ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 662-669

 บทที่ 662 สร้อยข้อมือเส้นใหม่


เหมยเหมยยืนหยัดหนักแน่นในคำพูดเดิม ที่ตามหาแหล่งน้ำและต้นชาโบราณเจอได้เพราะใช้แค่ความรู้สึก ทุกคนในตระกูลจ้าวต่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ไม่มีคำอธิบายอื่นแล้ว


“พรุ่งนี้หนูจะไปตักน้ำมาต้มชาอีก คุณปู่คุณย่าจะต้องดีขึ้นแน่นอนค่ะ” เหมยเหมยพูดขึ้นเสียงดัง


คุณปู่คุณย่าต่างชื่นใจ เหมือนกับการได้กินผลของโสมก็มิปาน สบายไปทั่วทั้งร่างกาย นอกเหนือจากความตื่นตันซาบซึ้งใจแล้วก็คือความเป็นห่วง


“เหมยเหมยต่อไปนี้ห้ามทำเรื่องอันตรายแบบนี้อีก ถ้าเดินไม่ไหวก็ให้พี่สามแบก อย่าไปปีนเขาสูงแบบนั้นอีก ให้พี่สามเป็นคนขึ้นไป” คุณย่าพูดด้วยความโมโห


จ้าวเสวียเอร่อกลอกตามองบน หรือแท้จริงแล้วเขาถูกเก็บมาจากกองขยะ ?


เหนื่อยจนตาย หกล้มจนตายไปก็ไม่มีใครสนใจ !


“ไม่ได้ค่ะ ร่างกายไม่แข็งแรงขนาดนั้น ยังมีโรคกลัวความสูงอีก เราไม่ควรทำร้ายพี่สามนะคะ !”


เหมยเหมยพูดด้วยความจริงใจ จ้าวเสวียเอร่อขอบตาร้อนผ่าว จากทีแรกเคยคิดว่าจะต้องอยู่ห่างจากน้องสาวให้มาก คิดวกไปวนมาสุดท้ายก็วนกลับมาที่เดิม


น้องสาวของตนยังถือว่ามีเมตตา ผู้ใหญ่อย่างเขาก็ไม่ควรจะคิดเล็กคิดน้อย ต่อไปนี้ต้องดูแลน้องสาวให้ดีกว่านี้หน่อยก็แล้วกัน !


จ้าวอิงสยงกลับมองหลานชายตนอย่างเหลืออด ขมวดคิ้วและพูดขึ้น “เสวียเอร่อต่อไปนี้ต้องตื่นหกโมงเช้า วิ่งอย่างน้อยห้ากิโล เสวียกงเสวียไห่จับตาดูพี่สามของพวกนายไว้ด้วย !”


“ครับ !”


จ้าวเสวียกงสองพี่น้องตอบตกลงอย่างพร้อมเพรียง และหันไปขยิบตาส่งให้จ้าวเสวียเอร่อ อย่างคนที่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น


พี่น้องที่ดีจะต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกัน มีที่ไหนให้พวกเขาตื่นมาวิ่งฝึกกำลัง แต่ขณะเดียวกันพี่สามกลับนอนฝันหวานอยู่บนเตียง ?


จ้าวเสวียเอร่อที่เพิ่งใจชื้นขึ้นมากลับเย็นวาบในทันที ขนาดแค่นึกถึงเขาก็เหมือนจะตายแล้ว ตื่นหกโมงเช้า ? วิ่งห้ากิโล ?


ไม่ว่ายังไงก็คร่าชีวิตได้ทั้งนั้น !


เขายืนยันอย่างหนักแน่นว่าต่อไปนี้จะต้องรักษาระยะห่างกับน้องสาว อย่างน้อยหนึ่งร้อยเมตร !


หานซู่ฉินหันมองหน้าจ้าวเสวียเอร่ออย่างขำขัน หลานชายคนที่สามนั้นเป็นคนที่ไม่ชอบการออกกำลังที่สุดในบ้านเพราะงั้นสมรรถภาพทางร่างกายของเขาจึงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่ การตั้งกฎเกณฑ์ให้วิ่งก็ดีเหมือนกัน จะได้ช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางกาย !


“พรุ่งนี้ให้ เสวียไห่ เสวียกง ตามไปด้วย เรื่องปีนผาสูงให้พวกเขาเป็นคนทำ” หานซู่ฉินพูด


จ้าวเสวียกง จ้าวเสวียไห่ รู้สึกเฮฮาดีใจ ไปปีนเขาก็ไม่ต้องเข้าเรียนแล้ว เยี่ยมจริงๆ !


“มีพวกเราไปด้วย รับรองจะไม่ให้เหมยเหมยต้องได้รับความลำบากเลย พี่สองคนจะแบกเธอขึ้นเขาลงเขาเอง” พี่ชายทั้งสองที่ยิ้มแป้นราวดอกไม้เบ่งบาน ใช้มือตบอกตนเองเป็นการรับปาก จ้าวเสวียเอร่อจ้องพวกเขาอย่างโกรธเคือง ตัดสินใจว่าเดือนหน้าจะต้องเพิ่มดอกเบี้ย


เหมยเหมยยื่นมือออกไปอย่างไม่เต็มใจนัก “ฉันไม่จำเป็นต้องให้พวกพี่มาแบก ฉันเดินเองได้”


เหมยเหมยที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเปลี่ยนมาสวมเสื้อไหมพรมแขนกว้างสีขาว พอยื่นมือออกไปก็ปรากฏให้เห็นข้อมือขาวๆ ด้านบนตัดกับสีเขียวมรกตสะดุดตา


“เหมยเหมยกำไลมรกตที่ข้อมือสวยมาก สีสดสวยมาก” หานซู่ฉินพูดชม


เหมยเหมยหัวเราะร่าอารมณ์ดี จงใจสะบัดมือให้เห็น “สวยใช่ไหมคะ เป็นของที่หนูเพิ่งได้มาใหม่วันนี้”


จ้าวเสวียเอร่อมองอย่างตาร้อน สีสดราวกับมรกตจริง ซึ่งน่าจะได้ราคาดีไม่น้อย เขาจึงกวักมือให้เหมยเหมยยื่นมือใกล้เข้ามาหน่อย “ให้พี่จับหน่อย ขอดูหน่อยว่าเนื้อเป็นยังไง !”


เหมยเหมยกลอกกลิ้งตาไปมา กลั้นขำไว้แล้วเดินเข้าไปยืนอยู่ข้างๆจ้าวเสวียเอร่อ ยื่นมือออกไปอย่างใจกว้างเพื่อให้เขาลูบจับ สายตาของจ้าวเสวียเอร่อไม่ค่อยดีนัก เขาสายตาสั้นเล็กน้อย แต่ไม่มีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน แต่พอมองสิ่งของออกอยู่บ้าง


เขายื่นมือออกมาลูบ ‘กำไลมรกต’ เย็นๆ ลื่นๆ ความรู้สึกดีไม่น้อย แต่ทำไมมรกตถึงนิ่มล่ะ ?


มรกตมีระดับความแข็งที่สูงมากไม่ใช่หรือ ?


จ้าวเสวียเอร่อหลี่ตาแล้วขยับเข้าใกล้กว่าเดิม อยากมองเห็นให้ชัด มือของเขายังไม่หยุดที่จะลูบวนต่อไป นิ้วมือสัมผัสได้กับบางจุดที่ไม่อาจบรรยายได้


เจ้างูน้อยไม่อาจทนต่อไปได้ ร่างกายของมันสั่นกระเพื่อม ราวกับสปริงที่ดีดเด้งโผล่หัวขึ้น ทำให้จ้าวเสวียเอร่อสติหลุดเบิกตากว้างจ้องมอง


ลูบทั้งแค่ลำตัวของมันก็พอแล้ว ทำไมต้องลูบไปถึงรูก้นของมันด้วย ?


………………………………………………….


บทที่ 663 ฉาฉา


จ้าวเสวียเอร่อที่พยายามลูบอยู่ เกิดอาการตกใจยกใหญ่ ทำไมกำไลหยกถึงขยับได้ ? หรือเพราะมันมีชีวิต ?


น่าสงสารจ้าวเสวียเอร่อผู้สายตาสั้น จนป่านนี้แล้วเขายังไม่ทันสังเกตเห็นว่ากำไลหยกที่เขาลูบคลำอยู่ราวๆห้านาทีนั้น แท้จริงแล้วเป็นแค่งูตัวเล็กที่มีงดงามเท่านั้น !


จ้าวเสวียกงและคนอื่นๆที่สายตาดีเสียยิ่งกว่าดี พอเจ้างูน้อยเด้งตัวออกมาก็รับรู้ได้ถึงความลับของกำไลมรกตวงนี้ ส่งเสียงร้องด้วยความตื่นเต้น จากนั้นดีดตัวไปอยู่ตรงหน้าเหมยเหมย มองเจ้างูน้อยที่พบเจอได้ยาก


“โอ้โหว งูน้อยตัวนี้ช่างงามนัก ใช่งูเขียวหางไหม้หรือเปล่า ?” จ้าวเสวียกงก้มตัวลงเพื่อสบตากับเจ้างูน้อย


จ้าวเสวียไห่ก้มตัวลง พร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ใช่ งูเขียวหางไหม้เป็นสีเขียว แต่งูตัวนี้เป็นสีเขียวมรกต สีไม่เหมือนกัน อีกอย่างงูเขียวหางไหม้แค่มองก็น่ากลัวแล้ว แต่งูตัวนี้ของเหมยเหมยไม่น่ากลัวเลยสักนิด อยากลองจับดูบ้าง เหมยเหมย งูตัวนี้กัดคนไหม ?”


เหมยเหมยยิ้มจนตาหยี จากนั้นยื่นมือเข้าไปใกล้ขึ้นอีกนิด “ฉาฉาเป็นเด็กดี ไม่กัดคนหรอกค่ะ !”


“ฉาฉา ? ชื่อของงูตัวนี้หรือ ? ทำไมถึงเรียกว่าฉาฉา ?”


จ้าวเสวียกงทำหน้าฉงน ทำไมสัตว์เลื้อยคลานตัวนี้ถึงชื่อฉาฉา ทำไมถึงได้รู้สึกทะแม่ง ๆ ล่ะ !


“เพราะว่าตั้งแต่เล็กฉาฉาก็กินใบชาและน้ำค้างบนใบชา ไม่เรียกว่าฉาฉาจะให้เรียกว่าอะไร ? เรียกฉาฉาลื่นหูจะตายไป ฉาฉาแกว่าชื่อนี้เพราะไหม ?”


เหมยเหมยลูบหัวกลมมนของฉาฉาอย่างอ่อนโยน มืออีกข้างหยิบกุ้งตัวโตขึ้นมาป้อนให้ ฉาฉาหิวจนตะกละ ที่แท้หัวเล็กๆเรียวๆของมันสามารถอ้ากว้างได้ในพริบตา และกลืนกินกุ้งตัวใหญ่ๆลงไปทั้งตัว


สายตาของทุกคนจับจ้องอยู่ที่โครงร่างของกุ้ง เคลื่อนจากส่วนหัวของฉาฉาไปทางด้านหลัง ยิ่งเคลื่อนไปถึงด้านหลังมากเท่าไหร่โครงร่างของกุ้งยิ่งเล็กลงเรื่อยๆ ในจังหวะที่เคลื่อนไปถึงช่วงหาง กุ้งตัวใหญ่ๆพลันหายวับ และลำตัวของมันกลับคืนสู่สภาพเดิม


“น่าสนใจนัก ตัวเล็กขนาดนี้ แต่กลับเจริญอาหารมาก เหมยเหมย ฉาฉายังไม่อิ่มหรือเปล่า ? พี่เห็นว่ามันเอาแต่จ้องกุ้งในจาน !”


จ้าวเสวียกงมองแล้วรู้สึกใคันยุบยิบ เขาจึงหยิบกุ้งตัวหนึ่งวางไว้ตรงหน้าของฉาฉา แต่เจ้าตัวแสบกลับไม่สนใจเขาเลยแม้แต่น้อย มันเงยหน้าขึ้นมองเหมยเหมย แลบลิ้นสีแดงๆของมันออกมา


เหมยเหมยจำต้องคีบกุ้งตัวนั้นป้อนให้ฉาฉา เจ้าตัวแสบจึงยัดกุ้งตัวใหญ่ลงไปอีกครั้ง


ใช้เวลาไม่นานกุ้งตัวนั้นก็หายไป มันกินกุ้งตัวใหญ่ติดต่อกันถึงสามตัว เหมยเหมยจึงเลิกป้อนให้อีก


“ถ้ากินอีกท้องคงได้แตกตายแน่ ดึกๆเราค่อยกินใหม่ นะเด็กดี !”


เหมยเหมยเกลี้ยกล่อมฉาฉาด้วยอารมณ์และคำพูดที่ดี เจ้าตัวเล็กช่างน่าสงสารนัก หลายร้อยปีที่แล้วไม่ได้กินของดีๆอะไรเลย พอออกได้มา เห็นอะไรๆก็ดูจะอร่อยไปเสียหมด ไม่รู้จักพอเอาเสียเลย หากไม่ใช่เพราะเธอคอยดูอยู่ เจ้าตัวเล็กคงกินจนท้องแตกตายถึงจะยอมหยุด !


ฉาฉาถือว่าเชื่อฟังมาก มันหดตัวกลับไปอยู่ในรูปแบบเดิม ขดม้วนอยู่บนข้อมือของเหมยเหมย มองยังไงก็ดูเป็นเหมือนกำไลมรกตอันงดงาม !


“เหมยเหมย ทำไมฉาฉาไม่ยอมกินกุ้งที่พี่ให้ล่ะ ?” จ้าวเสวียกงเจ็บใจ เป็นไปได้ไหมที่แม้แต่ปีนี้การจะป้อนอาหารงูจะต้องเลือกจากรูปลักษณ์หน้าตา ?


“ฉาฉาขี้กลัว ไม่กล้ากินอาหารที่คนอื่นป้อน กล้ากินแต่ของที่หนูให้”


ได้ฟังคำอธิบายจากเหมยเหมย จ้าวเสวียกงค่อยสบายใจขึ้นมาหน่อย ถ้าหลังจากนี้เจ้าตัวเล็กเริ่มคุ้นเคยแล้ว เขาตั้งใจว่าจะลองเกลี้ยกล่อมเหมยเหมยเพื่อให้ยืมฉาฉามาใส่อวด ถ้าเพื่อนในห้องเห็นเข้าจะต้องอิจฉาเขาเป็นไหนๆ !


แม้ว่าฉาฉาจะเป็นสัตว์ที่ใครเห็นเข้าก็รู้สึกกลัว แต่นี่ใครใช้ให้มันมีหน้าตาน่ารักกันล่ะ คนในตระกูลแทบจะทุกคนที่ชื่นชอบมัน โดยเฉพาะหานซู่ฉินและคุณย่า ชื่นชอบในความเชื่อฟังของฉาฉายิ่งกว่าสิ่งอื่นใด


คุณปู่กลับไม่ได้มองข้ามคำพูดที่หลานสาวพูดไว้ก่อนหน้านั้น งูตัวนี้เติบโตขึ้นมาด้วยการกินใบชา ดื่มน้ำค้างจากใบชา หรือว่า…


“เหมยเหมย เธอเจอฉาฉาที่ต้นชาโบราณนั่นใช่ไหม?” คุณปู่ถาม


…………………………………………………………


บทที่ 664 อสรพิษร้ายอันดับสองของโลก


“ใช่ค่ะ ฉาฉาอาศัยอยู่บนต้นชาโบราณนั่น”


เหมยเหมยไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด นอกจากความลับขอฉิวฉิวที่ไม่อาจบอกได้ เรื่องอื่นเธอไม่คิดจะปิดบังต่อคนในตระกูลจ้าว อีกทั้งเรื่องราวเกี่ยวกับสรรพสัตว์บนโลกนี้ก็มีมาแต่โบราณ สถานการณ์ของฉาฉา คนในตระกูลคงจะยอมรับได้


อีกอย่าง มีฉาฉาเข้ามา อาการของทั้งสองผู้เฒ่าก็ดีขึ้น นั่นยิ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้คนอื่นเชื่อได้มากขึ้น !


คุณปู่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย หลายวินาทีที่มองฉาฉาอย่างสงสัย เจ้าตัวแสบตกใจจนไม่กล้าแม้จะขยับ คุณปู่ของเจ้านายช่างน่ากลัวยิ่งนัก จะจับมันถลกหนังแล้วตุ๋นน้ำซุปหรือเปล่า ?


พ่อแม่ของมันเคยพูดไว้ ว่ามนุษย์ใจร้ายมีอยู่มากโข ทั้งยังชื่นชอบถลกหนังของพวกมันแล้วตุ๋นน้ำซุป น่ากลัวนัก นั่นทำให้มันกลัวจนไม่กล้าจะออกจากบ้าน !


“คุณปู่คะ อย่าเอาแต่จ้องฉาฉาสิ มันกลัวจนหัวหดหมดแล้ว !”


เหมยเหมยคอยลูบตัวเจ้าตัวเล็กเพื่อเป็นการปลอบขวัญ ช่างน่าสงสารนัก มันตกใจจนบิดเจียนจะกลายเป็นขนมเกลียวแล้ว !


คุณปู่ดูอารมณ์ดีไม่น้อย หัวเราะขำขัน จากนั้นจึงเลิกจ้องเจ้าตัวเล็ก ในเวลานี้ในใจเขามีคำตอบอยู่แล้ว ตัวเขาเองและยายแก่มีสุขภาพกลับมาดีขึ้นได้แบบนี้ แปดเก้าในสิบส่วนนั่นคือสรรพคุณของน้ำชาโถนั้นที่น้องสาวเป็นคนต้มให้


ตามการคาดการณ์ของเขานั้น ต้นชาโบราณและน้ำแร่จากภูเขาต้องไม่ใช่ของธรรมดา มิเช่นนั้นจะมีสัตว์เทวะคอยปกป้องหรือ ?


ตั้งแต่เล็ก เขาก็เคยได้ยินพวกผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านเล่าขานมา เสมือนสมบัติล้ำค่าของผืนโลกอย่างเห็ดหลินจือพันปี รากโส่วอู[1]หมื่นปี ต่างก็มีสัตว์เทวะคอยปกป้องคุ้มครอง มิเช่นนั้นสิ่งของล้ำค่าพวกนี้จะเติบโตมาได้เป็นพันปีหมื่นปีงั้นหรือ ?


เพียงแต่สมบัติล้ำค่าจำพวกนี้ไม่ใช่ว่าใครหน้าไหนจะหาเจอได้ คำพูดของผู้เฒ่าผู้แก่ เขาจดจำมาได้จนถึงตอนนี้


ผู้มีบุญมากถึงจะได้มันมา !


ถ้าเป็นแบบนั้น หลานสาวตัวน้อยของเขาก็ถือว่าเป็นผู้มีบุญมากสินะ ฮ่าๆๆ !


“เรื่องของต้นชาโบราณและน้ำแร่บนภูเขาห้ามพูดออกไป  ข้ามีวิธีจัดการ !”


คุณปู่กำชับอย่างหนักแน่น จ้าวอิงสยงและภรรยาก็นึกถึงเช่นเดียวกัน ลักษณะท่าทียังคงเหมือนเดิม แต่แฝงด้วยความตกใจเล็กน้อย


ช่วงเช้าหลานสาวเขาเอาแต่โหวกเหวกโวยวายจะขึ้นไปตามหาแหล่งน้ำ ในตอนนั้นพวกเขาคิดว่าเธอแค่ก่อเรื่องหาอะไรเล่นไป แต่ดูจากตอนนี้แล้ว หลานสาวเขาไม่ได้พูดจาไร้สาระแต่อย่างใด !


“เหมยเหมยทำไมคิดเรื่องที่จะไปตามหาน้ำได้ล่ะ ?” หานซู่ฉินถามอย่างแปลกใจ


“ก็เห็นในหนังสือเขียนไว้นี่คะ”


เหมยเหมยตอบออกไปอย่างสบายๆ ไม่ได้กังวลต่อการที่คนในตระกูลจ้าวสงสัยแต่อย่างใด ต่อให้พวกเขาสงสัยก็ไม่เห็นเป็นไร เธอเป็นคนกตัญญูนี่นา มีอะไรให้น่าสงสัยนักล่ะ !


หานซู่ฉินอยากถามต่อ แต่คุณปู่จ้องเธอไปครั้งหนึ่ง เธอจึงยั้งปากในทันที นับแต่นี้ไปคงไม่กล้าถามคำถามเหล่านี้อีก !


คุณย่าเองก็คิดได้ถึงสาเหตุที่ทำให้สุขภาพของตนกลับมาแข็งแรงได้ จึงรักหลานสาวคนนี้มากขึ้นกว่าเดิม เธอเปรียบเหมยเหมยเป็นดั่งดาวแห่งความสุขที่ถูกส่งตัวลงมายังตระกูลจ้าว กลับมาได้ไม่เท่าไหร่ก็นำเอาความสุขมาด้วย


“เหมยเหมยหากรงมาไว้เลี้ยงฉาฉาสิ หากว่ามันกัดเธอเข้าจะทำยังไง ? แถมยังไม่รู้ด้วยว่ามีพิษหรือเปล่า !” คุณย่ากังวลเป็นอย่างมาก


“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ฉาฉาเป็นเด็กดีจะตายไป ดูสิคะขนาดหนูยื่นมือเข้าไปใกล้ปากมัน มันยังไม่กัดเลย มันเป็นเด็กดีใช่ไหมคะคุณย่า ?”


เหมยเหมยยื่นมือไปข้างๆหัวของฉาฉา ส่วนฉาฉานั้นหมอบอยู่อย่างเชื่อฟัง ไม่ขยับเลยสักนิด


“คุณย่าวางใจได้ค่ะ ส่วนหัวของฉาฉามีลักษณะกลมมน ต้องไม่มีพิษอย่างแน่นอน ต่อให้มันกัดครั้งหนึ่งก็คงไม่ต่างไปจากการถูกยุงกัดหรอก ไม่เป็นอะไรเลย !”


จ้าวเสวียกงพูดเป็นต่อยหอย ลักษณะหัวแบนมีพิษ หัวกลมๆจะไม่มีพิษ ความรู้ทั่วไปแค่เด็กสามขวบยังรู้ เขาหยิบไข่ทั้งสองฟองมาเป็นประกัน ฉาฉาต้องไม่มีพิษอย่างแน่นอน


คุณชายฉิวที่ตอนนี้มีที่นั่งประจำตัว เงยหน้าขึ้นมาจากจานเนื้อ แล้วมองจ้าวเสวียกงอย่างล้อเลียน


ราวกับการถูกยุงกัด ? ไม่เป็นอะไรเลย ?


นี่เป็นอะไรที่ไม่ควรลอง หากลองเพียงนิดชีวิตอาจดับมอด มิเช่นนั้นมันจะให้เจ้าซื่อบื้อนั่นกัดเจ้าเด็กแสบเสีย ให้เขาได้รู้ว่าอะไรคืออสรพิษร้ายอันดับสองของโลก !


อันดับหนึ่งคือใคร ?


แน่นอนว่าต้องเป็นคุณชายฉิวอย่างมัน  !


………………………………………………….


บทที่ 665 พี่สามเป็นแพะรับบาป


ทุกคนต่างพูดคุยเกี่ยวกับฉาฉาอย่างตื่นเต้นดีใจ ไม่มีใครสังเกตเห็นท่าทีของจ้าวเสวียเอร่อที่นั่งอยู่ข้างๆจนเกือบจะร้องไห้ ตั้งแต่ที่รู้ว่าฉาฉาไม่ใช่กำไลมรกต แต่เป็นสัตว์เลื้อยคลานเลือดเย็นตัวหนึ่งมีแต่ความน่ากลัว จ้าวเสวียเอร่อจึงเริ่มปลง


นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะลูบคลำเจ้าสัตว์เลื้อยคลานจอมเลือดเย็นนั่นเต็ม ๆห้านาที !


เขาอยากตายไปซะจริง!


น้องสาวของเขาเป็นดั่งบุคคลอันตรายใกล้ตัว การตีตัวออกห่างจากเธอให้มากเป็นสิ่งที่ควรอย่างยิ่ง ใครใช้ให้เขาไม่สำนึกต่อคำสอนแล้วทนต่อความดึงดูดของมรกตไม่ได้เองล่ะ !


สมควรสองคำนี้สร้างขึ้นมาสำหรับเขาโดยเฉพาะ !


ฉาฉาที่ได้รับความรักจากทุกคนได้หันมองจ้าวเสวียเอร่อ กลิ่นบนตัวเจ้าเด็กคนนี้ช่างเป็นกลิ่นที่หอมนัก หอมเสียยิ่งกว่าคนอื่นๆ เพียงแต่มือถืออยู่ไม่เป็นสุข  หรือไม่รอให้ถึงช่วงดึกค่อยไปเล่นกับเขาดี ?


ช่วงกลางวันขึ้นเขาลงห้วยจนเหนื่อย เหมยเหมยทานข้าวเสร็จก็ขึ้นเตียงนอนทันที พรุ่งนี้เธอยังต้องตื่นแต่เช้า !


ภายในห้องหนังสือของตระกูลจ้าว คุณปู่จ้าว จ้าวอิงสยง สองพ่อลูกนั่งนิ่งด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เขาให้จ้าวเสวียเอร่อเล่าเรื่องเหตุการณ์เมื่อกลางวันอีกครั้งอย่างละเอียด โดยไม่ขาดตกบกพร่องแต่อย่างใด


“ตอนขึ้นเขา เหมยเหมยเป็นคนนำทางรึ ?” จ้าวอิงสยงถาม


“ใช่ครับ ตอนลงเขาก็เหมยเหมยนำ” จ้าวเสวียเอร่อตอบ เป็นอีกครั้งที่ได้รับสายตารังเกียจทั้งสี่ดวง สีหน้าของจ้าวเสวียเอร่อไม่เปลี่ยน หัวใจก็ไม่ได้เต้นแรง ผู้ที่คิดทำการใหญ่ต้องหน้าหนาเข้าไว้ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะทำไรได้ ?


“พ่อครับ ดูท่าเหมยเหมยของเราจะไม่ธรรมดานะ !” จ้าวอิงสยงพูดออกไป


คุณปู่พยักหน้าเล็กน้อย พูดเสียงเข้ม “นี่ถือเป็นดั่งความโชคดีของตระกูลเรา แต่เรื่องที่เหมยเหมยไปตามหาแหล่งน้ำให้มันจบลงเพียงเท่านี้ ต่อไปถ้าจะไปพูดข้างนอกให้บอกว่าเสวียเอร่อเป็นคนหา”


“ทำไมต้องเป็นผม ?”


จ้าวเสวียเอร่อถามขึ้นทันทีตามสัญชาตญาณ แต่เพียงครู่เดียวเขาก็เข้าใจได้ ที่แท้ก็จะให้เขาเป็นแพะรับบาปแทนน้องสาว !


“เป็นเอ็งแล้วจะทำไม ? มีปัญหา ?” คุณปู่จ้องมองอย่างเด็ดขาด จ้าวเสวียเอร่อกล้ามีปัญหาเสียที่ไหน หยักหน้าอย่างรับในทันที


แค่แพะรับบาปเองนี่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร น้องสาวเขาเก่งกาจถึงเพียงนี้ หากต่อไปเขาต้องการตามหาของล้ำค่าใดๆ ก็สามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำอย่างมีเหตุมีผลที่จะคิดค่าบริการ !


“เจ้าสอง พรุ่งนี้เองตามไปด้วย ไปดูว่าสถานการณ์เป็นยังไง จากนั้นวาดแผนที่คร่าวๆกลับมาด้วย” คุณปู่พูดกำชับ


จ้าวอิงสยงที่ได้ฟังก็รู้ได้ทันทีว่าท่านต้องการทำอะไร และเกิดรู้สึกเสียดายขึ้นมาเล็กน้อย ถึงพูดขึ้น “พ่อครับ เรื่องนี้เราสามารถเก็บเป็นความลับได้นี่”


คุณปู่พูดขัดขึ้น “ไม่ได้ จะต้องแจ้ง และยิ่งดีเท่าไหร่ยิ่งดี ไม่ควรให้เบื้องบนเกิดสงสัยต่อตระกูลเรา”


ตระกูลจ้าวอยู่ในสภาวะคับขัน ไม่รู้เลยว่าเบื้องบนเบื้องล่างมีกี่สายตาที่จับจ้องอยู่ จะปิดบังไว้ได้เช่นไร ?


จ้าวอิงสยงถอนหายใจแบบขอไปที ในใจไม่ได้รู้สึกดีนัก ทนไม่ไหวกับอาการหนาวเหน็บบนที่สูง หากเป็นไปได้เขาหวังว่าตัวเขาเองจะเกิดขึ้นมาในตระกูลสามัญชนคนธรรมดา แต่เพราะชีวิตนี้ไม่มีคำว่าหาก !


จ้าวเสวียเอร่อรู้สึกเจ็บปวด ชาต้นใหญ่ขนาดนั้น คุ้มค่าราคามากเสียยิ่งกว่าภูเขาทองคำ แต่จะใช้สองมือประทานให้ง่ายๆรึ ?


ไม่ได้การล่ะ พรุ่งนี้เขาจะต้องขึ้นเขาไปด้วย ไม่ว่ายังไงจะต้องให้เสี่ยวซื่อ เสี่ยวอู่ เก็บใบชามาให้มากหน่อย ต่อไปหากอยากไปเก็บก็จะไม่มีให้เก็บแล้ว


เช้าตรู่ของวันถัดมา จ้าวอิงสยงได้พาเหมยเหมยและจ้าวเสวียเอร่อไปที่ภูเขาซีซานด้วยตัวเอง สำหรับจ้าวเสวียกงและจ้าวเสวียไห่ที่ดีใจเก้อไปเมื่อวาน จำต้องไปเข้าเรียนอย่างเชื่อฟัง !


นายพลใหญ่ออกตัวไปเองแล้ว ยังต้องพึ่งพาทหารพลกุ้งหอยกองล่างอย่างพวกเขาสองคนอีกหรือ ?


จ้าวอิงสยงยังได้นำองรักษ์ด้วยสองคน ซึ่งเปลี่ยนสวมชุดลำลองธรรมดา จากนั้นกลับมาเหยียบผาสูงชันนั่นอีกครั้ง มองเห็นต้นชาที่ตั้งตระหง่านอยู่บนผาสูง จากนั้นคาดคะเนความสูงของหน้าผาคร่าวๆ จ้าวอิงสยงมองหลานสาวด้วยสายตาเป็นประกายอีกครั้ง


สมแล้วที่เป็นลูกหลานของตระกูลจ้าว !


…………………………………………………………………………………………..


[1]เหอสิ่วโอว มีสรรพคุณบำรุงเลือด บำรุงตับ เสริมการทำงานของระบบกักเก็บของไต บำรุงกระดูกและเส้นเอ็น ทั้งยังช่วยให้ผมดกดำ


บทที่ 666 สู้รบอย่างดุเดือด


ทหารอารักขาทั้งสองผูกบันไดเชือกขึงอย่างชำนาญ จ้าวอิงสยงจับบันไดเชือกปีนมาถึงข้างต้นชาโบราณ เหมยเหมยเองก็ปีนตามมาด้วย เหลือแค่จ้าวเสวียเอร่อที่ยืนอยู่ในจุดเดิม


มีบันไดเชือกแล้วยังไง ไม่ว่ายังไงเขาก็จะไม่ลงไป !


ขาอ่อน !


“เหมยเหมย เก็บใบชามาเยอะๆหน่อย เดี๋ยวพี่เลี้ยงเป็ดย่างเฉวียนจวี้เต๋อต้นตำหรับเอง” จ้าวเสวียเอร่อล้วงกระเป๋าผ้าที่สามารถบรรจุข้าวสารได้ถึงสิบจิน จากนั้นยื่นส่งไปให้เธอ


เหมยเหมยทำปากบูดเบี้ยว ใบชาทั้งต้นนี้น่าจะได้ประมาณสิบกว่าจิน พี่สามของเธอช่างโลภยิ่งนัก !


“ฉันดูก่อนว่าจะมีอยู่ไหม ไม่แน่ว่าข้ามคืนอาจถูกสัตว์ป่ากัดกินไปหมดแล้ว !” เหมยเหมยจงใจพูด


เมื่อวานนี้เธอเก็บยอดอ่อนของใบชามาหมดแล้ว จะเอาที่ไหนมาเหลือให้ ต้องฉีดยาป้องกันไว้ก่อนค่อยว่ากัน !


“จะเป็นไปได้ยังไง ชาต้นใหญ่ขนาดนี้ ต่อให้ถูกทำร้าย ก็คงทำร้ายไปไม่หมด !”


จ้าวเสวียเอร่อไม่เชื่อเลยสักนิด นอกเสียจาก…


“หัวหน้าระวังครับ มีงูพิษ !” ทหารอารักขาที่เป็นคนเบิกทางพูดเตือน เหมยเหมยตกใจจนต้องยืนนิ่ง เหตุใดถึงมีงูพิษ ?


เธอยื่นหัวอกมาจากเบื้องหลังของทหารอารักขาและมองสำรวจ แต่กลับมองเห็นบนผาสูงข้างธารน้ำ มีงูตัวใหญ่หลากสีสันขดอยู่ ขนาดราวๆกับแขนของผู้ใหญ่ แค่มองก็ทำให้เกิดอาการขนลุกขนพอง


แต่น้ำแร่ในสระนี้ เมื่อวานยังเต็มอยู่เลย แต่วันนี้กลับลดลงอย่างเห็นได้ชัดราวๆสิบเซนติเมตร บ่งบอกได้ชัดว่าถูกเจ้างูยักษ์ตัวนี้ดื่มเข้าไป


“อาสองคะ ใบชาและน้ำถูกเจ้างูยักษ์กินไปหมดแล้ว” เหมยเหมยพูดขึ้นเสียงเบา


จ้าวอิงสยงสังเกตเห็นต้นชาโบราณที่เหลือเพียงใบชาแก่ จึงไม่เกิดความสงสัยแต่อย่างใด บ่งบอกได้ชัดเจนว่าใบชาและน้ำแร่ในธารถูกเจ้างูยักษ์นี่ทำลายไปหมดแล้ว


“หัวหน้า พวกคุณขึ้นไปก่อน ตรงนี้อันตรายมาก !”


เจ้างูยักษ์ที่หลับพักสายตาถูกปลุกให้ตื่นขึ้น มันแผ่แม่เบี้ยตรงส่วนหัว ขยายใหญ่เสียยิ่งกว่ากำปั้นของผู้ใหญ่ แลบลิ้นสีแดงยาวออกมา จ้องมองพวกเขาอย่างดุดัน เหมยเหมยรับรู้ได้ถึงความเย็นยะเยือก ขนลุกขนชันไปทั้งตัว


“พวกนายก็ขึ้นไปด้วย กลับมาหยิบผงสงหวง[1]มาด้วย ไม่จำเป็นต้องใช้ไม้แข็งสู้กับงู” จ้าวอิงสยงออกคำสั่งอย่างเคร่งขรึม


บนหน้าผาสูงชันแบบนี้พวกเขาไม่ใช่ศัตรูของเจ้างูยักษ์เลยสักนิด ไม่จำเป็นต้องเอาตัวเข้าไปเผชิญหน้ากับอันตราย


พวกเขาไม่กี่คนเตรียมจะถอยหลังกลับ ซึ่งนั่นทำให้เจ้างูยักษ์ไม่พึงพอใจ จึงเป็นฝ่ายปะทะก่อน ทหารอารักขาชักปืนออกมา เตรียมพร้อมที่จะยิงใส่ดวงตาของมัน


จ้าวอิงสยงอุ้มเหมยเหมยขึ้นอย่างรวดเร็ว รีบเร่งฝีเท้าไปยังทางกลับ เขาจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องกับหลานสาวเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นพ่อของเขาต้องจัดการเขาถึงตายแน่ !


สะเก็ดลำแสงไปกระทบก้อนหิน เป็นจังหวะเดียวกับที่มีสีเขียวมรกตลอยขึ้นสู่ฟ้า และพุ่งทะยานไปยังเจ้างูยักษ์


“อาสอง บอกให้พวกเขาหยุดยิง มีฉาฉาอยู่ ไม่มีทางเกิดเรื่องขึ้นแน่”


เหมยเหมยที่ถูกจ้าวอิงสยงอุ้มไว้แทบเกิดอาการเลือดคลั่งในสมอง เท้าชี้ฟ้าหน้าชี้ดิน หากปล่อยให้เธอถูกอาสองอุ้มต่อไปแบบนี้ เธอคงถูกบีบจนตายแน่ๆ !


จ้าวอิงสยงที่รู้ตัวทันจึงสั่งให้ทหารอารักขาหยุดยิง กระสุนถูกยิงขึ้นสู่ฟ้า เป็นสถานการณ์ที่คับขันอย่างแท้จริง !


ฉาฉาปีนขึ้นไปยังต้นชาโบราณใหญ่ยักษ์ด้วยความขุ่นเคือง แลบลิ้นใส่เจ้างูยักษ์ตัวนั้น รูปร่างของมันแตกต่างไปจากเจ้างูยักษ์หลายร้อยปี แต่เจ้างูยักษ์ดูท่าจะกลัวฉาฉา ถอยหลังออกไปไม่หยุด


ฉาฉาทะยานลงมาจากต้นชาโบราณนั้น และทะยานพุ่งไปยังบนหัวของเจ้างูยักษ์ จากนั้นออกแรงพันรัดอย่างแน่น เจ้างูยักษ์มีท่าทีเจ็บปวดไม่น้อย ร่างของมันปัดป่ายไปมาอยู่บนผาสูง เพียงไม่นานก็มีเศษหินที่แตกหล่นล่วงลงมา ทำให้คนกลัวจนตัวสั่น


ผู้แพ้ผู้ชนะเพียงครู่เดียวก็สามารถมองออก ไม่ถึงหนึ่งนาที ฉาฉากัดเจ้างูยักษ์จนไร้เรี่ยวแรง และมีแต่รอยฟกช้ำตามตัว ซึ่งมันทำด้วยตัวมันเอง


ฉาฉาทะยานกลับมายังต้นชาโบราณอีกครั้ง กล่าวเตือนเจ้างูยักษ์ “ไสหัวไปซะ ครั้งหน้าแอบมาขโมยกินของที่บ้านข้า ข้าจะกินเจ้าที่บังอาจเสียให้สิ้น !”


เจ้างูยักษ์มองสระน้ำแร่อย่างอาลัยอาวรณ์ ต่อให้ไม่พึงพอใจแค่ไหนก็ต้องไป ยังดีที่เมื่อคืนมันดื่มเข้าไปมากพอ ซึ่งนับว่าไม่ขาดทุน !


…………………………………………………………..


บทที่ 667 แจ้งเรื่อง


จ้าวอิงสยงสั่งให้พวกทหารตักน้ำไปหนึ่งกระบอก ระดับน้ำในสระลดลงไปอีกราวๆสิบเซนติเมตร แต่ก็ไม่ตื้นจนเห็นถึงพื้น เหมยเหมยพูดโน้มน้าวเขา “อาสองคะ อาตักไปน้อยๆหน่อยสิ น้ำพวกนี้พอออกไปจากที่นี้ ประสิทธิภาพของมันก็จะค่อยๆหมดไป อาตักไปเยอะก็ไม่มีประโยชน์หรอก มีแต่จะเสียของเปล่าๆ”


จ้าวอิงสยงที่ได้ฟังคำโน้มน้าว จึงเทน้ำคืนไปเกือบครึ่งขวด และสั่งการให้ทหารอารักขาดูแลบริเวณนี้ หลีกเลี่ยงไม่ให้มีกลุ่มสัตว์ป่าเข้ามาขโมยน้ำ


พอกลับถึงบ้าน เหมยเหมยจึงรีบตั้งน้ำเพื่อต้มชา แต่ไม่ได้ให้หานซู่ฉินช่วยแต่อย่างใด เธอจำเป็นต้องหยดยาลงไปในชา ซึ่งแน่นอนว่าเธอจะต้องทำด้วยตัวเอง


“เหมยเหมยเอาแต่บอกว่าจะต้มชาด้วยเอง ไม่ยอมให้ฉันเข้าไปช่วย ช่างเป็นเด็กกตัญญูรู้คุณนัก พ่อแม่ของเธอช่างโชคดีเสียจริง !”


หานซู่ฉินพูดชมเหมยเหมยต่อหน้าทั้งสองผู้เฒ่าไม่หยุดปาก สองผู้เฒ่าต่างก็รู้สึกชื่นชมเธอไม่น้อย นับแต่นี้ต่อไปเขายิ่งรักใคร่เอ็นดูเหมยเหมยมากขึ้น


หลังจากที่คุณปู่ดื่มชาที่เหมยเหมยต้มให้เข้าไป ท่านดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น เป็นเหมือนกับช่วงชีวิตปกติที่เดินด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย ซึ่งคุณปู่ได้ออกจากบ้านไปอย่างรวดเร็ว ทั้งยังนำเอาชาที่เหมยเหมยต้มให้ติดตัวไปด้วย


ไม่นานคุณปู่ก็กลับเข้าบ้านมา แต่ที่เหมยเหมยไม่รู้คือ บ้านของฉาฉาถูกเคอร์ฟิวส์ไปแล้ว อย่าพูดถึงสัตว์ป่าเลย แม้แต่แมลงวันยังไม่อาจบินเข้าไปได้ และเหตุนี้มีนักวิชาการเฉพาะทางจำนวนไม่กี่คนขึ้นเขาไปเพื่อสำรวจและศึกษาน้ำแร่บนภูเขาแห่งนี้ รวมทั้งต้นชาโบราณ


ในเมื่อเป็นของที่จะให้เจ้านายเอาเข้าปาก จะไม่ให้ระวังได้อย่างไร ?


ช่วงบ่ายฉิวฉิวออกไปเดินเล่น กลับมาก็ได้นำเรื่องราวที่เกิดขึ้นบอกกับฉาฉา คุณชายฉิวรู้สึกลำบากใจพอสมควร แม้ไม่ใช่มันที่สั่งปิดบ้านของฉาฉา แต่หากไม่เป็นเพราะมันที่พาเจ้านายเข้าไปตามหาแหล่งน้ำ เบื้องบนคงไม่ทราบเรื่อง ซึ่งถือว่าเรื่องที่เกิดเป็นเพราะมัน


แต่ที่ไหนได้…


น้องชายของมันอย่างฉาฉากัดกินเนื้อแห้งอย่างเอร็ดอร่อย หลังจากที่ได้ฟังคำพูดชองฉิวฉิว แม้แต่ดวงตายังไม่ขยับขึ้นมองสักนิด


ปิดก็ปิดไปสิ ถึงอย่างไรมันก็ไม่อยากกลับไปบ้านหลังนั้นอยู่ดี !


ข้างนอกสนุกจะตาย มีทั้งที่เล่นและของกินอร่อยตั้งเยอะแยะ แต่ก่อนมันช่างโง่นัก เหตุใดถึงไม่ยอมออกมานะ ?


ฉิวฉิวเดินจากไปด้วยความขุ่นเคือง ไปหยอกล้อกระรอกสาวต่อดีกว่า เจ้าสิ่งของน่าโง่ ทำให้มันต้องรู้สึกผิดอยู่นานสองนาน เสียดายความรู้สึกจริงๆ


เหมยเหมยกลับไม่รู้ถึงเรื่องที่เกิด คุณปู่สั่งห้ามไม่ให้คนในตระกูลพูดเรื่องนี้กับเธอ และไม่ยินยอมให้เธอได้ไปตักน้ำที่นั่นอีก ทั้งยังยึดเอาใบชาที่เหมยเหมยเก็บกลับมากว่าครึ่งกระเป๋าไปด้วย


แม้ว่าคนในบ้านจะไม่พูด แต่เหมยเหมยก็พอจะเดาสถานการณ์ได้คร่าวๆ คุณปู่คุณย่าสุขภาพดีขึ้นรวดเร็วแบบนี้ แม้แต่พยาบาลประจำตัวของทั้งคู่ยังตกใจไม่น้อย เรื่องนี้เบื้องบนต้องรู้แน่ เรื่องใบชาและน้ำแร่ปิดได้ไม่มิดอยู่แล้ว


คุณปู่เลือกที่จะรายงานเรื่องใบชาและน้ำแร่ ซึ่งเป็นสิ่งที่สมควรมาก


ของดีแบบนี้ตระกูลจ้าวจะเก็บเงียบไว้แต่เพียงผู้เดียวรึ ?


นั่นอาจจะเป็นการนำภัยมาสู่ตระกูล !


เหมยเหมยกลับไม่ได้ใส่ใจต่อน้ำแร่และใบชาเท่าไหร่นัก แม้ว่ามันจะเป็นของดี แต่สิ่งดีที่สุดยังคงเป็นหญ้าวิเศษของฉิวฉิว


หากไม่มีหญ้าวิเศษของฉิวฉิว คุณปู่คุณย่าคงไม่มีทางดีขึ้นเร็วขนาดนี้แน่ น้ำแร่และใบชาเป็นเพียงสิ่งที่เธอใช้เป็นข้ออ้างก็เท่านั้น ส่งมอบให้เบื้องบนก็ให้ไปเถอะ !


มีคำสั่งจากบอสใหญ่ เหล่านักวิชาการที่โดยทั่วไปทำงานด้วยรอยหมึกและปากกา ในครั้งนี้ไม่อาจชักช้ายืดยาดได้ จำต้องใช้ความรวดเร็วในการทำงาน และไม่นานก็สามารถอธิบายถึงส่วนประกอบของใบชาและน้ำแร่ออกมาได้ ซึ่งคำรายงานถูกส่งมายังออฟฟิศของบอสใหญ่


บอสใหญ่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับคุณปู่ เขามีท่าทีเคร่งขรึม แววตาเปล่งประกายมีชีวิตชีวา


“นักวิชาพวกนั้นว่ายังไงบ้าง ?” บอสใหญ่ไม่ได้อ่านแผนรายงาน


เลขาตอบคำถามอย่างนอบน้อม “อุดมสมบูรณ์ด้วยจุลินทรีย์และแร่ธาตุจำนวนมาก อีกทั้งยังมีสารประกอบอย่างหนึ่งที่แข็งแกร่งเอามาก เหล่านักวิชาการพูดกันว่า ร่างกายของคุณจ้าวฟื้นตัวได้เร็วแบบนี้ สาเหตุหลักมาจาสารประกอบตัวนี้ครับ”


…………………………………………………


[1] แร่ชนิดหนึ่งประกอบด้วยกำมะถันและสารหนู สูตรทางเคมีคือAs2O3


บทที่ 668 ได้รับความชื่นชอบ


บอสใหญ่ถามขึ้นอีกครั้ง “หากเป็นอย่างที่พูด น้ำแร่บนภูเขานั่นถือว่ามีประสิทธิภาพที่ดีต่อร่างกาย ? แล้วไม่มีผลข้างเคียงหรือ ?”


“นักวิชาการบอกว่ายังไม่มีการตรวจพบสารที่ส่งผลกระทบต่อร่างกายครับ หากดื่มเป็นระยะเวลานานจะเกิดผลดีต่อร่างกายเป็นอย่างมาก” เลขาตอบ


บอสใหญ่ริมฝีปากยกยิ้ม เรื่องในครั้งนี้ตระกูลจ้าวทำให้เขาพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง หลายปีมานี้เขารู้สึกว่าสุขภาพของตัวเองไม่แข็งแรงเท่าแต่ก่อน น้ำแร่จากภูเขาและใบชานี่ช่างเป็นดั่งฝนที่ตกลงมาได้ทันท่วงที !


“น้ำแร่นี่ในหนึ่งวันสามารถใช้ได้กี่คน ?” บอสใหญ่ถามขึ้น


“อย่างมากก็สิบคน ถ้ามากกว่านั้นอาจทำให้น้ำในสระเหือดแห้ง”


บอสใหญ่นึ่งเงียบไปพักหนึ่งอย่างใช้สมาธิ ก่อนจะถามขึ้น “ให้ฉันสองชุด ตระกูลจ้าวสามชุด ที่เหลืออีกหกชุดให้หกครอบครัวนี้ไปก่อนในช่วงสั้นๆ”


เขาไม่ได้พูดออกมา แต่กลับเขียนรายชื่อของทั้งหกคนลงบนกระดาษ เลขาก้มมองแค่ปราดเดียวก็สามารถจดจำได้ แต่แอบนึกตกใจ เพราะโดยทั่วไปไม่เห็นว่าทั้งหกตระกูลนี้จะสนิทกับบอสใหญ่สักเท่าไหร่ นึกไม่ถึงว่าพวกเขาจะมีฐานะที่สูงส่งในใจของบอสใหญ่ถึงเพียงนี้


ในทางกลับกันพวกตระกูลอื่นที่เอ่ยปากเรียกบอสใหญ่ว่าเป็นดั่งพี่น้อง กลับไม่ได้รับน้ำแม้แต่หยดเดียว


ที่แท้ก็เป็นเหมือนดั่งใจกษัตริย์ที่ยากแท้หยั่งถึงนี่เอง !


อยู่เคียงข้างบอสใหญ่มานานหลายปี แต่ตอนนี้กลับไม่อาจรับรู้หรือคาดเดาความรู้สึกนึกคิดใดๆจากบอสใหญ่ได้เลย


บอสใหญ่จุดบุหรี่ขึ้นมาหนึ่งมวน และทำการเผากระดาษที่เขียนไปเมื่อครู่ ทำให้เกิดควันโขมง จากนั้นจึงถามขึ้น “ได้ยินมาว่าครั้งนี้เป็นเพราะหลานสาวคนเล็กของตระกูลจ้าวเป็นคนพบเจอ ?”


“ใช่ครับ หลานสาวที่ตระกูลจ้าวเพิ่งรับกลับมา แต่คนในตระกูลจ้าวกลับบอกว่าเป็นหลานชายอย่างจ้าวเสวียเอร่อที่เป็นคนค้นพบ”


บอสใหญ่หัวเราะร่า “ถือว่าตระกูลจ้าวดูแลหลานสาวได้ไม่เลวเลย งั้นเอาตามที่พวกเขาพูด ต่อไปนี้ห้ามพูดถึงหลานสาวของตระกูลจ้าวอีก”


“ครับ !”


เลขาตกปากรับคำอย่างนอบน้อม เห็นทีว่าต่อไปนี้ต้องเข้าหาตระกูลจ้าวให้มากขึ้นเสียแล้ว


จากท่าทีการประทานน้ำแร่จากภูเขาและใบชาให้แล้ว ถือ ว่าบอสใหญ่พึงพอใจต่อตระกูลจ้าวไม่น้อยเลย !


เห็นท่าว่าบอสใหญ่จะให้ความสนใจต่อเหมยเหมยเป็นอย่างมาก เขาสั่งให้เลขาเล่าถึงเรื่องราวเกี่ยวกับหลานสาวคนเล็กของตระกูลจ้าว เลขาที่เป็นคนเฉลียวฉลาด พอเห็นว่าบอสใหญ่ให้ความสนใจ จึงเลือกพูดแต่เรื่องดีๆ พูดไปพูดมาดันหลุดปากพูดเรื่องที่เหมยเหมยก่อความวุ่นวายเมื่อสองวันก่อนขึ้น


บอสใหญ่ยักคิ้วหลิ่วตา และถามขึ้น “เจ้าเด็กแสบนี่ใจกล้าไม่เบานี่ แล้วเหตุใดเธอจะต้องสร้างศัตรูกับตระกูลโอหยางด้วย ?”


เลขาพูดติดตลก “ข่าวลือที่คนนอกพูดกันว่าหลานสาวของตระกูลจ้าวเกิดอาการหึงหวง เป็นเพราะลูกสาวของตระกูลโอหยางได้รับความนิยมชมชอบจากคุณย่าเธอมากเกินไป”


“แล้วความจริงล่ะ ?”


บอสใหญ่ไม่ใช่คนที่จะหลอกได้ง่ายๆ เขาเองก็รู้จักคุณผู้หญิงของตระกูลจ้าว เธอไม่ใช่คนที่ไร้สาระอะไร เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ชอบหลานสาวตัวเอง แต่กลับชื่นชอบหลานสาวของตระกูลอื่นแทน ?


ไม่ได้โง่ขนาดนั้นเสียหน่อย !


เลขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “สะใภ้ของลูกชายคนเล็กของตระกูลจ้าวแซ่เหยียน เธอเป็นลูกสาวของเหยียนตานชิง อาจารย์ของคุณหนูโอหยางคือหร่วนหวาไฉ่ เขาเคยเป็นลูกศิษย์ของเหยียนตานชิงมาก่อน ยังมีอีกคนหนึ่งชื่อเจิ้งซื่อหลิน ทั้งสองคนนี้เคยร่วมมือกับตานเหอเจิ้งแจ้งความจับเหยียนตานชิง กล่าวหาเขาว่าเป็นจารชนที่ขายชาติบ้านเมือง”


คำพูดต่อจากนั้น เลขาไม่ได้พูดออกมา แน่นอนว่าบอสใหญ่เข้าใจเป็นอย่างดี จึงทำทีหัวเราะเยาะ


ในปีนั้นเขาเองก็ทุกข์ทรมานไม่น้อยไปกว่ากัน ก็ยังล้มลุกคลุกคลานแต่ด้วยจิตใจที่แน่วแน่จนผ่าฟันมาได้ มิเช่นนั้นคงเป็นเช่นเดียวกับเหยียนตานชิง เขาจึงเลือกลงไปรายงานผลต่อหม่าเค่อซือแทน


“เด็กน้อยคนนี้ช่างน่าสนใจนัก อายุไม่มาก แต่ความรู้สึกนึกคิดกลับลึกซึ้ง”


บอสใหญ่ยกยิ้ม พร้อมกับมองเหมยเหมยอย่างน่าทึ่ง


“ต่อไปนี้เจ้าเด็กน้อยคนนี้ทำเรื่องอะไรอีก ให้มาบอกกับผมด้วย แค่ได้ฟังก็มีความสุขแล้ว !” บอสใหญ่พูดกำชับ


เลขาตอบรับไปโดยปริยาย ช่างน่าอิจานัก เป็นที่จับตาต้องใจของบอสใหญ่แล้ว อีกหน่อยหลานสาวคนเล็กของตระกูลจ้าวต้องได้เป็นดั่งหญิงสาวที่ได้ความนิยมมากที่สุดของเมืองหลวง


ทำไมเขาถึงไม่มีลูกสาวที่โดดเด่นแบบนี้บ้างนะ ?


……………………………………………..


บทที่ 669 รองชนะเลิศ


รายชื่อผู้ได้รับรางวัลของการแข่งขันวาดภาพระดับประเทศออกมาแล้ว เหมยเหมยไม่จำเป็นต้องไปฟังผลด้วยตัวเอง ก่อนพิธีมอบรางวัลล่วงหน้าหนึ่งวัน เธอก็ได้รู้ผลลัพธ์แล้ว


เป็นผู้อำนวยการจูโทรมาแจ้งด้วยตัวเอง บอกว่าเหมยเหมยได้รับรางวัลรองชนะเลิศ ผู้อำนวยจูที่ถือสายอยู่มีความลำบากใจเล็กน้อย เขาพยายามอธิบายให้ทราบถึงสาเหตุว่าทำไมไม่ใช่ที่หนึ่ง ซึ่งแน่นอนว่าเหมยเหมยไม่ได้ใส่ใจนัก


เธอเรียนวาดรูปยังไม่ถึงครึ่งปี สามารถเข้าร่วมแข่งขันระดับประเทศได้ก็เพียงพอมากถึงมากที่สุดแล้ว และจากที่ฟังคำพูดของผู้อำนวยจู ผู้ชนะในวันนั้นถือว่าเป็นคนที่มีพรสวรรค์ด้านการวาดภาพตัวจริง อีกทั้งพ่อแม่และบรรพบุรุษของเขาก็เป็นถึงอาจารย์ที่มีเกียรติยศระดับโลก นับว่ามีชื่อเสียงระดับเดียวกับเหยียนตานชิง


คนอื่นๆเกิดมายังไม่ทันได้จับตะเกียบ แต่เขากลับจับดินสอวาดรูปแล้ว ได้ที่หนึ่งก็นับเป็นสิ่งที่เหมาะสมแล้ว ซึ่งเหมยเหมยไม่ได้นึกอิจฉาเลยสักนิด


อีกทั้งเธอกลับรู้สึกละอายใจเล็กน้อยกับการที่ตัวเธอได้รับรางวัลรองชนะเลิศ กรรมการทำอะไรผิดไปหรือเปล่านะ ?


สิ่งที่เหมยเหมยไม่รู้คือ ภาพวาดของเธอเป็นประเด็นใหญ่โตให้ทุกคนถกเถียงกัน แน่นอนว่าพรรคของหร่วนหวาไฉ่และเจิ้งซื่อหลินคัดค้านต่อการตัดสินที่จะให้เหมยเหมยได้รับรางวัล โดยอ้างว่าวิธีการวาดของเธอยังดูอ่อนหัด ทักษะพื้นฐานยังไม่แน่นพอ


การพูดแบบนี้ก็ไม่ผิด ทักษะพื้นฐานของเหมยเหมยเทียบไม่ได้กับทักษะการวาดของผู้เข้าแข่งขันที่เรียนมานานนับสิบปี แต่จุดแข็งของภาพวาดของเธออยู่ที่ความคิดสร้างสรรค์และแรงขับเคลื่อน รวมถึงความเป็นเอกลักษณ์ของเธอเอง


หร่วนหวาไฉ่และศิษย์น้องถือว่ามีอิทธิพลในวงการภาพวาดมากพอสมควร เมื่อพวกเขาพูดออกมาแบบนั้น กรรมการท่านอื่นๆจึงไม่กล้าพูดหนักแน่นมากไปกว่านั้น พวกเขาไม่ได้รับรู้ถึงฐานะที่แท้จริงของเหมยเหมย เข้าใจเพียงแค่ว่าเธอเป็นแค่ผู้เข้าแข่งขันธรรมดาทั่วไป และแน่นอนว่าไม่จำเป็นจะต้องทำตัวมีปัญหากับหร่วนหวาไฉ่และผองพี่น้องเพื่อเข้าข้างผู้เข้าแข่งขันธรรมดาคนเดียว


จุดพลิกผันทั้งหมดกลับขึ้นอยู่กับผู้อำนวยการจู วันหนึ่งของการประชุม ผู้อำนวยการจูและเลขาของบอสใหญ่เจอกันโดยบังเอิญ เลขาของบอสใหญ่พูดบางอย่างกับเขาไปเพียงไม่กี่ประโยค


“เจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลจ้าวฉลาดหลักแหลม ศิลปะก็เป็นเลิศ ช่างเป็นเด็กคนหนึ่งที่ถือว่าไม่เลวเลย !”


คำพูดนี้มีความหมายแอบแฝงนี่ !


ผู้อำนวยการจูได้ฟังก็เข้าใจถึงความหมายลึกๆที่แฝงอยู่ จะต้องเป็นความต้องการของบอสใหญ่แน่ มิเช่นนั้นเลขาของท่านจะเข้ามาข้องเกี่ยวกับเขาได้รึ อีกทั้งอยู่ห่างกันตั้งไกลแต่ตั้งใจมาเจอเขาเพื่อพูดเพียงแค่ไม่กี่ประโยคหรือ ?


ผู้อำนวยการจูคิดว่าตัวเองเข้าใจความหมายจากเบื้องบน จึงกลับไปจัดการกับปัญหาทั้งหมด ตัดสินให้เหมยเหมยได้รับรางวัลรองชนะเลิศ


ทางฝั่งหร่วนหวาไฉ่และคนอื่นมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก แต่ผู้อำนวยการจูก็ไม่คิดจะจัดการพวกเขา ก็แค่ตัวตลกที่กระโดดโลดเต้นไปทั่วทุกทิศทุกทางเท่านั้นเอง


เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร จะให้พวกเขาทำอะไรก็ได้ แต่ตอนนี้บอสใหญ่ถึงกับเป็นห่วงด้วยตัวเอง เขาจะยอมปล่อยให้คนพวกนี้จัดการได้อย่างไร ?


ในวันถัดมา พิธีประกาศรางวัลได้จัดขึ้นที่หอประชุมใหญ่ประจำมหาวิทยาลัยQH จ้าวเสวียเอร่อเข้าร่วมงานพร้อมกับเธอ ด้านผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆก็เข้ามานั่งอย่างพร้อมเพรียง เหยียนโฮ่วเต๋อก็อยู่ด้วย พอเห็นเหมยเหมยก็ไม่ได้มีท่าทีเกาะแกะเลียแข้งเลียขาเหมือนก่อนหน้านั้น


หรืออาจเป็นเพราะถูกเหมยเหมยทำให้ตกใจจนกลัว ?


คนเห็นแก่ตัวยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดอย่างเขา ทำการใดจักต้องรอบครอบและวางแผนล่วงหน้าเสมอ เรื่องที่ทำแล้วได้ไม่เท่ากับเสียเขาจะทำไปเพื่ออะไร ?


เหมยเหมยไม่ได้นั่งรวมกับผู้เข้าแข่งขันจากเมืองจิน แต่เธอนั่งอยู่ด้านหน้า ด้านซ้ายถัดจากเธอคือจ้าวเสวียเอร่อ ด้านขวาเป็นสาวน้อยวัยสิบสามสิบสี่ปีที่มีหน้าตาสละสลวย


ผมสั้นดูเรียบร้อย มองดูแล้วหล่อเหลาเอาการ ใบหน้าละรูปร่างดูมีมิติเป็นไฉน มีความงดงามคล้ายคลึงกับชายวัยแรกแย้มในภาพวาดสีน้ำมัน หากใช้คำพูดของคนรุ่นใหม่ คงบอกว่าเป็นความงดงามแบบหญิงก็ไม่ใช่ชายก็ไม่เชิง


เหมยเหมยแยกไม่ออกว่าคนผู้นี้เป็นบุรุษหรือสตรี เสื้อโค้ทสีน้ำตาลตัวใหญ่ ปกปิดสัดส่วนสรีระอันเป็นเอกลักษณ์ไปเสียหมด ผสมผสานเข้ากับรูปร่างหน้าตาวัยแรกแย้มของเขาแล้ว ยิ่งทำให้แยกไม่ออกว่าเป็นชายหรือหญิง


จ้าวเสวียเอร่อหันไปทักทายกับหญิงสาววัยกลางคนด้านข้าง ฟังดูแล้วน่าจะเป็นคนสนิท พูดจากันถูกคอนัก ท้ายที่สุดพวกเขาได้ทิ้งเหมยเหมยไว้กับบุคคลผู้คงความงดงามเพียงลำพัง เพราะพวกเขาหันไปพูดคุยกัน โดยไม่แม้แต่จะสนใจเธอเลย


…………………………………………………..

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)