หมอดูยอดอัจฉริยะ 666-671

 ตอนที่ 666 จิตแห่งหยาง

Ink Stone_Fantasy

อาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังของเยี่ยเทียนไม่ใช่การบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อเหมือนอย่างทั่วๆ ไป เมื่อผ่านการเอ็กซเรย์ก็จะเห็นว่า กระดูกสันหลังทั้งอันของเยี่ยเทียนได้เปลี่ยนรูปทรงไปแล้ว และยังมีสามส่วนที่แตกหักอย่างเห็นได้ชัด


ตรงนั้นเป็นจุดเชื่อมต่อกับประสาทศูนย์กลาง ต่อให้เป็นการกระแทกเพียงเล็กน้อย ก็ยังทำให้คนรู้สึกเจ็บปวดยากจะทนรับได้ การใช้ความรู้สึกเจ็บปวดเข้าไขกระดูกเพื่อบรรยายความรู้สึกของเยี่ยเทียนในตอนนี้จึงไม่ได้ดูเกินจริงเลย


เขากัดผ้าเช็ดหน้าเอาไว้แน่น เหงื่อเม็ดโตเท่าเม็ดถั่วเหลืองไหลลงจากหน้าผากไม่หยุด ทำให้หมอนเปียกชื้นไปหมด เยี่ยเทียนอยากจะชกศีรษะของตัวเองสักที ต่อให้ต้องสลบไป ก็ยังดีกว่าตอนนี้เป็นอย่างมาก


“ศิษย์น้องเล็ก ไม่ไหวก็ฉีดยาเถอะ ยาชาในระดับที่พอดี จะไม่ทำร้ายร่างกายของเธอหรอก!”


เมื่อเห็นท่าทางความเจ็บปวดทรมานของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียจึงมีสีหน้าที่อดรนทนไม่ได้ออกมา ตอนที่แขนซ้ายของเขาถูกตัดขาด ก็ยังฝืนทนมาได้ ซึ่งก็เป็นความเจ็บปวดที่ไม่เหมือนของคนทั่วไปเช่นกัน


เยี่ยเทียนได้ยินจึงลืมตาขึ้นมา ส่ายหน้ายกใหญ่ ตอนนี้ปราณชีวิตแท้ไม่อยู่ภายในร่างกายของเขาแล้ว ถ้าหากไม่สามารถอดทนให้ผ่านไปได้ เกรงว่าต่อไปเขาคงจะอยู่ห่างจากยาชาไม่ได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง


ของพวกนี้ใช้เป็นครั้งคราวไม่เป็นไร แต่ถ้าใช้ในระยะยาวล่ะก็ เยี่ยเทียนกลัวว่าพวกมันจะทำลายสมรรถภาพร่างกายของตัวเอง ถ้าหากไม่มีสิ่งอื่นที่พึ่งพาได้ แบบนั้นจะทำให้ยิ่งขาดมันไม่ได้


“โธ่เว้ย ฉันไม่ได้ถูกกระแทกที่จุดตันเถียนเสียหน่อย แล้วปราณชีวิตแท้มันหายไปไหนเนี่ย?”


เยี่ยเทียนกัดฟันและพยายามพิจารณาสภาพร่างกายของตัวเอง ถ้าหากปราณชีวิตแท้ยังอยู่ อาการบาดเจ็บเพียงเท่านี้จะทำอะไรเขาไม่ได้เลยสักนิด


“หรือว่าตอนที่กระแทกเข้ากับพื้นกระดานคอนกรีตนั่น ทำให้จุดตันเถียนระเบิดออกมา?”


ในหัวของเยี่ยเทียนพลันเกิดความคิดนี้ขึ้นมา เขาจำได้ว่าปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายตัวเองยังหลงเหลืออยู่ เพื่อช่วยชีวิตของแม่ เขาเกือบจะปะทุพลังซ่อนเร้นทั้งหมดที่มีอยู่ของร่างกาย


ความจริงการคาดเดาของเยี่ยเทียนนั้น ไม่ได้ห่างไกลจากความจริงมากนัก หมัดสุดท้ายที่เขาชกไปที่พื้นกระดานคอนกรีต เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายของเขาหายไป


พื้นกระดานคอนกรีตนั่นมีน้ำหนักหลายร้อยกิโลกรัม บวกกับน้ำหนักที่สะสมจากการตกลงมากลางอากาศสูงถึงหนึ่งร้อยกว่าเมตร อย่าเพิ่งพูดถึงเลือดเนื้อของร่างกายเลย ต่อให้เป็นรถดับเพลิงก็ยังจะถูกกระแทกจนเป็นแผ่นเหล็กได้


ถึงแม้เยี่ยเทียนจะหาจุดอ่อนของพื้นกระดานคอนกรีตที่ตกลงมาจากบนตึกได้ แต่แรงกระแทกที่รุนแรงนั่นยากที่เยี่ยเทียนจะต้านทาน


ตอนที่พื้นกระดานคอนกรีตที่ร่วงลงมาจากบนตึกกำลังจะกระแทกส่วนหลังของเยี่ยเทียน และชีวิตกำลังตกอยู่ในอันตรายนั้น ร่างกายของเขาได้ทำการตอบสนองโดยอัตโนมัติ เขาจึงใช้ปราณชีวิตแท้ทั้งหมดของร่างกายรวบรวมไว้ที่ด้านหลังก่อนที่จะโดนกระแทกอย่างแรงไปแบบนั้น


แต่สุดท้ายพลังของมนุษย์ก็ยากที่จะเอาชนะสวรรค์ได้ พลังอันมหาศาลนั้นไม่เพียงแต่ทำลายปราณชีวิตแท้ที่ปกป้องร่างกายของเยี่ยเทียนแล้ว มันยังทำให้อวัยวะภายในของเขาบาดเจ็บหนัก และหนึ่งในนั้นก็รวมถึงจุดตันเถียนล่างของเขาด้วย


ถ้าหากไม่ใช่จิตของเยี่ยเทียนถูกดึงเข้าไปอยู่ใน เมฆหมอกแห่งความคิด ก่อน เกรงว่าเรื่องคงจะเป็นเหมือนที่โก่วซินเจียคิดเอาไว้ จิตวิญญาณของเขาได้ถูกกระทบกระเทือนจนออกจากร่างไปแล้ว


“แต่ก็ไม่รู้ว่าหลังจากนี้จะยังฝึกวรยุทธได้อีกไหม?”


แม้ว่าเยี่ยเทียนจะมีนิสัยเบิกบาน แต่ก็ยากที่จะยอมรับความจริงที่จุดตันเถียนถูกทำลายไปชั่วขณะ เพียงแค่คิด จิตของเยี่ยเทียนก็สำรวจภายในร่างกาย


“หืม? เป็นแบบนี้ได้ยังไง?”


ตอนที่จิตของเยี่ยเทียนกำลังตรวจสอบนั้น เขาพลันพบว่า ตำแหน่งทุกส่วนของร่างกาย ได้สะท้อนเข้าไปในหัวของเขาอย่างชัดเจนเป็นอย่างมาก


เสียงหัวใจเต้นตุบๆ กลีบปอดที่เปิดปิด แล้วก็ยังมีกระดูกสันหลังที่แตกหักบางส่วนที่อยู่ส่วนหลัง ราวกับว่าใช้ดวงตามาสัมผัสเองก็ไม่ปาน กระทั่งเยี่ยเทียนยังสามารถมองเห็นเอ็นร้อยหวายของกล้ามเนื้อส่วนบนกับเส้นลมปราณได้


หลังจากที่เยี่ยเทียนเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิตได้แล้ว ก็สามารถใช้จิตสำรวจสภาพของร่างกายตัวเองได้


เพียงแต่เมื่อเทียบกับตอนนี้ ราวกับมองบุปผากลางสายหมอกก็ไม่ปาน เพราะตอนนี้มันชัดเจนมาก ไม่สามารถเอามาเปรียบเทียบกันได้กับเมื่อก่อน


การค้นพบอย่างไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ ทำให้ความสนใจของเยี่ยเทียนจดจ่ออยู่ที่จิตใจ ความเจ็บปวดที่มาจากกระดูกสันหลัง ดูเหมือนจะลดลงไปไม่น้อย


“ที่แท้จิตก็มีความยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ ไม่รู้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่ออาการบาดเจ็บของฉันหรือเปล่า?” เยี่ยเทียนลองเพ่งจิต นำจิตไปวางไว้ในส่วนที่ได้รับบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง


“ที่แท้ก็ทำได้!”


หลังจากจิตของเยี่ยเทียนหยุดอยู่ที่จุดที่แตกหักของกระดูกสันหลัง ความรู้สึกอบอุ่นก็เกิดขึ้นในหัวใจ และความเจ็บปวดที่มาจากหลังก็ลดลงไปมากในทันที


ทำให้เยี่ยเทียนดีใจจนเป็นบ้าเป็นหลัง หากเป็นเมื่อก่อน เขาจะต้องอาศัยพลังชีวิตที่ฝึกฝนมาด้วยความลำบากเสียส่วนใหญ่ เป็นผลเสียต่อการใช้วิชาเมื่อต้องต่อสู้กับศัตรู ทำให้เยี่ยเทียนมีความรู้สึกที่จะต้องพึ่งพาปราณชีวิตแท้


แต่จิตในตอนนี้กลับใช้ได้ดีมากกว่า กระทั่งการสำรวจจุดที่เล็กละเอียดของร่างกายก็ยังดีกว่าปราณชีวิตแท้เป็นร้อยเท่า เพียงแค่เพ่งจิตก็สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ควบคุมการใช้แขนก็ยังสามารถควบคุมได้ตามที่ใจต้องการ ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกเหมือนค้นพบโลกใบใหม่


“หรือว่าการฝึกวรยุทธสองสามวันที่ผ่านมาสัมฤทธิ์ผลแล้ว ฉันได้เข้าสู่ขั้นการหลอมจิตสู่ความว่างแล้วใช่ไหม?”


เยี่ยเทียนได้แบ่งจิตบางส่วนมาหล่อเลี้ยงอาการบาดเจ็บตรงกระดูกสันหลัง หลับตาทั้งสองข้าง นำพลังจิตผ่านจุดฝังเข็มบนเส้นลมปราณตูเลื่อนขึ้นไปข้างบน ตอนที่รอเคลื่อนผ่านจุดอิ้นถังระหว่างคิ้วทั้งสองแล้ว ดวงตาพลันเบิกโพลงทันที


ถึงแม้แต่ก่อนเยี่ยเทียนจะสามารถปล่อยปราณชีวิตแท้ออกมาสู่ภายนอกได้ แต่นั่นเป็นเพราะเขาได้ฝึกพลังปราณชีวิตออกมาต่างหาก


แต่เวลานี้ พอเยี่ยเทียนลืมตาขึ้น เขาก็รู้สึกตัวเบาทั้งตัวขึ้นมาทันที ราวกับประตูบานใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าได้ถูกเปิดออก และจิตของเขาก็หลุดพ้นจากการพันธนาการของกายเนื้อ มาอยู่ในพื้นที่หนึ่งเมตรขึ้นไปเหนือเตียงคนไข้


“จิตแห่งหยางออกจากร่าง? นี่มันคือการฝึกขั้นหลอมจิตสู่ความว่างหรือ?”


มองดูตัวเองที่ยังนอนอยู่บนเตียงคนไข้กับโก่วซินเจียที่ทำสีหน้าร้อนใจอยู่ข้างกาย เยี่ยเทียนจึงมีจิตใจที่เบิกบานมาก เขาไม่คิดว่าเมื่อผ่านความยากลำบากแบบนี้ กลับทำให้ตัวเองสามารถผ่านด่านได้ในที่สุด


ความหมายเดิมของจิตแห่งหยางคือครั้งแรกของการฝึกฝน หมายถึงการแปลงร่างของร่างกายภายนอก ทำให้จิตแห่งหยางออกจากร่าง เรียกว่า “จิตออก” เวลาที่จิตออกมากระหม่อมก็จะเปิดเองโดยอัตโนมัติ รับกันทั้งข้างหน้าและข้างหลัง ทำให้เทพเจ้าสามารถออกจากประตูสวรรค์ได้


จากบันทึกของหนังสือคัมภีร์โบราณของลัทธิเต๋า เหมือนกับสถานการณ์ของเยี่ยเทียนในเวลานี้ และเยี่ยเทียนก็มั่นใจว่า ตัวเองได้เข้าสู่ขั้นฝึกจิตถึงความว่างเปล่าแล้ว


เยี่ยเทียนแค่เพ่งจิต จิตใจของเขาก็สามารถทะลุผ่านกำแพงห้องคนไข้ได้อย่างไร้สิ้นเสียง มาอยู่ในห้องที่ซ่งเวย หลันและคนอื่นๆ กำลังรออยู่ แล้วจึงเห็นแม่กับภรรยากำลังร้องไห้อยู่ พ่อกับลูกศิษย์ก็มีสีหน้าเศร้าโศก


“หรือว่าบนโลกนี้จะมีเซียนอยู่จริง?”


เยี่ยเทียนในเวลานี้ กำลังตื่นเต้นดีใจกับจิตแห่งหยางที่ออกจากร่าง ในใจจึงผุดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมา เนื่องจากสภาพของเขาในตอนนี้ สามารถพูดได้ว่าเป็นเซียนก็คงไม่ผิดหรอก


“ตามตำนานเล่าขานบอกว่าหากฝึกฝนจิตแห่งหยางจนถึงขั้นสุดยอด ก็จะสามารถแปลงร่างได้ แต่กลับไม่รู้ว่าได้ว่าจะกลายเป็นอะไร?”


กลุ่มพลังจิตของเยี่ยเทียนพลันอ่อนลง เพียงแค่ใช้ความคิด ฝ่ามือขนาดเด็กทารกคู่หนึ่งได้ยื่นไปที่ใบหน้าของอวี๋ชิงหย่า แล้วค่อยๆ เช็ดน้ำตาให้อย่างแผ่วเบา


“หืม? เกิดอะไรขึ้น? มีคนมาลูบหน้าของฉันเหรอ?”


อวี๋ชิงหย่าที่กำลังจมอยู่กับความเศร้าโศก จู่ๆ ก็รู้สึกว่าใบหน้าเย็นเฉียบ เหมือนกับถูกอะไรวาดผ่านก็ไม่ปาน พอหันไปมองรอบๆ กลับพบสองมือของซ่งเวยหลันกำลังโอบอยู่ที่ช่วงเอวของตัวเอง และโดยรอบก็ไม่มีใครเข้ามาใกล้


“โธ่เอ้ย!”


ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจะแอบดีใจนั้น จู่ๆ จิตก็อ่อนแรงขึ้นมา และความรู้สึกปวดศีรษะจนแทบจะแยกออกจากกันก็ปรากฏขึ้นมาในหัว


“นำจิตกลับตำแหน่ง!” ไม่มีเวลาคิดมากแล้ว เยี่ยเทียนพยายามอดทนความเจ็บปวดทรมานที่ทิ่มแทงอยู่ในหัว ทะลุผ่านกำแพง กลับเข้าไปอยู่ในร่างเหมือนเดิม


“ประมาทเกินไป ประมาทเกินไปแล้ว!”


หลังจากกลับเข้าร่างแล้ว เยี่ยเทียนจึงอดหวาดกลัวไม่ได้อยู่พักหนึ่ง เหมือนกับว่าอากาศภายในห้องจะหยุดเคลื่อนไหวเมื่อสักครู่ก็ตาม แต่เยี่ยเทียนกลับรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนอย่างบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าจิตแห่งหยางของเขาสามารถสลายหายไปได้ตลอดเวลา


เยี่ยเทียนอ่านหนังสือคัมภีร์โบราณของลัทธิเต๋าได้อย่างคล่องแคล่วและชำนาญ เพียงแค่ใช้ความคิดเล็กน้อย ก็เข้าใจอาการของโรคทีมีอยู่


เมื่อจิตแห่งหยางออกจากร่างกายครั้งแรก จะเหมือนกับเด็กทารก อ่อนแอและละเอียดอ่อน เดินไม่ค่อยได้ ต้องเรียนรู้วิธีการเดินของเด็กทารก ค่อยๆ ฝึกเดินทีละก้าว ฝึกฝนจนกระทั่งสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ จากนั้นหลังจากที่จิตออกจากร่างกายแล้วก็ต้องฝึกการแบ่งจิตจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จนกระทั่งสามารถแบ่งร่างได้เป็นล้าน


ตอนที่เรียกว่าจิตแห่งหยางออกครั้งแรก จะเป็นคนตัวเล็กผิวขาว มีหน้าตาคล้ายกับตัวเองมาก เยี่ยเทียนเพียงแค่ให้กลุ่มพลังจิตออกจากร่างเพียงนิดเดียว แต่ก็ยังมีความแตกต่างจากจิตแห่งหยางอยู่มาก จึงไม่สามารถคงอยู่ได้เป็นเวลานาน


เฉินหนานเคยกล่าวไว้ใน ‘เพลงกลอนหยกแห่งความว่างเปล่า’ “มีเด็กทารกคนหนึ่งอยู่จุดในตันเถียน หน้าตาละม้ายคล้ายกับฉัน หลังจากจิตแห่งหยางออกไปแล้ว ได้ยินว่าสามารถสร้างภาพเพ้อฝันของดินแดนแห่งปีศาจได้ จำเป็นต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก ต้องรักษาความคิดชอบธรรมไว้ตลอดเวลา


เยี่ยเทียนถูกกระตุ้นอารมณ์เมื่อครู่ ได้เห็นแม่ร้องไห้สะอึกสะอื้นอีกครั้ง จึงได้รับความเศร้าไปด้วยอีกครั้ง


ถ้าหากไม่ใช่เยี่ยเทียนมีการตอบสนองที่ฉับไวเรียกจิตกลับตำแหน่งได้ทัน ยอดฝีมือที่เพิ่งฝึกจิตถึงความว่างเปล่าได้ คงจะถูกดึงเข้าไปอยู่ใน เมฆหมอกแห่งควมคิด เพื่อที่จะรักษาตัวอีก ไม่แน่ทีนี้อาจจะกลายเป็นคนปัญญาอ่อนก็เป็นได้


“ต่อไปจะต้องคงสภาพไว้ตลอดเวลา นี่คือผลประโยชน์อันมหัศจรรย์ของจิตแห่งหยางนี่นา!”


ถึงแม้ในหัวจะยังรู้สึกถึงความอ่อนแอเป็นพักๆ แต่ในใจของเยี่ยเทียนก็ยังตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก นักบำเพ็ญเต๋ามากมายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะติดอยู่ที่ขั้นการหลอมปราณสู่จิต ที่ตัวเองสามารถพัฒนาได้อีกขึ้น ถือว่าเป็นความโชคดีโดยบังเอิญจริงๆ


“ไม่รู้ว่าตอนนั้นปรมาจารย์เฉินถวนกับจางซานเฟิงและคนอื่นๆ ได้ฝึกจิตแห่งหยางไปถึงขั้นไหนกัน? ที่พวกเขาพูดว่าทะยานขึ้นสู่สวรรค์ในเวลากลางวันแล้วกลายเป็นเซียน อาจจะหมายถึงจิตแห่งหยางออกจากร่าง?”


ขณะที่กำลังนึกถึงตำนานเล่าขานที่อยู่ในหนังสือคัมภีร์โบราณ แล้วหัวใจก็เต้นตุบตับโดยไม่รู้ตัว เดิมทีเขาคิดว่าการหลอมปราณสู่จิตได้ฝึกมาถึงจุดสูงสุดแล้ว ไม่คิดว่าจะโชคดีเปิดประตูและหน้าต่างอีกบานให้กับเขา


“ศิษย์น้องเล็ก ดีขึ้นบ้างไหม?” ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังครุ่นคิดถึงการจดบันทึกเกี่ยวกับการฝึกจิตเข้าสู่ความว่างเปล่านั้น เสียงตะโกนของโก่วซินเจียก็ดังขึ้นข้างหู


“ไม่เป็นไรแล้ว!”


เยี่ยเถียนพ่นผ้าเช็ดหน้าออกมาจากปาก เพ่งจิตไปที่แขนข้างขวา แล้วใช้แขนขวาที่ใส่เฝือกแข็งๆ นั้นหยิบผ้าปิดตาออกจากใบหน้าของตัวเอง


“ไม่ได้!” ตอนที่โก่วซินเจียกำลังห้ามอยู่นั้น จู่ๆ เขาก็ตะลึงงันไปทั้งตัว “ศิษย์น้องเล็ก แขนนี้ของเธอขยับได้ยังไง?”


ตอนที่เยี่ยเทียนใช้หมัดทั้งสองชกไปที่พื้นกระดานคอนกรีตนั้น หลังมือทั้งสองมีเลือดไหลจนมองอะไรไม่ออก แม้แต่แขนทั้งสองข้างก็ยังหักไปด้วย ดังสุภาษิตบอกว่าเส้นเอ็นหรือกระดูกบาดเจ็บต้องใช้เวลารักษาหนึ่งร้อยวัน เยี่ยเทียนไม่มีปราณชีวิตแท้ปกป้องร่างกาย ดังนั้นเขาต้องขยับไม่ได้สิถึงจะถูก


“เอ๊ะ? ศิษย์น้องเล็ก เธอได้สูญเสียวรยุทธไปจริงๆ หรือว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”


โก่วซินเจียใช้สองตามองไปที่เยี่ยเทียนอย่างละเอียด ทำให้เขารู้สึกงงอยู่บ้าง ด้วยวรยุทธของเขา หากว่าเยี่ยเทียนจะเก็บการขับเคลื่อนพลังปราณชีวิตไว้ได้ เขาก็ยังพอที่จะสัมผัสได้ไม่มากก็น้อย


แต่เวลานี้โก่วซินเจียได้สำรวจดูเยี่ยเทียนแล้ว เขาก็คือคนธรรมดาคนหนึ่ง แต่กลับมีแสงอันโชติช่วงและชุ่มชื่นอยู่ในดวงตาของเยี่ยเทียน ซึ่งไม่เหมือนกับคนที่ได้รับบาดเจ็บหนักควรจะมี


ตอนที่ 667 กลับฮ่องกง

Ink Stone_Fantasy

“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตอนนี้เขาก็ไม่เข้าใจร่างกายตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่


ในฐานะคนที่บำเพ็ญตบะ ปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายสูญสิ้น ตามหลักแล้วนี่คือปรากฏการณ์ของคนที่วรยุทธถูกทำลาย แต่จิตของเยี่ยเทียนดันแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า


เยี่ยเทียนกำลังอยู่ในขั้นคลำหาทางของการใช้ผลประโยชน์อันมหาศาลของจิตแห่งหยางอยู่ เขาเองก็ไม่รู้ว่าจิตนั้นสามารถนำมาทดแทนการใช้ปราณชีวิตแท้ได้หรือไม่


หนำซ้ำเยี่ยเทียนก็ไม่กล้ายืนยันว่าตัวเองได้เข้าสู่ขั้นการฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าแล้ว เพราะว่าตามบันทึกของหนังสือคัมภีร์โบราณ จิตแห่งหยางออกจากร่างบางทีก็เหมือนกับเด็กทารก ถึงแม้จิตของเยี่ยเทียนจะสามารถออกจากร่างได้ แต่ระดับของระยะห่างถึงขั้นนั้นก็ยังถือว่ายังไกลมาก


“ศิษย์พี่ใหญ่ ที่นี่คือที่ไหนครับ?”


เยี่ยเทียนขยับศีรษะมองไปรอบๆ จิตที่เพิ่งออกจากร่างมีผลทำให้จิตเกือบแตกสลาย เยี่ยเทียนจึงไม่กล้าใช้จิตสุ่มสี่สุ่มห้าแล้ว


“ที่นี่คือโรงพยาบาลแห่งหนึ่งของอเมริกา แม่ของเธอส่งเธอมาที่นี่”


โก่วซินเจียอธิบาย เมื่อเห็นเยี่ยเทียนอ่อนเพลียดูไม่มีชีวิตชีวา เขาจีงรีบพูด “ศิษย์น้องเล็ก ฟื้นแล้วก็ดี เธอพักผ่อนก่อน รอถึงตอนบ่ายฉันจะให้พวกเขาเข้ามาเยี่ยมเธอ!”


“เดี๋ยวก่อน ศิษย์พี่ใหญ่!”


เมื่อเห็นโก่วซินเจียจะเดินออกไป เยี่ยเทียนจึงรีบเรียกเขาเอาไว้ “ศิษย์พี่ใหญ่ ถ้าหากเป็นไปได้ ผมอยากกลับไปรักษาตัวที่ฮ่องกง พี่คิดว่าร่างกายของผมนี้…”


ถึงแม้จิตจะได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างแปลกประหลาด แต่ปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายก็ไม่มีแล้ว เยี่ยเทียนจึงเกิดความพะวงอยู่ในใจ


สิบกว่าปีที่ผ่านมา เยี่ยเทียนใช้ปราณชิตแท้จนถึงขั้นละเอียดอ่อนแล้ว ในสถานการณ์แบบนี้ทำให้เขาไม่เคยชินเป็นอย่างมาก เขาอยากกลับไปที่ฮ่องกงเพื่อใช้ปราณวิเศษที่รวบรวมอยู่ในค่ายกล เพื่ออยากจะดูว่าจะสามารถฝึกวรยุทธให้กลับมาได้หรือไม่?


“ศิษย์น้องเล็ก เธอก็รู้สึกเหมือนกันเหรอ?”


โก่วซินเจียครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงพูด “อาการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังของเธอรุนแรงมาก จะเคลื่อนไหวไม่ได้เลยสักนิดเดียว ฉันคิดว่าเธอพักรักษาตัวอยู่ที่นี่ช่วงหนึ่งก่อน พอถึงเวลาฉันจะนำปราณชีวิตแท้ใส่เข้าไปในร่างกายของเธอทุกวัน เพื่อทำให้อาการบาดเจ็บทรงตัวก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


โก่วซินเจียกับเยี่ยเทียนมาจากสำนักเดียวกัน ลักษณะของปราณชีวิตแท้จึงเหมือนกัน ตอนที่เยี่ยเทียนสลบอยู่ไม่สามารถชักนำปราณชีวิตแท้ได้ เขาจึงได้แต่ถ่ายทอดพลังเพื่อรักษาบาดแผลให้กับเยี่ยเทียนอย่างลวกๆ แต่เวลานี้เยี่ยเทียนได้ฟื้นขึ้นมาแล้ว จึงไม่ต้องกังวลเรื่องแบบนี้อีก


เยี่ยเทียนส่ายหน้าพลางพูด “ไม่ต้องครับ ศิษย์พี่ใหญ่ ผมมีวิธีทำให้อาการบาดเจ็บทรงตัวได้ พี่ให้แม่ของผมไปจัดการที ช้าสุดพรุ่งนี้ ผมอยากจะออกไปจากที่นี่แล้วครับ”


การที่นอนอยู่บนเตียง ขยับเขยื้อนไม่ได้ สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว เป็นความยากลำบากอย่างหนึ่ง และเนื่องจากระดับความแข็งแกร่งของจิตเขาในตอนนี้ ไม่สามารถปลอดปล่อยออกมาภายนอกได้นานนัก แต่หากใช้ในการทำให้อาการบาดเจ็บทรงตัว กลับทำได้อย่างสบายมาก


ในใจของเยี่ยเทียนก็มีความรู้สึกบางอย่าง หากเขาสามารถใช้จิตรักษากระดูกสันหลังที่บาดเจ็บให้หายได้ ไม่แน่อาจจะมีผลลัพธ์ที่ดีกว่าการใช้ปราณชีวิตแท้เสียอีก และนี่จึงเป็นเหตุผลที่เขายืนกรานอยากจะออกไปจากที่นี่


ในเหตุการณ์โศกนาฏกรรม 9/11 ก่อนหน้านี้ เยี่ยเทียนได้แสดงความสามารถเหนือมนุษย์ออกมาแล้ว ถ้าหากอาการบาดเจ็บของเขาไม่มีหมอคนไหนรักษาให้หายได้ นั่นก็ชี้ให้เห็นว่าเขาถูกคนมองเป็นหนูทดลองแล้ว


“เยี่ยเทียน ฝีมือการรักษาของโรงพยาบาลนี้ถือว่าสูงมากนะ ฉันคิดว่า เธอพักอยู่ที่นี่สักพักหนึ่งแล้วค่อยว่ากันดีกว่า…”


โก่วซินเจียไม่กล้าเชื่อคำพูดทั้งหมดของเยี่ยเทียน ปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายของเขาไม่มีแล้ว แล้วยังจะมีวิธีอะไรที่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บได้? ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดระหว่างที่บินอยู่ อย่างนั้นเยี่ยเทียนอาจจะต้องนอนอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิตก็เป็นได้


“ศิษย์พี่ใหญ่ ค่ายกลที่ฮ่องกงมีประโยชน์กับผมมาก จำเป็นต้องรีบกลับทันที ผมตัดสินใจแล้ว พี่ช่วยจัดการให้ผมเถอะ”


ถึงแม้เสียงของเยี่ยเทียนจะอ่อนแรงมาก แต่ท่าทีของเขากลับเด็ดเดี่ยวแน่วแน่มาก และไม่รู้ว่าตัวเองรู้สึกไปเองหรือเปล่า โก่วซินเจียยังสามารถรู้สึกถึงพลังปราณที่แข็งแกร่งที่ไม่มีคนกล้าต่อต้านในตัวของเขา


เพียงแต่ตอนที่โก่วซินเจียอยากจะจับความรู้สึกแบบนั้นอีกครั้ง จู่ๆ พลังปราณบนตัวของเยี่ยเทียนก็พลันหายไปทำให้โก่วซินเจียไม่กล้ายืนยันว่าตัวเองเกิดความรู้สึกลวงไปเองหรือเปล่า


“ก็ได้ เดี๋ยวฉันจะไปปรึกษาเรื่องนี้กับแม่ของเธอ ศิษย์น้องเล็ก เธอพักผ่อนก่อน!”


ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ตาม เยี่ยเทียนก็เป็นเจ้าสำนักเสื้อป่าน เรื่องที่เขาตัดสินใจแล้ว โก่วซินเจียจึงได้แต่ต้องทำตาม


“โก่วเหล่า เยี่ยเทียนเขาไม่เป็นไรใช่ไหมคะ?”


พอโก่วซินเจียเดินออกมาจากห้องคนไข้ ก็ถูกซ่งเวยหลันและคนอื่นๆ โอบล้อม สีหน้าของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ยังแสดงถึงความเจ็บปวดทรมานแบบนั้นอยู่ ทำให้ทุกคนเจ็บจนแทบจะขาดใจ


โดยเฉพาะซ่งเวยหลัน เธออยากจะเอาความเจ็บปวดที่ลูกชายกำลังได้รับมาไว้ที่ตัวเองเสียให้ได้ แบบนี้ยังพอจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้นกับความทุกข์ทรมานในใจที่ได้รับอยู่ในช่วงนี้


“รักษาชีวิตไว้ได้แล้ว แต่หลังจากนี้จะเป็นยังไง ฉันเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน!”


โก่วซินเจียฝืนยิ้ม พลางมองไปที่ซ่งเวยหลันแล้วพูดว่า “คุณหญิงเยี่ย คำพูดของศิษย์น้องเล็กคุณคงได้ยินหมดแล้ว เขาต้องการกลับฮ่องกง คุณคิดว่าจะทำได้ไหม?”


“ไม่…ไม่ได้เด็ดขาด ท่านผู้เฒ่า แค่เยี่ยเทียนขยับเพียงนิดเดียว กระดูกสันหลังของเขาก็จะแยกจากกันหมด แบบนั้นก็จะไม่มีความหวังที่จะฟื้นฟูกลับมาได้อีกแล้ว!”


เพื่อทำความเข้าใจกับสภาพของเยี่ยเทียนหลังจากที่ฟื้นขึ้นมา บทสนทนาของโก่วซินเจียกับเยี่ยเทียนเมื่อครู่ ได้มีคนแปลให้หมอหมอเวย์แมนฟังแล้ว เวลานี้หลังจากได้ยินคำพูดของโก่วซินเจีย เขาจึงรีบแสดงความคิดเห็นคัดค้านอย่างรวด เร็ว


จากมุมมองทางด้านการแพทย์แล้ว อาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนมีความเป็นไปได้เก้าสิบห้าเปอร์เซ็นต์ที่จะพิการ แม้ว่าโรงพยาบาลแห่งนี้จะมีศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดในโลกก็ตาม แต่ความหวังในการลุกขึ้นเดินหลังจากนี้ของเยี่ยเทียนก็มีไม่ถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์


ดังนั้นจากมุมมองของหมอเวย์แมน ถ้าหากเยี่ยเทียนออกจากโรงพยาบาลของพวกเขา ความเป็นไปได้ในการฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังของเขา บางทีอาจจะเป็นศูนย์ เพราะว่าการสั่นสะเทือนจากการเดินทาง จะทำให้อาการบาดเจ็บเพิ่มความรุนแรงมากขึ้นอย่างแน่นอน


“โก่วเหล่า คุณคิดว่าเป็นยังไงคะ?”


นับตั้งแต่การมาถึงของโก่วซินเจีย ก็สามารถทำให้อาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนทรงตัวได้ ทำให้อวัยวะภายในของเขาที่ได้รับบาดเจ็บดีขึ้นมาก ตามมาด้วยการปลุกเยี่ยเทียนให้ฟื้นขึ้น  ทั้งหมดนี้ทำให้ซ่งเวยหลันเต็มไปด้วยความมั่นใจในตัวเขา


ถึงแม้โรงพยาบาลที่หมอเวย์แมนทำงานอยู่จะทำงานเป็นอย่างดี แต่เมื่อเทียบกับโก่วซินเจียแล้ว พวกเขาเคร่ง ครัดกับกฎระเบียบมากเกินไป ไม่ได้มีส่วนช่วยเหลือที่แท้จริงอะไรต่อเยี่ยเทียนเลย


โก่วซินเจียครุ่นคิดครู่หนึ่ง แล้วจึงเอ่ยว่า “ฉันเห็นด้วยที่ให้ออกจากโรงพยาบาล ในเมื่อศิษย์น้องเล็กตัดสินใจแล้ว ดังนั้นเขาก็ต้องคิดมาเป็นอย่างดีแล้ว!”


ถึงแม้จะไม่รู้ถึงสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของจิตเยี่ยเทียน แต่ท่าทางของไขกระดูกที่เจ็บปวดเมื่อครู่จู่ๆ ก็กลับดีขึ้นมา โก่วซินเจียจึงพอจะเดาได้อยู่บ้างว่าศิษย์น้องเล็กยังมีวิธีในการรักษาชีวิตอยู่


“ตกลง พวกเราจะออกจากที่นี่พรุ่งนี้ค่ะ!”


ซ่งเวยหลันหันไปมองหมอเวย์แมนแล้วพูดว่า “หมอเวย์แมนคะ ขอบคุณการช่วยเหลือในช่วงนี้ของคุณมากๆ ค่ะ พรุ่งนี้ฉันอยากจะให้โรงพยาบาลช่วยเตรียมรถพยาบาลที่ดีที่สุดหนึ่งคัน เพื่อส่งลูกชายของฉันไปสนามบินค่ะ!”


เรื่องที่เยี่ยเทียนยืนกราน ก็ได้รับคำตอบในที่สุด ซ่งเวยหลันไม่กล้ามองข้ามความต้องการของลูกชายอีก อย่าว่าแต่เยี่ยเทียนอยากจะกลับฮ่องกงเลย ถ้าเขาอยากจะไปเล่นบาสเกตบอล ไม่แน่ซ่งเวยหลันก็อาจจะจัดสนามบาสไว้ให้เขาก็เป็นได้


“ตกลง คุณซ่ง ผมตกลงตามคำขอของคุณครับ”


หมอเวย์แมนได้แต่ยักไหล่ แล้วจึงพูดต่อว่า “แต่ผมหวังว่าคุณจะสามารถใช้อินเตอร์เน็ตเพื่อรายงานอาการป่วยของคุณเยี่ยให้พวกเราตลอดเวลานะครับ ถ้าหากต้องการอะไร พวกเราจะได้ส่งหมอไปที่ฮ่องกงครับ!”


โรงพยาบาลที่หมอเวย์แมนทำงานอยู่ก่อตั้งขึ้นในปีคริสต์ศักราช 1920 คนที่พวกเขาให้บริการนั้นเป็นมหาเศรษฐีและนักการเมืองชั้นนำของโลก และยังร่วมมือกับสถาบันวิจัยทางการแพทย์ที่สำคัญของโลกอีกด้วย


ถ้าจะไม่พูดให้ดูเกินไปเลย นอกจากคนที่สมองตายไปแล้ว วิธีการรักษาทั้งหมดที่พวกเขามีอยู่ตอนนี้ สามารถยืดอายุของคนเราไปได้อีกครึ่งปี นี่จึงเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้พวกเขามีชื่อเสียงมากมาย


แต่อาการป่วยของเยี่ยเทียน กับโรงพยาบาลที่หมอเวย์แมนทำงานอยู่กลับไม่สามารถทำอะไรได้ จึงทำให้เขาอยากติดตามความคืบหน้าอาการป่วยของเยี่ยเทียน เพื่ออยากจะดูอาการบาดเจ็บของเขาว่าจะสามารถฟื้นฟูได้แบบไหน


“หมอเวย์แมน อันนี้ต้องได้รับความยินยอมจากเยี่ยเทียนก่อนถึงจะได้ ฉันไม่สามารถรับรองให้คุณได้ค่ะ!”


ซ่งเวยหลันส่ายหน้า คนที่มีตำแหน่งฐานะอย่างเธอ คำที่พูดออกมาจำเป็นต้องปฏิบัติตาม ดังนั้นซ่งเวยหลันจึงไม่ตอบรับคำขอของหมอเวย์แมนง่ายๆ


หมอเวย์แมนพยักหน้า แล้วจึงพูดว่า “อย่างนั้นก็น่าเสียดายมากครับ ถ้าหากคุณเยี่ยยินยอม คุณจะต้องติดต่อผมนะครับ!”


เหตุการณ์โศกนาฏกรรม 9/11 ได้ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว ถึงแม้บรรยากาศของเมืองใหญ่ในอเมริกาจะดูตึงเครียดไปบ้าง แต่สนามบินก็ยังเปิดให้บริการอยู่ ซ่งเวยหลันได้ติดต่อเรื่องเครื่องบินที่จะบินขึ้นในวันพรุ่งนี้เรียบร้อยแล้ว


ดังคำโบราณกล่าวมีเงินทำเรื่องอะไรก็ง่าย เพื่อให้เครื่องบินบินได้อย่างมีเสถียรภาพ ซ่งเวยหลันกระทั่งเช่าเครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุดในโลกหนึ่งลำ และยังทำการปรับแต่งภายในเพียงชั่วข้ามคืน


ตอนบ่ายของวันที่สอง เยี่ยเทียนและทุกคนก็ได้ขึ้นเครื่องบิน


“เสี่ยวเทียน หิวน้ำไหม? อยากดื่มน้ำบอกแม่นะ!”


เมื่อวานตอนกลางคืน ซ่งเวยหลันและคนอื่นๆ ได้เห็นหน้าเยี่ยเทียนแล้ว สีหน้าของเยี่ยเทียนในตอนนั้นดูอ่อน เพลียมาก พวกเขาจึงไม่อยากพูดอะไรมาก


ตอนนี้เห็นสีหน้าของลูกชายเริ่มดีขึ้น ซ่งเวยหลันจึงรีบเสิร์ฟน้ำ เสิร์ฟน้ำชา ถ้าหากถูกพนักงานของบริษัทเธอมาเห็นเข้า คงจะไม่เชื่อแน่นอนว่าประธานหญิงที่ไม่ค่อยพูด ยังมีด้านที่ดูแลเอาใจใส่แบบนี้ด้วย


“แม่ครับ ผมไม่เป็นไร แม่นั่งเถอะ แล้วช่วยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้ให้ผมฟังหน่อยสิครับ!”


เยี่ยเทียนสามารถสัมผัสได้ถึงความละอายใจของแม่ จึงยิ้มพูดว่า “เด็กผู้หญิงที่ชื่อไอรีนเป็นยังไงบ้างครับ? แม่ของเธอเสียชีวิตแล้วใช่ไหม?”


“ไอรีนไม่เป็นไร แต่แม่ของเธอตายท่ามกลางภัยพิบัติ”


ซ่งเวยหลันถอนหายใจแล้วจึงพูด “ครั้งนี้อเมริกาได้รับความเสียหายรุนแรงมาก เหตุการณ์นี้ทำให้คนสูญหายและเสียชีวิตมากกว่าสามพันคน…”


เหตุกาณ์ในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังเหตุกาณ์เพิร์ลฮาร์เบอร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เป็นการโจมตีครั้งที่สองในประวัติศาสตร์ที่ทำให้เกิดการสูญเสียและบาดเจ็บหนักครั้งยิ่งใหญ่ของอเมริกา นอกจากนี้ยังเป็นการโจมตีจากผู้ก่อการร้ายที่เลวร้ายมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์และสิ้นสุดลงปลายปี ค.ศ. 2001


ภายในไม่กี่ชั่วโมงของการถูกโจมตีจากผู้ก่อการร้าย หลายร้อยประเทศทั่วโลกต่างก็ประณามต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ขณะเดียวกันหุ้นทั่วโลกก็ตกลงอย่างหนัก ตลาดการเงินก็ได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง


สามวันก่อนหน้านี้ ซ่งเวยหลันก็ได้รับการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของอเมริกา สาเหตุก็คือก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นี้ เธอได้ให้พนักงานทั้งบริษัทของเธอแยกย้ายออกไป จึงทำให้เกิดความสงสัยของหน่วยงานบางส่วน


แต่ซ่งเวยหลันก็ได้จัดการอย่างเหมาะสมและสมหตุสมผลไว้นานแล้ว การอธิบายของเธอไม่มีช่องโหว่ที่จะโจมตีได้ ไม่อย่างนั้นตอนนี้เธอก็คงไม่สามารถออกจากประเทศสหรัฐอเมริกาได้


ตอนที่ 668 หล่อหลอมความเป็นตาย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากเกิดเหตุการณ์ บริษัทที่อยู่ในตึกเวิล์ดเทรดเซ็นเตอร์ทั้งหมด มีเพียงพนักงานบริษัทของซ่งเวยหลันที่มีอัตราการเสียชีวิตเป็นศูนย์ แน่นอนว่า จำนวนนี้ยังไม่รวมเธอกับเยี่ยเทียน


เนื่องจากบริษัทจะทำการซื้อประกันทุกปี หลังจากเหตุการณ์ 9/11 ผ่านไป พอคำนวณดูแล้วไม่เพียงซ่งเวยหลันจะไม่ขาดทุน กระทั่งยังได้กำไรไม่น้อย ตอนนี้บริษัทของเธอได้เลือกสถานที่ใหม่ในการทำงานแล้ว


ถ้าหากไม่ใช่เพราะเชื่อฟังคำพูดของลูกชายแล้วล่ะก็ หากซ่งเวยหลันคอยปั่นเรื่องราวในตลาดการเงินก่อนหน้า ครั้งนี้เธอคงจะมีเงินเข้าบัญชีหลายพันล้าน และสร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำจากภัยของตลาดหุ้นทั่วโลก


แต่ถ้าเป็นแบบนี้ เกรงว่าเยี่ยเทียนคงจะซวยหนักกว่าเดิม คงต้องเจอกับเคราะห์ร้ายหนักเพราะเปิดเผยความลับของสวรรค์ ไม่อย่างนั้นด้วยความสามารถของเยี่ยเทียนที่มีเคราะห์ดีมากกว่าเคราะห์ร้าย คงจะไม่ถูกทำร้ายจนเกือบเสียชีวิต?


“โลกคงจะไม่สงบสุขอีกแล้ว”


เยี่ยเทียนถอนหายใจ ตอนที่เขาสร้างค่ายกลฮวงจุ้ยอยู่ที่ฮ่องกงนั้น ก็รู้สึกว่าพลังแห่งฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลง ภายในอนาคตอีกสองสามปี จะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่อีกครั้งในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง


“แม่ครับ พักอยู่ที่ปักกิ่งเถอะ ถ้าไม่มีธุระอะไรก็ไม่ต้องไปต่างประเทศแล้ว”


เมื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง เยี่ยเทียนจึงมองไปที่อวี๋ชิงหย่า แล้วจึงพูดว่า “ชิงหย่า งานนั่นเธอก็ไม่ต้องทำแล้ว มาอยู่เป็นเพื่อนฉันที่ฮ่องกงเถอะ!”


ถ้าจะพูดว่าเยี่ยเทียนละอายใจต่อใครมากที่สุด คงจะเป็นอวี๋ชิงหย่าเพียงคนเดียว


ตั้งแต่แต่งงานมาจนถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนไม่เคยอยู่บ้านได้สองสามวันเลย ตรงข้ามกลับทำให้อวี๋ชิงหย่าคอยวิตกกังวลเพราะเขา ทำให้เยี่ยเทียนรู้ว่าตัวเองไม่ได้ทำหน้าที่ของสามีอย่างเต็มที่


“ได้ หลังจากถึงฮ่องกงแล้ว ฉันจะไปเขียนใบลาออก!” อวี๋ชิงหย่าพยักหน้า ท่าทีเด็ดเดี่ยว ทำให้เยี่ยเทียนตกตะลึง


“เธอคงคิดว่าจะใช้ครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ดูแลคนพิการอย่างฉันใช่ไหม?” ทันใดนั้นเยี่ยเทียนจึงย้อนคิดว่า เมื่อวานเขาก็ได้ดูรายงานอาการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังของเขาจากโรงพยาบาลแล้ว บอกว่าเปอร์เซ็นต์ที่จะพิการมีสูงมาก


“แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ปกตินายก็ไม่มีเวลาคุยเป็นเพื่อนฉัน ต่อไปพวกเราก็จะได้อยู่ด้วยกันทุกวันแล้ว”


ถึงแม้อวี๋ชิงหย่าจะมีใบหน้ายิ้มแย้ม แต่กลับปรากฏหมอกบางๆ อยู่ในดวงตาของเธอ เพื่อหลีกเลี่ยงการกระตุ้น เยี่ยเทียนไม่ให้เสียใจ ความจริงแล้วเธอกำลังแสร้งทำเป็นยิ้ม


“ไม่ต้อง ใบลาออกของเธอเก็บไว้เถอะ ฉันก็ไม่อยากให้เธอใช้ทั้งชีวิตมาดูแลฉัน”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า เขารู้ว่าภรรยาชอบงานนี้มาก และเยี่ยเทียนเองก็ไม่อยากนอนอยู่บนเตียงไปตลอดชีวิต


ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วข้ามคืน แต่เยี่ยเทียนก็รู้สึกได้ ว่าจิตที่แข็งแกร่งของเขานั้น มีส่วนช่วยในการรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ด้วย


ภายใต้การโอบอุ้มของจิต ความเจ็บปวดที่มาจากกระดูกสันหลังเกือบจะไม่มีผลกระทบต่อเยี่ยเทียนแล้ว นอกจากนี้เศษกระดูกสองสามชิ้นนั่นก็เกิดปรากฏการณ์หลอมละลาย เยี่ยเทียนเชื่อว่า ภายในระยะเวลาหนึ่งอาการบาดเจ็บของเขาจะฟื้นฟูกลับมาดังเดิมแน่นอน


“เชื่อใจสามีของเธอ สามีของเธอเป็นยอดมนุษย์ที่ทำได้ทุกอย่าง!” เมื่อเห็นอวี๋ชิงหย่ายังรอให้พูด เยี่ยเทียนจึงยิ้ม แล้วใช้มือขวาที่ยังพอขยับได้ กุมมือของภรรยาที่วางอยู่ข้างเตียง


“หลงตัวเองจริงๆ!”


เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียนกลับมาเหมือนเดิม อวี๋ชิงหย่าจึงยิ้มน้ำตาไหลไม่หยุด เงามืดที่อยู่ในใจได้ลดลงไปไม่น้อย เหมือนกับมีเพียงเยี่ยเทียนเท่านั้น ถึงจะทำให้เธอรู้สึกจิตสงบอย่างแท้จริง


“”ศิษย์น้องเล็ก พลังงานที่หลังของเธอมันคืออะไร ไม่เหมือนกับปราณชีวิตแท้เลยนะ?


เมื่อเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียนดีแล้ว โก่วซินเจียจึงเดินเข้ามา ขณะที่เครื่องบินกำลังบินอยู่ มีเสถียรภาพมาก กระทั่งไม่รู้สึกถึงความโคลงเคลงเลย


ก่อนที่จะขึ้นเครื่องบิน โก่วซินเจียจะใช้ปราณชีวิตแท้เพื่อปกป้องกระดูกสันหลังของเยี่ยเทียนไว้ แต่กลับถูกพลังงานบางอย่างที่บอกไม่ถูกดีดกลับออกมา


ถ้าหากไม่ใช่โก่วซินเจียชักมือกลับมาได้ทัน เกรงว่าเขาคงจะได้รับบาดเจ็บไปนานแล้ว เมื่อครู่เยี่ยเทียนถูกทุกคนห้อมล้อม โก่วซินเจียนจึงไม่สามารถหาโอกาสสอบถามได้ ตอนนี้กลับทนไม่ไหวแล้วจึงถามออกมาในที่สุด


“แม่ ชิงหย่า พวกคุณเหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนที่ข้างหลังสักหน่อยเถอะครับ ผมมีเรื่องอยากจะพูดกับศิษย์พี่ใหญ่!”


หลังจากได้ยินคำพูดของโก่วซินเจีย เยี่ยเทียนจึงครุ่นคิด พลางมองคนที่อยู่รอบๆ แล้วจึงพูดว่า “ศิษย์พี่จั่วกับศิษย์พี่หนานก็อยู่เถอะ อ้อใช่ เซี่ยวเทียน นายก็อยู่ที่นี่ด้วย!”


เรื่องที่เยี่ยเทียนสามารถฝึกจิตได้ เดิมทีห้ามเผยแพร่ออกไปข้างนอก แต่หนานไหวจิ่นที่ดั้นด้นเดินทางไกลมาช่วย ชีวิตเขา และด้วยเหตุนี้ เยี่ยเทียนจึงไม่สามารถปิดบังเขาได้


“ได้ เสี่ยวเทียน ลูกก็อย่าเหนื่อยนักนะ!” ซ่งเวยหลันรู้ว่าลูกชายมีเรื่องที่จะคุยกับคนอื่น เธอจึงรีบดึงลูกสะใภ้ กับสามีและคนอื่นๆ เดินออกไปที่ห้องโดยสารด้านหลังทันที


“ศิษย์น้องเล็ก ฉันพบพลังงานบางอย่างในตัวของเธอ ถึงแม้จำนวนจะไม่มาก แต่คุณภาพกลับสุดยอด ฉันฝึกปราณชีวิตแท้มาหกสิบกว่าปี พอได้ลองสัมผัสอย่างกะทันหัน กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า!”


เมื่อเห็นว่าไม่มีคนนอกแล้ว โก่วซินเจียจึงพูดถึงความสงสัยที่อยู่ในใจออกมา เขากับเยี่ยเทียนเคยประลองยุทธ์มาก่อน จึงคุ้นเคยกับการขับเคลื่อนพลังปราณชีวิตของเขาเป็นอย่างดี แต่พลังงานชนิดใหม่ที่อยู่ภายในของเยี่ยเทียนนั้น โก่วซินเจียไม่เคยพบไม่เคยเห็นมาก่อน


“พี่หยวนหยาง พี่กำลังพูดอะไรอยู่ครับ?”


เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนขึ้นเครื่องบินนั้น โก่วซินเจียยังไม่ทันได้พูดกับคนอื่น หลังจากได้ยินคำพูดของโก่วซินเจีย หนานไหวจิ่น จั่วเจียจวิ้นและคนอื่นๆ ต่างก็ทำสีหน้าสงสัย


“ศิษย์น้องไหวหนาน ฉันเองก็พูดไม่ชัดเจน นายลองดูสิ!”


โก่วซินเจียส่ายหน้าพลางยิ้มอย่างฝืน ๆ แล้วจึงพูดกับหนานไหวจิ่น “นายลองใช้ปราณชีวิตแท้จำนวหนึ่งใส่เข้าไปในร่างกายของศิษย์น้องเล็ก ระวังหน่อยนะ ต้องเตรียมตัวถอยออกมาอยู่ตลอดเวลา!”


“ได้ครับ!” เมื่อเห็นโก่วซินเจียไม่ได้ล้อเล่น หนานไหวจิ่นจึงรีบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วใช้มือขวาประคองไปบนไหล่ของเยี่ยเทียน


ความจริงหลังจากการฝึกกายให้เป็นปราณได้แล้ว ยังพอที่จะฝืนปล่อยปราณชีวิตแท้ออกมาได้อยู่บ้าง


แต่เมื่อฝึกถึงขั้นหลอมปราณสู่จิต ก็จะสามารถควบคุมได้ถึงขั้นละเอียดและใส่ปราณชีวิตแท้เข้าไปในร่างกายของคนอื่นได้ และนี่ก็เป็นวิธีการรักษาอาการบาดเจ็บอย่างหนึ่งของเต๋า คนที่มีวรยุทธแก่กล้า จะสามารถใช้ปราณชีวิตแท้เข้าไปรักษาร่างกายของคนอื่นได้อย่างแท้จริง


แต่คนที่มีวรยุทธแบบนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นคนที่ค่อยๆ แก่ชราเหมือนกับโก่วซินเจียและหนานไหวจิ่น และไม่ค่อยปรากฏตัวต่อหน้าสาธารณะสักเท่าไร


พวกปรมาจารย์ที่อยู่ในสังคมตอนนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่ฝึกวรยุทธแค่งูๆ ปลาๆ แล้วก็เอามาต้มตุ๋นหลอกลวงคนในยุทธภพไปทั่ว แต่ความจริงแล้วเชื่อถือไม่ได้เลย


วรยุทธของหนานไหวจิ่นกับเยี่ยเทียนไม่เหมือนกัน ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก และเห็นเพียงไหล่ของ เยี่ยเทียนสั่นไหว ปราณชีวิตแท้ส่วนหนึ่งได้เลื่อนผ่านไปยังเส้นลมปราณส่วนไหล่ของเยี่ยเทียนและเลื่อนผ่านไปยังส่วนล่าง


ปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายของเยี่ยเทียนได้สูญหายไปหมดแล้ว ไม่เหลือกลุ่มพลังแม้แต่นิดเดียว ดังนั้นปราณชีวิตแท้ส่วนนี้ของหนานไหวจิ่นจึงเดินได้อย่างคล่องแคล่วไร้การขัดขวาง ไม่ช้าก็เดินมาถึงตำแหน่งกระดูกสันหลังของเยี่ยเทียน


“หืม? นี่…มันเกิดอะไรขึ้น?”


ขณะที่หนานไหวจิ่นกำลังควบคุมปราณชีวิตแท้อยู่ และอยากจะเดินพลังลงไปอีก ระหว่างนั้นก็พลันสัมผัสกับพลังงานอย่างหนึ่ง และปราณชีวิตแท้ของเขาก็เหมือนกับหิมะในฤดูใบไม้ผลิ มลายหายไปในชั่วพริบตาเดียว


เนื่องจากเป็นการใช้จิตควบคุมปราณชีวิตแท้ หนานไหวจิ่นจึงได้รับความเสียหายเล็กน้อย แม้แต่ร่างกายยังถอยหลังติดต่อกันสองก้าว ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตกใจและหวาดกลัว


วรยุทธของหนานไหวจิ่นก็เหมือนกับโก่วซินเจียที่อุตส่าห์ฝึกมานับสิบปี ความบริสุทธิ์ของวรยุทธของเขา บนโลกใบนี้มีไม่กี่คนที่เทียบกับเขาได้


แต่เบื้องหน้ากลับเจอพลังงานที่อยู่ในตัวของเยี่ยเทียน และปราณชีวิตแท้ของตัวเองที่ฝึกมานับสิบปี จึงดูเหมือนกับไก่ กระเบื้อง สุนัขดินเผาที่ตีทีเดียวก็พังไป สำหรับหนานไหวจิ่นแล้ว เขารู้สึกยากที่จะยอมรับได้จริงๆ


หนานไหวจิ่นพลันเกิดความคิดอย่างหนึ่งขึ้นมาในหัว แล้วจึงถามอย่างลังเล “ศิษย์น้องเยี่ย เธอ…เธอสามารถควบคุมการใช้จิตแห่งหยางได้แล้ว?”


ตอนนั้นหนานไหวจิ่นโชคดีจึงเปลี่ยนความคิดมาบำเพ็ญตบะ หลายปีที่ผ่านมาเขาได้ศึกษาคัมภีร์เต๋าและหลักพระพุทธศาสนามาตลอด เรื่องที่เขารู้ยังมากกว่าโก่วซินเจียเสียอีก


เมื่อหนานไหวจิ่นพูดคำนี้ออกไป โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นจึงมีสีหน้าตกตะลึง มีความตกใจบนใบหน้า เมื่อฝึกวรยุทธระดับของพวกเขา ดังนั้นจึงเข้าใจว่าจิตแห่งหยางคืออะไร


“ศิษย์พี่หนานมีความรอบรู้กว้างขวางจริงๆ” เมื่อเห็นหนานไหวจิ่นสามารถเดาออกถึงความเป็นมาของพลังงานนั้นของตัวเองได้ เยี่ยเทียนจึงรู้สึกเลื่อมใสและเคารพในตัวเขา


“ถูกแล้วครับ ช่วงนี้ผมกำลังฝึกฝนอยู่ หลายครั้งที่ต้องหวุดหวิดกับความเป็นความตาย ตอนนี้ได้ฝึกจนถึงด่านนั้นแล้ว แต่สุดท้ายจะก้าวข้ามผ่านไปได้ไหม ตัวผมเองก็ยังไม่รู้เลยครับ”


ใบหน้าของเยี่ยเทียนมีรอยยิ้มฝืด หากพูดตามคนที่ฝึกบำเพ็ญเพียร ยิ่งอยู่ในขั้นที่สูงขึ้น ปราณชีวิตแท้ก็จะยิ่งรวมตัวและหนักมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกาย ปราณ หรือจิตก็จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้


แต่สภาพของเยี่ยเทียนในตอนนี้กลับมีพลังจิตที่แข็งแกร่ง กระทั่งถึงขั้นจิตแห่งหยางออกจากร่าง แต่ปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายกลับไม่มีหลงเหลืออยู่เลย เยี่ยเทียนเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรกันแน่


“อาจารย์ คุณกำลังพูดอะไรกันอยู่ครับ?”


ในที่นี้มีเพียงโจวเซี่ยวเทียนคนเดียวที่ฟังไม่เข้าใจ ตอนนี้เขาแค่ฝึกอยู่ในขั้นหลอมกายให้เป็นปราณ เส้นทางของการหลอมปราณสู่จิตยังอยู่อีกไกล จึงยังฝึกไม่ถึงขั้นพลังจิต


“เซี่ยวเทียน อย่าขัดจังหวะ!”


โก่วซินเจียโบกมือเพื่อหยุดคำพูดของโจวเซี่ยวเทียน แล้วจึงหันไปมองเยี่ยเทียนพลางถามเสียงทุ้มต่ำ “ศิษย์น้องเล็ก เธอเข้าสู่ขั้นฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าแล้วจริงๆ หรือ?”


โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นต่างก็หยุดอยู่ที่ขั้นหลอมปราณสู่จิตมานานแล้ว สุดท้ายก็ยังหาทางฝึกวรยุทธขั้นต่อไปไม่ได้


พวกเขากระทั่งคิดว่า การฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าเป็นเพียงข่าวลือของคนโบราณ แค่เพียงใช้จินตานาการปั้นขึ้นมาเท่านั้น แต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวของเยี่ยเทียนในตอนนี้ กลับทำให้โก่วซินเจียและหนานไหวจิ่นมองเห็นความหวังในการฝึกวิชาให้สูงขั้นอยู่รำไร


“ศิษย์พี่ใหญ่ ก่อนหน้านั้นผมได้ไปชกมวยใต้ดินอยู่ช่วงหนึ่ง ตอนที่อยู่ในช่วงของความเป็นความตาย ผมได้เข้าใจถึงบางสิ่ง แต่กลับไม่สามารถผ่านด่านนั้นไปได้”


สีหน้าของเยี่ยเทียนพูดด้วยความสับสนมึนงง “หลังจากที่ฟื้นขึ้นมาครั้งนี้ ก็สามารถใช้พลังจิตได้อย่างบอกไม่ถูก แต่ไม่เหมือนกับที่บันทึกไว้ในหนังสือคัมภีร์โบราณเลย ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันคือการฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าหรือเปล่า”


“มวยใต้ดิน? เกิดอะไรขึ้น?”


โก่วซินเจียและคนอื่นๆ ไม่รู้เรื่องที่เยี่ยเทียนไปชกมวยใต้ดินตอนที่อยู่อเมริกา จึงรีบถามรายละเอียดขึ้นมาทันที


หลังจากได้ยินเรื่องราวความเป็นมา คนสองสามคนจึงมองหน้ากันโดยไม่รู้ตัว เพราะคนต่างชาติที่พวกเขาดูถูกมาตลอด กลับมีการโจมตีที่เฉียบขาดถึงเพียงนี้ แถมยังบีบบังคับให้เยี่ยเทียนต้องรอดตายอย่างหวุดหวิด!


“ระหว่างความเป็นความตาย ที่แท้ก็มีสติปัญญาที่ยิ่งใหญ่อยู่จริงๆ!”


โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นมองหน้ากัน แล้วจึงอดถอนหายใจไม่ได้ ถึงแม้พวกเขาจะสามารถพูดได้ว่าเป็นคนแก่ที่ยังแข็งแรงอยู่ แต่ถ้าอยากจะเป็นเหมือนเยี่ยเทียนที่ถูกหล่อหลอมและฝึกฝนตัวเองมาจากความเป็นความตายแบบนั้น กลับรู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้


ตอนที่ 669 ความลับส่วนตัว

Ink Stone_Fantasy

“ผมประมาทเอง พวกท่านอย่าทำตามผมเด็ดขาด!”


เยี่ยเทียนได้ยินแล้วจึงยิ้มขึ้นมาอย่างสุดฝืน เขาคิดว่าตัวเองมีวรยุทธสูงส่ง แต่กลับไม่ได้นึกถึงตอนที่รอดตายหวุดหวิดขณะที่แข่งชกมวยใต้ดิน และหลังจากนั้นก็เกือบต้องตายจากภัยพิบัติในครั้งนี้อีก พอลองนึกดูแล้วเยี่ยเทียนจึงรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจอยู่บ้าง


คนโบราณกล่าวว่าถ้าอยากจะมองชีวิตและความตายให้ทะลุปรุโปร่ง ส่วนใหญ่ก็ต้องบวชเพื่อเป็นพระเป็นนักพรต และอยู่อย่างสันโดษตามภูเขาและแม่น้ำสายเพื่อกล่อมเกลาจิตใจ ทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการของพลังแห่งฟ้าดิน หรือไม่ก็เป็นเหมือนจางซานเฟิงกับตงฟางซั่วที่เล่นเกมชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์ แต่ที่เหมือนกับเยี่ยเทียนนั้น กลับพบเห็นได้น้อยมาก


โก่วซินเจียก็เข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวของเยี่ยเทียน ตัวเองและคนอื่นๆ ไม่สามารถทำได้ จึงรีบเอ่ยถามทันที “ศิษย์น้องเล็ก หลังจากที่จิตของเธอถึงขั้นฝึกสู่ความว่างเปล่าแล้ว มีอะไรตรงไหนที่ไม่เหมือนกันบ้าง?”


ทุกคนต่างก็มีความคิดและสติปัญญาเป็นของตัวเอง ความคิดแบบนี้คนทั่วไปจะเรียกว่ากาย ปราณและจิต แต่จากมุมมองทางด้านวิทยาศาสตร์แล้ว ความคิดก็คือคลื่นสมองนั่นเอง


ตอนที่คนเราใช้ความคิด สนามแม่เหล็กจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดเป็นกระแสไฟของสิ่งมีชีวิต ซึ่งตามหลักของลัทธิเต๋าแล้วก็คือจิตของคนอย่างหนึ่ง


การบำเพ็ญตบะตามลัทธิเต๋านั้น พิถีพิถันในเรื่องของกาย ปราณและจิต จุดตันเถียนบนอยู่จุดกลางระหว่างงเส้นลมปราณตูทั้งสองเส้น เป็นศูนย์รวมของการฝึกจิต จุดตันเถียนกลางอยู่ตรงจุดถันจงบริเวณทรวงอก เป็นศูนย์รวมพลังปราณ จุดตันเถียนล่างจุดกวนหยวนของเส้นลมปราณเริ่น ต่ำกว่าไต้สะดือลงมาสามนิ้ว เป็นศูนย์รวมของการเก็บพลังลมปราณ


ทั้งสามอย่างนี้ประกอบเสริมซึ่งกันและกัน กลายเป็นระบบของการฝึกฝนอย่างหนึ่งของร่างกายในลัทธิเต๋า หลังจากการฝึกฝนเข้าสู่ขั้นฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าแล้ว ความคิดของคนเรา ก็จะกลายเป็นจิตแห่งหยาง ซึ่งหมายถึงจิตวิญญาณนั่นเอง


ลัทธิเต๋ามีตำนานมากมายเกี่ยวกับจิตแห่งหยาง


อย่างเช่นเถี่ยไกว๋หลี่ หนึ่งในแปดเซียน เดิมทีเขาเป็นหนุ่มหน้าตาดี แต่เพราะถอดจิตออกจากร่างและกลับเข้าร่างไม่ทัน สุดท้ายจึงได้นำจิตมาอาศัยอยู่ในร่างของคนแก่พิการที่เพิ่งตายได้ไม่นาน ถึงได้มีท่าทางมอมแมมอย่างที่เห็น


และเหมือนอย่างศาสนาพุทธ ความจริงก็มีการฝึกจิตมาตลอด และตามตำนานเล่าขานการกลับชาติมาเกิดของพระดาไลลามะของพระพุทธศาสนาในธิเบตที่คนทั่วโลกไม่เคยรู้มาตลอด แท้จริงแล้วก็คือหลังจากที่คนเราตายแล้วจิตยังไม่ดับ จึงผ่านการเวียนว่ายตายเกิดในรูปแบบต่างๆ ซึ่งเหมือนกับตำนานของเถี่ยไกว๋หลี่  ถึงวิธีการจะแตกต่างกันแต่ก็ได้ผลสรุปเหมือนกัน


เมื่อมาถึงยุคปัจจุบัน วิทยาศาสตร์มีความเจริญก้าวหน้า พลังแห่งฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง แม้ว่าคนที่มีพรสวรรค์ไม่เหมือนใครอย่างหลี่ซั่นหยวน ก็ยังฝึกได้เพียงขั้นหลอมปราณสู่จิตเท่านั้น จวบจนสุดท้ายของชีวิตก็ไม่สามารถข้ามด่านของการฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าได้


เยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้าโก่วซินเจียนี้สามารถพูดได้ว่าเขาคือคนเดียวที่สามารถฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าได้ ซึ่งมีความสำคัญมากสำหรับเขาที่จะสามารถเข้าไปสู่ขั้นนี้ได้หรือไม่ คนที่ไม่สนใจต่อเรื่องราวของโลกภายนอกอย่างเขาจึงมีสีหน้าที่ตื่นเต้นอยู่บ้าง


“ศิษย์พี่ใหญ่ จิตของผมนั้นยังมั่วกันอยู่เลย เมื่อเทียบกับจิตวิญญาณที่ออกจากร่างจริงๆ แล้วยังมีความแตกต่างกันมาก”


เยี่ยเทียนฝืนยิ้ม หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดต่อ “แต่การใช้จิตจะต้องใช้ปราณชีวิตแท้ในการใช้พลังปราณชีวิตต้นกำเนิดถึงจะยิ่งราบรื่น นอกจากนี้จิตไม่ได้ถูกจำกัดด้วยพื้นที่ สามารถทะลุผ่านกำแพงได้ ตรงจุดนี้ปราณชีวิตแท้นั้นยากที่จะทำได้…”


การสนทนาของเยี่ยเทียนในเวลานี้ ถ้าหากคนธรรมดาทั่วไปได้ยินเข้า ก็เหมือนกำลังฟังเรื่องของเทพนิยายอยู่ การเดินผ่านทะลุกำแพง ก็คือวิชาหายตัวเดินทะลุกำแพงไม่ใช่เหรอ? อย่าง ถู่สิงซุน ในเรื่องสถาปนาเทวดา ก็ถนัดใช้วิชานี้มากที่สุด


หลังจากฟังการอธิบายอย่างละเอียดของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียจึงถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “น่าเสียดาย การฝึกฝนวรยุทธจะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ปราณชีวิตแท้ของเธอสูญสิ้น เกรงว่าจะไม่สามารถเข้าไปสู่ขั้นฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าได้จริงๆ”


เส้นลมปราณของร่างกายคนเรา ทุกจุดจะมีบทบาทที่เกี่ยวข้องกัน สำหรับคนธรรมดาทั่วไปจะไม่เห็นชัดเจนขนาดนั้น แต่สำหรับคนที่ฝึกฝนวรยุทธ กลับให้ความสำคัญกับจุดนี้เป็นอย่างมาก


ก็เหมือนกับโก่วซินเจีย ก่อนหน้านี้ถึงแม้เขาจะเข้าสู่ขั้นหลอมปราณสู่จิตแล้ว แต่เขาได้สูญเสียแขนซ้ายไป ทำให้เขาไม่สามารถเดินวรยุทธให้ต่อเนื่องกันได้


หลังจากรู้จักกับเยี่ยเทียน โก่วซินเจียถึงได้หาเคล็ดวิชาลับจากอาจารย์ได้ เพื่อมาเสริมส่วนที่ขาดไป บวกกับผลที่เกิดขึ้นจากการวบรวมค่ายกลชุมนุมพลังเอาไว้ทั้งสองที่ ทำให้วรยุทธของเขามั่นคงได้ในที่สุด


ตอนนี้จุดตันเถียนทั้งสองของเยี่ยเทียนได้ถูกทำลายไปจนหมดสิ้น ทำให้จิตของเขาก้าวหน้าเป็นอย่างมาก แต่กลัวว่าจะไม่สามารถเอาไปเทียบกับยอดฝีมือที่อยู่ขั้นฝึกจิตสู่ความว่างเปล่าเหล่านั้นในสมัยโบราณได้จริงๆ


“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมเป็นคนเปิดเผยความลับของสวรรค์ก่อน สามารถรักษาชีวิตนี้ไว้ได้ ก็ถือว่าปรมาจารย์สูงสุดของลัทธิเต๋าได้คุ้มครองผมแล้ว”


ถึงแม้ตอนนี้เยี่ยเทียนจะรู้สึกเสียดาย แต่ก็เหมือนอย่างที่เขาพูด ครั้งนี้สามารถช่วยชีวิตแม่ให้ปลอดภัย เยี่ยเทียนก็พอใจมากแล้ว


ส่วนคนที่ต้องตายท่ามกลางภัยพิบัติ เยี่ยเทียนก็ได้แต่ใช้ข้อโต้แย้งที่ว่า “ฟ้าดินนั้นไร้เมตตา ปฏิบัติคล้ายดั่งสรรพสิ่งเป็นหุ่นฟาง” มาปลอบใจตัวเองให้รู้สึกสบายใจ และถือว่าในชีวิตคนเราก็ต้องเจอเรื่องยากลำบากสักครั้ง


โจวเซี่ยวเทียนที่ไม่ได้พูดมาตลอด จู่ๆ ก็เอ่ยถามว่า “อาจารย์ อาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังของอาจารย์จะทำยังไงครับ? สามารถใช้พลังจิตรักษาได้ไหมครับ?”


ถึงแม้จะมีอายุพอๆ กับเยี่ยเทียน แต่โจวเซี่ยวเทียนก็เป็นคนที่จริงใจมาก และเขาก็ได้ปฏิบัติกับเยี่ยเทียนเป็นอาจารย์จริงๆ ในใจจึงรู้สึกกังวลอาการบาดเจ็บของเขาอยู่ตลอดเวลา


“ใช่ๆ ศิษย์น้องเล็ก พลังจิตของเธอสามารถรักษาบาดแผลได้ไหม?”


เมื่อได้ยินคำพูดของโจวเซี่ยวเทียน โก่วซินเจียและคนอื่นๆ จึงอดหน้าแดงไม่ได้ พวกเขามัวแต่สนใจโลกใบใหม่ของเยี่ยเทียนที่เพิ่งจะเข้าป จนลืมอาการบาดเจ็บของเขาไปเลย


“น่าจะได้นะ อย่างน้อยก็ใช้พลังจิตห่อหุ้มบาดแผลไว้ได้ ความเจ็บปวดแบบนั้นจึงสามารถลดลงไปได้มาก”


เยี่ยเทียนพยักหน้า พลางพูด “แต่จิตของผมยังฝึกไม่นิ่งพอ ตอนที่จิตออกจากร่างก่อนหน้านี้ก็ได้รับความเสียหายบางส่วน จึงยังไม่เข้าใจประโยชน์แท้จริงของมัน”


ขนาดคนโบราณที่มีความสามารถสูง หลังจากที่เข้าสู่ขั้นฝึกจิตสู่ความว่างเปล่า ก็ยังต้องเก็บตัวถือศีลเพื่อยังสภาพของจิตแห่งหยางเอาไว้ รอจนกระทั่งฝึกจิตแห่งหยางให้มั่นคง แล้วถึงลองถอดจิตออกจากร่าง


แต่ตอนนั้นเยี่ยเทียนยังไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ แล้วจึงเผลอถอดจิตออกร่างอย่างกะทันหัน ถ้าหากเขาเรียกกลับมาไม่ทันการ เกรงว่าคงจะกลายเป็นผู้ป่วยสภาพผักเรื้อรังไปแล้ว


“น่าเสียดาย อาจารย์ก็ไม่ได้มีหนังสือคัมภีร์โบราณของการฝึกจิตสู่ความว่างเปล่า ไม่อย่างนั้นพอถึงเวลาก็สามารถเอามาให้เธอทำความเข้าใจเสียหน่อย”


หนังสือคัมภีร์โบราณของเต๋าที่คนโบราณหลงเหลือเอาไว้ ถึงแม้จะอธิบายเรื่องจิตแห่งหยางออกจากร่าง แต่เรื่องการฝึกฝนกลับคลุมเคลือไม่ชัดเจนเป็นอย่างมาก จนมาถึงยุคหลังก็ยิ่งมีคนเข้าใจน้อยขึ้นเรื่อยๆ พอนานวันเข้าก็ขาดการสืบทอดในที่สุด


“ศิษย์พี่ใหญ่ รอให้อาการบาดเจ็บของผมดีขึ้นก่อน แล้วผมจะลองไปเดินเล่นแถวภูเขาและแม่น้ำดู บางทีที่นั่นอาจจะค้นหาระบบการถ่ายทอดทางด้านความคิดของลัทธิขงจื้อที่สูญหายไปเจอก็เป็นได้”


เยี่ยเทียนถอนหายใจ ถึงแม้ในหัวของเขาจะได้รับการสืบทอดวิชาที่ลึกซึ้งและมหัศจรรย์ แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นวิชาการโจมตีแบบเต๋า แต่การฝึกฝนวิชายุทธกลับไม่มากพอให้เขาฝึกขั้นฝึกจิตสู่ความว่างเปล่า แต่ถ้าจะใช้วรยุทธให้มากกว่านี้ก็กลัวว่าจะถูกตัดขาดได้


เมื่อได้ยินคนสองสามคนพูดถึงการฝึกวรยุทธ หนานไหวจิ่นจึงรีบพูดอย่างกะทันหัน “ศิษย์น้องเยี่ย รอให้แผลของเธอดีขึ้นแล้ว ก็ลองไปเดินเล่นแถวภูเขาชิงเฉิงดูสิ บางทีอาจจะได้ประโยชน์อะไรกลับมา!”


“เอ๋? ศิษย์พี่หนาน เหตุใดถึงพูดเช่นนี้?” เยี่ยเทียนย้ายสายตามาที่หนานไหวจิ่น สำหรับคนคนนี้ เขาไม่เคยมองได้ทะลุปรุโปร่งเลย


ตอนที่เพิ่งรู้จักกันครั้งแรก เยี่ยเทียนเคยลองทำนายดวงชะตาให้เขา กลับพบว่าดวงชะตาของเขาคลุมเคลือเหมือนกับอวี๋ชิงหย่ามาก เหมือนกับถูกยอดฝีมือใช้วิชาตัดขาดความลับของสวรรค์ แสดงว่าแต่ก่อนคงจะไปเจอโชคอะไรมาแน่นอน


“แค่กๆ ศิษย์น้องเยี่ย เธออย่าถามให้มากเลย ฉันพูดมากกว่านี้ไม่ได้จริงๆ!”


หนานไหวจิ่นกระแอม แล้วจึงพูดว่า “ทุกท่านล้วนเป็นมิตรสหายของฉันผู้แซ่หนานคนนี้ ผู้แซ่หนานไม่ควรปิดบังเรื่องนี้ แต่ฉันรับปากผู้อาวุโสท่านนั้นไว้แล้ว ว่าจะไม่พูดเรื่องนี้ไปตลอดชีวิต หวังว่าทุกท่านจะให้อภัย”


หนานไหวจิ่นในเวลานี้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ และยังไม่ต้องพูดถึงเขาที่ผูกมิตรกับโก่วซินเจีย ต่อให้ หลี่ซั่นหยวนที่มีบุญคุณกับเขาในตอนนั้น เขาเองก็ไม่ควรปิดบังอะไร เพียงแต่คำสาบานในตอนนั้น กลับบังคับให้เขาไม่อาจพูดความจริงออกมาได้


ทุกคนต่างก็มีความลับเป็นของตัวเอง เยี่ยเทียนก็ยังปิดบังเรื่องที่เขาสืบทอดวิชามาจากสำนักเสื้อป่านต่อศิษย์พี่พวกนี้เลย หลังจากได้ยินหนานไหวจิ่นพูดเช่นนี้ เขาจึงรีบพูดด้วยสีหน้าละอายใจทันที “ศิษย์พี่หนาน ศิษย์น้องผิดเอง งั้นเรื่องนี้ก็จะไม่พูดแล้ว!”


“เฮ้อ ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ผู้อาวุโสท่านนั้นก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน”


หนานไหวจิ่นส่ายหน้า พลางพูด “ช่างเถอะ รอกลับถึงฮ่องกง แล้วฉันจะไปเดินที่นั่นดูสักหน่อย ถ้าหากโชคดีหาผู้อาวุโสท่านนั้นเจอ ถึงตอนนั้นปัญหาก็จะคลี่คลายไปเอง”


“ดีขนาดนี้เชียว!” โก่วซินเจียลุกขึ้นยืนแล้วพูด “ได้เลย ศิษย์น้องเล็กเธอพักผ่อนเยอะๆ มีเรื่องอะไรรอให้ลงจากเครื่องบินก่อนแล้วค่อยว่ากัน”


เรื่องความเป็นส่วนตัวเกี่ยวกับหนานไหวจิ่น ทุกคนที่อยู่ในนี้จึงไม่มีใครถามอีก


แต่พวกเขาก็พอจะฟังออกอยู่บ้าง ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสที่หนานไหวจิ่นรู้จัก จะมีวรยุทธในขั้นฝึกจิตสู่ความว่างเปล่า ไม่อย่างนั้นเขาก็คงไม่พูดถึงผู้อาวุโสท่านนั้น แล้วก็คงไม่แนะนำให้เยี่ยเทียนไปเดินเล่นที่ภูเขาชิงเฉิง


ถึงแม้จะเป็นเครื่องบินเหมาลำ แต่จากนิวยอร์กไปฮ่องกงก็ต้องใช้เวลาสิบกว่าชั่วโมง


เนื่องจากช่วงเวลานี้เยี่ยเทียนกำลังใช้พลังจิตปกป้องอาการบาดเจ็บมาตลอดทาง พอตอนที่ลงจากเครื่อง ทั้งตัวของเขาจึงมีทีท่าอ่อนล้าเป็นอย่างมาก จึงถูกถังเหวินหย่วนส่งรถที่เตรียมอุปกรณ์การรักษาอย่างครบครันคันหนึ่งมาส่งเขาไปคฤหาสน์ที่อยู่บนไหล่เขาโดยตรง


เนื่องจากคฤหาสน์ของเยี่ยเทียนมีความแปลกประหลาดเกินไป รถพยาบาลจึงจอดแค่หน้าประตู แล้วโจวเซี่ยวเทียนกับจั่วเจียจวิ้นสองคนก็ได้หามเยี่ยเทียนเข้าไป


“หืม? เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง?”


เยี่ยเทียนที่นอนอยู่บนเปลกว้าง พอเข้ามาในคฤหาสน์ สีหน้าก็เปลี่ยนทันที จั่วเจียจวิ้นที่อยู่ข้างหลังจึงรีบพูดทันที “ศิษย์น้องเล็ก เป็นอะไร? สะเทือนถึงแผลใช่ไหม?”


“เปล่า แผลของผมไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร!”


เยี่ยเทียนส่ายหน้าเล็กน้อย สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ แล้วจึงพูดว่า “ศิษย์พี่จั่ว ปราณวิเศษในคฤหาสน์นี้มีประโยชน์ต่อผมมาก อย่าเพิ่งพาผมเข้าห้อง แต่พาผมไปอยู่ที่จุดชมวิวตรงนั้นก่อน!”


เมื่อเห็นท่าทางของลูกชายมีสภาพเป็นแบบนี้แล้ว ยังอยากจะไปที่จุดชมวิวอะไรอีก ซ่งเวยหลันจึงอดพูดไม่ได้ “เสี่ยวเทียน ลูกนั่งเครื่องบินมาสิบกว่าชั่วโมงแล้ว ต้องพักผ่อนทานอะไรเสียก่อนไม่ใช่เหรอลูก?”


“แม่ครับ พวกท่านเข้าบ้านไปก่อน คืนนี้อย่าออกมา ผมก็มีเหตุผลของผมครับ!”


เยี่ยเทียนไม่อยากให้แม่พูดมากกว่านี้ หลังจากสั่งไปหนึ่งประโยคแล้วจึงรีบพูดเร่งรัดว่า “ศิษย์พี่จั่ว เซี่ยวเทียน รีบหามฉันไปที่จุดชมวิว!”


หลังจากเพิ่งจะเข้ามาในคฤหาสน์ เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าจิตของตัวเองที่อ่อนแอมาก ดูเหมือนจะได้รับอาหารเสริมที่ล้ำค่าก็ไม่ปานกลืนกินปราณวิเศษที่อยู่ในบ้านหลังนี้อย่างบ้าคลั่ง


เพียงแค่ระยะเวลาสองสามนาทีสั้นๆ เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าจิตของตัวเองที่เดิมทีเหนื่อยล้าทนไม่ไหว ตอนนี้ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงบางส่วนโดยที่เขาก็พูดไม่ถูก


ตอนที่ 670 การเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ (1)

Ink Stone_Fantasy

เนื่องจากขาดการฝึกวรยุทธ เยี่ยเทียนจึงไม่รู้ว่าควรจะทำให้จิตดั้งเดิมมั่นคงได้อย่างไร หลังจากครอบครองจิตแห่งหยางแล้ว เขาจึงต้องการใช้มันอยู่เรื่อยๆ แต่กลับไม่ได้รับการเพิ่มเติมแม้แต่นิดเดียว


ดังนั้นจึงทำให้หลังจากที่เยี่ยเทียนลงจากเครื่องบินแล้วมีความอ่อนเพลียจนหมดแรง ไม่อย่างนั้นด้วยจิตที่เปลี่ยนแปลงของเขา ต่อให้ไม่ต้องนอนสักสองสามคืนก็ไม่ดูเหนื่อยขนาดนี้


แต่หลังจากที่เข้ามาอยู่ในค่ายกลชุมนุมพลังแล้ว เยี่ยเทียนก็รู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นหลุมดำก็ไม่ปาน พลังแห่งฟ้าดินที่มีอย่างเต็มเปี่ยม ได้ไหลเข้าสู่ภายในร่างกายของเขาอย่างไม่คิดชีวิต


ตอนแรกสีหน้าของเยี่ยเทียนเปลี่ยนไปบ้าง เพราะว่าตอนที่เขามีพลังปราณชีวิตอยู่นั้น ไม่กล้าดูดซับพลังปราณชีวิตอย่างกำเริบเสิบสานขนาดนี้ และมันก็มากพอที่จะทำให้เขาตัวแตกได้


แต่ไม่รอให้เยี่ยเทียนตอบสนองกลับ จิตดั้งเดิมที่ยึดครองอาการบาดเจ็บตรงกระดูกสันหลังของเขา เหมือนกับกำลังร้องไชโยด้วยความดีอกดีใจ แล้วดูดซับพลังแห่งฟ้าดินเหล่านั้นเข้าไปอย่างเต็มที่


หลังจากที่จิตดั้งเดิมดูดซับพลังปราณชีวิตไปแล้ว เยี่ยเทียนก็ไม่มีความรู้สึกอึดอัดแต่อย่างใด ตรงข้ามกลับมีความรู้สึกเต็มอิ่ม มีกำลังวังชากระปรี้กระเปร่า


ตอนนี้เยี่ยเทียนอยากจะรีบไปที่ดวงตาค่ายกล เขาอยากรู้ว่าพลังแห่งฟ้าดินนั้นมีประโยชน์กับพลังจิตของตัวเองอย่างไรกันแน่ อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึง ขอเพียงสามารถฟื้นฟูพลังจิตที่ได้รับความเสียหายตอนที่ออกจากร่างไปก่อนหน้านี้ได้ เยี่ยเทียนก็ได้กำไรแล้ว


หลังจากซ่งเวยหลันและคนอื่นๆ เข้าไปในคฤหาสน์แล้ว ก็เหลือเพียงคนฉลาดหลักแหลมทั้งหลาย เมื่อเห็นใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้นระคนความดีใจ โก่วซินเจียจึงเอ่ยถาม “ศิษย์น้องเล็ก หรือว่าค่ายกลชุมนุมพลังจะมีส่วนช่วยต่อการฝึกพลังจิตของนาย?”


“ศิษย์พี่ใหญ่ ตอนนี้ผมไม่กล้ายืนยันครับ”


เยี่ยเทียนพยักหน้าพลางพูด “พลังจิตที่อยู่ภายในร่างกายของผมเหมือนจะสามารถใช้ปราณวิเศษสร้างพลังอำนาจให้กับตัวเองได้ แต่จะเกิดความเปลี่ยนแปลงแบบไหน ตอนนี้ผมก็ยังไม่รู้ครับ ศิษย์พี่ใหญ่ พวกพี่ก็เหนื่อยมาหลายวันแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ!”


หลังจากได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียจึงมีสีหน้าเป็นกังวลออกมาแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก การฝึกฝนจิตดั้งเดิมนั้นอันตรายมากที่สุด ถ้าไม่ระวังก็จะทำให้ขวัญกระเจิงได้ อาการบาดเจ็บของเธอใช่ว่าจะรักษาหายภายในวันสองวัน จะรีบร้อนไม่ได้เด็ดขาด!”


ในสมัยโบราณนั้น นักบวชที่มีคุณธรรมแก่กล้าหรือเหล่านักพรตทั้งหลาย ก็ชอบมาฝึกวิชายุทธในภูเขาลึกกับแม่น้ำสายใหญ่ อย่างแรกที่นั่นเต็มไปด้วยพลังแห่งฟ้าดิน อย่างที่สองพราะกลัวว่าเมื่ออยู่ในฌานแล้วจะได้รับการรบกวนและตกใจตื่น ทำให้จิตดั้งเดิมได้รับความเสียหาย


สิ่งเหล่านี้มีบันทึกอยู่ในหนังสือคัมภีร์โบราณของคัมภีร์เต๋า เพียงแต่คนรุ่นหลังไม่สามารถฝึกได้ถึงระดับนี้ จึงไม่สามารถเข้าใจได้ โก่วซินเจียก็กลัวว่าเยี่ยเทียนจะไม่รู้ ถึงได้พูดเตือนเขาเช่นนี้


“ศิษย์พี่ใหญ่ วางใจได้ ผมรู้ตัวเองดีครับ”


เยี่ยเทียนพยักหน้า หลังจากพลังจิตได้กลืนกินพลังชีวิตไปแล้ว ในใจเขามีความรู้สึกบางอย่าง แท้จริงแล้วพลังแห่งฟ้าดินนั้นไม่ได้มีผลประโยชน์ต่อนักบวชเต๋าธรรมดาสักเท่าไร อย่างมากสุดก็สามารถรวบรวมปราณชีวิตแท้เพื่อให้ร่างกายแข็งแรงได้เท่านั้น


มีเพียงตอนที่เข้าสู่ขั้นของการฝึกจิตดั้งเดิมเท่านั้น พลังแห่งฟ้าดินถึงจะได้ใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ แต่เรื่องจริงเป็นเช่นไร จำเป็นต้องให้เยี่ยเทียนลองตรวจสอบด้วยตัวเอง


“ได้ เธอเองก็ระวังหน่อยนะ!”


หลังจากโจวเซี่ยวเทียนกับจั่วเจียจวิ้นหามเปลของเยี่ยเทียนมาวางไว้ที่จุดชมวิวแล้ว ทุกคนต่างก็ถอยออกไปไกลๆ แต่พวกเขาไม่ได้กลับไปที่ห้อง


เพราะในคฤหาสน์หลังนี้ทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยพลังปราณชีวิต จะฝึกฝนตรงไหนก็เหมือนกัน พวกเขาสองสามคนจึงนั่งลงไปกับพื้น เพื่อนั่งโคจรลมปราณฟื้นฟูพละกำลัง และใช้สายตาจ้องมองเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงจุดชมวิวไปด้วย


ไม่เพียงแค่โก่วซินเจียและคนอื่นๆ ที่เป็นห่วง พวกของซ่งเวยหลันที่กลับเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว ก็ไม่อาจนอนหลับได้อย่างสบายใจ ต่างก็เปิดหน้าต่างมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยสีหน้าเป็นกังวล


แต่สุดท้ายด้วยความเหนื่อยล้าสองสามวันที่ผ่านมา บวกกับเวลานี้ก็ดึกดื่นมากแล้ว ถึงแม้ภายในห้องจะวาดยันต์เพื่อกั้นค่ายกลของปราณวิเศษเอาไว้ แต่ปราณวิเศษที่อยู่ภายในนี้ก็ยังสูงกว่าโลกภายนอกอยู่ดี


หลังจากสิบนาทีผ่านไป อวี๋ชิงหย่า ซ่งเวยหลันและคนอื่นๆ ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีของความง่วงได้ จึงเดินกลับไปที่เตียงนอนหลับไป


พระจันทร์บนท้องนภาสุกสกาว ค่ายกลรวมพลังดาวเหนือก็ได้สำแดงความสามารถที่ซ่อนอยู่ภายในออกมาอย่างเต็มที่ แสงดาวดวงน้อยสาดแสงมาที่ท้องฟ้าครอบพื้นปฐพี ราวกับกำลังหลอมรวมเข้ากับค่ายกล กลายเป็นพลังแห่งฟ้าดินอันบริสุทธิ์ต่อเนื่องไม่ขาดสาย


ตรงปากมังกรของจุดชมวิว ก็กำลังดูดซับปราณวิเศษที่มาจากเสาฮวงจุ้ยอย่างเต็มปากเต็มคำ ดูเหมือนโลกมนุษย์กำลังจะสร้างสะพานหนึ่งสาย เพื่อดูดซับปราณวิเศษที่อัดแน่นเหล่านั้นเข้าไปในค่ายกล


หลังจากที่โก่วซินเจียและคนอื่นๆ เปิดตาทิพย์แล้ว ก็สามารถมองเห็นภาพที่แปลกประหลาดนี้ได้ พลังปราณชีวิตสีขาวเหมือนหมอกควันอันโอฬารพันลึก เหมือนกับดินแดนสวรรค์ก็ไม่ปาน


“โธ่เอ๊ย ฉันไม่มีปราณชีวิตแท้เลยสักนิดเดียว ถึงอยากจะเดินลมปราณก็ทำไม่ได้!”


เยี่ยเทียนที่นอนอยู่ตรงจุดชมวิวในเวลานี้ ในใจกลับรู้สึกยุ่งเหยิงขึ้นมา สาเหตุเพราะไม่มีมัน และเพราะเขาไม่สามารถฝึกพลังจิตได้ หนำซ้ำปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายก็ไม่มี แม้ว่าอยากจะให้พลังจิตรีบดูดเข้ามาก็ทำไม่ได้


“ตามที่กล่าวในหนังสือคัมภีร์โบราณ จิตดั้งเดิมควรจะมีลักษณะเหมือนกับคน แบบนั้นก็หมายความว่า จิตดั้งเดิมสามารถฝึกวิชายุทธได้ด้วยตัวเอง?”


ในใจของเยี่ยเทียนพลันเกิดความคิดอย่างหนึ่ง ภายในร่างกายของเขาไม่มีปราณชีวิตแท้ก็จริง แต่ถ้าหากจิตดั้งเดิมสามารถฝึกวรยุทธเองได้เหมือนกับกายเนื้อ อย่างนี้ก็แก้ไขปัญหาได้แล้วสิ?


“เอาวะ!”


เยี่ยเทียนก็เป็นคนใจกล้าคนหนึ่ง หลังจากที่ในใจพยายามคิดถึงเรื่องที่มีความเป็นไปได้ จึงรีบกัดฟันแน่น รับพลังจิตที่ห่อหุ้มแผลบาดเจ็บตรงกระดูกสันหลังทั้งหมดเข้าไปอยู่ในจุดหนีหว่านกง


คราวที่แล้วเยี่ยเทียนจิตหลุดออกจากร่างจนเกือบทำให้ขวัญกระเจิง คราวนี้เยี่ยเทียนไม่กล้าประมาทอีก เขาจำเป็นต้องรวมพลังจิตเข้าด้วยกัน แล้วถึงจะรับมือกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได้


เมื่อสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วอดทนกับความเจ็บปวดที่มาจากกระดูกสันหลัน จากนั้นเยี่ยเทียนพลันลืมตาทั้งสองข้าง จุดอิ้นถังสั่นไหว แล้วจึงรู้สึกเหมือนทั้งตัวไม่มีน้ำหนักใดๆ ในทันที


หลังจากที่จิตดั้งเดิมออกจากร่าง เยี่ยเทียนก็ไม่ได้รับผลกระทบจากอาการบาดเจ็บของกายเนื้ออีกเลย ความรู้สึกเจ็บปวดตรงไขกระดูกเมื่อครู่ไม่มีแล้ว ทำให้เยี่ยเทียนสบายใจพักหนึ่ง


แต่จากประสบการณ์ครั้งที่แล้ว ครั้งนี้เยี่ยเทียนจึงระมัดระวังเป็นอย่างมาก เขาเอาจิตดั้งเดิมออกจากร่างประมาณหนึ่งนิ้วเท่านั้น และก็ไม่กล้าใช้จิตดั้งเดิมเดินสำรวจเพ่นพ่านอีก


“จิตดั้งเดิมนี้ น่าจะเป็นคนที่บำเพ็ญตบะน่าเกลียดที่สุดในประวัติศาสตร์ใช่ไหม?”


เยี่ยเทียนสามารถมองเห็นร่างกายตัวเองในระยะหนึ่งนิ้วได้ ขณะเดียวกันก็สามารถรับรู้ถึงท่าทางของจิตดั้งเดิมของตัวเอง เหมือนกับตอนที่ออกจากร่างในครั้งแรก จิตดั้งเดิมของเขาเป็นกลุ่มควันขาว ต่างกับที่บันทึกในหนังสือคัมภีร์โบราณเป็นอย่างมาก


“มันไม่มีลักษณะ แล้วก็ไม่มีเส้นลมปราณ แบบนี้ควรจะเดินลมปราณได้ยังไง?”


เนื่องจากจิตดั้งเดิมกลุ่มนั้นของเยี่ยเทียน ได้ดูดซับพลังปราณชีวิตที่อยู่บริเวณรอบๆ โดยอัตโนมัติมาตลอด ดังนั้นครั้งนี้เยี่ยเทียนจึงไม่รู้สึกอ่อนแอจากการที่จิตออกจากร่าง


เพียงแต่เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่า ควรจะเพิ่มความเร็วในการดูดซับปราณวิเศษเหล่านี้ได้อย่างไร เพราะว่าเขารู้สึกถึงความปรารถนาของจิตดั้งเดิมที่มีต่อปราณวิเศษเหล่านี้


“ช่างเถอะ ลองท่องคาถาการฝึกวรยุทธของปราณชีวิตแท้ของอาจารย์ดูก็แล้วกัน แล้วดูสิว่ามันจะเกิดผลไหม!”


หลังจากครุ่นคิดพักหนึ่งแล้ว เยี่ยเทียนจึงนำจิตดั้งเดิมลงไปข้างล่างอีกสามนิ้ว เขากลัวว่าถ้าเกิดอุบัติเหตุ แล้วไปผลกระทบต่อจิตดั้งเดิมทำให้ไม่สามารถเข้าร่างกายได้ แบบนั้นเขาก็จะกลายเป็นคนที่นอนตายทั้งเป็นคนหนึ่ง


เยี่ยเทียนฝึกวรยุทธมาตั้งแต่เด็ก เมื่อหลับตาแล้วจึงจำคาถาได้อย่างแม่ยนำ จากนั้นจึงขจัดความคิดฟุ้งซ่านออกไปทันที แล้วเริ่มท่องคาถาของอาจารย์


จิตดั้งเดิมออกจากร่าง เหมือนกับทำให้คนเข้าสู่สภาวะการเข้าฌานได้ง่ายขึ้น เพียงเวลาไม่กี่นาที เยี่ยเทียนก็เข้าฌานไปอยู่ในระดับที่ลึกมาก


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”


“นั่นคืออะไร? หรือว่าจะเป็นจิตดั้งเดิมของศิษย์น้องเยี่ย?”


“น่าจะใช่ ดูผสมกันมั่วไปหมด สว่างจ้าตา นี่…นี่คือจิตที่ออกจากร่างจริงๆ!”


ขณะเดียวกันที่เยี่ยเทียนสูญเสียความรู้สึก จิตดั้งเดิมที่เป็นกลุ่มก้อนไร้สีไร้รูป จู่ๆ ก็ส่องแสงสว่างไปทั่วทิศ แล้วพลังที่ทรงอำนาจก็ออกมาจากจิตดั้งเดิม ทำให้โก่วซินเจียและคนอื่นๆ ที่นั่งขัดสมาธิอยู่ไกลๆ รีบลุกขึ้นมาทันที


เดิมทีจิตดั้งเดิมจะมาจากระดับการฝึกปราณชีวิตแท้ขั้นสูง แต่ท่าทางที่แผ่ซ่านออกมาจากจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนนั้น ทำให้โก่วซินเจียและทุกคนเกิดความรู้สึกหมดแรงบางอย่าง นี่คือการเปลี่ยนแปลงเชิงคุณภาพที่พวกเขาไม่อาจต่อต้านได้อย่างสิ้นเชิง


ถึงแม้แสงสว่างนั้นจะกระพริบนิดเดียวแล้วหายวับไป แต่ก็ทำให้พวกเขาโก่วซินเจียมองเห็นถึงลักษณะของจิตดั้งเดิมอย่างชัดเจน เหมือนกับที่เยี่ยเทียนได้อธิบายไว้ ว่าไม่เหมือนกับบันทึกในหนังสือคัมภีร์โบราณเลย


แต่ดวงตาของหนานไหวจิ่นกลับส่งสายตาที่แปลกออกไป นอกจากลักษณะที่เหมือนกันแล้ว จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนกับคนที่เขาพบเข้าโดยบังเอิญนั้นเหมือนกันทุกประการ


ใครก็ไม่รู้ว่าจิตของเยี่ยเทียนออกจากร่างแล้ว จะมีผลเสียเป็นอย่างไรกันแน่ หลังจากความตกตะลึงในช่วงแรกของทุกคน จึงได้ขับเคลื่อนพลังปราณชีวิตออกมา เพื่อรับรู้บริเวณระยะสิบกว่าเมตรที่อยู่รอบตัวเยี่ยเทียน


แต่พอปล่อยพลังปราณชีวิตออกมา หนานไหวจิ่นกับโก่วซินเจียก็เปลี่ยนสีหน้าพร้อมกัน เพราะพวกเขาสองคนสามารถรับรู้ได้ ว่ารอบตัวของเยี่ยเทียนนั้นราวกับเป็นหลุมดำ ที่กำลังกลืนกินพลังปราณชีวิตทุกอย่างเข้าไป


ความรู้สึกแบบนั้นทำให้คนเกือบขาดลมหายใจ ทำเอาโก่วซินเจียเกือบกระอักเลือดออกมา แล้วจึงรีบพูดคำราม “ไม่ดีแล้ว รีบเก็บพลังปราณชีวิตเดี๋ยวนี้!”


แต่การเตือนของทั้งสองคนกลับช้าไปเล็กน้อย อย่างน้อยที่สุดจั่วเจียจวิ้นก็เป็นฝ่ายเสียเปรียบ หลังจากถอยหลังติดต่อกันสองสามก้าวแล้ว ก็กระอักเลือดออกมา


“นี่…นี่ไม่ใช่แค่การดูดซับพลังแห่งฟ้าดินอย่างเดียว แม้แต่ปราณชีวิตแท้ที่พวกเราฝึกฝนมาก็ถูกกลืนเข้าไปด้วย?”


โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นยังพอมีวรยุทธแก่กล้าอยู่บ้าง จึงไม่ได้ถูกทำร้ายมากเท่าไร หลังจากที่เก็บพลังปราณชีวิตแล้ว ใบหน้าก็ดูขาวซีด เห็นได้ชัดว่าได้สูญเสียปราณชีวิตแท้ไปบางส่วน


“ท่านลุงจั่ว เป็นยังไงบ้างครับ?”


แต่โจวเซี่ยวเทียนที่วรยุทธน้อย ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ดังนั้นเขาจึงไม่ได้รับความบาดเจ็บ ได้แต่ประคองจั่วเจียจวิ้น พลางมองเขาอย่างไม่ค่อยเข้าใจ


“ไม่เป็นไร แค่เสียพลังนิดหน่อย เฮ้อ วิชานี้ของศิษย์น้องเล็กรุนแรงมาก!”


จั่วเจียจวิ้นผ่อนลมหายใจยาวๆ เขาคิดไม่ถึงว่าการฝึกขั้นหลอมปราณสู่จิตของตัวเอง กลับไม่มีแม้แต่โอกาสในการหลบหนี และพลังปราณชีวิตที่ปล่อยออกมาก็ยังถูกจิตดั้งเดิมนั่นกลืนกินไปหมดแล้ว!


แบบนี้ทำให้จั่วเจียจวิ้นเสียใจมาก การฝึกวรยุทธถึงขั้นนี้ของพวกเขา จึงเข้าใจความสำคัญของพลังเป็นอย่างดี ขนาดสะสมก็ยังจะไม่ทัน การสูญเสียครั้งนี้ก็มากพอที่จะทำให้เขาต้องฝึกอีกหลายปี


“ไม่ดีแล้ว การฝึกของศิษย์น้องเล็กนี้ อาจจะทำให้จิตดั้งเดิมนั้นแตกซ่านได้!” ตอนที่จั่วเจียจวิ้นพูด โก่วซินเจียมีสีหน้าไม่สบายใจออกมา


ค่ายกลชุมนุมพลังเป็นเยี่ยเทียนที่แอบเปลี่ยนแปลงกฎแห่งฟ้าดิน ผลของการรวมตัวของพลังปราณชีวิต จึงไม่ต่างจากดินแดนที่เป็นเหมือนดั่งสรวงสวรรค์เหล่านั้นของคนโบราณ


ตอนที่ 671 การเปลี่ยนแปลงที่น่าอัศจรรย์ (2)

Ink Stone_Fantasy

วรยุทธของโก่วซินเจียถึงแม้ก่อนหน้านี้จะต่างจากเยี่ยเทียนระดับหนึ่ง แต่ความจริงแล้วมันต่างกันมาก ปกติตอนที่เขาฝึกวรยุทธอยู่ในค่ายกลชุมนุมพลัง ก็จะควบคุมความเร็วในการดูดซับพลังปราณชีวิตของตัวเอง เพื่อป้องกันร่างกายทนรับไม่ไหว


แต่การกระทำของเยี่ยเทียนในเวลานี้ มันคือการปล้นชิงพลังแห่งฟ้าดินเหล่านั้นไปเลย ลักษณะแบบนั้นราวกับปลาวาฬที่ดูดน้ำก็ไม่ปาน ไม่ช้าปราณวิเศษที่อยู่รอบๆ ค่ายกลชุมนุมพลังก็หายไปจนหมดสิ้น


หลังจากปราณวิเศษในค่ายกลชุมนุมพลังหมดไปแล้ว จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนก็เหมือนจะใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย


แต่ปราณวิเศษพวกนี้ไม่อาจทำให้มันเพียงพออย่างเห็นได้ชัด จิตดั้งเดิมที่ไร้รูปไร้สีกลุ่มนั้นก็กระโดดมาที่ปากมังกรของจุดชมวิว


ตำแหน่งปากมังกรของจุดชมวิวนั้น เป็นสถานที่สำคัญที่สุดของค่ายกลชุมนุมพลังทั้งหมด รับผิดชอบผลที่เกิดขึ้นจากการดูดซับปราณวิเศษของเสาฮวงจุ้ยรวมและลูกบอลฮวงจุ้ย พลังแห่งฟ้าดินเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดผ่านเสาฮวงจุ้ยแล้วเคลื่อนผ่านเข้าสู่ค่ายกลชุมนุมพลังนับจากตรงนี้


ค่ายกลชุมนุมพลังที่เยี่ยเทียนสร้างขึ้นมาสามารถดูดปราณวิเศษได้ด้วยตัวเอง เมื่อปราณวิเศษที่อยู่ในค่ายกลอยู่ในระดับที่เต็มอิ่มแล้ว ค่ายกลของปากมังกรก็จะกั้นปราณวิเศษที่มาจากเสาฮวงจุ้ยให้อยู่ข้างนอก


ปราณวิเศษที่ถูกกั้นเหล่านั้น ก็จะกระจายหายไปจากโลกกลับคืนสู่ธรรมชาติ จึงทำให้บนไหล่เขานี้ได้รับผลประโยชน์ไม่น้อย นับตั้งแต่ที่สร้างค่ายกล ต้นไม้ที่อยู่บนภูเขาลูกนี้ก็เขียวชอุ่มเป็นพุ่มพฤกษ์มากขึ้น


แต่วันนี้ สำหรับไหล่เขาลูกนี้กลับเป็นเหมือนมหันตภัย


ขณะที่จิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนเข้าไปที่ปากมังกร ตรงไหล่เขาดูเหมือนจะเกิดลมพัดโหมกระหน่ำอย่างบ้าคลั่ง แล้วปราณวิเศษที่มาจากเสาฮวงจุ้ยก็ถูกจิตนั้นกลืนกินเข้าไปก่อน


ตอนที่พลังปราณชีวิตของเสาฮวงจุ้ยมีพลังไม่เพียงพอ จิตของเยี่ยเทียนเหมือนกับหลุมดำ ดูดปราณวิเศษที่อยู่บนภูเขาทั้งหมดจนหมดเกลี้ยง


ไม่เพียงเท่านี้ พลังดวงดาวที่เกิดเป็นสายจากดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้าเหล่านั้น ก็เข้าไปอยู่ในจิตของเยี่ยเทียนอย่างไม่ขาดสาย เพียงชั่วเวลานิดเดียว พลังปราณชีวิตที่อยู่โดยรอบกับพลังดวงดาวที่เต็มท้องฟ้า ก็มารวมตัวกันอยู่ที่จุดชมวิว


“เป็นไปได้ยังไง?” โก่วซินเจียเบิกตาโต ใบหน้าเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ


“ท่านลุง ทำไมตรงนี้ถึงไม่มีปราณวิเศษเลยสักนิดเดียว?” โจวเซี่ยวเทียนก็งงมาก ก่อนหน้านี้เขาควบคุมตัวเองไม่ให้ดูดซับปราณวิเศษมากเกินไป แต่จู่ๆ ปราณวิเศษกลับหายไปทั้งหมด ทำให้เขาทรมานจนเกือบกระอักเลือด


จิตของเยี่ยเทียนบังอยู่ตรงปากมังกร ทำให้พลังปราณชีวิตที่มาจากเสาฮวงจุ้ย ถูกเขาดูดกลืนเข้าไปหมดแล้ว เพียงลมหายใจสั้นๆ สองสามที อย่าว่าแต่ค่ายกลชุมนุมพลังเลย แม้แต่บนภูเขาทั้งลูกก็ไม่มีปราณวิเศษหลงเหลือเลยสักนิด


“ศิษย์พี่หนาน จิตดั้งเดิมนี้มีพลานุภาพมากขนาดนี้เชียวหรือ?” จั่วเจียจวิ้นไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเอง แล้วจึงจับหนานไหวจิ่นเอาไว้ คนที่อยู่ในเหตุการณ์ คงมีเพียงเขาที่ตอบปัญหานี้ได้


หนานไหวจิ่นก็ตกตะลึงอ้าปากค้างกับเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าเช่นกัน แล้วจึงพูดตะกุกตะกัก “ฉัน…ฉันก็ไม่เคยเห็น ศิษย์พี่ศิษย์น้อง ฉันเคยเห็นพฤติการณ์ของผู้อาวุโสท่านนั้น แต่ไม่มีผลกระทบกับพลังที่อยู่ในโลกมนุษย์เลย เขาไม่เคยมีการเคลื่อนไหวที่รุนแรงขนาดนี้!”


หนานไหวจิ่นกับโก่วซินเจียแล้วก็จั่วเจียจวิ้นสามคนถึงแม้จะมองไม่เห็นการเคลื่อนไหวของจิตของเยี่ยเทียน แต่ก็สามารถรับรู้ได้ ปราณวิเศษที่อยู่เต็มภูเขาลูกนี้ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยภายในชั่วเวลาของการหายใจ


ทำให้โก่วซินเจียและคนอื่นๆ รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงอย่างบอกไม่ถูก เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ถ้าหากเกิดกับตัวของพวกเขา อย่าว่าแต่การดูดซับพลังปราณชีวิตมากมายขนาดนี้ในเวลาอันสั้นเลย แค่ดูดซับเศษหนึ่งในพัน ก็สามารถทำให้พวกเขาตัวแตกได้


แต่เมื่อเห็นร่างกายของเยี่ยเทียนที่ยังนอนอยู่บนเปลไม่มีความผิดปกติอะไร และใบหน้ากระทั่งแฝงไปด้วยรอยยิ้ม พวกเขาจึงวางใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกอิจฉาจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนไม่หยุด


ค่ายกลชุมนุมพลังไม่มีปราณวิเศษอีกแล้ว การนั่งอยู่ตรงนี้จึงไม่มีประโยชน์อะไร จึงปล่อยให้โจวเซี่ยวเทียนคอยเฝ้าเยี่ยเทียนเอาไว้ แล้วคนอื่นที่เหลือก็กลับไปพักผ่อนที่ห้อง


……


“เหล่าอู๋ เกิดอะไรขึ้น ทำวันนี้รู้สึกแปลกๆ ?”


“ใช่ ปกติจะได้รับอากาศบริสุทธิ์สดชื่นทุกวัน ทำไมวันนี้รู้สึกอึดอัด ฝนจะตกเหรอ?”


“ไม่ได้ยินว่าฝนจะตกนะ เอ๊ะ แปลกจัง นายดูใบไม้นั่นสิทำไมถึงเหี่ยวลงมาแบบนี้?”


เนื่องจากความเข้มข้นของปราณวิเศษที่อยู่บนภูเขา จึงมีประโยชน์ต่อร่างกายของคนที่อาศัยอยู่ในคฤหาสน์ตรงไหล่เขาเป็นอย่างมาก ดังนั้นทุกวันเวลาตีสี่ตีห้า จะมีมหาเศรษฐีที่รักสุขภาพตื่นขึ้นมาออกกำลังกายทุกเช้า


แต่ก่อนเวลาที่พวกเขาหายใจเข้าไปก็ยังมีอากาศของน้ำค้างอยู่ด้วย ทำให้รู้สึกมีกำลังกระปรี้กระเปร่า ร่างกายผ่อนคลายไปทั้งตัว แต่วันนี้พอออกจากบ้าน ก็มีบางคนรู้สึกแปลกๆ


ไม่เพียงแต่คุณภาพของอากาศที่เปลี่ยนไป บรรดาพืชเมืองร้อนที่เขียวชอุ่มตลอดทั้งปี ดูเหมือนจะถูกโจมตีจากพายุทอร์นาโด ใบไม้เหี่ยวเฉาไม่มีชีวิตชีวา


“ไม่ได้ เหล่าหวัง เดี๋ยวท้องฟ้าสว่างแล้วค่อยให้หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมมาดูหน่อย”


“ใช่ ต้องไปตรวจสอบเสียหน่อย ถ้าไม่ได้ก็ค่อยไปหาอาจารย์จั่ว ขออย่าให้ค่ายกลเกิดปัญหาอะไรเลย!”


เมื่อเสพสุขกับอากาศที่บำรุงสุขภาพจนเคยชินแล้ว ถ้าให้กลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน พวกมหาเศรษฐีเหล่านี้จึงไม่มีทางรับได้


เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ พวกเขาจึงไม่มีอารมณ์ออกกำลังกายแล้ว หลังจากคุยกันสองสามประโยค ต่างก็แยกย้ายกลับบ้านของตัวเอง รอให้ฟ้าสว่างก่อนแล้วค่อยไปกดดันหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง


เวลาสองสามชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตอนที่แสงอาทิตย์แตะขอบฟ้า จิตดั้งเดิมกลุ่มนั้นของเยี่ยเทียนที่ยึดครองพื้นที่ตรงตำแหน่งปากมังกร จู่ๆ ก็ระเบิดแสงแวววับจับตาพักหนึ่ง แล้วจึงดูดซับแสงตะวันจากทิศตะวันออกเข้าไปอยู่ในจิตดั้งเดิม


ถ้าหากมีคนสามารถมองเห็นจิตดั้งเดิมของเยี่ยเทียนได้ ก็จะพบว่า เดิมทีที่จิตดั้งเดิมผสมปนเปเป็นกลุ่มก้อน ดูเหมือนจะกระชับแน่นรวมกันมากขึ้นเมื่อเทียบกับตอนก่อนหน้า นอกจากนี้ยังมีลักษณะเหมือนกับคนอยู่นิดหน่อย


แน่นอนว่า สิ่งที่เรียกว่าลักษณะเหมือนคน เป็นเพียงแค่วัตถุลักษณะทรงกลมที่นูนขึ้นมาบางส่วน ถ้าจะพูดว่ามีลักษณะเหมือนคน ก็ดูจะฝืนกันเกินไป


หลังจากดูดซับแสงตะวันจากทิศตะวันออกแล้ว จิตดั้งเดิมจึงลอยละล่องกลับมาที่ร่างกายของเยี่ยเทียน แล้วมุดเข้าไปอยู่ในจุดหนีหวานกงของเขา


ขณะเดียวกัน พลังแห่งฟ้าดินที่มาจากเสาฮวงจุ้ย ก็ถูกค่ายกลชุมนุมพลังรับเข้าไปอีกครั้ง เพียงเวลาไม่นานก็เติมเต็มพลังไปทั่วทั้งคฤหาสน์ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน


“เอ้า ท้องฟ้าสว่างแล้วเรอะ? ฉัน…แขนของฉันเป็นอะไร?”


เมื่อจิตดั้งเดิมกลับเข้าร่าง เยี่ยเทียนจึงตื่นขึ้นมาจากการเข้าฌานระดับลึก หลังจากบิดขี้เกียจด้วยความเคยชินแล้ว เยี่ยเทียนจึงตกตะลึงงันทันที


เพราะเมื่อสองสามชั่วโมงก่อนหน้า แขนที่ใส่เฝือกของเขาไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิดเดียว แต่ตอนนี้กลับชูขึ้นเหนือศีรษะได้ และยังไม่รู้สึกเจ็บอีกด้วย


“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? พลังชีวิตถูกเติมเต็มตั้งแต่เมื่อไร?”


เยี่ยเทียนตกตะลึงก่อนเป็นสิ่งแรก แล้วจึงรีบใช้พลังจิต สำรวจร่างกายที่อยู่ภายใน เยี่ยเทียนสามารถใช้พลังจิตนี้ได้อย่างไม่ต้องกังวล ทันใดนั้นเขาพบว่าจิตที่อยู่ภายในร่างกาย เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินต่างจากเมื่อวานมาก


พลังจิตในตอนต้นของเยี่ยเทียนก่อนหน้านี้ ถึงแม้จะสามารถสำรวจภายในร่างกายตัวเองได้นิดเดียวมีขอบเขตที่จำกัดมาก ตอนที่เขาตรวจสอบอาการบาดเจ็บที่แขนนั้น ไม่อาจควบคุมความเจ็บปวดที่กระดูกสันหลังได้


แต่เวลานี้ เยี่ยเทียนใช้พลังจิตเพียงนิดเดียว ก็สามารถตรวจสอบโครงสร้างภายในร่างกายทั้งหมดของตัวเองได้ แล้วปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา นอกจากนี้เขายังรับรู้ได้ถึง พลังปราณชีวิตที่เต็มเปี่ยมอยู่ทุกจุดของร่างกายตัวเอง


ซึ่งแตกต่างจากการเดินพลังปราณชีวิตแท้ในการบำรุงรักษาร่างกาย พลังของจิตเหล่านี้ ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงเซลล์ภายในร่างกายได้รวดเร็วยิ่งขึ้น


อย่างน้อยเยี่ยเทียนก็พบว่า อาการบาดเจ็บของอวัยวะภายในที่ยังฟื้นตัวไม่เต็มที่ กลับได้รับการฟื้นฟูอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ ส่วนที่แตกของตับและถุงน้ำดีก็เหมือนมีเยื่อวัตถุสีเหลืองทองทาทับไว้อีกชั้น บาดแผลก็สมานตัวกันอย่างรวดเร็วโดยสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า


นอกจากนี้จากการห่อหุ้มของจิตดั้งเดิมนี้ โครงกระดูกที่หักแยกกันของเยี่ยเทียน ก็เหมือนถูกดึงด้วยพลังงานบาง อย่างที่มองไม่เห็น ตอนที่เยี่ยเทียนขยับแขนเมื่อครู่ จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดแม้แต่นิดเดียว


“เฮ้ย แบบนี้ต่อไปฉันก็เป็นยอดมนุษย์ที่ฆ่าไม่ตายแล้วสิ?”


เมื่อเห็นภาพนี้ แม้แต่เยี่ยเทียนยังตกตะลึงอ้าปากค้าง ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพลังจิตที่อ่อนแอ จึงไม่ได้แสดงประสิทธิภาพเหล่านี้ออกมา


แต่เวลานี้ เยี่ยเทียนกลับเข้าใจแล้ว เดิมทีจิตดั้งเดิมกับปราณชีวิตแท้นั้นมีคุณภาพที่แตกต่างกัน ประสิทธิผลระหว่างทั้งสองมันต่างกันราวฟ้ากับดิน


เมื่อมีการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็วแบบนี้ ขอเพียงไม่ถูกยิงตาย เยี่ยเทียนเชื่อว่า บนโลกใบนี้ไม่มีใครที่สามารถทำให้เขาตายได้


เยี่ยเทียนนำพลังจิตวางไว้ภายในร่างกายมาตลอด จึงไม่รู้ตัวว่ามีคนเพิ่มมาอีกคนตั้งแต่เมื่อไร พร้อมกับถือผ้าห่มอยู่ในมือแล้วห่มไปที่ตัวเขาอย่างแผ่วเบา


“ชิงหย่า ขอบใจนะ!”


การสัมผัสที่แผ่วเบานี้ ทำให้เยี่ยเทียนรีบตื่นขึ้นมาทันที เงยหน้าขึ้นมอง แต่กลับเห็นภรรยากำลังนั่งลงยองๆ อยู่ข้างเปล


“เยี่ยเทียน นายตื่นแล้ว? อยากจะไปเข้าห้องน้ำไหม?”


เมื่อเห็นเยี่ยเทียนหน้าแดงก่ำ อวี๋ชิงหย่าจึงคิดว่าเขาปวดปัสสาวะ จึงรีบก้มมองดู แล้วจึงพูดอย่างเขินอายว่า “ฉันจะไปหยิบโถปัสสาวะมาให้ นายทนหน่อยนะ!”


ถึงแม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่อวี๋ชิงหย่าก็เป็นคนหน้าบาง เรื่องแบบนี้ปกติจะเป็นพยาบาลที่จัดการให้โดยเฉพาะ เพียงแต่ย้ายมาอยู่ที่บ้านแล้ว จึงไม่ได้มีการรักษาที่สะดวกสบายแบบนั้น


“ไม่ต้อง ชิงหย่า ฉันไม่ต้องการ”


เยี่ยเทียนรีบคว้ามือของอวี๋ชิงหย่าทันที แล้วพูดว่า “ชิงหย่า เธอช่วยลองประคองฉันขึ้นหน่อย ฉันอยากรู้ว่าจะเดินได้กี่ก้าว?”


เยี่ยเทียนนอนอยู่บนเตียงมาหนึ่งถึงสองสัปดาห์แล้ว จึงรู้สึกอึดอัดมาก เมื่อเห็นพลังงานของจิตดั้งเดิมที่มีประ โยชน์มหาศาลขนาดนี้ เขาจึงอดที่จะขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้


“เดิน นายไม่สบายหรือเปล่า? อาการบาดเจ็บของนายแม้แต่นั่งก็ยังนั่งไม่ได้เลย?”


อวี๋ชิงหย่าตกใจมาก ที่พูดตรงเกินไป แต่เมื่อนึกได้ทัน เธอจึงพูดด้วยสีหน้าขอโทษ “เยี่ยเทียน ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น นายรักษาสุขภาพและพักผ่อนให้มากๆ แล้วจะต้องลุกขึ้นมาได้อีกแน่นอน!”


“เฮ้อ สามีของเธอเป็นคนใจแคบขนาดนั้นเชียวหรือ?” เยี่ยเทียนพูดอย่างจะร้องไห้หรือหัวเราะก็ไม่ออก “อาการบาดเจ็บภายในร่างกายของฉันดีขึ้นแล้ว จึงอยากจะลองเดินดู เธอแค่ประคองฉันหน่อยก็พอ!”


“เอ๊ะ? ทำไมมือของนายถึงขยับได้ล่ะ? พ่อคะ แม่คะ มือของเยี่ยเทียนขยับได้แล้วค่ะ!”


เวลานี้อวี๋ชิงหย่าพบว่ามือขวาของเยี่ยเทียนกำลังจับตัวเองไว้อยู่ เธอจึงมีสีหน้าที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา ไม่สนใจเยี่ยเทียนอีก ลุกขึ้นวิ่งเข้าไปในบ้าน


“อ้าว…เดี๋ยว เธออย่าวิ่งสิ!”


เยี่ยเทียนมองดูอวี๋ชิงหย่าที่วิ่งไปไกลด้วยสีหน้าที่กลัดกลุ้ม เพราะภรรยาก็อายุไม่น้อยแล้ว แต่ทำไมเวลาเกิดเรื่องอะไรจึงต้องรีบไปรายงานผู้ใหญ่ก่อน?

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)