่าวออกมา
ขณะเดียวกัน กล่องหยกใบหนึ่งก็ถูกคนนำไปวางไว้บนแท่น ในนั้นมีขวดหยกสีขาวสิบกว่าขวดที่มีลักษณะเหมือนกันไม่มีผิด
ชายหน้าเหลี่ยมหยิบขวดหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจ และดึงจุกออกมาก่อนเอียงเล็กน้อย ผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่อยู่ด้านล่างล้วนมีสายตาที่แข็งแกร่ง ย่อมมองเห็นของเหลวจิตวิญญาณสีเหลืองส้มที่ไม่มีสิ่งอื่นเจือปนได้อย่างชัดเจน
หลิ่งหมิงแสดงสีหน้าดีใจโดยไม่รู้ตัว ของเหลวห้าแสงเหล่านี้มีคุณภาพดีกว่าในท้องตลาดมาก
“ของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงสิบขวด เริ่มประมูลที่สี่ล้านหินจิตวิญญาณ!” ชายหนุ่มหน้าเหลี่ยมเห็นทุกคนในห้องประมูลเผยแววตาเร่าร้อนออกมาเช่นนี้ ก็แสดงแววตาพอใจออกมาอย่างอดไม่ได้ หลังจากกระแอมไอแล้ว ก็ประกาศราคาเริ่มต้นประมูลออกมา
ผู้คนในนั้นเกิดความฮือฮาอยู่พักหนึ่ง มีเสียงเสนอราคาดังอยู่ไม่ขาดสาย ไม่นานราคาก็ขึ้นสูงถึงหกล้านหินจิตวิญญาณ
“เจ็ดล้านหินจิตวิญญาณ!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยกมือขึ้นมา
“หูวว……!” คนจำนวนไม่น้อยสูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นยะเยือก และคนส่วนมากต่างก็มองมาทางด้านนี้
การเพิ่มราคาทีเดียวหนึ่งล้านหินจิตวิญญาณเช่นนี้ ทำให้เสียงส่วนมากเงียบลงในทันที
“เจ็ดล้านห้าแสน!” ชายหนุ่มชุดฟ้าที่อยู่อีกด้านของห้องประมูลมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วเผยรอยยิ้มอันเยือกเย็น หลังจากโบกมือแล้ว ก็เสนอราคาเพิ่มขึ้นมาอีกห้าแสน
พอหลิ่วหมิงเหลือบตามอง ก็ค้นพบว่าด้านหลังของชายผู้นี้มีคนชุดดำตามติดอยู่สี่ห้าคน ประจักษ์ชัดมามีที่มาไม่ธรรมดา
เขาจำได้ว่าตอนที่ประมูลของเหลวห้าแสงคุณภาพกลางในเมื่อครู่ คนผู้นี้ใช้สิบล้านกว่าหินจิตวิญญาณซื้อไปไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงก็ยังจะเอาอีก
“แปดล้าน! คนผู้นั้นเป็นใครกัน ดูเหมือนจะมีที่มาอยู่บ้าง!” หลิ่วหมิงยังเพิ่มราคาโดยที่สีหน้าไม่เปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อย และถามลี่ว์อวิ๋นเกี่ยวกับสถานะของชายหนุ่มชุดฟ้าอย่างไม่ใส่ใจ
“คุณชายระวังไว้หน่อยจะดีกว่า คนผู้นั้นคือลี่หวงจากฝ่ายเฮยเหมียว คนผู้นี้มีนิสัยโหดร้ายอำมหิต มีชื่อเสียงในดินแดนป่าเถื่อนทางใต้เช่นกัน ผูกอาฆาตกับคนอื่นอย่างไม่เลิกรา ใช้วิธีการต่างๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย เนื่องจากลี่ไคเยี่ยนบิดาของเขาเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ ในดินแดนป่าเถื่อนทางตอนใต้นี้จึงไม่ค่อยมีคนกล้าหาเรื่องเขา” ลี่ว์อวิ๋นก้มลงกระซิบข้างหูหลิ่วหมิงเบาๆ ด้วยสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้า และจดจำชื่อนี้ไว้ในใจ แต่กลับไม่ค่อยใส่ใจมากนัก
“เก้าล้าน!” ชายหนุ่มชุดฟ้าบีบนิ้วไปมา และจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยแววตาอาฆาต
“สิบล้าน!” น้ำเสียงของหลิ่วหมิงไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย เขาต้องเอาของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงเหล่านี้มาให้ได้
“คนผู้นี้เป็นใคร? ในแดนใต้นี้ไม่เคยเห็นเขามาก่อน ช่างกล้าแย่งสิ่งของกับลี่หวงผู้นั้น หรือว่าจะพวกที่ไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ?”
“ไม่ถูก! เจ้าดูคนผู้นั้นสิ! ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่มีที่มา อาจจะเป็นผู้ที่มาจากตระกูลใหญ่หรือนิกายใหญ่นอกแดนใต้”
“จุ๊ๆ! ช่างร่ำรวยเสียจริง เอ่ยปากทีหนึ่งก็หลักล้านแล้ว!”
พอเห็นหลิ่วหมิงเพิ่มราคาหลักแสนหลักล้านอย่างง่ายดายราวกับโยนก้อนหินเช่นนี้ ผู้คนในสถานที่แห่งนั้นก็พากันกระซิบกระซาบเบาๆ
ขณะนี้ ชายหนุ่มชุดฟ้าผู้นั้นก็กัดฟันกรอดๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็วางแขนลงและไม่เสนอราคาอีก แต่กลับหมุนแหวนหยกสีขาวบนนิ้วเบาๆ ด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
ของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงในงานประมูลครั้งนี้ ถูกหลิ่วหมิงประมูลไปด้วยราคาที่สูงถึงสิบล้านหินจิตวิญญาณ
“ยินดีด้วยคุณชาย ตอนนี้คุณชายจะไปชำระหินจิตวิญญาณเลยหรือว่าจะ……” ลี่ว์อวิ๋นเห็นเช่นนี้ก็กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“อีกสักครู่คงจะมีของเหลวห้าแสงมาประมูลต่อใช่ไหม รอสักพักแล้วค่อยไปคิดบัญชีเถอะ!” หลิ่วหมิงโบกมือและดูเหมือนจะกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
ดวงตางดงามของลี่ว์อวิ๋นเผยแววดีใจออกมา
หลิ่วหมิงยิ่งประมูลสิ่งของมาก ผู้ที่ดูแลอย่างนางก็จะได้รับรางวัลมากตามไปด้วย
เป็นอย่างที่พูดไว้จริงๆ สินค้าที่นำมาประมูลในรอบต่อมาก็เป็นของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงอีกชุดหนึ่ง ซึ่งมีสิบขวดเช่นกัน
หลังจากมีประสบการณ์ในครั้งแรก หลิ่วหมิงได้แต่รอให้ผู้คนเสนอราคาสูงขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นค่อยเข้าร่วมเสนอราคา สุดท้ายก็ประมูลมาได้ในราคาแปดล้านห้าแสนหินจิตวิญญาณ
ราคานี้สูงกว่าเมื่อครู่มาก แต่เทียบกับของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงทั่วไปแล้ว มันยังคงมีคุณภาพสูงกว่าเล็กน้อย
ชายหนุ่มชุดฟ้าในก่อนหน้านั้น กลับไม่เข้าร่วมประมูล ช่างเหนือความคาดหมายยิ่งนัก
“สินค้าชิ้นต่อไป เป็นหนึ่งในสินค้าที่ถูกจับตามองในงานประมูลครั้งนี้ ของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดหนึ่งขวด ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้หลายคนของฝ่ายชิงหมานเราร่วมมือกันสังหารปีศาจผึ้งห้าแสงตัวหนึ่งในเทือกเขาจูหลงแล้ว ถึงรวบรวมมาได้เพียงเท่านี้”
ขณะที่พูดชายหน้าเหลี่ยมก็โบกมือไปด้วย จากนั้นก็มีคนยกถาดกลมๆ ขนาดเล็กขึ้นมา บนนั้นมีขวดหยกเป็นผลึกใสวางอยู่ มีแสงเปล่งประกายบนพื้นผิวจางๆ
ลำพังแค่รูปร่างของขวดหยกก็ไม่ธรรมดาแล้ว หลังจากชายหน้าเหลี่ยมดึงจุกออก ไอหมอกสีเหลืองทองก็แผ่ออกมาจากในนั้น
หลิ่วหมิงอยู่ไกลมาก พอทำจมูกฟุดฟิด ก็ได้กลิ่นหอมหวานที่เข้มข้นกว่าของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงในก่อนหน้านั้นเป็นพิเศษ ทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
“ของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดหนึ่งขวด ราคาประมูลต่ำสุดห้าล้านหินจิตวิญญาณ ตอนนี้เริ่มประมูลได้” หลังจากชายหน้าเหลี่ยมค่อยๆ ปิดจุกลงแล้ว ก็ประกาศออกมาทันที
“หกล้านหินจิตวิญญาณ!”
คนส่วนมากมาเพราะของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดนี้ และต่างก็จ้องมองขวดหยกในมือชายหน้าเหลี่ยมด้วยความตื่นเต้น พอน้ำเสียงของชายผู้นี้สิ้นสุดลง ก็มีคนเสนอราคาออกมาอย่างอดไม่ได้
หลังจากมีคนเริ่มแล้ว ก็มีเสียงเสนอราคาออกมาติดต่อกัน หลังจากมีคนเสนอไปไม่กี่คน ราคาของมันก็สูงขึ้นเท่าตัวอย่างง่ายดาย
ตอนที่ 669 คลื่นใต้น้ำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“สิบสองล้านหินจิตวิญญาณ!” ในที่สุดลี่หวงก็เสนอราคาออกมา และกวาดสายตามองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง
“สิบสามล้าน!”
น้ำเสียงราบเรียบกดทับราคาของชายหนุ่มชุดฟ้าไว้
คนผู้นี้ไม่ใช้หลิ่วหมิง แต่เป็นผู้อาวุโสชุดดำแถวหน้าที่ไม่เคยริปากมาก่อน
ลี่หวงมีสีหน้าเยือกเย็น และกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมา
“นายน้อย คนผู้นั้นเป็นผู้ฝึกฝนสายปีศาจระดับแก่นแท้ที่มีชื่อเสียงในแดนใต้ ผู้เฒ่าจินจู ซึ่งเป็นคนระดับเดียวกับนายท่าน อย่าได้ล่วงเกินจะดีกว่า” ชายฉกรรจ์ผู้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังชายหนุ่มชุดฟ้า ก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว และก้มลงพูดเบาๆ
ลี่หวงได้ยินก็เผยสีหน้าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำเสียงฮึดฮัดก่อนนั่งลงไป
“สิบห้าล้านหินจิตวิญญาณ!”
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็เริ่มเสนอราคาแล้ว พอเอ่ยปากก็เพิ่มราคาถึงสองล้านหินจิตวิญญาณ
ผู้อาวุโสชุดดำมีจมูกเหยี่ยวที่เห็นได้ชัดว่าไม่สอดรับกับใบหน้า ขณะนี้กำลังขมวดคิ้วเล็กน้อย หลังจากสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่งแล้ว กลับไม่เสนอราคาต่อ
แม้ว่าของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดจะล้ำค่าเป็นอย่างมาก แต่ว่ามีแค่ขวดเดียวเท่านั้น ราคาสิบห้าล้านหินจิตวิญญาณมันแพงไปหน่อย
ลี่หวงชายหนุ่มชุดฟ้าเห็นเช่นนี้ก็ตาเป็นประกาย และไม่ได้เสนอราคาต่อ
ชายหน้าเหลี่ยมถามติดต่อกันสองครั้ง พอเห็นว่าไม่มีคนเสนอราคาต่อ ก็ประกาศชื่อผู้ที่เจ้าของของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดขวดนี้อย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ลุกขึ้นยืนทันที
“คุณชาย งานประมูลยังไม่ถึงช่วงท้าย ยังมีสิ่งของที่น่าจับตามองอยู่หลายชิ้น คุณชายไม่ลอง…” ลี่ว์อวิ๋นลังเลเล็กน้อยแล้วถามออกมา
“ไม่ต้องแล้ว เป้าหมายของข้าในครั้งนี้คือของเหลวห้าแสงเท่านั้น ไม่ได้สนใจของล้ำค่าอื่นๆ ” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ
ลี่ว์อวิ๋นเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรอีก หลังจากพยักหน้าแล้ว ก็พาหลิ่วหมิงเดินไปห้องที่อยู่ด้านข้างห้องประมูล
ขณะเดียวกัน คนจำนวนไม่น้อยก็แอบสังเกตดูหลิ่วหมิงอย่างเงียบๆ และชายหนุ่มชุดฟ้าก็เผยสีหน้าเยือกเย็นออกมา เขาค่อยๆ ยกมือข้างหนึ่งแสดงท่าทีให้คนที่อยู่ด้านหลัง
ชายฉกรรจ์ที่อยู่ด้านหลังผู้นั้นรับรู้โดยปริยาย และเดินออกจากห้องประมูลไปอย่างรวดเร็ว
ห้องข้างห้องประมูล มีคนนำของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงยี่สิบขวดกับคุณภาพสุดยอดหนึ่งขวดที่หลิ่วหมิงประมูลมาได้มาวางรออยู่ก่อนแล้ว
หลังจากสนทนากันเล็กน้อย หลิ่วหมิงก็จ่ายไปสามสิบสามล้านหินจิตวิญญาณ และของเหลวห้าแสงเหล่านี้ก็เป็นของเขา
หลังจากตรวจสอบเล็กน้อยแล้ว ก็นำของเหลวห้าแสงเหล่านี้ใส่เข้าไปในแหวนย่อส่วน และเดินออกไปด้านนอกภายใต้การนำทางของลี่ว์อวิ๋น
หลังออกจากสถานที่ประมูล หลิ่วหมิงไม่ได้กลับไปยังที่พัก แต่กลับเดินไปนอกตลาด
ตอนออกจากสถานที่ประมูลมาแล้ว เขารับรู้ได้ว่ามีคลื่นพลังจิตสั่นสะเทือนอยู่ลางๆ และตามติดเขาอยู่ห่างๆ
หลังจากทะลวงระดับผลึกแล้ว พลังจิตของหลิ่วหมิงก็ขยายใหญ่ขึ้นด้วย พริบตาเดียว เขาก็ปล่อยคลื่นพลังจิตไร้รูปออกไป และปกคลุมพื้นที่ในระยะหลายร้อยจั้งไว้
“ที่แท้ก็เป็นเขา…”
หลิ่งหมิงยิ้มมุมปากเล็กน้อย แววตาเฉียบขาดเปล่งประกายออกมา และก้าวเท้าเร็วขึ้นกว่าเดิม ไม่นานก็ออกไปจากตลาด
บริเวณทางเข้าตลาด มีคนผู้หนึ่งเดินออกมาจากเงาของหอขนาดเล็กๆ อย่างรวดเร็ว เขาก็คือชายฉกรรจ์ที่เป็นผู้ติดตามของลี่หวงผู้นั้น
คนผู้นี้หันหน้าไปมองสถานที่ประมูลทีหนึ่ง หลังจากเผยสีหน้าลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็กระทืบเท้าเดินตามไป
ครึ่งชั่วยามต่อมา ลี่หวงก็พาลูกน้องสองสามคนตามมาถึงป่าดงดิบแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากตลาดไปร้อยกว่าลี้
จะเห็นว่ามีศพไร้ศีรษะของชายฉกรรจ์นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นว่างเปล่าใจกลางป่า และศีรษะของเขาก็กลิ้งไปอยู่อีกด้าน ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลง สีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
ผู้ติดตามหลายคนเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แค่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
พวกพ้องเดียวกันถูกฆ่า แต่ใบหน้าของพวกเขากลับไม่มีอาการเสียใจเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ยืนรอคำสั่งของลี่หวงอย่างเงียบๆ
แต่ทว่าผ่านไปซักพักแล้ว ลี่หวงก็ยังคงไม่พูดอะไรออกมา
“นายน้อย…” ชายร่างผอมสูงผู้หนึ่งเดินออกมาอย่างอดไม่ได้
“พวกเจ้าคนหนึ่งนำศพของเฮยอู่กลับไปบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อ ควรจะพูดอย่างไรนั้น คงไม่ต้องให้ข้าสอนหรอกนะ?” เรื่องหลังจากนี้ก็ให้ท่านเป็นคนตัดสินใจแล้ว” ลี่หวงมองดูศพไร้ศีรษะของชายฉกรรจ์อย่างเงียบๆ และสั่งออกมา
ชายร่างผอมสูงได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย เดิมทีเขาคิดว่านายน้อยที่โหดร้ายผู้นี้จะโมโหจนตามหาฆาตกรโดยไม่สนใจทุกสิ่ง เขาจึงไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองอยู่ครู่หนึ่ง
“ไม่ต้องแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา แม้ว่าข้าจะเป็นคนบุ่มบ่าม แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ บริเวณรอบๆ นี้ไม่มีร่องรอยของการต่อสู้อย่างดุเดือดเลย ประจักษ์ชัดว่าเฮยอู่ถูกคนผู้นั้นสังหารในทีเดียว พลังของเฮยอู่เข้าถึงระดับผลึกขั้นกลางแล้ว เป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาพวกเจ้า แม้แต่ข้าก็ใช่ว่าจะฆ่าเขาได้ ควรมอบเรื่องนี้ให้ท่านพ่อจัดการจะดีกว่า” ลี่หวงกล่าวอย่างราบเรียบ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อหมุนตัวเดินไปยังทิศทางที่จากมา
ผู้ติดตามที่เหลือมองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เก็บศพของชายฉกรรจ์อย่างรีบร้อน และตามกลับไปอย่างรวดเร็ว
……
ภายในบ้านเล็กๆ หลังหนึ่งในตลาดเหมียวจง
หลังจากหลิ่งหมิงสังหารชายฉกรรจ์ผู้นั้นแล้ว ก็เดินเล่นอยู่บริเวณนั้นรอบหนึ่ง จากนั้นก็เปลี่ยนรูปโฉมก่อนเดินกลับเข้าไปในตลาด
พอกลับถึงที่พักก็เดินตรงไปที่ห้องลับทันที หลังจากเปิดชั้นจำกัดทั้งหมดแล้ว ก็นั่งขัดสมาธิลงไป และนำของเหลวห้าแสงออกมาจากแหวนย่อส่วน
หลิ่วหมิงมองดูขวดเล็กๆ ที่วางเต็มตรงหน้าแล้วเผยรอยยิ้มออกมาด้วยความดีใจ แม้ว่าเขาจะเสียหินจิตวิญญาณไปไม่น้อย แต่ก็คุ้มค่ากับสิ่งที่ได้มา
เช่นนี้แล้ว ช่วงเวลาสองสามปีหลังจากนี้เขาก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มเรื่องของเหลวห้าแสงอีก
หลังจากหลิ่วหมิงพักผ่อนไปหนึ่งคืนแล้ว เช้าวันที่สองก็แปลงโฉมออกไปด้านนอกอีกครั้ง หลังจากซื้อวัตถุดิบอื่นๆ มาแล้ว ก็กลับไปปรุงโอสถในห้องลับทันที
เวลาเที่ยงคืนในสามเดือนต่อมา ทั่วทั้งตลาดถูกปกคลุมด้วยความมืดมิด ลานใจกลางตลาดที่เคยคึกคัก ก็เงียบสงบอย่างเห็นได้ชัด
ภายในห้องลับ หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าเตาหลอมลิ่วเสิน ด้านหนึ่งทำท่ามือปล่อยพลังเวทใส่เตาหลอม อีกด้านก็จ้องมองเตาหลอมอย่างไม่วางตา และคำนวณเวลาที่โอสถจะปรุงสำเร็จอย่างเงียบๆ
เปลวไฟร้อนแรงห่อหุ้มอยู่ด้านล่างของเตาหลอม ลวดลายจิตวิญญาณบนพื้นผิวกำลังเปล่งประกายระยิบระยับ ไอสีขาวน้ำนมพวยพุ่งออกจากเตาหลอมตลอดเวลา
โอสถแฝงจิตวิญญาณที่เขาปรุงในครั้งนี้ ใช้ของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดในการปรุง
ขณะที่เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไอสีขาวที่พุ่งออกมาก็ค่อยๆ เบาบางลง ขณะเดียวกัน กลิ่นหอมเย็นจางๆ ก็เริ่มโชยออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เพิ่มพลังเวทเข้าไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
ทันใดนั้น ปราณจิตวิญญาณในห้องลับก็พากันไปรวมตัวในเตาหลอมลิ่วเสิน และกลายเป็นไอหมอกหมุนวนอยู่เหนือเตาหลอม
ครู่ต่อมา ฝาเตาหลอมส่งเสียงดัง “หวึ่ง!” และค่อยๆ ลอยขึ้นมา
เปลวไฟตรงก้นเตาหลอมดับลง หลังจากมีเสียงดังขึ้นเบาๆ แสงสีขาวน้ำนมก็เปล่งประกายออกจากเตาหลอม และพุ่งขึ้นไปด้านบน
เกิดปรากฏการณ์แปลกประหลาดในการปรุงโอสถอย่างไม่คาดคิด!
และชั้นจำกัดที่วางอยู่ภายในห้อง ป้องกันได้แค่ไม่ให้แสงสีขาวพุ่งทะลุหลังคาออกไปด้านนอกเท่านั้น แต่คลื่นพลังเวทที่สั่นสะเทือนผิดปกตินี้ ยังคงถูกส่งออกไปภายนอกอย่างชัดเจน
สีหน้าหลิ่วหมิงค่อยๆ เปลี่ยนไป เขายกแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นไอดำส่วนหนึ่งก็ห่อหุ้มเตาหลอมเอาไว้ และเก็บมันเข้าไป
จากนั้นก็พลิกฝ่ามือหยิบยันต์สีเหลืองออกมาผืนหนึ่ง พอออกแรงขยี้ แสงสีเหลืองลำหนึ่งก็ปกคลุมร่างของเขาไว้ และมุดลงไปใต้ดิน
และขณะนั้นเอง ภายในห้องบนชั้นสามของร้านโอสถที่ดูหรูหราแห่งหนึ่ง
ลี่หวงกำลังนั่งอยู่ในนั้นด้วยสีหน้าอึมครึม และกำลังฟังรายงานของชายร่างผอมสูงอยู่
ทันใดนั้นก็ดูเหมือนจะรับรู้ได้ว่ามีคลื่นสั่นสะเทือนแปลกประหลาด จึงขมวดคิ้วแล้วมองออกไปด้านนอก แสงสีทองเปล่งประกายอยู่ในดวงตา
“นายน้อย เมื่อครู่คือ……” ดูเหมือนว่าชายร่างผอมสูงจะรับรู้ถึงความผิดปกติได้เช่นกัน จึงถามออกมาด้วยความแปลกใจ
“เป็นเสียงสะท้อนของปราณจิตวิญญาณพสุธา คิดไม่ถึงว่าในตลาดจะมีปรมาจารย์หลอมอาวุธหรือการปรุงโอสถด้วย ช่างเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายยิ่งนัก” ลี่หวงละสายตากลับมาและกล่าวอย่างเนิบนาบ
“ตามที่ข้าทราบมา ในตลาดเหมียวจงนี้ไม่มีปรมาจารย์หลอมอาวุธหรือปรุงโอสถประจำอยู่ หรือว่าจะเป็นผู้ที่มาจากภายนอก?” ชายร่างผอมสูงกล่าวด้วยน้ำเสียงสีที่เปลี่ยนไป
“มีโอกาสเป็นไปได้ เฮ่อๆ! ตลาดเหมียวจงในช่วงนี้มีคลื่นใต้น้ำเคลื่อนไหวอยู่จริงๆ เฮยอู่เพิ่งจะถูกสังหารไป พริบตาเดียวก็มีปรมาจารย์โผล่ขึ้นมาคนหนึ่ง” ลี่หวงยิ้มออกมาอย่างน่าสะพรึง และค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำทีละคำ
“หรือนายน้อยสงสัยว่าทั้งสองเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องกันหรือ?” ชายร่างผอมสูงแสดงสีหน้าเข้าใจออกมา และถามออกไปอีกครั้ง
“เจ้ามีสมองไว้ทำไม? เอาแต่ถามข้าไปหมดทุกเรื่อง! ยังไม่รีบส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้อีก นอกจากนี้ อย่าลืมรายงานสถานการณ์ของสถานที่แห่งนี้ให้ท่านพ่อรู้ด้วย” ลี่หวงจ้องมองชายร่างผอมสูงด้วยแววตาเยือกเย็น และตำหนิด้วยความไม่พอใจ
ชายร่างผอมสูงรีบพยักหน้าตอบรับในทันที จากนั้นก็รีบออกไปอย่างรวดเร็ว
……
ขณะที่หลิ่วหมิงดำดินหนีไปถึงราวๆ เวลาครึ่งถ้วยชานั้น ด้านนอกเรือนหลังเล็กในโรงเตี๊ยมที่เขาเช่าไว้ ก็มีเงาร่างจำนวนไม่น้อยปรากฏอยู่รำไร ในนั้นมีกลิ่นไอแข็งแกร่งอยู่หลายคน
และผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องพักก็รับรู้ได้ถึงคลื่นแปลกประหลาดในก่อนหน้านี้ จึงพากันเดินออกมาดูเรือนหลังเล็กที่หลิ่วหมิงอยู่ในเมื่อครู่
บรรยากาศเคร่งขรึมปกคลุมไปทั่วพื้นที่บริเวณนี้
ห่างจากโรงเตี๊ยมไปไม่ไกล เงาสีดำเงาหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว และร่วงลงบนหลังคาอย่างไร้สุ้มเสียง
ภายใต้แสงจันทร์ เผยให้เห็นเค้าโครงของเงาร่างคนหลังค่อมที่มีจมูกเหยี่ยว
เขาก็คือผู้เฒ่าจินจู ผู้ฝึกฝนปีศาจระดับแก่นแท้ที่ปรากฏตัวในงานประมูลนั่นเอง
ขณะนี้เขากำลังจ้อมองไปทางโรงเตี๊ยมด้วยแววตาที่เป็นประกาย
“ปรากฏการณ์เมื่อครู่ คงจะเกิดจากการปรุงโอสถ น่าแปลกเสียจริง! พื้นที่เล็กๆ อย่างตลาดเหมียวจงกลับมีปรมาจารย์ปรุงโอสถด้วย หรือว่า…” ผู้เฒ่าจินจูเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
ขณะเดียวกัน ในมุมเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่งในตลาดเหมียวจง
สถานที่แห่งนี้นอกจากจะมีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งที่มีไฟตะเกียงติดอยู่แล้ว ร้านค้าอื่นๆ ต่างก็ปิดประตูไปนานแล้ว
เงาร่างของหลิ่วหมิงค่อยๆ เดินออกจากมุมมืด และเดินเข้าไปในโรงเตี๊ยมด้วยสีหน้าปกติ
ที่นี่คือที่พักอีกแห่งที่เขาเตรียมไว้ในก่อนหน้า เพื่อป้องกันการเกิดเหตุที่ไม่คาดคิด
ตอนที่ 670 โอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธา
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงเข้าไปในห้องลับภายเรือนเดี่ยวหลังนี้ และวางชั้นจำกัดไว้รอบด้านอย่างคุ้นเคย พอยกแขนเสื้อขึ้น เตาหลอมเล็กสีเขียวหยกก็กะพริบออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ ขยายใหญ่ตามแรงลมแล้ว ก็หล่นบนพื้นเสียงดัง “โครม!”
มันคือเตาหลอมลิ่วเสินนั่นเอง
เมื่อครู่เขามาอย่างรีบร้อน จึงยังไม่ได้นำโอสถจิตวิญญาณในนั้นออกมา
พอชี้นิ้วข้างหนึ่งผ่านอากาศ เตาหลอมก็ลอยขึ้นมา
หลิ่วหมิงกวักมือเบาๆ โอสถสีขาวกลมๆ ห้าเม็ดพุ่งออกมา และถูกดูดเข้าไปในฝ่ามือ
ในโอสถทั้งห้าเม็ดมีลายโอสถอยู่สามเม็ด หนึ่งในนั้นเป็นโอสถระดับพสุธาที่มีลายโอสถสี่เส้น
“ปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธาออกมาหนึ่งเม็ดจริงๆ ด้วย มิน่าล่ะถึงได้เกิดปรากฏการณ์ระดับนี้” หลิ่วหมิงชื่นชมโอสถระดับพสุธาในมือด้วยสีหน้าเบิกบานใจอย่างสุดขีด
เพียงแค่ปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธาเม็ดนี้ออกมาได้ ก็นับว่าคุ้มค่ากับการซื้อของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดขวดนั้นแล้ว
ของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดที่ใช้ในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะปรุงโอสถสำเร็จ ทั้งยังปรุงโอสถระดับพสุธาออกมาได้สมดังตั้งใจ ด้านหนึ่งต้องยกความดีความชอบให้กับความมหัศจรรย์ของของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอด อีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะว่าประสบการณ์ที่สะสมมาจากการปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณในก่อนหน้า และพลังของเตาหลอมลิ่วเสินแล้ว
ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถโดยทั่วไป ต่อให้จะมีของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอด แต่หากจะปรุงโอสถระดับพสุธาของระดับผลึก ก็เป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง
เพราะพอถึงโอสถระดับผลึก ไม่ว่าจะเป็นจำนวนหรือว่ามูลค่าของโอสถระดับพสุธา เมื่อเทียบกับระดับของเหลวแล้ว ล้วนแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธาสำเร็จ ถูกเล่าลือไปทั่วตลาดเหมียวจงในเช้าวันที่สอง แน่นอนว่าย่อมก่อให้เกิดความฮือฮาขึ้นมา
ตามหัวถนนตรอกซอกซอยในขณะนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาหรือผู้ฝึกฝน ต่างก็พูดคุยเรื่องนี้กันอย่างออกรส
แต่เมื่อเวลาค่อยๆ ล่วงเลยผ่านไป เรื่องนี้ก็ค่อยๆ หายไปจากความสนใจของผู้คน
หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย แต่กลับทานโอสถแฝงจิตวิญญาณอยู่ในที่พักแห่งใหม่วันละหนึ่งเม็ด ด้านหนึ่งทำการฝึกฝนอย่างเงียบๆ อีกด้านก็ปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณออกมาจำนวนมาก
และหลังจากปรุงโอสถอยู่บ่อยครั้ง หลิ่วหมิงก็ยิ่งมีเชี่ยวชาญในการปรุงโอสถชนิดนี้มากขึ้นเรื่อยๆ และของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงที่ได้มาจากงานประมูลก็ดีงามมาก ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมาก็ปรุงโอสถระดับสูงออกมาได้อย่างต่อเนื่อง
เวลาหนึ่งปีกว่าผ่านไปในพริบตา ของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงยี่สิบขวดถูกหลิ่วหมิงใช้ไปจนหมด
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เวลาที่เหลือจากการฝึกฝน หลิ่วหมิงก็ไปซื้อวัตถุดิบตามตลาดขนาดกลางและตลาดเล็กต่างๆ ที่อยู่บริเวณตลาดเหมียวจง และถือโอกาสขายโอสถแฝงจิตวิญญาณส่วนหนึ่งให้กับร้านค้าเล็กๆ จำนวนหนึ่งเพื่อแลกหินจิตวิญญาณกลับมา จะได้นำไปซื้อของเหลวห้าแสงกับวัตถุดิบอื่นๆ
…….
สองปีต่อมา ภายในห้องโถงประมูลของตลาดเหมียวจงยังคงมีผู้คนแน่นขนัด ผู้ฝึกฝนจำนวนมากอยู่เต็มห้องโถง
“สี่ล้านแปดแสน!”
“ห้าล้านสองแสน!”
“สิบหกล้าน!”
ขณะที่มีน้ำเสียงราบเรียบดังขึ้นมา ทั่วทั้งห้องประมูลก็เงียบลงทันที สายตาผู้คนกวาดมองไปยังผู้อาวุโสร่างผอมที่สวมชุดราคาแพงผู้หนึ่ง
“ในเมื่อไม่มีคนเสนอราคาเพิ่ม ของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดขวดนี้ก็เป็นของผู้อาวุโสท่านนี้แล้ว” ชายหน้าเหลี่ยมที่เป็นผู้ดำเนินการประมูลรออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ประกาศออกมาทันที
หญิงสาวชุดเขียวที่อยู่ด้านข้างผู้อาวุโสผอมแห้งได้ยินเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา
หลังจากผู้อาวุโสพยักหน้าแล้ว ก็ลุกขึ้นมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และแสดงท่าทางให้หญิงสาวนำทางไป จากนั้นก็ค่อยๆ เดินเข้าไปในห้องข้างห้องโถงท่ามกลางสายตาของฝูงชน
……
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากหลิ่วหมิงปรุงโอสถพสุธาสำเร็จในครั้งแรก เวลาก็ผ่านมาสิบปีแล้ว
ในช่วงเวลาสิบปีมานี้ ตลาดเหมียวจงก็จัดงานประมูลเช่นเดิมอยู่หลายครั้ง และของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดที่ออกมาในแต่ละครั้ง ต่างก็ถูกหลิ่วหมิงแปลงโฉมมาประมูลไปด้วยราคาอันสูงลิ่ว
ตอนนี้บนตัวเขามีของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดสามขวดแล้ว
ท่ามกลางห้องลับภายในโรงเตี๊ยมในขณะนี้ เปลวไฟสีแดงกำลังห่อหุ้มเตาหลอมลิ่วเสินอยู่ และลุกไหม้อย่างรุนแรง
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหน้าเตาหลอม และควบคุมอุณหภูมิของเปลวไฟด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ทันใดนั้นเขาก็ยกแขนปล่อยพลังใส่เตาหลอม
พอมีเสียงดัง “ฟู่!” แสงสีเขียวลำหนึ่งก็พุ่งออกจากเตาหลอม ฝาเตาหลอมลอยขึ้นมา เปลวไฟสีแดงรอบด้านสลายไปอย่างรวดเร็ว
พอหลิ่วหมิงโบกแขนเสื้อขับไล่ควันสีขาวที่ออกมาจากเตาหลอม และเขม้นตามองออกไป จะเห็นว่ามีโอสถแวววาวราวกับหยกอยู่ในเตาหลอมสี่เม็ด
แต่ทุกเม็ดจะมีลายโอสถปรากฏอยู่ เม็ดหนึ่งมีหนึ่งเส้น อีกสองเม็ดมีสองเส้น และอีกเม็ดก็มีสามเส้น ซึ่งเป็นโอสถธรรมดาระดับธรรมดาทั้งหมด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจเบาๆ ด้วยสีหน้าผิดหวัง
รวมครั้งนี้ด้วยแล้ว นี่เป็นครั้งที่หกที่เขาใช้ของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดในการปรุงโอสถ และวัตถุดิบเสริมอื่นๆ ก็เป็นวัตถุดิบชั้นยอดทั้งหมด
อาจเป็นเพราะของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอด จึงสามารถปรุงโอสถระดับธรรมดาออกมาได้ทุกครั้ง แต่ที่น่าเสียดายก็คือ นอกจากสิบปีก่อนแล้ว จนถึงวันนี้ยังไม่มีโอสถระดับพสุธาปรากฏออกมาเลย
ดูท่าโอสถแฝงจิตวิญญาณที่ปรุงออกมาได้ในครั้งนั้น คงเป็นเพราะบังเอิญโชคดีจริงๆ
“วิชาปรุงโอสถนี้ไม่อาจยกระดับได้ภายในระยะเวลาอันสั้น แต่มีเรื่องเล่าลือว่าของเหลวห้าแสงคุณภาพสุดยอดในงานประมูลผ่านการผสมมา ซึ่งความบริสุทธิ์ของมันไม่อาจเทียบกับน้ำผึ้งห้าแสงระดับสุดยอดที่แท้จริงได้ หากเป็นเช่นนี้จริงล่ะก็ โอกาสในการปรุงโอสถระดับพสุธาออกมาได้ คิดว่าคงมีไม่มาก”
หลังจากหลิ่วหมิงเก็บโอสถเข้าไปแล้ว ก็พูดพึมพำออกมา
จากนั้นก็โบกมือข้างหนึ่งเก็บเตาหลอมลิ่วเสินเข้าไป และนั่งขัดสมาธิบนพื้นอย่างเงียบๆ
หลังผ่านการทานโอสถแฝงจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาสิบกว่าปี ระดับการฝึกฝนของเขาย่อมพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว หนึ่งปีก่อน เขาก็เผชิญกับปัญหาการทะลวงคอขวดระดับผลึกขั้นกลางแล้ว
เขาทำความเข้าใจเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬในทะเลจิตรับรู้อย่างละเอียดอยู่หลายรอบ และก็เคยลองไปแล้วหลายวิธี แต่กลับไม่อาจทะลวงได้
จะว่าไปแล้ว พอพูดถึงความมหัศจรรย์ของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ก็นับว่ามีชื่อเสียงในนิกายไม่เบา โดยเฉพาะผลลัพธ์ในการฝึกร่าง ก็เป็นหนึ่งในคุณสมบัติหลักของมัน
แต่เป็นเพราะทุกครั้งที่เผชิญกับปัญหาคอขวด ล้วนทะลวงได้อย่างยากลำบาก นานวันเข้าก็มีคนเลือกฝึกฝนวิชานี้น้อยลง
“ดูท่าตอนนี้คงได้แต่พึ่งพลังจากภายนอกแล้ว” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดก็ถอนหายใจแล้วพูดพึมพำออกมา พอพลิกมือข้างหนึ่ง กล่องหยกใบหนึ่งก็ปรากฏบนฝ่ามือ พอเลื่อนฝาตลับออก โอสถแฝงจิตวิญญาณเม็ดหนึ่งก็ถูกวางอยู่ในนั้น ทันใดนั้น กลิ่นหอมกรุ่นก็ตลบอบอวลไปทั่วห้องลับ
แต่จะเห็นว่ามีลายโอสถสี่เส้นปรากฏอยู่บนนั้นอย่างชัดเจน ที่แท้ก็คือโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธาที่ปรุงออกมาเมื่อสิบกว่าปีก่อน
หลิ่วหมิงมองดูโอสถเม็ดนี้ด้วยความเจ็บปวดใจ
หากนำโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธาไปประมูลล่ะก็ เกรงว่าคงประมูลได้ราคามหาศาลอย่างคาดไม่ถึง
เพราะโอสถที่ช่วยทะลวงคอขวดระดับผลึกนั้น เป็นสิ่งของที่พบเจอได้ยากจริงๆ หากไม่ใช่ว่าเขาลองใช้โอสถแฝงจิตวิญญาณระดับธรรมดาแล้วไม่ได้ผลล่ะก็ คงไม่ยอมใช้โอสถนี้อย่างเด็ดขาด
แต่เมื่อเทียบกับการฝึกฝนของตัวเองแล้ว โอสถนี้ย่อมไม่อาจเทียบได้ ในเมื่อเขาสามารถปรุงโอสถระดับพสุธาออกมาได้หนึ่งเม็ด เชื่อว่าภายหน้าจะต้องปรุงเม็ดที่สองออกมาได้อย่างแน่นอน
หลังจากหลิ่วหมิงสงบจิตสงบใจแล้ว ก็กลับมามีสีหน้าสงบเช่นเดิม และแหงนหน้ากลืนโอสถลงไป
พอโอสถตกถึงท้องไม่นาน ความรู้สึกเย็นก็แผ่ขยายไปทั่วร่าง ทำให้เขาตัวสั่นระริกอย่างช่วยไม่ได้
หลิ่วหมิงทานโอสถแฝงจิตวิญญาณมาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ จึงไม่รู้สึกแปลกกับความรู้สึกนี้ แต่ก็ไม่กล้าประมาทกับโอสถระดับพสุธาเม็ดนี้ ไม่นานก็สงบจิตได้อย่างรวดเร็ว และเริ่มกระตุ้นพลังเวทขึ้นมา
เขาหยุดทำท่ามือทันที และค่อยๆ นำพลังเวทบริสุทธิ์ออกจากทะเลจิตวิญญาณมาล้อมรอบโอสถแฝงจิตวิญญาณไว้ จากนั้นก็ค่อยๆ ละลายพลังของโอสถออกมา
เวลาสิบวันค่อยๆ ผ่านไป โอสถระดับพสุธาเม็ดนี้ก็ถูกละลายออกมาจนหมด
พลังโอสถเป็นสายๆ ไหลไปทั่วส่วนต่างๆ ของร่าง พลังเวทในทะเลจิตวิญญาณก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ผ่านไปไม่นาน ไอดำก็พวยพุ่งออกจากร่างหลิ่วหมิง และหมุนวนรอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก่อตัวเป็นลูกควันสีดำกลมๆ ขนาดใหญ่ ผ่านไปไม่กี่อึดใจก็ปกคลุมไปทั่วห้องลับ
ขณะนี้หลิ่วหมิงรู้สึกว่า พลังเวทพุ่งพล่านไปมาในเส้นลมปราณต่างๆ อย่างบ้าคลั่ง
เกิดความรู้สึกเจ็บปวดในเส้นลมปราณเป็นระยะๆ แม้เขาจะมีกายเนื้อที่แข็งแกร่ง ก็รู้สึกรับไม่ไหวเล็กน้อย
หลิ่วหมิงได้แต่กัดฟันพยายามปลอบประโลมพลังจิตวิญญาณที่ไม่สงบนี้ และกระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬอย่างเงียบๆ เพื่อรวบรวมพลังเวทที่วุ่นวายเข้าด้วยกัน ขณะเดียวกันก็พยายามดูดซับพลังของโอสถแฝงจิตวิญญาณ
เขาอยู่ในห้องลับนานหนึ่งเดือนกว่า
ในระหว่างเวลานี้ ลูกควันสีดำกลมๆ ที่อยู่นอกร่างกาย ก็ค่อยๆ ลดขนาดลง ตอนนี้ลดลงจนมีขนาดบางแค่ไม่กี่ชุ่น แต่ว่าสีของมันดำมืดมิดกว่าเดิมมาก ราวกับว่าจะกลายเป็นแก่นแท้ขึ้นมาจริงๆ
วันนี้พลันมีเสียงมังกรร้องดังมาจากก้อนลูกควันสีดำ จากนั้นลูกควันกลมๆ ก็หมุนติ้วๆ กลายเป็นเสาควันสีดำขนาดใหญ่ก่อนพุ่งขึ้นฟ้า
หลังจากมีบทเรียนจากปรากฏการปรุงโอสถในครั้งก่อน หลิ่วหมิงได้วางชั้นจำกัดไว้ห้าชั้นทั้งด้านในและด้านนอกแล้ว เสาควันสีดำเพิ่งจะพุ่งขึ้นฟ้า ก็ถูกต้านทานเอาไว้ได้ และไม่มีคลื่นพลังเวทสะเทือนออกไปเลยแม้แต่น้อย
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงกางแขนทั้งสองออกมา เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ! ภายในร่าง ไอดำบนพื้นผิวแยกตัวกลายเป็นเงามังกรพยัคฆ์จำนวนมาก หลังจากหมุนวนกลางอากาศอยู่ครู่หนึ่ง ก็กะพริบหายเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิงอีกครั้ง ทำให้กลิ่นไอของเขาเพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่ง
……
ครึ่งวันต่อมา ประตูใหญ่ของห้องลับภายในโรงเตี๊ยมก็ถูกผลักออก หลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีเขียวก้าวยาวๆ ออกมา ใบหน้าของเขาดูไม่มีอะไรผิดปกติเลยแม้แต่น้อย แต่ในดวงตากลับแฝงไปด้วยความเบิกบานใจ
ต่อให้ไม่ต้องโคจรพลัง เขาก็สามารถรับรู้ได้ถึงพลังเวทบริสุทธิ์ที่ไหลวนอยู่ในร่างได้อย่างชัดเจน
ผลึกหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดในทะเลจิตวิญญาณขยายใหญ่เท่าตัว การฝึกฝนของเขาเข้าสู่ระดับผลึกขึ้นกลางแล้ว
ส่วนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬนั้น เขาก็ฝ่าอุปสรรคมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งอาศัยพลังของโอสถระดับพสุธาฝึกฝนจนถึงขั้นที่สี่แล้ว
คิดไม่ถึงว่าโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธาจะมีผลลัพธ์ในการทะลวงระดับได้อย่างอัศจรรย์เช่นนี้ สิ่งนี้ย่อมทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และรู้สึกเฝ้าปรารถนาโอสถระดับนี้ไม่น้อย
ตอนที่ 671 เปิดโปง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงพักผ่อนอยู่ในที่พักสองวัน จากนั้นถึงออกไปจากที่พักอีกครั้ง
หลังจากผ่านการเก็บตัวฝึกฝนในระยะนี้ นอกจากของเหลวห้าแสงแล้ว วัตถุดิบเสริมอื่นๆ ก็เหลืออยู่ไม่มาก จำต้องหามาเสริมเป็นการเร่งด่วน
ครึ่งชั่วยามต่อมา เมฆดำก้อนหนึ่งก็พุ่งออกไปนอกตลาดเหมียวจง
หลายปีมานี้ หลิ่วหมิงออกไปขายโอสถแฝงจิตวิญญาณอยู่หลายครั้ง แม้ว่าร้านที่ขายจะเป็นร้านเล็กๆ จำนวนหนึ่ง บางครั้งก็ทำการแลกเปลี่ยนกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่มาจากภายนอกโดยตรง ไม่ว่าจะระมัดระวังแค่ไหน แต่พอเวลานานเข้าก็ยังดึงดูดความสนใจของกลุ่มอิทธิพลจำนวนหนึ่งอยู่ดี
ด้วยเหตุนี้ เขาพยายามไม่ปรากฏตัวในสถานที่เดิม ทั้งยังเลือกสถานที่ขายโอสถไกลออกไปเรื่อยๆ
หนึ่งเดือนต่อมา ตลาดเล็กๆ แห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเทือกเขาจูหลงทางด้านตะวันตกไปหลายหมื่นหลายพันลี้ ภายในห้องรับรองบนชั้นสองของร้านค้าที่เต็มไปด้วยสินค้าเบ็ดเตล็ด หลิ่วหมิงที่แปลงโฉมเป็นชายวัยกลางคนหน้าตาป่วยๆ กำลังนั่งอยู่ตรงข้ามผู้อาวุโสหน้าดำเกรียมผู้หนึ่ง
ร้านค้าเบ็ดเตล็ดตรงชั้นหนึ่ง มีคนเข้าๆ ออกๆ คึกคักยิ่งนัก แต่ว่าในห้องรับรองยังคงเงียบสงบ
ผู้อาวุโสยื่นมือรับตลับหยกสี่เหลี่ยมของหลิ่วหมิงมา และเปิดดูอย่างระมัดระวัง
จะเห็นว่าในตลับหยก มีโอสถแวววาววางอยู่หนึ่งเม็ด
พอเห็นเช่นนี้ ผู้อาวุโสหน้าดำเกรียมก็เผยสีหน้าตกใจออกมา และสังเกตดูอย่างละเอียด ผ่านไปสักก็ปิดฝาตลับเสียงดัง “แกร็ก!”
“โอสถแฝงจิตวิญญาณนี้มีคุณสมบัติไม่เลว ข้าเองก็จะไม่พูดอะไรมาก โอสถทั้งสามสิบสองเม็ดนี้ราคาสิบสามล้านหินจิตวิญญาณ”
หลิ่วหมิงได้ยินก็เงียบไปครู่หนึ่ง ที่นำออกมาในครั้งนี้เป็นโอสถระดับกลางทั้งหมด ราคานี้ก็นับว่าสมเหตุสมผล ดังนั้นเขาจึงพยักหน้าตอบรับ
“สหายเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ ” ผู้อาวุโสชุดดำหัวเราะ และรีบหยิบยันต์ย่อส่วนที่เต็มไปด้วยหินจิตวิญญาณยื่นให้หลิ่วหมิง
หลังจากนับดูแล้วไม่มีอะไรผิดพลาด หลิ่วหมิงก็ลุกขึ้นมาประสานมือคารวะก่อนเดินออกไปด้านนอก
“หากสหายยังมีโอสถนี้อีก สามารถพิจารณาขายให้ร้านเราก่อนได้ ราคายังสามารถคุยกันได้” น้ำเสียงเร่าร้อนของผู้อาวุโสดังมาจากทางด้านหลัง
“ข้าจะพิจารณาอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงตอบกลับไปอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็เดินลงบันได และหายไปท่ามกลางฝูงชนในตลาด
หลังจากหลิ่วหมิงจากไปแล้ว สีหน้าเร่าร้อนของผู้อาวุโสหน้าดำ ก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง ริมฝีปากเผยรอยยิ้มอันเยือกเย็น จากนั้นก็นำตลับหยกเดินเข้าไปในร้านอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกัน ไม่รู้ว่าคนชุดดำสองคนโผล่มาจากไหน และตามหลังหลิ่วหมิงไปห่างๆ
และผู้อาวุโสชุดดำก็เดินออกไปทางด้านหลังของร้าน ไม่นานก็มาถึงสิ่งก่อสร้างหินในตลาดที่ดูไม่เตะตามากนัก
“อะไรนะ? เจ้าหาคนลึกลับที่ขายโอสถแฝงจิตวิญญาณเจอแล้วหรือ?” น้ำเสียงแก่หง่อมดังมาจากห้องหลังหนึ่ง
ผู้ที่พูดเป็นชายร่างอ้วนตัวบวมฉุ มีผมยาวบนศีรษะไม่กี่เส้น เขากำลังเอนตัวบนเก้าอี้ขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง ดวงตาปูดโปนคู่หนึ่งเปล่งประกายแสงอันน่ากลัว
ลี่หวงชายชุดคลุมขาวสีฟ้ายืนอยู่ตรงหน้าเขา
ชายร่างอ้วนกำลังถือตลับหยกใบนั้นอยู่ และคีบโอสถแฝงจิตวิญญาณขึ้นมา
“เป็นโอสถที่มีคุณสมบัติสูงจริงๆ ด้วย แม้ว่าจะไม่ใช่โอสถระดับสูง แต่หากผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายได้ทาน ก็ได้รับประโยชน์ไม่น้อย ไม่เสียแรงที่ข้าตามหาอย่างยากลำบากมาหลายปี” ผู้อาวุโสร่างอ้วนหัวเราะอย่างเยือกเย็น
ผู้อาวุโสหน้าดำก้มตัวเดินไปอยู่ด้านข้างอย่างนอบน้อม แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา
“ท่านพ่อ หลายปีก่อนข้าส่งข่าวบอกท่านว่า ดูเหมือนจะมีปรมาจารย์ปรุงโอสถมาปรากฏตัวในตลาดที่อยู่บริเวณพื้นที่แห่งนี้ โอสถเหล่านี้คงจะมาจากคนคนเดียวกัน?”
“มีโอกาสเป็นไปได้แปดส่วน ปรมาจารย์ปรุงโอสถเป็นสิ่งที่พบเจอได้น้อยมาก จะต้องไม่มีคนที่สองอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสร่างอ้วนวางโอสถลงในตลับหยกด้วยความพอใจ
“เช่นนี้ก็หมายความว่าผู้ที่สังหารเฮยอู่ในปีนั้น ก็อาจจะมีความเกี่ยวข้องกับปรมาจารย์ปรุงโอสถผู้นี้” ลี่หวงกล่าวด้วยแววตาเยือกเย็น
ตอนนั้นหลิ่วหมิงซื้อของเหลวห้าแสงในงานประมูลเป็นจำนวนมาก โอสถแฝงจิตวิญญาณที่ปรากฏออกมาในตอนนี้ ก็มีสิ่งนี้เป็นวัตถุดิบหลัก มันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะเชื่อมโยงทั้งสองเข้าด้วยกัน
“ข้าจำได้ว่าเจ้าเคยพูดเรื่องนี้กับข้า ไม่ต้องรีบร้อนไป รอจับคนผู้นั้นมาได้ ทุกอย่างก็จะกระจ่างเอง” ขณะที่พูด ผู้อาวุโสร่างอ้วนก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา
“ส่งคนสะกดรอยไปแล้วใช่ไหม?” ผู้อาวุโสร่างอ้วนยืดเส้นยืดสายแล้วกล่าวออกมา
“ส่งไปแล้วนายท่าน! ให้เฮยจิ่วกับเฮยสือเอ้อร์ไป” ผู้อาวุโสหน้าดำรีบตอบในทันที
“อืม! พวกเขาทั้งสองเชี่ยวชาญวิชาสะกดรอย คนผู้นั้นจะต้องหนีไม่พ้นอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสร่างอ้วนพยักหน้าด้วยความพอใจ พอสะบัดแขนเสื้อแสงสีเขียวก็ม้วนตัวออกมาห่อหุ้มเขากับลี่หวงไว้ และกะพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ขณะเดียวกัน ท่ามกลางเทือกเขาไร้นามที่อยู่ห่างจากตลาดไปหลายร้อยลี้ ชายชุดดำสองคนพุ่งไปมาในป่าราวกับปีศาจ
“น่าชิงชังเสียงจริง คนผู้นั้นหนีไปไหนแล้ว! สือเอ้อร์เจ้ารีบคิดหาวิธีเร็ว!” ชายชุดดำที่ดูล่ำสันกว่ากล่าวด้วยความร้อนใจ
ชายชุดดำอีกคนที่ดูผอมแห้งก็ยืนเงียบๆ อยู่ด้านข้าง ในมือถือแผ่นหยกสีเขียวอยู่ ลวดลายคล้ายกระดองเต่าปรากฏขึ้นบนนั้น คลื่นแสงจางๆ กระเพื่อมออกไปราวกับน้ำ
ทั้งสองคือเฮยจิ่วกับเฮยสือเอ้อร์ที่ตามหลิ่วหมิงมาตั้งแต่ออกจากตลาด และอาศัยวิชาสะกดรอยตามติดอยู่ห่างๆ
แต่กลับไม่ถึงว่าพอหลิ่วหมิงเหาะมาถึงที่นี่ ก็หายไปในพุ่มไม้อย่างไร้ร่องรอย
“ไม่ได้ ตามหาร่องรอยของคนผู้นั้นไม่ได้” เฮยสือเอ้อร์ ชายชุดดำร่างผอมหยุดแสดงวิชา และส่ายหน้าไปมา
“แม้แต่กระจกเต่าก็ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นควรทำอย่างไรดี? ป่าใหญ่ขนาดนี้ หากคนผู้นั้นดำดินหนีไป พวกเราก็ไม่อาจหาเจอได้ ถ้าเขาหนีไปได้จริงๆ นายท่านจะต้องไม่ละเว้นพวกเราเป็นแน่” เฮยจิ่วเผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา
“วิชาดำดินไม่อาจหลบพ้นกระจกเต่าไปได้ คนผู้นั้นจะต้องอยู่บริเวณนี้อย่างแน่นอน” พอเฮยสือเอ้อร์ได้ยิน ก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา
“เจ้าว่าคนที่พวกเราสะกดรอยตามมานั้น ใช่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกหรือไม่? ไม่ใช่ว่ากระจกเต่าของเจ้าสามารถปิดบังพลังจิตของผู้ฝึกฝนระดับผลึกได้หรือ ในเมื่อคนผู้นั้นสามารถค้นพบพวกเราได้ ทั้งยังซ่อนตัวอย่างไร้ร่องรอย เป็นไปได้ไหมว่า……” เฮยจิ่วก้มหน้าเล็กน้อย และกระซิบเบาๆ ด้วยสีหน้าที่ดูไม่ได้เป็นอย่างมาก
“เป็นไปไม่ได้ หากคนผู้นั้นเป็นยอดฝีมือระดับแก่นแท้จริงๆ คงไม่ระแวดระวังถึงเพียงนี้ อีกอย่างเขาสามารถฆ่าพวกเราได้ทุกเมื่อ ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนแต่อย่างใด” สีหน้าเฮยสือเอ้อร์เปลี่ยนไปทันที หลังจากกลืนน้ำลายลงคอแล้ว ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงแข็งทื่อ
“พวกเจ้าทายถูกครึ่งหนึ่ง ผิดครึ่งหนึ่ง ข้าสามารถฆ่าพวกเจ้าได้ทุกเมื่อจริงๆ แต่ข้าอยากรู้ที่มาของพวกเจ้ามากกว่า ถึงรอจนถึงตอนนี้” ขณะนั้นเอง มีน้ำเสียงราบเรียบดังมาจากด้านหลังของทั้งสอง
เฮยสือเอ้อร์รู้สึกตกใจจนขนลุกซู่ เขาหันกลับมาอย่างรวดเร็ว ไม่รู้ว่ามีเงาร่างคนผู้หนึ่งปรากฏออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูจากใบหน้าที่แสงอาทิตย์ส่องผ่านเป็นรำไรแล้ว เขาก็คือคนที่ทั้งสองสะกดรอยตามมานั่นเอง
“เป็นเจ้า…” เฮยจิ่วพุ่งถอยออกไปด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด พอกางแขนทั้งสองออก ไอดำก็ปกคลุมเต็มฟ้า แสงสีดำเข้มข้นปกคลุมชายทั้งสองไว้
มันคือพลัง ‘คุกมืด’ นั่นเอง
หลังจากบรรลุเข้าสู่ระดับผลึกขั้นกลาง อานุภาพของเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่หลิ่วหมิงแสดงออกมาย่อมก้าวหน้าเป็นอย่างมาก
เฮยจิ่วกับเฮยสือเอ้อร์รู้สึกแค่ว่าภาพตรงหน้าเป็นสีดำ จากนั้นก็ถูกลากเข้าไปในพื้นที่มืดมิด สิ่งที่ปรากฏแก่สายตามีแค่ไอหมอกสีดำที่พวยพุ่งเท่านั้น สหายที่อยู่ข้างกายเมื่อครู่ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แม้แต่จิตรับรู้ก็ไม่อาจตรวจสอบได้
เฮยจิ่วเผยสีหน้าเฉียบขาดออกมา แสงสีดำเปล่งประกายในมือ ทันใดนั้น ดาบยาวสีดำเล่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา
ไอดำตรงหน้าพวยพุ่งอยู่พักหนึ่ง จากนั้นเงาร่างราวกับปีศาจก็แยกเขี้ยวยิงฟันกระโจนเข้ามาตรงหน้าเฮยจิ่ว
เฮยจิ่วส่งเสียงคำรามยาวออกมา พอขยับแขน แสงดาบสีดำก็ฟันออกไป และฟันปีศาจทั้งสองตัวจนกลายเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย จากนั้นมันก็สลายตัวกลายเป็นไอดำ
เขาเห็นเช่นนี้ก็รีบตั้งสติแล้วตะโกนออกมา
“สือเอ้อร์ ไม่ต้องตื่นตระหนก สถานที่แห่งนี้เป็นแค่แดนมายาเท่านั้น แม้ว่าจะสามารถปิดกั้นจิตรับรู้ได้ แต่กลับมีพลังสังหารไม่มาก”
“แม้จะพูดเช่นนั้น แต่ดูเหมือนว่ามันจะมีผลกระทบต่อจิตรับรู้เป็นอย่างมาก…” ที่จริงเฮยสือเอ้อร์อยู่ห่างจากเฮยจิ่วไม่มากนัก ไม่รู้ว่ามีกระบี่ยาวสีเงินในมือตั้งแต่เมื่อไหร่ หลังจากตวัดไปมา ก็สังหารเงาปีศาจที่กระโจนเข้ามาได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็รีบตอบกลับไป
“แย่แล้ว! สือเอ้อร์ระวัง!” เฮยสือเอ้อร์ยังไม่พูดไม่ทันจบ ก็ถูกน้ำเสียงตื่นตระหนกของเฮยจิ่วขัดขวางไว้
จะบอกว่าช้าแต่ความจริงกลับไวมาก แสงสีทองจางๆ มาปรากฏด้านหลังเฮยสือเอ้อร์อย่างไร้สุ้มเสียง กว่าเขาจะรู้ตัวมันก็สายไปเสียแล้ว
“ฟิ้ว!” เกิดเสียงดังขึ้นเบาๆ จนแทบจะไม่ได้ยิน!
แสงสีทองกลายเป็นแสงเย็นสะท้าน มันแค่หมุนวนรอบคอเฮยสือเอ้อร์หนึ่งรอบอย่างไร้สุ้มเสียง ศีรษะของเขาก็กลิ้งลงมา ร่างไร้ศีรษะล้มลงไปทื่อๆ…
เมื่อแสงสีดำสลายไปอีกครั้ง เฮยจิ่วก็กำดาบไว้แน่น แต่กลับยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นบนหน้าผาก
ห่างจากระหว่างคิ้วของเขาไปครึ่งชุ่น กระบี่เล็กสีทองพร่ามัวกำลังลอยอยู่ตรงนั้น ปลายกระบี่ที่ดูแหลมคมเป็นอย่างมากสั่นสะท้านเบาๆ ราวกับว่าจะพุ่งยิงออกไปได้ตลอดเวลา
“บอกมาเถอะ พวกเจ้าเป็นใครกัน นายท่านที่พูดถึงคือใคร?” ห่างจากเฮยจิ่วไปมาไม่ไกล ชายวัยกลางคนที่มีสีหน้าป่วยๆ กำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่ และถามออกมาอย่างราบเรียบ
แม้ว่าเฮยจิ่วจะรู้สึกหวาดกลัวอย่างถึงขีดสุด แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็เผยสีหน้าลังเลอย่างอดไม่ได้
ขณะนั้นเอง ก็มีน้ำเสียงเยือกเย็นดังมาจากบนท้องฟ้า
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าอยากรู้เรื่องอะไรไม่สู้ถามข้าโดยตรงจะดีกว่าไหม?”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง แสงสีเขียวลำหนึ่งก็พุ่งเข้ามาราวกับฝนดาวตก หลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ก็ร่วงลงพื้นบริเวณนั้น
พอแสงสีเขียวดับลง ก็เผยให้เห็นร่างลี่หวงกับผู้อาวุโสร่างอ้วน
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูลี่หวงทีหนึ่ง จากนั้นก็ละสายตาไปทางผู้อาวุโสร่างอ้วน และหรี่ตาทั้งคู่ลงทันที
“ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้!”
ตอนที่ 672 ต่อสู้กับระดับแก่นแท้
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว แต่กลับกระตุ้นเคล็ดวิชาอย่างไม่ลังเล กระบี่เล็กสีทองกะพริบหายเข้าในระหว่างคิ้วของเฮยจิ่ว
เฮยจิ่วส่งเสียงร้องออกมา ร่างกายอ่อนยวบยาบก่อนล้มลงไป แม้แต่วิญญาณที่ซ่อนอยู่ในศีรษะก็ถูกเงากระบี่บินทำลายจนหมดสิ้น
พอเงากระบี่เปล่งประกาย กระบี่เล็กสีทองก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงอย่างน่าประหลาดใจ และส่งเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ไม่หยุด
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าช่างใจกล้าไม่เบา บังอาจฆ่าคนต่อหน้าข้า หากไม่อยากตายอยู่ที่นี่อย่างอนาถล่ะก็ จงสะกดพลังเวทของตนเองเสียโดยดี โอสถแฝงจิตวิญญาณที่ถูกปล่อยตามตลาดต่างๆ ในช่วงนี้ คงมาจากเจ้าสินะ ยอมรับการสะกดแต่โดยดี ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้นในเมื่อครู่” ผู้อาวุโสร่างอ้วนเห็นฉากเช่นนี้ ก็มีแววตาเยือกเย็นขึ้นมาทันที และไม่ลงมือในฉับพลัน แต่กลับค่อยๆ กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงนิ่งเงียบไร้ซึ่งสุ้มเสียง แต่ในใจกลับครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
คนเหล่านี้มาเพราะโอสถแฝงจิตวิญญาณจริงๆ ด้วย และชายหนุ่มชุดฟ้าที่อยู่ด้านข้างผู้อาวุโสร่างอ้วนเขาก็พอจะจำได้อยู่บ้าง ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เขาคงจะถูกจับตามองตั้งนานแล้ว
แต่เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวผู้อาวุโสร่างอ้วนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย
ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับระดับแก่นแท้ ต่อให้จะไม่สามารถรับมือได้ ก็ยังถอยไปได้อย่างปลอดภัย อีกอย่างพลังของระดับแก่นแท้แบ่งออกเป็นสามขั้น หกขั้น และเก้าขั้น พลังกดดันที่ผู้อาวุโสร่างอ้วนตรงหน้ามอบให้เขา เทียบกับผู้อาวุโสในนิกายยอดบริสุทธิ์ไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว
ขณะเดียวกัน ลี่หวงชายหนุ่มชุดฟ้ากลับจ้องมองรอยขาดบนร่างไร้ศีรษะของเฮยสือเอ้อร์ที่อยู่ไม่ไกล และกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าอึมครึม
“รอยแผลแบบนี้ ดูท่าคนที่ฆ่าเฮยอู่ในปีนั้นคงจะเป็นเจ้าแล้ว”
เห็นได้ชัดว่าหลิ่วหมิงไม่คิดจะตอบคำถามของเขา แต่กลับขยับปากเบาๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกระบี่เล็กสีทองตรงหน้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา เงากระบี่สีทองขาดๆ หายๆ ก็มาปรากฏตัวอยู่ห่างจากลี่หวงไปสามจั้ง พอแสงสีทองเปล่งประกาย มันก็กลายเป็นกระบี่ยักษ์สีทองที่ยาวหนึ่งจั้งกว่าๆ และกะจะฟันให้กลายเป็นสองส่วนในทีเดียว
ในเมื่อหลบศึกในครั้งนี้ไม่พ้น หลิ่วหมิงก็ชิงลงมือก่อนอย่างเหี้ยมหาญ!
ลี่หวงกลับคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะกล้าลงมือเช่นนี้ ทั้งยังกะจะลงมือให้สำเร็จในทีเดียวด้วย เขาคิดจะแสดงวิชาออกมาต้านและหลบหลีก แต่ก็ไม่ทันการแล้ว
“เจ้าเด็กน้อย รนหาที่ตายหรือ!”
พอเห็นว่าลี่หวงไม่สามารถหลบหลีกได้ ผู้อาวุโสร่างอ้วนก็เผยแววตาโหดร้ายออกมา นิ้วทั้งสิบดีดออกไปในทันที แสงเย็นสะท้านอันแหลมคนสิบลำพุ่งออกไปราวกับสายฟ้าแลบ แสงห้าลำในนั้นโจมตีลงบนกระบี่ยักษ์สีทองที่ฟันลงมาพอดี และอีกห้าลำก็พุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิง
เกิดเสียงดังตู๊ม!
แสงสีทองกับสีขาวปะทะเข้าด้วยกัน กระบี่ยักษ์สีทองสั่นสะท้านและกระเด็นกลับไป พริบตาเดียวก็ลดขนาดลงเหลือแค่สองฉื่อ
อีกด้านหนึ่ง หลิ่วหมิงแค่ขยับตัว ก็มีเงาร่างพร่ามัวเคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด แสงเย็นสะท้านอีกห้าลำทะลุผ่านไปโดยไม่มีสิ่งใดมาต้านทานไว้ ซึ่งล้วนพุ่งเข้าใส่แต่ความว่างเปล่า
จากนั้นพอหลิ่วหมิงกระทืบเท้าอย่างรุนแรง ก็กลายเป็นเงาร่างสามเงาพุ่งเข้าหาผู้อาวุโสร่างอ้วนพร้อมกัน
ในระหว่างสิบปีมานี้ นอกจากหลิ่วหมิงจะลำบากฝึกฝนปรุงโอสถแล้ว เขาก็ใช้เวลาไม่น้อยในการฝึกในเคล็ดวิชาต่างๆ ซึ่งวิชาเงาร่างสามส่วนของเขาในตอนนี้ สามารถแบ่งเงาร่างออกมาได้สองเงาแล้ว
“ฟู่!”
เงาร่างหนึ่งในนั้นถูกผู้อาวุโสปล่อยแสงเย็นสะท้านโจมตีจนระเบิดตัวกลายเป็นกลุ่มแสงสีดำในระหว่างทาง
เงาร่างอีกสองเงาที่เหลือกลับยังคงพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโส
“ฮึ! กะอีแค่วิชาเงาร่างลวงตา ก็กล้านำออกมาขายหน้าตัวเองได้”
พอผู้อาวุโสร่างอ้วนเห็นว่าการโจมตีของตนเองไม่ได้ผล ก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา หลังจากแสงสีทองเปล่งประกายในดวงตา เขาก็มองเห็นตำแหน่งร่างที่แท้จริงของหลิ่วหมิงในพริบตา พอยกแขนเสื้อขึ้น แสงสีเขียวเข้มลำหนึ่งก็พุ่งออกมา และกลายเป็นตาข่ายสีเขียวผืนหนึ่งคลุมไปยังเงาร่างทั้งสอง
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ร่างจริงของเขาขยับตัวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏอยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดจั้งราวกับปีศาจ และเงาร่างอีกเงาก็ถูกตาข่ายสีเขียวคลุมไว้ หลังจากถูกรัดแน่น มันก็ระเบิดตัวเป็นจุดแสงสีดำ
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กระบี่สีทองที่ยังหยุดนิ่งอยู่ไกลๆ ก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที ไหมสีทองเล็กละเอียดจำนวนมากพุ่งยิงออกมา ซึ่งล้วนพุ่งไปทางลี่หวงทั้งหมด
“เจ้ายังไม่ถอยออกไปอีก!” ผู้อาวุโสร่างอ้วนเห็นเช่นนี้ ก็เข้าใจจุดประสงค์ของหลิ่วหมิงในพริบตา ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนใส่ลี่หวง ขณะเดียวกันก็หยิบไม้เท้าที่ดูเหมือนจะเป็นไม้โบราณออกมา หลังจากโยนออกไปด้านหน้า มันก็จมหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ครู่ต่อมา จะเห็นว่ามีดอกบัวสีเขียวแต่ละดอกปรากฏตัวตรงหน้าลี่หวง และค่อยๆ บานออกมา
“ตู๊ม!”
ไหมทองคำประสานเข้ากับแสงสีเขียว ดอกบัวสีเขียวที่อยู่ตรงหน้าสุดถูกโจมตีจนเกิดเป็นรอยจำนวนมาก และสลายตัวเป็นไอหมอกสีเขียวขนาดใหญ่ แต่ไหมกระบี่สีทองที่ดูแหลมคมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ล้วนถูกต้านท้านไว้ทั้งหมด
หลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดกระบี่โดยพูดพร่ำทำเพลง
พอแสงสีทองเปล่งประกายบนอากาศทางด้านนั้น กระบี่บินก็เปล่งประกายออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นไหมทองคำจำนวนมาก และกำลังจะพุ่งยิงออกไปอีกครั้ง
ผู้อาวุโสร่างอ้วนทำเสียงฮึดฮัด มือของเขาทำท่ามืออย่างรวดเร็ว และร่ายคาถาออกมา
มีคลื่นก่อตัวบนอากาศ จากนั้นเงาไม้เท้าก็ปรากฏออกมาอย่างแจ่มชัด และพุ่งเข้าใส่ไหมทองคำราวกับอสรพิษ ทั้งยังโจมตีร่างจริงของกระบี่ที่ซ่อนอยู่ในนั้นได้อย่างแม่นยำ
“ตู๊ม!” ไหมทองคำที่ปกคลุมเต็มฟ้ากระจายออกมา กระบี่บินสีทองถูกโจมตีจนกระเด็นกลับมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันคลื่นอากาศก็ม้วนตัวออกไปทั่วทิศ
การแลกมือในครั้งนี้รวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในพริบตา
ลี่หวงรู้สึกหวาดกลัวพลังอันน่าตกใจของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้นเป็นอย่างมาก หลังจากเขาเผยแววตาซับซ้อนที่มีทั้งความอิจฉาและหวาดกลัวออกมาแล้ว ก็ตัดสินใจกระตุ้นวิชาทะยานขึ้นฟ้าทันที
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าผิดหวังออกมาเล็กน้อย
ก่อนหน้านั้นเขาคิดที่จะโจมตีลี่หวง เพื่อดึงความใจของผู้อาวุโสร่างอ้วน
แต่ในเมื่อวิธีการนี้ถูกมองออกแล้ว ต่อไปคงต้องอาศัยความสามารถของตนเองในการต่อสู้แล้ว
พอผู้อาวุโสร่างอ้วนเห็นว่าลี่หวงไปแล้ว ความกังวลของเขาก็หมดไป หลังจากเผยสีหน้าดุร้ายออกมา เขาก็คว้ามือผ่านอากาศไปทางหลิ่วหมิงทันที
“ฟู่!”
อากาศเหนือตัวหลิ่วหมิงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มือยักษ์สีเขียวที่มีขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ ปรากฏออกมา พอนิ้วทั้งห้ากางออก มันก็กดทับลงราวกับเป็นภูเขาลูกเล็กๆ
มือยักษ์ลงมายังไม่ทันถึง พลังไร้รูปบางอย่างก็ทะลักลงมาก่อน
หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่าหายใจลำบาก อากาศรอบด้านถูกขับไล่ออกไปจนหมด จากนั้นพื้นที่ว่างบริเวณนั้นก็แข็งราวกับเหล็ก
หากเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนอื่นๆ เผชิญกับการถูกโจมตีเช่นนี้ เกรงว่าคงถูกพลังมหาศาลนี้กดทับลงพื้นภายในพริบตาโดยที่ไม่อาจกระดิกตัวได้เลยแม้แต่น้อย
เพราะพลังเวทของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางแตกต่างกันมาก จนสามารถพูดได้ว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดินได้ และเคล็ดวิชาที่อาศัยพลังเวทในการจับกุมอย่างสมบูรณ์นี้ เป็นวิธีการที่ผู้แข็งแกร่งใช้กับผู้อ่อนแอได้ผลที่สุด
เมื่อผู้ที่มีพลังเวทต่ำเผชิญกับการโจมตีระดับนี้ ต่อให้จะมีเคล็ดวิชาและของล้ำค่าจำนวนมาก ก็คงได้แต่รอความตายเท่านั้น
แต่หลิ่วหมิงไม่ใช่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั่วไป ไม่ต้องพูดถึงพลังเวทที่ถูกฟองอากาศลึกลับกลั่นมาหลายรอบจนความบริสุทธิ์ของมันเหนือความคาดหมายของคนทั่วไปแล้ว ลำพังแค่ผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดในทะเลจิตวิญญาณ ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขาหลังจากเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว
หลิ่วหมิงในตอนนี้ พลังเวทในร่างอาจจะไม่สามารถเทียบกับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ได้ แต่ก็ไม่ด้อยไปกว่าระดับแก่นเสมือนโดยทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นกายเนื้อของเขาก็แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
ขณะนี้ หลิ่วหมิงมองดูมือยักษ์สีเขียวที่กำลังร่วงลงมากลางอากาศ หลังจากมีแสงแวววาวหมุนวนในดวงตา เขาก็ส่งเสียงคำรามออกมา ภายใต้การเคลื่อนไหวของแขนทั้งสอง กำปั้นสองลูกก็ทุบขึ้นไปด้านบนโดยไม่สนใจพลังมหาศาลที่กดดันอยู่รอบด้านเลย
“ฟู่!” “ฟู่!”
ไอดำบนตัวหมิงม้วนตัวออกมา และมังกรหมอกดำสองตัวที่ยาวเจ็ดแปดจั้ง ก็พุ่งออกมาตามกำปั้น และแยกเขี้ยวยิงฟันโจมตีลงบนฝ่ามือยักษ์อย่างโหดเหี้ยม
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
มือยักษ์เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งสองสามที จากนั้นก็พังทลายลงมาท่ามกลางการม้วนตัวของไอดำ คลื่นอากาศอันน่าตกใจม้วนตัวออกไปทั่วทิศอย่างบ้าคลั่ง
หลิ่วหมิงที่โจมตีออกไปสองกำปั้น ก็ขยับตัวสองสามที จากนั้นก็มีเสียงดัง “ตู๊ม!” บริเวณที่เขาเคยยืนในเมื่อครู่ ทั้งยังปรากฏหลุมกลมๆ ขึ้นมาหนึ่งหลุม พื้นดินบริเวณนั้นเกิดเป็นรอยร้าวจำนวนมาก
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปมาอยู่สองรอบ จากนั้นถึงฟื้นฟูกลับมาสู่สภาพเดิม ขณะนี้เขาถึงค่อยๆ วางแขนทั้งสองลง และพูดด้วยท่าทีแปลกๆ
“นี่คือพลังของระดับแก่นแท้หรือ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ข้าคิดไว้ ดูท่าแก่นแท้ของท่านคงอาศัยพลังภายนอกสร้างขึ้นมา มิเช่นคงไม่ได้มีพลังแค่นี้”
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าพูดอะไร หรือว่าอยากรนหาที่ตายจริงๆหรือ! ดีมาก! ข้าจะทำให้เจ้ารู้เดี๋ยวนี้ว่าอะไรคือฝีมือของแก่นแท้” พอผู้อาวุโสร่างอ้วนเห็นหลิ่วหมิงรับการโจมตีด้วยพลังเวทกว่าครึ่งหนึ่งของตนเองไว้ได้ ทั้งยังดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอะไรด้วย เขาก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่พอได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที
ประจักษ์ชัดว่าคำพูดของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้น สะกิดโดนแผลที่เจ็บที่สุดในใจของเขา
ครู่ต่อมา พอผู้อาวุโสร่างอ้วนคว้ามือข้างหนึ่งออกไป ก็มีคลื่นสั่นสะเทือนบนอากาศตรงหน้า ไม้เท้าในก่อนหน้านั้นกะพริบออกมา มืออีกข้างก็พลิกขึ้นมา จากนั้นเปลวไฟสีเขียวเข้มก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือ
พอสะบัดข้อมือ เปลวไฟสีเขียวก็กลายเป็นแสงแวววาวพุ่งออกมา และกะพริบหายไปในไม้เท้า ทำให้ไม้เท้าเปล่งแสงออกมา อักขระสีเงินจางๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นผิว
ผู้อาวุโสร่างอ้วนส่งเสียงคำรามเบาๆ มือข้างหนึ่งทำท่ามืออย่างรวดเร็ว และชี้ไปทางหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ
ไม้เท้าหมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศ และขยายใหญ่จนกลายเป็นอสรพิษสีเขียวเหลืองตัวหนึ่งที่ยาวสามสิบกว่าจั้ง และสะบัดหางพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงราวกับมังกรพุ่งขึ้นจากน้ำ
อสรพิษยักษ์ยังกระโจนเข้ามาไม่ทันถึง พายุร้อนที่ส่งกลิ่นเหม็นก็พุ่งเข้ามาก่อน ราวกับว่ามันไม่ได้เกิดจากพลังเวท แต่เป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที ร่างของเขาพุ่งถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ทรายทองคำร่วงพุ่งออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นม่านทรายสีทองต้านทานอยู่ตรงหน้า
อสรพิษยักษ์อ้าปากพ่นของเหลวพิษสีน้ำตาลเหลืองออกมาจำนวนมาก
ตอนที่ 673 กดดันระดับแก่นแท้
โดย
Ink Stone_Fantasy
ของเหลวพิษสีน้ำตาลเหลืองร่วงลงบนม่านทรายสีทองในทันที และเกิดเสียงดัง “ซู่ๆ!” จากนั้นกลิ่นเน่าเปื่อยก็โชยออกมา
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที ม่านทรายที่เปลี่ยนแปลงมาจากทรายทองคำร่วงถูกของเหลวพิษกัดกร่อนจนเกิดเป็นรูขนาดใหญ่ อาวุธจิตวิญญาณที่ติดตัวเขามาตั้งแต่ระดับของเหลวจนถึงตอนนี้ ไม่เคยมีสิ่งใดทำลายได้มาก่อน วันนี้กลับได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก
เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็กัดฟันตะโกนออกมาอย่างเยือกเย็น
“ระเบิด!”
จะเห็นว่าแสงสีทองไหลวนอยู่บนผิวม่านทรายสีทอง พริบตาเดียวก็กลายเป็นก้อนทรายกลมๆ ขนาดเท่ากำปั้น และระเบิดออกมาเสียงดัง “ตู๊ม!”
แสงสีทองเจิดจ้าเปล่งประกายออกมาในทันที และพุ่งออกไปรอบทิศ
อสรพิษปีศาจถูกแสงสีทองนับไม่ถ้วนยิงเข้าใส่จนเกิดเสียงดังเต๊งๆ! อยู่ครู่หนึ่ง แม้ว่าจะถูกแทงจนทะลุ แต่แรงระเบิดของอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดยังคงทำให้มันกระเด็นออกไปไกลๆ
ผู้อาวุโสร่างอ้วนเห็นเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะใช้วิธีการเช่นนี้ พริบตาเดียวอานุภาพของแสงกระบี่เล็กๆ ที่เหลือก็พุ่งมาตรงหน้า
แต่ว่าผู้อาวุโสร่างอ้วนเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ เมื่อเผชิญหน้ากับอันตรายเช่นนี้ ย่อมไม่รู้สึกลนลานแต่อย่างใด เพียงแค่ลูบฝ่ามือข้างหนึ่งไปด้านหน้า เปลวไฟสีเขียวก็ลุกพรึ่บขึ้นมา พริบตาเดียวก็ก่อตัวเป็นกำแพงอัคคีสีเขียวขวางอยู่ตรงหน้า
“ฟู่ๆ!” “ฟู่ๆ!” เกิดเสียงดังขึ้นติดต่อกัน แต่แสงสีทองกลับกระตุ้นให้กำแพงอัคคีพวยพุ่งรุนแรงกว่าเดิม ซึ่งไม่อาจทำอะไรมันได้เลยแม้แต่น้อย
แต่ขณะนั้นเอง มีคลื่นก่อตัวขึ้นบนอากาศเหนือตัวผู้อาวุโส กระบี่บินสีทองอร่ามปรากฏออกมา หลังจากหมุนตัวติ้วๆ แล้ว แสงกระบี่สีทองก็ม้วนตัวลงมาอย่างบ้าคลั่ง
ผู้อาวุโสร่างอ้วนเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา พออ้าปาก ธงสามเหลี่ยมเล็กๆ ก็พุ่งออกมา จากนั้นก็ทำท่ามือปล่อยหมอกสีเขียวขุ่นมัวขนาดใหญ่ออกไปรับมือกับกระบี่บินสีทอง
ไอหมอกเหล่านี้ดูเหมือนจะเบาบาง แต่พอปราณกระบี่ตกลงในนั้น หมอกเขียวก็พันกันเป็นชั้นๆ ราวกับหนอนแมลงวันในกระดูกข้อเท้า พริบตาเดียวก็รับปราณกระบี่ทั้งหมดไว้ได้
แม้ว่าธงสามเหลี่ยมเล็กๆ นี้จะไม่ใช่ต้นแบบอาวุธเวท แต่ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีสามสิบห้าชั้นจำกัด หลังจากผ่านการปรับแต่งมาหลายปี มันก็ร่วมมือกับเขาได้อย่างไร้ที่ติ อานุภาพก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าต้นแบบอาวุธเวทเลย
หลิ่วหมิงที่อยู่ไม่ไกลเห็นฉากเช่นนี้ ก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อย จากนั้นก็ชี้มือข้างหนึ่งไปทางผู้อาวุโสร่างอ้วน
“ฟู่!” เกิดเสียงดังขึ้นเบาๆ จนแทบจะไม่ได้ยิน กระบี่บินสีทองพร่ามัวหายไป
ครู่ต่อมา ภายใต้การเปล่งประกายของเงากระบี่จางๆ มันก็มาปรากฏตัวด้านหลังผู้อาวุโสร่างอ้วนอย่างไร้สุ้มเสียง และกลายเป็นกระบี่บินสีทองทิ่มแทงออกไป
กระบี่บินกลางอากาศแปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้ผู้อาวุโสร่างอ้วนรู้สึกตกใจจนไม่ทันได้นำอาวุธจิตวิญญาณอื่นๆ ออกมาป้องกัน ทำได้แค่ส่งเสียงฮึดฮัดออกมาทีหนึ่ง จากนั้นแสงสีเขียวก็เปล่งประกายด้านหลัง และก่อตัวเป็นโล่แสงสีเขียวอันหนึ่ง
“ฟิ้ว!” กระบี่บินกลางอากาศแทงลงบนโล่แสง
ขณะนี้ กระบี่บินพลังจิตวิญญาณได้แสดงอานุภาพออกมาจนหมดแล้ว
โล่แสงที่ดูหนาแน่นเป็นอย่างมาก ถูกทิ่มแทงจนแตกกระจาย อานุภาพที่เหลืออยู่ยังกรีดปราณแกร่งคุ้มร่างของผู้อาวุโสร่างอ้วนจนขาด ทิ้งบาดแผลจางๆ ไว้บนหลัง
เกือบจะในเวลาเดียวกัน หลิ่วหมิงก็บิดตัวพุ่งเข้าหาผู้อาวุโสด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ ขณะที่เข้ามายังไม่ถึง เขาก็เอามือทั้งสองถูกัน จากนั้นสายฟ้าสีเงินสองสายก็พุ่งยิงออกมา
ผู้อาวุโสร่างอ้วนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ เมื่อครู่ไม่ทันระมัดระวังจึงถูกผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางโจมตี ทันใดนั้นเขาก็เผยสีหน้าโมโหอย่างสุดขีด และกัดปลายลิ้นอย่างรุนแรง จากนั้นก็พ่นโลหิตบริสุทธิ์ใส่ธงสามเหลี่ยมตรงหน้า
แสงสีเขียวเปล่งประกายบนธงสามเหลี่ยมทันที ใบหน้าปีศาจขนาดใหญ่ลอยออกจากผิวธงภายในพริบตา พอมันอ้าปาก ปราณหยินสีเขียวเข้มก็พุ่งออกมารับแสงสายฟ้าไว้
แต่ทว่าพอไอหมอกสีเขียวสัมผัสกับแสงสายฟ้า มันก็สลายไปอย่างไรร้องรอยราวกับพบเจอกับดาวมฤตยู
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก เขารีบส่งพลังเวทไปที่มือทั้งสองอย่างบ้าคลั่ง ลูกสายฟ้าสีเงินปรากฏขึ้นบนมือพร้อมกับเสียงที่ดังเปรี๊ยะๆ!
มือทั้งสองของเขาแยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางการรายล้อมของสายฟ้าสีเงิน มันก็ขยายใหญ่เป็นตาข่ายสายฟ้าก่อนพุ่งใส่ธงสามเหลี่ยม
พอหน้าปีศาจยักษ์ปะทะกับตาข่ายสายฟ้าสีเงิน ก็ส่งเสียงแหลมเศร้ากำสรดออกมา และหดตัวเป็นก้อนท่ามกลางควันดำอันพวยพุ่ง
เมื่อหลิ่วหมิงตะโกนคำว่า “ระเบิด!” ตาข่ายสายฟ้าสีเงินก็ระเบิดออกมา และกลายเป็นไหมสายฟ้าสีเงินจำนวนมาก
ใบหน้าปีศาจส่งเสียงร้องโหยหวน และระเบิดตัวท่ามกลางแสงสายฟ้าก่อนสลายไปอย่างไร้ร่องรอย
ธงเล็กสามเหลี่ยมก็ส่งเสียงดังฟู่! และมีรอยแตกร้าวปรากฏบนพื้นผิว แสงสายฟ้าโจมตีทะลุออกมาในพริบตา และพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสร่างอ้วน
ผู้อาวุโสทำเสียงฮึดฮัด จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวพุ่งออกไปด้านหลังจนหลบสายฟ้าตรงหน้าไปได้
ขณะนั้นเอง เกิดเสียงดังสนั่นเหนือศีรษะของเขา แสงกระบี่สีทองสายหนึ่งที่ยาวหลายจั้งม้วนตัวเข้ามาอีกครั้ง
ผู้อาวุโสสะบัดแขนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กรงเล็บแสงสีเขียวแวววาวพุ่งออกไป
“เกร๊ง!” หลังเกิดเสียงโลหะกระทบกันแล้ว แสงกระบี่ก็หยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็ฟันกรงเล็บแสงทั้งห้าจนแตกสลาย
แต่ขณะนั้นเอง พอผู้อาวุโสโบกมือข้างหนึ่ง แสงสีเหลืองก็กะพริบมาถึง หลังจากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นไม้เท้าอันนั้น
“ตู๊ม!”
แสงกระบี่สีทองปะทะกับไม้เท้าอย่างรุนแรง แสงกระบี่กลางอากาศ และแสงสีเหลืองกระเด็นไปทั่วทิศ ชั่วขณะนั้นต่างฝ่ายต่างก็ไม่ยอมอ่อนข้อให้แก่กัน
ขณะเดียวกัน พอมีเงาร่างสีดำเคลื่อนไหว หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวด้านหลังผู้อาวุโสร่างอ้วนราวกับปีศาจ ไอดำพวยพุ่งออกจากตัว และรวมตัวเป็นมังกรดำสี่ตัวกับพยัคฆ์ดำสี่ตัว จากนั้นพอแขนทั้งสองพร่ามัว เงากำปั้นสีดำจำนวนมากก็โจมตีออกไปจนกลายเป็นสายฝนกระหน่ำ และปกคลุมร่างของผู้อาวุโสร่างอ้วนไว้
ครั้งนี้ผู้อาวุโสร่างอ้วนมีสีหน้าเปลี่ยนไปจริงๆ แล้ว เขานำโล่กับดาบที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดออกมาอย่างรีบร้อน จากนั้นทั้งสองก็กลายเป็นแสงสีดำและสีเขียวพยายามต้านทานไว้อย่างสุดชีวิต แต่ก็ถูกเงากำปั้นอันหนาแน่นปกคลุมไว้โดยสมบูรณ์ จึงได้แต่ต้านทานด้วยความยากลำบาก และไม่มีแรงโจมตีกลับเลยแม้แต่น้อย
และกำปั้นหนาแน่นที่พุ่งมาจากรอบด้านก็หนักขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้อาวุโสร่างอ้วนรู้สึกปวดเมื่อยแขนทั้งสองเป็นอย่างมาก
ภายใต้ความตกใจระคนโมโห พอกัดฟัน แสงสีเขียวก็เปล่งประกายรอบตัว ร่างของเขาพร่ามัวกลายเป็นเงาร่างเจ็ดแปดเงา และพุ่งออกไปรอบทิศทาง
เงาร่างส่วนใหญ่ถูกเงากำปั้นโจมตีจนแตกสลายไปในพริบตา มีเพียงเงาร่างเดียวที่พุ่งออกมาได้
พอแสงสีเขียวเปล่งประกาย เงาร่างนี้ก็พุ่งออกไปสิบกว่าจั้งก่อนกลายเป็นผู้อาวุโสร่างอ้วน
แต่ขณะนี้ เขาไม่มีราศีของยอดฝีมือระดับแก่นแท้แล้ว ไม่เพียงแต่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง และเต็มไปด้วยคราบเลือด บนตัวยังมีรอยดำรอยแดงเป็นจ้ำๆ ได้แต่อาศัยอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดในมือป้องกันตัวไว้เท่านั้น
“เป็นไปไม่ได้ ก็แค่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางคนหนึ่ง ทำไมถึงมีพลังร้ายกาจเช่นนี้?” ผู้อาวุโสร่างอ้วนทั้งตกใจและหวาดกลัว สีหน้าของเขาดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
แต่พอกำปั้นที่อยู่ไม่ไกลสลายไป หลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวท่ามกลางไอดำ หลังจากจ้องมองผู้อาวุโสด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึกแล้ว ก็อ้าแขนทั้งสองออก ทันใดนั้น ไอดำก็พวยพุ่งเข้ามาอีกครั้ง
แสงสีเขียวเปล่งประกายบนตัวผู้อาวุโสร่างอ้วน คิ้วทั้งคู่ตรงดิ่งขึ้นมา หลังจากเก็บดาบกับโล่ในมือเข้าไปแล้ว ก็ฉีกเสื้อผ้าส่วนบนจนเกิดเสียงดัง “แคว๊ก!” เผยให้เห็นรอยสักสีสันสวยงามที่ปกคลุมผิวหนังเกือบทุกชุ่น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ค่อยๆ หดรูม่านตาลง แต่กลับกระตุ้นพลังเวทในร่างทันที หลังจากไอดำที่พุ่งออกมาม้วนตัวหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นมังกรหมอกสี่ตัวพุ่งออกไป
ผู้อาวุโสร่างอ้วนหัวเราะอย่างน่าเกลียด พอทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง รอยสักบนผิวก็เปล่งแสงออกมา เงาพร่ามัวของอสูรประหลาดสี่ตัวพุ่งออกจากตัว และพุ่งไปต่อสู้กับมังกรหมอกทั้งสี่ตัวอย่างเอาเป็นเอาตาย
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง และตะโกนคำว่า “ระเบิด!” ออกมา
“ตู๊ม!” “ตู๊ม!”
ดาบ ค้อน ธง และอาวุธจิตวิญญาณอื่นๆจำนวนสิบกว่าชิ้นพุ่งออกจากร่างมังกรหมอกทั้งสี่ และระเบิดออกมาพร้อมกัน
อาวุธจิตวิญญาณจำนวนมากระเบิดตัวเป็นกลุ่มแสงขนาดใหญ่ พริบตาเดียวก็ม้วนเอามังกรหมอกทั้งสี่กับอสูรประหลาดไว้ในนั้น และฉีกเป็นชิ้นๆ
“ไม่!”
หลังจากผู้อาวุโสร่างอ้วนตะโกนออกมาแล้ว ก็กระอักเลือดด้วยใบหน้าซีดขาว
ประจักษ์ชัดว่าเงาอสูรประหลาดทั้งสี่เชื่อมโยงกับจิตของเขา พริบตาที่มันถูกทำลายจึงทำให้เขาได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
ไม้เท้ากลางอากาศก็มีการเชื่อมโยงกัน จึงร่วงลงจากฟ้าทันที
อาวุธจิตวิญญาณสิบกว่าชิ้นที่ระเบิดตนเองออกมานั้น ได้มาจากการสังหารคู่ต่อสู้ในระหว่างช่วงเวลานี้ ต่อให้จะทำลายมันไป เขาก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดใจแต่อย่างใด
หลังจากเขาโจมตีสำเร็จแล้ว ก็ไม่เปิดโอกาสให้คู่ต่อสู้ได้พักหอบหายใจเลยแม้แต่น้อย พอโบกมือข้างหนึ่งไปบนอากาศ กระบี่บินสีทองก็หมุนวนหนึ่งรอบก่อนพุ่งเข้าหาผู้อาวุโสร่างอ้วน
หลิ่วหมิงเองก็กระทืบเท้าพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโสร่างอ้วนราวกับลูกธนู และพร่ามัวกลายเป็นเงาร่างสามเงาในระหว่างทาง
ผู้อาวุโสเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกทั้งตกใจและโมโห พอชี้มือข้างหนึ่งไปบนอากาศ ก็มีคลื่นสั่นสะเทือนขึ้นมา ธงสามเหลี่ยมที่มีสภาพเสียหายเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนอากาศ และต้านทานกระบี่บินสีทองไว้
ขณะเดียวกัน พอเขาทำท่ามือ ลวดลายจิตวิญญาณบนตัวก็เปล่งประกาย จากนั้นแสงงดงามตระการตาก็พุ่งออกจากตัว มีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” ข้างในนั้น และแสงแวววาวจำนวนมากก็พุ่งออกมาราวกับสายฝน
เงาร่างสามเงาที่พุ่งเข้ามาตรงหน้าถูกแสงเหล่านี้โจมตีจนเงาร่างสองเงาสลายไป มีเพียงแค่เงาเดียวที่เปล่งประกายแสงสีทองแล้วกลายเป็นยันต์ผืนหนึ่งก่อนร่วงลงมา
ผู้อาวุโสร่างอ้วนเห็นเช่นนี้ ก็อึ้งไปในทันที ขณะที่ยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นนั้น ก็มีเงาร่างเคลื่อนไหวด้านหลัง จากนั้นหลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวอยู่ห่างจากเขาเพียงแค่ลัดมือเดียว ทั้งยังชกกำปั้นอัปลักษณ์ที่มีเกล็ดสีม่วงปกคลุมอยู่ใส่ผู้อาวุโสร่างอ้วนอย่างโหดเหี้ยม
“ตู๊ม!”
ขณะที่ผู้อาวุโสรู้สึกว่ามีอะไรไม่ถูกต้องอยู่ตรงด้านหลังเขานั้น ย่อมไม่อาจหลบได้ทันแล้ว ทำได้แค่ควบแน่นโล่แสงสีเขียวไว้ด้านหลังอีกครั้ง
แต่โล่นี้ก็ถูกกำปั้นสีม่วงโจมตีจนแตกกระจายภายในพริบตา ผู้อาวุโสร่างอ้วนถูกโจมตีจนกระอักเลือด และกระเด็นออกไป
ขณะนั้นเอง มีเสียงดังกังวานบนอากาศ หลังจากกระบี่บินสีทองฟันยันต์สามเหลี่ยมจนแจกกระจุยแล้ว มันก็พร่ามัวกลายเป็นสายรุ้งสีทองม้วนตัวเข้าหาผู้อาวุโสร่างอ้วน
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าจะรังแกคนมากเกินไปแล้ว!”
ผู้อาวุโสร่างอ้วนโซซัดโซเซทีหนึ่ง ในที่สุดก็ทรงตัวเอาไว้ได้ พอเห็นสายรุ้งสีทองพุ่งเข้ามา ดวงตาของเขาก็ดูบ้าคลั่งเป็นอย่างมาก ทันทีที่อ้าปาก ไอสีเขียวอันเข้มข้นก็ถูกพ่นออกมา มองเห็นมุกกลมๆ ขนาดเท่าไข่ไก่ปรากฏอยู่ในนั้นอย่างรำไร และแผ่คลื่นพลังเวทอันน่าตกใจ
ตอนที่ 674 สังหารระดับแก่นแท้
โดย
Ink Stone_Fantasy
“แก่นแท้!”
หลิ่วหมิงชำเลืองตามองแค่ทีเดียว ก็ต้องหดรูม่านตาลงไปทันที
ระเบิดแก่นแท้เป็นวิธีการสุดท้ายของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ อานุภาพร้ายแรงมาก หากถูกโจมตีโดยตรง ต่อให้จะมีกายเนื้อแข็งแกร่งแค่ไหน อย่างเบาก็แค่บาดเจ็บสาหัส อย่างหนักก็เสียชีวิตได้
และพอแก่นแท้ระเบิดออกมา แม้ว่าผู้ฝึกฝนจะไม่ถึงกับเสียชีวิต แต่ระดับการฝึกฝนก็จะลดลงไปด้วย โอกาสในการหลอมเป็นแก่นแท้ก็จะยากกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า
ด้วยเหตุนี้หากไม่ถึงช่วงเวลาอันตรายถึงชีวิต ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ย่อมไม่เลือกที่จะพ่นแก่นแท้ออกมาอย่างแน่นอน
ผู้อาวุโสร่างอ้วนยอมทุ่มขนาดนี้ ย่อมค้นพบว่าพลังของหลิ่วหมิงแข็งแกร่งเกินความคาดหมายของเขา ทั้งยังพอลงมือ ก็โจมตีติดต่อกันไม่หยุดราวกับคลื่นที่โหมซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง ทำให้เขารู้สึกตกใจและโมโหจนไม่ทันได้แสดงวิธีการรับมือ และเกือบได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต
ด้วยนิสัยดุร้ายของผู้อาวุโสร่างอ้วน การพ่นแก่นแท้ออกมา ย่อมได้เปรียบในเรื่องของการคุกคามมากกว่าครึ่งหนึ่ง เพียงแค่บีบให้หลิ่วหมิงหยุดการโจมตีได้ เขาก็สามารถเก็บแก่นแท้เข้าไป และแสดงวิชากับอาวุธอื่นๆ ออกมารับมือหลิ่วหมิงได้
ต้นแบบอาวุธเวทบนมือเขาไม่ได้มีแค่ไม้เท้าเท่านั้น เพียงแต่ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงโจมตีอย่างดุเดือด จึงไม่ทันได้นำชิ้นที่สองออกมา อีกอย่างการกระตุ้นต้นแบบอาวุธเวทพร้อมกัน ทำให้สูญเสียพลังจิตมาก เขาจำเป็นต้องเสริมเคล็ดวิชาให้ตัวเองก่อนถึงจะได้
พอเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้ว ก็ใช่ว่าจะมีต้นแบบอาวุธเวทมากจะยิ่งดี ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้จำนวนมากตั้งใจบ่มเพาะต้นแบบอาวุธเวทประจำตัวแค่ชิ้นเดียว เพื่อที่จะทำให้มันกลายเป็นอาวุธเวทที่แท้จริงในเร็ววัน
ต่อให้ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้จะพกต้นแบบอาวุธเวทอื่นๆ แต่ก็ใช้เป็นอาวุธเสริมเท่านั้น อีกอย่างผู้ฝึกฝนที่มีพลังเวทยิ่งสูง ก็ยิ่งใช้อาวุธเวทเฉพาะอย่างเดียว สำหรับพวกเขาแล้ว ยิ่งบ่มเพาะอาวุธเวทประจำตัวได้มีอานุภาพแข็งแกร่งเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถเปลี่ยนแปลงได้หลากหลายรูปแบบ เช่นนี้แล้วมันคุ้มค่ากว่าการเสียพลังไปกระตุ้นอาวุธเวทอื่นๆ มาก
หลิ่วหมิงมองดูแก่นแท้ที่ผู้อาวุโสพ่นออกมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาสองสามที หลังจากมีประกายเยือกเย็นแวบผ่านในดวงตา ร่างของเขาก็พุ่งถอยออกไป และมือทั้งสองก็ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว
ไอดำพวยพุ่งออกจากร่างของเขา เกราะหนังสีเงินชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นบนตัว และจุดสำคัญหลายจุดที่อยู่ใต้เกราะหนังก็มีเกล็ดสีม่วงปรากฏออกมา ขณะเดียวกัน พอเขาสะบัดแขนเสื้อข้างหนึ่ง โล่กระดูกก็พุ่งออกไป หลังจากขยายใหญ่ตามแรงลมแล้ว ก็กลายเป็นโล่ยักษ์ขนาดหลายจั้งตั้งขวางอยู่ตรงหน้า
และในขณะเดียวกัน สายรุ้งสีทองที่กลายร่างมาจากกระบี่บินว่างเปล่ากลับไม่หยุดชะงักเลยแม้แต่น้อย และฟันลงบนมุกสีเขียวท่ามกลางสายตาประหลาดใจของผู้อาวุโสร่างอ้วน
“ไม่!”
ผู้อาวุโสร่างอ้วนส่งเสียงร้องอย่างเวทนา แต่ก็ถูกเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นกลบไว้จนมิด
แสงสีเขียวเจิดจ้าระเบิดออกมาจากมุกสีเขียวกลมๆ ไอสีเขียวจำนวนมากม้วนตัวออกมาอย่างบ้าคลั่ง และม้วนเอาภูเขาทั้งลูกไว้ ต้นไม้ใหญ่ในระยะหลายลี้ถูกถอนขึ้นมาพร้อมราก พื้นดินก็ถูกกรีดเป็นชั้นลึกๆ เศษหินดินทรายกระเด็นไปทั่วทิศ……
ผ่านไปสิบอึดใจกว่าๆ คลื่นสีเขียวก็สลายไปจนหมดสิ้น จากนั้นเงาร่างสีเขียวก็พุ่งออกจากเศษหิน ซึ่งก็คือผู้อาวุโสร่างอ้วนนั่นเอง
แต่ว่าบนตัวของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ในตอนนี้เต็มไปด้วยบาดแผล ใบหน้าซีดขาวจนมองไม่เห็นเลือดเลยแม้แต่น้อย ระดับการฝึกฝนก็ร่วงลงมาอยู่ที่ระดับผลึก ขณะนี้เขากำลังหนีบคนผู้หนึ่งไว้ตรงซี่โครง ซึ่งก็คือลี่หวงนั่นเอง
ก่อนหน้านั้นคนผู้นี้ได้หลบหนีไปไกลๆ ตามคำสั่งของผู้อาวุโสร่างอ้วน แต่ก็ไม่ได้ไปไกลมากนัก ยังคงมองดูการต่อสู้อยู่บนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปหนึ่งลี้กว่าๆ
ด้วยเหตุนี้เขาย่อมถูกม้วนตัวเข้าไปในการระเบิดตัวของแก่นแท้ แม้ว่าจะโดนแค่เศษคลื่น แต่อาวุธจิตวิญญาณหลายชิ้นที่ป้องกันตัวก็แตกกระจายออกมาโดยที่ไม่อาจต้านทานไว้ได้ จึงได้รับบาดเจ็บสาหัสจนสลบไป
ผู้อาวุโสร่างอ้วนมองดูรอบด้านด้วยความตึงเครียด หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ก็พุ่งหนีไปโดยไม่สนใจอะไรอีก
แต่ขณะนี้เงากระบี่สีทองจางๆ ที่เกือบจะมองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ ก็พุ่งออกจากฝุ่นบริเวณนั้น มันหมุนวนศีรษะผู้อาวุโสร่างอ้วนแค่ทีเดียว ก็พุ่งยิงกลับไป
ผู้อาวุโสร่างอ้วนกลับหยุดชะงักในทันที หลังจากมีเสียงไม่ชัดเจนดังออกจากลำคอสองสามที ศีรษะของเขาก็ร่วงลงจากบ่า เสาโลหิตสูงหลายฉื่อพุ่งออกจากบาดแผล ร่างไร้ศีรษะรวมถึงลี่หวงที่หมดสติร่วงลงมาจากที่สูง และกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง
ครู่ต่อมาหลิ่วหมิงถึงค่อยๆ พุ่งออกจากฝุ่นบริเวณนั้น
ดูสภาพของเขาแล้วก็ไม่ได้ดีมากนัก ไม่เพียงแต่จะคืนรูปโฉมเดิม เกราะหนังสีเงินบนตัวกับโล่กระดูกตรงหน้าก็มีรอยร้าวอยู่หลายแห่ง
แต่ว่าบริเวณที่เกราะหนังสีเงินได้รับความเสียหาย กลับมีเลือดเนื้อสีชมพูปรากฏออกมาจำนวนมาก และกำลังสมานเข้าด้วยกันอยู่
การระเบิดแก่นแท้ช่างมีอานุภาพน่ากลัวยิ่งนัก!
หากเขาไม่หลบไปจากจุดศูนย์กลางก่อนแล้วปล่อยโล่เก้ากะโหลกออกมา และกระตุ้นวิชาเกราะอสูรล่ะก็ เกรงว่าคงได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
หลิ่วหมิงพุ่งไปด้านหน้า และก้มลงสังเกตดูศพผู้อาวุโสร่างอ้วนทีหนึ่ง ดวงตาของเขาเปล่งประกายแปลกประหลาด และพูดพึมพำออกมาสองสามประโยค
“พ่อลูกผู้พันธ์กันลึกซึ้งจริงๆ หากเจ้าหนีไปทันที ข้าอาจจะฆ่าเจ้าไม่ได้จริงๆ”
แต่ขณะนั้นเอง มีเสียงดัง “ฟิ้ว! แสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากร่างไร้ศีรษะของผู้อาวุโส หลังจากพร่ามัวแล้วก็ไปปรากฏอยู่ห่างออกไปสามสิบกว่าจั้ง และพยายามพุ่งหนีอย่างสุดชีวิต
หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น และชี้มือข้างหนึ่งไปบนอากาศ
“ฟิ้ว!”
เกิดคลื่นสั่นสะเทือนเหนือกลุ่มแสงสีเขียว เงากระบี่สีทองจางๆ ปรากฏออกมาอีกครั้ง และแทงทะลุกลุ่มแสงสีเขียวไปในพริบตา
ขณะที่มีเสียงร้องอย่างเวทนาของผู้อาวุโสร่างอ้วนดังออกมา กลุ่มแสงสีเขียวก็ถูกปั่นจนแตกกระจาย
ขณะนั้นเอง ลี่หวงที่หมดสติอยู่ก็กระโดดขึ้นจากพื้นในทันที และขยี้ยันต์บางอย่างในแขนเสื้อจนแตกกระจาย จากนั้นก็พุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางแสงสีเงินที่ห่อหุ้ม และพุ่งหนีไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับผู้อาวุโสร่างอ้วน
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา พอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีดำก็พุ่งออกไปเต็มฟ้า พริบตาเดียวก็ปกคลุมลี่หวงไว้ในนั้น
ขณะนี้เงากระบี่สีทองที่อยู่ไม่ไกลส่งเสียงดังกังวาน และกลายเป็นสายรุ้งสีทองพุ่งกลับมา จากนั้นก็กะพริบเข้าไปในแสงสีดำ
ไม่นานก็มีเสียงร้องเศร้ากำสรดของลี่หวงดังออกมาจากในนั้น
“ฟู่…”
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หลิ่วหมิงก็ถอนหายใจยาวออกมา สีหน้าของเขาดูผ่อนคลายลงในที่สุด
แม้ว่าศึกครั้งนี้จะใช้เวลาไม่นาน แต่ก็ทำให้เขาสูญเสียพลังเวทไปไม่น้อย
แต่หลังจากผ่านศึกในครั้งนี้ เขาก็ประเมินพลังที่แท้จริงของตนเองคร่าวๆ แล้ว แม้จะไม่รู้ว่าระดับแก่นแท้ขั้นกลางมีความร้ายกาจเพียงใด แต่อย่างน้อยการเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับแก่นแท้ขั้นต้นทั่วไป ก็คงไม่ใช่ปัญหาอะไรแล้ว
ตอนนี้หลิ่วหมิงไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่อแม้แต่ชั่วเวลาเดียว การระเบิดแก่นแท้ในเมื่อครู่ก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวขนาดใหญ่เช่นนี้ อาจดึงดูดความสนใจของคนที่อยู่บริเวณนี้ไปแล้วก็ได้ หากมีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้เข้ามา สถานการณ์ของเขาจะต้องไม่ดีอย่างแน่นอน
เขาหยิบโอสถจินหยวนมาทานอย่างรีบร้อน จากนั้นก็เก็บสถานที่ไปหนึ่งรอบ และยกแขนเสื้อปล่อยลูกเปลวไฟออกมาหลายลูก หลังจากเผาศพที่อยู่บริเวณนี้แล้ว ก็ขี่เรือหยกจันทราเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากเดินทางแบบอ้อมๆ มาสามวัน หลิ่วหมิงก็กลับมาถึงตลาดเหมียวจงในที่สุด
เมื่อเขากลับถึงที่พักในโรงเตี๊ยม ก็ขึ้นไปนอนหลับบนเตียงเป็นการใหญ่
หลิ่วหมิงหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ หลังจากสภาพจิตใจและพลังเวทฟื้นฟูเล็กน้อยแล้ว ถึงพลิกตัวลุกขึ้นมานั่ง และหยิบผลึกสีดำแวววาวกับกำไลข้อมือสีดำออกมาจากแหวนย่อส่วน
สิ่งของเหล่านี้ได้มาจากผู้อาวุโสร่างอ้วนที่มีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ และลี่หวงที่เป็นบุตรชายของเขา ด้วยเหตุที่ก่อนหน้านั้นรีบร้อนกลับมา จึงใช้จิตกวาดดูแบบผ่านๆ ยังไม่ได้ดูอย่างละเอียดว่ามีอะไรอยู่ด้านในบ้าง
ส่วนศพของเฮยจิ่วกับเฮยสือเอ้อร์ ก็ถูกม้วนเข้าไปในศูนย์กลางของการระเบิดแก่นแท้ ภายใต้การทำลายของพลังนี้ ทำให้แทบจะไม่เหลือเศษเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงมองดูสิ่งของในมือ แต่ใบหน้ากลับดูไม่ค่อยดีใจเท่าใดนัก
จะว่าไปแล้ว ที่เขาถูกผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้มาหาถึงที่นั้น เป็นเพราะว่าการหลอมโอสถแฝงจิตวิญญาณ แม้ว่าครั้งนี้เขาจะลงมือสังหารคนผู้นี้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจรับรองได้ว่าครั้งหน้าจะไม่มีมาอีก แม้กระทั่งอาจมีมากกว่าสองคนก็เป็นไปได้
“ตอนนี้ก็ปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณได้ไม่น้อยแล้ว หรือว่าควรถึงเวลาที่ต้องหยุดแล้ว” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา
เขาจัดการอารมณ์ของตนเองอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หยิบผลึกกลมๆ ขึ้นมา และค่อยๆ นำจิตจมดิ่งเข้าไปในนั้น หลังจากผ่านไปสักพัก ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา
ลี่หวงผู้นี้สมกับเป็นบุตรของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้จริงๆ แม้ว่าผลึกกลมๆ ที่ใช้เก็บของนี้จะมีพื้นที่ไม่มาก แต่กลับยัดของเข้าไปได้ไม่น้อย
เพียงแค่หินจิตวิญญาณก็นับสิบล้านแล้ว สิ่งของอย่างอื่นก็มีอาวุธจิตวิญญาณ และโอสถจำนวนหนึ่ง เป็นต้น ซึ่งล้วนมีมูลค่าไม่เบา
พอเขานับดู และแบ่งประเภทก่อนใส่เข้าไปในแหวนย่อส่วนแล้ว ก็หยิบกำไลสีดำวงนั้นขึ้นมา สิ่งนี้เขาได้มาจากผู้อาวุโสร่างอ้วนนั่นเอง
ทรัพย์สมบัติของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้คงไม่ทำให้เขาผิดหวัง
เขาชั่งน้ำหนักด้วยมือแล้วนำจิตเข้าไปในนั้น
พอตรวจสอบดูเล็กน้อย ก็ค้นพบว่าด้านในมีพื้นที่สี่สิบถึงห้าสิบจั้ง มีขนาดพอๆ กับแหวนย่อส่วนของเขา เพียงแค่อาวุธเก็บของนี้ก็เป็นสมบัติที่ไม่เลวแล้ว
และพื้นที่ด้านในก็มีหินจิตวิญญาณวางอยู่กองหนึ่ง แผ่นหยกส่งสารหนึ่งชิ้น เหรียญทองแดงหนึ่งเหรียญ และคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์ที่มีรอยคราบสนิมกับมีดสั้นสีดำอีกหนึ่งเล่ม
หินจิตวิญญาณกองนี้มีประมาณสิบล้านกว่า หลิ่วหมิงย้ายมันมาอยู่ในแหวนย่อส่วนของตนเองอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็นำแผ่นหยก เหรียญทองแดง และสิ่งของอื่นๆ จำนวนมากออกมา
หลิ่วหมิงหยิบเหรียญทองแดงขึ้นมา จะเห็นว่าบนนั้นมีรูปหัวหมาป่าสลักอยู่ราวกับมีชีวิต อีกด้านหนึ่งก็มีอักขระโบราณเล็กๆ เขียนอยู่สองคำ
“พันธมิตรหมาป่า”
หลิ่วหมิงอ่านออกเสียงเบาๆ ดวงตาของเขาเป็นประกายขึ้นมาทันที
เขาอยู่ในดินแดนทางตอนใต้มาหลายปี ก็พอจะได้ยินชื่อเสียงของกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงอยู่บ้าง
หากเขาคาดเดาไม่ผิดล่ะก็ นอกจากผู้อาวุโสร่างอ้วนจะมีสถานะตามที่เปิดเผยในภายนอกแล้ว คงยังเป็นหนึ่งในสมาชิกลึกลับของ ‘พันธมิตรหมาป่า’ ด้วย
กลุ่มพันธมิตรนี้ก่อตั้งขึ้นในดินแดนทางตอนใต้มานานแล้ว แต่สถานการณ์ที่เป็นรูปธรรมนั้น แต่กลับไม่มีใครรู้เหตุผลว่าก่อตั้งขึ้นมาทำไม
รู้เพียงแต่ว่าพันธมิตรหมาป่าก่อตั้งขึ้นจากผู้ฝึกฝนอิสระจำนวนมาก มีการเคลื่อนไหวแปลกๆ อยู่เสมอ อีกอย่างสมาชิกในกลุ่มส่วนมากจะไม่เปิดเผยใบหน้าที่แท้จริง มีการรับรู้ซึ่งกันและกันผ่านสิ่งของยืนยัน
แม้กระทั่งหากมีคนสังหารสมาชิกในกลุ่มแล้วนำของยืนยันไป ก็สามารถแทนที่ตำแหน่งของสมาชิกผู้นั้นได้อย่างไม่สนใจใครทั้งสิ้น
บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่กลุ่มพันธมิตรหละหลวมเช่นนี้สามารถดำเนินการในสถานที่สับสนสุ่นวายมาได้จนถึงทุกวันนี้
ตอนที่ 675 พันธมิตรหมาป่ากับภาพสัญลักษณ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ว่ากันว่าพลังของสมาชิกกลุ่มพันธมิตรหมาป่ามีความแข็งแกร่งแตกต่างกัน มีตั้งแต่ระดับของเหลวไปจนถึงระดับแก่นแท้ แม้กระทั่งยังมีข่าวลือว่าในพันธมิตรยังมีระดับดาราพยากรณ์อยู่ด้วย เพียงแต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นจริงหรือเท็จเท่านั้น
หลิ่วหมิงมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็วางเหรียญทองแดงลงไป และหยิบแผ่นหยกส่งสารมาแปะไว้บนหน้าผาก หลังจากปล่อยจิตเข้าไปอยู่พักหนึ่ง ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมาทันที
แผ่นหยกนี้เป็นข่าวที่ผู้อาวุโสร่างอ้วนได้รับมาจากกลุ่มพันธมิตรหมาป่า ในนั้นบอกว่ามีสมาชิกพันธมิตรหมาป่าค้นพบร่องรอยรังผึ้งห้าแสงในส่วนลึกของเทือกเขาจูหลง และคนผู้นี้กำลังเรียกสมาชิกพันธมิตรหมาป่าในพื้นที่ใกล้เคียง เพื่อเตรียมโจมตีผึ้งห้าแสงที่อยู่ในนั้น และเก็บน้ำผึ้งของราชินีผึ้งมา
ในแผ่นหยกยังบันทึกแผนที่ไว้แห่งหนึ่ง และทำเครื่องหมายไว้บนจุดนัดพบ เพียงแค่ในมือถือสิ่งของยืนยันของพันธมิตรหมาป่า ก็สามารถเข้าร่วมขบวนการนี้ได้แล้ว
หลิ่วหมิงค่อยๆ นำจิตออกจากแผ่นหยกด้วยใจที่เต้นแรง
พูดถึงเขตเทือกเขาจูหลงแล้ว มักจะมีคนจับกลุ่มเข้าไปเก็บน้ำผึ้งห้าแสงอยู่บ่อยๆ แต่เนื่องด้วยสาเหตุต่างๆ โดยทั่วไปสามารถเก็บน้ำผึ้งคุณภาพสูงมาได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
แต่ในแผ่นหยกกลับพูดถึงรังผึ้งห้าแสงในครั้งนี้เป็นพิเศษ ซึ่งอยู่ในสถานที่ห่างไกลมาก ไม่มีผู้ใดหาพบเห็นมาก่อน และปีศาจผึ้งในนั้นก็มีพลังแข็งแกร่ง ด้วยเหตุนี้น้ำผึ้งของราชินีที่ผลิตโดยราชินีจะต้องมีคุณภาพสูงมาก ซึ่งสามารถปรับแต่งของเหลวห้าแสงได้ไม่น้อย
ในเมื่อเขาไม่คิดจะอยู่ที่นี่นาน ก็จะได้ถือโอกาสตักตวงให้มากๆ อย่างไรซะพันธมิตรหมาป่าก็ยอมรับแต่สิ่งของไม่ยอมรับคน ดังนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีปัญหา!
หลังจากคิดไตร่ตรองไปรอบหนึ่งแล้ว หลิ่วหมิงก็นำคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์ออกมา ขณะที่จิตรับรู้กำลังจะแผ่ออกไปนั้น สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย
พอจิตรับรู้ของเขาสัมผัสโดนคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์ แสงสีขาวจางๆ ก็เปล่งประกายบนพื้นผิว จากนั้นจิตรับรู้ก็ถูกดีดกระเด็นกลับมาโดยที่ไม่อาจเข้าไปในนั้นได้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการอ่านเนื้อหาด้านในเลย
หลิ่วหมิงเผยสีหน้าดีใจออกมา ในเมื่อคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์นี้ได้เพิ่มชั้นจำกัดไว้ มันจะต้องไม่ใช่สิ่งของธรรมดาอย่างแน่นอน
เขาใช้ฝ่ามือทั้งสองคีบคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์ไว้ พอกระตุ้นพลังเวท ไอดำก็ห่อหุ้มมันไว้ตรงกลาง แสงจางๆ เปล่งประกายบนคัมภีร์ ดูเหมือนว่ากำลังต้านทานการบุกรุกของไอดำอยู่
“เอ๊ะ! ดูเหมือนว่านี่จะเป็นอาวุธเวทชิ้นหนึ่ง…”
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็หยุดทำท่ามือ และอุทานเบาๆ อย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็นำคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์มาตรวจสอบดูอย่างละเอียด จะเห็นว่าบนพื้นผิวของมันมีลวดลายจิตวิญญาณเล็กๆ สลักอยู่จางๆ จนแทบจะทองไม่เห็น
เขาเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็บีบเลือดออกจากปลายนิ้วหยดลงบนนั้น ขณะเดียวกัน นิ้วมือทั้งสิบก็เคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด พลังแต่ละสายพุ่งลงออกมา และกะพริบหายเข้าไปในคัมภีร์ จากนั้นก็เริ่มร่ายคาถา
ผ่านไปสักพัก มีแสงสีขาวชั้นหนึ่งเปล่งประกายบนคัมภีร์อย่างบ้าคลั่ง และดับลงด้วยเสียงดัง “ฟู่!”
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รีบปล่อยจิตรับรู้เข้าไปในคัมภีร์ด้วยความดีใจ
ครั้งนี้จิตรับรู้ของเขาไม่ถูกต้านทานเลยแม้แต่น้อย สามารถเข้าไปด้านในได้อย่างง่ายดาย
หลิ่วหมิงถอนใจเบาๆ จากนั้นก็อ่านเนื้อหาในนั้นอย่างละเอียด
อักขระที่ใช้ในคัมภีร์เป็นอักขระบรรพกาลชนิดหนึ่ง โชคดีที่ก่อนหน้านั้นเขาอ่านบันทึกเกี่ยวกับอักขระโบราณมาไม่น้อย ดังนั้นจึงพอที่จะเข้าใจความหมายในนั้นอยู่บ้าง
หลังจากใช้เวลาไปหนึ่งมื้อข้าว หลิ่วหมิงถึงอ่านเนื้อหาในนั้นไปเกือบหมด และเขาต้องเผยสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
สิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์คือเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์พิเศษของดินแดนป่าเถื่อนทางตอนใต้ แต่กลับไม่ได้ระบุชื่อใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับเคล็ดวิชานี้ แต่ดูจากอักขระที่บันทึกเกี่ยวกับวิชานี้แล้ว ดูเหมือนว่ามันจะค่อนข้างโบราณมาก
และในคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์ยังวาดภาพอสูรดุร้ายในสมัยบรรพกาลที่มีชื่อว่า ‘เชอฮ่วน’ ไว้ด้วย มันเป็นอสูรประหลาดที่ดูเหมือนโคแต่ก็ไม่ใช่โค มีเกล็ดมังกรปกคลุมบนตัวหนาแน่น ใบหน้าอัปลักษณ์อย่างหาที่เปรียบมิได้ พอดูก็รู้ว่ามันดุร้ายเป็นอย่างยิ่ง
ตามบันทึกในคัมภีร์ เพียงแค่วาดเชอฮ่วนไว้บนตัว และทำการปรับแต่งด้วยวิชาพิเศษบางอย่าง ก็สามารถดูดซับวิญญาณอสูรชนิดต่างๆ ในใต้หล้าได้ ด้วยเหตุนี้จึงสามารถแสดงความสามารถที่เหลือเชื่อบางอย่างออกมาได้
แม้กระทั่งเมื่อทำการปรับแต่งภาพสัญลักษณ์นี้จนถึงขั้นสุดท้าย ยังอาจจะเรียกร่างอวตารที่มีพลังไม่ด้อยไปกว่าร่างจริงออกมาได้ด้วย
นอกจากนี้แล้ว เคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ไร้นามนี้ยังบันทึกว่าไม่จำเป็นต้องดูดซับวิญญาณอสูรมาสังเวย เพียงแค่วาดภาพสัญลักษณ์ ก็สามารถปกปิดกลิ่นไอของวิชาตนเองได้อย่างสมบูรณ์แล้ว
ตามที่บรรยายไว้ในคัมภีร์ การปิดบังกลิ่นไอเช่นนี้ เป็นวิธีการที่ล้ำลึกมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ก็ใช่ว่าจะสามารถมองเห็นการปกปิดนี้ได้
จะว่าไปแล้ว หลิ่วหมิงอยู่ในดินแดนป่าเถื่อนทางตอนใต้มานานสิบกว่าปีแล้ว ย่อมมีความเข้าใจเกี่ยวกับเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ในสถานที่แห่งนี้อยู่บ้าง ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อลอกเลียนแบบความสามารถของเผ่าปีศาจ
อานุภาพของเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์มีมากน้อยแค่ไหนนั้น สำคัญคือต้องดูระดับความลี้ลับมหัศจรรย์ของตัวภาพสัญลักษณ์ รองลงมาคือต้องดูโลหิตจิตวิญญาณของปีศาจอสูรที่ใช้ในขณะวาดด้วย
เคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ระดับต่ำทั่วไป ใช้โลหิตอสูรธรรมดาก็พอแล้ว แต่ภาพสัญลักษณ์ที่วาดออกมา อย่างมากก็แค่ทำให้พลังของคนแข็งแกร่งขึ้นมาหลายร้อยชั่ง ร่างกายเบาขึ้นมาหน่อย หรือระดับการป้องกันทางกายเนื้อเพิ่มขึ้นเล็กน้อยก็เท่านั้น
ตามที่บรรยายไว้ในเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ไร้นามนี้ อย่างน้อยต้องใช้โลหิตของปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ขึ้นไปถึงจะได้ ทั้งยังใช้ได้แต่โลหิตของปีศาจอสูรประเภทโคในการวาด เงื่อนไขโหดร้ายเช่นนี้ ดูท่าระดับของเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์นี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นึกถึงเรื่องที่พันธมิตรหมาป่าล้อมปราบปรามราชินีผึ้ง
ตามที่กล่าวไว้ในแผ่นหยกส่งสาร ราชินีของผึ้งห้าแสงฝูงนี้มีพลังอย่างน้อยระดับแก่นแท้ขึ้นไป ด้วยเหตุนี้ผู้ที่เข้าร่วมขบวนการนี้จะต้องมีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ขึ้นไปด้วยเช่นกัน
แม้จะบอกว่าหลิ่วหมิงมีพลังพอที่จะเทียบเท่ากับระดับแก่นแท้ได้ แต่การฝึกฝนยังคงอยู่ที่ระดับผลึกขั้นกลางเท่านั้น ในดินแดนทางตอนใต้ที่ให้ความสำคัญกับความแข็งแกร่งของพลังเป็นหลักเช่นนี้ หากเสี่ยงอันตรายเข้าไป เกรงว่าคงไม่เพียงแต่จะไม่ได้รับการยอมรับ แต่กลับมีโอกาสสูงที่จะถูกสมาชิกพันธมิตรหมาป่าคนอื่นๆ ฆ่าปิดปากด้วย
หลังจากคิดได้เช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ตัดสินใจได้ จะต้องวาดเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ให้ตัวเองก่อน เพื่อปิดบังระดับการฝึกฝนของตนเอง
แต่ไหนเลยจะหาโลหิตปีศาจโคระดับแก่นแท้ที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์ได้ง่ายเช่นนี้
แต่ดีที่ในตอนท้ายของคัมภีร์ยังมีบันทึกไว้ว่า หากต้องการแค่ความสามารถในการปิดบังกลิ่นไอล่ะก็ สามารถใช้โลหิตปีศาจโคระดับธรรมดาวาดภาพสัญลักษณ์ชั่วคราวก่อนได้
แต่หากทำเช่นนี้ล่ะก็ ผลลัพธ์ของเคล็ดวิชานี้จะใช้ได้แค่ชั่วคราวเท่านั้น พอผ่านช่วงเวลาที่จำกัดไป ภาพสัญลักษณ์ก็จะค่อยๆ จางลง และอานุภาพของเคล็ดวิชาปิดบังกลิ่นไอที่แสดงออกมา ก็จะลดลงไปเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าไม่สามารถปิดบังจิตรับรู้ของผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ขึ้นไปได้ แม้กระทั้งระดับแก่นแท้ก็ไม่แน่นอนด้วยเช่นกัน
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่ในที่พักอย่างเงียบๆ หลังจากผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน เขาก็รีบออกจากบ้านไปในเช้าวันที่สอง และพุ่งไปยังร้านค้าขนาดใหญ่ทันที
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ เขาเดินวนอยู่ในตลาดตั้งนาน แต่กลับหาโลหิตของปีศาจโคระดับแก่นแท้ไม่ได้เลย
ดังนั้นเขาจึงใช้หนึ่งแสนหินจิตวิญญาณซื้อโลหิตปีศาจโคตาแดงระดับของเหลวขั้นปลายจากร้านค้าวัสดุที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่มาหนึ่งขวด
จากนั้นก็ไปร้านหลอมอาวุธแห่งหนึ่ง และใช้หินจิตวิญญาณราวๆ หนึ่งแสน สั่งทำอาวุธจิตวิญญาณหน้ากากวานรที่มีผลในการปิดกั้นจิตรับรู้เล็กน้อย จากนั้นก็กลับไปที่ห้องลับในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง
แม้ว่าโลหิตของปีศาจโคระดับต่ำนี้จะสามารถปิดบังกลิ่นไอได้แค่หนึ่งเดือน แต่ตอนนี้ก็ได้แต่นำมันมาวาดภาพสัญลักษณ์แล้ว อีกอย่างกระบวนการในครั้งนี้ใช้เวลาราวๆ สิบวัน คิดว่าการปิดบังกลิ่นไอในระยะเวลาหนึ่งเดือนก็เหลือเฟือแล้ว
ส่วนจะถูกระดับดาราพยากรณ์ค้นพบในตอนรวมตัวหรือไม่นั้น จากการคาดเดาของหลิ่วหมิง คิดว่าคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
หากคนที่เรียกรวมตัวไม่ใช่คนที่โง่สุดๆ จะไปแจ้งผู้แข็งแกร่งเหล่านี้ที่ต้องการพักผ่อนให้มาร่วมขบวนการได้อย่างไร
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะสีเหลืองกลมๆ ในห้องลับ หลังจากนั่งเข้าฌานปรับสภาพจิตใจของตนเองเล็กน้อยแล้ว ก็เตรียมวาดภาพสัญลักษณ์นี้
หลิ่วหมิงนำคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์มาแปะไว้บนหน้าผากอีกครั้ง และปล่อยจิตเข้าไปสังเกตดูภาพสัญลักษณ์อสูรร้ายในนั้นอย่างละเอียด
จะว่าไปแล้วเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์นี้ไม่ค่อยยากมากนัก เพียงใช้วัสดุที่เกี่ยวข้องวาดภาพสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องลงบนตัว และปล่อยพลังเวทเข้าไปกระตุ้นตามวิธีที่บันทึกไว้ ก็สามารถแสดงผลลัพธ์ออกมาได้แล้ว
แน่นอน หากภาพสัญลักษณ์บนตัวมีการคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อย มันย่อมไม่มีผลใดๆ เช่นกัน
หลังจากผ่านไปสองชั่วยามเต็มๆ หลิ่วหมิงก็จดจำแต่ละขีดของภาพอสูรเชอฮ่วนไว้ในสมองแล้ว จากนั้นถึงนำคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์ออกจากหน้าผากมาวางไว้ด้านข้าง พอใช้มือข้างหนึ่งลูบแหวนย่อส่วนบนนิ้ว พู่กันหยกกับขวดเล็กสีขาวก็ถูกนำออกมา
สิ่งที่อยู่ในขวดย่อมเป็นโลหิตของปีศาจโคตาแดงระดับของเหลวขั้นปลายนั่นเอง
เขาเปิดจุกออก และใช้พู่กันหยกแตะโลหิตปีศาจในขวดก่อนเอามาวาดบนไหล่ซ้าย ทุกขีดทุกเส้นล้วนหนักแน่นเป็นอย่างมาก
เพื่อป้องกันไม่ให้มีอะไรผิดพลาด ทุกครั้งที่ไม่มั่นใจหลิ่วหมิงจะหยุดวาด และหลับตานึกอีกรอบ จากนั้นถึงค่อยวาดต่อ
เนื่องจากก่อนหน้านั้นเตรียมการไว้ค่อนข้างพร้อม ด้วยเหตุนี้จึงค่อยๆ วาดเค้าโครงอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วยาม เค้าโครงของภาพอสูรจิตวิญญาณก็ค่อยๆ ปรากฏตั้งแต่บริเวณไหล่จนถึงหน้าอก
หลังจากผ่านไปครึ่งค่อนวัน ภาพโคเขียวสี่ขาที่มีเกล็ดมังกรเต็มตัว ก็ถูกวาดอยู่บนตัวของมันราวกับมีชีวิต
ขณะที่หลิ่วหมิงมองดูภาพอยู่นั้น ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขานำคัมภีร์ทองสัมฤทธิ์ไปแปะบนหน้าผากอีกครั้ง และเปรียบเทียบกับภาพเชอฮ่วนที่ตนเองวาดออกมา หลังจากมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว ถึงพยักหน้าด้วยความพอใจ
ต่อมาจะเห็นว่าเขาใช้มือข้างหนึ่งตบไหล่เบาๆ พลังเวทจำนวนหนึ่งค่อยๆ ทะลักออกจากฝ่ามือ และพุ่งเข้าไปในภาพสัญลักษณ์ จากนั้นไอร้อนสายหนึ่งก็โจมตีเข้ามาจากไหล่ ภายใต้การนำทางของพลังเวท มันก็หมุนวนบนภาพสัญลักษณ์สามรอบ ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา
เกิดเสียงดัง “ฟู่”
ราวกับว่าภาพสัญลักษณ์จะสั่นไหวเบาๆ สองสามที จากนั้นก็หลุดออกจากร่าง และกลายเป็นเงาโคเขียวกึ่งโปร่งแสงตัวหนึ่ง มันแหงนหน้าส่งเสียงคำรามสองสามทีโดยไม่มีจากนั้นก็กลับไปเป็นภาพสัญลักษณ์บนผิวหนังเช่นเดิม
“ดูท่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรแล้ว!”
หลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ก็พูดพึมพำออกมาหนึ่งประโยค จากนั้นก็ค่อยๆ เก็บพู่กันหยกกับโลหิตปีศาจโคที่เหลือเข้าไป
เวลาต่อมา เขานำวิญญาณอสูรธรรมดาจำนวนหนึ่งที่ซื้อมาจากตลาด มาลองสังเวยภาพสัญลักษณ์ดูหนึ่งรอบ
แต่ก็เป็นดังที่เขาคาดการณ์ไว้ หลังจากพยายามอยู่หลายครั้งก็ไม่มีผลใด ๆ เลย
ที่แท้ก็เป็นเพราะว่าพลังของโลหิตปีศาจโคไม่เพียงพอ จึงยังไม่อาจควบคุมภาพสัญลักษณ์นี้ได้ หลิ่วหมิงเองก็ได้แต่ทิ้งเรื่องนี้ไปชั่วคราว
ตอนที่ 676 อู๋ขุย
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงใส่พลังเวทเข้าไปในภาพสัญลักษณ์ และค้นพบว่ามันมีผลในการปกปิดกลิ่นไออย่างคาดไม่ถึง จึงรู้สึกวางใจขึ้นมา
เวลาต่อมา เขาก็นั่งสมาธิอยู่ในที่พักเพื่อสะสมพลัง
ครึ่งเดือนต่อมา เขาปลอมตัวเป็นบัณฑิตผู้หนึ่ง และออกจากที่พักไปอีกครั้ง
เขาไปรับหน้ากากวานรยักษ์ที่ร้านหลอมอาวุธก่อน แม้ว่ามันจะเป็นแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ซึ่งไม่มีประโยชน์อะไรกับหลิ่วหมิงในตอนนี้ แต่เพื่อร่วมมือกับการปกปิดกลิ่นไอของเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์และรูปโฉม เขาจึงจำเป็นต้องใช้ของสิ่งนี้
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงนำแผนที่เทือกเขาจูหลงมากวาดสายตาดู จากนั้นก็ตรงออกไปจากตลาด และสวมหน้ากากวานรยักษ์ขี่เมฆดำเหาะไปยังจุดรวมตัวบนเขาบางแห่งที่อยู่ริมเทือกเขาจูหลง
ครึ่งวันต่อมา มีแสงสีทองพุ่งเข้ามาบนยอดเขาหัวโล้นบางแห่งที่อยู่บริเวณเทือกเขาจูหลง พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นร่างของบัณฑิตชุดคลุมสีเทาที่สวมหน้ากากวานรยักษ์อยู่ ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
บนยอดเขาในขณะนี้ มีเงาร่างสี่เงายืนคุมเชิงกันอยู่ห่างๆ และไม่มีใครพูดอะไรออกมา
หญิงกระโปรงดำรูปร่างสูงยาวผู้หนึ่ง ถูกผ้าคลุมหน้าสีดำปิดไว้ครึ่งหน้า
ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลสวมผ้าคลุมเสือดาว แต่กลับใส่หน้ากากหัวโคอัปลักษณ์
ส่วนอีกสองคนก็ใช้วิธีการบางอย่างปิดบังใบหน้าไว้ คนที่มีรูปร่างผอมบางคงเป็นหญิงผู้หนึ่ง นางสวมหมวกคลุมใบหน้า ดูเหมือนว่าจะสกัดกั้นจิตรับรู้ได้ ส่วนอีกคนสวมชุดคลุมสีเขียว บริเวณใบหน้าของเขามีไอหมอกสีเทาจางๆ ลอยวนเวียนอยู่ ทำให้ไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของเขาได้
ดูจากกลิ่นไอที่คนเหล่านี้แผ่ออกมา หญิงที่ใช้ผ้าคลุมใบหน้าผู้นั้น มีระดับการฝึกฝนสูงสุด ดูเหมือนว่าใกล้จะเข้าถึงระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้ว และอีกสามคนก็ดูเหมือนจะอยู่ที่ระดับแก่นแท้ขั้นต้น
การเคลื่อนไหวของพันธมิตรหมาป่าในครั้งนี้เป็นอย่างที่หลิ่วหมิงคาดการณ์ไว้ และมันก็ไม่ง่ายเลย อย่างที่รู้ว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้นั้น แม้แต่ในนิกายยอดบริสุทธิ์ก็เป็นผู้อาวุโสยอดเขาหรือศิษย์ลับแล้ว
แต่สถานที่แห่งนี้กลับมีปรากฏออกมาถึงสี่คน คิดว่าคนเหล่านี้คงมีสถานะสูงส่งในแต่ละกลุ่มอิทธิพลอย่างแน่นอน
หลังจากหลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยแล้วก็กระโดดลงจากเมฆดำ
คนทั้งสี่บนยอดเขาย่อมค้นพบหลิ่วหมิงตั้งแต่แรกแล้ว ในขณะที่หลิ่วหมิงปรากฎตัว จิตรับรู้ของคนทั้งสี่ก็กวาดลงบนตัวของเขา และต่างก็เผยสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
ดวงตาของหญิงที่ใช้ผ้าปิดคลุมใบหน้าเป็นประกายสองสามที จากนั้นก็เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงที่ดูแหบแห้งเล็กน้อย
“ท่านก็เป็นคนของพันธมิตรหมาป่า ได้นำสิ่งของยืนยันมาหรือไม่?”
หลิ่วหมิงได้ยินก็สะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งก็พุ่งออกมา
แขนของหญิงที่ปิดคลุมใบหน้าพร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง พอคว้าไปกลางอากาศ เหรียญทองแดงก็พุ่งเข้ามาในมือของนาง “ฟิ้ว!” นางใช้นิ้วสีขาวคีบเหรียญไว้ และตรวจสอบดูอย่างละเอียด จากนั้นก็สังเกตดูหลิ่วหมิงอีกที ทันใดนั้นนางก็ยกแขนอีกข้างชี้ไปบนอากาศ
“ฟิ้ว!”
ลำแสงสีดำพุ่งออกจากปลายนิ้ว และทะลุผ่านหน้าอกของหลิ่วหมิง
หลังจากแสงสีดำทะลุผ่านไป ร่างหลิ่วหมิงก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม ที่แท้ก็เป็นแค่เงาร่างเท่านั้น
“ท่านเห็นสิ่งของยืนยันแล้วยังลอบโจมตีเช่นนี้ หมายความว่าอย่างไรกัน?” น้ำเสียงราบเรียบดังมาจากด้านหลังหญิงที่ปิดคลุมใบหน้า ซึ่งเขาก็คือหลิ่วหมิงที่ปรากฏตัวราวกับปีศาจ และค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ
“ข้าน้อยฮวาชิงอิ่ง เป็นคนที่เรียกรวมตัวในครั้งนี้ เนื่องจากไม่อาจรับรู้ระดับการฝึกฝนของท่านได้ จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้จึงลงมือทดสอบดู คิดไม่ถึงว่าวิชาซ่อนเร้นของสหายจะโดดเด่นเช่นนี้ ข้าน้อยมีตาหามีแววไม่ ขอท่านโปรดให้อภัย แต่เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนอื่นแอบปะปนเข้ามา สหายคนอื่นๆ ที่เพิ่งมาถึงก็ถูกข้าน้อยทดสอบด้วยเช่นกัน” หญิงใส่ผ้าปิดคลุมใบหน้าหันมากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะละเว้นให้ครั้งนี้เป็นครั้งเดียว ขอถามหน่อยข้าน้อยมีสิทธิ์เข้าร่วมกระบวนการในครั้งนี้แล้วหรือยัง?” พอหลิ่วหมิงได้ยิน ประกายแวววาวในดวงตาก็ดับลง และเอ่ยปากถามออกมา
“ย่อมเป็นเช่นนั้น! สหายสามารถหลบหลีกการโจมตีได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ จะต้องเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าตอนนี้ยังห่างจากเวลาที่นัดหมายราวๆ หนึ่งชั่วยาม สหายพักผ่อนสักครู่ หากถึงเวลาแล้วยังไม่มีคนมา พวกเราทั้งห้าก็เริ่มกระบวนการพร้อมกัน” หญิงใส่ผ้าคลุมหน้าตอบอย่างไม่ลังเล
พูดจบนางก็โยนเหรียญทองแดงสีม่วงคืนให้หลิ่วหมิง ส่วนตนเองก็หันไปมองขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ
หลังจากหลิ่วหมิงเก็บเหรียญเข้าไปแล้ว ก็ไปหาที่ว่างนั่งสมาธิโดยไม่สนใจคนอื่นๆ อีก
หลังจากหญิงใส่ผ้าคลุมหน้ายืนยันสถานะของหลิ่วหมิงแล้ว คนที่เหลือก็ละสายตากลับไป และยังคงรอคอยอย่างเงียบๆ โดยไม่ปริปากบ่นอะไรอีก
ครึ่งชั่วยามต่อมา
มีเสียงดังก้องมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ!
จากนั้นแสงงดงามลำหนึ่งก็กระพริบ และพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่กี่อึดใจก็มาปรากฏตัวบนพื้นที่ว่างแห่งหนึ่งบนยอดเขา
หลังจากแสงดับลงก็เผยให้เห็นชายฉกรรจ์รูปร่างขนาดใหญ่ อายุสามสิบกว่าปี สวมเสื้อขนสัตว์ บนศีรษะมีขนนกติดอยู่ เขาไม่ปิดบังใบหน้าเลยแม้แต่น้อย พอปรากฏตัว กลิ่นไอที่แข็งแกร่งกว่าหญิงใส่ผ้าคลุมหน้าก็ทะลักออกมา ทำให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างช่วยไม่ได้
คนผู้นี้เป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ขั้นกลางที่แท้จริง
พอชายฉกรรจ์ปรากฏตัว สายตาราวกับสายฟ้าของเขาก็กวาดผ่านไป หลังจากยิ้มให้หญิงปิดคลุมใบหน้าเล็กน้อยแล้ว ก็ดีดเหรียญทองแดงสีม่วงออกมาพร้อมเสียงดังแหลม
หญิงใส่ผ้าคลุมใบหน้าเขม้นตามอง พอสะบัดแขนเสื้อ เหรียญทองแดงก็ถูกม้วนเข้าไป แต่ว่าร่างอรชรของนางก็สั่นสะท้านจนต้องร่นถอยออกไป
“อู๋ขุย ที่แท้ก็เป็นเจ้า!” ชายฉกรรจ์ที่สวมผ้าคลุมหนังเสือดาวเห็นเช่นนี้ ก็หลุดปากส่งเสียงออกมา น้ำเสียงแฝงไปด้วยความหวาดกลัว
“ฮ่าๆ! ดูท่าพี่ชายท่านนี้จะรู้จักข้า? ไม่ลองเอาหน้ากากออกให้ข้าดูหน่อยว่ารู้จักท่านหรือไม่!” อู๋ขุยกล่าวตรงไปตรงมา
“ข้าว่าไม่ต้องหรอก!” ชายฉกรรจ์ที่สวมหน้ากากหัวโคทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก
ประจักษ์ชัดว่าฮวาชิงอิ่งก็รู้จักอู๋ขุยเช่นกัน หลังจากโยนเหรียญทองแดงคืนไปแล้ว แม้ว่าจะไม่พูดอะไร แต่ดวงตาก็เป็นประกายอยู่ไม่หยุด
“ฮวาชิงอิ่ง จะว่าไปแล้วข้ากับเจ้าก็นับว่ารู้จักกันมานาน ในเมื่อขบวนการในครั้งนี้เจ้าเป็นคนส่งข่าวมา ทำไมถึงไม่เรียกข้าด้วย? โชคดีที่หลายวันก่อนข้าได้ยินเจ้าเด็กคูสิงเจ่อนั่นพูดถึงเรื่องนี้โดยไม่ตั้งใจ จึงได้แต่จำใจสังหารเขาเพื่อชิงสิ่งของยืนยันมา จากนั้นก็มาอย่างรีบร้อน เพราะข้าเป็นคนชอบรักษากฎที่สุดแล้ว!” อู๋ขุยยิ้มด้วยสีหน้าอึมครึม จากนั้นแรงกดดันอันแข็งแกร่งก็แผ่ออกมา
คนที่อยู่ที่นั่นล้วนไม่ใช่คนอ่อนแอ แม้ว่าแรงกดดันที่อู๋ขุยปล่อยออกมาจะแข็งแกร่ง แต่ก็สามารถแบกรับไว้ได้ แต่พอได้ยินว่าเขาสังหารสมาชิกพันธมิตรหมาป่าอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้ สีหน้าของพวกเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปอีกครั้ง
แม้ว่าหลิ่วหมิงจะมีระดับการฝึกฝนต่ำสุด แต่อาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่ง จึงทำให้เป็นผู้ที่รู้สึกผ่อนคลายที่สุดภายใต้พลังกดดันของอู๋ขุย แต่ขณะนี้เขาก็แอบรู้สึกหวาดกลัวไม่น้อย
‘คูสิงเจ่อ’ ที่พูดถึง เขาก็เคยได้ยินชื่อมาก่อน ซึ่งเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในเขตพื้นที่เทือกเขาจูหลง
“อู๋ขุย ในเมื่อเจ้ามีสิ่งของยืนยันของพันธมิตรเรา ย่อมสามารถเข้าร่วมขบวนการนี้ได้” ฮวาชิงอิ่งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงค่อยๆ กล่าวออกมา
“ดีมาก! ข้าชอบคนที่รู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ นอกจากนี้ข้าต้องการน้ำผึ้งของราชินีผึ้งแค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น” อู๋ขุยหัวเราะฮ่าๆ แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“น้ำผึ้งราชินีครึ่งหนึ่ง…อันนี้ไม่ได้เด็ดขาด! พี่อู๋ไม่คิดหรือว่าการเจริญอาหารมากเกินไป จะทำให้พุงกางจนตัวแตกตายได้” ฮวาชิงอิ่งได้ยินก็รีบปฏิเสธกลับไปอย่างไม่ลังเล
“เฮ่อๆ! ในเมื่อข้ากล้าต้องการมากเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะมีความสามารถที่ยอดเยี่ยม พอถึงเวลานั้น ราชินีผึ้งก็มอบให้ข้าตรึงเอาไว้ก็พอ เช่นนี้แล้วอันตรายของพวกเจ้าก็จะลดลงไปมาก” อู๋ขุยหัวเราะเฮ่อๆ! แล้วกล่าวโดยไม่ต้องคิด
“เจ้ายินยอมตรึงราชินีผึ้งเอาไว้…หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ใช่ว่าจะไม่สามารถพูดคุยกันได้” ครั้งนี้ฮวาชิงอิ่งมองไปด้วยความสนใจ จากนั้นก็หันไปมองพวกหลิ่วหมิง และขยับปากส่งเสียงเบาๆ
ครู่ต่อมา ฮวาชิงอิ่งกับพวกหลิ่วหมิงก็ได้ผลสรุปออกมา จากนั้นนางก็กล่าวกับอู๋ขุยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ในเมื่อพี่อู๋กล่าวเช่นนี้ ก็สามารถแบ่งน้ำผึ้งราชินีให้ท่านครึ่งหนึ่งได้ แต่ภาระหนักในการก่อกวนราชินีผึ้งต้องมอบให้ท่านแล้ว พวกเราจะจัดการผึ้งห้าแสงตัวอื่นๆ เอง จากนั้นค่อยรวมพลังกันจัดการราชินีผึ้ง อีกอย่างราชินีผึ้งตัวนี้อาจจะมีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นปลาย ทางที่ดีพี่อู๋ควรจัดการด้วยพลังทั้งหมด”
“ไม่มีปัญหา ด้วยฝีมือของข้า สามารถก่อกวนราชาชินีผึ้งได้ช่วงเวลาหนึ่งอย่างไม่มีปัญหา” อู๋ขุยได้ยินก็โบกมือโดยไม่ยี่หระอะไรทั้งนั้น
“ดี! คำไหนคำนั้น! ตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้ว คงไม่มีคนอื่นๆ มาร่วมขบวนการแล้วล่ะ ในเมื่อครั้งนี้มีพี่อู๋มาเข้าร่วมโดยไม่คาดคิด พวกข้าก็สบายใจไปไม่น้อย เพื่อแผนการในครั้งนี้ ข้าตั้งใจใช้เจ็ดล้านหินจิตวิญญาณซื้อ ‘ธูปวิญญาณไม้จันทน์’ มาเป็นโดยเฉพาะ คงจะป้องกันไม่ให้มีอะไรผิดพลาดได้” ฮวาชิงอิ่งกล่าวอย่างมีแผนในใจ
“ที่แท้สหายฮวาก็ยังมี ‘ธูปวิญญาณไม้จันทน์’ อยู่ด้วย ธูปจิตวิญญาณนี้ควบคุมปีศาจผึ้งโดยเฉพาะนี้ ถ้าอย่างนั้นการรับมือกับผึ้งห้าแสงคงไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” ชายชุดเขียวหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
“แต่ในเมื่อข้าซื้อธูปวิญญาณไม้จันทน์มาด้วยราคาที่สูงเช่นนี้ พอถึงเวลานั้น ศพของผึ้งห้าแสงทั้งหมดจะต้องเป็นของข้า เพราะร่องรอยของปีศาจผึ้งนี้ ข้าก็เป็นคนค้นพบก่อน พี่อู๋ต้องการน้ำผึ้งราชินีครึ่งหนึ่ง ที่เหลืออีกครึ่งกับผึ้งจิตวิญญาณธรรมดาในถ้ำ ก็เป็นของพวกเจ้าทั้งหมด ไม่ทราบว่าทุกท่านมีข้อคัดค้านอย่างไรบ้าง?” ฮวาชิงอิ่งกล่าวออกมาอย่างเป็นระเบียบขั้นตอน
อู๋ขุยย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ส่วนคนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น
แม้ว่าหลิวหมิงจะต้องการน้ำผึ้งราชินีทั้งหมดในครั้งนี้ แต่ขณะที่ยังไม่ได้เห็นรูปร่างของราชินีผึ้ง ย่อมไม่กล้าทำเรื่องใดๆ ที่สะดุดตามากนัก
ตอนที่ 677 ราชินีผึ้งห้าแสง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ดี! ในเมื่อสหายทุกท่านไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ถ้าอย่างนั้นแผนการที่เป็นรูปธรรม พวกเราก็เดินทางไปด้วยพูดไปด้วยเถอะ เพราะที่นี่ยังอยู่ห่างจากจุดที่พบรังผึ้งห้าแสงอีกมาก อีกอย่างในเทือกเขาจูหลงก็มีปีศาจอสูรต่างๆ อยู่ไม่น้อย หากช้าไปสองสามวันแล้วพลาดช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุดหลังจากวางไข่ของราชินีผึ้งไปล่ะก็ ย่อมไม่ดีอย่างแน่นอน” ฮวาชิงอิ่งเห็นเช่นนี้ก็กลายเป็นพายุสีดำแล้วพุ่งขึ้นฟ้าทันที
“คิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันแค่ราวๆ ร้อยปี วิชาพายุหลบหลีกของพี่ฮวาจะล้ำลึกถึงเพียงนี้แล้ว” หญิงที่สวมหมวกคลุมหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เหยียบเมฆขาวพุ่งออกไปจนมองเห็นเป็นแสงแวววาว
อู๋ขุยก็หัวเราะออกมา จากนั้นแสงหลากสีก็เปล่งประกายรอบตัว และพุ่งตามไป
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นก็ปล่อยอินทรียักษ์ขนาดใหญ่สองสามจั้งออกมา และขึ้นไปนั่งอยู่บนนั้น ส่วนชายชุดเขียวก็กลายเป็นหมอกดำพวยพุ่งตามไป
หลิ่วหมิงก็สะบัดแขนเสื้อปล่อยกระบี่เล็กสีทองออกมา หลังจากทำท่าเคล็ดกระบี่แล้ว ก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งขึ้นฟ้า
ครึ่งวันต่อมา พวกเขาก็เข้าสู่ส่วนลึกของเทือกเขาจูหลง ระหว่างทางที่ผ่านมาก็ราบรื่นมาโดยตลอด แต่กลับมีบึงขนาดใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้า
พอมองออกไป จะเห็นว่ามีหมอกพิษสีเทาปกคลุมอยู่เหนือบึงอย่างหนาแน่น ขณะเดียวกัน ยังมีกลิ่นของวัชพืชเน่าเปื่อยโชยออกมาด้วย และยังมีความชื้นเหนียวเหนอะหนะที่น่าสะอิดสะเอียนลอยอยู่ในอากาศ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา ดูเหมือนว่าหากจะผ่านบึงแห่งนี้ไปให้ได้ คงไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างแน่นอน
คนอื่นๆ ก็ดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงความผิดปกติของกลิ่นไอที่ลอยตลบอบอวลอยู่ จึงชะลอแสงหลบหลีกลง และหยุดอยู่ตรงหน้าบึง
“หากข้าคาดเดาไม่ผิดล่ะก็ สถานที่แห่งนี้คงจะเป็นบึงพิษมืดที่มีชื่อเสียงแล้ว อากาศพิษในสถานที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่จะสกัดกั้นจิตรับรู้ได้เท่านั้น แม้แต่สายตาก็ไม่สามารถมองออกไปในระยะสองจั้งได้ ทั้งยังมีปีศาจแมลงขนาดใหญ่ชนิดหนึ่งผลุบๆ โผล่ๆ อยู่เป็นประจำ แม้ว่ามันจะมีพลังน้อย แต่กลับมีจำนวนมาก ทั้งยังมีพิษแปลกประหลาดบางอย่าง ซึ่งรับมือได้ค่อนข้างยาก” หญิงสวมหมวกคลุมยาวเอ่ยปากออกมา
“แต่หากเดินทางอ้อมเขาไปอีกสองลูก เกรงว่าคงใช้เวลาไม่น้อย อีกอย่างไม่แน่ว่ามันอาจจะอันตรายกว่าก็ได้” ชายชุดคลุมสีเขียวขมวดคิ้วกล่าว
“เฮ่อๆ! หมอกพิษในบึงแห่งนี้มอบให้ข้าจัดการเถอะ!” ขณะนั้นเอง ชายฉกรรจ์ที่สวมหน้ากากหัวโคก็หัวเราะก่อนกล่าวออกมา จากนั้นก็กระตุ้นเคล็ดวิชาขี่อินทรียักษ์ไปยังด้านหน้าสุด
พอเขาอ้าปากก็เกิดเสียงดัง “ฟู่ๆ!” จากนั้นโลหิตก็ถูกพ่นออกมาอย่างบ้าคลั่ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
บริเวณลำคอของชายฉกรรจ์ผู้นี้ มีแสงโลหิตเปล่งประกายจางๆ อยู่ไม่หยุด พอมองดูอย่างละเอียด จะเห็นว่ามีภาพเต่ายักษ์สีแดงปรากฏออกมา
ประจักษ์ชัดว่าวิชาที่คนผู้นี้แสดงออกมาก็เป็นเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ชนิดหนึ่ง ทั้งยังดูเหมือนจะมีระดับไม่น้อยด้วย
พอพายุโลหิตถูกเป่าออกไป มันก็กลายเป็นแกนพายุโลหิต และพุ่งเข้าไปยังหมอกพิษตรงหน้า
ไอหมอกสลัวๆ เหนือบึงถูกพายุบ้าระห่ำลูกนี้พัดออกไปชั่วคราว และห่างออกไปหลายร้อยจั้ง จะเห็นว่ามีแมลงปอยักษ์หลายสิบตัวปรากฏอยู่รำไร
แมลงปอเหล่านี้มีขนาดหนึ่งจั้งกว่า ปีกโปร่งใสทั้งคู่โบกสะบัดอยู่ไม่หยุด และส่งเสียงดังหวึ่งๆ ดวงตาสีแดงทั้งคู่มีขนาดเท่ากำปั้น คมเขี้ยวที่โผล่ออกมาจากปาก ก็เสียดสีกันไปมาไม่หยุด พริบตาที่ไอหมอกโดนพัดสลายออกไปนั้น มันก็บินหวึ่งๆ มาทางนี้ทันที
อู๋ขุยเห็นเช่นนี้ก็พุ่งออกไปรับมือโดยตรง พอพลิกฝ่ามือก็มีสิ่งของบางอย่างปรากฏในมือ และโบกสะบัดไปด้านหน้าอย่างไม่ลังเล
แสงสีทองม้วนตัวออกไป!
พอแมลงปอยักษ์เหล่านั้นสัมผัสกับมัน ก็ถูกฟันจนร่วงลงไปเป็นชิ้นๆ ราวกับเผชิญหน้ากับมฤตยูโดยที่ไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย
พอหลิ่วหมิงหดรูม่านตาลง ถึงมองเห็นสิ่งที่อยู่ในมือของอู๋ขุยอย่างชัดเจน มันคือพัดขนนกสีทองเล่มหนึ่งนั่นเอง
“รบกวนสหายทั้งสองที่ลงมือแล้ว พวกเราไปกันเถอะ!” ฮวาชิงอิ่งเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็เรียกคนอื่นๆ ให้เหาะไปตามทางที่พายุบ้าระห่ำเปิดออกมา
ชายฉกรรจ์ผู้นั้นเหาะอยู่ตรงหน้าสุด เขากระตุ้นพายุบ้าระห่ำให้พัดไอหมอกตรงหน้าอยู่ไม่หยุด พอมีปีศาจแมลงบินออกมา ก็จะถูกอู๋ขุยและคนอื่นๆ สังหารจนหมดสิ้น
หลังจากเดินทางเช่นนี้จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งวัน พวกเขาถึงออกจากบึงพิษมืดแห่งนี้มาได้
ตลอดการเดินทางหลังจากนั้น พวกเขาก็พบเจอกับปีศาจอสูรระดับต่างๆ ไม่น้อย มีตั้งแต่ระดับของเหลวขั้นต้นไปจนถึงระดับผลึกขั้นปลาย แต่ต่อหน้าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้แล้ว พวกมันล้วนถูกสังหารอย่างง่ายดาย
หลังจากผ่านไปอีกสองวัน ฮวาชิงอิ่งก็พาทุกคนมาถึงบริเวณยอดเขาบางแห่งในส่วนลึกของเทือกเขาจูหลง
“สหายทุกท่าน หากข่าวกรองในก่อนหน้าไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ เดินหน้าเข้าไปอีกร้อยกว่าลี้ ก็จะถึงรังของผึ้งห้าแสงแล้ว” พอแสงหลบหลีกบนตัวฮวาชิงอิ่งดับลง นางก็หันมากล่าวกับทุกคนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ถ้าอย่างนั้นจะรออะไรอีกล่ะ! พวกเรารีบไปทำตามแผนที่วางไว้กันเถอะ!” อู๋ขุยเอามือถูกันแล้วกล่าวออกมา
“ย่อมเป็นเช่นนั้น แต่เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิด พวกข้าจะซ่อนตัวเข้าไปสำรวจดูบริเวณรัง หากระวังตัวกันสักหน่อยย่อมไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน” ฮวาชิงอิ่งกล่าวอย่างรอบคอบ
ชายชุดเขียวและคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็เห็นด้วยเป็นอย่างมาก
แม้อู๋ขุยจะเบะปากเหมือนไม่ใส่ใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ดังนั้นพวกเขาต่างก็แสดงเคล็ดวิชาซ่อนตัวแล้วเหาะไปด้านหน้าต่อ
หลังจากหลิ่วหมิงขยี้ยันต์ซ่อนตัวผืนหนึ่งจนแหลกละเอียดแล้ว ร่างของเขาก็กลายเป็นเงาจางๆ ตามติดไป
สำหรับพวกเขาแล้วระยะทางร้อยกว่าลี้นั้น ใช้เวลาเพียงครู่เดียวเท่านั้น
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ มีเสียงระเบิดดังมาจากสถานที่ที่อยู่ไม่ไกล
ภายใต้ความความตกใจ หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็พากันไปหลบซ่อนอยู่ในหมอกบริเวณนั้นโดยมิได้นัดหมาย
“ฮึ! คิดไม่ถึงว่าจะถูกคนอื่นคว้าไปก่อน แต่ก็แค่แก่นแท้ระดับล่างสองคนกับแก่นเสมือนหนึ่งคน ก็กล้ามาต่อกรกับราชินีผึ้งห้าแสงแล้ว ช่างไม่รู้จักประมาณพลังของตัวเองจริงๆ” น้ำเสียงของอู๋ขุยดังมาจากเมฆสีขาวก้อนหนึ่ง
“ก็ดีเหมือนกัน ให้พวกเขาทดสอบพลังของราชินีผึ้งให้พวกเราก่อน หากผู้ฝึกฝนปีศาจเหล่านี้โชคดีเอาชนะได้ พวกเราก็สังหารคนและแย่งของมา” เสียงหัวเราะอิๆ ของฮวาชิงอิ่งดังขึ้นข้างหูของพวกหลิ่วหมิง
ดวงตาหลิ่วหมิงเป็นประกายสองสามที เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่กลับมองไปยังบริเวณปากถ้ำขนาดใหญ่ที่ผู้ฝึกฝนปีศาจสามคนกำลังต่อสู้กับผึ้งยักษ์อยู่
ดูท่าด้านในคงจะเป็นรังของผึ้งห้าแสงจริงๆ แต่ไม่รู้ว่าผู้ฝึกฝนปีศาจเหล่านี้จะรู้ไหมว่า ด้านในยังมีราชินีผึ้งอันน่ากลัวอยู่ตัวหนึ่งด้วย
ขณะนั้นเอง ในบรรดาผู้ฝึกฝนปีศาจทั้งสามนั้น คนหนึ่งพ่นไฟอันร้อนแรงออกมา อีกคนก็ปล่อยคมวายุสังหารผึ้งห้าแสงบริเวณนั้นจนหมดสิ้น
ส่วนผู้ฝึกฝนปีศาจระดับแก่นเสมือนคนที่สามกลับนำยันต์เก็บของออกมาผืนหนึ่ง และขยี้จนแตกละเอียด
พอแสงสีขาวเปล่งประกาย สิ่งของสีแดงเลือดก็ร่วงลงพื้น และส่งกลิ่นคาวเลือดออกมา ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกฝนปีศาจทั้งสามก็หลบไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังภูเขาหินบริเวณนั้น
“เอ๊ะ! ผู้ฝึกฝนปีศาจเหล่านี้ได้เตรียมพร้อมมาก่อนแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะเตรียมเลือดเนื้อของหนูชิงเย่มา เพื่อล่อฝูงผึ้งให้ออกจากรังและค่อย ๆ สังหารมัน” หญิงที่สวมหมวกคลุมยาวกล่าวด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
ฮวาชิงอิ่งทำเสียงฮึดฮัดแล้วเตือนให้ทุกคนระวังตัวกันไว้ อย่าได้ส่งเสียงเด็ดขาด เพื่อป้องกันการถูกค้นพบ
ผลลัพธ์คือพอปล่อยเลือดเนื้อสีแดงลงไปได้ไม่นาน ก็มีเสียง “หวึ่งๆ!” ดังออกมาจากถ้ำ
ผึ้งห้าแสงตัวโตเต็มวัยที่มีรูปร่างค่อนข้างใหญ่ กระพือปีกบินออกมาจากถ้ำ ไม่ว่าจะเป็นขนาดรูปร่างหรือว่ากลิ่นไอ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่สิ่งที่ผึ้งยักษ์ธรรมดาในก่อนหน้านั้นจะเทียบได้
ครู่ต่อมา โซ่สีน้ำตาลปรากฏออกมา และรัดพันร่างผึ้งยักษ์ไว้แน่น ขณะเดียวกัน แสงสีเทาขนาดใหญ่ก็กะพริบผ่านไป ทันใดนั้นมันก็ตัดร่างของผึ้งยักษ์ออกเป็นสองท่อน ซึ่งเป็นการลงมือพร้อมกันของผู้ฝึกฝนปีศาจระดับแก่นแท้สองคนที่อยู่บริเวณนั้น
แต่ขณะที่ผู้ฝึกฝนปีศาจทั้งสามคิดที่จะเก็บซากศพเหล่านี้เข้าไปในถุงนั้น พลันมีแรงกดดันจิตวิญญาณกระเพื่อมออกมาจากรังผึ้งด้านใน!
ตามติดด้วยเสียงที่ดัง “ฟู่ๆ!” ผึ้งยักษ์สองตัวที่มีลวดลายจิตวิญญาณหลากสีปรากฏอยู่บนปีกทั้งสองอย่างชัดเจนบินออกมา พริบตาเดียวก็มาปรากฏตัวอยู่ด้านหลังผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจทั้งสาม และปิดกั้นทางหลบหนีไว้
ทั้งสามต่างก็นำอาวุธจิตวิญญาณออกมาด้วยความตกใจ แต่ผึ้งยักษ์ทั้งสองกลับดูเหมือนไม่คิดจะโจมตี เพียงแค่กระพือปีกลอยอยู่กลางอากาศเท่านั้น
“เดิมทีนึกว่านอกจากราชินีผึ้งแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นปีศาจผึ้งธรรมดา คิดไม่ถึงว่าจะมีระดับแก่นแท้อยู่ด้วยสองตัว!” ฮวาชิงอิ่งกลับสูดหายใจเข้าด้วยความเยือกเย็น และส่งเสียงให้ทุกคนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
“ฮึ! มีข้าผู้แซ่อู๋อยู่ที่นี่ด้วย ต่อให้มีปีศาจผึ้งระดับแก่นแท้เพิ่มมาอีกสองตัวจะเป็นไรไป อย่างมากก็แค่ลงไม้ลงมือให้มากหน่อยก็เท่านั้น” อู๋ขุยกลับทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา
ขณะที่ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจรีบถอยออกไปด้วยความตกใจนั้น ผึ้งยักษ์ที่มีไอหมอกสีม่วงลอยวนเวียนก็ค่อยๆ บินออกมาจากถ้ำ
หลังจากไอหมอกสีม่วงหายไป ผึ้งยักษ์สีม่วงขนาดสามสี่จั้งที่มีลวดลายจิตวิญญาณหลากสีปกคลุมเต็มตัวก็ปรากฏออกมา
ผึ้งตัวนี้ไม่เพียงแต่น่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างมาก ร่างกายส่วนล่างมีขนาดใหญ่กว่าส่วนบนหลายเท่า แลดูบวมและอืดอาดเชื่องช้าเป็นอย่างมาก พริบตาที่มันปรากฏตัว คลื่นอากาศก็ม้วนตัวออกมาอย่างบ้าคลั่ง จนทำให้อากาศบริเวณนั้นเกิดเสียงดังหวึ่งๆ และบิดเบี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง
ผู้ฝึกฝนปีศาจทั้งสามถูกกลิ่นไอของผึ้งยักษ์กดดันจนระดับแก่นแท้ทั้งสองต้องร่นถอยออกไปหลายก้าวด้วยสีหน้าหวาดกลัวสุดขีด
ส่วนระดับแก่นเสมือนผู้นั้น ก็คุกเข่าลงพื้นโดยไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ หางตาก็กระตุกอยู่สองสามครั้ง!
ดูท่าผึ้งยักษ์สีม่วงตัวนี้คงจะเป็นราชินีผึ้งห้าแสงตัวนั้นแล้ว แต่ว่าเหตุใดกลิ่นไอของมันถึงได้น่ากลัวเช่นนี้
ตอนที่ 678 เสาแห่งภาพสัญลักษณ์
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ไม่ถูกต้อง! สหายฮวาบอกว่าช่วงเวลาหลายวันนี้ ราชินีผึ้งเพิ่งวางไข่เสร็จคงจะอ่อนแอเป็นพิเศษ ระดับการฝึกฝนจะลดลงสู่ขั้นกลางชั่วคราวไม่ใช่หรอกหรือ? ดูจากสภาพในตอนนี้ ทำไมถึงดูเหมือนระดับแก่นแท้ขั้นปลายสมบูรณ์แบบล่ะ ข้ารู้สึกว่าภารกิจในครั้งนี้ไม่ได้ปลอดภัยมากนัก จำเป็นต้องวางแผนระยะยาวกันสักรอบจะดีกว่า” น้ำเสียงตกใจระคนโมโหดังมาจากเบื้องหลังหน้ากากหัวโค
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น หรือว่าราชินีปีศาจจะยังไม่ได้วางไข่ หรืออาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงพิเศษในขณะวางไข่?” น้ำเสียงของฮวาชิงอิ่งก็ดูเจ็บปวดขึ้นมา และเต็มไปด้วยความรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
แต่ครั้งนี้อู๋ขุยเพียงแค่ทำเสียงฮึดฮัด แต่กลับไม่เอ่ยปากพูดอะไรออกมา
หลิ่วหมิงหรี่ตามองไปด้านหน้าไกลๆ โดยไม่กะพริบตา
เพราะว่าในขณะนี้ กลิ่นไออันน่าหวาดกลัวของราชินีผึ้งได้แผ่ออกมาแล้ว
ร่างขนาดมหึมาของราชินีผึ้งเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวด้านหลังผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนเผ่าปีศาจผู้นั้น หนามแหลมตรงก้นของมันพร่ามัวแค่ทีเดียว ก็เจาะทะลุหน้าผากของผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นเสมือนไป
แขนทั้งคู่ของคนผู้นี้ที่กำลังยกขึ้นมาเพื่อกระตุ้นพลัง ก็ร่วงลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง และร่างของเขาก็หดตัวลงอย่างรวดเร็ว ครู่เดียวก็กลายเป็นศพแห้งๆ ศพหนึ่ง
ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นเสมือนผู้หนึ่ง กลับถูกโจมตีโดยที่ไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย ทั้งยังถูกดูดจนแห้งไปทั้งตัว
หลิ่วหมิงสูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน
พลังของราชินีผึ้งแข็งแกร่งเช่นนี้ แม้จะบอกว่าระดับแก่นเสมือนกับแก่นแท้ขั้นสมบูรณ์แบบมีความแตกต่างกันมาก แต่การถูกสังหารในช่วงเวลาเทียบเท่ากับการยกแขนยกขานั้น มันช่างเป็นเรื่องสยดสยองยิ่งนัก
พอเห็นฉากเช่นนี้ ใบหน้าของอู๋ขุยก็กระตุกอยู่ครู่หนึ่ง
“แย่แล้ว รีบหนีเร็ว!”
ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่มีปีกสีน้ำตาลเห็นเช่นนี้ ก็ตะโกนออกมาด้วยความตกใจ ขณะเดียวกัน ภายใต้การเปล่งประกายของแสงบนตัว แท่งแหลมๆ จำนวนมากก็พุ่งยิงออกมา
จากนั้นเขาก็หมุนตัวกลายเป็นลำแสงแวววาวพุ่งหนีไปทางยอดเขาแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็ว เพียแค่อึดใจเดียวก็พุ่งออกไปร้อยกว่าจั้งแล้ว
และผู้ฝึกฝนปีศาจอีกคนที่มีหูแคบยาวก็สะบัดแขนเสื้อปล่อยหมอกสีขาวออกมาอย่างหนาแน่น ขณะเดียวกันก็กลายเป็นแสงสีเหลืองกลุ่มหนึ่งพุ่งออกไปอีกทิศทางหนึ่ง
ราชินีผึ้งห้าแสงเห็นเช่นนี้ก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาด ลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงบนตัวเปล่งประกาย จากนั้นก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม ทำให้แท่งแหลมๆ เหล่านั้นร่วงลงบนความว่างเปล่า
ครู่ต่อมา แสงสีม่วงก็เปล่งประกายบนร่างขนาดมหึมาของราชินีผึ้ง ทันใดนั้นมันก็มาปรากฏตัวตรงหน้าผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่มีหูยาวอย่างรวดเร็ว พอมีคลื่นสั่นสะเทือนด้านหลังของเขา ลำแสงอีกสองลำก็พุ่งมาถึง
มันคือผึ้งงานระดับแก่นแท้สองตัวนั่นเอง ปีศาจผึ้งทั้งสามปิดกั้นเขาไว้
เนื่องจากอยู่ห่างกันค่อนข้างไกล ทำให้หลิ่วหมิงไม่อาจมองเห็นสถานการณ์การต่อสู้ทางด้านนั้นอย่างชัดเจน รู้สึกเพียงแค่ว่ามีคลื่นพลังเวทสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และแสงหลากสีจำนวนมากก็พุ่งขึ้นฟ้า
ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจหูยาวผู้นั้นกลายร่างเป็นหนูยักษ์ตัวหนึ่ง และพยายามดิ้นรนภายใต้การโจมตีของปีศาจผึ้งทั้งสาม
“หากทั้งสองจะหนีไปด้วยกันคงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ดูท่าคงจะรอดชีวิตแค่คนเดียวแล้ว น่าเสียดายที่คนเผ่าปีศาจที่มีหูยาวผู้นี้ เป็นผู้ที่มีระดับการฝึกฝนสูงสุดในบรรดาทั้งสามภถ้ผ/ แต่กลับต้องมาเสียชีวิตอยู่ที่นี่” ชายฉกรรจ์ที่อยู่บริเวณนั้นพลันกล่าวออกมาเบาๆ
“สหายอู๋ ตามความเห็นของท่าน ท่าน/คิดว่าพวกเราทั้งหกรวมกับธูปวิญญาณไม้จันทน์แล้ว สามารถจัดการราชินีผึ้งตัวนี้ได้หรือไม่?” ฮวาชิงอิ่งถามด้วยตาที่เป็นประกาย
“ต่อให้จะมีธูปวิญญาณไม้จันทน์คอยช่วย แต่หากจะสังหารปีศาจผึ้งระดับแก่นแท้ขั้นปลายสมบูรณ์แบบ ก็ใช่ว่าจะสามารถทำสำเร็จในระยะเวลาสั้นๆ ได้ ยิ่งไปกว่านั้นข้างตัวของมันยังมีผึ้งทรงพลังระดับแก่นแท้อยู่สองตัว หากเผชิญหน้ากับมันโดยตรง ยังไม่สามารถบอกได้ว่าฝ่ายใดจะชนะ” อู๋ขุยมองหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ทีหนึ่ง จากนั้นก็กล่าวออกมาอย่างรางเรียบด้วยท่าทีหยิ่งยโสเช่นเดิม
และในระหว่างที่เขาพูดออกมานั้น ผู้ฝึกฝนหูยาวที่กลายร่างเป็นหนูยักษ์ก็คำรามออกมาด้วยความโกรธแค้น
“ไปตายซะเถอะ!”
จากนั้นแสงสีเทาก็พุ่งออกจากร่างของเขาเป็นจำนวนมาก!
เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วขอบฟ้า “ตู๊ม!” กลุ่มแสงสีเทาเจิดจ้าปกคลุมปีศาจผึ้งทั้งสามไว้ในพริบตา
คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นแท้ผู้นี้ จะเลือกระเบิดแก่นแท้ของตนเอง!
จากนั้นพื้นดินที่อยู่ไกลๆ ก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ยอดเขาเล็กๆ ลูกนั้นก็ระเบิดจนหลุดไปส่วนหนึ่ง
ชั่วเวลานั้นเศษหินดินทรายปลิวว่อนจนไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ในนั้นได้อย่างชัดเจน
“คิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจจะแกร่งกร้าวและหยิ่งในศักดิ์ศรีเช่นนี้ ด้วยระยะห่างเช่นนี้ หากสามาถทำร้ายราชินีผึ้งตัวนั้นได้ จะเป็นการช่วยพวกเราได้เป็นอย่างมาก” หญิงที่สวมหมวกคลุมเห็นเช่นนี้ ก็พูดพึมพำด้วยความแปลกใจ
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่จ้องมองจุดระเบิดตรงตีนเขาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่
“สหายผู้นี้คิดมากไปแล้ว แม้ว่าการระเบิดแก่นแท้จะมีอานุภาพไม่เบา แต่เห็นได้ชัดว่ากลิ่นไอของราชินีผึ้งห้าแสงไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย คงจะใช้วิธีการบางอย่างหลบหนีไปได้แล้ว แต่ดูเหมือนว่าหนึ่งในผึ้งทรงพลังจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย กลิ่นไอลดลงอย่างเห็นได้ชัด” อู๋ขุยปราดตามองหญิงที่สวมหมวกคลุม และทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา
ขณะนั้นเอง เงาสีม่วงก็พุ่งออกจากกลุ่มแสงสีเทาที่อยู่ไกลๆ ซึ่งก็คือราชินีผึ้งที่ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย มันหยุดอยู่บริเวณปากถ้ำครู่หนึ่ง หลังจากมองไปรอบๆ แล้ว ก็อ้าปากกินอาหารเลือดจนหมดเกลี้ยง จากนั้นก็ส่งเสียงร้องด้วยความเบิกบานใจ และบินกลับเข้าไปในรัง
พอทุกคนเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมา
ขณะนี้กลุ่มแสงสีเทาที่เกิดจากการระเบิดตัวของแก่นแท้ค่อยๆ ดับลง เผยให้เห็นร่างของผึ้งงานสองตัวที่กำลังบินไปทางปากถ้ำอย่างช้าๆ
ตัวหนึ่งในนั้นปีกขาดไปครึ่งหนึ่ง บนตัวก็มีรูสีดำขนาดใหญ่ มีของเหลวสีม่วงซึมออกมาอยู่รำไร
ผึ้งงานทั้งสองลาดตระเวนหน้าปากถ้ำอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นตัวหนึ่งก็บินเข้าไปด้านใน
ผึ้งงานอีกตัวหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ จากนั้นก็หุบปีกพุ่งลงด้านล่างอย่างรวดเร็ว และหายไปจากสายตาของพวกเขา
ไม่นาน ขณะที่มันบินขึ้นมาอีกครั้ง เท้าทั้งหกของมันก็หิ้วศพหนูยักษ์สีเทาขึ้นมา และกระพือปีกบินเข้าไปในถ้ำ
“ดูท่าผึ้งงานตัวที่ได้รับบาดเจ็บคงจะต้านทานการระเบิดแก่นแท้ให้กับราชินีผึ้ง” ฮวาชิงอิ่งเห็นเช่นนี้ก็ละสายตากลับมา และปรากฏตัวท่ามกลางเมฆหมอกบริเวณนั้น จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนกล่าว
“ในเมื่อราชินีผึ้งตัวนี้ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ดูท่าพวกเราจำเป็นต้องวางแผนกันใหม่แล้ว” ชายชุดเขียวกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นก็พากันปรากฏตัวออกมา ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ต่างก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป
ขณะนี้ฮวาชิงอิ่งกลับหันไปมองอู๋ขุย
“สหายฮวา กระบวนการในครั้งนี้เจ้าเป็นคนเรียกคนมา จะมองข้าทำไม?” อู๋ขุยแบมือทั้งสองออก และกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“สหายอู๋ หากท่านมีวิธีการอะไรในการจัดการราชินีผึ้งได้ล่ะก็ ลองพูดออกมาเถอะ เคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ต่างๆ ของเผ่าหมานของพวกท่าน ข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง อย่างมากก็แค่เพิ่มผลประโยชน์ให้ท่านอีกส่วนหลังจากเสร็จเรื่องเท่านั้น” ฮวาชิงอิ่งพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เฮ่อๆ! ในเมื่อสหายฮวากล่าวเช่นนี้แล้ว ข้าก็ไม่อาจปิดบังได้อีก มันมีวิธีการหนึ่งจริงๆ แต่ต้องให้สหายผู้นี้คอยช่วยถึงจะได้” อู๋ขุยเอามือลูบคาง และมองชายฉกรรจ์ทีหนึ่ง ทันใดนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าแปลกๆ
“หรือว่าที่สหายอู๋พูดจะหมายถึง…” ชายฉกรรจ์ได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที
“ไม่ผิด เป็นเสาแห่งภาพสัญลักษณ์จริงๆ สหายก็เป็นคนเผ่าหมาน ไม่ต้องให้ข้าพูดอะไรมากแล้ว ภาพสัญลักษณ์ของข้าก็มีวิชาชนิดนี้พอดี ภายในพื้นที่ควบคุมของเสานี้ สามารถจำกัดการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ได้เป็นอย่างมาก เมื่อเสริมด้วยธูปวิญญาณไม้จันทน์แล้ว คงจัดการกับราชินีผึ้งได้อย่างไม่มีปัญหามากนัก แต่ว่าหากจะกระตุ้นพลังที่แท้จริงของเสาแห่งภาพสัญลักษณ์นี้ ยังต้องวางค่ายกลไว้รอบๆ เสานี้ชุดหนึ่งด้วย พอถึงเวลานั้นข้าจะลงมือก่อกวนราชินีผึ้งเอง ค่ายกลนี้ต้องให้สหายควบคุมแทนแล้ว” อู๋ขุยค่อยๆ กล่าวกับชายฉกรรจ์
“ในเมื่อสหายอู๋มีความมั่นใจเช่นนี้ ข้าน้อยก็สามารถช่วยควบคุมค่ายกลนี้ได้อย่างไม่มีปัญหา” ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้วลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าตกลง
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ
“ในเมื่อไม่มีข้อคัดค้านใดๆ แล้ว เรื่องนี้ไม่อาจชักช้าได้ พวกเราวางเสาแห่งภาพสัญลักษณ์และค่ายกลก่อน จากนั้นก็ลงมือในทันที” อู๋ขุยเห็นเช่นนี้ก็กล่าวโดยไม่ต้องคิด
ดังนั้นหลังจากพวกเขามองหน้ากันทีหนึ่งแล้ว ก็ร่อนลงไปยังป่าที่อยู่ด้านล่าง
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป พวกเขาก็ร่อนลงบนทุ่งหญ้าโล่งๆ แห่งหนึ่ง
“เอาที่นี่ก็แล้วกัน สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากรังผึ้งระยะหนึ่ง เวลาที่ต่อสู้กันคงไม่สั่นสะเทือนถึงปีศาจผึ้งตัวอื่นๆ” ฮวาชิงอิ่งกวาดสายตามองดูรอบด้าน และตัดสินใจทันที
อู๋ขุยได้ยินก็พยักหน้า พอสะบัดแขนเสื้อ เสาสีเขียวขนาดยาวแค่นิ้วชี้ก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ หลังจากหมุนติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็หมุนวนอย่างรวดเร็ว
อู๋ขุยปล่อยพลังใส่อากาศติดต่อกันสามสี่สาย แสงสีเขียวเปล่งประกายบนเสาเล็กสีเขียวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ขยายใหญ่ตามลมจนมีขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ และหล่นลงพื้นหญ้าตรงหน้าอย่างรุนแรง “โครม!”
หลิ่วหมิงสังเกตเสากลมๆ ขนาดใหญ่ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที
จะเห็นว่าพื้นผิวของเสาต้นนี้มีลวดลายจิตวิญญาณสีเขียวสลัวๆ ประทับอยู่ ส่วนบนของมันมีปีศาจอสูรรูปพยัคฆ์ที่ดูราวกับมีชีวิตนอนหมอบอยู่
จากนั้นอู๋ขุยก็ทำท่ามืออยู่ไม่หยุด ระลอกคลื่นสีเขียวจางๆ ปรากฏขึ้นรอบๆ เสาแห่งภาพสัญลักษณ์ และขยายกว้างออกไปจนปกคลุมพื้นที่ในระยะหลายสิบจั้งไว้
พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดู ก็รับรู้ได้ถึงพลังของชั้นจำกัดในนั้นลางๆ
“เสาแห่งภาพสัญลักษณ์ของสหายอู๋ช่างมหัศจรรย์เสียจริงๆ” ฮวาชิงอิ่งกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อู๋ขุยไม่พูดอะไรออกมา แต่กลับนำธงค่ายกลสีเหลืองแปดทิศชุดหนึ่งออกมา และโยนไปในอากาศ
“แยก!”
แสงสีเหลืองแวววาวเปล่งประกายกลางอากาศอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พุ่งออกไปรอบด้าน และร่วงลงรอบๆ เสาแห่งภาพสัญลักษณ์อย่างมั่นคงจนก่อตัวเป็นค่ายกลที่มีพื้นที่หนึ่งหมู่กว่าๆ
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ อู๋ขุยก็พลิกฝ่ามือนำแผ่นค่ายกลสีเหลืองออกมา และปล่อยพลังใส่เข้าไปสองสามสาย
แผ่นค่ายกลส่งเสียงดังหวึ่งๆ ไอหมอกสีเหลืองกลุ่มหนึ่งพวยพุ่งออกจากธงค่ายกลสีเหลืองที่อยู่รอบๆ และตลบอบอวลอยู่ในค่ายกลทั้งหลัง
ตอนที่ 679 ลวงฆ่าราชินีผึ้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อีกประเดี๋ยวก็ล่อราชินีผึ้งห้าแสงไปบริเวณค่ายกล เจ้าเปิดประตูค่ายกลให้มันเข้าไปด้านใน ขณะเดียวกันก็กระตุ้นธูปวิญญาณไม้จันทน์ และเข้าไปถ่วงเวลาด้านในพร้อมกับข้า ด้วยพลังของข้ากับเจ้า หากตรึงปีศาจผึ้งตัวนี้ไว้ในค่ายกล คงไม่มีปัญหาอะไร แต่หากจะสังหารมันโดยสิ้นเชิง ยังต้องรอให้คนอื่นๆ มารวมตัวกันก่อน ถึงจะลงมือพร้อมกันได้ หากเสี่ยงอันตรายลงมือ การสละชีพโจมตีกลับของปีศาจผึ้งนี้ ไม่ใช่สิ่งที่สามารถรับมือได้โดยง่าย อีกอย่างยันต์หลายผืนเหล่านี้ สหายทุกท่านต่างก็มีติดตัว พอถึงเวลานั้นก็สามารถหลีกเลี่ยงผลกระทบของวิชาภาพสัญลักษณ์ได้” อู๋ขุยโยนแผ่นค่ายกลในมือให้ชายฉกรรจ์ที่ใส่หน้ากากหัวโคก่อน จากนั้นก็นำยันต์สีเงินออกมาสองสามผืน และโยนให้หลิ่วหมิงกับคนอื่นๆ ด้วยสีหน้าจริงจัง
“สหายอู๋วางใจเถอะ!” ชายฉกรรจ์รับแผ่นค่ายกลแล้วกล่าวออกมา
เวลาต่อมา อู๋ขุยยังแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับชายฉกรรจ์เกี่ยวกับประเด็นที่ต้องระมัดระวังในขณะที่ควบคุมค่ายกล
ฮวาชิงอิ่งก็นำกล่องหยกสีดำออกมามอบให้อู๋ขุยอย่างระมัดระวัง
“คำพูดเตือนสติได้พูดไปก่อนแล้ว เสาแห่งภาพสัญลักษณ์ได้ผ่านการปรับแต่งมาหลายสิบปีแล้ว และเชื่อมโยงกับจิตของข้า หากเจ้ากล้าคิดที่จะโจมตีภาพสัญลักษณ์นี้ หรือถือโอกาสวางแผนนำภาพสัญลักษณ์นี้หายเข้ากลีบเมฆไปล่ะก็ อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน” ก่อนไปอู๋ขุยก็พูดกับชายฉกรรจ์ด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ฮึ! สหายอู๋คิดมากไปแล้ว ไหนเลยข้าจะกล้านำชีวิตของข้ามาล้อเล่นกับเสาแห่งภาพสัญลักษณ์นี้” ชายฉกรรจ์ทำเสียงฮึดฮัดแล้วกล่าวออกมา จากนั้นก็เดินตรงไปยังมุมหนึ่งของค่ายกล
ขณะนี้อู๋ขุยถึงมีสีหน้าผ่อนคลายลง และกลายเป็นแสงงดงามพุ่งไปทางรังผึ้ง
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็ทะยานฟ้าตามไป และส่งเสียงหารือกันอย่างรวดเร็ว
ในเมื่อรู้ว่าราชินีผึ้งอยู่ในถ้ำ พวกเขาย่อมเก็บกลิ่นไอและพลังเข้าไปทั้งหมด
“เมื่ออู๋ขุยล่อผึ้งห้าแสงตัวนั้นไปแล้ว พวกเราทั้งสี่ก็รับมือกับปีศาจผึ้งระดับแก่นแท้สองตัวนั้น คนหนึ่งรับมือกับปีศาจผึ้งที่ได้รับบาดเจ็บ ที่เหลืออีกสามคนก็รวมพลังกันรับมือกับอีกตัว แม้ว่าปีศาจผึ้งตัวนั้นจะได้รับบาดเจ็บไม่น้อย แต่ก็ยังเป็นปีศาจอสูรระดับแก่นแท้อยู่ หากสหายท่านใดรับมือกับมันเพียงคนเดียว แน่นอนว่าหลังจากปีศาจผึ้งตัวนี้ตายแล้ว ศพของมันย่อมเป็นของคนผู้นั้น” ฮวาชิงอิ่งเหาะไปพลางๆ และพูดไปพลางๆ
คนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากันด้วยความลังเล
ใครๆ ก็รู้ดีว่าปีศาจอสูรที่ยิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็จะยิ่งอันตรายมากขึ้น แม้ว่าปีศาจผึ้งระดับแก่นแท้ตัวนั้นจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ใครจะรับรองได้ว่ามันจะไม่มีวิธีการอื่นในการเอาตัวรอด หรืออาจจะระเบิดแก่นแท้ก็เป็นไปได้ ดังนั้นการรับมือกับมันตัวคนเดียว ย่อมเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างมาก
ในทางตรงกันข้าม หากรวมพลังกันรับมือกับปีศาจผึ้งอีกตัวล่ะก็ ภายใต้สถานการณ์สามรุมหนึ่ง ย่อมปลอดภัยกว่ามาก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็คิดใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆ เอ่ยปากออกมา
“ในเมื่อไม่มีใครรับ ข้าจะรับเอง”
ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนสหายแล้ว หากไม่ไหวจริงๆ ล่ะก็ ตรึงมันเอาไว้ก่อนก็ได้ รอพวกเราทั้งสามสังหารอีกตัวได้แล้ว จะรีบมาช่วยทันที” ฮวาชิงอิ่งเห็นเช่นนี้ก็รีบกล่าวด้วยความดีใจ
หลิ่วหมิงยิ้มและไม่กล่าวอะไรออกมา
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป คนกลุ่มนี้ก็มาถึงบริเวณหน้าปากถ้ำ
“ทุกท่าน หากเตรียมพร้อมแล้ว ข้าจะไปวางอาหารเลือดกับสิ่งของเล็กๆ จำนวนหนึ่งที่ปากถ้ำ” ชายชุดเขียวมองดูสภาพพื้นที่บริเวณหน้าปากถ้ำแล้วกระแอมไอเบาๆ ก่อนส่งเสียงพูด
“อันนี้ย่อมได้”
ฮวาชิงอิ่งพยักหน้า แต่อู๋ขุยกลับเผยสีหน้าไม่เห็นด้วย
ไอหมอกรอบตัวชายหนุ่มชุดเขียวม้วนตัวมาถึงปากถ้ำโดยไม่สนใจท่าทีของคนอื่นๆ เขาวางกรวยแหลมหลายอันที่มียันต์สีทองจางๆ ติดอยู่ลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ใช้ดินปิดทับเล็กน้อย และล้อมเป็นรูปวงกลมที่มีขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ เมื่อเขาขยี้ยันต์เก็บของผืนหนึ่งจนแตกกระจาย เลือดเนื้อสีแดงสดกองหนึ่งก็ไหลออกมา ทันใดนั้นกลิ่นคาวเลือดก็โชยออกมา
“หรือว่านี่จะเป็นกรวยเปลวไฟระเบิด?” หญิงสวมหมวกคลุมกวาดสายตาดูบริเวณที่มีกรวยแหลมๆ ฝังอยู่ และถามออกมาด้วยความประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย
พูดถึงกรวยเปลวไฟระเบิดนี้ จากการเข้าร่วมงานประมูลในหลายปีที่ผ่านมา เขาก็พอจะได้ยินชื่อของมันอยู่บ้าง มันเป็นอาวุธจิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงในดินแดนป่าเถื่อนทางตอนใต้ นับว่าเป็นโลหะพิเศษของที่นี่ที่ผ่านการชุบหลอมในเปลวไฟสิบกว่าปีขึ้นไปถึงจะหลอมได้สำเร็จ พอออกจากเตา จำเป็นต้องใช้ยันต์ที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษในการควบคุมเปลวไฟร้อนแรงที่สะสมอยู่ในนั้น พอกระตุ้นยันต์นี้ มันก็จะระเบิดออกมาเป็นเปลวไฟอันร้อนแรงทันที พลังของมันยังเทียบเท่ากับการโหมโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของผู้ฝึกฝนระดับผลึกด้วย ซึ่งมีมูลค่าไม่เบา
“คงจะใช่ แต่ต่อให้ทั้งสิบกว่าอันนี้ระเบิดออกมาพร้อมกัน ซึ่งจะมีพลังไม่น้อย แต่หากจะทำร้ายราชินีผึ้งล่ะก็ เกรงว่าคงจะด้อยไปหน่อย” อู๋ขุยกลับเบ้ปากกล่าวออกมา
ประกายตาของฮวาชิงอิ่งยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ดูเหมือนว่าจะรู้ถึงการกระทำของชายชุดเขียวตั้งแต่แรกแล้ว
ในระหว่างเวลานั้น ชายชุดเขียวก็จัดวางทุกอย่างเสร็จสรรพ และกลายเป็นหมอกเบาบางลอยไปซ่อนตัวตรงก้อนหินยักษ์ที่อยู่ไม่ไกล
อู๋ขุยเห็นเช่นนี้ ก็ขยับร่างไปปรากฏอยู่บนต้นไม้โบราณบริเวณรังผึ้งอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็แสดงเคล็ดวิชาซ่อนตัวอยู่กลางอากาศ
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ แรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งก็ทะลักออกจากปากถ้ำอีกครั้ง ปีศาจผึ้งระดับแก่นแท้ที่ไม่ได้รับบาดเจ็บตัวนั้นบินออกมา หลังจากสังเกตดูรอบๆ แล้ว ตัวที่ได้รับบาดเจ็บก็บินออกมาด้วย
ขณะที่ปีศาจผึ้งยักษ์ทั้งสองบินออกมาได้ไม่นาน เงาสีม่วงก็ค่อยๆ บินออกมา
มันคือราชินีผึ้งห้าแสงระดับแก่นแท้ขั้นปลายสมบูรณ์แบบตัวนั้น ที่แตกต่างจากก่อนหน้านั้นก็คือ ดูเหมือนว่าลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงบนหลังของมันจะมืดลงไปเล็กน้อย กลิ่นไอก็ดูเหมือนจะลดลงหนึ่งถึงสองส่วน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดกันแน่
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังรู้สึกฉงนอยู่เล็กน้อยนั้น พลันมีเสียงฮวาชิงอิ่งดังขึ้นข้างหูเบาๆ
“หลังจากราชินีผึ้งกลืนกินโลหิตของผู้ฝึกฝนปีศาจเข้าไป คงจะไปวางไข่มาเมื่อครู่ ตอนนี้การบ่มเพาะลดลง ดูท่าพวกเราจะมาได้เวลาพอดี”
คนอื่นๆ ต่างก็ค้นพบเช่นกัน เมื่อได้ยินเช่นนี้ย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
ขณะนั้นเอง ผึ้งงานสองตัวก็กระพือปีกไปมาในวงกลมเล็กๆ ที่ชายชุดเขียววางไว้ และดูเหมือนว่าจะไม่ค้นพบความผิดปกติแต่อย่างใด ทันใดนั้นก็หันตัวกลับมาในทันที และส่งเสียง “หึ่งๆ!” กับราชินีผึ้งห้าแสงอยู่ครู่หนึ่ง
หลังจากราชินีผึ้งส่งเสียงแปลกประหลาดออกมาแล้ว ก็บินเข้าไปในวงกลมเล็กๆ และก้มหน้ากินเลือดเนื้อบนพื้น
ขณะนั้นเอง ร่างของชายหนุ่มชุดเขียวก็พร่ามัวมาปรากฏตัวด้านหลังก้อนหินยักษ์ ขณะเดียวกันก็ดีดนิ้วทั้งสิบออกไปติดต่อกัน แสงสีเขียวแคบยาวแต่ละลำจมหายไปในบริเวณวงกลมขนาดเล็กที่วางอาหารเลือดไว้ ทันใดนั้นก็มีเสียงระเบิดดัง “ปังๆ!” ตามด้วยเสียงดัง “ตู๊ม!”
เมฆอัคคีสีเงินหลายกลุ่มพุ่งขึ้นฟ้า แม้แต่ปีศาจผึ้งทั้งสามต่างก็จมอยู่ในนั้นภายในพริบตา
แต่ทว่าผ่านไปแค่พริบตาเดียว เงาร่างสีม่วงก็พุ่งออกจากเมฆอัคคี หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบแล้ว ก็ส่งเสียงร้องแหลมด้วยความโมโหอย่างถึงขีดสุด มันคือราชินีผึ้งที่มีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงเต็มตัวนั่นเอง
ขณะนี้ บนตัวราชินีผึ้งห้าแสงไม่มีบาดแผลใดๆ เลย ประจักษ์ชัดว่ากรวยเปลวไฟระเบิดนี้ ไม่สามารถทำอะไรมันได้เลยแม้แต่น้อย แต่การถูกการโจมตีอย่างกะทันหันเช่นนี้ กลับกระตุ้นให้มันโมโหจนถึงขีดสุด
ดวงตาสีม่วงทั้งคู่จ้องมองชายขุดเขียวที่อยู่ไม่ไกลโดยไม่กะพริบ เขาเดี่ยวบนหัวสั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด และลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงจางๆ บนปีกห้าสีก็เปล่งประกายขึ้นมา
จากนั้น ผึ้งงานอีกสองตัวก็พุ่งออกจากเมฆอัคคีสีเงิน แต่บนตัวกลับดำเกรียมไปทั้งแถบ ดวงตาที่จ้องมองชายหนุ่มชุดเขียวก็กลายเป็นสีแดงก่ำ
ชายหนุ่มชุดเขียวนำธงสามเหลี่ยมสีเขียวออกมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที พอโบกสะบัดหนึ่งที ไอหมอกก็พวยพุ่งรอบตัว หลังจากม้วนตัวหนึ่งทีแล้ว ก็ห่อหุ้มผึ้งงานระดับแก่นแท้ทั้งสองไว้
ขณะนั้นเอง อู๋ขุยก็พุ่งออกจากบริเวณนั้น และโบกพัดขนนกสีทองในมือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากเกิดเสียงดังก้อง แสงสีทองก็ฟันเข้าใส่ราชินีผึ้ง
ราชินีผึ้งห้าแสงส่งเสียงร้องแหลม และหันหน้ามาทันที หลังจากเขาเดี่ยวสั่นสะท้าน สายฟ้าสีม่วงเส้นหนึ่งก็พุ่งยิงออกมา พริบตาเดียวก็ปะทะกับแสงสีทองที่โจมตีเข้ามา
ชั่วขณะนั้น แสงทรงกลดสีทองกับแสงทรงกรดสีม่วงก็ประสานกันไปมากลางอากาศ กลิ่นไอทำลายล้างม้วนตัวออกไปทั่วทิศเป็นระยะๆ
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง อู๋ขุยกลับเก็บอาวุธในฉับพลัน และหมุนตัวกลายเป็นแสงหลากสีหลบหนีไป
ราชินีผึ้งห้าแสงส่งเสียงออกมาทีหนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีม่วงพุ่งตามไป
ผึ้งงานระดับแก่นแท้ทั้งสองเห็นเช่นนี้ ก็พยายามโจมตีไอหมอกที่กักขังพวกมันอยู่ เพื่อจะตามราชินีผึ้งไป
แต่ชายหนุ่มชุดเขียวกลับพยายามโบกสะบัดธงสามเหลี่ยมในมือ เพื่อปล่อยไอหมอกสีเขียวรัดพันปีศาจผึ้งทั้งสองไว้อย่างสุดความสามารถ และแหงนหน้าตะโกนออกมา
“พวกเจ้ารออะไรกันอยู่ ยังไม่รีบลงมืออีก!”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ก็มีคลื่นสั่นสะเทือนกลางอากาศ หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ปรากฏตัวออกมา และพุ่งลงด้านล่างโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ดูเหมือนว่าราชินีผึ้งห้าแสงตัวนั้นจะรับรู้อะไรบางอย่างได้ แสงหลบหลีกสีม่วงกลางอากาศจึงหยุดชะงักเล็กน้อย หลังจากหันหน้ามาดูแล้ว ก็อยากจะพุ่งกลับมา แต่ก็ถูกแสงสีทองที่อู๋ขุยปล่อยออกมากกระตุ้นให้เกิดความโมโหอีกครั้ง ลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงบนตัวจึงเปล่งประกายในทันที จากนั้นก็ไล่ล่าอู๋ขุยต่อ
ขณะนี้ ฮวาชิงอิ่งกับหญิงที่สวมหมวกคลุมก็เคลื่อนตัวเข้าไปในไอหมอกแล้ว พวกนางล้อมผึ้งงานที่ยังไม่ได้รับบาดเจ็บตัวนั้นไว้ และลงมือพร้อมกันโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
ชายชุดเขียวที่อยู่ด้านนอกเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก พอกระตุ้นธงสามเหลี่ยม ไอหมอกเขียวก็พวยพุ่งอีกครั้ง และปล่อยผึ้งงานที่ได้รับบาดเจ็บออกมา ส่วนตนเองก็กะพริบหายไปในกลุ่มการต่อสู้ที่อยู่ด้านข้าง
ผึ้งงานตัวที่ได้รับบาดเจ็บส่งเสียงร้องออกมาก่อนบินพุ่งขึ้นฟ้า พริบตาเดียวก็บินออกไปหลายสิบจั้ง และตามราชินีผึ้งไปโดยไม่สนใจปีศาจผึ้งอีกตัวอีก
แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเงาร่างเคลื่อนไหว จากนั้นหลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวตรงหน้าปีศาจผึ้งที่ได้รับบาดเจ็บด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก พอยกแขนเสื้อขึ้น โล่กระดูกชิ้นหนึ่งก็พุ่งออกไป หลังจากหมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็ส่งเสียงดัง “ฟู่!” ก่อนกลายเป็นหมอกดำปกคลุมตัวเองและปีศาจผึ้งที่ได้รับบาดเจ็บไว้
หลิ่วหมิงได้วางแผนไว้ในใจตั้งแต่แรกแล้ว การจัดการกับปีศาจผึ้งที่ได้รับบาดเจ็บนี้ จะต้องสังหารมันด้วยพลังที่มีอานุภาพสูง แต่ก็ไม่อยากแสดงเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกับกระบี่บินพลังจิตวิญญาณต่อหน้าคนอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้ หลังจากเขาคิดไตร่ตรองไปหนึ่งรอบแล้ว ถึงใช้ทะเลหมอกที่กลายร่างมาจากโล่เก้ากะโหลกนี้ปกคลุมไว้
ตอนที่ 680 ล้อมปราบราชินีผึ้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ปีศาจผึ้งที่ได้รับบาดเจ็บเบิกตาสีเลือดทั้งคู่จ้องมองหลิ่วหมิงที่อยู่ไปในทะเลหมอกสีดำ ปีกที่ได้รับความเสียหายก็กระพืออยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดพายุบ้าระห่ำเป็นพักๆ และขับไล่ทะเลหมอกรอบด้านไม่ให้เข้าประชิดตัว
ทั้งสองฝ่ายคุมเชิงกันอย่างง่ายๆ ไม่กี่อึดใจ หลังจากปีศาจผึ้งตัวนี้ส่งเสียง “หึ่งๆ!” ออกมาแล้ว ก็ลงมือโจมตีก่อน หนามแหลมตรงก้นสั่นสะเทือน และพุ่งยิงออกมา ในระหว่างทางมันก็กลายเป็นหนามแหลมสีเหลืองจางๆ ที่มีขนาดหนึ่งชุ่นกว่าๆ จำนวนร้อยกว่าอันก่อนพุ่งยิงใส่หลิ่วหมิง
และในขณะเดียวกัน หนามสีเหลืองก็เปล่งประกายตรงก้นของผึ้งตัวนี้ จากนั้นหนามพิษที่เหมือนกับก่อนหน้านั้นไม่มีผิดก็ปรากฏออกมา และพุ่งออกไปอีกครั้ง
มือทั้งสองของหลิ่วหมิงหยุดชักลง เงาโล่เก้ากะโหลกปรากฏขึ้นตรงหน้า และพ่นเปลวไฟสีเขียวออกเผาไหม้หนามแหลมที่พุ่งเข้ามาจนกลายเป็นขี้เถ้าไปกว่าครึ่งหนึ่ง
พอเขากระตุ้นพลังเวทภายในร่างอย่างรุนแรง ไอดำก็พวยพุ่งออกจากตัว ร่างของเขาพร่ามัวกลายเป็นเงาสีดำสามเงาก่อนพุ่งออกไปด้านหน้า
“ตู๊ม!” “ตู๊ม!” เงาร่างสองเงาถูกหนามแหลมแทงจนระเบิดในระหว่างทาง และกลายเป็นไอดำอันพวยพุ่ง ส่วนเงาที่สามก็กระพริบไปปรากฏตัวด้านหลังปีศาจผึ้งราวกับปีศาจ และค่อยๆ ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา
“ตู๊ม!” เกิดเสียงระเบิดดังขึ้น!
สายฟ้าสีเงินขนาดเท่าปากถ้วยพุ่งออกจากฝ่ามือของเขา และระเบิดตัวกลางอากาศจนกลายเป็นไหมสายฟ้าสีเงินปกคลุมปีศาจผึ้งไว้
แม้ว่าปีศาจผึ้งจะได้รับบาดเจ็บอยู่ แต่อย่างไรก็เป็นปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ พอกระพือปีกทั้งคู่อย่างรุนแรง แสงจิตวิญญาณห้าสีก็เปล่งประกายออกมาต้านทานไหมสายเหล่านี้ไว้ พอหมุนตัวอย่างรวดเร็ว มันก็ส่งเสียงร้องด้วยความโมโห หนามพิษที่เพิ่งปรากฏขึ้นมาใหม่พร่ามัวอีกครั้ง และกลายเป็นเงาเหล็กหมาดพุ่งใส่หลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็อุทาน “เอ๊ะ!” ออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้ พอเอานิ้วชี้ระหว่างคิ้ว แสงสีทองก็เปล่งประกายออกมา จากนั้นกระบี่เล็กสีทองก็ม้วนตัวออกไปอย่างไร้สุ้มเสียง และฟันใส่เงาเหล็กหมาดขนาดใหญ่
เกิดเสียงดังขึ้น!
เงาเหล็กหมาดถูกแสงกระบี่ปั่นจนแหลกละเอียดภายในพริบตา จากนั้นก็พร่ามัวมาปรากฏเหนือร่างปีศาจผึ้งอย่างน่าประหลาดใจ มันส่งเสียงดังกังวานก่อนกลายเป็นกระบี่ทองคำที่ยาวหลายจั้ง และฟันลงไปอย่างโหดเหี้ยม
ปีศาจผึ้งเผยแววตาหวาดกลัวออกมา หนวดสัมผัสคู่หนึ่งชี้ขึ้นฟ้า และกลายเป็นเงายักษ์สองเงาก่อนหวดออกไป ขาหน้าก็ขยายใหญ่มาต้านทานไว้ตรงหน้า ขณะเดียวกันพอมันขยับก้น หนามพิษสีแดงสดที่แตกต่างจากก่อนหน้านั้นอย่างสิ้นเชิงก็ยื่นออกมา และกลายเป็นแสงโลหิตจางๆ พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
ประจักษ์ชัดว่าปีศาจผึ้งตัวนี้รู้ถึงความร้ายกาจของหลิ่วหมิงแล้ว ดังนั้นจึงแสดงความสามารถแท้จริงออกมาทั้งหมด
ความเร็วของแสงสีโลหิตรวดเร็วอย่างหาที่เปรียบมิได้ กระบี่ยักษ์สีทองกลางอากาศยังฟันลงมาไม่ถึง มันก็พุ่งมาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิงแล้ว ราวกับว่าเคลื่อนย้ายเพียงแค่พริบตาเดียว
หลิ่วหมิงหดรูม่านตาลง จะเห็นว่าเท้าทั้งคู่ของเขาไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย แต่ร่างของเขากลับพุ่งออกไปจนเกิดเป็นเงาซ้อนทับกัน พอสะบัดไหล่ ก็กลายเป็นเงาสามเงาพุ่งยิงออกไป
แสงโลหิตกลับไม่สนใจเงาของเขาเลยแม้แต่น้อย มันเอาแต่ตามเงาที่สามไปติดๆ ราวกับว่าสามารถมองเห็นร่างจริงของหลิ่วหมิงโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
หลิ่วหมิงสะดุ้งตกใจเป็นอย่างมาก เขาแสดงวิชาท่าร่างแปลกประหลาดที่ฝึกฝนในแดนมายาด้วยพลังทั้งหมด จากนั้นร่างของเขาก็ปรากฏขาดๆ หายๆ อยู่บริเวณหมอกดำ และแสงโลหิตก็ไม่อาจตามร่างจริงของเขาได้ทัน
ขณะนั้นเอง แสงสีทองกลับเปล่งประกายทางด้านนั้น ปีศาจผึ้งส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา เงาที่กลายร่างมาจากหนวดสัมผัสทั้งสอง และขาหน้าทั้งสองถูกกระบี่ยักษ์ฟันจนขาด
จากนั้นกระบี่ยักษ์สีทองก็ฟันลงบนตัวปีศาจผึ้งโดยไม่มีสิ่งใดมาต้านทานไว้อีก และฟันส่วนก้นกับลำตัวส่วนล่างจนขาด
แม้ว่าปีศาจผึ้งระดับแก่นแท้จะมีกายเนื้อแข็งแกร่ง แต่ไหนเลยจะเทียบกับความแหลมคมของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณได้ ยิ่งไปกว่านั้นตัวมันเองก็ได้รับบาดเจ็บมาแต่เดิมอยู่ก่อนแล้ว
หลิ่วหมิงที่ยังคงกระตุ้นวิชาเงาร่างสามส่วนหลบหลีกแสงโลหิตอยู่เห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา แต่ครู่ต่อมาสีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
จะเห็นว่าปีศาจผึ้งที่สูญเสียร่างไปส่วนหนึ่ง ยังคงกระพืออย่างบ้าคลั่ง และกลายเป็นเงาร่างพุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางเสียงร้องแหลมที่ดังอยู่ไม่หยุด เพื่อทำการหลบหนีไปให้ไกลๆ
แต่หลิ่วหมิงกลับเผยรอยยิ้มอันเยือกเย็นออกมา ร่างของเขายังคงเคลื่อนไหวราวกับปีศาจ แต่มือข้างหนึ่งกลับทำท่ามืออย่างรวดเร็ว ส่วนอีกข้างก็ชี้ไปยังปีศาจผึ้งที่อยู่กลางอากาศ
“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” หมอกดำพวยพุ่งบริเวณที่ปีศาจผึ้งอยู่อย่างบ้าคลั่ง จากนั้นเงาโล่เก้ากะโหลกก็พุ่งออกมา หลังจากพร่ามัวแล้ว มันก็อ้าปากกัดปีศาจผึ้งที่มีสภาพไม่สมบูรณ์อย่างรุนแรง
ปีศาจผึ้งพยายามดิ้นรนด้วยความตกใจ แต่ไหนเลยจะสามารถหลุดพ้นไปได้
ในขณะนั้นเอง แสงสีทองก็เปล่งประกายตรงด้านล่าง กระบี่เล็กสีทองพุ่งยิงเข้ามา มันโบกสะบัดแค่ทีเดียว ก็กลายเป็นแสงกระบี่เย็นสะท้านแปลกประหลาด และม้วนตัวขึ้นไปปั่นปีศาจผึ้งจนกลายเป็นชิ้นๆ แม้แต่วิญญาณที่อยู่ด้านในก็หลบหนีไม่ทัน จึงถูกละลายไปท่ามกลางแสงสีทอง
ขณะนั้นเอง แสงโลหิตที่ไล่ล่าหลิ่วหมิงไม่ปล่อยก็ส่งเสียงร้องออกมา จากนั้นก็กลายเป็นปราณโลหิตสลายไปกลางอากาศ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ก็โบกมือข้างหนึ่งออกไปทันที
กระบี่บินว่างเปล่าหมุนตัวหนึ่งรอบ และกลายเป็นแสงสีทองพุ่งยิงกลับมา
ขณะเดียวกัน ไอหมอกสีดำบริเวณนั้นก็ม้วนตัวพวยพุ่งรวมกันอยู่ครู่หนึ่ง และกลายเป็นโล่กระดูกอีกครั้ง
หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อเก็บโล่เข้าไป
เวลาต่อมา เขานำยันต์เก็บของออกมาเก็บศพและชิ้นส่วนอื่นๆ ของปีศาจผึ้งเข้าไป จากนั้นถึงหันไปมองกลุ่มการต่อสู้ที่อยู่อีกด้าน
จะเห็นว่ามีเสียงระเบิดดังออกจากหมอกสีเขียวอยู่ไม่หยุด ประจักษ์ชัดว่ากำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด
เห็นได้ชัดว่าปีศาจผึ้งตัวที่มีสภาพสมบูรณ์นั้น ไม่อาจจัดการได้โดยง่าย แม้ว่าฮวาชิงอิ่งจะร่วมมือกันสามคน ก็ไม่อาจจะสังหารมันภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้
และตั้งแต่หลิ่วหมิงปล่อยไอหมอกออกมาปิดล้อมปีศาจผึ้งตัวที่ได้รับบาดเจ็บ จนถึงตอนที่เขาสังหารมันได้นั้น ใช้เวลาเพียงแค่เจ็ดแปดอึดใจเท่านั้น
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อย พอพลิกฝ่ามือ มุกพลังวารีสองเม็ดก็ปรากฏออกมา จากนั้นก็กลายเป็นเงาพุ่งเข้าไปในทะเลหมอกสีเขียว…
ขณะเดียวกัน ท่ามกลางเสาแห่งภาพสัญลักษณ์ในค่ายกลที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบลี้
ชายฉกรรจ์ที่เดิมทีนั่งขัดสมาธิพักผ่อนอยู่ พลันลืมตาขึ้นมา และมองไปทางขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ
จะเห็นว่ามีแสงงดงามเปล่งประกายอยู่ทางด้านนั้น และพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทั้งยังมีแสงหลบหลีกสีม่วงตามติดอยู่ด้านหลังด้วย
ชายฉกรรจ์มีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา สิ่งที่อยู่ด้านหน้าย่อมเป็นอู๋ขุยแล้ว ส่วนแสงหลบหลีกสีม่วงตรงด้านหลัง ย่อมเป็นราชินีผึ้งห้าแสงอย่างไม่ต้องสงสัย
เขาโบกมือปล่อยพลังใส่ธูปสีน้ำตาลเทาที่ปักอยู่หน้าเสาแห่งภาพสัญลักษณ์ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที พอแสงสีเพลิงเปล่งประกาย มันก็ลุกไหม้ขึ้นมา
ทันใดนั้น กลิ่นหอมจรุงใจก็โชยออกมา และแผ่ขยายไปทั่วพื้นที่ภายในค่ายกล
จากนั้นเขาก็ปล่อยพลังใส่แผ่นค่ายกลสีฟ้าที่ถืออยู่ในมือ
ขณะเดียวกัน ธงค่ายกลตรงมุมบางแห่งของค่ายกลก็เปล่งแสงแวววาว ระลอกคลื่นกระเพื่อมบนม่านแสงสีทองจางๆ ที่ปกคลุมอยู่เหนือค่ายกล จากนั้นก็เผยให้เห็นรอยแยกขนาดหลายจั้ง
อู๋ขุยที่เพิ่งเหาะมาถึงเห็นเช่นนี้ ก็กระตุ้นพลังเวททันที จากนั้นกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งลงมา และกระพริบหายไปในรอยแยก
พอแสงดับลง ร่างของอู๋ขุยก็มาปรากฏตัวข้างชายฉกรรจ์
แสงหลบหลีกสีม่วงที่ราชินีผึ้งกลายร่างมาได้เพิ่มความเร็ว และมุดเข้าไปในรอยแยกโดยไม่คิดลังเลเลยแม้แต่น้อย
“รีบปิดค่ายกลเร็ว” เมื่อเห็นว่าล่อราชินีผึ้งห้าแสงเข้ามาในค่ายกลได้อย่างราบรื่น อู๋ขุยก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขารีบส่งเสียงบอกชายฉกรรจ์ทันที
ชายฉกรรจ์เปลี่ยนท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แผ่นค่ายกลสีฟ้าในมือเปล่งประกาย จากนั้นรอยแยกก็สมานเข้าหากัน
พอราชินีผึ้งห้าแสงเข้ามาในค่ายกล ก็ดูเหมือนจะรับรู้ได้ถึงกลิ่นหอมผิดปกติที่ตลบอบอวลอยู่ภายใน กับพลังของชั้นจำกัดที่มากับเสาแห่งภาพสัญลักษณ์ ทันใดนั้นมันก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมา และหมุนตัวบินไปชนใส่ม่านแสงอย่างรุนแรง
“เพล้ง!” “เพล้ง!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน
ภายใต้การปะทะอย่างรุนแรงของราชินีผึ้งห้าแสง ทำให้ม่านแสงสีทองจางๆ สั่นสะท้านอยู่ไม่หยุด
“ยังจะอึ้งอยู่ทำไม?” อู๋จุยตะคอกออกมา จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งไปทางราชินีผึ้ง ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นพัดขนนกสีทองออกมา หลังจากขยายใหญ่ตามแรงลมแล้ว ก็ถูกถืออยู่ในมือของเขา ภายใต้การโบกสะบัดเป็นระยะๆ พายุหมุนสีทองก็พุ่งเข้าหาราชินีผึ้งห้าแสง
ชายฉกรรจ์ก็ไม่กล้าชักช้าเลยแม้แต่น้อย พอตบลงบนเอว แสงสีเขียวก็ม้วนตัวออกมาพร้อมเสียงอสูรคำราม จากนั้นก็ควบแน่นเป็นแรดเขาเดี่ยวสีเขียวตัวหนึ่ง และเท้าทั้งสี่ของมันก็กระโดดพุ่งเข้าหาราชินีผึ้ง
……
ขณะเดียวกัน การต่อสู้หลิ่วหมิงก็มาถึงช่วงท้าย
ขณะนี้ ภายใต้การร่วมมือโจมตีของทั้งสี่ แม้ว่าผึ้งงานตัวนั้นจะโหดร้ายอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แต่กลิ่นไอบนตัวก็ลดลงไปอย่างมาก ลำตัวสีดำเหลืองถูกปกคลุมด้วยบาดแผลขนาดต่างๆ
ขณะที่พวกเขาคิดจะรวมพลังสังหารปีศาจผึ้งตัวนี้นั้น มันกลับส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมา
จากนั้นก็มีเสียงดังหึ่งๆ ดังขึ้นในปากถ้ำ กลิ่นไอปะปนกันวุ่นวายพุ่งออกมานอกถ้ำ พอมองออกไปจะเห็นว่ามีผึ้งปีศาจขนาดหนึ่งฉื่อกว่าๆ จำนวนหลายสิบตัวกรูกันออกมา
“พวกเจ้ารีบสังหารผึ้งตัวนี้ให้เร็ว ข้าจะไปยับยั้งพวกมันไว้ชั่วคราว” ฮวาชิงอิ่งมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที หลังจากกล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว ก็พุ่งไปทางรังผึ้ง
ฮวาชิงอิ่งพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา แถบสีดำพุ่งออกจากมือ หลังจากสะบัดพลิ้วกลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นบุปผายักษ์สีดำขนาดสิบจั้งกว่าๆ หนึ่งดอก
บุปผายักษ์นี้มีห้ากลีบ แต่ละกลีบล้วนเป็นสีดำราวกับหมึก แม้แต่ก้านก็เป็นสีดำแวววาว ภายใต้การสั่นสะท้านตามแรงลม ไอดำหลายกลุ่มก็พวยพุ่งออกมา
ทันใดนั้น หมอกดำก็แผ่ขยายไปทั่วบริเวณทางเข้ารัง พริบตาเดียวก็ปกคลุมฝูงปีศาจผึ้งระดับต่ำไว้ในนั้น
ปีศาจผึ้งเหล่านี้มีพลังมากสุดก็ไม่เกินระดับผลึกขั้นต้น แม้ว่าจะมีจำนวนมาก แต่ภายใต้การปกคลุมของหมอกดำอันหนาแน่น ดูเหมือนว่าพวกมันจะสูญเสียทิศทางไปในทันที และบินวนอยู่ในนั้นโดยหาทางออกไม่ได้
หลิ่วหมิงเหลือบมองทีหนึ่ง แม้จะรู้สึกประหลาดใจกับพลังแปลกประหลาดของหญิงผู้นี้เล็กน้อย แต่ก็รู้สึกวางใจขึ้นมา เขากระตุ้นมุกพลังวารีให้รวมกันเป็นหนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นเงาภูเขาลูกเล็กๆ พุ่งไปทางปีศาจผึ้งอย่างโหดเหี้ยม
ตอนที่ 681 สังหารราชินีผึ้ง (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
เห็นได้ชัดว่าพลังของปีศาจผึ้งตัวนี้ได้ลดลงราวกับปลายแรงของธนูที่โน้มสายอย่างเต็มที่แล้ว ขณะนี้มันกำลังสะบัดหนามแหลมตรงก้นให้ปล่อยไหมสีเขียวจำนวนมาก เพื่อต่อต้านแสงสีเขียวที่ปล่อยออกจากธงสามเหลี่ยมของชายชุดเขียวอย่างสุดชีวิต
และหญิงที่สวมหมวกคลุมก็เคลื่อนไหวรอบตัวปีศาจผึ้งราวกับปีศาจ ดาบแวววาวในมือโบกสะบัดอยู่ไม่หยุด ประจักชัดว่าบาดแผลส่วนมากบนตัวของมันเกิดจากฝีมือของหญิงผู้นี้
ปีศาจผึ้งถูกสองคนนี้ก่อกวนจนไม่อาจหลบเงาภูเขาที่ร่วงลงมาได้ พอมีเสียงดัง “ตู๊ม!” มันก็ถูกกระแทกจนหงายหลัง
ในช่วงโอกาสนี้ หญิงสวมหมวกคลุมที่อยู่ด้านข้างก็ตะคอกออกมา ดาบในมือกลายเป็นเงาดาบแวววาวที่ยาวหลายจั้ง และโจมตีลงบนปีกห้าสีของมัน
ปีศาจผึ้งส่งเสียงร้องแปลกประหลาด และกระพือปีกทั้งคู่ติดต่อกัน แสงห้าสีเปล่งประกายข้างตัว จากนั้นม่านแสงแวววาวก็ปรากฏอยู่รอบๆ ตัว
“ตู๊ม!”
เงาดาบแวววาวที่หญิงใส่หมวกคลุมปล่อยออกมา ทำให้เกิดรอยเว้าบนม่านแสงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และไม่สามารถทำลายมันได้เลยแม้แต่น้อย แต่พอหญิงนางนี้สะบัดข้อมือ ดาบในมือก็กลายเป็นแสงแวววาวหลุดออกไปจากมือ
แต่พอมีเสียงดัง “ตู๊ม!” ม่านแสงห้าสีก็ถูกโจมตีจนเกิดรูขึ้นมารูหนึ่ง จากนั้นพื้นผิวทั้งหมดก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
ภายใต้การเปล่งประกายของดาบ มันก็เจาะทะลุดวงตาของปีศาจผึ้งไป ทำให้มันส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา
ขณะเดียวกัน แสงจิตวิญญาณก็เปล่งประกายข้างตัวทั้งสองด้านของปีศาจผึ้งตัวนี้ จากนั้นร่างของชายชุดเขียวกับหญิงกับหญิงสวมหมวกคลุมก็ปรากฏออกมาพร้อมกัน
พอชายชุดเขียวยกแขนเสื้อขึ้น ธงสามเหลี่ยมในมือก็หลุดออกจากมือ และขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดหลายจั้ง ภาพมังกรบนธงเปล่งประกายออกมา และกลายเป็นมังกรยักษ์สีเขียวขนาดใหญ่ จากนั้นก็อ้าปากงับไปทางปีศาจผึ้งตัวนี้
ดาบแวววาวในมือของหญิงที่สวมหมวกคลุมหายไปอย่างไร้ร่องรอย และถูกแทนที่ด้วยกำไลข้อมือสีเงินวงหนึ่ง มันขยายใหญ่หลายจั้งก่อนเข้าไปสวมอยู่บนตัวปีศาจผึ้ง ขณะเดียวกันไหมสีเงินก็พุ่งออกมารัดพันร่างปีศาจผึ้งไว้
ร่างปีศาจผึ้งขยายใหญ่ขึ้นมาทันที และหดตัวลงอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็หลุดออกจากวงแหวนสีเงินได้ แต่กลับถูกไหมสีเงินบนตัวกรีดจนเกิดบาดแผลเล็กๆ จำนวนมาก แต่ไม่นานลวดลายจิตวิญญาณห้าสีที่ปกคลุมเต็มตัวก็เปล่งประกาย และกลายเป็นวงกลมเรืองแสงหลากสีก่อนม้วนตัวเข้าหามังกรยักษ์
สุดท้ายมังกรยักษ์สีเขียวก็ทิ่มลงไปในแสงหลากสี พริบตาเดียวก็สลัดตัวหลุดออกไปได้
ปีศาจผึ้งนี้สมกับเป็นปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ ได้รับบาดเจ็บถึงเพียงนี้ ยังสามารถต้านทานการร่วมมือโจมตีของทั้งสามได้ พอปีกทั้งคู่ของมันพร่ามัว มันก็กลายเป็นเงาพุ่งไปทางปากถ้ำ
ปีศาจผึ้งตัวนี้เห็นว่าสถานการณ์ตรงหน้าไม่ค่อยจะดี จึงคิดจะหนีเอาชีวิตรอด
ขณะนั้นเอง มีเงาร่างเคลื่อนไหวด้านหน้าของมัน จากนั้นร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมาราวกับปีศาจ พอเขายกแขนเสื้อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก กำปั้นที่ถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีม่วงเข้มก็โจมตีออกไปอย่างรุนแรง
“ตู๊ม!”
ปีศาจผึ้งตัวนี้ถูกโจมตีจนกระเด็นออกไปทันที
“ฟิ้ว!” แสงแวววาวม้วนตัวมาจากด้านหลัง พริบตาเดียวก็ม้วนเอาปีศาจผึ้งไว้ด้านใน และฟันจนกลายเป็นเจ็ดแปดชิ้น
หลังจากแสงแวววาวม้วนตัวผ่านไป ร่างของหญิงสวมหมวกคลุมก็ปรากฏออกมา ในมือกำลังถือดาบยาวหลายฉื่อที่ดูแหลมคมเป็นพิเศษ
การฟันในเมื่อครู่ เกิดจากการที่นางแสดงวิชาดาบร่างเป็นหนึ่งออกมา!
และพริบตาที่ปีศาจผึ้งตัวนี้ถูกสังหารนั้น แสงหลากสีที่ล้อมรอบมังกรเขียว ก็ระเบิดตัวเป็นแสงเจิดจ้าก่อนสลายไป
“วิชาขี่ดาบของสหายช่างยอดเยี่ยมเสียจริงๆ ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาเป็นยิ่งนัก” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ดึงกำปั้นกลับมา และกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ที่ไหนกัน หากไม่ใช่ว่าสหายต่อยมันกระเด็นจนไม่อาจกระดิกตัวได้ล่ะก็ ข้าเองก็ไม่อาจโจมตีได้สำเร็จโดยง่ายเช่นนี้” หญิงสวมหมวกคลุมตอบอย่างราบเรียบ
“สหายทั้งสอง ศึกครั้งนี้ยังไม่จบ หากมีอะไรที่อยากพูดค่อยพูดกันทีหลังเถอะ!” ขณะนี้ชายชุดเขียวกลับกวักมือเรียกมังกรยักษ์ที่กลายเป็นธงเล็กๆ กลับมา หลังจากกล่าวอย่างรวดเร็วไปสองประโยคแล้ว ก็เคลื่อนตัวไปทางปากถ้ำทันที
หญิงสวมหมวกคลุมได้ยินเช่นนี้ ก็เลิกคิ้วขึ้นมา จากนั้นร่างอรชรก็ตามติดชายชุดเขียวไป
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา จะเห็นว่าไอหมอกสีดำที่บุปผาสีดำปล่อยออกมานั้น บางเบากว่าก่อนหน้านั้นอย่างเห็นได้ชัด
จากนั้นเขาก็พุ่งตามไปทันที
……
ขณะเดียวกัน ท่ามกลางค่ายกลที่อยู่ห่างออกไปหลายสิบจั้ง
แสงหลากสีกลุ่มหนึ่งกับแสงหลบหลีกสีแดงกำลังพุ่งไปมาในนั้นอย่างบ้าคลั่ง และด้านหลังของพวกเขาก็เป็นแสงสีม่วงของราชินีผึ้งห้าแสงตัวนั้น
ดูจากรูปลักษณ์ที่น่ากลัวของราชินีผึ้งห้าแสงตัวนี้ หากไม่โดนผลกระทบจากเสาแห่งภาพสัญลักษณ์กับธูปวิญญาณไม้จันทน์ล่ะก็ เกรงว่าคงตามทั้งสองทัน และต่อสู้กันอย่างดุเดือดตั้งนานแล้ว
“สหายอู๋ คิดไม่ถึงว่าแม้จะมีเสาแห่งภาพสัญลักษณ์กับธูปวิญญาณไม้จันทน์คอยช่วย ท่านกับข้ายังคงทำได้แค่วิ่งหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น” ชายฉกรรจ์กระตุ้นแสงหลบหลีกไปด้วย ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงให้กับอู๋ขุย
“ฮึ! ไม่ว่าอย่างไรมันก็เป็นปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ขั้นปลายสมบูรณ์แบบ แม้ว่ามันอาจจะเพิ่งวางไข่จึงดูเหมือนอ่อนแอลงเล็กน้อย แต่เจ้ากับข้าฝืนตอบโต้ไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรอยู่ดี หรือเจ้าจะให้พวกฮวาชิงอิ่งเอาเปรียบง่ายๆ หรือ?” อู๋ขุยกล่าวโดยไม่ปราดสายตามองมาเลยสักนิด
“แต่หากพวกเรายังไม่โต้ตอบล่ะก็ พลังของธูปวิญญาณไม้จันทน์นี้อาจจะอ่อนแอลงเรื่อยๆ” น้ำเสียงของชายฉกรรจ์ยังคงดูลังเลอยู่
“สี่คนนั่นรับมือกับปีศาจผึ้งระดับแก่นแท้สองตัว ตัวหนึ่งในนั้นยังได้รับบาดเจ็บด้วย ผ่านไปหนึ่งชั่วยามแล้วยังไม่ตามมาอีก หรือว่าคิดจะรอจนพลังเวทของพวกเราหมดสิ้นถึงมาปรากฏตัว แล้วค่อยชุบมือเปิบเอา…” อู๋ขุยได้ยินก็มีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา
แต่ขณะนั้นเอง ชายฉกรรจ์กลับร้องออกมาด้วยความดีใจ
“สหายอู๋ พวกเขามาแล้ว!”
ขณะนั้นเอง มีเสียงดังมาจากขอบฟ้าไกลๆ และแสงหลบหลีกสี่ลำก็พุ่งเข้ามา มันแค่เคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็มาหยุดอยู่เหนือค่ายกลร้อยกว่าจั้ง จากนั้นเงาร่างคนสี่คนก็ปรากฏออกมา
พวกเขาก็คือหลิ่วหมิง ฮวาชิงอิ่ง และคนอื่นๆ นั่นเอง
อู๋ขุยเห็นแช่นนี้ก็ส่งสายตาให้ชายฉกรรจ์ทีหนึ่ง จากนั้นแสงหลบหลีกก็หยุดชะงักลง พัดขนนกสีทองในมือพัดออกไปอย่างรุนแรง พายุหมุนสีทองเจิดจ้าฟันไปทางราชินีผึ้ง
ราชินีผึ้งสะบัดก้นปล่อยเงาหนามแหลมขนาดใหญ่ออกไปอย่างไม่ลังเล
เกิดเสียงดัง “ตู๊ม” กลางอากาศในทันที
พอพายุหมุนสีทองปะทะกับเงาหนามแหลม มันก็ถูกแทงทะลุไป และยังพุ่งไปทางอู๋ขุยโดยที่พลังของมันไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย
อู๋ขุยถอยออกไปอย่างรวดเร็วราวกับเตรียมพร้อมไว้ก่อนแล้ว ทำให้หลบเงาหนามแหลมไปได้อย่างหวุดหวิด
“ตู๊ม!” เศษหินดินทรายกระเด็นไปทั่วทิศ
หนามแหลมปะทะลงพื้นจนระเบิดเป็นหลุมขนาดใหญ่
ชายฉกรรจ์อาศัยช่องว่างในตอนที่อู๋ขุยหลอกล่อราชินีผึ้งนำแผ่นค่ายกลสีฟ้าออกมา หลังจากปล่อยพลังเข้าไปแล้ว ม่านแสงเหนือค่ายกลก็เกิดรอยแยกแคบยาวหนึ่งแห่ง
“รีบเข้ามา!” ชายฉกรรจ์ตะโกนออกมา
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็หายวับเข้าไปในค่ายกลทันที บ้างก็นำอาวุธล้ำค่าออกมา บ้างก็แสดงวิชาออกมาโดยตรง และพุ่งไปโจมตีราชินีผึ้งห้าแสง
แสงสีม่วงเปล่งประกายบนตัวของราชินีผึ้ง เปลวไฟสีม่วงขนาดมหึมาม้วนตัวออกมาจากร่าง
ชั่วขณะเวลานั้น พอวิธีการต่างๆ ที่คนเหล่านี้ปล่อยออกมาปะทะกับเปลวไฟสีม่วง มันก็กระเด็นกลับมาจนหมด
ทุกคนต่างก็ร่นถอยออกไปด้วยความตกใจ
ราชินีผึ้งห้าแสงกระพือปีกอย่างรุนแรง และกลายเป็นแสงหลบหลีกสีม่วงพุ่งยิงออกไป เป้าหมายคือรอยแยกที่กำลังจะสมานกัน และความเร็วของมันก็สูงกว่าตอนที่ไล่ล่าอู๋ขุยกับชายฉกรรจ์กว่าครึ่งหนึ่ง
ที่แท้ก่อนหน้านั้นราชินีผึ้งตัวนี้ก็แอบซ่อนพลังไว้
“แย่แล้ว! อย่าให้มันหนีไปได้!”
อู๋ขุยเห็นเช่นนี้ก็รีบตะโกนด้วยความตกใจ พัดขนนกสีทองในมือโบกสะบัดอย่างรุนแรง จนเปลวไฟสีม่วงที่ประชิดเข้ามาแตกกระจาย จากนั้นพายุหมุนสีทองก็ม้วนตัวออกไปไปทางแสงหลบหลีกสีม่วงอย่างรวดเร็ว
ชายฉกรรจ์ได้ยิน ก็รีบทำท่ามือด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก แผ่นค่ายกลสีฟ้าในมือปล่อยพลังออกไปติดต่อกัน เพื่อทำให้รอยแยกสมานกันโดยเร็ว
พอคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็โจมตีไปด้านหน้าอย่างรีบร้อน เพื่อที่จะหยุดการหลบหนีของราชินีผึ้ง
ฮวาชิงอิ่งสะบัดง่ามสีเงินทั้งสองไปด้านหน้า เงาง่ามสีเงินขนาดหลายจั้งพุ่งยิงออกไป และตามติดพายุหมุนสีทองไป
ชายชุดเขียวก็โบกสะบัดธงสีเขียวปล่อยมังกรเขียวออกมา และพอหญิงสวมหมวกคลุมส่งเสียงตะคอกออกมา ดาบในมือก็กลายเป็นแสงดาบแวววาวก่อนพุ่งออกไป
เพราะหากราชินีผึ้งหลบหนีออกไปได้ล่ะก็ ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเสาแห่งภาพสัญลักษณ์กับธูปจิตวิญญาณไม้จันทน์ช่วยลดทอนพลัง จะสังหารมันได้ยากเป็นอย่างยิ่ง และทุกสิ่งที่ทำในก่อนหน้านั้นก็จะสูญเปล่าไปทั้งหมด
แต่ทว่าทั้งหมดนี้ก็ดูเหมือนจะช้าไปเล็กน้อย
แสงหลบหลีกสีม่วงเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็เข้าใกล้รอยแยกบริเวณม่านแสงสีทองแล้ว ขณะที่มันกำลังจะหายวับออกไปนั้น การโจมตีด้านหลังยังอยู่แค่ครึ่งทางเท่านั้น
ขณะที่พวกเขาต่างก็มีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมากนั้น พลันมีเสียงดังตู๊มขึ้นมา สายฟ้าสีเงินขนาดเท่าปากถ้วยพุ่งมาจากด้านหลัง จากนั้นก็พร่ามัวไปฟันลงบนแสงหลบหลีกสีม่วง
มันคือวิชาสายฟ้าสวรรค์ที่หลิ่วหมิงแสดงออกมานั่นเอง!
เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ!
หลังจากแสงหลบหลีกสีม่วงถูกสายฟ้าโจมตี เปลวไฟสีม่วงบนตัวของมันก็รัดพันกับสายฟ้าสีเงินทันที และมีส่วนหนึ่งที่เจาะทะลุม่านแสงไปโดนตัวของราชินีผึ้ง
ปีศาจผึ้งตัวนี้ดิ้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ หยุดชะงักลง
แม้ว่าราชินีผึ้งห้าแสงจะมีพลังป้องกันอันน่าตกใจ แต่ภายใต้การถูกวิชาสายฟ้าสวรรค์โจมตี ก็เกิดอาการชาอยู่ครู่หนึ่ง
และขณะนั้นเอง รอยแยกของม่านแสงตรงหน้าก็ปิดสนิท พายุหมุนสีทองที่ผสมปนเปกับแสงหลากสี ก็ร่วงลงบนตัวของราชินีผึ้งจนเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!
มันคือการโจมตีของอู๋ขุยและคนอื่นๆ ที่เพิ่งมาถึง และราชินีผึ้งไม่สามารถหลบหลีกได้ชั่วคราว ถึงถูกโจมตีเข้าเต็มๆ
แต่พอแสงดับลง ทุกคนกลับต้องรู้สึกตกใจอีกครั้ง!
ราชินีผึ้งที่มีการฝึกฝนระดับแก่นแท้นี้ มีพลังป้องกันน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าทุกคนจะร่วมมือกันโจมตี แต่แสงสีม่วงบนตัวก็มืดลงเพียงเล็กน้อย และทิ้งไว้เพียงรอยจางๆ เท่านั้น ราวกับว่าไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย
ในทางตรงกันข้าม ราชินีผึ้งห้าแสงกลับรู้สึกโมโหจนถึงขีดสุด!
ตอนที่ 682 สังหารราชินีผึ้ง (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
ราชินีผึ้งส่งเสียงแหลมเศร้ากำสรดออกมาทันที มันกระพือปีกทั้งคู่อย่างรุนแรง ม่านแสงสีม่วงบนตัวสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ร่างของมันขยายใหญ่ราวกับถูกอัดลมจนมีขนาดสิบกว่าจั้ง
แต่ฮวาชิงอิ่งและคนอื่นๆ ต่างก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ ย่อมมีประสบการณ์การต่อสู้อย่างโชกโชน พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็พากันไปล้อมราชินีผึ้งห้าแสงพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย และกระตุ้นอาวุธต่างๆ โจมตีอย่างบ้าคลั่ง
เนื่องจากหลิ่วหมิงเพิ่งจะกระตุ้นวิชาสายฟ้าสวรรค์อย่างฉุกละหุก และสูญเสียพลังเวทไปมาก จึงไม่อาจกระตุ้นวิชาสายฟ้าสวรรค์เป็นครั้งที่สองได้อีก ทำได้แต่ทานโอสถจินหยวนฟื้นฟูพลังเวท ขณะเดียวกันก็กระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬปล่อยมังกรหมอกสีดำสี่ตัวไปร่วมต่อสู้
ครั้งนี้ไม่ว่าพวกเขาจะโจมตีเช่นไร ม่านแสงสีม่วงบนตัวราชินีผึ้งห้าแสงก็เพียงแค่กะพริบไม่กี่ที ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ ซึ่งดูเหมือนว่าจะหนาขึ้นกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย
ขณะนั้นเอง ก้นของราชินีผึ้งห้าแสงเพียงแค่สั่นสะท้านเบาๆ เงาหนามสีม่วงจำนวนมากก็พุ่งออกไปทั่วทิศ
หลิ่วหมิงเอามือข้างหนึ่งลูบอากาศตรงหน้าด้วยความตกใจ จากนั้นโล่เก้ากะโหลกก็ปรากฏออกมา มันขยายใหญ่ตามลมจนมีขนาดหลายจั้ง และต้านทานอยู่ตรงหน้า
พอฮวาชิงอิ่งและคนอื่นๆ เห็นราชินีผึ้งคลั่งเช่นนี้ ก็แสดงวิธีการป้องกันออกมาอย่างไม่ชักช้า บ้างก็กลายเป็นหมอกเขียวอันพวยพุ่ง บ้างก็เรียกเรียกเงาบุปผายักษ์มาต้านทานไว้ตรงหน้า
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าโล่ยักษ์ตรงหน้าสั่นสะท้านเบาๆ หลังจากไอดำพวยพุ่งออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ก็เกิดเสียงดังราวกับฝนตกกระทบรั้วไม้ไผ่
ขณะเดียวกัน หลังจากกวาดสายตามองดูโล่เก้ากะโหลกแล้ว สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
จะเห็นว่าพื้นผิวของโล่เก้ากะโหลกกลายเป็นหลุมเป็นบ่อ และมีหนามแหลมแวววาวราวกับขนวัวเสียบอยู่จำนวนหนึ่ง
เกือบจะในเวลาเดียวกัน ชายชุดเขียวก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา และโซซัดโซเซออกจากหมอกสีเขียว แขนข้างหนึ่งของเขามีเลือดไหลออกมา มีรูเลือดปรากฏอยู่บนนั้นสิบกว่ารู มองเห็นกระดูกสีขาวอยู่รำไร
ประจักษ์ชัดว่าหมอกเขียวที่เขาปล่อยออกมาไม่อาจต้านทานหนามแหลมคมทั้งหมดได้ แขนของเขาจึงถูกหนามแหลมคมแทงไปสิบกว่าอัน
แม้ว่าอู๋ขุยและคนอื่นๆ จะไม่ได้รับบาดเจ็บจากการโจมตีในครั้งนี้ แต่พอเห็นฉากเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“สหายทุกท่านรออะไรกันอยู่ เวลานี้แล้วยังไม่สู้สุดชีวิตอีก หรือว่าจะให้มันโจมตีทีละคน?” ฮวาชิงอิ่งเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงตะโกนออกมา
จากนั้นร่างของนางก็พุ่งขึ้นฟ้า ขณะเดียวกันก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งและร่ายคาถาออกมา แถบสีดำในมือหลุดออกจากมือ ภายใต้การม้วนตัวหนึ่งครั้ง มันก็กลายเป็นบุปผาสีดำขนาดสิบกว่าจั้ง
บุปผายักษ์นี้มีห้ากลีบ แต่ละกลีบเป็นสีดำราวกับหมึก แม้แต่ก้านก็กลายเป็นสีดำไปทั้งแถบ ภายใต้การสั่นสะท้านตามแรงลม ไอดำหลายกลุ่มก็พวยพุ่งออกมา และกดทับไปทางม่านแสงสีม่วง
อู๋ขุยได้ยินก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา จากนั้นก็โยนพัดขนนกในมือออกไป และกระตุ้นท่ามือทันที
พัดขนนกหมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศ จากนั้นก็กลายเป็นเงานกกระสายักษ์สีทองตัวหนึ่ง พอมันกางปีกทั้งคู่ออก แสงสีทองแน่นขนัดก็พุ่งยิงลงมาราวกับสายฝนกระหน่ำ
ชายฉกรรจ์ส่งเสียงคำรามออกมา หลังจากกลิ่นไอบนตัวปะทุออกมาแล้ว ร่างของเขาก็ขยายใหญ่ในพริบตา พอเขาก้าวยาวๆ ออกไปหนึ่งก้าว ก็ปล่อยกำปั้นใส่ราชินีผึ้งอย่างรุนแรง
ไม่รู้ว่ามีถุงมือสีเงินแวววาวอยู่บนกำปั้นขนาดใหญ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ และพอโจมตีออกไปด้านหน้า อากาศบริเวณนั้นก็พร่ามัวราวกับอากาศทั้งหมดถูกม้วนเข้าไป อานุภาพน่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง!
หญิงสวมหมวกคลุมกับชายชุดเขียวเห็นเช่นนี้ก็ไม่กล้าชักช้าอีก คนหนึ่งแสดงวิชาดาบร่างเป็นหนึ่ง และกลายเป็นแสงแวววาวก่อนฟันออกไป ส่วนอีกคนก็ฝืนความเจ็บปวดโยนธงสามเหลี่ยมในมือออกไป จากนั้นมันก็กลายเป็นมังกรเขียวก่อนกระโจนออกไปอย่างโหดเหี้ยม
พริบตาเดียว นอกจากหลิ่วหมิงแล้ว ห้าคนที่เหลือต่างก็แสดงพลังที่แท้จริงออกมาโจมตีร่วมกัน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้เข้าไปร่วมวงโจมตี แต่กลับสูดหายใจเข้าลึกๆ จากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นเงาหลายเงาก่อนพุ่งออกไป
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!
การร่วมมือกันโจมตีของฮวาชิงอิ่งและคนอื่นๆ นับว่าสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วบรรณพิภพ
แม้ว่าม่านแสงป้องกันสีม่วงที่ราชินีผึ้งปล่อยออกมาจะเหนือกว่า แต่ภายใต้การโจมตีครั้งนี้ สามารถประคับประคองได้ชั่วครู่เท่านั้น ไม่นานก็เริ่มแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
แต่ขณะนั้นเอง ราชินีผึ้งส่งเสียงร้องแหลมในฉับพลัน พอมันบิดก้นไปมา แสงสีม่วงลำหนึ่งก็พุ่งยิงออกไปในพริบตา มันกะพริบแค่ทีเดียว ก็ทะลุคลื่นอากาศและแสงชนิดต่างๆ ไป และพร่ามัวมาปรากฏอยู่ตรงหน้าชายฉกรรจ์
หลังจากชายฉกรรจ์โจมตีออกไปอีกหนึ่งกำปั้น ร่างขนาดใหญ่ก็เล็กลงตามเดิมราวกับเกิดรูรั่ว ขณะนี้ พอเห็นแสงสีม่วงปรากฏออกมา เขาก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจทันที และพุ่งถอยออกไปในพริบตา กำปั้นที่สวมถุงมือสีเงินอยู่กางนิ้วออกมา และคว้าเข้าใส่แวงสีม่วงราวกับสายฟ้าแลบ
“ฟิ้ว!”
แสงสีม่วงทะลุผ่านมือยักษ์สีเงินในพริบตา และกะพริบจมเข้าไประหว่างคิ้วของชายฉกรรจ์ จากนั้นก็พุ่งออกจากศีรษะทางด้านหลังพร้อมกับเลือด มันคือเหล็กไนสีม่วงแวววาวขนาดใหญ่
ชายฉกรรจ์มีสีหน้าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก หลังจากเกิดเสียงดัง “โครม!” ร่างของเขาล้มลงพื้นทันที
และเหล็กในสีม่วงก็โจมตีชายฉกรรจ์จนเสียชีวิต จากนั้นก็วกกลับมาพุ่งใส่อู๋ขุยที่เพิ่งจะเก็บพัดขนนกเข้าไป
อู๋ขุยมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขาขยับตัวโดยไม่ต้องคิด แสงงดงามม้วนออกจากตัว และกลายเป็นลูกแสงหลากสีก่อนพุ่งขึ้นฟ้า
เหล็กในสีม่วงกลับส่งเสียงดัง “ฟู่!” จากนั้นก็กลายเป็นเงาสีม่วงจางๆ ตามติดไปอย่างไม่ลดละ
พอฮวาชิงอิ่ง หญิงสาวสวมหมวกคลุม และคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้นเห็นเช่นนี้ ต่างก็รู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
ในเวลาเดียวกัน มีคลื่นสั่นสะเทือนด้านหลังราชินีผึ้งห้าแสง จากนั้นเงาร่างสามเงาก็ปรากฏออกมา
แต่ราชินีผึ้งกลับขยับตัวอย่างรวดเร็ว และหันกลับมาด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ ร่างกายส่วนร่างที่ดูอ้วนอุพร่ามัวพุ่งเข้าหาเงาร่างทั้งสามทันที เหล็กไนยักษ์สีม่วงอีกอันโผล่ออกมาจากก้น
“ฟู่!” “ฟู่!”
เงาร่างสองเงาถูกเหล็กไนสีม่วงแทงจนแตกสลาย ส่วนเงาร่างที่อยู่ตรงกลางกลับพร่ามัวในทันที และยอมให้เหล็กในยักษ์ทะลุผ่านโดยตรง
มีเงาร่างก่อตัวขึ้นบริเวณที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งจั้งกว่าๆ ทันใดนั้นร่างจริงของหลิ่วหมิงก็ปรากฎออกมา ทั้งยังเอามือแตะระหว่างคิ้วอย่างไม่ลังเล ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีทอง กระบี่เล็กสีทองขนาดหนึ่งชุ่นกว่าๆ ก็พุ่งยิงออกมา หลังจากขยายตัวตามแรงลมแล้ว ก็มีขนาดยาวสองฉื่อแปดชุ่น
พอกระบี่เล่มนี้ปรากฏตัว ไอกระบี่มหาศาลก็ม้วนตัวออกมาปกคลุมราชินีผึ้งตรงหน้าไว้
แม้ว่าราชินีผึ้งห้าแสงตัวนี้ จะมุทะลุดุดันและโหดร้ายเป็นอย่างมาก แต่หลังจากถูกไอกระบี่มหาศาลโจมตีในระยะใกล้เช่นนี้ ก็รู้สึกตัวสั่นระริกอย่างอดไม่ได้ และตัวของมันก็แข็งทื่อ
“เร็ว!”
หลิ่วหมิงส่งเสียงคำรามออกมา กระบี่บินสีทองกลายเป็นสายรุ้งสีเงิน และฟันไปทางม่านแสงสีม่วงด้วยอานุภาพดุดัน
“ตู๊ม!” เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!
รุ้งกระบี่สีทองฟันม่านแสงสีม่วงที่เดิมทีมีรอยร้าวอยู่แล้วแตกกระจายไปอย่างง่ายดาย หลังจากหมุนตัวติ้วๆ แล้ว ก็ระเบิดแสงกระบี่สีทองออกมาอย่างหนาแน่น พริบตาเดียวก็เกิดเสียงดัง “ฟู่ๆ!” ราชินีผึ้งที่หลบหนีไม่ทันจมอยู่ในนั้นโดยสมบูรณ์
พริบตาที่แสงสีทองเปล่งประกาย ฮวาชิงอิ่งและคนอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนั้น รู้สึกเย็นที่ผิวหนังทันที พวกเขาถูกไอกระบี่เฉียบคมคุกคามจนรู้สึกใจเย็นสะท้าน และต้องร่นถอยออกไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
พอฮวาชิงอิ่งสบตากับหญิงสวมหมวกคลุม และชายชุดเขียวที่อยู่บริเวณนั้น ต่างก็มองเห็นสีหน้าหวาดกลัวของฝ่ายตรงข้าม
คิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ ทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่หลอมกระบี่พลังจิตวิญญาณอันน่าหวาดกลัวออกมาด้วย สิ่งนี้เหนือความคาดหมายของพวกเขายิ่งนัก
แม้ว่าระดับแก่นแท้จะมีไม่ค่อยมาก แต่ผู้ฝึกกระบี่ที่สามารถก้าวสู่ระดับแก่นแท้ได้นั้น ย่อมพบเจอได้ยากเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็เป็นเช่นนี้ พอผู้ฝึกกระบี่มีกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ ก็ย่อมมีพลังน่าตกใจกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกัน
อย่างนี้จะไม่ให้ฮวาชิงอิ่งและคนอื่นๆ ตกใจได้อย่างไร
หลังจากแสงกระบี่สีทองที่ปกคลุมเต็มฟ้าดับไปแล้ว ก็เผยให้เห็นร่างของราชินีผึ้งห้าแสงที่มีไอหมอกสีม่วงรายล้อมอีกครั้ง ร่างขนาดมหึมาของมันไม่ขยับเขยื้อน ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำราวกับเลือด แต่หลังจากมันส่งเสียงร้องแหลมออกมา ก็เกิดเสียงดัง “ตู๊ม!” จากนั้นร่างของมันก็แตกกระจายเป็นชิ้นๆ
ร่างขนาดมหึมาของมันถูกกระบี่บินว่างเปล่าหั่นเป็นชิ้นๆ ตั้งแต่แรกแล้ว
“ฟู่!” เหล็กในยักษ์สีม่วงที่ยังคงตามติดอู๋ขุยอยู่สลายไปในพริบตา
ขณะนี้ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ขั้นกลางผู้นี้ถึงถอนหายใจออกมาทีหนึ่ง แสงหลบหลีกค่อยๆ ร่วงลงจากอากาศ แต่สายตาที่มองไปยังหลิ่วหมิงที่กำลังเก็บกระบี่สีทองอยู่นั้น กลับเผยแววตาหวาดกลัวโดยไม่รู้ตัว
“ที่แท้สหายก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ ข้าน้อยเสียมารยาทไปแล้วจริงๆ ศึกครั้งนี้ต้องชมสหายแล้ว คิดไม่ถึงว่ากระบี่บินพลังจิตวิญญาณจะมีอานุภาพถึงเพียงนี้ โจมตีแค่ครั้งเดียวก็ทำให้ร่างราชินี้ผึ้งแตกกระจายแล้ว” ฮวาชิงอิ่งมองดูเศษเนื้อบนพื้นแล้วกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ไม่เป็นไร ในเมื่อข้ารับคำเชิญมาแล้ว การออกแรงนิดหน่อยย่อมเป็นเรื่องที่สมควรทำ อีกอย่างที่ข้าสามารถทำได้สำเร็จ ก็เป็นเพราะว่าพลังการป้องกันของมันถูกสหายทั้งหลายร่วมมือกันควบคุมไว้ มิเช่นนั้นไหนเลยจะลงมือได้สำเร็จอย่างง่ายดายเช่นนี้” หลิ่วหมิงดูดกระบี่บินสีทองเข้าไปในปาก และกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็มองดูซากศพของราชินีผึ้งบนพื้นด้วยเช่นกัน
“ฮ่าๆ! ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เป้าหมายในครั้งนี้ก็สำเร็จอย่างราบรื่นแล้ว สหายฮวา ในเมื่อราชินีผึ้งถูกสังหารแล้ว เจ้าก็เก็บศพไปเถอะ จากนั้นพวกเราก็ไปค้นหาน้ำผึ้งห้าแสงในรังกัน แต่ว่าน่าเสียดายที่สหายร่วมเผ่าของข้า…เอ๊ะ! ที่แท้หลังจากราชินีผึ้งโจมตีออกมา วิญญาณของเขาก็ถูกทำลายไปด้วย ครั้งนี้ถือเป็นการเสียชีวิตที่แท้จริง
หลังจากอู๋ขุยละสายตากลับมาแล้ว ก็หาวก่อนกล่าวออกมา จากนั้นก็ก้าวเท้าสองสามก้าวไปตรวจดูศพของชายฉกรรจ์ และเก็บแผ่นค่ายกลที่อยู่ด้านข้างพร้อมกับส่ายหัว หลังจากนั้นก็เก็บธงค่ายกลแปดอันที่อยู่รอบด้าน และเริ่มเก็บเสาแห่งภาพสัญลักษณ์ที่อยู่บนพื้น
“สหายอู๋กล่าวได้ถูกต้อง ส่วนสหายที่เสียชีวิตไป ก็นับว่าดวงเขาไม่ดีเอง แม้ว่ากระบวนการนี้จะมีผลประโยชน์มาก แต่ก็มีอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ตลอดเวลา” ฮวาชิงอิ่งได้ยิน ก็ถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
พอร่างอรชรของนางเคลื่อนไหว ก็พุ่งมาอยู่ด้านข้างซากศพราชินีผึ้ง นางพลิกฝ่ามือหยิบขวดหยกแวววาวขึ้นมาหนึ่งใบ และค่อยๆ ดูดเศษเนื้อทั้งหมดของราชินีผึ้งเข้าไปในนั้น
การกระทำของนางดูคล่องแคล่วมาก ประจักษ์ชัดว่าไม่ได้ทำเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก
อู๋ขุยและคนอื่นๆ ก็จ้องมองการกระทำของนางตาไม่กะพริบ
“เอ๊ะ!”
ฮวาชิงอิ่งเผยสีหน้าตกใจระคนดีใจออกมา พอขยับนิ้ว ก็ควักสิ่งของบางอย่างออกมาจากเศษเนื้อชิ้นหนึ่ง
มุกกลมๆ สีขาวเม็ดหนึ่ง ทั้งยังมีเส้นเลือดฝอยสีเขียวติดอยู่บนนั้นจำนวนหนึ่งด้วย
“ไข่ราชินีผึ้ง!”
หญิงสวมหมวกคลุมเอามือปิดปากเบาๆ แล้วกล่าวความประหลาดใจ อู๋ขุยกับชายชุดเขียวก็ก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวอย่างอดไม่ได้ และแววตาของพวกเขาก็เผยแววตื่นออกมา
ตอนที่ 683 ปีศาจสายฟ้า
โดย
Ink Stone_Fantasy
ก่อนหน้านั้นทุกคนคิดว่าราชินีผึ้งตัวนี้วางไข่ไว้ในรังแล้ว กลิ่นไอของมันถึงลดลง แต่กลับคิดไม่ถึงว่ามันยังไม่ทันวางไข่ ก็ถูกล่อออกมาก่อน สิ่งนี้ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกตกใจระคนดีใจเป็นอย่างมาก
ขณะนี้หลิ่วหมิงก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา เพราะราชินีผึ้งห้าแสงตัวนี้เป็นปีศาจอสูรระดับแก่นแท้ ไข่ปีศาจอสูรของมันย่อมมีมูลค่าสูงจนยากจะหยั่งถึง
ครู่ต่อมา ฮวาชิงอิ่งก็หาไข่ผึ้งจากเศษเนื้อบนพื้นได้มาอีกหกใบ
“สหายฮวา ท่านตรวจสอบดูก่อนว่าเป็นไข่ที่ยังมีชีวิตทั้งหมดหรือไม่?” อู๋ขุยเดินเข้ามากล่าว ดวงตาทั้งคู่จ้องมองไข่สีขาวเหล่านี้ด้วยแววตาเร่าร้อน
พอได้ยินคำพูดของอู๋ขุย คนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย การต่อสู้อย่างดุเดือดในเมื่อครู่อาจสะเทือนถึงไข่ที่อยู่ในท้องของราชินีผึ้ง เช่นนี้แล้วก็มีโอกาสที่ไข่จะเสียเป็นอย่างมาก
“สหายอู๋กล่าวได้ถูกต้อง” พอฮวาชิงอิ่งได้ยิน ดวงตางดงามของนางก็เป็นประกาย หลังจากพยักหน้าแล้วก็ชี้นิ้วขาวๆ ออกไป แสงสีขาวจางๆ พุ่งออกจากปลายนิ้ว ครู่เดียวก็ปกคลุมไข่เหล่านี้ไว้ และหลับตารับรู้ปฏิกิริยาของมัน
ครู่ต่อมา ฮวาชิงอิ่งก็ลืมตาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“โชคดีที่ไข่ผึ้งทั้งเจ็ดใบนี้ เสียชีวิตไปแค่สามใบ อีกสี่ใบที่เหลือต่างก็มีกลิ่นไอพลังชีวิตอยู่ เพิ่มการบ่มเพาะอีกเล็กน้อยคงสามารถฟักออกมาได้”
คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกโล่งใจไปทันที
“สหายทุกท่าน ไข่ผึ้งห้าแสงนี้มีประโยชน์ต่อข้าเป็นอย่างมาก ข้ายอมละทิ้งน้ำผึ้งห้าแสงเพื่อแลกกับไข่เหล่านี้” อู๋ขุยสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็ทำตามองบนอย่างอดไม่ได้
ของดีระดับนี้ใครได้มาก็ล้วนมีประโยชน์เป็นอย่างมาก พอไข่ฟักออกมาอย่างราบรื่นและเติบโตเต็มวัย ก็เท่ากับว่ามีผู้ช่วยระดับแก่นแท้เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง
แต่อู๋ขุยเป็นผู้ที่มีระดับการฝึกฝนสูงสุดในบรรดาคนเหล่านี้ คนอื่นๆ ย่อมไม่กล้าขัดแย้งกับเขาซึ่งๆ หน้า ฮวาชิงอิ่งก็แค่ขมวดคิ้วแล้วไม่กล่าวอะไรออกมา
แต่หญิงสวมหมวกคลุมกับชายชุดเขียว ต่างก็มองหลิ่วหมิงโดยไม่รู้ตัว
ในสายตาของพวกเขา หนึ่งเดียวในตอนนี้ที่สามารถต่อกรกับอู๋ขุยได้ เกรงว่าคงมีแต่ผู้ฝึกกระบี่ระดับแก่นแท้อย่างหลิ่วหมิงแล้ว
แต่หากพวกเขารู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางล่ะก็ ไม่รู้ว่าจะมีสีหน้าแบบไหนกัน
แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกอยากได้ไข่ผึ้งห้าแสงอยู่บ้าง แต่หลังจากคิดใคร่ครวญแล้วก็ค่อยๆ กล่าวกับอู๋ขุย
“ตอนนี้พวกเรายังไม่ได้ไปดูปริมาณของน้ำผึ้งที่อยู่ในถ้ำ รอได้สิ่งของมาครบทั้งหมดแล้วค่อยแบ่งกันก็ยังไม่สาย พี่อู๋ว่าอย่างไร?”
“เรื่องนี้……เอาเถอะ! ในเมื่อสหายเอ่ยปากแล้ว ก็ไปดูที่รังผึ้งก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลังจากอู๋ขุยได้ยินเช่นนี้ แม้ว่าจะมีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย แต่หลังจากคิดๆ ดูแล้ว ก็ฝืนพยักหน้าตอบรับ
ด้วยเหตุนี้ฮวาชิงอิ่งและคนอื่นๆ ย่อมไม่มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด
หลังจากฝังศพชายฉกรรจ์ และเก็บกวาดพื้นที่บริเวณนั้นแล้ว พวกเขาก็เหาะไปทางยอดเขาที่อยู่ไม่ไกลในทันที
ครึ่งชั่วยามต่อมา ขณะที่คนกลุ่มนี้เดินออกมาจากถ้ำบนยอดเขานั้น พวกเขาต่างก็มีสีหน้าเบิกบานใจเป็นอย่างมาก
ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ สังหารปีศาจผึ้งที่เหลือในรังในหมดสิ้น และได้น้ำน้ำผึ้งห้าแสงคุณภาพสูงมาจำนวนมาก ทั้งยังได้น้ำผึ้งราชินีผึ้งที่แท้จริงมาสี่ขวดด้วย
ดังนั้นหลังจากพวกเขาหารือกันเล็กน้อยแล้ว ก็ตกลงกันได้
สิ่งของที่มีมูลค่าสูงนั้น เนื่องจากอู๋ขุยเป็นคนออกแรงล่อราชินีผึ้งมากที่สุด จึงได้ไข่ผึ้งห้าแสงไปสองใบ และฮวาชิงอิ่วกับหญิงสวมหมวกคลุมต่างก็เอาไปคนละใบ
น้ำผึ้งราชินีผึ้งที่เหลือก็เป็นของหลิ่วหมิงกับชายชุดเขียวคนละครึ่ง
และน้ำผึ้งห้าแสงคุณภาพสูงก็เป็นของหลิ่วหมิงทั้งหมด เนื่องจากเขาสังหารราชินีผึ้งกับไม่เอาไข่ของมัน
ส่วนศพของราชินีผึ้งย่อมเป็นของฮวาชิงอิ่งตามที่ได้พูดคุยกันไว้ตั้งแต่แรก
การแบ่งเช่นนี้ทุกคนล้วนปีติยินดีด้วยกันทั้งสิ้น!
แต่พอทุกคนเพิ่งเดินออกจากถ้ำ หลิ่วหมิงก็เดินไปข้างชายชุดเขียว และขยับปากเบาๆ เพื่อส่งเสียงให้ชายชุดเขียว
ชายชุดเขียวได้ยินก็มองดูหลิ่วหมิงด้วยความประหลาดใจ หลังจากนั้นทั้งสองก็ส่งเสียงสนทนากัน และหลิ่วหมิงก็นำขวดหยกสีขาวออกมาให้ชายชุดเขียว
หลังจากชายชุดเขียวรับขวดหยกไปแล้ว ก็ดึงจุกออกแล้วใช้จิตกวาดดูทันที ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก และนำขวดเล็กๆ หนึ่งใบที่ใส่น้ำผึ้งราชินีผึ้งออกมามอบให้หลิ่วหมิง
ที่แท้หลิ่วหมิงก็ใช้โอสถแฝงจิตวิญญาณระดับสูงสิบเม็ดแลกกับน้ำผึ้งของราชินีผึ้งในมือชายชุดเขียวหนึ่งขวด
เดิมทีนี่ก็คือเป้าหมายในการเดินทางของเขา ส่วนไข่ผึ้งนั้นจะมีหรือไม่มีก็ได้
เพราะอสูรเลี้ยงของหลิ่วหมิงมีเพียงพอแล้ว หากเอามันไปฟักแล้วบ่มเพาะ ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะเกิดผล
การกระทำของทั้งสองย่อมอยู่ในสายตาของคนอื่นๆ แต่มันเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างก็รู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องอธิบาย และไม่มีใครเอ่ยปากถามอะไรออกมา
และเมื่อเขามีน้ำผึ้งราชินีผึ้งแท้จริงที่ไม่มีสิ่งอื่นเจือปนแล้ว ต่อไปก็มีโอกาสปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธาได้มากขึ้น
“เอาล่ะ! ขบวนการในครั้งนี้สิ้นสุดเพียงเท่านี้ ข้าต้องขอบนคุณทุกท่านที่มาช่วย พอพวกเราไปจากเทือกเขาจูหลงแล้ว ก็สามารถทำเรื่องของตัวเองได้แล้ว” ฮวาชิงอิ่งกล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม
แม้ว่าขบวนการของพวกเขาในครั้งนี้จะสำเร็จ แต่เทือกเขาจูหลงก็ไม่ใช่สถานที่น่าอยู่แต่อย่างใด ทุกคนยังต้องรวมพลังเพื่อออกไปพร้อมกัน
เวลาต่อมา พวกเขาก็กลับไปทางเดิม
แต่ว่าในระหว่างพวกเขาด้วยกันเอง ยังคงรักษาระยะห่างอยู่
หลิ่วหมิงตั้งใจอยู่ท้ายสุด ด้านหนึ่งกุมหินจิตวิญญาณฟื้นฟูพลังเวท อีกด้านก็ค่อยๆ เหาะตามผู้คนที่อยู่ด้านหน้า
สองวันต่อมา ขณะที่เขารีบเร่งเดินทางอย่างเงียบๆ นั้น อู๋ขุยที่อยู่ตรงหน้าสุดก็คำรามเสียงต่ำออกมา ขณะเดียวกันก็หยุดชะงักลง ดวงตามองไปทางด้านซ้ายตรงหน้า แม้คนอื่นๆ จะรู้สึกแปลกใจ แต่ก็หยุดลงพร้อมกัน
แววตาหลิ่วหมิงเป็นประกาย พอปล่อยจิตออกไป สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
“พี่อู๋เกิดอะไรขึ้น มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?” ฮวาชิงอิ่งถามด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย น้ำเสียงยังไม่ทันได้สิ้นสุดลง ก็มีเสียงดังขึ้นมา แสงสีเขียวจางๆ ราวกับหินอุกกาบาต พุ่งมาทางด้านนี้อย่างรวดเร็ว
เกิดเสียงดังตูมตาม แสงสีเขียวปะทะลงบนเนินเขาลูกเล็กๆ ทางด้านข้างของพวกเขา เนินเขากว่าครึ่งหนึ่งระเบิดออกมา เศษหินกระเด็นไปทั่วทิศ
หลังจากแสงดับลง ก็มีเงาร่างโซซัดโซเซออกมาจากเศษหิน
เขาเป็นชายที่สวมชุดคลุมสีครามผู้หนึ่ง มีมงกุฎสีขาวอยู่บนศีรษะ ใบหน้าค่อนข้างอ่อนเยาว์ แต่ดวงตาทั้งคู่กลับเรียวยาว ลูกตาดำเป็นสีเหลืองทอง จมูกงองุ้มราวกับปากเหยี่ยว
พอมองดูก็รู้ว่าชายผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจ ทั้งยังมีระดับการฝึกฝนไม่เบา ซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้เช่นกัน!
“เจ้าคือ…หมัวซี บุตรของปีศาจวายุหมัวเจี๋ย” พออู๋ขุยเห็นใบหน้าของคนผู้นี้ชัดเจน ก็กล่าวด้วยความตะลึงในทันที
ฮวาชิงอิ่งและคนอื่นๆ ได้ยินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก ชื่อเสียงของปีศาจวายุหมัวเจี๋ยสั่นสะเทือนไปทั่วดินแดนทางตอนใต้ หมัวซีที่เป็นบุตรเพียงหนึ่งเดียว ย่อมมีชื่อเสียงไม่เบา แต่เหตุใดถึงมาปรากฏตัวในส่วนลึกของเทือกเขาจูหลง ทั้งยังมีสภาพกระเซอะกระเซิงเช่นนี้
มีเลือดอยู่ตรงมุมปากของผู้ฝึกฝนปีศาจ ดูเหมือนเขาจะได้รับบาดเจ็บสาหัส พอหันมาเห็นอู๋ขุยก็เผยสีหน้าดีใจออกมา ดูเหมือนกำลังจะพูดอะไร แต่ก็มีสีหน้าซีดขาวในทันที และหันกลับไปมองทางที่ผ่านมาด้วยแววตาหวาดกลัว
ทุกคนมองตามเขาไป แต่กลับมองไม่เป็นอะไรเลย
หลิ่วหมิงใจเต้นตุ๊บๆ อย่างอดไม่ได้ และรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยขึ้นมาทันที
ขณะนั้นเอง พลันมีคลื่นสะเทือนกลางอากาศที่สูงขึ้นไปหนึ่งพันจั้ง มือยักษ์สีม่วงที่มีขนาดใหญ่ราวกับภูเขาแหวกอากาศออกมา และคว้าไปทางชายหนุ่มชุดคลุมสีครามที่อยู่ด้านล่าง
“ไม่!”
ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจเห็นเช่นนี้ก็ร้องออกมาด้วยความตกใจ ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำอย่างบ้าคลั่ง แสงสีเขียวเปล่งประกายในมือ ดาบโค้งๆ ปรากฏออกมาหนึ่งเล่ม และฟันแสงดาบออกไปด้านหน้าสิบกว่าลำ
แสงสีม่วงบนฝ่ามือยักษ์สั่นสะท้านเบาๆ คลื่นแสงกระเพื่อมออกมาโจมตีแสงดาบทั้งหมดจนแตกละเอียด จากนั้นฝ่ามืออันทรงอานุภาพก็กดลงมาทันที
ผู้ฝึกฝนปีศาจถูกตบลงบนพื้นโดยไม่มีแรงโจมตีกลับเลยแม้แต่น้อย
ครู่ต่อมา ขายฉกรรจ์ชุดคลุมสีม่วงผู้หนึ่งก็ปรากฏอยู่เหนือมือยักษ์ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มอันเยือกเย็น ดวงตากวาดมองดูพวกหลิ่วหมิง
แม้ว่าอู๋ขุยและคนอื่นๆ จะรู้สึกตกใจมาก แต่ก็ร่นถอยออกไปหลายก้าวอย่างอดไม่ได้ และทำท่าเตรียมพร้อมรับมือมือไว้
หลิ่วหมิงหดรูม่านตาลง ตลอดทางที่ผ่านมาจิตรับรู้ของเขาตรวจสอบไปรอบด้านอยู่ตลอดเวลา แต่กลับไม่ค้นพบร่องรอยของชายฉกรรจ์ชุดม่วงเลยแม้แต่น้อย
ไม่เพียงแต่เท่านี้ แม้ว่าตอนนี้ชายฉกรรจ์ชุดม่วงจะยืนอยู่ตรงนั้นแล้ว แต่เมื่อเขาใช้จิตกวาดดูก็ยังคงไม่อาจรับรู้ได้ ราวกับว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนั้นจริงๆ
พลังเหลือเชื่อเช่นนี้ แต่ก่อนหลิ่วหมิงเคยรับรู้ได้จากตัวของผู้อาวุโสระดับสูงในนิกาย
“ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์!”
หลิ่วหมิงรู้สึกขมคอในทันที
“เลี่ยเจิ้นเทียน เจ้าอย่าได้รังแกคนเกินไป!” เสียงคำรามของผู้ฝึกฝนปีศาจดังออกจากใต้มือยักษ์
อู๋ขุยและคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปอีกครั้ง ชื่อเลี่ยเจิ้นเทียนนี้ก็มีชื่อเสียงในดินแดนทางตอนใต้เช่นกัน ซึ่งไม่มีใครที่ไม่รู้จัก
ปีศาจสายฟ้าเลี่ยเจิ้นเทียน นับว่าเป็นหนึ่งในสามผู้ฝึกฝนปีศาจในดินแดนทางตอนใต้ที่มีชื่อเสียงระดับเดียวกับปีศาจวายุหมัวเจี๋ย และมีการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์
ชายฉกรรจ์ชุดม่วงได้ยินก็ยิ้มเหยียดออกมา พอยกมือขนาดใหญ่ขึ้น มือยักษ์สีม่วงที่กดอยู่บนพื้นก็ระเบิดออกมา และค่อยๆ หดลงจนมีขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ และผู้ฝึกฝนปีศาจชุดสีครามในก่อนหน้าก็แนบติดกับมือยักษ์ แม้ว่าเขาจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย
“เข้ากล้าทำกับข้าเช่นนี้ พ่อข้าจะต้องไม่ปล่อยเจ้าไปอย่างแน่นอน!” ร่างของผู้ฝึกฝนปีศาจชุดเขียวถูกทดทับจนหน้าแดงราวกับเลือด เขาจึงตะโกนใส่ชายฉกรรจ์โดยไม่สนใจเรื่องอื่นอีก
“ฮึ! คนอื่นกลัวหมัวเจี๋ย ข้าไม่กลัวสักหน่อย!” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงหัวเราะเหอะๆ เสียงของเขาดังก้องกังวานไปทั่วท้องฟ้าราวกับเสียงระฆัง แต่ละคำพูดล้วนสั่นสะเทือนความรู้สึกเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากหลิ่วหมิงได้ยิน ก็รู้สึกแสบแก้วหูเป็นอย่างมาก จึงรีบกระตุ้นโซ่ตรวนสะกดวิญญาณให้ปกป้องทะเลจิตรับรู้ไว้ และใช้พลังจิตของหนอนพลังจิตมาช่วย ร่างของเขาถึงโงนเงนแค่สองสามที และไม่ได้ล้มลงพื้น
พอปราดตามองก็ค้นพบว่านอกจากอู๋ขุยจะมีสีหน้าสงบเล็กน้อยแล้ว คนอื่นๆ ต่างก็มีสีหน้าซีดขาวอยู่ครู่หนึ่ง
หลิ่วหมิงรีบครุ่นคิดด้วยความหวาดกลัว และเริ่มไตร่ตรองถึงแผนการสลัดตัวให้หลุดพ้น
แต่ตอนนี้เขารับรู้ได้ถึงจิตรับรู้ของชายฉกรรจ์ชุดม่วงที่ปกคลุมไปทั่วพื้นที่บริเวณนี้อย่างชัดเจน แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะไม่ได้มองพวกเขาเลยแม้แต่น้อย แต่หากเสี่ยงเคลื่อนไหวล่ะก็ เกรงว่าคงจะถูกฝ่ามือของเขาตบเสียชีวิตในทันที
แต่ครู่ต่อมา เรื่องที่ทำให้ฮวาชิงอิ่ง อู๋ขุย และคนอื่นๆ มีสีหน้าซีดขาวก็ปรากฏขึ้น
น้ำเสียงของชายฉกรรจ์ชุดม่วงเพิ่งสิ้นสุดลง ก็ยกมือขึ้นและโบกไปทางมือยักษ์สีม่วงทันที แสงโลหิตก่อตัวขึ้นกลางอากาศ และกะพริบไปแทงหน้าอกของหมัวซี
ผู้ฝึกฝนปีศาจชุดเขียวส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส หลิ่วหมิง และคนอื่นๆ รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที
ตอนที่ 684 สืบสานปีศาจสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในขณะที่หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็มีหน้าตกตะลึงนั้น ร่างของผู้ฝึกฝนปีศาจชุดเขียวก็แห้งเหี่ยวในทันที และเสียงร้องก็ค่อยๆ หมดแรงลง จนสุดท้ายปากของเขายังคงเปิดกว้าง แต่กลับมีเสียงครวญครางเบาๆ จนแทบจะไม่ได้ยิน
แต่ผ่านไปสักพัก แสงโลหิตที่มีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นก็ถูกดึงออกจากหน้าอกของผู้ฝึกฝนปีศาจชุดเขียว หัวใจที่กำลังเต้นเบาๆ ถูกห่อหุ้มอยู่ในนั้น
พอมองดูผู้ฝึกฝนปีศาจอีกที จะเห็นว่าร่างของเขาแห้งเหี่ยวราวกับโครงกระดูกไปตั้งนานแล้ว และติดอยู่ในมือใหญ่สีม่วงอย่างอ่อนแรง ดวงตาทั้งคู่ยังคงดูหวาดผวาและไม่พอใจ แต่กลับไม่มีร่องรอยของการมีชีวิตแล้ว
ไม่รู้ว่ามีขวดหยกสีเขียวปรากฏในมือชายฉกรรจ์ชุดม่วงตั้งแต่เมื่อไหร่ พอโบกมืออีกข้างไปกลางอากาศ แสงโลหิตก็ห่อหุ้มหัวใจของหมัวซีไว้ และถูกดูดเข้าไปในขวดหยก
เมื่อเห็นฉากเช่นนี้ ฮวาชิงอิ่ง อู๋ขุย และคนอื่นๆ ก็ทั้งตกใจและหวาดกลัว แม้ว่าอยากจะหลบหนีไปให้ไกลๆ แต่ต่อหน้าผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์กลับไม่มีใครกล้าเคลื่อนไหวแต่อย่างใด
หลิ่วหมิงเองก็แอบตะโกนว่า “ไม่ดี!” อยู่ในใจ
ชายฉกรรจ์ชุดม่วงมองดูขวดหยกในมือด้วยสีหน้าพอใจ หลังจากเก็บมันเข้าไปในแขนเสื้อแล้ว ก็ดูเหมือนจะยกแขนเสื้อขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ พอมือสีม่วงขยับตัว ศพผู้ฝึกฝนปีศาจชุดเขียวก็ถูกขยี้จนระเบิด จากนั้นก็หันมากล่าวกับพวกหลิ่วหมิงอย่างราบเรียบ
“ผู้น้อยอย่างพวกเจ้ารู้ว่าอะไรควรไม่ควร ในเมื่อไม่ได้หลบหนีไป ก็ตามข้ามาเถอะ!”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ก็ไม่เห็นว่าเขาจะมีการเคลื่อนไหวใดๆ แต่กลับมีเงาร่างมนุษย์ยักษ์สีม่วงที่มีลักษณะคล้ายชายฉกรรจ์ชุดม่วงปรากฏออกมาด้านหลังในทันที และมือยักษ์สีม่วงในก่อนหน้านี้ก็มาจากมนุษย์ยักษ์ผู้นี้
เงาร่างมนุษย์ยักษ์โบกมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นมือยักษ์สีม่วงข้างหนึ่งก็คว้ามาทางพวกเขา
พอเห็นฉากเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และแอบร้องว่าไม่ดีอยู่ในใจ ร่างของเขาทำท่าทีตอบสนองออกมา ไอดำพวยพุ่งออกจากตัวอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็ห่อหุ้มร่างของเขาไว้ ขณะเดียวกันโล่กระดูกสีดำก็เปล่งประกายออกมา และขยายใหญ่หลายจั้งก่อนต้านทานอยู่ตรงหน้า จากนั้นเท้าทั้งคู่ก็กระทืบพื้นอย่างรุนแรง เพื่อคิดจะพุ่งถอยออกไปอย่างรวดเร็ว
แต่ว่าต่อหน้ามือยักษ์สีม่วงแล้ว เห็นได้ชัดว่าการกระทำนี้ล้วนเสียแรงเปล่า
ขณะที่มือยักษ์ค่อยๆ กุมมือทั้งห้า หลิ่วหมิงก็รู้สึกถึงพลังมหาศาลที่กดดันมาจากทั่วทิศ เส้นลมปราณทั่วร่างเกิดอาการชาไปครู่หนึ่ง และกลายเป็นท่อนไม้แข็งๆ โดยไม่อาจควบคุมร่างของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์
นอกจากอู๋ขุยที่ขยับได้สองสามครั้งในตอนแรกแล้ว คนอื่นๆ ที่อยู่ด้านข้างต่างก็ไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองใดๆ จึงถูกสั่นสะเทือนจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย
ครู่ต่อมา ภายใต้การกำมือของมือยักษ์สีม่วง หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก็ถูกจับอยู่ในนั้นทั้งหมด
“หืม! พลังจิตฝึกฝนได้ไม่เลว ต่อหน้าข้ายังสามารถลงมือได้” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงมองดูหลิ่วหมิงด้วยความแปลกใจทีหนึ่ง แต่แสงสีม่วงก็ม้วนออกจากตัวอย่างรวดเร็ว และพาเขาพุ่งไปยังขอบฟ้า
พริบตาที่มนุษย์ยักษ์สีม่วงหันตัวกลับมา มันก็ค่อยๆ หายไปในอากาศ มือยักษ์สีม่วงที่จับพวกหลิ่วหมิงไว้ก็กลายเป็นแสงสีม่วง และตามติดชายฉกรรจ์ชุดม่วงไป
หลิ่วหมิงอยู่ในแสงสีม่วงโดยไม่อาจกระดิกตัวได้เลยแม้แต่น้อย แม้แต่ปากก็ไม่อาจขยับได้ รู้สึกแค่ว่าภาพรอบด้านพุ่งถอยออกไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว ภาพภูเขาแม่น้ำลำธาร ภาพเมฆหมอกและวิหคที่โบยบิน ทุกอย่างล้วนมีเวลาเพียงแค่เหลือบมอง และแล้วมันก็ถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลังไกลๆ
……
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด แสงสีม่วงที่ห้อหุ้มพวกเขาสลายไปทันที หลิ่วหมิงรู้สึกว่าตรงหน้าสว่างขึ้นมา ร่างของเขาเซเล็กน้อย และกลับมาอยู่ในอำนาจควบคุมของตนเองอีกครั้ง
ขณะนี้ อู๋ขุย ฮวาชิงอิ่ง และคนอื่นๆ ต่างก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้ว และกำลังมองไปรอบด้าน
ภายใต้การกวาดสายตาดูรอบด้านของหลิ่วหมิง ก็ค้นพบว่าตนเองดูเหมือนจะอยู่ท่ามกลางเทือกเขาสีแดงเข้มขนาดใหญ่ บนภูเขามีถ้ำขนาดต่างๆ จำนวนมาก ทั้งยังมองเห็นเงาตะคุ่มๆ ของสิ่งก่อสร้างแปลกประหลาดที่ปกคลุมอยู่ในเทือกเขาที่อยู่ไกลๆ ดูเหมือนว่าจะเป็นเมืองแห่งหนึ่ง ในนั้นยังมีผู้ฝึกฝนปีศาจเข้าๆ ออกๆ อยู่จำนวนหนึ่ง
สถานที่แห่งนี้ก็คือสถานที่รวมตัวของผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจ
“ดูเหมือนว่าสถานที่แห่งนี้จะเป็นเขาเหลยฉือ……” หลังจากอู๋ขุยกวาดสายตามองดูรอบด้านแล้ว ก็กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกกลัดกลุ้มในทันที เขาเหลยฉือเป็นสถานที่ที่มีชื่อเสียงในดินแดนป่าเถื่อนทางตอนใต้ ซึ่งก็คือสถานที่อยู่ในอำนาจควบคุมของปีศาจสายฟ้า ขณะเดียวก็เป็นสถานที่รวมตัวของผู้ฝึกฝนปีศาจหลายคนในดินแดนทางใต้ด้วย
ปีศาจสายฟ้าพาพวกเขามาที่นี่ด้วยตนเองเช่นนี้ ประจักษ์ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน
ขณะเดียวกัน ชายฉกรรจ์ชุดม่วงกำลังยืนอยู่บนสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะคล้ายแท่นบูชา และร่ายคาถาออกมา มือทั้งสองก็ทำท่ามือแปลกประหลาดอยู่ไม่หยุด ดูเหมือนเขากำลังทำพิธีแปลกประหลาดบางอย่างอยู่
หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต่างก็มองหน้ากัน แม้จะไม่รู้ว่าคนผู้นี้กำลังทำอะไร แต่แผนการของพวกเขาในตอนนี้ก็คงได้แต่ค่อยๆ ดูไปทีละก้าวแล้ว หากบุ่มบ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือล่ะก็ อาจมีอันตรายถึงชีวิตได้ตลอดเวลา
เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา จะเห็นว่าชายฉกรรจ์ชุดม่วงหยุดร่ายคาถา สิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะเป็นแท่นบูชาเปล่งประกายออกมา จากนั้นแขนทั้งสองของเขาก็ยื่นออกไปด้านหน้าทันที และค่อยๆ แยกออกไปด้านข้าง
เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น!
สายฟ้าสีม่วงขนาดใหญ่พุ่งออกมากลางอากาศ และระเบิดตัวเป็นไหมสายฟ้าสีม่วงนับไม่ถ้วน ไหมสายฟ้าที่แน่นขนัดกลางอากาศถูกฉีกจนกลายเป็นรูขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่าจะมีอีกมิติหนึ่งอยู่ในนั้น
จากนั้นชายฉกรรจ์ชุดคลุมสีม่วงก็คว้ามือไปด้านหลังโดยที่ไม่หันหน้ากลับมา ทันใดนั้นกระแสอากาศไร้รูปก็ห่อหุ้มหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ไว้ และม้วนตัวเข้าไปในรอยแยกมิติโดยที่พวกเขาไม่สามารถต้านทานได้เลย
พอพวกหลิ่วหมิงจมเข้าไป รอยแยกมิติก็ผสานตัวเข้าหากันท่ามกลางสายฟ้าสีม่วงที่ประสานกันไปมา
จากนั้นไหมสายฟ้าสีม่วงก็สลายไป อากาศกลับมาสงบอีกครั้งราวกับไม่เคยเกิดฉากเมื่อครู่ขึ้นมาก่อน และแสงแววาวบนแท่นบูชาใต้เท้าชายฉกรรจ์ชุดม่วงก็ค่อยๆ ดับลง
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ ชายฉกรรจ์ชุดม่วงก็หมุนตัวไปจากแท่นบูชาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และกลายเป็นแสงหลบหลีกสีม่วงพุ่งไปยังยอดเขาบางแห่งทันที
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ตรงหน้าหน้าผาบนยอดเขาที่ดูไม่เตะตาแห่งหนึ่ง มีแสงสีม่วงกะพริบเข้ามาถึง จากนั้นร่างของชายฉกรรจ์ชุดม่วงก็ปรากฏออกมา
ดูเหมือนเขาจะยกแขนข้างหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ หน้าผาที่ดูแข็งแกร่งเป็นพิเศษพร่ามัวในทันที
ชายฉกรรจ์ชุดม่วงก้าวเข้าไปในหน้าผาราวกับไม่มีอะไรกั้นไว้ ทำให้เกิดระลอกคลื่นขึ้นมา จากนั้นหน้าผาก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
ครู่ต่อมา ภายในห้องลับแห่งหนึ่งตรงไหล่เขา
หูทั้งสองของชายคนหนึ่งที่ยืนเก็บมือหันหน้าไปทางประตู ก็ค่อยๆ ขยับตัว และเอ่ยปากออกมาในฉับพลัน
“พี่เลี่ย การเดินทางในครั้งนี้ยังคงเรียบร้อยดีหรือไม่?”
น้ำเสียงแข็งแหบแห้งราวกับไม่ค่อยได้พูดดังออกมา
“ฮึ! ก็แค่ปีศาจระดับแก่นแท้เล็กๆ ผู้หนึ่ง จะสร้างเรื่องวุ่นวายอะไรได้?” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงยิ้มบางๆ และโยนขวดหยกโปร่งใสออกไป
ชายผู้นี้คว้ามือไปกลางอากาศโดนโดยที่ยังไม่ทันได้หันหน้ากลับมา เขาดูดขวดหยกมาไว้ในมือ และค่อยๆ หมุนตัวกลับมา
จะเห็นว่าคนผู้นี้รูปร่างสูงใหญ่ไม่น้อยไปกว่าชายฉกรรจ์ชุดม่วงเลย ผิวหนังเป็นสีดำแวววาวราวกับเหล็ก แก้มทั้งสองข้างจมลึกลงไป ทำให้รู้สึกถึงความเคร่งขรึมราวกับคมดาบ
เขาคือหนึ่งในสามผู้ฝึกฝนที่ยิ่งใหญ่ในดินแดนตอนใต้ ซึ่งก็คือจงเหยียนที่เรียกกันว่า ‘ปีศาจเหล็ก’ นั่นเอง
“ดีมาก! มีสายเลือดบริสุทธิ์ของปีศาจวายุแล้ว แผนของปีศาจสวรรค์ของเราก็มีความมั่นใจมากขึ้น” ชายฉกรรจ์หน้าดำมองดูขวดหยกในมือแล้วเผยสีหน้าดีใจออกมา
จะเห็นว่าขวดหยกสีเขียวกึ่งโปร่งใสในมือของเขา มีหัวใจสีแดงที่ยังคงเต้นเบาๆ อยู่หนึ่งดวง ไอหมอกสีเลือดปกคลุมอยู่ในขวด และมีแสงสีเขียวเปล่งประกายอยู่ตลอดเวลา
ดูเหมือนว่าชายฉกรรจ์ชุดม่วงจะไม่ได้ดีใจขนาดนั้น ยังคงมีความกังวลบนใบหน้า หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว ก็เอ่ยปากออกมาอีกครั้ง
“ตามความลับบรรพกาลที่ท่านได้ยินมาในก่อนหน้านั้น รวบรวมโลหิตเผ่าปีศาจชนิดต่างๆ จากทั่วทุกหนแห่งมา จากนั้นใช้เคล็ดวิชาหลอมรวมกับสายเลือดที่เป็นเอกลักษณ์ของแดนใต้เรา ก็สามารถสร้างร่างปีศาจสวรรค์ในตำนานได้ ท่านมีความมั่นใจในเรื่องนี้จริงๆ หรือ? เพื่อแผนการในครั้งนี้ พวกเราแอบจับคนร่วมเผ่ามามากมายเช่นนี้ ตอนนี้แม้แต่บุตรของหมัวเจี๋ยก็สังหารไปแล้ว หากว่าสุดท้ายยังได้แค่ความว่างเปล่าล่ะก็ ท่านกับข้าก็คงรู้ถึงผลลัพธ์ดี”
ขณะที่กล่าวถึงประโยคสุดท้ายนั้น น้ำเสียงของชายฉกรรจ์ชุดม่วงก็เคร่งขรึมลง
“พี่เลี่ยไยต้องกังวลใจด้วย? เรื่องนี้เป็นเคล็ดวิชาที่บันทึกไว้บนป้ายปีศาจสวรรค์ จะต้องไม่มีอะไรผิดพลาดอย่างแน่นอน อีกอย่างตอนนี้หมัวเจี๋ยผู้นั้นใกล้จะฝึกฝนถึงระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์แล้ว เขากับพวกเราไม่ถูกกันมาโดยตลอด หากให้เขาเข้าถึงระดับนี้ก่อนล่ะก็ ดินแดนทางตอนใต้นี้จะมีที่ยืนสำหรับพวกเราหรือ? พอเคล็ดวิชาปีศาจสวรรค์สำเร็จ ฝ่ายเราไม่เพียงแต่จะมีผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์เพิ่มขึ้นมาอีกคน ที่สำคัญคือท่านกับข้าก็มีโอกาสใช้เคล็ดวิชานี้ทำความเข้าใจความลี้ลับของระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ก่อนได้ สิ่งนี้จะทำลายพันธนาการของข้ากับ้ท่านในตอนนี้ได้ ซึ่งมีประโยชน์เป็นอย่างมาก” ชายฉกรรจ์ค่อยๆ กล่าวออกมา
“หวังว่าจะเป็นอย่างที่ท่านพูด” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงถอนหายใจและขมวดคิ้วเล็กน้อย
“พี่เลี่ยก็ไม่จำเป็นต้องกังวลจนเกินไป ก็แค่รวบรวมสายเลือดเผ่าปีศาจอื่นๆ เท่านั้น เผ่าปีศาจเราดำรงชีวิตรอดตามกฎผู้อ่อนแอเป็นเนื้อสมัน ผู้แข็งแกร่งเป็นเสือสมิงมาโดยตลอด ต่อให้เรื่องนี้แพร่งพรายออกไป คนเหล่านั้นจะกล้ามาหาเรื่องข้ากับท่านหรือ? ส่วนเจ้าบ้าปีศาจวายุนั่น เพียงแค่ข้ากับท่านร่วมมือกัน ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย” ชายฉกรรจ์หน้าดำพูดเกลี้ยกล่อมต่อ
“พี่จงไม่ต้องพูดมากแล้ว ในเมื่อข้ามาถึงขั้นนี้ ก็ต้องตัดสินใจเด็ดขาดที่จะต่อสู้ให้ถึงที่สุด” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงได้ยินเช่นนี้ ถึงกล่าวด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง
“ใช่สิ! ได้ยินมาว่าหลายเดือนมานี้พี่เลี่ยจับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ไปไว้ในแดนลึกลับไม่น้อย ตอนนี้เครื่องสังเวยที่มีชีวิตในนั้นน่าจะมีพอประมาณแล้ว?” ชายฉกรรจ์หน้าดำเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“เดิมทียังขาดอยู่อีกหน่อย แต่วันนี้ในขณะที่สังหารเจ้าเด็กหมัวซีนั่น บังเอิญได้มาอีกห้าคนพอดี มันคงเพียงพอสำหรับทดลองปีศาจสวรรค์แล้ว” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงเงียบไปเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงเวลาที่ยาวนานอุปสรรคก็ยิ่งมาก ไม่สู้ดำเนินตามแผนในตอนนี้เถอะ! หากจะสืบสานปีศาจสวรรค์ต่อ ย่อมต้องเป็นบรรดาศิษย์รุ่นหลังที่โดดเด่นของพวกเราถึงจะได้” ชายฉกรรจ์ได้ยินก็แนะนำด้วยความดีใจ
“ก็ดีเหมือนกัน” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย
แม้ว่าแผนการปีศาจสวรรค์จะค่อนข้างเป็นความลับ แต่หากถูกคนอื่นรู้เข้าก็ยังคงเป็นเรื่องที่มีปัญหาอยู่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าทั้งสองจะไม่ได้พูดถึง แต่สิ่งที่ในใจพวกเขารู้สึกหวาดกลัวที่สุดกลับไม่ใช่หมัวเจี๋ยที่มีชื่อเสียงระดับเดียวกับพวกเขา แต่กลับเป็นกลุ่มอิทธิพลขนาดใหญ่ที่พอทั้งสองได้ยินชื่อต้องมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก
หากกลุ่มอิทธิพลนี้รู้ว่าพวกเขาแอบถ่ายทอดและสืบสานทอดปีศาจสวรรค์ล่ะก็ เกรงว่าพวกเขาคงต้องเผชิญกับการถูกทำลายล้างในไม่ช้า
ตอนที่ 685 สืบเสาะแดนลึกลับในระยะแรก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป แท่นบูชาบนเขาเหลยฉือ
เลี่ยเจิ้นเทียนชายฉกรรจ์ชุดม่วงกับจงเหยียนชายฉกรรจ์หน้าดำ กำลังยืนเคียงไหล่อยู่หน้าแท่นบูชา ด้านล่างของทั้งสองคือผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจสิบกว่าคนที่แบ่งเป็นสองแถว แถวหนึ่งสวมชุดคลุมยาวสีม่วงซึ่งเป็นคนของปีศาจสายฟ้า อีกแถวล้วนสวมชุดสีดำ พอมองก็รู้ว่าเป็นศิษย์รุ่นหลังของชายฉกรรจ์หน้าดำ
ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจเหล่านี้ต่างก็มีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ขึ้นไป ซึ่งล้วนเป็นผู้ที่มีความโดดเด่นในบรรดาคนรุ่นหลังของทั้งสองเผ่า
“เรื่องเกี่ยวกับการทดสอบปีศาจสวรรค์ ข้าจะไม่พูดอะไรมากแล้ว พวกเจ้าล้วนเป็นศิษย์ที่มีคุณสมบัติสูงสุดที่ถูกคัดเลือกจากคนในเผ่านับหมื่นนับพันคน ลำดับถัดไปจะเป็นการเริ่มทดสอบอย่างเป็นทางการ อีกประเดี๋ยวข้ากับสหายจงจะร่วมมือกันเปิดทางเข้าแดนลึกลับ และภายในแดนลึกลับก็ได้เตรียมเครื่องสังเวยต่างเผ่าไว้เพียงพอแล้ว ใช้วิชาเฉพาะที่พวกเราถ่ายทอดมาดูดพลังวิญญาณของพวกเขาสร้างพลังให้กับตัวเอง เพื่อเตรียมการให้พร้อมสำหรับสืบสานปีศาจสวรรค์ แต่ว่าจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เข้าสู่แท่นบูชาใจกลางแดนลึกลับได้ นี่หมายความว่าอย่างไร ข้าไม่ต้องบอกพวกเจ้าก็คงเข้าใจ ในเผ่าปีศาจของข้าผู้ที่แข็งแกร่งจะเป็นผู้อาวุโส มีเพียงผู้ชนะคนสุดท้ายที่ได้ป้ายอาญาสิทธิ์ของศิษย์ที่ได้รับคัดเลือกทั้งหมดเท่านั้น ถึงมีสิทธิ์ได้รับสืบสานปีศาจสวรรค์!” ชายฉกรรจ์ชุดม่วงประกาศด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ศิษย์เผ่าปีศาจที่อยู่ด้านล่างได้ยินคำพูดนี้ต่างก็มีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมา
ในเผ่าปีศาจ แม้ว่าผู้อ่อนแอกว่าตกจะเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่งกว่าจนเห็นเป็นเรื่องที่ชาชินแล้ว แต่ครั้งนี้มันต่างกัน ผู้เแข็งแกร่งในตอนท้ายไม่เพียงแต่จะมีพลังเพิ่มทวี ทั้งยังสามารถสืบสานปีศาจสวรรค์ในตำนานได้ ไม่เพียงแต่จะบรรลุสู่ระดับดาราพยากรณ์ได้โดยง่าย แม้แต่การเข้าสู่ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้
เพื่อโอกาสนี้ ต่อให้จะรู้ว่ามีโอกาสเสียชีวิตในการทดสอบครั้งนี้สูง ศิษย์ที่โดนคัดเลือกก็ยังไม่มีใครยอมถอนตัว
ผู้ฝึกฝนปีศาจระดับแก่นแท้นี้กลุ่มนี้ ต่างก็สังเกตดูพลังของฝ่ายตรงข้ามไม่หยุด และแอบชั่งน้ำหนักพลังที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นอย่างไรแล้ว
“หลังจากเปิดแดนลึกลับแล้ว พวกเจ้าทยอยเข้าไปตามลำดับในทุกห้าอึดใจ ส่วนผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับโชคของพวกเจ้าแล้ว” ชายฉกรรจ์หน้าดำกวาดสายตามองดูด้านล่างทีหนึ่ง หลังจากนั้นก็หยุดสายตาอยู่ที่ชายฉกรรจ์หัวล้านรูปร่างล่ำสันทางฝั่งของตัวเองที่ยืนอยู่ตรงหน้าสุด
และในขณะเดียวกัน สายตาของชายฉกรรจ์ชุดม่วงก็ตกอยู่ที่ชายหนุ่มร่างผอมที่ยืนอยู่หน้าสุดของฝั่งตนเอง
ศิษย์ที่สมัครรับคัดเลือกล้วนมีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นขึ้นไป และกลิ่นไอบนตัวของทั้งสองคนนี้ ก็ราวกับเป็นนกกระสาในฝูงไก่ เห็นได้ชัดว่ามีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นกลาง และมีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นศิษย์ที่อยู่จนถึงคนสุดท้าย
เลี่ยเจิ้นเทียนกับจงเหยียนต่างก็สบตากันอย่างรู้ใจ ทันใดนั้นร่างสองก็เคลื่อนไหวไปอยู่บนแท่นบูชาอย่างรวดเร็ว
จากนั้นทั้งสองก็ร่ายคาถาออกมา และทำท่ามือแปลกประหลาด
ไม่นาน แท่นบูชาด้านล่างก็เปล่งประกาย ทั้งสองยกมือขึ้นพร้อมกัน และต่างก็ควบแน่นมือยักษ์ขึ้นกลางอากาศคนละข้าง จากนั้นก็ดึงออกไปด้านนอกพร้อมกัน
เสียงสายฟ้าระเบิดดังอยู่พักหนึ่ง!
อากาศเหนือแท่นบูชาถูกแหวกออกมาจนกลายเป็นบานประตูเล็กๆ ในทันที
ครู่ต่อมา ชายฉกรรจ์หัวล้านในบรรดาศิษย์ที่สวมชุดคลุมยาวสีม่วง ก็พุ่งเข้าไปทันทีราวกับเตรียมตัวไว้นานแล้ว และเปิดประตูแดนลึกลับก่อนเหาะเข้าไปด้านในอย่างไร้ร่องรอย
ห้าอึดใจต่อมา ชายร่างผอมที่อยู่ตรงหน้าของศิษย์ชุดดำ ก็พร่ามัวมาปรากฏตัวตรงทางเข้าแดนลึกลับอย่างน่าประหลาดใจ และกะพริบหายเข้าในนั้น
……
ตีนเขาลูกหนึ่งในแดนลึกลับ ท้องฟ้าเป็นสีครามเข้ม เมฆสีขาวหิมะหลายก้อนกำลังลอยไปมาอย่างไม่ใส่ใจ พอทอดสายตามองออกไป จะเห็นว่ามีภูเขาห้อมล้อมอยู่ไกลๆ หญ้าสีเขียวเปรียบเสมือนร่มเงา เห็นได้ชัดว่าเป็นโลกภายนอกอีกแห่งหนึ่ง
ขณะนี้ หลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีเทากำลังยืนอยู่ใต้ร่มเงาไม้แห่งหนึ่งอย่างเงียบกริบ
ตั้งแต่ถูกเลี่ยเจิ้นเทียนโยนเข้ามาในแดนลึกลับ เขาก็รู้สึกหน้ามืดตาลายอยู่ครู่หนึ่งหลังจากทรงตัวได้อย่างยากลำบาก กลับค้นพบว่าตนเองถูกส่งมาในสถานที่แห่งนี้แล้ว และรอบด้านก็ไม่ใครเลยแม้แต่คนเดียว ประจักษ์ชัดว่าอู๋ขุย ฮวาชิงอิ่ง และคนอื่นๆ ต่างก็ถูกส่งไปยังสถานที่ต่างๆ ของแดนลึกลับ
แม้จะไม่รู้ว่าปีศาจสายฟ้าโยนพวกเขามาที่นี่เพื่อจุดประสงค์อันใด แต่ประจักษ์ชัดว่ามันไม่ใช่เรื่องดีอย่างแน่นอน เขาต้องหาทางออกทางอย่างเร่งด่วน เพื่อหลบหนีออกไปจากแดนลึกลับแห่งนี้
พอคิดมาถึงจุดนี้ เขาก็ทำท่ามือกระตุ้นเมฆดำด้วยมือเดียวให้พาเขาเหาะออกไปไกลๆ
เขาเหาะไม่ค่อยเร็วมากนัก แม้ภายนอกสถานที่แห่งนี้จะดูสงบ แต่อาจจะแฝงไปด้วยอันตรายที่ไม่ทราบก็เป็นไปได้
ขณะเดียวกัน บนพื้นหินที่มีทรายสีเหลืองในแดนลึกลับ ฮวาชิงอิ่งกับหญิงสวมหมวกคลุมกำลังถูกผู้ฝึกฝนใส่ชุดหลากสี รูปร่างสูงใหญ่ห้าคนล้อมอยู่
ผิวหนังของคนเหล่านี้ดูแปลกประหลาดเล็กน้อย และบนเสื้อผ้าก็ถูกปักด้วยแมงป่อง ตะขาบ และแมลงมีพิษอื่นๆ
“ท่านทั้งหลายคงเป็นสหายนิกายเบญจพิษในดินแดนทางตอนใต้สินะ ไม่ทราบว่าเหตุใดต้องขัดขวางพวกข้าทั้งสองด้วย?” ฮวาชิงอิ่งถามด้วยน้ำเสียงที่แข็งกระด้าง และเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
หญิงสวมหมวกคลุมที่อยู่ข้างนางก็มีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย มือทั้งคู่หดอยู่ในแขนเสื้อ
แม้ว่าพวกนางจะสังกัดพันธมิตรหมาป่าเหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้มีความสนิทสนมกันอย่างใด แต่ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ กลับต้องร่วมมือกันเพื่อรักษาชีวิตแล้ว
“เฮ่อๆ! ที่แท้ก็เป็นคนใหม่ที่ไม่รู้เรื่องอะไร คงเพิ่งถูกปีศาจสายฟ้าโยนมาเมื่อครู่สินะ? ในเมื่อเข้ามาที่นี่แล้วก็อย่าคิดออกไปอีกเลย จะบอกอะไรให้ พวกเราอยู่มาเกือบสิบปีแล้ว…” ชายวัยกลางคนรูปร่างค่อนข้างอวบกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ
“จะพูดจาไร้สาระกับพวกนางทำไม ฆ่าพวกนางซะแล้วค่อยว่ากัน ได้หินจิตวิญญาณกับของล้ำค่าบนตัวพวกนางมาแล้ว พวกเราถึงจะมีชีวิตอยู่ได้นานอีกหน่อย!” ชายหน้าเหลืองที่มีรูปร่างสูงใหญ่ตัดบทสนทนาของชายร่างอวบ และปัดมือตะโกนออกมา
คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็สะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ทันใดนั้นดาบบิน กระบี่บิน และแสงหลากสีต่างๆ ก็โจมตีเข้าใส่ทั้งสอง
ฮวาชิงอิ่งมีสีหน้าซีดขาวขึ้นมาทันที ผู้อาวุโสของนิกายเบญจพิษเหล่านี้ล้วนมีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ขึ้นไป ดูเหมือนว่าชายหน้าเหลืองที่เป็นหัวหน้าใกล้จะบรรลุถึงระดับแก่นแท้ขั้นกลางแล้ว ไม่ว่าจะเป็นจำนวนคนหรือพลังล้วนได้เปรียบกว่ามาก
แต่เรื่องมาถึงตัวแล้ว พวกนางทั้งสองย่อมไม่ยอมรับความตายแต่โดยดีอย่างแน่นอน
ฮวาชิงอิ่งส่งเสียงตะคอก และนำกระจกโบราณหกเหลี่ยมออกมา พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง กระจกโบราณก็ขยายใหญ่ตามลมจนมีขนาดสิบกว่าจั้ง และต้านทานอยู่ตรงหน้าของทั้งสอง
ลำแสงแปลกประหลาดเจ็ดแปดลำโจมตีลงบนกระจกโบราณ ภายใต้การหมุนเวียนของลำแสงแวววาวบนพื้นผิว ทำให้การโจมตีเหล่านี้กระเด็นออกไปทั้งหมด
หญิงสวมหมวกคลุมก็กัดฟันพ่นตะขอเงินออกมาคู่หนึ่ง มือทั้งสองจับมันไว้แน่น และนำมาตั้งตัดสลับกันก่อนปล่อยเงาออกไปจำนวนมาก เพื่อต้านทานแสงอีกสามลำที่เหลือ
ฮวาชิงอิ่งเห็นเช่นนี้ถึงมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ด้านหนึ่งนางควบคุมกระจกโบราณให้ต้านทานการโจมตี อีกด้านก็กระตุ้นพลังเวทภายในร่าง และนำธงสีขาวสลัวๆ ออกมา พอโบกธง เมฆขาวก้อนหนึ่งก็ห่อหุ้มทั้งสองไว้ ทำให้การป้องกันหนาแน่นขึ้นกว่าเดิม
แม้ว่าผู้ฝึกฝนนิกายเบญจพิษเหล่านั้นจะมีจำนวนคนมาก ทั้งยังโจมตีถี่ยิบ แต่ภายใต้การป้องกันด้วยพลังทั้งหมดของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั้งสอง ทำให้ไม่อาจทำอะไรพวกนางได้ระยะหนึ่ง
ชายหน้าเหลืองที่ยังไม่ลงมือเห็นเช่นนี้ ก็เผยรอยยิ้มแปลกประหลาดออกมา ทันใดนั้นมือทั้งสองที่หดอยู่ในแขนเสื้อ ก็สั่นๆ เบาโดยที่ไม่อาจรับรู้ได้
ครู่ต่อมา จะเห็นว่าบริเวณพื้นที่พวกนางทั้งสองยืนอยู่สั่นสะเทือน หลังจากมีเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” เส้นสีดำจำนวนมากก็พุ่งยิงออกมา พริบตาเดียวก็เจาะทะลุเมฆขาวไป
พวกนางทั้งสองกระโดดหลบอย่างรวดเร็ว แต่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ทั้งสองที่อยู่รอบๆ กลับตะโกนออกมาพร้อมกัน และกระตุ้นอาวุธโจมตีด้วยกัน
“ตู๊ม!” เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว
แม้ว่าทั้งสองจะอาศัยพลังป้องกันของตะขอเงินกับกระจกโบราณจนพอที่จะรับการโจมตีไว้ได้ แต่ร่างที่กระโดดหลบของพวกนางกลับถูกสั่นสะเทือน จนต้องชะงักอยู่กลางอากาศครู่หนึ่งโดยไม่รู้ตัว
และในช่วงระหว่างเวลานี้ เส้นสีดำบนพื้นก็เจาะทะลุน่องของนางทั้งสอง
ฮวางชิงอิ่งและหญิงสวมหมวกคลุมส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา รูเลือดเล็กๆ ปรากฏบนน่องเป็นแถว เลือดที่ไหลออกมาก็เป็นสีดำเข้ม มีไอดำเล็กๆ ขยายไปตามผิวหนังทั่วร่าง
ในขณะที่นางทั้งสองรู้สึกตกใจ และโมโหเป็นอย่างมากนั้น แมงป่องสีดำแวววาวสองตัวก็ปีนขึ้นมาจากดินสีเหลืองตรงด้านล่าง บนหางตะขอของมันยังมีลำแสงสีเขียวด้วย
สีหน้าของฉวาชิงอิ่งซีดขาวราวกับกระดาษ นางรีบหยิบขวดโอสถออกจากอกอย่างรวดเร็ว และพยายามนำโอสถที่อยู่ด้านในเทเข้าปาก
หญิงสาวหมวกคลุมที่อยู่ด้านข้างก็ทำท่าทางเช่นเดียวกันด้วยความตกใจระคนโมโห
“เฮ่อๆ! โดนพิษห้าเทพของนิกายเราแล้ว ยังคิดจะใช้โอสถถอนพิษอีก ช่างเป็นเรื่องเพ้อฝันเสียจริงๆ พวกเราพี่น้องจะเอาชีวิตน้อยๆ ของท่านเซียนทั้งสองไปล่ะนะ” ชายหน้าเหลืองเห็นเช่นนี้กลับหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
พอเขาโบกมือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ดาบแสงสีเหลืองขนาดจั้งกว่าๆ ก็ฟันลงบนก้อนเมฆสีขาวที่ปกป้องทั้งสองอยู่ จากนั้นพอเขาตบเอว หนามสีดำสั้น ๆ สองอันก็พุ่งออกมาปั่นเมฆสีขาวจนแตกกระจาย
ภายใต้สถานการณ์ที่นางทั้งสองโดนพิษ แม้ว่าจะยังมองเห็นการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน แต่จำเป็นต้องใช้พลังเวทกว่าครึ่งหนึ่งมาระงับพิษในร่างอย่างช่วยไม่ได้ พริบตาเดียวก็มีสภาพรับไม่ไหวขึ้นมา
คนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็พุ่งเข้ามาด้วยความดีใจ และพากันกระตุ้นอาวุธต่างๆ โจมตีอย่างบ้าคลั่ง จนทำลายการป้องกันของกระจกโบราณที่เกือบจะสูญเสียการควบคุมไปแล้ว
ฮวาชิงอิ่งกับหญิงสวมหมวกคลุมสบตากันทีหนึ่ง จากนั้นต่างก็เผยสีหน้าสิ้นหวังออกมา
ครู่ต่อมา แสงเยือกเย็นหลากสีก็โจมตีอยู่ครู่หนึ่ง พริบตาเดียวก็ปกคลุมร่างของนางทั้งสองไว้
……
หลิ่วหมิงขี่เมฆเหาะอยู่ในแดนลึกลับมาหนึ่งชั่วยามกว่าแล้ว ด้านล่างของเขาไม่ใช่เขตภูเขาที่ตั้งซ้อนกันแล้ว แต่กลับกลายเป็นพื้นทะเลสาบเงียบสงบ และไม่มีคลื่นเลยแม้แต่น้อย
ดูเหมือนว่าพื้นที่ของแดนลึกลับแห่งนี้จะมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ยังคงหาจุดสิ้นสุดไม่พบ ลำพังแค่ทะเลสาบด้านล่างก็มีพื้นที่อย่างน้อยหลายพันลี้ ซึ่งมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลย
น้ำในทะเลสาบใสสะอาด พอมองลึกลงไปกลับดูมืดเป็นอย่างมาก ด้วยพลังสายตาของหลิ่วหมิงในตอนนี้ ไม่อาจมองเห็นก้นทะเลสาบได้
“ซ่าๆ!”
ทันใดนั้นก็เกิดระลอกคลื่นบนผิวทะเลสาบ ศรน้ำแข็งสีฟ้าพุ่งออกจากใจกลางระลอกคลื่น และพุ่งทะลุเมฆดำกลางอากาศโดยตรง
บริเวณที่มีเสียงดังผ่าน แม้แต่อากาศก็เกิดเป็นระลอกคลื่นสีฟ้าจางๆ
เดิมทีหลิ่วหมิงรู้สึกกังวลที่เหาะสูงเกินไปจะทำให้กลายเป็นจุดสนใจได้ง่าย กลับคิดไม่ถึงว่าการโจมตีที่คาดไม่ถึงจะมาจากด้านล่างจนเขารู้สึกอึ้งในทันที
แต่เขากลับมีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วมาก ภายใต้การควบแน่นของแสงสีดำบนตัว ทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นมา จนหลบศรน้ำแข็งไปได้ แต่ครู่ต่อมากลับมีเสียดัง “ปัง!” จากนั้นความรู้สึกเย็นสะท้านแปลกประหลาดก็โจมตีเข้ามา
หลิ่วหมิงเลิกคิ้วและขยับตัวในทันที จากนั้นก็พร่ามัวไปปรากฏอยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดจั้ง และหันกลับมามองด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
จะเห็นว่าศรน้ำแข็งในก่อนหน้านั้นได้ระเบิดออกมาปกคลุมพื้นที่หลายจั้งในบริเวณนั้นแล้ว
“สหายท่านใดแอบซ่อนอยู่ใต้น้ำ ไยไม่ออกมาปรากฏตัวอย่างเปิดเผยเล่า?” ภายใต้หน้ากากวานรยักษ์ มีน้ำเสียงเยือกเย็นของหลิ่วหมิงดังออกมา
ตอนที่ 686 เกิดความประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากด้านล่าง ผิวทะเลสาบกลับมาสงบอีกครั้ง ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น มังกรหมอกพุ่งออกมา พอโบกมือข้างหนึ่ง มังกรหมอกก็หลุดออกจากร่าง และส่งเสียงคำรามดังแผ่วโผย จากนั้นก็กะพริบหายไปในน้ำ
“ตู๊ม!” ผิวน้ำถูกกระแทกแตกเป็นฟอง!
เงาร่างมนุษย์สีดำพุ่งออกมา และด้านหลังของเขาก็มีมังกรหมอกดำตามไล่อยู่
พอเงามนุษย์สีดำโบกมือ หยดวารีสีขาวก็เปล่งประกายตรงหน้า และค่อยๆ กะพริบลงบนร่างมังกรหมอกดำ หลังจากมีเสียงดังขึ้น มังกรหมอกก็ระเบิดออกมาทันที
“ในที่สุดท่านก็ยอมออกมา ไม่ทราบว่าเหตุใดถึงลอบโจมตีข้า?” พอหลิ่วหมิงโบกมือ มังกรหมอกก็สลายตัวเป็นไอดำม้วนกลับมา และกะพริบเข้าไปในร่างของเขา
ฝ่ายตรงข้ามเป็นชายที่มีรูปร่างค่อนข้างเตี้ยเล็ก สวมชุดดำทั้งตัว เผยให้เห็นแค่ดวงตาสีเขียวเล็กๆ เท่านั้น ดูเหมือนเขาจะนึกไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะถามเช่นนี้ จึงมองมาด้วยความประหลาดใจอย่างอดไม่ได้
“ดูท่าเจ้าคงเพิ่งมาใหม่ล่ะสิ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มอบวิญญาณมาให้ข้าแต่โดยดีเถอะ!” ชายชุดดำหัวเราะด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง จากนั้นก็คิดที่จะลงมืออีกครั้ง
พอหลิ่วหมิงได้ยินก็มองชายผู้นี้ด้วยแววตาเย้ยหยัน
พอชายชุดดำเห็นสายตาของหลิ่วหมิง ก็รับรู้ถึงสถานการณ์ไม่ดีทันที หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว กลับร่นถอยออกไป
แต่ขณะนั้นเอง แสงสีดำไร้ขอบเขตก็พุ่งออกมาจากด้านหลังหลิ่วหมิง มันม้วนตัวมาข้างหน้าแค่ทีเดียว ก็ปกคลุมอากาศในพื้นที่ระยะหลายสิบจั้งไว้
ชายชุดดำรู้สึกแค่ว่าภาพตรงหน้ามืดลง จากนั้นก็ตกอยู่ในคุกมืด ประสาทสัมผัสทั้งห้าพร่ามัวขึ้นมา ในใจเขาทั้งตกใจและโมโห
แต่คนผู้นี้มีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ จึงใจลอยแค่แวบเดียวก็ได้สติกลับมา หลังจากส่งเสียงคำรามด้วยความโมโห ประกายน้ำก็เปล่งประกายบนตัว และระเบิดออกมาทันที ไอน้ำจำนวนไม่น้อยลอยขึ้นมา พริบตาเดียวก็สั่นสะเทือนจนคุกมืดสลายไปอย่างรวดเร็ว
แต่พอเขาเห็นสถานการณ์อย่างชัดเจน ไอเย็นก็ม้วนตัวตรงหน้า ภาพตรงหน้าวิวทิวทัศน์ดูวุ่นวายทันที โลกทั้งใบพลิกคว่ำในฉับพลัน
พริบตาที่ศีรษะของเขาทะลุออกไปนอกคุกมืดนั้น ก็ถูกกระบี่บินสีทองจางๆ ม้วนตัวมาฟันอย่างรวดเร็วจนไม่อาจรับรู้ได้ ทำให้เขาไม่ทันได้รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
“ฟิ้ว!” วิญญาณของเขากลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้าเพื่อคิดจะหลบหนีไปไกลๆ
แต่ทว่ากระบี่บินสีทองจางๆ เพียงหมุนตัวแค่ทีเดียว ก็กลายเป็นปราณกระบี่สีทองอันแน่นขนัด พริบตาเดียวก็แทงวิญญาณดวงนี้จนเกิดรูนับน้อยนับพัน ในที่สุดมันก็สลายไปท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน
ขณะนี้ ภายใต้การโบกมือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิง กระบี่บินสีทองจางๆ ก็พุ่งหายเข้าไประหว่างคิ้วอย่างไร้ร่องรอย
ตั้งแต่เขากระตุ้นพลังคุกมืดจนถึงตอนที่ปล่อยกระบี่บินว่างเปล่าออกไปสังหารฝ่ายตรงข้ามนั้น ใช้เวลาไม่ถึงสามสี่ลมหายใจ
ขณะนี้ ร่างไร้ศีรษะของชายชุดดำก็ร่วงลงด้านล่าง โลหิตที่พุ่งออกมาจากคอทำให้ทิ้งเงาไว้กลางอากาศ
หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวออกมา สีหน้าของเขาค่อยๆ ผ่อนคลายลง
ที่เขาสามารถสังหารผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ตัวเขาเองก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
ประการแรก คงเป็นเพราะว่าพลังแท้จริงของชายชุดดำผู้นี้ อยู่ในระดับต่ำสุดของระดับแก่นแท้
ประการที่สอง ฝ่ายตรงข้ามคงคาดเดาพลังแปลกประหลาดของคุกมืด และกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ถึง จึงถูกสังหารในทีเดียวเช่นนี้ มิเช่นนั้น พริบตาที่ชายชุดดำถูกขังอยู่ในคุกมืด เพียงแค่แสดงวิชาป้องกันออกมาก่อน หลิ่วหมิงก็ไม่อาจสังหารเขาได้ง่ายดายเช่นนี้
หลิ่วหมิงคิดวิเคราะห์อยู่ในใจ พอสะบัดแขนเสื้อ ไอดำก็ม้วนตัวออกมา และม้วนเอาศพไร้ศีรษะเข้ามาตรงหน้า
ขณะนั้นเอง ศพของชายผู้นี้ก็พร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นร่างส่วนบนก็กลายเป็นวิหค ส่วนล่างกลายมัจฉาแปลกประหลาด บริเวณหน้าอกเต็มไปด้วยเกล็ดที่มีขนาดเท่าเล็บมือ
“ที่แท้ก็เป็นผู้ฝึกฝนปีศาจ!”
หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา พอโบกมือข้างหนึ่ง ยันต์เก็บของที่ปกคลุมด้วยเกล็ดก็ม้วนออกจากร่างของชายชุดดำ และถูกดูดเข้ามาในมือ เขาปล่อยจิตกวาดดูด้านในเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ต้องส่ายหน้า และเก็บมันเข้าไปด้วยความผิดหวัง
ยันต์เก็บของผืนนี้ นอกจากจะมีหินจิตวิญญาณกับโอสถที่หาได้ทั่วไปจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของอื่นใดที่มีค่าเลย แม้แต่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดเพียงชิ้นเดียวก็ไม่มี
ดูท่าหากไม่ใช่ว่าผู้ฝึกฝนปีศาจผู้นี้ยากจนอย่างถึงที่สุด ก็อาจเป็นไปได้ว่าเป็นพวกที่ยึดมั่นในกรอบที่เก่าคร่ำครึ
จะว่าไปแล้ว เนื่องจากผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจมีพรสวรรค์แตกต่างกัน อายุก็ยืนยาว ทั้งยังมีกายเนื้อแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก ด้วยเหตุนี้ดังแต่สมัยบรรพกาลเป็นต้นมา คนเผ่าปีศาจต่างก็รังเกียจการใช้อาวุธจิตวิญญาณ อาวุธเวทที่เป็นพลังภายนอกเช่นนี้ เพราะคิดว่านี่เป็นการเล่นเอาเปรียบ และไม่ใช่เส้นทางการฝึกฝนที่แท้จริง
“ถ้าจะเสียเวลากับสิ่งของภายนอก ไม่สู้เอาเวลาไปฝึกฝนพลังของตนเองจะดีกว่า”
นี่เป็นภาษิตโบราณที่นิยมกันมากในเผ่าปีศาจ ตั้งแต่โบราณมาจนถึงตอนนี้ มีเผ่าปีศาจจำนวนมากที่ยึดเอาความคิดเช่นนี้ ที่จริงมันก็มีเหตุผลอยู่ เพราะพอฝึกฝนจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ร่างของผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจส่วนมากจะเหนือกว่าอาวุธจิตวิญญาณ อาวุธเวททั่วไปแล้ว
แต่ทว่าพอเวลานานเข้านานเข้า ขณะที่ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจนับไม่ถ้วนต่อสู้กับมนุษย์ผู้ฝึกฝนนั้น ต่างก็เสียชีวิตภายใต้อาวุธจิตวิญญาณ และอาวุธเวทของฝ่ายตรงข้ามนับไม่ถ้วน ซึ่งบางส่วนยังมีระดับการฝึกฝนสูงกว่าฝ่ายตรงข้ามด้วยซ้ำ
พอเห็นจนชินหูชินตาเช่นนี้ เผ่าปีศาจจำนวนมากก็ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนความคิด และเริ่มสร้างอาวุธจิตวิญญาณ อาวุธเวทมาเป็นพลังเสริมภายนอก
แต่มาจนถึงทุกวันนี้ ยังคงมีเผ่าปีศาจจำนวนหนึ่งที่ยังคงความคิดในสมัยบรรพกาลอยู่ และไม่ยอมใช้อาวุธจิตวิญญาณอาวุธเวทใดๆ เลย เอาแต่ลำบากฝึกฝนเพื่อทำให้ร่างของตนเองกลายเป็นของล้ำค่าเท่านั้น
หลิ่วหมิงปล่อยลูกเปลวไฟออกมาหลายลูก หลังจากจัดการศพครึ่งวิหคครึ่งมัจฉาได้แล้ว ก็ยืนคิดไตร่ตรองอยู่บนอากาศเงียบๆ
คำพูดของมนุษย์มัจฉาในเมื่อครู่ ทำให้เขารู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก
จากคำพูดที่ว่า “สถานการณ์ในที่แห่งนี้” “คนใหม่” ทำให้เขาคาดการณ์ออกมาได้ว่า ในสถานที่แห่งนี้ยังมีผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ อยู่ไม่น้อย ทั้งยังดูเหมือนว่าจะถูกขังไว้ในช่วงเวลาหนึ่ง
ส่วนจุดประสงค์ในการทำเช่นนี้ของปีศาจสายฟ้านั้น เขากลับไม่อาจคาดเดาได้
“ช่างเถอะ! ตอนนี้ก็ค่อยๆ จัดการไปตามสถานการณ์ก่อน…”
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากส่ายหน้าแล้วก็ขี่เมฆเดินทางต่อ
……
สองวันต่อมา
มีเสียงดังกึกก้องติดต่อกันในหุบเขาแห่งหนึ่งที่มีขนาดไม่ค่อยใหญ่มากนัก
จะเห็นว่ามีเงาร่างสองเงากำลังปะทะกันอยู่ตลอดเวลา มีประกายแสงสีต่างๆ พุ่งไปมาอย่างดุเดือด และเกินคลื่นอากาศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเป็นพักๆ
ภูเขาหินทั้งสองด้านของหุบเขา ถูกการต่อสู้อย่างรุนแรงของทั้งสองสั่นสะเทือนจนสั่นไหวอยู่ไม่หยุด และหินก้อนขนาดใหญ่ก็กลิ้งลงมา
เงาร่างหนึ่งในนั้นสวมหน้ากากวานรยักษ์แปลกประหลาด เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ในระหว่างที่เขาดีดนิ้วเบาๆ ปราณกระบี่สีทองก็พุ่งยิงออกไปสามสาย และพุ่งเข้าใส่จุดสำคัญทั้งสามจุดของฝ่ายตรงข้าม
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง แสงโลหิตสามลำก็พุ่งออกไปรับมือกับปราณกระบี่ทั้งสาม ขณะที่เกิดเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ติดต่อกัน ทั้งสองก็ปะทะกันจนระเบิดแสงเจิดจ้าออกมา
ทันทีที่สีหน้าของหลิ่วหมิงเปลี่ยนไป ไอดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง จากนั้นร่างของเขาก็กลายเงาสีดำสลัวๆ ก่อนพุ่งยิงไปกลางอากาศ
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เงาโลหิตก็ปรากฏตัวกลางอากาศ จากนั้นชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีแดงเลือดก็ปรากฏออกมา ในมือถือแส้สีขาวหิมะที่มีขนาดยาวฉื่อกว่าๆ
หลิ่วหมิงส่งเสียงตะคอกออกมา ภายใต้การพร่ามัวของมือทั้งสอง เงากำปั้นสีดำแน่นขนัดก็โจมตีใส่ชายวัยกลางคน
เงากำปั้นพุ่งออกไปได้ครึ่งทาง ก็ถูกแสงสีขาวจางๆ ล้อมรอบไว้ และสลายไปท่ามกลางเสียงที่ดังอู้อี้
ขณะนี้ชายวัยกลางคนถึงเก็บแส้ และร่นถอยออกไปสองก้าว
“พลังแท้จริงของสหายลึกล้ำจนยากจะคาดเดาได้ ท่านกับข้าเดิมทีก็เป็นมนุษย์ผู้ฝึกฝนเหมือนกัน และก็ไม่มีความแค้นใดๆ กันด้วย หากต่อสู้กันต่อไป ก็ไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น ไม่สู้จบกันแค่นี้ดีหรือไม่?” ดวงตาชายวัยกลางคนเป็นประกายสองสามที และสะบัดแส้ในมือโดยไม่คิดจะโจมตีต่อ แต่กลับกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ได้! ข้าก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย หลังจากคิดไตร่ตรองแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย
“เช่นนี้ก็ดี หวังว่าอีกไม่นานจะได้พบกับสหายอีกครั้ง ในนี้มีมนุษย์ไม่ค่อยมาก” ชายวัยกลางคนได้ยิน ก็เผยรอยยิ้มออกมา หลังจากประสานมือคารวะหลิ่วหมิงแล้ว ก็ค่อยๆ เหาะออกไปด้านหลัง แต่สายตากลับมองดูหลิ่วหมิงอยู่ตลอดเวลา
หลังจากเขาถอยออกไปได้ร้อยกว่าจั้งแล้ว ถึงหมุนตัวสะบัดแส้ในมือ และกลายเป็นแสงสีขาวพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงก็จ้องมองชายวัยกลางคนอย่างไม่วางตาเช่นกัน รอจนเขาหายลับไปจากขอบฟ้าแล้ว ถึงเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา
ชายวัยกลางคนผู้นี้มีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้น แต่ประสบการณ์ต่อสู้โชกโชนมาก ซึ่งแตกต่างจากชายชุดดำเผ่าปีศาจในก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง
คนผู้นี้เหมือนกับหลิ่วหมิง ไม่เพียงแต่เป็นวิชาจำนวนมาก กายเนื้อก็แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ส่วนแส้ในมือก็เป็นต้นแบบอาวุธเวทที่ใช้โจมตีและป้องกันได้ ซึ่งมีอานุภาพไม่น้อย
หลังจากทั้งสองต่อสู้ไปสิบกว่ากระบวนท่า ต่างก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า นอกจากจะพยายามแสดงวิธีการต่างๆ ออกมาอย่างสุดชีวิตเท่านั้น มิเช่นนั้นหากต่อสู้ต่อไปเช่นนี้ ก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใดๆ ทั้งยังสิ้นเปลืองพลังเวทด้วย
ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเหตุการณ์ที่บอกให้ฝ่ายตรงข้ามยุติการต่อสู้เพียงเท่านี้
สายตาหลิ่วหมิงเป็นประกายสองสามที จากนั้นก็หันตัวพุ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับชายวัยกลางคน
เนื่องจากแดนลึกลับแห่งนี้ไม่มีเวลากลางวันกลางคืน จากการคาดการณ์ในใจ เขาคงมาถึงที่นี่เป็นเวลาราวๆ สามสี่วันแล้ว หลังจากเผชิญกับผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก เขาก็เริ่มคาดเดาสถานการณ์ในนี้ได้ลางๆ แล้ว
ทุกอย่างเหมือนกับที่เขาคาดการณ์ไว้ ที่แท้ผู้ฝึกฝนเผ่าต่างๆ ที่อยู่ในแดนลึกลับแห่งนี้ ต่างก็ถูกปีศาจสายฟ้ากับปีศาจเหล็กที่มีการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์จับตัวมา
ถ้าจะย้อนกลับไปหาคนที่ถูกจับครั้งแรก ก็น่าจะไม่ต่ำกว่าสิบปีแล้ว
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ สมบัติติดตัวของผู้ฝึกฝนทั้งหมดที่ถูกจับมาไว้ที่นี่ กลับไม่ถูกเอาไปเลยแม้แต่น้อย และผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจระดับดาราพยากรณ์ทั้งสอง ก็ไม่เคยเข้ามาแทรกแทรงเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนลึกลับแต่อย่างใด
ปราณจิตวิญญาณในนี้ก็เบาบางกว่าโลกภายนอกไม่น้อย การฟื้นฟูของพลังเวทก็ช้ากว่ามาก ด้วยเหตุนี้นอกจากจะอาศัยโอสถและยันต์แล้ว ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจบางส่วนก็ใช้วิธีการสังหารผู้ฝึกฝนอื่นๆ เพื่อแย่งชิงโอสถ หินจิตวิญญาณ และดูดวิญญาณมาเสริมพลังของตนเอง
ด้วยเหตุนี้จึงก่อให้เกิดวิกฤติการต่อสู้อยู่ไม่หยุด เดิมทีแดนลึกลับแห่งนี้ยังมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกหลากหลายเผ่าอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ก็ถูกระดับแก่นแท้สังหารจนหมดสิ้น
เกรงว่าในตอนนี้ หลิ่วหมิงคงเป็นผู้ฝึกฝนที่มีการฝึกฝนต่ำกว่าระดับแก่นแท้เพียงหนึ่งเดียวในแดนลึกลับแห่งนี้แล้ว
ตอนที่ 687 ผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาว
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากหลิ่วหมิงขี่แสงสีดำพุ่งออกไปหลายร้อยลี้ เขาก็ร่อนลงบนตีนเขาแห่งหนึ่ง
จิตของเขากวาดดูบริเวณนี้อย่างละเอียด หลังจากรับรู้ว่าบริเวณนี้ไม่มีคนอื่นๆ แล้ว ก็เอานิ้วแตะระหว่างคิ้วกระตุ้นกระบี่บินว่างเปล่าในทันที พริบตาเดียวก็ขุดภูเขาตรงหน้าจนกลายเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็เดินเข้าไปด้านใน และวางชั้นจำกัดป้องกันการมองเห็นและได้ยินจากบุคคลอื่นอย่างง่ายๆ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงไป
หลังจากเดินทางและต่อสู้มาหลายวัน พลังเวทในร่างเขาก็สูญเสียไปกว่าครึ่งหนึ่ง อยู่ในสถานที่ที่ไม่รับรู้ถึงอันตรายเช่นนี้ เขาย่อมต้องรีบฟื้นฟูให้เร็วที่สุด การดูแลตัวเองให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดถึงเป็นเรื่องด่วนที่จำเป็นต้องทำ
หลังจากเขาหยิบโอสถจินหยวนมาทานไปหนึ่งเม็ดแล้ว พลังโอสถก็แผ่กระจายไปทั่วร่าง และเขาก็นั่งหลับตาเข้าฌาน
เวลาค่อยๆ ผ่านไป พลังเวทในร่างก็ค่อยๆ ถูกเติมเต็ม
ผ่านไปหลายชั่วยาม ขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกว่าพลังเวทฟื้นฟูมาพอประมาณแล้วนั้น เขาก็ลืมตาทั้งคู่ในทันที และกำลังจะลุกออกไปเดินทางต่อ
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดังก้องมาจากด้านนอก ตามด้วยเสียงดังโครมคราม ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างปะทะกับพื้นอย่างรุนแรง แม้แต่ถ้ำที่หลิ่วหมิงอยู่ก็สั่นสะเทือนอย่างเห็นได้ชัด เศษส่วนหินร่วงลงมาจำนวนมาก
ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีดำบนตัวหลิ่วหมิง ทำให้เศษหินเหล่านี้กระเด็นออกไป แต่เขาย่อมรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว ก็รีบเก็บกลิ่นไอบนตัว และเดินออกไปหน้าปากถ้ำ
เขาหายวับมาปรากฏตัวด้านหลังก้อนหินยักษ์ที่อยู่บริเวณปากถ้ำ ท่ามกลางฝุ่นที่ปกคลุมเต็มฟ้า จะเห็นว่ามีเงาร่างคนผู้หนึ่งล้มลุกคลุกคลานขึ้นมาจากเศษหินจำนวนมาก ตำแหน่งที่หลิ่วหมิงอยู่สามารถมองเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นได้พอดี
เขาก็คือชายชุดเขียว หนึ่งในสมาชิกพันธมิตรหมาป่าที่ถูกจับมาพร้อมกับเขา!
ชายชุดเขียวในขณะนี้ดูน่าสังเวชเป็นอย่างมาก มีบาดแผลเต็มตัว โลหิตซึมทะลุออกจากชุดสีเขียว เดินทีชุดคลุมสีเขียวของเขาก็เป็นอาวุธป้องกันที่ไม่เลว ตอนนี้กลับถูกกรีดจนเป็นรอยจำนวนมาก และดูเหมือนจะไร้ประโยชน์แล้ว
พอคนผู้นี้เพิ่งจะลุกขึ้นมาทรงตัวได้ ดาบบินสีม่วงสองเล่มก็ปรากฏกตรงด้านหลังของเขา มันวางไขว้กันและตัดออกไป ศีรษะของชายชุดเขียวหมุนขึ้นฟ้าในทันที ใบหน้ายังคงดูหวาดกลัวอย่างสุดขีด หลังจากร่างของโอนเอนสองสามที ก็ล้มลงไปท่ามกลางกองเลือด
ครู่ต่อมา ฝ่ามือสีม่วงที่เต็มไปด้วยขนปุกปุยก็ยื่นออกมาท่ามกลางฝุ่นที่คละคลุ้ง พอกำนิ้วทั้งห้า ศีรษะของชายชุดเขียวที่กำลังจะตกลงพื้นก็ถูกคว้าเอาไว้
แต่พอมีเสียงดัง “ตู๊ม!” ศีรษะก็ระเบิดออกมาเป็นฝนโลหิต แสงสีเขียวที่อยู่ในนั้นยังไม่ทันได้พุ่งออกมา ก็ถูกฝ่ามืออีกข้างคว้าไว้แน่น
หลังจากฝุ่นควันม้วนตัวออกไปทั้งสองด้าน ชายเผ่าปีศาจสีหน้าดุร้ายที่มีใบหน้ายาวแปลกประหลาดก็ค่อยๆ เดินออกมา เขามองดูแสงสีเขียวในมือที่ดิ้นรนไม่หยุดด้วยสีหน้าละโมบ
ความโหดร้ายเปล่งประกายในดวงตา จากนั้นก็อ้าปากพ่นแสงสีเหลืองออกมาห่อหุ้มวิญญาณของชายชุดเขียวไว้ และอ้าปากกลืนลงไปด้วยสีหน้าพอใจ
การเคลื่อนไหวของคนผู้นั้นรวดเร็วราวกับสายฟ้า โดยที่หลิ่วหมิงไม่มีโอกาสได้ขัดขวางเลยแม้แต่น้อย
สีหน้าหลิ่วหมิงค่อยๆ เปลี่ยนไปในทันที
ไม่อย่างไรชายชุดเขียวก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ คิดไม่ถึงว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามสังหารอย่างง่ายดายเช่นนี้ ผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาวผู้นี้ ก็ดูเหมือนจะมีการฝึกฝนแค่ระดับแก่นแท้ขั้นต้น แต่เหตุใดถึงได้มีพลังแข็งแกร่งเช่นนี้
พอเขากวาดสายตาไปเห็นเสื้อคลุมยาวสีม่วงบนตัวคนผู้นี้ ก็ต้องรู้สึกตกใจอีกครั้ง
ก่อนเขาถูกปีศาจสายฟ้าโยนเข้ามาในแดนลึกลับ เคยมองเห็นผู้ฝึกฝนปีศาจในเขาเหลยฉือจากที่ไกลๆ หากจำไม่ผิดล่ะก็ เสื้อผ้าที่พวกเขาสวมอยู่ก็เป็นเสื้อคลุมยาวสีม่วงแบบนี้
หรือว่าปีศาจสายฟ้าจะลงมือกับบรรดาผู้ฝึกฝนในแดนลึกลับแล้ว?
หลิ่วหมิงเกิดความประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์อยู่ครู่หนึ่ง
ขณะนั้นเอง ผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาวที่อยู่ไกลๆ ก็ส่งเสียงเรอออกมา ทันใดนั้นประกายอันเยือกเย็นก็ปรากฏในแววตาของเขา พอโบกมืออย่างรวด แสงแหลมคมสีเหลืองก็พุ่งออกจากปลายนิ้วแล้วพุ่งไปยังปากถ้ำ มันกะพริบแค่ทีเดียวก็เจาะทะลุหินยักษ์ และมาปรากฏอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง มันคือมุกสีเหลืองกลมดิกเม็ดหนึ่ง
หลิ่วหมิงพุ่งถอยออกไปด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน พอสะบัดแขนเสื้อ โล่กระดูกสีดำที่มีไอดำพวยพุ่งก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า
“เต๊ง!”
แสงสีเหลืองโจมตีพื้นผิวโล่สีดำจนเกิดเป็นรอยร้าว ร่างหลิ่วหมิงสั่นไหวเล็กน้อย จากนั้นถึงพอจะทรงตัวไว้ได้
การโจมตีที่ดูเหมือนไม่ใส่ใจนี้ ทำให้โล่เก้ากะโหลกราวกับถูกค้อนโจมตีอย่างรุนแรง และแสงแวววาวบนนั้นก็สลายไปบางส่วน
หลิ่วหมิงสูดหายใจลึกๆ ไปหนึ่งที พอทำท่ามือด้วยมือเดียว พลังเวทในร่างก็พวยพุ่งเข้าใส่โล่กระดูกในมืออย่างบ้าคลั่ง
แสงสีดำอันเข้มข้นพุ่งออกจากโล่เก้ากะโหลกในพริบตา หลังจากหัวกะโหลกทั้งเก้ากะพริบผ่านไป เมฆดำก็พวยพุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง ครู่เดียวก็ปกคลุมร่างเขาไว้จนมิด
ผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาวร้อง “เอ๊ะ!” เบาๆ และเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา พอโบกมือข้างหนึ่ง แสงสีเหลืองก็พุ่งกลับมา และหมุนติ้วๆ ก่อนร่วงลงตรงหน้าเขา
มันคือมุกที่โจมตีโล่เก้ากะโหลกในก่อนหน้านั้น แม้ว่าจะมีขนาดเท่าไข่ไก่ แต่มีอักขระปกคลุมบนพื้นผิวอย่างหนาแน่น และแผ่ปรานจิตวิญญาณอันน่าตกใจออกมา
พอไอหมอกสีดำด้านล่างพวยพุ่ง หลิ่วหมิงที่สวมหน้ากากวานรยักษ์ก็ค่อยๆ ลอยอยู่กลางอากาศ และจ้องมองผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาวด้วยแววตาเยือกเย็น ส่วนโล่เก้ากะโหลกก็หมุนวนรอบตัวเขาอย่างต่อเนื่อง
“ต้นแบบอาวุธเวทที่ใช้ในการป้องกัน มิน่าถึงสามารถรับการโจมตีของมุกอู้ชวีได้…” ผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาวจ้องมองโล่เก้ากะโหลกด้วยแววตาละโมบ
หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัดทีหนึ่ง พอชี้มือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ปราณกระบี่สีทองก็ม้วนตัวออกมาหนึ่งสาย
คำพูดในช่วงท้ายของผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาวถูกขัดจังหวะในทันที พอเขาทำท่ามือเดียวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม มุกสีเหลืองก็พุ่งออกไปเป็นแสงสีเหลือง และปะทะกับปราณกระบี่สีทองโดยตรง
“ตู๊ม!”
ภายใต้การเปล่งประกายของมุกสีเหลือง ทำให้ปราณกระบี่สีทองถูกโจมตีจนกระจาย
หลิ่งหมิงเพ่งสายตามองออกไปทันที
เห็นได้ชัดว่ามุกเม็ดนี้ก็เป็นต้นแบบอาวุธเวทเหมือนกัน ดูจากการแลกมือในเมื่อครู่แล้ว อานุภาพยังน่าตกใจเป็นอย่างมาก ทันใดนั้นเขาก็ปะทะโดยตรงในทันที ภายใต้การเคลื่อนไหวติดต่อกันของนิ้วทั้งสิบ ปราณกระบี่สีทองแน่นขนัดก็พุ่งออกมาอย่างไม่ขาดสาย และปกคลุมผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาวกับมุกกลมๆ ไว้
ครั้งนี้ผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาวกลับมีสีหน้าเปลี่ยนไปอย่างอดไม่ได้
อย่างที่รู้ว่าหลังจากหลิ่วหมิงหลอมกระบี่ว่างเปล่าเป็นกระบี่บินประจำตัวแล้ว ดรรชนีกระบี่ของเขาก็มีอานุภาพแตกต่างจากก่อนหน้านั้นราวฟ้ากับดิน พอดีดมันออกไป ก็สามารถเจาะทะลุโลหะได้อย่างง่ายดาย อานุภาพยากจะต้านทานได้
ด้วยสายตาระดับผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาว เขาย่อมมองเห็นความร้ายกาจของปราณกระบี่เหล่านี้
“วิชาขี่กระบี่! ที่แท้ก็เป็นผู้ฝึกกระบี่ ช่างน่าสนใจเสียแล้ว!”
ผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาวเก็บสีหน้าตกใจ และหัวเราะอย่างเยือกเย็น ในระหว่างที่เปลี่ยนท่ามือนั้น แสงมุกอู้ชวีก็เปล่งประกาย แม้ว่าจะทำลายปราณกระบี่ไปหลายสาย แต่เงากระบี่จำนวนมากกลับพุ่งไปหาเขาโดยตรง
พอผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาวยกมือข้างหนึ่ง แสงสีม่วงสองลำก็พุ่งออกจากแขนเสื้อ มันคือดาบบินคู่นั้น ปลายดาบสั่นสะท้านติดต่อกัน และเปล่งแสงเย็นสะท้านต้านทานปราณกระบี่กลุ่มนั้นไว้
เกิดเสียงโลหะปะทะกันดังกังวาน
ปราณกระบี่แตกกระจายจนหมดสิ้น!
ผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาวทำลายวิชาขี่กระบี่กว่าครึ่งในช่วงเวลาเทียบเท่ากับการยกมือ หลังจากส่งเสียงต่ำๆ ออกมาแล้ว ก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง แสงสีม่วงพุ่งออกจากร่างในทันที อากาศตรงหน้าบิดเบี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นใบหน้าปีศาจยักษ์ และกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง โล่เก้ากะโหลกตรงหน้าส่งเสียงดัง “ฟู่!” แล้วกลายเป็นไอดำอันพวยพุ่งอีกครั้ง ขณะเดียวกันแสงสีเงินก็เปล่งประกายบนตัว จากนั้นก็กลายเป็นเกราะหนังสีเงินแบบง่ายๆ ห้อหุ้มบริเวณหน้าอก หน้าท้อง และจุดสำคัญต่างๆ ไว้ ทันใดนั้นพลังอันมหาศาลก็พุ่งออกจากร่าง
ไม่รู้ว่ามือทั้งสองของเขาถูกปกคลุมด้วยเกล็ดสีแดงตั้งแต่เมื่อไหร่ พอแขนทั้งสองพร่ามัวก็เกิดเสียงดังก้องฟ้า เงากำปั้นแน่นขนัดปรากฏขึ้นตรงหน้า และโจมตีใส่ใบหน้าสีม่วงแปลกประหลาดอย่างรวดเร็ว ทำให้มันส่งเสียงร้องแปลกประหลาดอยู่ไม่หยุด พริบตาเดียวก็พร่ามัวขึ้นมา
ผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาวเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าหวาดกลัวทันที มือทั้งสองปล่อยพลังออกไปจำนวนมาก และกะพริบจมหายไปในใบหน้าปีศาจยักษ์
ใบหน้าปีศาจส่งเสียงคำรามออกมา แสงสีเขียวพุ่งออกมาอีกครั้ง และรวมตัวขึ้นมาใหม่ พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่เกือบเท่าตัว แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม มันยังคงอยู่ท่ามกลางเสียงที่ดัง “ปัง!” “ปัง!” อย่างต่อเนื่อง โดยไม่อาจเดินหน้าได้เลยแม้แต่น้อย
ขณะนั้นเอง มุกสีดำสนิทก็พุ่งออกจากกำปั้นทั้งคู่ของหลิ่วหมิง หลังจากเกิดเสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!” มันก็หวดใส่ใบหน้าปีศาจราวกับลูกธนู
“ตู๊ม!”
มุกพลังวารีทั้งสองโจมตีใบหน้าปีศาจอย่างรุนแรง แสงสีม่วงใบบนหน้าของมันเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง แสงไฟฟ้าบนพื้นผิวถูกสั่นสะเทือนจนหายไปชั่วคราว
หลิ่วหมิงถือโอกาสนี้สะสมพลังบนแขนทั้งสอง ทันใดนั้น เงากำปั้นสีดำจำนวนมากกว่าก็ประทับลงไป พอมีเสียง “ ปัง!” ใบหน้าปีศาจยักษ์ก็ระเบิดออกมาเป็นสายฟ้าสีม่วงจำนวนมาก
ขณะเดียวกัน ผู้ฝึกฝนปีศาจหน้ายาวก็มีสีหน้าซีดขาว แต่พอสูดหายใจเข้าไป ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นเขาก็เผยสีหน้าโหดร้าย และอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาจำนวนมาก จากนั้นมันก็กลายเป็นหมอกโลหิตจมหายไปในดาบบิน และมุกอู้ชวีที่หมุนวนอยู่ตรงหน้า
ดาบบินสองเล่มกับมุกสีเหลืองหมุนตัวติ้วๆ หลังจากพร่ามัวแล้วก็รวมเป็นหนึ่งในพริบตา และกลายเป็นหมาป่ายักษ์สีม่วงตัวหนึ่ง มันมีดางตาสีเหลืองข้างเดียว ซึ่งก็คือมุกอู้ชวีเม็ดนั้น
พอหมาป่ายักษ์ก่อตัวขึ้น มันก็แยกเขี้ยวยิงฟันกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิงพร้อมด้วยพายุปีศาจอันน่าตกใจ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ส่งเสียงตะคอกออกมา ไอดำบนตัวควบแน่นเป็นเงามังกรสีดำสี่ตัว และพุ่งออกไปพร้อมเสียงคำราม
ดวงตาข้างเดียวของปีศาจอสูรร่างหมาป่าเปล่งประกายในทันที กรงเล็บขาหน้าทั้งสองโบกสะบัดทีหนึ่ง กรงเล็บสายฟ้าสีม่วงที่ดูคล้ายกับของจริงก็ก่อตัวขึ้นมา และฉีกทึ้งมังกรดำทั้งสี่จนกลายเป็นควันสีดำ
และพลังของกรงเล็บสายฟ้าคู่นี้ก็ไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย พอมันกะพริบมาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิง ก็คว้าลงมาอย่างรวดเร็ว
ขณะนั้นเอง มีเงาดำก็เคลื่อนไหวมาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง จากนั้นโล่กระดูกก็ต้านทานอยู่ด้านหน้า
“ตู๊ม!”
กรงเล็บสายฟ้าสีม่วงปะทะลงบนโล่เก้ากะโหลก จากนั้นก็ระเบิดออกมาเป็นเมฆสายฟ้าสีม่วงขนาดใหญ่
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา ร่างของเขาร่นถอยออกไปสองก้าว แต่ก็ยกมือกรีดไปทางเมฆสายฟ้าสีม่วงทันที
“ฟิ้ว!” ฉากอันน่าตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น