หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 664-669
บทที่ 664 ล่าชีวิต!
หวังเป่าเล่อเซถลาด้วยความอ่อนล้าจากการพยายามวิ่งเพื่อหนีออกจากบริเวณตัวกระบี่ ชายหนุ่มไม่สนใจแม้กระทั่งร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสของตนเอง เขาวิ่งไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดพักด้วยทุกสิ่งทุกอย่างที่ตัวเขามี
แต่ก่อนที่จะออกวิ่งนั้น หวังเป่าเล่อหยิบหุ่นเชิดมาวางไว้ตรงที่ที่เขาเคลื่อนย้ายมา และรีบหันหลังจากไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง
โชคดีที่หลังจากวิ่งไปได้สักครู่ หวังเป่าเล่อก็พบบริเวณที่เขาคุ้นเคย จนทำให้รู้ในที่สุดว่าตนเองอยู่ส่วนใดของบริเวณตัวกระบี่
ข้าไม่ได้ใกล้ด้ามกระบี่เลยแม้แต่น้อย… ชายหนุ่มหน้าซีด ใจหล่นวูบ จิตของชายหนุ่มหนักอึ้งเมื่อรู้ว่าตนเองอยู่ที่ใด
เขามีสองทางเลือกเท่านั้น ทางแรกคือทำตามแผนการที่วางไว้ตอนแรก เดินหน้าต่อไปเพื่อกลับไปยังด้ามกระบี่ และมุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาลที่ที่เขาจะสามารถเคลื่อนย้ายออกจากกระบี่สำริดโบราณ กลับไปยังสหพันธรัฐบ้านเกิดได้ หรืออีกทางเลือกหนึ่ง คือเดินทางลึกเข้าไปในบริเวณตัวกระบี่เสียเลย!
ทางแรกนั้นดูดีกว่าและเป็นสิ่งที่เขาต้องการทำมากกว่า ทว่า…แม้จะดูง่ายและปลอดภัยกว่า หวังเป่าเล่อกลับรู้สึกว่าทางเลือกนี้อาจเต็มไปด้วยเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด
หากโยวหรันรอดตายและมาตามล่าข้า ถึงอย่างไรข้าก็หนีไม่พ้นแน่ต่อให้กลับไปที่ด้ามกระบี่ก็เถอะ…
ข้าทำได้เพียงหวังให้มันตายไปแล้วเท่านั้น มันจะได้มาตามล่าข้าไม่ได้ ชายหนุ่มเงียบ สองจิตสองใจกับทางเลือกที่ตนเองมี แต่ความลังเลนี้ก็ไม่ได้อยู่กับเขานาน ดวงตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายวาบ เขาหันหลังกลับไปอีกทางในทันที มุ่งหน้าไปยังทิศที่ไม่ใช่ด้ามกระบี่ แต่ลึกเข้าไปในตัวกระบี่!
เลือดในกายไหลเวียนปั่นป่วน แต่ยังดีที่ร่างกายของหวังเป่าเล่อแข็งแรงมาก และความเร็วในการเยียวยาตนเองก็สูงเหลือเกินจากอำนาจของดอกบัวสีเขียว ชายหนุ่มจึงยังคงวิ่งด้วยความเร็วดังเดิมได้อยู่
แต่เขาก็ยังหยุดเลือดที่ไหลออกมาจากปากไม่ได้ หลังจากที่วิ่งอยู่สักพัก หวังเป่าเล่อก็ยังกระอักเลือดออกมาไม่หยุด
ในเลือดที่กระอักออกมานั้นมีเศษเนื้อปนอยู่ด้วย เขาไม่รู้ว่าเศษเนื้อนั้นมาจากไหน แต่ความรู้สึกปั่นป่วนในกายกลับทุเลาลงทันทีที่กระอักเลือดกองนั้นออกมา ทว่าทันทีที่รู้สึกทุเลา ร่างกายของเขาก็กลับถูกครอบงำด้วยความมึนงง ความเจ็บปวดพุ่งขึ้นมาเป็นริ้วๆ
ดูเหมือนภายในข้าจะเสียหาย… สีหน้าของหวังเป่าเล่อมืดมน เขาส่งจิตสัมผัสวิญญาณเข้าไปในกายของตนเอง และสรุปได้ว่าก้อนเนื้อนั้นน่าจะเป็นหนึ่งในอวัยวะภายในของเขา
เมื่ออ้วกเครื่องในของตนเองออกมา หวังเป่าเล่อก็รู้สึกเหมือนภายในกายขาดอะไรไป ความเหนื่อยอ่อนทวีขึ้นในจิตใจและแพร่กระจายไปทั่วร่าง ดวงตาของชายหนุ่มพร่ามัว
ความรู้สึกอยากนอนพักเข้าครอบงำจิตใจ ความอ่อนล้าถาโถมเข้าหาเหมือนคลื่นยักษ์ แต่ก่อนที่จะพ่ายแพ้ให้กับร่างกายที่ไม่เป็นใจ หวังเป่าเล่อก็กัดลิ้นตนเองเพื่อเรียกสติ ความเจ็บปวดทำให้เขากลับมาตื่นเต็มตาอีกครั้ง ลมหายใจหอบหนักปราศจากซึ่งม่านหมอกบัดบังจิตใจ
ข้าจะหยุดไม่ได้ ข้าจะมาหวังพึ่งดวงไม่ได้! หวังเป่าเล่อสูดหายเข้าลึก กัดฟันแน่น ก่อนวิ่งต่อไป เขาเลือกเข้าไปในบริเวณตัวกระบี่เพื่อหลีกหนีการโดนไล่ล่า ไม่ใช่เพราะเขาไม่อาจเดิมพันผลลัพธ์หากเลือกกลับไปที่ด้ามกระบี่ แต่เป็นเพราเขาไม่กล้าเดิมพันต่างหาก!
เพราะเขาจะไม่เหลือทางเลือกอีกเลยแม้แต่ทางเดียวหากแพ้เดิมพัน แต่หากเขาเลือกเข้าไปยังตัวกระบี่ ปัญหาที่จะเกิดขึ้นตามมาอาจมีมากกว่า แต่โอกาสที่เขาจะรอดชีวิตก็มีมากกว่าเช่นกัน
นั่นเพราะคำสาปมากมายในตัวกระบี่ใช้ไม่ได้ผลกับเขา แต่ยังทรงพลังเต็มเปี่ยมกับผู้ที่ไล่ตามเขา!
แต่หวังเป่าเล่อก็รู้ดีว่าโยวหรันแข็งแกร่งเพียงใด และมีลูกเล่นมากมายแอบซ่อนเอาไว้ หากโยวหรันไล่ล่าเขาจริงๆ หวังเป่าเล่อก็จะหวังพึ่งคำสาปเพื่อช่วยให้เขารอดตายไม่ได้อยู่ดี
ข้าต้องเพิ่มระยะทางระหว่างตัวเองกับโยวหรันให้มากขึ้นอีก จะได้มีเวลาเข้าไปยังตัวกระบี่ให้ลึกยิ่งขึ้น หากทำเช่นนั้น เป็นไปได้ว่าโยวหรันอาจจะติดตามข้าได้อย่างยากลำบาก แต่การจะเข้าไปลึกๆ ได้คงยากพอตัวเลยทีเดียว… หวังเป่าเล่อตาเป็นประกายวาบ ฟันเฟืองในหัวทำงานอย่างหนัก ชายหนุ่มยังคงมุ่งหน้าไปในทิศเดิม พุ่งตรงไปยังสถานที่ที่เขาจำได้อย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าข้าจะเลือกทางไหน จะหนีหรือจะทำให้โยวหรันกลัวจนไม่กล้าไล่ตามมา ข้าก็ยังต้องเคลื่อนย้ายระยะไกลอีกครั้งอยู่ดี!
ข้าจะใช้การเคลื่อนย้ายที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในตัวกระบี่ หรือว่าจะใช้…แท่นคงกระพันก็ได้! ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างด้วยความมุ่งมั่น เขาจำได้ว่ามีแท่นคงกระพันอยู่ในทางที่กำลังมุ่งหน้าไป
แผนการระยะยาวของเขาคือการเดินทางไปที่แท่นคงกระพัน เพื่อเคลื่อนย้ายกลับไปยังด้ามกระบี่ และทำให้โยวหรันตามเขาต่อไม่ได้ ส่วนแผนการระยะสั้นของเขาคือการหาพื้นที่ที่กำลังจะเคลื่อนย้าย แล้วย้ายตนเองไปพร้อมพื้นที่นั้นเสียเลย!
หลังจากที่จัดระเบียบความคิดในสมองเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็กลืนโอสถเข้าไปอีกเม็ด และมุ่งหน้าต่อไป เสียงระเบิดก้องดังออกจากบริเวณที่หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นหลังออกจากเรือบินรบ โยวหรันยืนอยู่ตรงนั้น
หุ่นเชิดที่หวังเป่าเล่อทิ้งเอาไว้จับการปรากฏตัวของชายชราได้ในทันที มันระเบิดก่อนที่โยวหรันจะทันได้ทำอะไร โยวหรันเดินไปหาหุ่นเชิด มองชิ้นส่วนที่แหลกเป็นจุณด้วยสีหน้ามืดมิด
ร้ายกาจ เด็ดขาด ระมัดระวัง แถมยังพรั่งพร้อมด้วยกลเม็ดมากมาย…ดูเหมือนข้าจะประเมินไอ้หวังเป่าเล่อนี่ต่ำไป! แววสังหารทวีความรุนแรงขึ้นในดวงตาโยวหรัน เขาสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ เพื่อปล่อยกระบวนเวทออกมาตามหาตัวหวังเป่าเล่อ ก่อนจะเริ่มออกไล่ล่าในทันที โยวหรันมุ่งมั่นเป็นอันมากกับภารกิจนี้ คราวนี้…เขาจะไม่มีวันหยุดจนกว่าจะเห็นร่างไร้ลมหายใจของหวังเป่าเล่อ!
ในตอนที่โยวหรันจับเป้าหมายได้และกำลังไล่ตามหวังเป่าเล่ออยู่นั้น สีหน้าของหวังเป่าเล่อที่อยู่ไกลออกไปก็เต็มไปด้วยความตกใจ เขาทิ้งหุ่นเชิดเอาไว้เพื่อดูต้นทาง หากโยวหรันไม่ตามร่องรอยการเคลื่อนย้ายของเขามาจะเป็นการดีที่สุด แต่หากชายชราเลือกตามมาละก็ หวังเป่าเล่อก็จะรู้ได้ในทันที และมันก็ถือเป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุด แต่ชายหนุ่มก็เตรียมรับมือเอาไว้แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่แม้แต่จะหยุดชะงักเมื่อสัมผัสได้ถึงตัวตนของโยวหรันที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล หวังเป่าเล่อรีบเพิ่มความเร็วของตนเองขึ้นในทันที!
ชายหนุ่มกำลังทะยานไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง และนี่ก็ไม่ใช่เวลาให้มานั่งกังวลใจ เขาโยนความกลัดกลุ้มทิ้งไปเนื่องจากอาจทำให้อาการบาดเจ็บทรุดหนักลงอีก และเพิ่มความเร็วขึ้นอีกครั้งด้วยวิชากระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลง ชายหนุ่มกลายเป็นเส้นสายฟ้าที่เดินทางไปข้างหน้า เขาเลิกตามหาพื้นที่โดยรอบที่กำลังจะเคลื่อนย้าย และหันไปมุ่งมั่นกับการไปให้ถึงแท่นคงกระพันแทน
เวลาคือสิ่งสำคัญที่สุด ไม่มีที่สำหรับเรื่องอื่นอีกแล้วในตอนนี้ หวังเป่าเล่อเพิ่มความเร็วขึ้นถึงขีดสุด เขาทะยานผ่านคำสาปอันแล้วอันเล่า ทะลุผ่านทุกสิ่งไปโดยง่ายดาย
คำสาปหมดฤทธิ์ทันทีที่หวังเป่าเล่อพุ่งเข้าหา ก่อนจะกลับมาทำงานอีกครั้งเมื่อเขาผ่านมันไปได้ หวังเป่าเล่อตรงเข้าสู่จุดหมายอย่างรวดเร็ว
โยวหรันมีพลังปราณแข็งแกร่งที่ทำให้เขาทะลุผ่านจุดต้องสาปได้เช่นกัน แม้คำสาปจะระเบิดใส่ แต่ก็ทำอันตรายเขาได้เพียงน้อยนิดเท่านั้น กระนั้นจำนวนของจุดต้องสาปทั้งหมดก็ยังมีมากเกินไป จึงทำให้เกิดการล่าช้าไปบ้าง ความเร็วของเขาที่ควรจะมากกว่าหวังเป่าเล่อ ถูกคำสาปมากมายเหล่านี้ชะลอลงไปนั่นเอง
นอกจากนี้กฎบริเวณตัวกระบี่ยังยุ่งเหยิง ทำให้เกิดความไม่แน่นอนยิ่งขึ้นไปอีกด้วยการเคลื่อนย้ายของพื้นที่ โยวหรันต้องใช้กระบวนเวทของตนในการติดตามหวังเป่าเล่อต่อ และทำได้เพียงย่นระยะทางระหว่างตนเองกับหวังเป่าเล่อได้เท่านั้น แต่เข้าถึงตัวอีกฝ่ายไม่ได้ในทันที!
ระยะห่างระหว่างโยวหรันและหวังเป่าเล่อหดแคบลงเรื่อยๆ ความกระวนกระวายเข้าเกาะกุมจิตใจขณะกำลังไล่ล่าเป้าหมายของตน เมื่อโยวหรันเห็นหวังเป่าเล่ออยู่ในระยะไกล เขาก็กัดฟันใช้การเคลื่อนย้ายเพื่อพุ่งเข้าไปหาชายหนุ่ม แทนการทะลุผ่านคำสาปมากมายนับไม่ถ้วนที่อยู่ระหว่างทาง
โยวหรันหายตัวไปและมาปรากฏอีกครั้งที่สามสิบเมตรห่างจากหวังเป่าเล่อ สีหน้าของเขาซีดเผือด เขาโบกมือไปข้างหน้าหมายคว้าตัวหวังเป่าเล่อเอาไว้ แต่ก็ต้องล่าถอยในทันที
พื้นที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้ยุบตัวลง รอยแยกมากมายปรากฏขึ้นแทนที่ในบรรยากาศพร้อมที่จะฉีกทำลายทุกสิ่งเป็นชิ้นๆ แม้โยวหรันจะเป็นผู้ฝึกตนที่ทรงพลัง แต่ก็ยังตกใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอยู่ดี
หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นโบกเพื่อส่งอาวุธเวทออกไปเบื้องหลัง อาวุธเวทระเบิดตามคำสั่งของเขาในทันที คลื่นพลังปะทะเข้ากับแรงคว้าของโยวหรัน ชายหนุ่มกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง การโจมตีของโยวหรันเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เขาเองก็กันเอาไว้ได้ด้วยอาวุธเวท กระนั้นแรงปะทะก็ยังทำให้อาการบาดเจ็บของเขาแย่ลง
แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้หยุดอยู่กับที่ เขารีบเพิ่มความเร็วขึ้นอีกและสร้างผนึกฝ่ามือขณะหลบหนีไปด้วย ก้อนสายฟ้าปรากฏขึ้นมากมาย ชายหนุ่มโยนสายฟ้าเข้าใส่จุดต้องสาปไปตามทางที่ผ่าน ส่งให้มันระเบิดเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ เขาตั้งใจจะใช้กลเม็ดนี้ในการทำให้โยวหรันติดตามตนเองได้ช้าลง และเพิ่มความโกลาหลให้มากขึ้นไปอีก
บริเวณตัวกระบี่เต็มไปด้วยความวุ่นวายมากมายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ราวกับเป็นภูเขาไฟที่ใกล้ระเบิดอยู่รอมร่อ หวังเป่าเล่อเพิ่มเชื้อเพลิงให้กับเปลวไฟ ทำให้ความสับสนอลหม่านทวีความรุนแรงขึ้น พร้อมด้วยทะเลเพลิงที่โกรธเกรี้ยว
“ไอ้หวังเป่าเล่อ!” สีหน้าของโยวหรันมืดหม่นและดุร้าย เขาหลบหลีกแรงระเบิดไปได้ แต่ก็ทำให้ระยะห่างระหว่างตัวเขากับหวังเป่าเล่อกว้างขึ้นเช่นกัน ตอนนี้โยวหรันไม่กล้าเคลื่อนย้ายสุ่มสี่สุ่มห้าอีกแล้ว การเคลื่อนย้ายก่อนหน้านี้ทุลักทุเลมากจนเขาเกือบเหยียบลงบนจุดที่ไม่ควรเหยียบเพราะกฎแห่งความวุ่นวายที่ปกครองบริเวณตัวกระบี่นี้ หากเขาเปลี่ยนที่ที่ตนเองจะปรากฏกายกะทันหัน ก็จะทำให้เกิดการยุบตัวของบรรยากาศอีก หลังจากตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ โยวหรันก็เรียนรู้ว่าตนเองควรระมัดระวังให้มากกว่านี้
บทที่ 665 สังหาร!
การระวังตัวมากขึ้นของโยวหรันทำให้ชายชราติดตามหวังเป่าเล่อได้ช้าลง ความรู้สึกโกรธเกลียดที่อัดแน่นอยู่ในจิตใจจากการเผชิญหน้าในเรือบินรบปรากฏขึ้นอีกครั้ง พลังปราณของเขาแข็งแกร่งกว่าหวังเป่าเล่อมาก แต่ชายหนุ่มตรงหน้าก็หลบลี้หนีเอาตัวรอดไปได้ตลอด ไม่ต่างจากปลาไหลที่ลื่นออกจากมืออยู่ร่ำไป!
ก่อนหน้านี้เขาเกือบสังหารหวังเป่าเล่อได้แล้ว แต่ชายหนุ่มก็กลับเอาตัวรอดไปได้อีกครั้ง แม้จะบาดเจ็บปางตาย แต่ก็ไม่ได้สลบไป นอกจากนี้ยังเพิ่มจำนวนก้อนสายฟ้าให้มากขึ้นด้วยขณะหลบหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย จำนวนก้อนสายฟ้าที่มากขึ้นนี้ทำให้คำสาปออกฤทธิ์รุนแรงขึ้นไปอีก ส่งให้ความวุ่นวายในบริเวณนั้นเพิ่มขึ้นมากโข แม้โยวหรันจะเป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่ก็ต้องเดินหน้าต่อด้วยความระมัดระวัง
“ไอ้หวังเป่าเล่อ!” อารมณ์ของโยวหรันในตอนนี้ข้ามความเดือดดาลไปแล้ว นอกจากนี้เขายังกระวนกระวายอีกด้วย เขาออกจากเรือบินรบนานไม่ได้ เนื่องจากยังมีหลายสิ่งที่ต้องทำ ยิ่งเขาอยู่ที่นี่นานเท่าใด ก็ยิ่งจะซ่อมแซมเรือบินรบยากขึ้นเท่านั้น และจะทำให้แผนการพังลงไปมากกว่าเดิม
ท่ามกลางความกระวนกระวายใจนั้น แววตาของโยวหรันก็เปลี่ยนเป็นมุ่งมั่น!
เบื้องหน้าเขาคือหวังเป่าเล่อที่ยังคงหนีตาย ชายหนุ่มจิตใจพร่าเลือนไปหมด หากไม่ใช่เพราะดอกบัวสีเขียวในกายที่กำลังปล่อยพลังออกมาเต็มที่ จนทำให้ร่างกายของเขาเยียวยาตนเองได้อย่างต่อเนื่องแม้จะบาดเจ็บสาหัส เขาคงสลบคาที่ไปนานแล้ว
แม้จะมีดอกบัวสีเขียว แต่หวังเป่าเล่อก็ใกล้หมดพลังงานเข้าไปทุกที มีเพียงกำลังใจในการเอาชีวิตรอดเท่านั้น ที่ส่งให้เขาเดินหน้าหลบหนีการไล่ล่าต่อไป
หวังเป่าเล่อลืมทิศทางไปหมดสิ้นแล้ว เขาไม่รู้ซ้ายไม่รู้ขวา ใจจดจ่ออยู่อย่างเดียวเท่านั้น ว่าต้องหาแท่นคงกระพันให้เจอและออกไปจากที่นี่ให้จงได้!
กระนั้น…ความแตกต่างด้านพลังปราณและอาการบาดเจ็บก็ทำให้จุดมุ่งหมายห่างไกลออกไปทุกที หากโยวหรันไม่ได้ไล่ตามเขาอย่างไม่ลดละเช่นนี้ สภาพของชายหนุ่มคงไม่ย่ำแย่ถึงเพียงนี้ เขาทุลักทุเลก้าวไปข้างหน้าอยู่ราวครึ่งชั่วโมง ก่อนที่แรงระเบิดจะอุบัติขึ้นเบื้องหลังชายหนุ่มอีกครั้ง
โยวหรันใช้พลังชีวิตของตนเองโดยไม่ลังเลอีกครั้ง เพื่อทะลุผ่านคำสาปมากมายที่ระเบิดตามทางที่ผ่าน ร่างของเขาเหมือนสายฟ้าที่ทะยานไปข้างหน้าโดยไร้ซึ่งความกลัวใดๆ เมื่อเทียบกันในเชิงพลังแล้ว หวังเป่าเล่อเหมือนเม็ดฝุ่นที่ต้องแตกสลายกลายเป็นเศษธุลีทันทีที่เข้าปะทะ
ชายหนุ่มหัวเราะอย่างขมขื่นเมื่อเห็นความตายที่ไล่กวดมา แต่ในดวงตาก็ไม่ได้แสดงความสิ้นหวังแต่อย่างใด เขาไม่คิดถอยหนีแม้แต่น้อย แม้เกราะจักรพรรดิจะถูกทำลายไปแล้ว และแม่นางน้อยก็หมดสติไปเรียบร้อย แต่หวังเป่าเล่อก็ยังมีไพ่ตายเหลืออยู่!
ปัญหาของเขาคือไม่รู้ว่าจะใช้ไพ่ตายนี้อย่างไรเท่านั้นเอง พลังของมันไม่ได้ตื่นขึ้นแม้เขาจะตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิตในถ้ำทะเลสาบสีทอง เป็นไปได้ว่าทางเดียวที่จะปลุกมันขึ้นมาได้คืออาจต้องทำให้ตนเองตกอยู่ในอันตรายมากกว่าเดิม!
ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มไม่อยากเสี่ยง แต่ตอนนี้…ถึงอย่างไรเขาก็คงรอดไปไม่ได้แน่ จึงไม่มีเหตุผลอะไรให้กลัว
ความอำมหิตแรงกล้าวาบผ่านเข้ามาในตาของหวังเป่าเล่อ ทันทีที่โยวหรันปรากฏกายขึ้นเหมือนสายฟ้าฟาด ชายหนุ่มจึงหันหลังกลับไปเผชิญหน้าทันที มือสร้างผนึกฝ่ามือท่วงท่าต่างๆ แล้วตบลงบนเส้นปราณของตนเองอย่างแรง พร้อมตะโกนก้อง “เมล็ดดูดกลืน!”
โยวหรันพุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อที่กำลังปล่อยพลังของเมล็ดดูดกลืนออกจนหมดสิ้น มือขวาของชายชรายกขึ้นเปลี่ยนสภาพเป็นยอดเขาสูงที่สร้างจากหมอกมืดพัดเข้าใส่หวังเป่าเล่อ
“ตายไปเสีย!”
การโจมตีนั้นทรงพลังมากเสียจนทำให้ท้องฟ้าและพื้นดินสั่นไหว รวมถึงภูเขาและแม่น้ำที่อยู่ตรงกลางระหว่างสวรรค์และปฐพีด้วยเช่นกัน เมื่อมันพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อ พลังงานที่ปล่อยออกมาเป็นคลื่น ก็กระจายแหวกอากาศจนทำให้บรรยากาศขาดออกจากกัน แต่ขณะที่มันกำลังจะพุ่งเข้ากระทบตัวชายหนุ่ม เมล็ดดูดกลืนในกายเขาก็ปล่อยพลังดูดมหาศาลออกมา เปลี่ยนร่างชายหนุ่มให้กลายเป็นหลุมดำขนาดใหญ่
หลุมดำนี้อุบัติขึ้นกลางอากาศและเริ่มหมุนวนในทันที ทำให้ภูเขาหมอกมืดที่กำลังเข้ามาใกล้สั่นสะเทือน หลุมดำของหวังเป่าเล่อกำลังจะดูดภูเขาเข้าไปทั้งลูก!
ความแตกต่างระหว่างขนาดของทั้งสองสิ่งนี้น่าตกใจเป็นอันมาก ดูราวกับงูที่กำลังพยายามกลืนช้างเข้าไปทั้งตัวอย่างไรอย่างนั้น!
“ข้าเห็นสิ่งประหลาดในกายเจ้า เจ้าอยากดูดพลังเวทของข้าหรือ เอาเลย ดูดเข้าไปให้หมดเลยสิ!” ความดุร้ายวาบอยู่ในดวงตาของโยวหรัน เขาปล่อยพลังปราณของตนเองออก คลื่นพลังงานกระจายจากร่างออกสู่บรรยากาศ
พลังปราณนั้นทำให้หวังเป่าเล่อควบคุมแทบไม่ได้ ร่างกายสั่นสะท้านไปหมด เมล็ดดูดกลืนของเขาพยายามดูดพลังน่ากลัวที่อันแน่นอยู่ในภูเขาหมอกมืด แล้วก็ดูดไปได้เยอะเสียด้วย กระนั้นส่วนที่เหลืออยู่ก็ยังคงไหล่บ่าออกมาไม่หยุดจนท่วมร่างหวังเป่าเล่อและพื้นที่ที่รอบกาย
ร่างของชายหนุ่มเริ่มเกิดรอยร้าว กระดูกเริ่มแตกสลายกลายเป็นเศษฝุ่น หวังเป่าเล่อกัดฟันทนความเจ็บปวดรุนแรง แต่ก็ยังต้านทานเมล็ดดูดกลืนภายในกายที่ขยายขนาดขึ้นและเดินหน้าดูดพลังต่อไม่ได้ หวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับร่างกำลังจะถูกฉีกเป็นชิ้นๆ เหมือนร่างกายของเขาเก็บระเบิดต้านทานวิญญาณเอาไว้ภายใน
“ดูดเข้าไปให้หมดเลย ไม่ชอบหรือ เอาเลยสิ ดูดเข้าไปอีก!” โยวหรันหน้าบูดเบี้ยวด้วยความรุนแรงกระหายเลือด
ความเจ็บปวดเข้าครอบงำใบหน้าของหวังเป่าเล่อ เขารู้สึกว่าร่างของตนกำลังจะขาดเป็นชิ้นๆ ในวินาทีใดวินาทีหนึ่งและทั้งร่างกายรวมถึงวิญญาณของเขาจะถูกทำลายหายไป ความรู้สึกนี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลาที่ผันผ่านเป็นวินาที เนื้อของชายหนุ่มเริ่มกลายเป็นไอหมอก พลังทำลายล้างเปลี่ยนทุกสิ่งให้บิดเบี้ยว และกำลังจะกวาดเขาหายไปจากโลกใบนี้ แม้กระทั่งแม่นางน้อยเองยังสะดุ้งตื่นขึ้นเพราะอันตรายที่หวังเป่าเล่อหามาใส่ตัว นางเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าและกรีดร้องใส่เขาทันที
“หวังเป่าเล่อ เป็นบ้าไปแล้วหรือ เจ้าทำอะไรกัน”
“เมล็ดดูดกลืน…ระเบิดเสีย!” หวังเป่าเล่อไม่ได้เป็นบ้า เขาหยิบหน้ากากที่แม่นางน้อยอาศัยอยู่ออกมา ตะโกนสั่งเมล็ดดูดกลืน และโยนหน้ากากออกไปให้พ้นตัวด้วยพลังที่เหลืออยู่น้อยนิด เพื่อที่แม่นางน้อยจะได้ออกห่างจากแรงระเบิดของเมล็ดดูดกลืน ต่อให้ทั้งร่างกายและวิญญาณของเขาถูกทำลาย นางก็จะยังมีโอกาสรอดอยู่
แม่นางน้อยแทบคลั่ง แต่ก็หยุดหวังเป่าเล่อไม่ได้ นางทำได้เพียงมองหวังเป่าเล่อตะโกนคำสั่งออกมาเท่านั้น เมล็ดดูดกลืนเริ่มสั่นด้วยความไม่เสถียร ดอกบัวสีเขียวส่งสัญญาณว่ากำลังจะดับสลาย และกำลังจะทำลายตนเองไปพร้อมเมล็ดดูดกลืน โยวหรันเริ่มรู้สึกตัวเช่นกันว่ากำลังจะเกิดสิ่งใดขึ้น ระดับพลังปราณของเขาเพิ่มสูงขึ้น พร้อมที่จะโต้กลับเมื่อถูกโจมตี… ตอนนั้นเอง ฝักกระบี่ในกายของหวังเป่าเล่อที่บัดนี้เป็นอาวุธเวทระดับเจ็ด และไม่ยอมตกอยู่ใต้อาณัติของเขาตั้งแต่นั้น ก็เริ่มสั่นเทาอย่างรุนแรง ดูเหมือนว่าฝักกระบี่จะรู้สึกได้ว่าเจ้าของของมันใกล้สิ้นชีพเต็มทน เส้นสีดำพุ่งออกจากตัวฝักที่สั่นสะท้าน!
เส้นสีดำที่ว่าคือลำแสงหนึ่งในหลายร้อยคำสาปที่หวังเป่าเล่อหลอมรวมเข้ากับฝักกระบี่ในกาย ระหว่างการหลอมฝักกระบี่ที่ดาวเอกของสำนักวังเต๋าไพศาล!
เส้นดังกล่าวพุ่งเข้าใส่เมล็ดดูดกลืนของหวังเป่าเล่อ ดูดกลืนพลังทำลายล้างที่สะสมเอาไว้ภายในเมล็ดเข้าไปจนหมดสิ้น แสงสีดำเรืองรองออกจากเส้นสีดำ มันพุ่งออกจากร่างของหวังเป่าเล่อ และปรากฏขึ้นตรงกลางระหว่างเขากับโยวหรัน!
นี่เป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด ก่อนหน้านี้โยวหรันได้เปรียบหวังเป่าเล่อ แต่เมื่อเห็นเส้นสีดำตรงหน้า ใบหน้าของชายชราก็ตื่นกลัวในทันที เขารู้สึกได้ถึงพลังงานที่อัดแน่นอยู่ภายในแสงนี้ จึงรีบล่าถอยและทำแม้กระทั่งยอมเสี่ยงดวงเคลื่อนย้าย
แต่ก็ช้าไปเสียแล้ว…หวังเป่าเล่อกระอักเลือดออกมาชุดใหญ่ แต่ก็รู้สึกได้ถึงพลังจากฝักกระบี่ที่ถูกปล่อยออกมาเมื่อครู่ ชายหนุ่มหอบหนัก ยกมือขวาขึ้นด้วยความยากลำบาก ก่อนตะโกนใส่โยวหรันที่กำลังถอยหนี
“ฆ่ามัน!”
ท้องฟ้าบริเวณตัวกระบี่สั่นสะเทือนทันทีที่มือของชายหนุ่มตกลง พร้อมคำพูดที่เอื้อนเอ่ย คำสาปมากมายแตกสลาย กระบี่สำริดเขียวโบราณสั่นสะท้าน เส้นสีดำพุ่งไปข้างหน้าไม่ต่างจากคมกระบี่ที่ทำลายสิ่งมีชีวิตได้ทุกชนิด ทะลุผ่านทุกอย่างที่ขวางทาง แม้แต่ความว่างเปล่าอันไร้ที่สิ้นสุดก็ต้องสะเทือนเมื่อเจอมัน ความตกใจถึงขีดสุดเข้าครอบงำโยวหรันขณะที่เจ้าตัวกำลังพยายามเคลื่อนย้ายออกจากที่แห่งนั้น ในตอนนั้นเอง บางสิ่งในดวงตาของชายชราก็เปลี่ยนไป ร่างกายของเขากระตุกเล็กน้อยในเสี้ยววินาทีนั้น!
ทุกสิ่งเกิดขึ้นเร็วมากจนทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็น แม้แต่หวังเป่าเล่อและแม่นางน้อยเองก็เช่นกัน เส้นสีดำพุ่งเข้าใส่โยวหรันเหมือนสายฟ้าฟาด ตัดผ่านร่างของชายชราไปในที่สุด!
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปในอากาศ ตามด้วยความเงียบที่เข้าปกคลุมโดยฉับพลัน ร่างของโยวหรันถูกผ่าครึ่งอย่างคมกริบเป็นสองซีก เลือดสดๆ ทะลักออกจากทั้งสองส่วนนั้น หวังเป่าเล่อกระอักเลือดออกมาอีกครั้ง ร่างกายหมดสิ้นเรี่ยวแรงและสิ้นสติไปในที่สุด
แม่นางน้อยปรากฏกายขึ้น ใบหน้าซีดเผือด ร่างของนางพร่ามัวและแทบมองไม่เห็น นางพุ่งเข้ารับร่างของหวังเป่าเล่อไว้ทันที ดวงตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดใจเมื่อเห็นสภาพของชายหนุ่ม แต่ก็โล่งใจไปในคราวเดียวกัน นางหันกลับไปมองร่างของโยวหรันที่ถูกผ่าครึ่ง และเห็นแสงดาวเรืองรองทอประกายระยิบระยับออกมาจากบาดแผลของร่างทั้งสองซีก สีหน้าของแม่นางน้อยเปลี่ยนเป็นตื่นตกใจทันที!
“เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าหรือ”
แม่นางน้อยด้วยสั่น ความตกใจวาบเข้ามาในแววตา นางรีบอุ้มหวังเป่าเล่อหนีอย่างเร่งรีบโดยไม่ลังเล ไม่ได้มุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาลที่ด้ามกระบี่…แต่เป็นแท่นคงกระพันที่หวังเป่าเล่อตั้งใจจะไปเยือนตั้งแต่แรก!
บทที่ 666 สามีข้า!
ความรู้สึกมากมายผ่านเข้ามาบนใบหน้าของแม่นางน้อย ขณะอุ้มหวังเป่าเล่อที่ไม่ได้สติจากไป นางทั้งไม่เข้าใจ ตกใจ และโกรธ แม่นางน้อยขบกรามแน่น ความรู้สึกลังเลและความสงสัยวาบเข้ามาในจิตใจเช่นกัน ทั้งหมดนี้เป็นเพราะนางไปเป็นภาพมายาของแสงดาวบนศพของโยวหรันเข้า
ผู้ฝึกตนธรรมดาจะมองไม่เห็นแสงดาวนี้อย่างแน่นอน นี่เป็นกระบวนเวทพิเศษที่มีเพียงร่างวิญญาณพิเศษเท่านั้นที่มองเห็นได้!
“เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า…มรดกที่สำนักวังเต๋าไพศาลรับสืบทอดมาจากดินแดนลึกลับ บิดาข้าเรียกพลังแห่งเต๋านี้ว่าเป็นพลังเต๋าที่ทรงพลังที่สุดของสำนัก หลังจากได้อ่านเรื่องราวเกี่ยวกับกระบวนเวทนี้เข้า!” แม่นางน้อยพึมพำกับตนเอง นางรู้จักเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าดี แม้จะไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเรียนรู้ แต่ก็ทราบดีว่าวิชานี้ทรงพลังเพียงใด
เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าอาจเรียกได้ว่าเป็นเคล็ดเวทการสร้างร่างเหมือนต้นแบบ หรือการล้างสมองก็ว่าได้ แต่แก่นแท้ของมันนั้นไม่ใช่ทั้งสองสิ่ง หัวใจหลักของเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋านั้นต่อต้านทุกตรรกะ ในจักรวาลนี้มีดวงดาวอยู่หลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นดาวเคราะห์หรือดาวนิรันดร์
แต่เมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าไม่ได้แบ่งประเภทดาวตามดาวเคราะห์หรือดาวนิรันดร์ ดวงดาวสำหรับเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋านั้นแบ่งออกเป็นสามประเภทและสามระดับ
ระดับดารา ระดับจันทรา และระดับสุริยะ!
ในระดับดารา ผู้ฝึกตนต้องเข้าสู่สภาวะนิทรา ผู้ใช้จะสามารถปล่อยเมล็ดพันธุ์ดารามากมายออกมาได้ตามระดับพลังปราณของตน เพื่อนำไปหลอมรวมกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในจักรวาล สิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะฝึกปราณของตนเองได้ จนกระทั่งถึงเวลาที่เจ้าของกระบวนเวทจะเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ดาราทั้งหมดกลับมาโดยใช้เพียงความคิดเท่านั้น
การเก็บเกี่ยวนี้ไม่ใช่แค่เก็บเมล็ดพันธุ์ดารากลับคืนมา แต่รวมถึงพลังปราณและพลังชีวิตของเจ้าของร่างที่เมล็ดพันธุ์ดาราสิงสู่ด้วย หลังจากนั้น ผู้ใช้กระบวนเวทสามารถใช้อีกเคล็ดเวทหนึ่งเพื่อเพิ่มพลังของการเก็บเกี่ยวขึ้นหลายเท่า ผู้ฝึกตนจะบรรลุจากระดับดาราไปเป็นระดับจันทรา!
กระบวนการนี้เหมือนกันกับตอนที่ราชครูใช้หุ่นเชิดงูเหลือมยักษ์ ที่สุดท้ายถูกเจ้าลากินเข้าไป แต่ทรงพลังกว่าเมล็ดพันธุ์ของราชครูหลายเท่านัก
แต่ผู้ฝึกตนเจ้าของร่างที่เมล็ดพันธุ์ดาราสิงสู่นั้นล้วนแต่เป็นร่างทรงชั้นต่ำ หากทรงพลังพอที่จะฝังเมล็ดพันธุ์ดาราลงในดวงดาวได้ สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนดาวดวงนั้นจะกลายเมล็ดพันธุ์ดาราเพื่อส่งพลังงานให้เก็บเกี่ยวได้ในที่สุด!
ตราบใดที่เก็บเกี่ยวดวงดาวได้มากพอ ผู้ใช้ก็จะได้รับพลังแซงหน้าระดับดาราไปเป็นระดับจันทรา แต่พลังที่ร้ายกาจและน่ากลัวที่สุดคือระดับสุริยะ ผู้ใช้เคล็ดเวทระดับสุริยะสามารถปลูกเมล็ดพันธุ์ลงในจักรพิภพ เก็บเกี่ยวจากอาณาบริเวณนั้น และได้รับพลังปราณรวมถึงพลังชีวิตจำนวนมหาศาลเป็นการตอบแทน!
แม่นางน้อยไม่เคยพบเจอใครที่ครอบครองพลังระดับสุริยะมาก่อน ในสำนักวังเต๋าไพศาล มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ได้พลังระดับจันทราไปครอง นางจำได้ดีว่าบิดาของนางถอนใจออกมาหลังจากที่ได้อ่านเรื่องรายของเคล็ดเวทนี้ บิดาของนางบอกเพียงว่าเคล็ดเวทนี้ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากจักรพิภพนี้ แต่ท่านก็ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก
สิ่งที่แม่นางน้อยจำได้เกี่ยวกับเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าทำให้นางตระหนักเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือ…โยวหรันเป็นเพียงร่างที่เมล็ดพันธุ์เข้าสิงเท่านั้น ซึ่งแปลว่า…มีใครบางคนบนกระบี่สำริดโบราณนี้เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
โยวหรันเป็นเพียงหุ่นเชิดเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น!
นี่ถือเป็นความจริงที่ไม่คาดคิด แต่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมาย สิ่งที่ทำให้นางกัดฟันและรู้สึกหมดหนทาง คือความพิเศษเฉพาะตัวของเคล็ดเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า วิชานี้เป็นวิชาสืบทอดที่ต้องได้รับการยินยอม การสืบทอดนี้…ต้องใช้ผู้ที่อยู่ในระดับดารา ที่ยินยอมใช้วิญญาณตนเองสกัดออกมาเป็นเมล็ดพันธุ์!
ผู้ฝึกตนที่อยู่ในระดับดาราต้องยอมสละวิญญาณของตนเพื่อสร้างเมล็ดพันธุ์ดั้งเดิมที่บรรจุวิชาเอาไว้ และมอบให้ผู้รับสืบทอดวิชาคนต่อไป คนแรกของสำนักวังเต๋าไพศาลที่ได้รับวิชาสืบทอดนี้จากสถานที่ลึกลับ ได้รับเมล็ดนี้มาหลังจากที่ตัวเมล็ดตกอยู่ในสภาวะนิทรานานหลายปี
ชายผู้นั้นคือผู้บุกเบิกการใช้เคล็ดเวทเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า วิชาสืบทอดนี้ถูกส่งต่อมารุ่นสู่รุ่นภายในสำนักวังเต๋าไพศาล ภายในหนึ่งชั่วอายุคนจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่เป็นเจ้าของวิชานี้
คนสุดท้ายที่ได้รับวิชานี้ไปคือประมุขโจว…เป็นท่านหรือ ไม่มีทางเป็นใครที่มาจากตระกูลไม่รู้สิ้นแน่ เคล็ดเวทนี้ต้องให้ผู้ถ่ายทอดวิชายอมถ่ายทอดให้ก่อนถึงจะใช้ได้ แม้แต่ผู้ฝึกตนในระดับดารายังเข้ามายุ่มย่ามไม่ได้เลย! แม่นางน้อยนิ่งเงียบ นางจมอยู่กับความสับสนงุนงง หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสและเข้าไปอาศัยอยู่ในหน้ากาก นางก็ตกอยู่ในห้วงนิทรานานแสนนาน นางไม่รู้เลยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นหลังจากที่สำนักวังเต๋าไพศาลล่มสลายลง
หน้ากากนี้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ทำให้ตัวนางไม่ครบสมบูรณ์ แม่นางน้อยเสียความทรงจำไปมาก นางรู้สึกว่าศพผียักษ์บนดวงจันทร์เป็นคนคุ้นเคย แต่ก็จำไม่ได้ว่าเป็นใครกันแน่
ในบรรดาความทรงจำที่นางมีทั้งหมด สิ่งที่จำได้เกี่ยวกับประมุขโจวคือเขาเป็นคนอ่อนโยน ทรงเกียรติ และยุติธรรมเที่ยงตรงเหมือนตาชั่ง นางไม่เชื่อแน่นอนว่าประมุขโจวจะเป็นคนทำเรื่องร้ายกาจเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะสิ่งที่เกิดขึ้นในเรือบินรบเต๋ามรณะ
ศีรษะมนุษย์ที่ห้อยต่องแต่งอยู่ที่ปลายท่อ การกลืนกินผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล และแผนการสังเวยทุกชีวิตในสหพันธรัฐ ทั้งหมดนี้ไม่มีทางที่ชายคนที่นางจำได้ในความทรงจำจะกระทำได้เลย!
แม่นางน้อยเงียบงันงุนงง นางยังคงอุ้มหวังเป่าเล่อเอาไว้ขณะทะยานไปบนฟากฟ้า ในที่สุดทั้งสองก็เจอแท่นคงกระพัน นางพยายามปลุกพลังของแท่นอย่างยากลำบาก และส่งหวังเป่าเล่อออกไปได้ในที่สุด ร่างบางเบาของนางสลายหายไป พร้อมด้วยจิตใจที่สับสนหนักอึ้ง กลับสู่ห้วงนิทราดังเดิม
ในขณะนั้นเอง ภายในเรือบินรบเต๋ามรณะที่ได้รับความเสียหาย ใต้ถ้ำชั้นสามที่ถูกทำลาย…ก็ปรากฏชั้นที่สี่ของเรือขึ้น!
แม้แต่หวังเป่าเล่อเองยังหาชั้นนี้ไม่เจอ ชั้นที่สี่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากอันตรายที่เกิดขึ้นภายนอก
โลกในชั้นสี่แตกต่างจากโลกทั้งสามที่เต็มไปด้วยความมืดมิดและซากศพอย่างสิ้นเชิง มีเสียงนกร้องและกลิ่นดอกไม้อบอวลในอากาศ ท้องฟ้าเป็นสีฟ้า น้ำทะเลปกคลุมพื้นผิวของโลกนี้ ตรงใจกลางมหาสมุทรมีเกาะหนึ่งตั้งอยู่ บนเกาะมีภูเขาที่ปลายยอดส่องแสงอ่อนโยนเรืองเรื่อ
ในแสงสว่างมีคนผู้หนึ่งนั่งอยู่ ภาพนั้นเลือนรางจนจับไม่ถูก แต่ดูเหมือนจะเป็นร่างของสตรี ผมยาวสลวยของนางปกคลุมไหล่เอาไว้ ใบหน้าสดสวยจนน่าตื่นตะลึง
หากมีผู้ฝึกตนที่มีพลังปราณแก่กล้า จนมองทะลุผ่านเปลือกนอกเข้าไปถึงแก่นแท้ได้อยู่ตรงนี้ เขาจะทราบทันทีว่าสตรีนางนี้…ไม่ใช่คนจากตระกูลไม่รู้สิ้น และความสวยงามหยาดเยิ้มของนางก็ไม่ได้เป็นเพียงอาภรณ์เปลือกนอกเช่นกัน!
หากแม่นางน้อยอยู่ตรงนี้ นางคงจะตกใจเป็นอันมากหากได้เจออีกฝ่าย นั่นเพราะว่านางรู้จักสตรีผู้นี้ดี!
สตรีผู้นี้เป็นเพื่อนของแม่นางน้อยในอดีต และเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล!
สตรีนางนี้นั่งอยู่ท่ามกลางแสงเรื่อเรือง ดูเหมือนว่าจะหลับอยู่ในตอนที่โยวหรันเสียชีวิตลง แพขนตาของนางกระพือ ก่อนเปลือกตาจะค่อยๆ เปิดออก เผยให้เห็นแสงดาวเป็นประกายอยู่ในดวงตาของนาง!
เขาสิ้นชีวิตแล้ว… แต่ก็ไม่ได้น่าแปลกใจแต่อย่างใด ในเมื่อคู่ต่อสู้เป็นถึงผู้ที่ถูกเลือกจากธิดาศักดิ์สิทธิ์ สตรีผู้นี้คลี่ยิ้ม แม้จะรู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรไปกับความตายของโยวหรัน แต่ก็ไม่ได้หัวเสียมากมายนัก โยวหรันไม่ใช่เจ้าของร่างทรงเมล็ดพันธุ์หนึ่งเดียวที่นางมี สมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นอีกคนที่เจอหวังเป่าเล่อตอนเขาดำทะเลเพลิงลงไปเก็บชิ้นส่วนหน้ากาก ก็เป็นหนึ่งในร่างทรงเมล็ดพันธุ์ของนางเช่นกัน
นางไม่ค่อยเข้าแทรกแซงกิจการของพวกเขา ทำเพียงสังเกตการณ์ผ่านดวงตาของเจ้าของร่างเท่านั้น และมักปล่อยให้เจ้าของร่างทำตามความต้องการของตนเอง ผู้เคราะห์ร้ายเหล่านี้ไม่รู้แม้แต่น้อยว่ามีคนปลูกเมล็ดพันธุ์ดาราเอาไว้ภายในกายพวกเขา และสามารถกำหนดความตายของพวกเขาได้ด้วยความคิดเดียวเท่านั้น
โยวหรันพยายามมาถึงจุดนี้แล้ว ก็ควรได้รับโอกาสให้ทำให้สำเร็จเสีย น่าจะสนุกเลยทีเดียวเชียว นางยิ้มอีกครั้ง ก่อนกระดิกนิ้วที่มือขวา ทะเลที่อยู่ไกลออกไปแหวกออก ร่างๆ หนึ่งผุดขึ้นจากทะเลนั้น!
ร่างนั้นเป็นร่างของสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นที่มีพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณ มีพลังงานบางอย่างดึงร่างนั้นเข้ามาอยู่เบื้องหน้าสตรีผู้นี้ นางชี้นิ้วอีกครั้ง ความทรงจำของโยวหรันก่อกำเนิดเป็นแสงเรืองอ่อนอยู่เบื้องหน้า ก่อนเข้าไปในศีรษะของร่างตรงหน้าทันที นอกจากนี้นางยังเปลี่ยนเสื้อผ้าของร่างตรงหน้าอีกด้วย!
เสื้อผ้านั้นหาใช่เสื้อผ้าปกติธรรมดาไม่ หากแต่เป็น… ร่างของผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล!
เป็นร่างกายโดยละเอียดของโยวหรันในแบบที่ปรากฏในสำนักเลยทีเดียว!
หลังจากที่จัดการเสร็จเรียบร้อย นางก็โบกมืออีกครั้ง โยวหรันที่เพิ่งเกิดใหม่หายวับไปและไปปรากฏตัวอีกครั้งที่ชั้นสอง เขาตัวสั่นเทา ก่อนลืมตาตื่นขึ้นและลุกขึ้นยืนในทันที โทสะพัดเข้ามาในดวงตาพร้อมเสียงตะโกนก้อง
“ไอ้หวังเป่าเล่อ!”
โยวหรันไม่มีความทรงจำว่าตนเองถูกสังหารแม้แต่น้อย เขาจำได้ถึงตอนที่หวังเป่าเล่อดูดพลังจากชุดคลุมออกศึก และตนเองรีบรุดไปจัดการเรื่องนี้ ก่อนที่จะทันได้ทำอะไร หวังเป่าเล่อก็ระเบิดชุดเกราะจักรพรรดิออก และทำลายถ้ำลงเสียเหี้ยนเตียน ชั้นหนึ่งและชั้นสองของเรือบินรบถูกทำลายเสียหาย
โยวหรันเลิกติดตามหวังเป่าเล่อในทันที เขาเริ่มย่อยเหตุการณ์ต่อและเดินหน้าตามแผนการเดิมที่วางไว้!
ชายชราไม่สงสัยสิ่งใดแม้แต่น้อย สตรีผู้กุมชะตาปล่อยโยวหรันที่เกิดใหม่นี้ให้ควบคุมเมี่ยเลี่ยจื่อซึ่งถูกล้างสมอง และผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ได้ดังเดิม
เขาไม่รู้เลยว่าในเรือบินรบมีชั้นที่สี่อยู่ด้วย และมีดวงตาคู่หนึ่งที่แอบจ้องมองเขาอยู่เงียบๆ
“ทุกอย่างในจักรวาลนี้ รวมถึงดวงดาว…ล้วนมีเส้นทางที่ตนเองต้องก้าวเดิน การเฝ้าดูโชคชะตาของพวกเขาแทนที่จะเข้าแทรกแซง ทำตนเองให้กลายเป็นพระเจ้าที่คอยนำพาพวกเขาไปในทางที่ถูกต้องนี่แหละ…คือแก่นของเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋า! หรือจะเรียกว่า…เมล็ดพันธุ์สวรรค์เต๋าก็ย่อมได้! ก่อนหน้านี้ผู้ฝึกตนที่ฝึกวิชานี้เดินทางผิดกันไปเสียหมด!” สตรีผู้ที่ห้อมล้อมด้วยแสงเรืองเรื่อที่ชั้นสี่พึมพำกับตนเอง ดวงตาไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ นางหันไปมองที่ทิศหนึ่ง
สายตาของนางมองทะลุเรือบินรบ ผ่านกระบี่สำริดโบราณ ผ่านห้วงอวกาศอันเวิ้งว้าง ไปยัง…ดวงจันทร์!
“เพราะเหตุนี้อย่างไรเล่า…สามีข้า ข้าจึงไม่เสียใจกับสิ่งที่ตนเองได้กระทำไปแม้แต่น้อย ระหว่างเราสองคน ข้าคือคนที่เหมาะสมที่สุดในการสืบทอดวิชานี้… ท่านอาจารย์ของเจ้าเลือกผิดแล้ว เจ้าสูญเสียดอกบัวสีเขียวของตนเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าคู่ควรกับการได้รับถ่ายทอดเคล็ดเวทนี้… ถึงข้าจะใช้เล่ห์กลขโมยวิชาที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้ให้เจ้ามาจนทำให้เจ้าต้องตาย แต่เจ้าถึงกับต้องอาฆาตแค้นข้าจนกลายเป็นผีดิบที่ไม่ยอมไปสู่สุขติเสียทีเลยหรือ”
บทที่ 667 ประกาศสงครามกับสหพันธรัฐ
ไม่มีใครบนกระบี่สำริดเขียวโบราณที่รู้จักสตรีผู้ซึ่งกำลังมองไปยังดาวโลกนางนี้ และต่อให้มีใครรู้จักนาง ก็คงหาทางลงไปที่ชั้นสี่ของเรือบินรบ เพื่อจ้องมองตัวตนของนางให้แน่ใจไม่ได้อยู่ดี
และไม่ว่าวิชาที่นางมีไว้ในครอบครองจะเป็นวิชาเมล็ดพันธุ์ดาราเต๋าหรือเมล็ดพันธุ์สวรรค์เต๋า ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหวังเป่าเล่อในตอนนี้แต่อย่างใด การเผชิญหน้าระหว่างชายหนุ่มกับโยวหรันปลุกพลังของฝักกระบี่ภายในกายของเขาออกมา และปล่อยเส้นคำสาปที่ฝักกระบี่หลอมรวมเข้าไปจนทำให้โยวหรันถึงแก่ความตาย
หากข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป ทั้งสำนักและสหพันธรัฐคงตกอยู่ในความโกลาหลเป็นแน่ เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย!
หวังเป่าเล่อใช้พลังจากภายนอกช่วยมากมาย ทั้งเคล็ดเวทลับอย่างหัตถ์ดึงวิญญาณ นิมิตหมุนวน หมื่นภัยพิบัติ และพันชีวิต อีกทั้งยังโยนเกราะจักรพรรดิให้ระเบิด รวมถึงดูดพลังจากชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะอีกด้วย นอกจากนี้โยวหรันยังไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมสู้ และท่าไม้ตายสุดท้ายของหวังเป่าเล่อก็เป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายเช่นกัน
โยวหรันตัวแข็งทื่อไปในเสี้ยววินาทีสุดท้ายขณะพยายามเคลื่อนย้ายหนีเพื่อหลบหลีกเส้นคำสาปสีดำ แต่หวังเป่าเล่อ แม่นางน้อย หรือกระทั่งสตรีลึกลับก็ไม่ได้สังเกตเห็นจังหวะนั้น
นั่นคือสาเหตุที่แท้จริงของการตายของโยวหรัน ด้วยพลังปราณอันแก่กล้าของเขา โยวหรันย่อมหลบการโจมตีของเส้นคำสาปไปได้ แม้จะได้รับบาดเจ็บแต่ก็อาจไม่ถึงแก่ความตาย
การสิ้นชีพของโยวหรันส่งให้สตรีลึกลับสร้างโยวหรันคนใหม่ขึ้นมา แต่แม้นางจะใส่ความทรงจำของโยวหรันคนเก่าลงไปในร่างใหม่ ก็ยังมีช่วงเวลาที่ขาดหายไประหว่างตอนที่โยวหรันตายและเกิดใหม่อยู่ดี
นางอาจไม่ได้สนใจเรื่องนี้ หรืออาจเป็นอย่างที่นางกล่าวอ้างว่าวิชาของนางนั้นคือเมล็ดพันธุ์สวรรค์เต๋า นางปฏิบัติตามกฎชุดหนึ่งที่ตนเองบรรลุและเชื่อถือ สตรีลึกลับผู้นี้คอยเฝ้าดูชีวิตของผู้คนแทนที่จะเข้าแทรกแซงโดยตรง นางเปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นเหมือนพระเจ้าที่เฝ้าดูผู้คน และปรับชะตาชีวิตของพวกเขาให้เดินไปในทางที่นางต้องการอย่างลับๆ
ผลของการแทรกแซงนี้…ทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงมาโผล่ที่ด้ามกระบี่หลังจากที่เคลื่อนย้ายออกจากเรือบินรบ และมีเวลาให้หนีออกจากจุดเกิดเหตุได้ทันท่วงที คนอื่นอาจเดินทางกลับถึงสำนักวังเต๋าไพศาลได้ไม่รวดเร็วเท่านี้ แต่เจ้าเยี่ยเหมิงมีศักดิ์เป็นศิษย์สำนักใน จึงทำให้นางมีอำนาจปรับวงแหวนปราณจำนวนหนึ่งบนกระบี่สำริดโบราณได้ ทั้งยังมีความรู้มากพอที่จะทำเช่นนั้นด้วย
สิทธิ์พิเศษนี้ทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงระบุตำแหน่งวงแหวนปราณบนเกาะที่ใกล้ที่สุดได้ภายในระยะเวลาอันสั้น นางปรับโครงสร้างของวงแหวนปราณ และเคลื่อนย้ายตนเองออกไปเป็นระยะไกล
ด้วยเหตุนี้เจ้าเยี่ยเหมิงจึงสื่อสารกับประมุขสวีและคนอื่นๆ ในสำนักวังเต๋าไพศาลได้ทันการ เมื่อประมุขสวีได้รับข้อความเสียงของเจ้าเยี่ยเหมิงที่ส่งมาอย่างเร่งรีบ เขาก็หายใจเร็วขึ้นทันที สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจกับเหตุการณ์ร้ายที่ไม่คาดคิด
“เมี่ยเลี่ยจื่อถูกล้างสมอง ไม่มีใครรู้ชะตากรรมของเฟิ่งชิวหรัน โยวหรันมาจากตระกูลไม่รู้สิ้น! ภารกิจนี้เป็นกับดัก ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมภารกิจไม่ตายก็ถูกล้างสมอง ประมุขสวี…ท่านต้องรีบอพยพทุกคนออกไปให้เร็วที่สุด!”
ความตกใจเข้ายึดครองใบหน้าของประมุข เขาไม่ลังเลที่จะเชื่อเจ้าเยี่ยเหมิงในทันที ไม่มีเวลาให้มานั่งคิดถึงรายละเอียดอะไรอีกแล้ว ประมุขสวีรีบติดต่อต้นไม้ยักษ์ ให้รวบรวมพันธุ์กล้าสหพันธรัฐทุกคนเพื่อปฏิบัติตามแผนการที่พวกเขาได้วางไว้ระหว่างทำภารกิจ
หวังเป่าเล่อทิ้งคำสั่งเอาไว้ก่อนจากไปยังเรือบินรบ และประมุขสวีเองก็เป็นจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์มากประสบการณ์ เขาไม่เห็นด้วยกับการปฏิบัติการช่วยเหลือครั้งนี้ และเตรียมรับมือสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่จะเกิดขึ้นไว้แล้ว แม้จะตกใจเมื่อได้ฟังสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้สติแตกแต่อย่างใด ประมุขสวีเดินหน้าตามแผนการอย่างรัดกุม
ภายในเวลาหกชั่วโมงทุกคนก็พร้อมออกเดินทาง ตอนที่ประมุขสวีเดินทางมาพร้อมพันธุ์กล้าสหพันธรัฐรุ่นที่สอง เขาได้บอกหวังเป่าเล่อว่าภารกิจของตนคือการสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายลับ แล้วก็ได้ใช้งานมันจริงๆ เสียด้วย
การสร้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายลับนี้เป็นเรื่องยากที่จะทำให้สำเร็จ แต่เมื่อหวังเป่าเล่อได้ตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่มาครอบครอง การส่งทรัพยากรและปกปิดร่องรอยภารกิจก็เป็นไปโดยราบรื่น ขณะที่ทุกคนออกไปทำภารกิจบนเรือบินรบ ประมุขสวีก็เป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่ในสำนัก แม้จะไม่มีอำนาจใช้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายหลัก แต่ก็มีวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายลับที่พร้อมใช้งานอยู่ในอาณัติ
หลังจากที่ปลุกวงแหวนปราณขนาดเล็กขึ้นมาเรียบร้อย ประมุขสวีก็ส่งผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐไปเป็นชุดๆ ด้วยความที่มีจำนวนน้อยอยู่แล้ว การเคลื่อนย้ายจึงเป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น แม้วงแหวนปราณนี้จะมีขนาดเล็กก็ตาม
ต้นไม้ยักษ์จากไปพร้อมผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐชุดแรก เพื่อรายงานภัยที่เกิดขึ้นบนกระบี่สำริดโบราณ ส่วนประมุขสวียืนอยู่ในวงแหวนปราณอย่างเงียบๆ เพื่อปรับเปลี่ยนวงแหวนปราณให้ทำลายตนเองหลังจากส่งผู้ฝึกตนชุดสุดท้ายกลับไปเรียบร้อย เขายังไม่ยอมจุดให้วงแหวนปราณระเบิด แต่กลับยืนกำแหวนสื่อสารเอาไว้และมองออกไปในระยะไกล เฝ้ารอด้วยความกระวนกระวาย
ประมุขสวีรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นส่วนใหญ่ในเรือบินรบเต๋ามรณะผ่านข้อความของเจ้าเยี่ยเหมิง เขารู้ดีว่าโอกาสที่หวังเป่าเล่อจะรอดชีวิตกลับมานั้นมีน้อยเพียงใด ความคิดนี้ทำให้จิตใจของเขาจมดิ่งสู่ความหดหู่ กระนั้นแสงแรงกล้าก็ยังทอประกายอยู่ในดวงตา
หนึ่งวันผ่านไป เจ้าเยี่ยเหมิงที่ใช้อำนาจของตนในฐานะศิษย์สำนักใน และความชำนาญด้านวงแหวนปราณในการปรับเปลี่ยนวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายระหว่างทาง จนกลับมาถึงสำนักได้ในที่สุด ทั้งสองเตรียมตัวเคลื่อนย้ายออกจากกระบี่สำริดเขียวโบราณในทันที เจ้าเยี่ยเหมิงมองไปยังทิศที่เรือบินรบเต๋ามรณะอยู่ รู้ดีว่ารอต่อไปไม่ได้แล้ว จึงถอนหายใจและยอมจากไป
พวกเขาไม่ได้บอกศิษย์ในสำนักวังเต๋าไพศาลว่าเกิดสิ่งใดขึ้น เนื่องจากไม่ทราบว่าใครไว้ใจได้บ้าง ชะตากรรมของสหพันธรัฐอยู่ในมือพวกเขา ทั้งสองจึงไม่กล้าเสี่ยง
เสียงระเบิดดังก้องไปทั่วบริเวณขณะที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายลับกำลังถูกทำลาย เสียงระเบิดนั้นดังกว่าการเคลื่อนย้ายก่อนหน้านี้ ทำให้ทั่วทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลรับรู้ถึงเหตุการณ์ดังกลาว
ตู้กูหลินเป็นคนแรกที่สัมผัสได้ถึงกระแสปราณที่ผิดปกตินี้ เขาหายตัวออกจากที่ถือสันโดษ และมาปรากฏตัวอีกครั้งตรงจุดที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายลับเคยอยู่ วงแหวนปราณเล็กอยู่หลังตำหนักผู้อาวุโสสูงสุดของหวังเป่าเล่อ และบนพื้นยังมีร่องรอยของวงแหวนปราณที่เพิ่งถูกทำลายไปหมาดๆ ปรากฏให้เห็น ความรู้สึกมากมายฉายขึ้นบนใบหน้าของตู้กูหลิน แต่เขาก็ยังคงนิ่งเงียบอยู่
ไม่นานนักข่าวการหายตัวไปของผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐก็แพร่ไปทั่วสำนัก ข่าวนี้กระจายไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง ก่อให้เกิดความสงสัยในหมู่สานุศิษย์เป็นอันมาก ไม่นานนักเสียงระเบิดก็ดังขึ้นอีกครั้งในทะเลเพลิงที่อยู่ไกลออกไป ส่งให้ทุกคนตัวสั่นสะท้าน พวกเขาหันไปดูทิศทางที่เกิดระเบิด และเห็นเรือบินรบยักษ์กำลังพุ่งออกจากทะเลเพลิงตรงมาทางพวกเขา
เรือบินรบเต๋ามรณะนั่นเอง!
โยวหรันซ่อมแซมเรือบินรบให้กลับมาใช้งานได้ดังเดิม แม้จะไม่สมบูรณ์เหมือนเก่าแต่ก็ยังทำงานได้ เรือบินรบเต๋ามรณะเข้าใกล้สำนักวังเต๋าไพศาลขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะหยุดลงข้างสำนักพอดิบพอดี เกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลดูเล็กเหมือนมดตัวน้อยเมื่อเทียบกับขนาดที่ใหญ่โตของเรือบินรบยักษ์นี้ ผู้ฝึกตนทุกคนต่างพากันตกใจกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า ก่อนที่ร่างมากมายจะพุ่งออกมาจากเรือบินรบ!
ทุกคนคุ้นเคยกับใบหน้าเหล่านั้นดี พวกเขาคือผู้ที่จากไปเพื่อทำภารกิจช่วยเหลือนั่นเอง ส่วนมากเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ มีเพียงไม่กี่คนที่เป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน สองคนในซึ่งเป็นเป้าสายตาที่สุดคือเมี่ยเลี่ยจื่อและโยวหรัน
ใบหน้าของทั้งสองเคร่งขรึมจริงจึง เมื่อมองใกล้ๆ จะเห็นว่าสีหน้าของเมี่ยเลี่ยจื่อดูเหมือนถูกสะกดจิตมากกว่าโกรธเกรี้ยว ส่วนโยวหรันนั้นดูบันดาลโทสะไปแล้วโดยสิ้นเชิง
จิตสัมผัสวิญญาณของเขาบอกว่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐได้ออกไปจากกระบี่สำริดเขียวโบราณหมดแล้ว และเขารู้ดีว่าเพราะเหตุใด
โยวหรันและเมี่ยเลี่ยจื่อ รวมถึงผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณราวสิบคนเหาะออกจากเรือบินรบ ทั้งหมดลอยอยู่กลางอากาศเหนือเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล ทุกคนที่อยู่บนพื้นดินเบื้องล่างมองขึ้นไปยังพวกเขาและทำความเคารพ
ตู้กูหลินยืนอยู่ในบรรดาผู้ฝึกตนเหล่านั้น พลางมองท่านอาจารย์ของตน ตู้กูหลินเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่สังเกตเห็นสีหน้าเหมือนโดนสะกดจิตบนหน้าของเมี่ยเลี่ยจื่อ เขามองอาจารย์ ก่อนหลับตาลงเพื่อเก็บซ่อนความเศร้าลึกอยู่ภายใน
ขณะที่ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลคุกเข่าทำความเคารพนั้น เมี่ยเลี่ยจื่อก็ประกาศ เสียงแหบต่ำของเขากังวานไปทั่วบริเวณเหมือนสายฟ้า
“ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐผิดคำสาบานและละทิ้งซึ่งศีลธรรมตน หวังเป่าเล่อเป็นแกนนำขโมยสมบัติล้ำค่าจากตระกูลไม่รู้สิ้นและทำร้ายผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล ไอ้พวกชั้นต่ำน่ารังเกียจนี้ซุ่มโจมตีผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรัน เพราะมันทั้งสาม ทำให้สำนักวังเต๋าไพศาลของเราต้องสูญเสียทรัพยากรอันมีค่าไปมากมาย!
“สหพันธรัฐเป็นศัตรู และมันต้องชดใช้สิ่งที่มันทำไว้!
“ข้าขอประกาศให้ทราบโดยทั่วกันไว้ ณ ที่นี้ ศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนจงมารวมตัวเดี๋ยวนี้ เราจะทำสงครามกับสหพันธรัฐ พวกเรา…จะลบสหพันธรัฐออกจากระบบสุริยะให้เหี้ยน พวกมันทุกคนจะกลายเป็นขั้นบันไดให้สำนักวังเต๋าไพศาลกลับไปรุ่งโรจน์อีกครั้งดังอดีตที่เคยเป็นมา!”
บทที่ 668 วังศักดิ์สิทธิ์!
สงครามระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นเรื่องที่จะต้องเกิดขึ้น แต่หวังเป่าเล่อยังไม่รู้เรื่องนี้ เนื่องจากเขายังไม่ได้สติอยู่ แม่นางน้อยใช้แท่นคงกระพันส่งหวังเป่าเล่อไปยังที่ที่ตัวเขาเองคงไม่ได้กล้ำกรายด้วยระดับพลังปราณที่มีอยู่ตอนนี้!
แม้จะมีศักดิ์เป็นถึงศิษย์อุปถัมภ์ แต่ก็ยังเป็นเรื่องยากสำหรับหวังเป่าเล่อที่จะมาเยือนสถานที่แห่งนี้อยู่ดี เนื่องจากต้องรอให้โอกาสพอเหมาะพอเจาะ และแม่นางน้อยก็เป็นผู้มอบโอกาสนั้นให้เขา!
ท้องฟ้าไม่ได้เป็นสีดำมืดเช่นเดียวกับบริเวณซากปรักหักพังในตัวกระบี่ ครึ่งหนึ่งของท้องฟ้าเป็นสีดำสนิท ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นสีแดงเพลิง หากมองบรรยากาศบนท้องฟ้าใกล้ๆ จะเห็นว่าอากาศถูกดึงให้บิดเบี้ยวในด้านที่เป็นทะเลเพลิง ท้องฟ้าสีแดงเดือดปะทุด้วยความร้อนรุนแรงมหาศาล!
ส่วนท้องฟ้าอีกครึ่งที่เป็นสีหมึกนั้นพร่างพรายด้วยดวงดาว ดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วนกระจัดกระจายอยู่ทั่ว พื้นดิน…เป็นที่ราบไร้เนิน ไม่มีทะเลเพลิงร้อนแรง ไม่มีทุ่งหญ้าเขียวขจี ไม่มีกระทั่งซากปรักหักพังหรือศพที่เป็นสัญญาณว่าเคยเกิดเหตุรบพุ่งที่นี่
หวังเป่าเล่อนอนอยู่บนพื้นไม่ไหวติง เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างแน่นิ่งไร้สติ เยียวยาตนเองได้อย่างเชื่องช้า แม้จะมีพลังของดอกบัวสีเขียวช่วยด้วยก็ตาม
เวลาค่อยๆ เดินผ่านไป ไม่มีใครรู้ว่านานเท่าใดเนื่องจากท้องฟ้าคงสภาพเดิมไม่เสื่อมคลาย ดูเหมือนว่าบริเวณนี้จะไม่มีทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย ราวกับดินแดนนี้จะคงอยู่ตราบชั่วกัลปาวสาน หรืออย่างน้อยนั่นก็เป็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อเห็นเมื่อเขาลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ท้องฟ้าที่ไม่เปลี่ยนแปลงชั่วนิรันดร์
ข้าอยู่…ที่ไหนกัน… ความอ่อนล้าและความเจ็บปวดแล่นไปทั่วร่าง ดวงตาของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความตกใจ
เขาตื่นมาหนึ่งวันเต็มแล้ว แต่จิตใจยังคงพร่ามัวว่างเปล่า ความทรงจำของเขาขาดหายไปบางส่วน จึงทำได้เพียงนอนมองท้องฟ้าอย่างไร้ปฏิกิริยาอยู่หนึ่งวันเต็ม ไร้ซึ่งการตอบรับต่อบรรยากาศโดยรอบ
ในหนึ่งวันที่ผ่านไปนั้น บาดแผลของหวังเป่าเล่อเริ่มเยียวยาตนเอง ความทรงจำที่ขาดหายค่อยๆ ได้รับการเติมเต็มอีกครั้ง แต่ก็ยังคงสับสนอยู่มาก อาจเป็นเพราะว่าก่อนจะหมดสติไป เขาได้ใช้เคล็ดเวทที่ทรงพลังจนน่ากลัว จึงทำให้สมองได้รับผลกระทบ
เรือบินรบเต๋ามรณะ…โยวหรัน…ถูกตามฆ่า…ฝักกระบี่… ชิ้นส่วนความทรงจำค่อยๆ ปะติดปะต่อเข้าหากัน หวังเป่าเล่อนอนนิ่งอยู่ตรงนั้น เรื่องราวมากมายสับสนวุ่นวายอยู่ในหัว ชายหนุ่มหายใจหนักขึ้นเมื่อดวงตาเริ่มชัดเจนขึ้นอีกนิด
จำได้แล้ว ข้าโดนโยวหรันตามฆ่า แล้วตอนสุดท้ายข้าก็ปล่อยพลังของเส้นคำสาปออกมาจากฝักกระบี่…ฆ่าโยวหรันตาย! ความทรงจำนั้นทำให้หวังเป่าเล่อเรียกสติตนเองกลับมาได้อีกครั้ง ทั้งร่างกายและจิตใจพลันเครียดขึง ชายหนุ่มรีบผุดตัวลุกขึ้นนั่งทันที ก่อนมองไปรอบตัวและเงยหน้าขึ้นดูท้องฟ้า
ความเวิ้งว้างของพื้นที่โดยรอบและท้องฟ้าที่ไม่คุ้ยเคย ทำให้หวังเป่าเล่อเงียบอยู่เป็นเวลานาน เขาหลับตาลงเรียกแม่นางน้อยในใจ แต่ก็ไม่ได้รับเสียงตอบกลับ
ชายหนุ่มเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง สำรวจบาดแผลบนร่างกายตนเอง และพบว่ามันสมานตัวไปเกือบครึ่งแล้ว จิตใจของเขายังคงเลือนไปด้วยเมฆหมอก ความคิดได้รับผลกระทบมากกว่าร่างกายเสียอีก ความทรงจำในหัวนั้นมีมาก แต่ก็ดูห่างไกลเหลือเกิน
หวังเป่าเล่อพอจะนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ความคิดของเขาได้รับความกระทบกระเทือนออกสองสามอย่าง แต่สิ่งที่ดูเป็นไปได้มากที่สุด…คือการบังคับใช้ฝักกระบี่ในการต่อสู้
“ขั้นปราณของข้ายังไม่สูงพอที่จะใช้ฝักกระบี่ เป็นเช่นนี้หรือเปล่านะ พอข้าบังคับใช้พลังของมัน ความทรงจำจึงถูกลบออกไปบางส่วน…” ชายหนุ่มพูดพึมพำกับตนเอง เขานวดหน้าผากก่อนหันไปมองพื้นที่รอบตัวอีกครั้ง อยากรู้ว่าตนเองมาตกอยู่ที่ใด
เมื่อสติกลับมาครบอีกครั้ง หวังเป่าเล่อก็เริ่มสำรวจบรรยากาศ ยิ่งมองลมหายใจของเขาก็ยิ่งถี่ขึ้น ความรู้สึกมากมายวาบผ่านขึ้นมาบนใบหน้า ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าลึก ทะลึ่งตัวขึ้นยืน พยายามสู้กับความวิงเวียนขณะวิ่งไปรอบๆ เพื่อตรวจตราพื้นที่ เมื่อเสร็จเรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็กลับมายืนนิ่งอยู่ตรงจุดเดิมด้วยจิตใจที่ปั่นป่วน
นี่ไม่ใช่บริเวณด้ามหรือตัวกระบี่ หรือเกาะอะไรทั้งสิ้น ไม่มีทะเลเพลิง ไม่มีพื้นที่ต้องสาป!
อุณหภูมิ…ต่ำกว่าที่ด้ามและตัวกระบี่… หัวใจของหวังเป่าเล่อระเบิดอยู่ในอก เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าด้านที่เป็นสีแดงอยู่สักพักหนึ่ง จากนั้นจึงหันไปมองท้องฟ้าสีดำที่เต็มไปด้วยดวงดาว เขามองดวงดาว พยายามหากลุ่มดาวที่คุ้นเคย แล้วก็ต้องตัวสั่นเทา เขารู้แล้วว่าตนเองอยู่ที่ใด!
ข้าอยู่ที่ปลายกระบี่… หวังเป่าเล่อมองพื้นที่อยู่แทบเท้า จิตใจรู้สึกเหมือนโดนสายฟ้าฟาด ส่งให้ร่างกายสั่นเทิ้ม ต้องใช้เวลาอยู่นานกว่าจะยอมรับความจริงได้ เขาอยู่ที่ปลายกระบี่จริงๆ เสียด้วย
ชายหนุ่มพอจะเดาออกว่าตนเองมาถึงที่นี่ได้อย่างไร
“ต้องเป็นแม่นางน้อยแน่ๆ … นางพาข้ามาที่นี่ระหว่างที่ข้าหมดสติอยู่” เขาพึมพำบอกตนเอง ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ได้แต่นั่งลงกับพื้นและหยิบโอสถออกมาเริ่มกระบวนการเยียวยาตนเอง
หวังเป่าเล่อจำได้ว่าโยวหรันเสียชีวิตแล้ว ซึ่งแปลว่าสงครามระหว่างสหพันธรัฐกับสำนักวังเต๋าไพศาลจะไม่มีอีกต่อไป แต่ต่อให้เกิดการรบพุ่งกันขึ้น ความแตกต่างระหว่างพลังของทั้งสองฝ่ายก็ไม่ได้ห่างชั้นกันมากเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว สหพันธรัฐคงไม่โดนสำนักวังเต๋าไพศาลทำลายล้างได้ง่ายๆ แน่
ด้วยเหตุนี้หวังเป่าเล่อจึงไม่ได้ตื่นตูม เขาใช้เวลาสองสามวันรักษาบาดแผลตนเองให้หาย ความทรงจำกลับมาแจ่มชัดอีกครั้งเช่นกัน ชายหนุ่มลุกขึ้นยืน สายตาตื่นตัว เริ่มสำรวจสถานที่ทุกซอกทุกมุม
สถานะผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลทำให้หวังเป่าเล่อรู้ข้อมูลที่ศิษย์ทั่วไปไม่ทราบ ยกตัวอย่างเช่น ข้อมูลที่ว่าที่ปลายกระบี่…เป็นสถานที่ต้องห้ามของสำนัก ตำนานกล่าวเอาไว้ว่า ดินแดนนี้เป็นสถานที่ที่ผู้อาวุโสแต่โบราณกาลนิทราอยู่นั่นเอง!
ผู้อาวุโสที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มนี้มีปราณระดับดาวพระเคราะห์ บางคนก็มีปราณอยู่ที่ระดับดารานิรันดร์ เฟิ่งชิวหรันเคยบอกเขาว่า นางเชื่อว่ามีผู้อาวุโสระดับดาราจักรหลายคนที่รอดชีวิต และกำลังเยียวยาตนเองอยู่ที่ปลายกระบี่
นางไม่มีข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้ แต่เมี่ยเลี่ยจื่อก็เชื่อเช่นเดียวกัน หวังเป่าเล่อฟังสิ่งที่นางพูดโดยไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เขาเคยคิดว่าตนเองต้องมาเหยียบปลายกระบี่ให้ได้สักวันหนึ่ง แต่ไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วถึงเพียงนี้!
ด้วยความที่แม่นางน้อยกำลังจำศีลอยู่ หวังเป่าเล่อจึงต้องระวังทุกย่างก้าว เขาเดินช้าลงขณะสำรวจพื้นที่รอบตัว ปลายกระบี่นั้นกว้างใหญ่ แต่ก็เทียบไม่ได้กับตัวกระบี่แม้แต่น้อย ชายหนุ่มเดินทางอยู่หลายวัน ก่อนที่พื้นดินจะเริ่มเปลี่ยนสภาพไป แม้กระนั้นท้องฟ้าก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
ราวกับว่าดินแดนแห่งนี้ถูกใครบางคนขีดเส้นแบ่งออกเป็นสองส่วน ชั้นป้องกันสร้างจากน้ำแข็งและหิมะพาดยาวเป็นเส้นต่อหน้าชายหนุ่ม กว้างไกลจรดปลายฟ้าสุดลูกหูลูกตา
หวังเป่าเล่อยืนอยู่เบื้องหน้าหิมะและน้ำแข็ง มองพื้นที่สีขาวเย็นเยียบตรงหน้าห่างไปหลายเมตร เขาคิดสะระตะอยู่สักพัก ก่อนจะก้าวข้ามไปยังดินแดนน้ำแข็งนั้น
ลมหนาวพัดกรรโชกเข้าใส่ชายหนุ่มทันทีที่เท้าของเขาก้าวข้ามไปยังแดนเหมันต์ ลมพัดเข้าใส่ชั้นป้องกันที่บัดนี้อยู่เบื้องหลังเขาและหยุดชะงักไป ราวกับโลกน้ำแข็งนี้อยู่คนละมิติกับพื้นที่ราบเรียบที่อยู่เบื้องหลัง
ท้องฟ้าแบ่งออกเป็นสองซีก ซีกแรกร้อนระอุ อีกซีกสว่างไสวด้วยแสงดาวพร่างพราย พื้นดินปกคลุมด้วยหิมะและน้ำแข็งจนมิด ภาพประหลาดนี้ทำให้หวังเป่าเล่อระวังยิ่งกว่าเดิม เขาไม่หยุดเดิน แต่ก็ไม่ได้เร่งรีบจนไม่ระมัดระวัง หลังจากผ่านไปพักใหญ่ ชายหนุ่มก็เห็นสิ่งปลูกสร้างหน้าตาเป็นเอกลักษณ์ขนาดใหญ่สามหลังตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า เขาหยุดชะงักอยู่กับที่ ดวงตาเบิกกว้าง
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน หวังเป่าเล่อหายใจเอาลมเย็นเข้าปอดและเริ่มเพิ่มความเร็วขึ้น อาคารสูงทั้งสามชัดเจนขึ้นในสายตาเมื่อเข้าไปใกล้
อาคารทั้งสามนี้…คือวังสูงสามร้อยเมตรห่อหุ้มด้วยน้ำแข็ง ดูราวกับเป็นธารน้ำแข็งยักษ์สามธารที่ตั้งตระหง่านอย่างไรอย่างนั้น!
หวังเป่าเล่อตะลึงกับความยิ่งใหญ่อลังการของสิ่งปลูกสร้างทั้งสามมาก เขาเข้าไปใกล้อาคารพอประมาณ ทันใดนั้น…กระแสจิตหนึ่งก็พุ่งออกจากวังทางด้านซ้าย!
กระแสจิตนั้นเปรียบเสมือนพายุล่องหนน่าหวาดหวั่น ที่พัดหอบเอาอากาศเข้ามาปะทะหวังเป่าเล่อเหมือนคลื่นทรงพลัง ชายหนุ่มเป็นเพียงแพน้อยที่ลอยเท้งเต้งอยู่กลางทะเล จิตใจของเขาเปลี่ยนเป็นว่างเปล่า กระแสจิตน่ากลัวนั้นไม่ได้ตรึงตัวเขาไว้นาน แต่ล่าถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นเสียงเยือกเย็นไร้อารมณ์ก็ดังสะท้อนขึ้นในอากาศ
“ในฐานะศิษย์อุปถัมภ์ เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอที่จะแบกรับหน้าที่ในการสร้างสำนักวังเต๋าไพศาลขึ้นใหม่อีกครั้ง เจ้าสามารถเข้าไปในวังวิญญาณลำดับแรก เพื่อบรรลุขั้นการฝึกตนของเจ้าได้!”
หวังเป่าเล่อยังไม่ทันได้ตอบโต้คำประกาศนั้น วังยักษ์ทางด้านซ้ายก็ปล่อยเสียงแตกร้าวออกมา น้ำแข็งที่ห่อหุ้มวังแรกแตกกระจายฉับพลัน น้ำแข็งร้าวร่วงลงบนพื้น เผยให้เห็นหน้าตาของวังที่แท้จริงเบื้องหน้าชายหนุ่ม!
เมื่อออกจากคุกน้ำแข็งได้ วังก็เริ่มเรืองแสงสีแดงเข้มออกมา แสงนั้นเปลี่ยนเป็นเสายักษ์ที่พุ่งทะยานขึ้นไปยังสรวงสวรรค์!
บทที่ 669 หวังเป่าเล่อผู้ไม่ยอมแพ้!
หวังเป่าเล่อจ้องกำแพงน้ำแข็งที่พังทลายลงในชั่วพริบตา วังขนาดใหญ่เผยโฉมให้เห็นเบื้องหน้า ลำแสงสีแดงเข้มพุ่งขึ้นเสียดท้องฟ้า ลมหายใจของชายหนุ่มหยุดลงชั่ววินาที ผมของเขาถูกพัดปลิวด้วยคลื่นพลังปราณที่ไหลบ่าออกจากลำแสงสีแดงสูงตระหง่าน ร่างเซถลาไปด้านหลังตามแรงกระแทกของกระแสปราณ
พื้นดินรอบกายเริ่มสั่นสะเทือน ราวกับอสูรร้ายที่หลับไหลมานานชั่วกัปชั่วกัลป์ได้ลืมตาตื่นขึ้นโดยฉับพลัน พลังรุนแรงแผ่ออกจากอสูรร้ายที่อยู่ตรงหน้า จนทำให้โลกสั่นสะท้าน!
แม้หวังเป่าเล่อจะไม่ได้ดูเหมือนมดตัวจ้อยเมื่อยืนอยู่หน้าวัง แต่ก็ยังเล็กนักเมื่อเทียบกัน ขนาดของวังและพลังปราณที่ปล่อยออกมานั้น ทำให้ผู้ที่ได้พบเห็นรู้สึกได้ถึงความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเหลือคณนา
ความยิ่งใหญ่นี้ทวีความน่าประทับใจขึ้นอีกหากได้มองวังนี้จากระยะไกล วังทั้งสามสูงตระหง่านอลังการ วังด้านซ้ายที่ปล่อยแสงเจิดจ้าสีแดงเข้มออกมายิ่งดูโดดเด่นขึ้นไปอีก ในยามที่วังอีกสองวังที่เหลือยังคงถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งเย็นเยือก
ไอเข้มข้นรุนแรงจากวังใช้เวลานานกว่าสามสิบวินาทีจึงค่อยๆ สลายไป ลำแสงสีแดงเข้มยังคงพุ่งตรงขึ้นสู่สรวงสวรรค์เบื้องบน กระแสปราณยังคงกระเพื่อมเป็นวงกว้างต่อเนื่อง แต่ทุกอย่างนอกเหนือจากนี้กลับสู่สภาวะปกติแล้ว ประตูวังสีแดงแง้มออกเพียงเล็กน้อง ปล่อยให้แสงสีแดงสาดส่องออกมายังโลกภายนอก
ทางที่เปิดออกนั้นแคบมากจนดูเหมือนเป็นรอยแยกเล็กๆ เมื่อเทียบกับวังทั้งหมด แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้ว ประตูที่แง้มออกเพียงเล็กน้อยนั้นกว้างพอให้ชายฉกรรจ์สามคนเดินจูงมือเรียงหน้ากระดานเข้าไปอย่างพร้อมเพรียง
ภาพตรงหน้าให้รู้สึกยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม แต่ชายหนุ่มไม่ใช่เด็กน้อยวัยแตกพานด้อยประสบการณ์คนเดิมที่เพิ่งก้าวสู่เส้นทางการฝึกตน เขาไม่ได้รีบพุ่งเข้าไป หากแต่ตรวจตราสภาพโดยรอบดูให้แน่ใจก่อน แล้วคิดสะระตะถึงเสียงเย็นเยียบที่ดังกังวานเมื่อครู่ หวังเป่าเล่อเริ่มปะติดปะต่อข้อมูลเท่าที่มีเข้าด้วยกัน เพื่อกลั่นกรองเป็นข้อสรุปของตนเอง
ดูเหมือนว่าข้าจะเจอโอกาสทองเข้าแล้ว! ดวงตาของชายหนุ่มเป็นประกายสดใส สุกสกาวด้วยความตื่นเต้นและความกระหาย เขาใฝ่ฝันถึงการได้เป็นผู้นำสหพันธรัฐมาตั้งแต่ตอนยังเป็นเด็กน้อย และรู้ดีว่ามีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้น…ที่จะได้อำนาจในการควบคุมสหพันธรัฐไปครอบครอง หากเขาเก่งกล้าขึ้นได้อีก ก็จะมีอำนาจกำหนดเส้นทางชีวิตตนเอง!
หลังจากที่รอดมาจากการปะทะกับโยวหรัน และผ่านความรู้สึกไร้ประโยชน์ไร้ความสามารถจากเหตุการณ์ที่พบเจอมาบนเรือบินรบเต๋ามรณะ หวังเป่าเล่อก็คิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้นว่าเขาจะต้องพัฒนาขั้นปราณและพละกำลังของตนเองให้จงได้ แม้จะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่ในใจของชายหนุ่มก็ท่วมท้นไปด้วยความกระหายพลังที่เหนือกว่าผู้ใดทั้งปวง!
หลังจากที่ประเมินสถานการณ์เรียบร้อย หวังเป่าเล่อก็พุ่งเข้าใส่วังตรงหน้าด้วยความมุ่งมั่น เขามาหยุดอยู่หน้าวังแทบจะในทันที ยืนอยู่เบื้องหน้าประตูที่เปิดออก กัดฟันแน่น ก้าวเข้าไปในแสงสีแดงที่อาบไล้สู่อีกฟากของประตู!
ภาพเบื้องหน้าพร่ามัวก่อนจะชัดเจนขึ้นในบัดดล ในวังนั้นมีแต่ความว่างเปล่าไพศาล รอบกายของเขามีรูปปั้นอยู่สามตัว รูปปั้นทั้งสามมีไข่มุกสีแดงอยู่เหนือศีรษะ ไข่มุกเหล่านั้นปล่อยแสงสีแดงเรืองเรื่อ และเบื้องหน้าเขามีผู้อาวุโสผู้หนึ่งอยู่!
ความตกใจเข้าเกาะกุมหวังเป่าเล่อทันทีที่ได้เห็นผู้อาวุโสคนนั้น เขารีบถอยหลังไปสองสามก้าว ก่อนจะควบคุมลมหายใจให้กลับเข้าสู่สภาวะปกติ ทำมือคารวะ และโค้งตัวลงต่ำ
“ขอคารวะศิษย์พี่ผู้อาวุโส!”
หวังเป่าเล่อยืนก้มตัวอยู่อย่างนั้น พลางแอบดูผู้อาวุโสที่นั่งอยู่ตรงหน้า ในตอนแรกเขาสงสัยว่าคนผู้นั้นเป็นใครกันแน่ แต่ไม่นานก็เริ่มตระหนักได้ถึงความผิดปกติ
ไม่ใช่ตัวจริงหรอกหรือ ความคิดนี้แล่นเข้ามาในหัวหวังเป่าเล่อ เขาเห็นแล้วว่าร่างของผู้อาวุโสตรงหน้าไม่ใช่ของจริง ร่างนั้นดูเหมือนเป็นภาพมายาที่นั่งอยู่ ไม่ยอมขยับเขยื้อนเคลื่อนกายใดๆ
ขณะที่หวังเป่าเล่อสังเกตการณ์ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้า ผู้อาวุโสที่หลับตาอยู่นานเท่าใดไม่มีใครทราบได้ ก็พลันลืมตาขึ้น ดวงตาทั้งสองข้างของเขาสว่างไสวเหมือนดวงดาวแฝดที่พุ่งเข้าหาหวังเป่าเล่อ
ชายหนุ่มรู้สึกราวกับว่ามีบางสิ่งระเบิดภายในใจของเขา ดวงตาคู่นั้นเหมือนทะลุผ่านร่างของเขาไป เปิดเผยความลับในตัวเขาออกเสียหมดสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเผยออกมาต่อหน้าสายตาที่ราวกับกำลังประเมินของผู้อาวุโสผู้นี้
แต่อำนาจของสายตานั้นก็คงอยู่ไม่นานนัก ผู้อาวุโสมองไปทางอื่นในที่สุด เหงื่อเม็ดเป้งผุดออกจากหน้าผากหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มหายใจหนัก ตกตะลึงอยู่กับที่ เขายังไม่ทันได้เรียกสติตนเองกลับมา เสียงแหบของภาพมายาผู้อาวุโสก็พูดขึ้นก่อน
“เจ้ามีคุณสมบัติเพียงพอเข้ารับการทดสอบ หากเจ้าต้านทานกระแสพลังปราณของข้าได้จนข้านับถึงสิบ จะถือว่าเจ้าผ่านการทดสอบนี้ และจะได้รับโอกาสเข้าไปยังสระโลหิตหมื่นวิญญาณ เพื่อสร้างเสริมร่างกายของเจ้าให้แข็งแกร่งขึ้น!”
ผู้อาวุโสไม่ได้ให้โอกาสหวังเป่าเล่อตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนอ หากแต่เมื่อพูดจบ เขาก็พลันยกมือขวาขึ้นและชี้มาที่ชายหนุ่ม ทันทีที่นิ้วนั้นนิ่งอยู่กลางอากาศ พลังรุนแรงราวพายุก็ระเบิดออกจากร่างของผู้อาวุโส กระแสพลังปราณโหมเข้าใส่หวังเป่าเล่อเหมือนคลื่นยักษ์ที่เกิดจากลมพายุร้าย หมายพัดพาให้ชายหนุ่มล้มลง
พลังนั้นรุนแรงมากเสียจนทำลายได้ทุกสิ่ง จนถึงกับทำให้โลกและผืนฟ้าสั่นสะท้าน และดวงตาของหวังเป่าเล่อพร่าเลือน เขากลายเป็นใบไม้ที่ปลิดปลิวท่ามกลางพายุพิโรธ ควบคุมไม่ได้แม้กระทั่งความคิดหรือหนึ่งลมหายใจของตนเอง ร่างของเขากรีดร้อง ก่อนที่ชายหนุ่มเจ้าของร่างจะหมดสติไปในทันที ร่างสั่นเทิ้มด้วยพลังน่าพรั่นพรึงที่กดทับ
หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าตนเองหลับไปนานเพียงใดก่อนที่จะกลับมาลืมตาตื่นอีกครั้ง เขานอนอยู่นอกวังท่ามกลางความเงียบสงัด ชายหนุ่มงุนงงอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะรีบผุดลุกขึ้นนั่ง ความทรงจำที่เกิดขึ้นก่อนสลบไปไหลเข้ามาในจิตใจ หวังเป่าเล่อหยุดหายใจไปชั่วขณะ หันขวับไปมองวังสีแดง เมื่อเห็นว่าประตูยังคงเปิดอยู่ ชายหนุ่มก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
ดูเหมือนว่าต่อให้ทำพลาด บททดสอบนี้ก็จะยังไม่หายไป… ต่อให้ข้าสอบตกก็จะไม่มีอันตรายเกิดขึ้น เพียงแต่ถูกซัดออกมาเท่านั้น หวังเป่าเล่อนั่งคิดอยู่เงียบๆ เขานึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนจะหมดสติไป พลางสรุปว่าต้องเป็นเพราะเขาไม่ได้เตรียมตั้งรับเป็นแน่
ลองดูอีกสักตั้งก็แล้วกัน! ความมุ่งมั่นแรงกล้าฉายเข้ามาในดวงตาของชายหนุ่ม เขาลุกขึ้นยืน หันตัวเปลี่ยนทิศ และมาหยุดอยู่หน้าทางเข้าวังอีกครั้ง ครั้งนี้เขาเตรียมตัวเตรียมใจมาเป็นอย่างดี ชายหนุ่มปล่อยพลังปราณทั้งหมดของตนเองออกมาทันทีที่เข้าไปในวัง และร้องคำรามก้อง พยายามอย่างเต็มที่ที่จะยืนหยัดอยู่ที่เดิม แต่ก็ทนได้ไม่นานนัก พายุพลังปราณที่ผู้อาวุโสซัดออกมาหมุนวนอยู่ภายในโถงอีกครั้ง วินาทีต่อมาร่างของหวังเป่าเล่อก็พุ่งออกจากโถง ผ่านช่องประตูแคบๆ ออกไปกระแทกลงบนพื้นข้างนอก และหมดสติไปในทันที
หวังเป่าเล่อตื่นขึ้นอีกครั้งในหนึ่งชั่วโมงถัดไป เขาลุกขึ้นนั่ง มองไปที่วังตาไม่กะพริบ ฟันเฟืองในหัวทำงานอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มได้ข้อสรุปว่าตนเองคงจะผ่านบททดสอบนี้ไปไม่ได้ง่ายๆ
แต่กฎไม่ได้บอกนี่ว่าห้ามใช้สมบัติเวท! หวังเป่าเล่อตาเป็นประกายวาบ เขาก้มหน้าลงค้นกระเป๋าของตนเอง หลังจากผ่านไปสักพักก็หยิบอาวุธเวทออกมาสองสามชิ้น ชายหนุ่มติดอาวุธให้ตนเองและก้าวเข้าไปในวังอีกครั้ง คราวหน้าเขาทนได้ถึงนับสาม ในวินาทีที่สี่ ชายหนุ่มก็ล้มตึงไปข้างหลังและหมดสติ ร่างของเขาถูกซัดออกจากวังอีกรอบ
ไม่ใช่ว่าร่างกายของข้าทนแรงกดดันไม่ไหว แต่เป็นเพราะประสาทสัมผัสของข้าต่างหาก ประสารทสัมผัสของข้าไวเกินไป ทำให้ข้าได้รับผลกระทบจากแรงกดดันจำนวนมหาศาล หากข้าทำให้ประสาทสัมผัสของตนเองทื่อลงได้ ก็มีโอกาสที่จะผ่าน… เมื่อลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้งหวังเป่าเล่อก็นิ่วหน้าและเริ่มคิดหาทางออก หลังจากที่คิดอยู่นาน ดวงตาของชายหนุ่มก็สว่างขึ้นอีกครา
หลังจากเข้าวังไปเรียบร้อย หากข้าตีให้ตัวเองหมดสติไปก่อน ก็แปลว่าข้าจะไม่รู้สึกถึงแรงกดดันแม้แต่น้อย ถ้าทำแบบนั้นข้าอาจจะผ่านก็เป็นได้ แต่ถ้าไม่ผ่านละก็…ข้าอาจต้องท่องบทสวด หวังเป่าเล่อเนื้อเต้นกับความคิดบรรเจิดของตนเอง ก่อนจะถอนใจออกมา เขาไม่อยากใช้บทสวดนอกเสียจากว่าจำเป็นถึงที่สุดจริงๆ ชายหนุ่มรู้สึกได้ว่าพลังลึกลับนั้นหลับไปแล้ว หลังจากที่ถูกปลุกขึ้นมาเมื่อครั้งก่อน หากเขาไปกระตุกหนวดเข้าอีกครั้ง อาจทำให้พลังลึกลับนั้นโกรธก็เป็นได้
“สงสัยจะไม่ชอบตื่นเช้า… แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คนอย่างข้า หวังเป่าเล่อ ต้องยืนหยัดด้วยลำแข้งของตนเอง เพื่อที่จะได้ครอบครองโอกาสการบรรลุขั้นปราณนี้!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง ก่อนจะกระโจนเข้าใส่รอยแยกประตูอีกครั้ง คราวนี้ก่อนที่ผู้อาวุโสจะซัดพลังออกมา เขาก็รีบตบหน้าผากตนเองอย่างแรงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เสียงแปะดังลั่นไปทั่ว เขาใช้พลังแรงพอตัวจนทำให้ตนเองหมดสติไป และเพื่อไม่ให้เสียแผน หวังเป่าเล่อยังปล่อยพลังปราณออกมาขณะตบด้วย เพื่อให้แน่ใจว่าตนเองจะหมดสตินิ่งสนิทจริงจนเหมือนนอนตาย ร่างของเขาตกลงบนพื้นเสียงดังลั่น ร่างมายาของผู้อาวุโสตัวแข็งทื่อเมื่อเห็นเหตุการณ์ ร่างนั้นเป็นเพียงภาพมายาจึงไม่ได้มีปัญญามากนัก ดูเหมือนการทำร้ายตนเองจนหมดสภาพของหวังเป่าเล่อจะทำให้ผู้อาวุโสงุนงงเป็นอันมาก
กระแสพลังปราณที่ผู้อาวุโสปล่อยออกมาจางหายไป สีหน้าของเขาดูเหมือนกำลังไตร่ตรองพิจารณา ว่าหวังเป่าเล่อผ่านเกณฑ์ของบททดสอบหรือไม่
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้ มีหลายคนที่หมดสติไปทันทีที่โดนซัดพลังปราณใส่ แต่อาการหมดสติของหวังเป่าเล่อเปรียบเสมือนการพยายามปิดประสาทสัมผัสทั้งห้าของตนโดยสิ้นเชิง ตอนนี้ตัวของชายหนุ่มไม่ต่างอะไรกับศพที่นอนตายอยู่บนพื้น ซึ่งแปลว่าเขาจะไม่ได้รับผลกระทบจากพลังกดดันของผู้อาวุโสอีกต่อไป… สิบวินาทีผ่านไป ร่างมายาของผู้อาวุโสยังคงจมอยู่กับว่าสับสน
เวลาผ่านไปเนิ่นนาน ผู้อาวุโสที่งุนงงมองหวังเป่าเล่อด้วยสายตาประหลาด ก่อนหลับตาลง
“เจ้าผ่านการทดสอบ!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น