ลำนำบุปผาพิษ 665-672

 บทที่ 665 ความจริงจากหลงซือเย่


หลงซือเย่กำมือแน่น ทันใดนั้นก็โพล่งออกมาประโยคหนึ่ง “ฉันไม่เคยคิดว่าเธอเป็นสิ่งของ ฉัน…ที่โลกนั้นฉันก็เป็นมนุษย์โคลนเหมือนกัน!”


จอกสุราในมือกู้ซีจิ่วเกือบหลุดมือตกพื้น “อะไรนะ?”


หลงซือเย่ยิ้มขื่น “ตกใจมากใช่ไหม? ยังมีเรื่องที่น่าตกใจกว่านั้นอีก ฉันเป็นมนุษย์โคลนนิ่งของแท้แน่นอน แต่เธอ…กลับไม่ใช่มนุษย์โคลนนิ่ง เย่หงเฟิงสิถึงจะใช่”


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าโลกนี้ค่อนข้างแฟนตาซีอยู่บ้าง เธอเงยหน้าดื่มสุราในจอกจนหมด ไม่ขัดจังหวะเขาอีก “พูดต่อไป!”


หลงซือเย่พบว่าอายเป็นโอกาสอสุดท้ายที่ทั้งสองคนจะได้พูดคุยกันช้าๆ ในที่สุดก็เล่าที่มาที่ไปทั้งหมดออกมา


ชาติก่อนพ่อของหลงซือเย่คือนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้น เขาแอบวิจัยเรื่องเทคโนโลยีโคลนนิ่งมานานแล้ว เขาต้องการทดลอง จึงเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอของตัวเขาเอง ทำการโคลนนิ่งตัวอ่อนออกมาคนหนึ่ง จากนั้นก็วางยาสลบภรรยา แล้วฝังตัวอ่อนเข้าไปในมดลูกของภรรยา ภรรยาของเขาไม่รู้เรื่องเลย นึกว่าเป็นการตั้งครรภ์ตามปกติ ตั้งท้องได้สิบเดือนก็คลอดหลงซีออกมา…


บิดาคนนั้นบรรลุเป้าหมายแล้ว เลยใช้เชื้อไวรัสสังหารภรรยาของตัวเอง เหลือไว้เพียงเด็กน้อยร่างโคลนนิ่งคนนี้


หลงซีเติบโตขึ้นมาในห้องทดลองของเขา มักจะถูกขาจับแช่น้ำยาบางอย่างเพื่อทำการทดสอบอยู่เสมอ


แน่นอนว่าบิดาผู้นี้อ้างเห็นผลที่ฟังขึ้นมาก บอกว่าต้องการเลี้ยงดูให้ลูกชายคนเดียวของตนกลายเป็นอัจฉริยะผู้ล้ำเลิศ อยากให้เขาก้าวบนเส้นทางชีวิตที่แตกต่าง ตอนนั้นเขาจึงไม่เคยไปเรียน ความรู้ทุกอย่างเป็นล้วนเป็นบิดาผู้คลั่งวิทยาศาสตร์คนนั้นสอนให้เขา…


เป็นเช่นนี้มาตลอดจนเขาอายุเจ็ดขวบ พ่อของเขาได้รับการสนับสนุนจากเครือตระกูลเย่ เริ่มออกเงินทุนสำหรับทำการโคลนนิ่งให้เย่หงเฟิงทายาทที่เพิ่งถือกำเนิดของตระกูลเย่ หนึ่งปีให้หลังก็สร้างโคลนนิ่งสำเร็จหนึ่งคน


การโคล่นนิ่งครั้งนี้ไม่ใช่การเติบโตตามธรรมชาติในครรภ์ของมารดา แต่เป็นการลี้ยงไว้ในน้ำยาเพาะเลี้ยงของห้องทดลอง เนื่องจากมีการเพิ่มส่วนประกอบพิเศษในการเพาะเลี้ยง ดังนั้นหลังจากร่างโคลนนิ่งนี้ถือกำเนิดออกมาก็เติบโตเท่ากับเย่หงเฟิง เป็นเด้กน้อยสองคนที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว…


หลงซีย่อมได้รู้เห็นด้วย ตอนนั้นเขาสนใจใคร่รู้ในตัวเด็กน้อยที่ค่อยๆ เติบโตในน้ำยาเพาะเลี้ยงมาก มักจะเข้าไปวนดูเสมอ


และไม่รู้ว่าเป็นผู้ช่วยคนไหนที่ปากมาก เอ่ยกับเขาประโยคหนึ่งคล้ายจะล้อเล่นว่า “เจ้าหนู เธอก็มีที่มาแบบนี้เหมือนกัน…”


เดิมทีหลงซีก็ฉลาดหลักแหลมอยู่แล้ว ถึงแม้จะยังเด็ก แต่ระดับไอคิวก็สูงจนน่าหวาดหวั่น ยามนั้นเขาสะกิดใจขึ้นมา ประกอบกับอาศัยอยู่ในห้องทดลองมาโดยตลอดทราบขั้นตอนและกระบวนการวิจัยเหล่านั้นดี ดังนั้นเขาจึงลองทดสอบด้วยตัวเอง ผลลัพธ์ทำให้เขาแทบแหลกสลาย เขาเป็นมนุษย์โคลนนิ่งจริงๆ พ่อของเขาก็ไม่เคยคิดว่าเขาเป็นลูกเลย คิดว่าเป็นแค่ตัวทดลองเท่านั้น


เขาเกลียดชังบิดาคนนั้นของตนมาก แต่ก็ไม่มีหนทางจะทำอะไรบิดาได้ เขาในวัยเด็กจึงนำความโกรธแค้นไปลงกับเย่หงเฟิงและมนุษย์โคลนนิ่งตัวนั้น…


สามีภรรยาสกุลเย่ไม่ปรารถนาให้มนุษย์โคลนใช้ชีวิตร่วมกับบุตรสาวตน ดังนั้นจึงให้นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นส่งตัวมนุษย์โคลนนิ่งออกไป แค่เลี้ยงดูให้มีชีวิตก็พอ


ยามนั้นหลงซีเกลีดชังบิดาและเกลียดชังสามีภรรยาสกุลเย่ที่ให้เงินทุนสนับสนุน ดังนั้นเขาจึงเกิดอารมณ์ชั่ววูบ แอบสลับตัวเด็กน้อยทั้งสองที่ยังอยู่ในวัยห่อผ้าอ้อม…


ผลคือ เย่หงเฟิงตัวจริงกลายเป็นร่างโคนนิ่งและถูกส่งมอบให้สามีภรรยาคู่หนึ่ง เป็นชื่อเป็นกู้ซีจิ่ว…


ส่วนร่างโคลนนิ่งก็กลายเป็นเย่หงเฟิงที่รั้งอยู่ข้างกายสามีภรรยาสกุลเย่


หลงซีกระทำเรื่องนี้เป็นการลับยิ่งนัก คนนอกไม่มีทางทราบ ต่อให้เป็นบิดาสติเฟื่องคนั้นก็ไม่ทราบเช่นกัน


นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นใส่ใจผลงานวิจัยของตัวเองมาก เขาอยากเห็นว่าร่างโคลนนิ่งนี้จะมีศักยภาพมากแค่ไหน ดังนั้นเขาจึงวางแผนให้คนไปลักพาตัวกู้ซีจิ่ว นำไปเลี้ยงดูในค่ายฝึกนักฆ่ากลุ่มอัคคีโชนของตระกูเย่…


————————————————————————————-


บทที่ 666 นั้นเป็นชีวิตคนหลายสิบชีวิต…


อันที่จริงหลังจากหลงซีกระทำเรื่องนั้นลงไปไม่นานก็รู้สึกเสียใจภายหลัง แต่ตอนนั้นกู้ซีจิ่วถูกส่งตัวไปแล้ว และไม่มีใครบอกเขาว่าถูกส่งตัวไปที่ไหน


ต่อมาเขาค่อยๆ เติบใหญ่ขึ้น และไม่เคยหยุดตามหาที่อยู่ของกู้ซีจิ่วเลย ภายหลังถึงได้ข่าวว่าเธอเข้าไปอยู่ในค่ายฝึกนักฆ่า


ตอนนั้นหลงซีได้ฉายแสงในวงการวิทยาศาสตร์ชีวภาพแล้ว มีชื่อเสียงอยู่บ้าง และมีตัวตนฐานะของตัวเองแล้วนิดหน่อย และในที่สุดบิดาของเขาก็เลิกปฏิบัติต่อเขาในฐานะตัวทดลองวิทยาศาสตร์แล้ว ให้เขาได้ชีวิตเหมือนคนปกติทั่วไป


ไอคิวเขาสูงมาก ศิลปะการต่อสู้อันใดก็ร้ายกาจยิ่ง ซ้ำยังเติบโตมาหล่อเหลา ‘เย่หงเฟิง’ มักจะมาเล่นกับเขาบ่อยๆ สามีภรรยาสกุลเย่ก็คิดจะให้เขามาเป็นลูกเขยของบ้านตน


นักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้นยังคงปรารถนาเงินทุนมหาศาลที่สามีภรรยาสกุลเย่เสนอว่าจะมอบให้เพื่อผลักดันการทดลองวิทยาศาสตร์ทั้งหมดของเขา ย่อมไม่คัดค้านอยู่แล้ว


แต่ยามนั้นหลงซีไม่ได้รู้สึกอะไรกับ ‘เย่หงเฟิง’ เขานึกถึงกู้ซีจิ่วที่ถูกเขาแอบสลับตัวอยู่เสมอ ดังนั้นจึงขอเข้าไปเป็นครูฝึกในค่ายฝึกนักฆ่าด้วยตัวเอง และวางแผนไปอยู่ชั้นเรียนนั้นของกู้ซีจิ่ว…


ตอนแรกเขาไปด้วยความรู้สึกผิดในใจ ถึงขั้นโอบอุ้มความเป็นไปได้อันน้อยนิดว่าอาจจะสลับตัวเด็กทั้งสองกลับมาได้อีกครั้ง แต่หลังจากเข้าไปพบกู้ซีจิ่วก็ทราบว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว


ถึงแม้เด็กทั้งสองจะมีรูปร่างหน้าตาและพันธุกรรมแบบเดียวกันทุกประการ แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตไม่เหมือนกัน บุคลิกจึงแตกต่างกันมาก


‘เย่หงเฟิง’ ใช้ชีวิตสุขสบายมาตั้งแต่เด็ก เป็นคุณหนูใหญ่ที่ถูกพะเน้าพะนอเอาใจ นิสัยก็เป็นประเภทเอาแต่ใจร่าเริงสดใสไร้เดียงสา


แต่กู้ซีจิ่วตอนเด็กครอบครัวยากจน พอโตขึ้นมาก็ถูกลักพาตัวไปเข้าค่ายฝึกนักฆ่า สภาพแวดล้อมเช่นนี้ทำให้เธอมีนิสัยเย็นชา กระทำการเด็ดขาดแน่วแน่


เด็กทั้งสองคนนอกจากรูปโฉมที่เหมือนกันทุกประการแล้ว อย่างอื่นก็ไม่เหมือนกันเลย ไม่มีทางเปลี่ยนตัวกลับมาได้แล้ว เขาก็ทำได้เพียงปล่อยให้เรื่องที่ผิดพลาดไปแล้วผิดพลาดต่อไป


ดังนั้นเขาจึงคอยดูแลเธอทั้งในที่ลับและในที่แจ้ง แต่ดูแลไปดูแลมาก้เกิดความรู้สึกขึ้น เขาที่สนใจแต่ตัวเองมาโดยตลอดชอบเธอเข้าแล้ว…


ตอนที่เขาเล่ามาถึงตรงนี้ ในที่สุดกู้ซีจิ่วที่ถูกความจริงทำให้ตกใจก็เอ่ยขัดเขา “ความจริงแล้วฉันเป็นทายาทที่ถูกคุรณสลับตัวเหรอ!”


“ซีจิ่ว ฉันขอโทษ!” หลงซือเย่เศร้าหมอง


กู้ซีจิ่วส่ายหน้า ข่าวนี้น่าตกใจเกินไป เธอย่อยข้อมูลไม่ทันไปชั่วขณะ จับประเด็นไปตามสัญชาตญาณ “ไม่ถูกสิ! ในเมื่อคุณรู้สึกผิด ในเมื่อรู้ความจริง แล้วทำไมไม่บอกสามีภรรยาสกุลเย่? ด้วยระดับความรักที่พวกเขาสามีภรรยามีต่อลูก ถ้ารู้ว่าฉันเป็นลูกสาวของพวกเขา ตามเหตุผลแล้วน่าจะมารับฉันกลับไปไม่ใช่เหรอ? คงไม่ปล่อยให้อยู่ในค่ายฝึกนักฆ่าที่สถานการณ์ลุ่มๆ ดอนๆ หรอก…”


คำถามของเธอถามได้เฉียบแหลมและคมชัดมาก หลงซือเย่หลุบตาถอนหายใจ “ขอโทษด้วย!”


แต่พอกู้ซีจิ่วถามประโยคนี้จบก็เข้าใจขึ้นมาทันที เธอเคยขายชีวิตให้กลุ่มตระกูเย่ ทราบว่าสามีภรรยาสกุลเย่ใช้ชีวิตทั้งด้านมือและด้านสว่าง แถมยังใจดำอำมหิตกับผู้อื่นยิ่งนัก ขัดเคืองเล็กน้อยก็ต้องเอาคืน และไม่เคยไว้ชีวิตใคร


ถ้าตอนนั้นหลงซีพูดความจริงออกไป กู้ซีจิ่วอาจถูกรับตัวกลับไป ใช้ชีวิตเป็นคุณหนูใหญ่ที่เธอสมควรได้รับ แต่หลงซีรวมถึงนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องคนนั้น ตลอดจน ‘เย่หงเฟิง’ ร่างโคลนนิ่งคนนั้น จะไม่รอดชีวิตสักราย


แม้กระทั่งนักวิทยาศาสตร์ทุกคนที่เข้าร่วมการวิจัยในปีนั้นก็จะถูกลอบสังหารทั้งสิ้น!


นั้นเป็นชีวิตคนหลายสิบชีวิต…


ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายในการพูดความจริงนั้นมากเกินไป มากจนหลงซีในเวลานั้นรับผิดชอบไม่ไหว ดังนั้นต่อให้เขาสำนึกผิดก็ทำได้เพียงเลือกให้เรื่องที่ผิดพลาดไปแล้วผิดพลาดต่อไป…


กู้ซีจิ่วเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้เรื่องที่ผิดพลาดไปแล้วผิดพลาดต่อไป แต่เธอยังไม่เข้าใจอยู่ข้อหนึ่ง…


บทที่ 667 ความจริงในปีนั้น


กู้ซีจิ่วเข้าใจได้ว่าทำไมเขาถึงปล่อยให้เรื่องที่ผิดพลาดไปแล้วผิดพลาดต่อไป แต่เธอยังไม่เข้าใจอยู่ข้อหนึ่ง “หลงซือเย่ ในเมื่อตอนนั้นคุณรักฉัน ถ้างั้นต่อให้คุณมีความลำบากไม่อาจพุดความจริงออกมาได้ แต่ก็ไม่ควรจะทำร้ายฉันต่อไม่ใช่เหรอ? แต่คุณกลับวางยาสลบฉันเพื่อควักหัวใจไปให้ ‘เย่หงเฟิง’! นี่คือความสำนึกผิดของคุณเหรอ? นี่คือความรักของคุณเหรอ?”


หลงซือเย่หลับตาลงเล็กน้อย “เป็นเพราะมนุษย์โคลนนิ่งคนนั้นค้นพบการมีอยู่ของเธอ!”


กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วขึ้นสูง “หือ?”


“มนุษย์โคลนนิ่งคนนั้นตั้งแต่เล็กเรียกลมได้ลม เรียกฝนได้ฝน แต่ไม่เคยรู้ถึงการมีอยู่ของเธอเลย เรื่องที่เธออยู่ในค่ายฝึกนักฆ่ามีแค่สามีภรรยาสกุลเย่กับตัวฉันรวมถึงนักวิทยาศาสตร์คนนั้นที่รู้ และการที่ฉันดูแลเธอก็ถูกพวกเขาเข้าใจว่าเป็นการคุ้มครอง ‘ร่างโคลนนิ่ง’ ตามเหตุผลที่สมควร ตอนนั้นฉันไม่กล้าให้พวกเขารู้ว่าฉันมีความรู้สึกที่แท้จริงต่อเธอ ดังนั้นเลยทำเป็นกึ่งอบอุ่นกึ่งเย็นชากับเธอมาตลอด ไม่กล้าเข้าใกล้เธอมากเกินไป ต่อมาเธอเรียนรู้จนออกไปปฏิบัติภารกิจได้ ก็มีชื่อเสียงขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์โคลนนิ่งคนนั้นเลยรู้เรื่องเธอ จากนั้นก็แอบจับตามองเธอ และต่อมาก็หล่อนก็ทราบฐานะของเธอผ่านลู่ทางของหล่อนเอง และรู้ถึงความรู้สึกที่ฉันมีต่อเธอ…”


หลงซือเย่นิ่งไปอีกครู่หนึ่ง ค่อยกล่าวต่อ “หล่อนไม่อยากให้เธอมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ คิดว่าเธอเป็นร่างโคลนนิ่งของหล่อน หล่อนมีสิทธิ์กำหนดความเป็นความตายของเธอ เธอก็รู้ว่าสามีภรรยาสกุลเย่รักใคร่หล่อนที่สุด ส่วนใหญ่หล่อนพูดอะไรก็เป็นไปตามนั้น ดังนั้นสามีภรรยาสกุลเย่เลยคิดจะฆ่าเธอทิ้ง”


ดวงตาของหลงซือเย่มีแววปวดร้าวพาดผ่านแวบหนึ่ง “แน่นอนว่าฉันไม่ต้องการให้พวกเขาทำสำเร็จ แต่ฉันเป็นคนไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไร ถ้าหากฉันดื้อดึงขัดขวางก็คงขวางไม่อยู่ ดังนั้นฉันเลยใช้แผนถ่วงเวลา บอกว่าหัวใจลูกสาวของพวกเขาอาจจะมีปัญหาบางอย่าง ไม่แน่ในอนาคตอาจต้องเปลี่ยนถ่ายหัวใจ ดังนั้นจำเป็นต้องให้เธอมีชีวิตต่อ!”


“สามีภรรยาสกุลเย่ไม่ใช่คนที่จะถูกหลอกได้ง่ายๆ พวกเขาสั่งคนให้ตรวจสอบระบบหัวใจของมนุษย์โคลนนิ่งคนนั้น เธอก็รู้ด้วยความสามารถของฉัน คิดจะทำให้หัวใจของหล่อนปรากฏอาการอัตราหัวใจเต้นผิดปกติน่ะง่ายดายมาก ดังนั้นผลการตรวจสอบจึงเหมือนกับที่ฉันพูดทุกอย่าง ในที่สุดสามีภรรยาสกุลเย่ก็หยุดความคิดที่จะฆ่าเธอทิ้งชั่วคราว และฉันก็รู้ว่าในเมื่อพวกเขามีความคิดนี้แล้ว ย่อมต้องลงมือในอีกไม่ช้าก็เร็ว แถมพวกเขายังดัดแปลงร่างกายของมนุษย์โคลนนิ่งคนนั้น ทำสัญลักษณ์พิเศษที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง ทำให้คนอื่นปลอมแปลงไม่ได้ ดังนั้นถ้าอยากให้เธอมีชีวิตต่อไป ก็ต้องให้เอใช้ร่างกายของหล่อน ฉันเลยแอบค้นคว้าวิชาเปลี่ยนวิญญาณแบบลับๆ…”


กู้ซีจิ่วตะลึงไปครู่หนึ่ง คิ้วขมวดมุ่น “วิชาเปลี่ยนวิญญาณ?”


หลงซือเย่พยักหน้านิดๆ “ใช่แล้ว! ฉันรู้จักปรมาจารย์ไสยเวทย์คนหนึ่ง เขาเป็นวิชาเปลี่ยนวิญญาณ สามารถเปลี่ยนถ่ายวิญญาณจากคนหนึ่งไปไว้ในร่างของอีกคนได้ ทำให้ทั้งสองคนสลับร่างกัน นี่คือวิชาลับที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของเขา ไม่ถ่ายทอดให้คนนอก ต่อให้ฉันเป็นเพื่อนของเขา เขาก็ไม่อาจละเมิดคำสอนข้อนี้ของบรรพชนได้ ทำได้เพียงอธิบายหลักการบางส่วนให้ฉัน ดังนั้นฉันใช้เวลาหนึ่งปีถึงได้เข้าใจศาสตร์แขนงนี้อย่างสมบูรณ์ทะลุปรุโปร่ง ต่อมาในที่สุดฉันก็ค้นคว้าได้สำเร็จ ในระหว่างนี้ ฉันต้องทำให้สามีภรรยาสกุลเย่ไว้วางใจ ให้พวกเขาคลายความสงสัยในตัวฉัน ก็เลยหมั้นกับมนุษย์โคลนนิ่งคนนั้น…”


“หลังจากคิดค้นวิชาเปลี่ยนวิญญาณสำเร็จ ฉันก็เริ่มเตรียมการสำหรับเตรียมเปลี่ยนวิญญาณให้เธอกับมนุษย์โคลนนิ่งคนนั้น วิชาเปลี่ยนวิญญาณต้องทำโดยใช้วิธีเปลี่ยนถ่ายหัวใจ และต้องได้รับความยินยอมจากมนุษย์โคลนนิ่งคนนั้นด้วย ดังนั้นฉันเลยทำให้หัวใจของมนุษย์โคลนนิ่งคนนั้นเกดปัญหาขึ้นมาจริงๆ มีแต่ต้องเปลี่ยนถ่ายหัวใจเท่านั้นถึงจะมีชีวิตต่อได้ จากนั้นก็เกิดเหตุการณ์ผ่าตัดหัวใจฉากนั้นขึ้น…”


เดิมทีแผนการของเขาสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ ขอเพียงการผ่าตัดนี้สำเร็จ วิญญาณของกู้ซีจิ่วก็ติดตามหัวใจของเธอไปฟื้นคืนชีพในร่างของ ‘เย่หงเฟิง’ พอถึงตอนนั้นเขาค่อยบอกความจริงต่อกู้ซีจิ่วอย่างลับๆ หลังจากเธอฟื้นจะได้ไม่ถึงกับเผยพิรุธออกมา จากนั้นเขาค่อยแต่งงานกับเธอ แล้วพาเธอจากไปให้ไกล


————————————————————————————-


บทที่ 668 ความจริงในปีนั้น 2


ส่วนวิญญาณของของ ‘มนุษย์โคลนนิ่ง’ คนนั้นก็จะไปอยู่ในร่างของ ‘กู้ซีจิ่ว’


และความต้องการของสามีภรรยาสกุลกู้ก็คือ หลังจากเปลี่ยนถ่ายหัวใจแล้วกู้ซีจิ่วต้องไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป ดังนั้นกู้ซีจิ่วที่เป็นนักฆ่าจะตายจากไปอย่างสมบูรณ์ วิญญาณของมนุษย์โคลนนิ่งคนนั้นก้ฟื้นคืนชีพไม่ได้อีก…


แผนการนี้สมบูรณ์แบบมาก ใครจะรู้ว่าร่างกายของกู้ซีจิ่วมีความพิเศษ ต่อต้านยาสลบได้ ฟื้นขึ้นมาก่อนถึงเวลา การแทงเขาไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่เธอกลับแทงทะลุหัวใจตัวเอง ทำให้แผนการทั้งหมดของหลงซีพังทลาย…


ทุกสิ่งอย่างคลี่คลายกระจ่างชัด ภายในห้องเงียบมาก เงียบจนได้เพียงยินเสียงเคี้ยวของเจ้าหอยยักษ์ เรื่องนี้พิสดารและซับซ้อนเกินไป สมองกู้ซีจิ่วสับสนวุ่นวายไปชั่วขณะ บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร หากเรื่องนี้เป็นความจริง นับว่าหลงซีในตอนนั้นไม่น่าจะติดค้างอะไรเธอจริงๆ เป็นเพียงชะตาลิขิตเท่านั้น


หากว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาเตรียมไว้หลอกลวงเธอ…


เช่นนั้นจุดประสงค์ของเขาคืออะไร?


สายตาเธอจับจ้องหยกประดับสีแดงรูปใบเฟิงที่ห้อยอยู่ตรงบั้นเอวเขา “พู่หยกอันนี้ของคุณคือ?”


หยกประดับชิ้นนั้นไม่ใหญ่ ขนาดเท่าเหรียญกษาปณ์อันหนึ่ง แต่คุณภาพยอดเยี่ยมโดยแท้ ส่องประกายอยู่ภายใต้แสงไข่มุก


“ความจริงแล้วหยกประดับชิ้นนี้เป็นของเธอ” หลงซือเย่เอ่ยขึ้น


“หือ?” คิ้วกู้ซีจิ่วเลิกขึ้นสูง


“เคยอ่านความฝันในหอแดงใช่ไหม? เจียเป่าอวี้คาบหยกมาเกิด ส่วนเธอถือหยกมาเกิด เธอเกิดมาก็กุมหยกชิ้นนี้ไว้ในมือแล้ว ดังนั้นสามีภรรยาสกุลเย่ถึงตั้งชื่อให้เธอว่าเย่หงเฟิง เมื่อหยกประดับชิ้นนี้ห้อยอยู่บนคอเธอตลอด แต่ตอนที่ฉันสลับตัวเธอกับร่างโคลนนิ่ง ได้เอาหยกประดับชิ้นนี้ไปห้อยคอหล่อนแทน หล่อนเลยถูกอุ้มกลับไปในฐานะเย่หงเฟิง หล่อนสวมหยกประดับชิ้นนี้ไว้ตลอด จนกระทั่งวันผ่าตัดถึงได้ถอดออก ฝากไว้ที่ฉัน นึกไม่ถึงเลยว่าเมื่อวิญญาณฉันทะลุมิติมา สิ่งนี้จะติดมาด้วย ตอนที่ฉันถือกำเนิดบนโลกนี้ ก็ถือมันไว้ในมือแล้ว ฉันมีความทรงจำของหลงซี ดังนั้นจึงเก็บรักษาหยกประดับชิ้นนี้ไว้อย่างดีมาตลอด ฉันคิดว่าในเมื่อหยกประดับชิ้นนี้ถูกฉันพามาที่โลกนี้ได้ คงเป็นชะตาที่ฟ้าลิขิต ไม่แน่เธออาจจะทะลุมิติมาด้วยเหมือนกัน ดังนั้นพอฉันมีอิสระ ก็เริ่มออกตามหาร่องรอยของเธอบนโลกนี้ ค้นหาอยู่ตลอดเป็นเวลาหนึ่งร้อยปี…”


ทุกอย่างที่เขาพูดฟังดูน่าเชื่อถือมาก กู้ซีจิ่วเม้นริมฝีปากนิดๆ ไม่รู้ว่าเชื่อหรือไม่ เธอก้มหน้าจิบน้ำอึกหนึ่ง ในเมื่อเขาเหมือนจะเล่าทุกสิ่งออกมาอย่างซื่อตรงเปิดเผย เช่นนั้นเธอก็น่าจะลองถามคำถามอีกหลายข้อที่ยังค้างคาอยู่ในใจได้


“คุณตายได้ยังไง? ใช่ตอนที่ฉันฆ่าคุณหรือเปล่า?”


 หลงซือเย่ส่ายหน้า “หัวใจของฉันอยู่ด้านขวา มีดนั้นของเธอแทงไม่โดนหัวใจฉัน ต่อมามองเธอตายไปฉัน…ฉันก็ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว เลยฆ่าตัวตายทันที”


ตอนนั้นหัวใจของเขาอยู่ด้านขวาจริงๆ น่ะหรือ?!


บางทีอาจเป็นเพราะมองความคลางแคลงในแววตากู้ซีจิ่วออก หลงซือเย่จึงดึงมือเธอมาทาบตรงอกขวาของตนทันที “เธอลองพิสูจน์ด้วยตัวเองได้”


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก หัวใจดวงหนึ่งเต้นอย่างหนักแน่นอยู่ภายใต้ฝ่ามือจริงๆ


แต่การที่ชาตินี้หัวใจเขาอยู่ทางขวา ไม่แปลว่าชาติก่อนหัวใจเขาก็อยู่ทางขวาด้วยนี่? ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงเก็บข้อสงสัยนี้ไว้ก่อนชั่วคราว


“ในเมื่อคุณฆ่าตัวตาย งั้นเวลาตายของคุณก็น่าจะไล่เลี่ยกับฉันไม่ใช่เหรอ? แล้วทำไมระยะเวลาตอนที่พวกเราข้ามมายังโลกนี้ถึงห่างกันมากขนาดนี้ล่ะ? คุณมาถึงโลกนี้เมื่อร้อยกว่าปีก่อน แต่ฉันเพิ่งมาถึงได้ปีเดียวเท่านั้น…”


“เด็กโง่ ตายพร้อมกันไม่จำเป็นต้องเกิดพร้อมกันสักหน่อย ก็เหมือนพวกนิยายทะลุมิติในยุคปัจจุบันนั่นแหละ ต่อให้เป็นพี่น้องที่ทะลุมิติมาพร้อมกันก็ยังไม่แน่ว่าจะทะลุไปยุคสมัยเดียวกัน”


บทที่ 669 ซีจิ่ว เธอไม่เชื่อฉันเหรอ?


“ไม่แน่ว่าคนหนึ่งอาจทะลุไปยุคราชวงศ์ชิง อีกคนอาจทะลุไปยุคราชวงศ์หมิง ราชวงศ์หมิงมาก่อนราชวงศ์ชิง คนที่ทะลุมิติไปยุคราชวงศ์หมิงอาจกลายเป็นบรรพบุรุษของคนที่ทะลุไปยุคราชวงศ์ชิงก็ได้…พวกเราอย่างน้อยก็ทะลุมิติมายุคเดียวกัน ถึงแม้จะห่างกันหนึ่งร้อยปี แต่สุดท้ายก็ยังได้เจอกัน ซีจิ่ว ตอนที่รู้ว่าเธอคือคนที่ฉันตามหา ฉันดีใจมากจนแทบเป็นบ้าเลย เธอไม่รู้หรอกว่าตอนนั้นฉันตื่นเต้นมากแค่ไหน…”


หลงซือเย่ยื่นมือมา วางทับมือน้อยๆ ของเธอไว้ “ซีจิ่ว ฟ้าลิขิตให้เธอกับฉันได้เจอในชาตินี้ บางทีนี่อาจเป็นเพราะสวรรค์เบื้องบนรับรู้ถึงความจริงใจของฉัน…”


กู้ซีจิ่วชักมือกลับมา ไม่ใช่ว่าเธอไม่รู้สึกสะเทือนใจ ไม่ใช่ว่าในใจไม่เกิดระลอกคลื่น แต่ถึงอย่างไรบาดแผลที่เคยได้รับก็สาหัสมาก เธอรู้สึกว่าตัวเองหาความรู้สึกไม่เจอไปชั่วขณะ…


การเคลื่อนไหวที่แสนซื่อตรงยิ่งนักของเธอทำให้นัยน์ตาหลงซือเย่หม่นหมอง มือของเขาแข็งทื่ออยู่ตรงนั้น “ซีจิ่ว เธอไม่เชื่อฉันเหรอ?”


กู้ซีจิ่วส่ายหัว ข่าวที่เธอได้รับในคืนนี้มากมายเกินไป เธอต้องย่อยข้อมูลก่อนแล้วค่อยพูด


เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง พลันเอ่ยขึ้นมา “หลายปีมานี้คุณตาหาฉันมาตลอดเหรอ? แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าฉันจะมาที่นี่ด้วย? ยังไงซะอัตราความเป็นไปได้เรื่องการทะลุมิติก็มีน้อยมาก…”


“หยกประดับของเธอยังติดตัวฉันมาได้เลย แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าเธอจะไม่มาที่นี่ด้วยเหมือนกัน?” น้ำเสียงหลงซือเย่ราบเรียบและแผ่วเบา “ฉันก็เลยเสี่ยงดวงดู! ฉันสังหรณ์อยู่ตลอดว่าเธอต้องมาแน่!”


ลางสังหรณ์ของเขาแม่นยำจริงๆ! เพียงแต่ไม่รู้ว่าจริงหรือหลอก…


ดูเหมือนกู้ซีจิ่วจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “แล้วกู่ซีซีลูกศิษย์ของคุณล่ะ?”


หลงซือเย่ถอนหายใจ “เมื่อก่อนฉันตามหาเธออยู่ตลอด แต่ผู้คนมากมายดั่งมหาสมุทร คิดจะตามหาตัวๆ หนึ่งจะง่ายดายได้ยังไง? โดยเฉพาะคนที่กลับมาชาติมาเกิดใหม่ แม้แต่รูปร่างหน้าต่างก็ไม่แน่ว่าจะเหมือนเดิม ตอนที่เห็นกู่ซีซีครั้งแรก นางเป็นเด็กแปดขวบคนหนึ่ง หน้าตาคล้ายเธอมาก แถมยังบังเอิญมาก ชื่อของนางก็เรียกว่ากู่ซีจิ่วเหมือนกัน ออกเสียงเหมือนเธอแต่เป็นอักษรคนละตัวกัน นางมีนิสัยเยือกเย็นและคล้ายกับเธออยู่หลายส่วน ด้านวิชาแพทย์ก็มีไหวพริบมากเหมือนกัน แน่นอน นางไม่มีความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับเธอ ฉันนึกว่านางคือเธอ ฉันนึกว่าในที่สุดสวรรค์ก็มีตาแล้ว ให้ฉันหาเธอพบอีกครั้ง ด้วยเหตุนี้จึงรับนางเป็นศิษย์ ถ่ายทอดวิชาแพทย์ให้นาง คิดว่าต่อให้เธอลืมฉันไปแล้วก็ไม่เป็นไร ขอเพียงให้ฉันได้พบอีกครั้ง ได้เริ่มต้นใหม่อีกครั้งก็พอ”


กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไร เธอก้มหน้าจิบชาอึกหนึ่ง “ถ้างั้น…ทำไมคุณถึงพบว่านางไม่ใช่ฉัน?”


หลงซือเย่ถอนหายใจอีกครั้ง “ความจริงก็สังหรณ์ใจมานานแล้วว่านางไม่ใช่ เพื่องจากพอค่อยๆ โตขึ้น ก็พบว่าความจริงแล้วนิสัยของนางต่างกับเธอลิบลับ นอกจากนิสัยเยือกเย็นที่คล้ายเธออยู่บ้าง อย่างอื่นก็ไม่เหมือนกันเลยสักนิด ท้ายที่สุดแล้วในตอนนั้นเป็นฉันที่ตามหาจนหน้ามืดตามัว โกหกตัวเอง ว่าอาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมแตกต่างกันเลยทำให้ตัวคนแตกต่างไป ดังนั้นถึงนางจะต่างกับเธอมากแค่ไหน ลึกๆ ในใจฉัน ก็ยังปิดหูปิดตาหลอกตัวเองอยู่ กลัวว่าตัวเองจะต้องสิ้นหวังอีกครั้ง เลยหลอกตัวเองมาตลอด ไม่กล้าเผชิญหน้า ไม่กล้าพิสูจน์ จนกระทั่งนางอายุได้สิบสองปี ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีก็มาเยี่ยมเยือน…”


ทันทีที่ได้ยินนามนี้ กู้ซีจิ่วพลันแข็งทื่อไปเล็กน้อย เลิกคิ้วขึ้นพลางเอ่ยถาม “ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปหาคุณทำไม?”


หลงซือเย่ส่ายหัว ยิ้มขื่นๆ “คนๆ นี้ทำอะไรลึกลับซับซ้อนอยู่เสมอ ฉันกับเขาไม่ได้สนิทสนมกันลึกซึ้ง ถึงแม้จะเป็นสานุศิษย์สวรรค์เหมือนกัน แต่ฉันก็เข้ากับเขาไม่ได้ ปกติก็แทบจะไม่ได้ไปมาหาสู่อะไรกัน มีแค่ตอนที่สานุศิษย์สวรรค์ต้องร่วมประชุมถึงจะได้พบกันสักครั้ง แต่ก็เขาก็ไม่ได้พูดอะไร ดังนั้นการที่เขาเป็นฝ่ายมาเยี่ยมถึงหน้าประตูหนนั้นก็ทำให้ฉันประหลาดใจมาก เขามาหาฉันเพื่อร่ำสุรา คนๆ นี้ลูกไม้เยอะ ติดนิสัยวางแผนกลั่นแกล้งคนอื่น ดังนั้นฉันเลยระแวดระวังเขามากมาตลอด”


————————————————————————————-


บทที่ 670 ฉันรู้สึกคุณมีมาดของผู้นำจอมเผด็จการอยู่


“ดังนั้นฉันเลยระแวดระวังเขามากมาตลอด แต่ตอนอยู่บนโต๊ะสุราไม่รู้ว่าทำไม บางทีคงดื่มจนเมาแล้ว พอฉันเมาคงจะเผลอพุดความจริงออกไป ทำให้เขารู้เรื่องของฉัน หลังจากฉันสร่างเมา เขาก็บอกว่าจะช่วยฉันทดสอบว่าสรุปแล้วกู่ซีซีใช่คนที่ฉันตามหาหรือเปล่า…”


กู้ซีจิ่วนึกไม่ถึงว่าตอนนั้นจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นด้วย เธอทราบความสามารถของตี้ฝูอีดี วรยุทธ์ลึกล้ำจนมิอาจหยั่งได้ เป็นผู้นำสานุศิษย์สวรรค์…


หลงซือเย่พูดต่อว่า “เธอก็รู้ว่าตี้ฝูอีคนนี้ ถึงแม้ปกติกระทำการใดจะทำให้คนเดาไม่ออกอยู่บ้าง แต่ก็มีความสามารถจริงๆ โดยเฉพาะวิชาสืบวิญญาณยิ่งล้ำเลิศ ความจริงได้รับการยืนยัน กู่ซีซีไม่ใช่เธอจริงๆ…”


กู้ซีจิ่วไร้วาจาไปครู่หนึ่ง “ต่อมาคุณเลยเปลี่ยนชื่อให้นาง?”


หลงซือเย่นิ่งเงียบ มองดูเธอ “บนโลกนี้มีเธอคนเดียวที่คู่ควรจะใช้ชื่อนี้…” เขาเอ่ยออกมา


กู้ซีจิ่วนวดคลึงหว่างคิ้ว “หลงซี อันที่จริงคุณก็เปลี่ยนไปเหมือนกัน”


หลงซือเย่เลิกคิ้วขึ้น “หือ?”


“ตอนที่คุณเป็นหลงซีจะเป็นแค่หมอและครูฝึกที่สูงส่งเย็นชาคนหนึ่ง แต่ตอนนี้…ฉันรู้สึกคุณมีมาดของผู้นำจอมเผด็จการอยู่”


หลงซือเย่พูดไม่ออก


สถานการณ์ไม่เหมือนเดิมความสามรถไม่เหมือนเดิมย่อมทำให้บุคลิกคนไม่เหมือนเดิม ความเปลี่ยนแปลงของเขาย่อมเป็นไปตามหลักเหตุผล


ดูเหมือนเธอจะนึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “แล้วร่างในโลงน้ำแข็งที่อยู่ในตำหนักน้ำแข็งของคุณล่ะ?”


“ฉันโคลนนิ่งขึ้นมา” หลงซือเย่ก็ไม่ปิดบังเธออีก “บนหยกประดับชิ้นนั้นมีเซลล์พันธุกรรมของเธออยู่ ดังนั้นฉันเลยโคลนนิ่งเธอออกมาหนึ่งคน ฉันกลัวว่าถ้าเอาออกมาจะเกิดข้อผิดพลาดถูกวิญญาณอื่นยึดครองร่าง ก็เลยแยกร่างนั้นจากโลกภายนอก ไม่เคยยอมให้ดวงวิญญาณอื่นได้เฉียดใกล้ ตอนนั้นฉันศึกษาวิชาคืนวิญญาณของโลกใบนนี้ด้วย คิดว่าจะใช้วิชานี้เรียกเธอกลับมา แน่นอน ถึงอย่างไรโลกนี้ก็ไม่เหมือนกับยุคนั้นของพวกเรา สิ่งอำนวยความสะดวกไม่ครบครัน โชคดีที่มีวิชาคาถา ขอเพียงเตรียมวัตถุดิบบางอย่างให้เรียบร้อย ก็ยังมีหนทางที่จะทำได้…“


กู้ซีจิ่วนิ่งเงียบ ดูเหมือนทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคลี่คลายแล้ว ปมบนร่างของหลงซือเย่เธอล้วนได้รับคำตอบมาทีละข้อแล้ว


ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ได้ติดค้างเธอเลย เพียงแต่วิธีที่ใช้ทั้งหมดพิสดารเหนือความคาดหมายไปหน่อยก็เท่านั้น…


แน่นอน สิ่งเหล่านี้อยู่ภายใต้กรณีที่ว่าทุกอย่างเขาพูดมาเป็นความจริง


“ซีจิ่ว เธอเชื่อฉันไหม?” หลงซือเย่มองเธอ


เชื่อไหมน่ะหรือ? กู้วีจิ่วไม่มีคำตอบ เนื่องจากตอนนี้ความคิดเธอค่อนข้างสับสนวุ่นวาย ตนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าเชื่อหรือไม่เชื่อ


ในความเป็นจริงเรื่องราวบางอย่างหากได้ผ่านการตรวจทานอย่างจริงจังแล้ว ผู้คนถึงจะเชื่อว่านี่คือความจริง


แต่ถ้าทุกอย่างถูกกล่าวด้วยตัวคนเพียงคนเดียว เช่นนั้นความน่าเชื่อถือก็จะลดทอนลง


โดยเฉพาะคนอย่างกู้ซีจิ่ว ที่ไม่เชื่อใครง่ายๆ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องตรวจสอบให้ประจักษ์ชัดแจ้งถึงจะเลือกเชื่อ


ชาติก่อนเธอไม่เคยคิดระแวงหลงซีเลย เมื่อก่อนเขาว่าอย่างไรเธอก็เชื่ออย่างนั้น มอบความไว้เนื้อเชื่อใจให้เขาเพียงผู้เดียว เพียงแต่…


ตอนนี้เธอไม่อาจเชื่อใจเขาได้อีกต่อไป ต่อให้ในใจรู้สึกว่าสิ่งที่เขาพูดมาคือความจริง แต่จิตใจสำนึกก็ยังคงปฏิเสธอยู่ดี…


ความเชื่อใจที่สูญสิ้นไป คิดจะสร้างขึ้นมาใหม่เกรงว่าคงต้องใช้ความพยายามมากกว่าแต่ก่อนเป็นร้อยเท่าพันเท่า อย่างไรเสียหลงซือเย่ก็เคยศึกษาจิตวิทยา ดังนั้นเขาจึงทราบข้อนี้เป็นอย่างดี ถึงแม้จะเศร้าหมองอยู่บ้าง แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของกู้ซีจิ่วก็เป็นไปตามที่เคาคาดเอาไว้


“ซีจิ่ว เธอไม่เชื่อฉันก็ไม่เป็นไร ต่อไปพวกเรา…”


“เจ้านายข้าเชื่อเจ้านะ!” เจ้าหอยยักษ์ที่อยู่ด้านข้างจัดการอาหารทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้ามันเสร็จแล้ว ตอนนี้จานชามที่อยู่ทางด้านนั้นสะอาดยิ่งกว่าเลียเสียอีก


….


เอาล่ะ ความเข้าใจผิดมหันต์ระหว่างนายหญิงกับหลงซือเย่ถ้าสามารถคลี่คลายให้กระจ่างที่นี่ได้ นายหญิงก็ไม่ต้องเดียวดายในเทศกาลความรักแล้ว…


บทที่ 671 สรุปเจ้าเป็นหอยหรือเป็นหมูกันแน่?


บัดนี้คืบคลานมายังด้านนี้ มองดูอาหารหลายอย่างบนโต๊ะที่ยังไม่พร่องเลย กลืนน้ำลายอยู่อึกๆ “ข้าก็เจ้าเหมือนกัน!” พลางค่อยๆ ยกขาหมูจานหนึ่งใส่ปาก…


กู้ซีจิ่วอับจนวาจา ลากมันมาทันที “สรุปเจ้าเป็นหอยหรือเป็นหมูกันแน่?”


เนื่องจากเจ้าหอยยักษ์เข้ามาแทรกด้วยท่าทางน่าขบขัน บรรยากาศลึกซึ้งที่เมื่อครู่อบอวลอยู่ระหว่างคนทั้งสองจึงสลายหายไปในที่สุด


หลงซือเย่ก็ทราบว่าเรื่องนี้จะรีบร้อนไม่ได้ เลยไม่ไล่ต้อนเธออีก ประจวบกับด้านนอกมีดอกไม้ไฟดอกหนึ่งพุ่งขึ้นมา จากนั้นดอกไม้ไฟขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นมาเรื่อยๆ มีเสียงไชโยโห่ร้องแว่วมาจากด้านล่าง


หลงซือเย่ลุกขึ้น พลางจับมือเธอไว้ “มาเถอะ ฉันจะพาเธอไปดูดอกไม้ไฟ!”


วรยุทธ์เขาสูงส่ง กระตุกวูบเดียว เขากับกู้ซีจิ่วก็ออกมาทางหน้าต่างแล้ว ร่อนลงไปรวมกับฝูงชนบนถนนใหญ่


เจ้าหอยยักษ์ก็อยากตามไปมากเช่นกัน แต่มันทิ้งอาหารเลิศรสที่ว่างอยู่เต็มโต๊ะไปไม่ลง


พะว้าพะวงอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจว่าจะกินให้อิ่มแล้วค่อยไปดู อย่างไรเสียมันก็ผูกพันธโลหิตกับเจ้านายแล้ว จึงติดต่อกันค่อนข้างสะดวก


มันไม่เพียงแต่รั้งอยู่เองเท่านั้น แม้แต่ลู่อู๋น้อยมันก็รั้งไว้ด้วย ลู่อู๋น้อยไม่สนใจอาหารเลิศรส แต่มันชมชอบความแปลกใหม่ การตกแต่งบางอย่างภายในอาคารหลังนี้ดึงดูดความสนใจของมันมาก ดังนั้นตอนที่เจ้าหอยยักษ์เริ่มกินเมื่อครู่ มันก็มุดเข้ามุดออกชั้นบน อุ้งเท้าน้อยๆ สัมผัสที่นี่ สะกิดที่นั่น


ต่อมาเมื่อเห็นว่าเจ้านายหายไป มันก็อยากตามไปเหมือนกัน เจ้าหอยยักษ์รู้สึกว่าการที่ตนอยู่ที่นี่จะถูกมองว่าไม่สนใจเจ้านายได้ง่ายมาก จะต้องหาเพื่อนร่วมรับโทษอีกตัวหนึ่ง


ดังนั้นมันจึงพ่นมุกใหญ่เม็ดหนึ่งออกมาดึงดูดความสนใจของลู่อู๋น้อย หลอกมันว่านี่คือแก่นพลัง ถ้าสัมผัสลูบคลำ หรือเล่นมันจะช่วยเพิ่มพลังวิญญาณได้ ด้วยเหตุนี้ลู่อู๋น้อยเลยเล่นไข่มุกอยู่ที่นั่น


….


บนถนนใหญ่มีผู้คนมากมาย สามารถใช้คำว่าเบียดเสียดยัดเยียดมาบรรยายได้


เดิมทีหลงซือเย่คิดจะเดินจูงมือเธอ แต่เห็นได้ชัดว่ากู้ซีจิ่วไม่ชิน เธอเลยชักมือกลับ


หลงซือเย่ในยามนี้ย่อมไม่กล้าบังคบัฝืนใจเธอ เพียงแย้มยิ้ม “คนยเอะขนาดนี้ เธออาจพลัดหลงได้ ถ้างั้น ให้เธอจับแขนเสื้อไว้ดีไหม?”


กู้ซีจิ่วร้องชิคราหนึ่ง “คุณเห็นฉันเป็นเด็กหรือไง? ถึงต้องจับแขนเสื้อคนอื่นไว้…” พูดถึงตรงนี้จู่ๆ ก็ชะงักไป


ชาติก่อนเวลาที่เธอเดินเที่ยวงานเทศกาลกับเขา เธอจะหาข้ออ้างจับมือเขาเสมอ


เขาจะหัวเราะเธอ ขบขันที่เธอเหมือนเด็กน้อย ทว่าเธอกลับกล่าวอย่างเป็นจริงเป็นจัง ‘คนเยอะขนาดนี้ เดี๋ยวคุณก็ทำฉันหายหรอก! ถ้าไม่อยากให้มือ งั้นแขนเสื้อก็พอโอเคไหม?’


เห็นได้ชัดว่าหลงซือเย่ก็นึกถึงช่วงเวลานั้นเหมือนกัน เขามองกู้ซีจิ่ว ดวงตาส่องประกายไหวระริก “ซีจิ่ว ฉันไม่อยากทำเธอหายอีกแล้ว!”


กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกชั่วขณะ เธอกระแอมไอเล็กน้อย เอ่ยขึ้นว่า “ไปกันเถอะ! อย่าฟุ้งซ่านเลย” พลางก้าวนำไปก่อน


เมื่อก่อนหลงซีจะหัวเราะเบาๆ อยู่เสมอ ไม่เคยแสดงออกกับเธออย่างชัดเจน เมื่อก่อนเขาไม่เคยพูดคำหวานเลย พอพูดออกมากลับทำให้คนตะลึง


ทั้งสองคนเดินไปตามถนน ระหว่างนี้กู้ซีจิ่วถึงพบว่าเจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อยของบ้านตนไม่อยู่ เมื่อนึกถึงท่าทางและความสามารถของเจ้าตะกละตัวนั้น เธอก็เดาได้ว่ามันคงจะตัดใจจากอาหารโต๊ะนั้นไม่ลง…


ตอนนี้น่าจะสวาปามเป็นการใหญ่ ใครมาลากก็ลากไม่ไป


เนื่องจากพวกเจ้าหอยยักษ์มักจะเข้าไปล่าสัตว์ที่ด้านหลังหุบเขาด้วยตัวเองอยู่บ่อยๆ บางครั้งก็หายไปเป็นวันๆ ดังนั้นกู้ซีจิ่วเลยไม่เก็บมาใส่ใจ


อันที่จริงในใจเธอก็ค่อนข้างใจหายอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เธอยังอยู่เพียงลำพังในเทศกาลความรักอยู่เลย นึกไม่ถึงว่าจะมีคนมาอยู่ข้างกายอย่างรวดเร็วปานนี้…


สำหรับคำพูดเหล่านั้นของหลงซือเย่ ตามสติด้านความเป็นเหตุเป็นผลเธอเชื่อไปแล้วแปดส่วน เหลือเพียงจิตใจสำนึกเท่านั้นที่ยังคงต่อต้านอยู่บ้าง


ชาติก่อนเธอชอบเขาถึงเพียงนั้น หมายมั่นปั้นมือจะแต่งงานกับเขา ชาตินนี้ในเมื่อความเข้าใจผิดคลี่คลายแล้ว ต้องยอมรับว่าเป็นไปได้ที่เธออาจกลับไปชอบเขาอีกครั้ง ไม่แน่ภายภาคหน้าเธออาจแต่งกับเขาแล้วกลายเป็นคู่รักหวานชื่นจริงๆก็ได้


ยากนักที่จะได้พบคนที่ทะลุมิติมาเหมือนกัน เดิมก็ควรจะสนิทสนมคุ้นเคยกัน แถมชาติก่อนทั้งสองคนยังมีความสัมพันธ์แบบคนรักกันด้วย ความสัมพันธ์ในตอนนี้ก็น่าจะก้าวไปอีกขั้นแล้ว


————————————————————————————-


บทที่ 672 คุณถูกคุณยายฉยงเหยาสิงร่างเหรอ?


เป็นคู่รักที่จูงมือกันท่องไปทั่วหล้าก็เป็นเรื่องราวอย่างหนึ่งที่ทำให้ใจคนหวั่นไหวได้…


ดังนั้นกู้ซีจิ่วจึงรู้สึกว่าควรจะให้โอกาสหลงซือเย่สักครั้ง และให้โอกาสตัวเองสักครั้ง ชดเชยความเสียใจในชาติก่อน


แน่นอน ความจริงเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่หลงซือเย่พูดออกมาเอง กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าพิสูจน์ให้กระจ่างแจ้งสมบูรณ์แล้วค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย


เมื่อนึกถึงยามที่เป็นคู่รักหวานชื่น ก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เงาร่างตี้ฝูอีถึงแวบเข้ามาในสมองเธอ ในใจคล้ายจะวูบโหวงเล็กน้อย แต่ก็กลับสู่สภาพปกติทันที


เธอยิ้มออกมาแวบหนึ่ง คนผู้นั้นไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเธอแล้ว อย่างมาก…อย่างมากเขาก็แค่เคยพัวพันกับเธอ จนเกือบได้หมั้ยหมายกันเท่านั้น


ดังนั้นที่จู่ๆ เธอนึกถึงเขาขึ้นมาในยามนี้ น่าจะเป็นมีสาเหตุเพราะเขาเคยพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าเธอเป็นคู่หมั้นของเขา ก่อให้เกิดเงามืดในใจเธอ


….


ดอกไม้ไฟเหนือศีรษะถูกจุดตามลำดับ ฝูงชนที่อยู่รอบข้างล้วนโห่ร้องชื่นชม


ถึงแม้ชาติก่อนทั้งสองคนจะมีโอกาสชมดอกไม้ไฟด้วยกันเช่นนี้บ้างแต่ก็น้อยครั้งมาก ยามนี้เมื่อมีโอกาสแบบนี้แล้ว หลงซือเย่ย่อมทะนุถนอมอย่างยิ่ง


เขาไม่บีบคั้นเธออีก และไม่ได้ดึงดันจะจับมือเธอ เขาค่อยเป็นค่อยไป


หลังชมดอกไม้ไฟเสร็จก็ไปชมการกายกรรมต่อ


ทั้งสองคนอยู่ท่ามกลางฝูงชนขวักไขว่ ถึงแม้ไม่ได้จับมือกัน แต่สุดท้ายแล้วหลงซือเย่ก็ตามติดเธอไม่ห่าง ขอเพียงเธอหันหน้าไปก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาของเขาเสมอ ภายใต้แสงดาวใบหน้าเขาราวกับหยกชั้นเลิศ งดงามยิ่งนัก โดยเฉพาะยามที่มุมปากฉาบด้วยรอยยิ้ม เสมือนมีบุปผามากมายทยอยเบ่งบานอยู่กลางอากาศ


คนผู้นี้เติบโตมางดงามโดยแท้ สามารถใช้คำว่าสั่นสะเทือนวิญญาณมาบรรยายได้ เมื่อก่อนยามอยู่ต่อหน้าผู้คนเขาจะสวมหน้ากากไว้ ทว่าหนนี้เขาเผยใบหน้าที่แท้จริงตลอด ดึงดูดสายตานับไม่ถ้วน ไม่ว่าเดินไปทางไหนล้วนกลายเป็นเป้าสายตาของฝูงชน


กู้ซีจิ่วแต่งกายเป็นบุรุษ ซ้ำยังแปลงโฉมด้วย เดิมทีรูปลักษณ์บัณทิตหนุ่มที่เธอแปลงโฉมมาก็หล่อเหลามากแล้ว แต่พอมายืนรวมกับหลงซือเย่ เธอก็กลายเป็นตัวประกอบไปโดยปริยาย


บุรุษสองคนมาชมดอกไม้ไฟด้วยกันในวันเทศกาลเช่นนี้ แถมบุรุษที่หล่อเหลาคมคายผู้นั้นยังดูแลเอาใจใส่บุรุษร่างเล็กผู้นั้นเป็นพิเศษด้วย แบบนี้มองยังไงก็เหมือนคู่ต้วนซิ่วคู่หนึ่ง…


ดังนั้นสายตาที่คนรอบข้างมองพวกกู้ซีจิ่วทั้งสองจึงค่อนข้างลุ่มลึกอยู่บ้าง ตอนแรกกู้ซีจิ่วก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร เธอแค่รู้สึกว่ามีคนเหลียวมองมาทางตนมากผิดปกติ


ด้วยเหตุนี้เธอเลยเอ่ยถามหลงซือเย่ที่อยู่ช้างกาย “ทำไมคราวนี้คุณไม่ใส่หน้ากาก?”


หลงซือเย่ยิ้มน้อยๆ “ต่อไปนี้ฉันจะไม่ใส่หน้ากากทุกครั้งที่อยู่กับเธอ ให้เธอได้มองเห็นตัวตนที่แท้จริงของฉัน”


กู้ซีจิ่วตกตะลึง”…ครูฝึกหลง นี่คุณถูกคุณยายฉยงเหยา[1]สิงร่างเหรอ?”


หลงซือเย่ยิ้มอีกครั้ง เขาไม่พูดอะไร เพียงยกมือลูบหัวเธอ


ท่าทางเช่นนี้ชิดเชื้อเกินไปแล้ว! กู้ซีจิ่วก้าวขึ้นไปด้านหน้า หลบจากมือของเขา “อย่าขยับมือไม้วุ่นวาย!”


“พวกเขาเป็นคู่ต้วนซิ่วสินะ?” จู่ๆ ก็มีเสียงซุบซิบแว่วมาจากด้านข้างที่ห่างออกไปไม่ไกลนัก เป็นเสียงของหลานไว่หู…


กู้ซีจิ่วหันหน้าไปตามสัญชาตญาณ มองเห็นหลานไว่หูกับเยี่ยนเฉินกำลังยืนอยู่ไม่ไกล


หลานไว่หูถือถังหูลู่ไม้หนึ่งไว้ กำลังเอียงคอมองมาทางตน นางรู้สึกว่าเสียงตนเบามาก ทว่าเยี่ยนเฉินที่อยู่ข้างๆกลับปรารถนาจะอุดปากนางไว้ยิ่งนัก เขาทราบว่าคนที่อยู่ด้านนี้ได้ยินเข้าแล้ว


เขาเองก็ดูไม่ออกว่าเป็นกู้ซีจิ่วกับหลงซือเย่  ถึงอย่างไรหลงซือเย่ก็สวมหน้ากากยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่นมาเนิ่นนานปี…


เยี่ยนเฉินผงกศีรษะขอโทษขอโพยไปทางกู้ซีจิ่ว รีบลากหลานไว่หูจากไป ระหว่างทางเขายังอบรมนางด้วย “วรยุทธ์ของสองคนนั้นล้วนสูงส่ง เจ้าเสียงดังโวยวายเช่นนี้ผู้อื่นจะได้ยินเอาได้ อีกอย่างการนินทาว่าร้ายผู้อื่นก็ไม่ดี…ต่อไปไม่อนุญาตให้ทำเช่นนี้อีก”


————————————————————————————-


[1] ฉยงเหยา เป็นนักเขียนหญิงชื่อดังของจีน มีการใช้สำนวนภาษาโดดเด่นซาบซึ้ง องค์หญิงกำมะลอที่คนไทยคุ้นเคยกันดีก็เป็นบทประพันธ์ของเธอ


ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)