ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 660-666
ตอนที่ 660 หลอม
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากหลิ่วหมิงได้ยินเสียงเคลื่อนไหว เขาย่อมลุกขึ้นมายืนสังเกตดูอย่างเงียบๆ
จะเห็นว่าจินเทียนชื่อถือแผ่นค่ายกลเดินวนพื้นที่ว่างเปล่าไปหลายรอบ และเงยหน้ามองท้องฟ้ายามค่ำคืนอยู่เป็นระยะๆ พร้อมกับร่ายคาถาออกมา
ไม่นานเขาก็หยิบพู่กันหยกออกมาด้ามหนึ่ง และเริ่มวาดภาพบนพื้น
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองถึงสร้างสัญลักษณ์ที่ดูซับซ้อนอย่างถึงขีดสุดออกมาได้อันหนึ่ง พอมองลงไปจะเห็นว่ามันดูล้ำลึกมาก ทั้งยังดูไม่คล้ายอักขระ และไม่เหมือนสัญลักษณ์ด้วย
พอจินเทียนชื่อยกแขนเสื้อขึ้น ธงเล็กสีทองอันหนึ่งก็พุ่งออกมา และปักลงบนสัญลักษณ์ที่อยู่บนพื้น
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็ถือแผ่นค่ายกลไปยังพื้นที่อีกแห่งที่อยู่ไม่ไกล และใช้ปากกาหยกวาดต่อ
หลังจากทำเช่นนี้อยู่หลายครั้ง หลิ่วหมิงก็แสดงสีหน้าเข้าใจขึ้นมา
ที่แท้ธงเล็กสีทองแต่ละอัน ต่างก็ตอบสนองต่อสัญลักษณ์บนพื้นแต่ละอัน และเห็นได้อย่างชัดเจนว่าสัญลักษณ์แต่ละอันต่างก็ไม่เหมือนกัน
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน จินเทียนชื่อถึงวางค่ายกลทั้งหลังเสร็จ
เป็นอย่างที่หลิ่วหมิงคิดไว้ หลังจากธงเล็กสีทองสามสิบหกอัน ตอบสนองตำแหน่งสัญลักษณ์ทั้งสามสิบหกของค่ายกลแล้ว มันก็ก่อตัวเป็นค่ายกลยักษ์หลังหนึ่งพอดี
ขณะนี้เป็นเวลากลางคืนพอดี ดวงดาวบนท้องฟ้าเป็นประกายระยิบระยับ จะได้ลองกระตุ้นค่ายกลดูว่ามีอะไรผิดพลาดหรือไม่
หลิ่วหมิงย่อมไม่มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด
จินเทียนชื่อลุกไปยืนข้างค่ายกลทันที มือทั้งสองทำท่ามืออยู่ไม่หยุด พลังเวทหลายสายค่อยๆ จมลงไปในธงค่ายกลทั้งสามสิบหก
“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน
สัญลักษณ์แต่ละอันค่อยๆ เปล่งแสงออกมา ไม่นานสัญลักษณ์ทั้งสามสิบหกก็ถูกจินเทียนชื่อทำให้สว่างขึ้นมาจนหมด
ขณะเดียวกัน มือทั้งสองของจินเทียนชื่อก็ทำท่ามืออยู่ตรงหน้าอก จากนั้นก็ชี้ขึ้นฟ้า และร่ายคาถาออกมา
หลังจากธงค่ายกลทั้งสามสิบหกเปล่งแสงออกมา มันก็ขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดหลายจั้ง ขณะเดียวกัน สัญลักษณ์ที่อยู่รอบด้านก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง เกิดเสียงแหลมดังตรงกลางค่ายกล ลำแสงสีทองสลัวๆ พุ่งขึ้นฟ้า และกะพริบหายไปกลางอากาศอย่างไร้ร่องรอย
ขณะนี้ จินเทียนชื่อค่อยๆ เดินไปรอบๆ ค่ายกลอย่างต่อเนื่อง ปากของเขาร่ายคาถาอย่างต่อเนื่อง และชี้มือไปกลางอากาศอยู่ไม่หยุด
ฉากอันน่าแปลกใจได้เกิดขึ้นแล้ว!
จะเห็นว่าธงยักษ์สามสิบหกอันที่อยู่ท่ามกลางเสียงดังหวึ่งๆ เริ่มสั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่ง ราวกับว่าอยู่ภายใต้แรงกดดันบางอย่างที่ไม่อาจบรรยายได้
ขณะเดียวกัน ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองก็ชี้ไปบนท้องฟ้าอันมืดมิด และแสงดาราก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา จากนั้นก็พากันร่วงลงมาราวกับว่าถูกพลังบางอย่างดึงดูด และถูกดูดเข้าไปในค่ายกลอย่างแม่นยำ
ไม่นาน ค่ายกลใต้เท้าจินเทียนชื่อก็เปล่งแสงแวววาวอยู่ไม่หยุด พอมองไกลๆ ทำให้เห็นราวกับว่าเขาอยู่ท่ามกลางดวงดาว
หลิ่วหมิงจ้องมองฉากตรงหน้าด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย
สถานที่แห่งนี้ก็ได้เลือกแล้ว ค่ายกลนี้ก็ได้ดูดพลังของดวงดาวมาแล้ว แต่ดูจากแสงที่เปล่งออกมาเหล่านี้ ดูเหมือนว่าความเข้มข้นของมันไม่เหมือนกับที่บันทึกไว้ในคัมภีร์
“พี่หลิ่ว ดูท่าค่ายกลแสงดาราคงจะวางเช่นนี้ไม่มีผิด แต่เวลาในวันนี้มันไม่ใช่ ดังนั้นพลังที่ดึงดูดมาจึงมีไม่มาก พลังดวงดาวแค่นี้ไม่อาจช่วยท่านหลอมกระบี่บินได้” ขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อยนั้น จินเทียนชื่อก็เอ่ยปากออกมา
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้” ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงเข้าใจในฉับพลัน
“ข้ารู้วิชาโหราศาสตร์เล็กน้อย สามารถคาดเดาได้ว่าพลังของดวงดาวมีความแข็งแกร่งเมื่อใด พี่หลิ่วโปรดรอสักครู่”
พอกล่าวจบ จินเทียนชื่อก็เก็บแผ่นค่ายกลบนมือ และสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นแผ่นค่ายกลแปลกประหลาดสีฟ้าแวววาวก็ถูกโยนไปกลางอากาศเบาๆ
เขาปล่อยพลังเวทใส่เข้าไปติดต่อกัน แผ่นค่ายกลขนาดฉื่อกว่าๆ หมุนติ้วๆ กลางอากาศ ทันใดนั้น แสงดาราเป็นจุดๆ ก็ปรากฏออกมาบนนั้น ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับดวงตาที่ปกคลุมเต็มท้องฟ้า
จินเทียนชื่อขมวดคิ้วเล็กน้อย มือของเขาทำท่ามืออยู่ไม่หยุด ปากก็ร่ายคาถาออกมาราวกับกำลังคำนวณอะไรบางอย่างอยู่
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาถึงสะบัดแขนเสื้อเก็บแผ่นค่ายกลกลางอากาศด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง และหันมากล่าวกับหลิ่วหมิง
“พี่หลิ่ว หลังจากข้าคำนวณดูแล้ว อีกครึ่งปีให้หลังถึงจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในหนึ่งปี ซึ่งเป็นเวลาที่ค่ายกลนี้สามารถดูดพลังแสงดาราได้มากที่สุด”
“ครึ่งปี?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ขมวดคิ้วขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าจะต้องใช้เวลานานขนาดนี้
แต่คัมภีร์ในก่อนหน้านั้นเคยกล่าวถึงอยู่ว่า พลังมากน้อยของแสงดารามีส่วนเกี่ยวข้องกับความสำเร็จในการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ พลังแสงดารายิ่งมาก ร่างตัวอ่อนกระบี่ก็ยิ่งแสดงอานุภาพได้มาก
“เอาเถอะ! ครึ่งปีก็ครึ่งปี พอถึงเวลานั้นคงต้องรบกวนพี่จินแล้ว” หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้าออกมา
เวลาต่อมา จินเทียนชื่อแสดงท่าทีเต็มใจที่จะเฝ้าอยู่ที่นี่ เพื่อป้องกันการถูกคนอื่นครอบครอง และจะได้ตรวจสอบการโคจรของดวงดาวอยู่ตลอดเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงอื่น ๆ ที่ไม่คาดคิดในระหว่างเวลานี้
หลิ่วหมิงย่อมไม่มีท่าทีคัดค้านใดๆ หลังจากพูดจาอย่างสุภาพไปไม่กี่ประโยคแล้ว ก็ทำท่าเคล็ดกระบี่ และเหยียบกระบี่เล็กสีเขียวพุ่งกลับไปยังถ้ำที่พัก
สำหรับเขาแล้ว เลื่อนเวลาออกไปครึ่งปีก็ดีเหมือนกัน จะได้อาศัยดวงตามายาปีศาจเข้าไปในแดนมายา จำลองพลังแสงดาราในการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่
หลังกลับถึงถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงก็เดินตรงเข้าไปในห้องลับทันที และนั่งขัดสมาธิลงบนเบาะสีเหลืองกลมๆ ตรงกลางห้อง
จากนั้นก็ปล่อยจิตกวาดดูแหวนย่อส่วน หลังจากมั่นใจว่าวัสดุสำหรับหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ยังอยู่ครบแล้ว เขาก็ค่อยๆ ใส่พลังเวทเข้าไปในแผ่นศิลาหุนเทียนตรงทะเลจิตรับรู้ หลังจากมีเสียงดังหวึ่งข้างหู เขาก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง และมองเห็นหลัวโหวนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ศิลาหุนเทียน
“ผู้อาวุโสหลัวโหว” หลิ่วหมิงก้าวเข้าไปคารวะ
“ครั้งนี้เจ้าจะเข้าแดนมายาจำลองพลังแสงดาราเพื่อหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ล่ะสิ!” หลัวโหวลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา และถามอย่างราบเรียบ
“ถูกต้อง ขอผู้อาวุโสแสดงวิชาด้วย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อม
หลัวโหวได้ยินก็พยักหน้า พอยกมือข้างหนึ่ง พลังเวทสายหนึ่งก็จมลงไปในดวงตามายาปีศาจบนศิลาหุนเทียน
หลังจากแสงจิตวิญญาณเปล่งประกายบนดวงตามายาปีศาจแล้ว มันก็กลับมาสงบดังเดิม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เอานิ้วแตะหน้าผากกระตุ้นหนอนพลังจิตให้ปล่อยพลังจิตใส่ศิลาหุนเทียนตรงหน้า
หลังจากดวงตามายาปีศาจดูดซับพลังจิตเพียงพอแล้ว ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าภาพรอบด้านพร่ามัว จากนั้นร่างของเขาก็มาอยู่ในคืนที่เต็มไปด้วยแสงดาว สภาพแวดล้อมรอบด้านเป็นสีดำพร่ามัวไปทั้งแถบ แต่ใต้เท้าของเขากลับเป็นค่ายกลเหมือนกับที่จินเทียนชื่อวางไว้ไม่มีผิด
ขณะนี้ อักขระสามสิบหกตัวกำลังเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด บริเวณรอบๆ มีแสงดาราขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารลอยอยู่ เทียบกับที่จินเทียนชื่อดูดมาในก่อนหน้านั้นแล้ว ความเข้มข้นของมันสูงกว่าหลายเท่า คิดว่าคงจะพอๆ กับสถานการณ์ในครึ่งปีให้หลัง
“การจำลองของดวงตามายาปีศาจนี้เหมือนจริงมาก!” หลิ่วหมิงขยับแขนคว้าแสงดาราบริเวณนั้นมาไว้ในมือ จากนั้นก็คลายนิ้วออกก่อนพูดพึมพำออกมา
เขานั่งขัดสมาธิลง และหยิบวัสดุเสริมที่จำเป็นในการหลอมออกมากองหนึ่ง พร้อมกับกล่องหยกแวววาวหนึ่งใบ
สิ่งที่อยู่ในกล่องหยกคือแก่นทองคำอุกกาบาตก้อนนั้น
หลิ่วหมิงเปิดฝาออก และเพ่งมองผลึกหินสีทองอร่ามก้อนนั้น หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้ว ก็ตบก้นกล่องเบาๆ
“ฟู่!”
แก่นทองคำอุกกาบาตพุ่งออกจากกล่อง และลอยอยู่กลางอากาศตรงหน้าเขา
ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง แสงดาราเป็นจุดๆ ที่อยู่รอบด้านรวมตัวเข้าด้วยกันทันที และกลายเป็นไอหมอกสีขาวจางๆ กลุ่มหนึ่งในระหว่างมือของเขา
ขณะที่แสงดารายิ่งรวมตัวกันมากขึ้น ไอหมอกสีขาวก็มีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าเดิม ขณะที่มันมีขนาดเท่าศีรษะนั้น นิ้วมือของเขาก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับล้อรถ
ไอหมอกสีขาวกลายเป็นกลุ่มเปลวไฟสีขาวอันคุโชน แต่อากาศรอบด้านกลับเย็นเยือกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ราวกับว่าไม่มีอุณหภูมิเลยแม้แต่น้อย
พอหลิ่วหมิงยกมือข้างหนึ่งขึ้น แก่นทองคำอุกกาบาตก็กะพริบเข้าไปท่ามกลางเปลวไฟสีขาว
แก่นทองคำอุกกาบาตที่เดิมทีตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ กลับค่อยๆ ละลายตัวท่ามกลางเปลวไฟสีขาวที่ห่อหุ้ม
“นี่คือพลังแสงดารา ช่างมหัศจรรย์จริงๆ” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พูดกับตัวเองอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็กระตุ้นพลังเวทอยู่ไม่หยุด
ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม แก่นทองคำอุกกาบาตก็ถูกหลอมจนกลายเป็นผลึกแวววาวเหมือนน้ำ บนพื้นผิวยังมีสิ่งแปลกปลอมเล็กๆ ปะปนอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ก็กลายเป็นขี้เถ้าท่ามกลางเปลวไฟสีขาวทันที จากนั้นก็สลายไปในอากาศ
หนึ่งชั่วยามต่อมา แก่นทองคำอุกกาบาตก็ไม่มีสิ่งใดปะปนอีก และกลายเป็นกลุ่มของเหลวสีทองขนาดเท่ากำปั้น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็แอบโล่งใจไปเปราะหนึ่ง มือข้างหนึ่งตบลงพื้นเบาๆ ลมเบาๆ ม้วนเอาวัสดุเสริมอื่นๆ ขึ้นมา และค่อยๆ ใส่ลงไปในเปลวไฟสีขาว
จากนั้นเขาก็ทำท่ามืออีกครั้ง และแสงดาราก็พุ่งไปยังเปลวไฟสีขาว ทันใดนั้นกำลังไฟก็ลุกไหม้แรงกว่าเดิมเล็กน้อย
วัสดุเสริมเหล่านี้หลอมละลายท่ามกลางเปลวไฟสีขาว เพียงแค่พริบตาเดียวก็กลายเป็นของเหลวกึ่งโปร่งใส
ขณะนี้เขาขยับนิ้วเล็กน้อย พอของเหลวสีทองที่อยู่ด้านบนร่วงลงมา ทั้งสองก็รวมตัวเข้าด้วยกันจนกลายเป็นสีทองจางๆ
“แข็งตัว!”
หลิ่วหมิงตะโกนออกมาเบาๆ และชี้นิ้วไปกลางอากาศ
เปลวไฟสีขาวห่อหุ้มของเหลวสีทองจางๆ ไว้ๆ อย่างแน่นหนา
นิ้วทั้งสิบดีดออกไปราวกับล้อรถ เขาไม่กะพริบตาเลยแม้แต่น้อย สีหน้าดูเคร่งขรึมผิดปกติ
หนึ่งชั่วยามต่อมา แสงสีทองแต่ละลำก็พุ่งออกจากเปลวไฟสีขาว
“ตู๊ม!”
เปลวไฟสีขาวระเบิดออกมาในพริบตา วัตถุสีทองร่วงลงมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หยุดทำท่ามือ และส่ายหน้าเบาๆ
เห็นได้ชัดว่าการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ในครั้งแรกล้มเหลว แต่นี่ก็เป็นสิ่งที่เขาคาดเดาไว้ก่อนแล้ว
เขาหลับตาทั้งคู่ลงในทันที พอมีเสียงดังหวึ่งข้างหู เขาก็ออกมาจากแดนมายา พริบตาเดียวก็ไปจากห้องว่างเปล่าลึกลับ และมาปรากฏตัวในถ้ำที่พักอีกครั้ง
ก่อนหน้านั้นเขาทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่จากคัมภีร์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และวางแผนในหัวไม่รู้ตั้งกี่ครั้ง คิดไม่ถึงว่าตอนปฏิบัติจะยังคงล้มเหลวเช่นนี้
ดูท่าไม่ว่าจะเป็นการควบคุมความร้อน การยึดกุมเวลา ต่างก็ต้องทดลองซ้ำๆ ถึงจะบรรลุผลลัพธ์ที่ดีที่สุด จะได้รับประกันการหลอมสำเร็จในทีเดียว
เพราะแก่นทองคำอุกกาบาตมีแค่ก้อนเดียว หากล้มเหลวล่ะก็เป็นเรื่องที่เขาไม่อาจยอมรับได้โดยเด็ดขาด
เวลาในหลายวันต่อมา หลิ่วหมิงยังคงอาศัยพลังจิตอันแข็งแกร่งกับหนอนพลังจิต เข้าไปจำลองพลังค่ายกลแสงดาราในแดนมายา เพื่อทำการฝึกฝนทักษะการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่อยู่ไม่หยุด
ตอนที่ 661 ร่างตัวอ่อนกระบี่
โดย
Ink Stone_Fantasy
หนึ่งเดือนต่อมา ภายในแดนมายาที่ดวงตามายาปีศาจสร้างขึ้น
หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ท่ามกลางค่ายกลแสงดาราเหมือนดังที่ผ่านมา มีแสงดาราเข้มข้นลอยวนอยู่รอบๆ
พอเปลวไฟสีขาวตรงหน้าสลายไป ก็เผยให้เห็นร่างกระบี่สีทองอร่ามขนาดเล็กที่ยาวสองฉื่อเล่มหนึ่ง
“สำเร็จแล้ว!”
หลิ่วหมิงมองดูร่างตัวอ่อนกระบี่ที่ลอยอยู่ตรงหน้าด้วยความดีใจเป็นล้นพ้น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่สำเร็จ
จะว่าไปแล้ว ร่างตัวอ่อนกระบี่หลอมยากเช่นนี้ มันช่างเหนือความคาดหมายของหลิ่วหมิงยิ่งนัก
โชคดีที่เขาสามารถทดลองซ้ำๆ ในแดนมายาได้ หากเป็นคนทั่วไปที่อยากจะสำเร็จในครั้งเดียว ก็ดูเหมือนแทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
แม้ว่าก่อนหน้านั้นทุกอย่างจะราบรื่น แต่หากเกิดความผิดพลาดในเรื่องของกำลังไฟที่เผาได้ที่ ก็จะหลอมได้แค่ของที่มีสภาพไม่ดี หากนำมาใส่จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ล่ะก็ อาจทำให้อานุภาพของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณลดลงไปไม่น้อย
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่ลง และออกไปจากแดนมายาอีกครั้ง
พริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปสามเดือนแล้ว
หลิ่วหมิงผ่านการหลอมมาร้อยกว่าครั้ง ในการหลอมร่างกระบี่สิบครั้งในตอนนี้ สามารถหลอมได้สำเร็จห้าถึงหกครั้งแล้ว และความล้มเหลวไม่กี่ครั้งก็เป็นเพราะความประมาท
ครึ่งปีต่อมา ทักษะการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ของหลิ่วหมิงก็ค่อนข้างชำนาญแล้ว แม้ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสำเร็จเต็มสิบส่วน แต่ก็มีอัตราความเร็จแปดถึงเก้าในสิบส่วน
วันนี้ ขณะที่เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ แผ่นค่ายกลส่งเสียงบนเอวก็พลันสั่นสะท้านขึ้นมา
หลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่และหยิบแผ่นค่ายกลออกมา หลังจากปล่อยพลังเวทเข้าไปในนั้นแล้ว ก็มีเสียงจินเทียนชื่อดังมาจากแผ่นค่ายกล
“คืนในอีกสามวันให้หลัง จะเป็นคืนที่พลังของดาราแข็งแกร่งที่สุด หวังว่าพี่หลิ่วจะเตรียมการไว้ล่วงหน้า”
“ดูท่าจะสำเร็จหรือล้มเหลวคงขึ้นอยู่กับครั้งนี้แล้ว” หลิ่วหมิงพูดพึมพำไปหนึ่งประโยค หลังจากเก็บแผ่นค่ายกลเข้าไปแล้ว ก็หลับตาทั้งคู่ลงอีกครั้ง
เวลาที่เหลือเขาไม่ได้เข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับอีก แต่กลับนั่งเข้าฌานอย่างเงียบๆ เพื่อฟื้นฟูพลังจิตและพลังเวทให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด
ตอนบ่ายในอีกสามวันต่อมา หลังจากหลิ่วหมิงตรวจสอบทุกอย่างที่อยู่ในแหวนย่อส่วน และมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว ก็ขี่เมฆไปยังสถานที่ที่ทั้งสองนัดกันไว้ในก่อนหน้า
หนึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็มาถึงบนยอดเขาเล็กๆ ที่ห่างไกลผู้คนอีกครั้ง จินเทียนชื่อกำลังนั่งอยู่บนหินข้างค่ายกล พอเห็นหลิ่วหมิงมาถึงก็ลุกขึ้นด้วยรอยยิ้ม
“ลำบากพี่จินเฝ้าอยู่ที่นี่มาครึ่งปีแล้ว” พอหลิ่วหมิงลงจากเมฆดำ ก็กุมมือกล่าวกับจินเทียนชื่อ
“ไม่เป็นไร ที่นี่ค่อนข้างเงียบสงบ อีกอย่างการสังเกตปรากฏการณ์ในครึ่งปีมานี้ ก็ได้อะไรมาอยู่” จินเทียนชื่อโบกมือกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
หลังจากทั้งสองสนทนากันอย่างง่ายๆ แล้ว หลิ่วหมิงก็ไปตรวจสอบค่ายกลที่วางไว้ในก่อนหน้าอีกครั้ง และไม่ค้นพบว่ามีอะไรผิดปกติถึงรู้สึกวางใจขึ้นมาจริงๆ
“ตอนนี้เป็นเวลาสายัณห์ ยังเหลือเวลาราวๆ สองชั่วยามกว่าก่อนที่ดวงดาวบนท้องฟ้าจะลงมา พวกเรารออีกสักครู่ก็น่าจะได้แล้ว” จินเทียนชื่อมองดูท้องฟ้าที่มืดมนในระยะไกลๆ แล้วกล่าวอย่างมีแผนในใจ
หลิ่วหมิงย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ จากนั้นก็ไปหาสถานที่สะอาดๆ นั่งรอคอยอย่างเงียบๆ
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ดวงดาวบนท้องฟ้าก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา เวลาสองชั่วยามผ่านไปภายในพริบตา
หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองท้องฟ้า และหรี่ทั้งคู่ลงอย่างอดไม่ได้
มองจากมุมนี้ ดูเหมือนว่าดวงดาวที่ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้ายามค่ำคืนนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ครึ่งปีก่อนจะสามารถเปรียบเทียบได้ แม้กระทั่งยังเปล่งประกายกว่าดวงดาวที่ดวงตามายาปีศาจสร้างขึ้นมามาก
เห็นได้ชัดว่าวิชาโหราศาสตร์ของจินเทียนชื่อผู้นี้ ไม่ใช่ว่า ‘รู้เพียงเล็กน้อย’ อย่างที่เขาพูดแล้ว
ขณะนั้นเอง คำพูดของจินเทียนชื่อที่อยู่ด้านข้าง ก็ขัดความคิดของหลิ่วหมิงทันที
“พี่หลิ่ว ได้เวลาพอประมาณแล้ว”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็เริ่มกันเถอะ” หลิ่วหมิงดึงสติกลับมาก่อนตอบกลับไป
จินเทียนชื่อเดินไปด้านหนึ่งของค่ายกลโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และโบกแขนเสื้อบ่งบอกให้หลิ่วหมิงเข้าไปในด้านใน
หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เดินเข้าไปนั่งขัดสมาธิกลางค่ายกล และนำวัสดุออกมาวางไว้ด้านหน้า
จินเทียนชื่อก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง และปล่อยแสงสีทองออกมา ธงเล็กรอบๆ ค่ายกลส่งเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” และเปล่งแสงสีทองจางๆ
หลังจากกระตุ้นธงค่ายกลที่วางไว้นานครึ่งเดือนแล้ว สีหน้าของจินเทียนชื่อก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปในฉับพลัน ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างไม่ถูกต้อง พอนับนิ้วดูแล้วก็โบกมือไปยังทิศทางบางแห่ง ธงค่ายกลอันหนึ่งสั่นไหวเบาๆ จากนั้นก็พุ่งขึ้นจากพื้น และปักลงบนพื้นที่ห่างออกไปราวๆ ครึ่งชุ่น
ขณะเดียวกัน ดูเหมือนว่าแสงแวววาวที่ค่ายกลเปล่งออกมาจะสว่างขึ้นอีกเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา แต่ก็กลับมามีสีหน้าปกติอย่างรวดเร็ว
จินเทียนชื่อปล่อยพลังใส่ค่ายกลอยู่หลายสาย และธงค่ายกลทั้งสามสิบหกก็เปล่งประกายแสงสีทองจางๆ
จากนั้นเขาก็ชี้ไปบนท้องฟ้า ไหมแสงเป็นเส้นๆ ที่ไม่อาจมองเห็นได้รวมตัวเข้าหาค่ายกลอย่างต่อเนื่อง
อากาศเหนือค่ายกลมีแสงแวววาวปรากฏออกมาจำนวนมาก
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ระดับความเข้มข้นของแสงดารานี้ เหนือกว่าแดนมายาในก่อนหน้านั้นมาก ตอนที่เขาควบคุมเปลวไฟแห่งดารา จะต้องระมัดระวังให้มากถึงจะได้
ดังนั้น หลังจากเขาสูดหายใจเข้าไปหนึ่งเฮือกแล้ว ก็นำแก่นทองคำอุกกาบาตออกจากกล่องหยกอย่างคุ้นเคย และโยนออกไปกลางอากาศตรงหน้า พอทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง แสงดาราเป็นจุดๆ ก็รวมตัวกันเป็นเปลวไฟแห่งดาราสีขาว และเผาไหม้สิ่งแปลกปลอมที่อยู่บนนั้น
เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม สิ่งแปลกปลอมก็ถูกชุบไฟพอประมาณแล้ว หลิ่วหมิงจึงรีบนำวัสดุเสริมออกมาหลอมอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่าจะเป็นวัสดุหลอมตัวอ่อนกระบี่หรือการควบคุมเปลวไฟแห่งดวงดาว หลิ่วหมิงก็ไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย ยังคงมีท่าทีไม่หวั่นเกรงใดๆ
เพราะเขาทดลองทำในแดนมายาไปร้อยกว่าครั้งแล้ว
พอจินเทียนชื่อเห็นเช่นนี้กลับเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา
หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งชั่วยาม เปลวไฟในค่ายกลก็รวมตัวกันมากขึ้น จนมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งจั้งกว่า
ท่ามกลางเปลวไฟสีขาว มีเงาสีทองจางๆ หดขยายอยู่ไม่หยุด ซึ่งอาจระเบิดออกมาได้ตลอดเวลา
ขณะนี้ หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมมาก บนหน้าผากมีเม็ดเหงื่อขนาดใหญ่ผุดออกมาสองสามเม็ด มือทั้งสองยังคงเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ พลังเวทแต่ละสายพุ่งใส่เปลวไฟสีขาวราวกับสายฝนกระหน่ำ ทำให้เงาสีทองในนั้นอยู่ในขอบเขตจำกัดที่กำหนด
ทันใดนั้น เขาก็ตะคอกเสียงต่ำออกมา ภายในอึดใจเดียวก็ดีดพลังหลากสีออกไปสิบกว่าสาย แสงสีทองเจิดจ้าลำหนึ่งพุ่งออกจากเปลวไฟสีขาว
“ตู๊ม!”
เปลวไฟสีขาวสลายตัวออกมา ตัวอ่อนกระบี่สีทองอร่ามเล่มหนึ่งลอยอยู่ในนั้น และยังคงดูดซับพลังแสงดารารอบด้านอยู่ไม่หยุด
เทียบกับร่างตัวอ่อนกระบี่ที่หลอมในแดนมายาแล้ว ครั้งนี้หลอมออกมายาวสองฉื่อแปดชุ่น ดูเหมือนจะยาวขึ้นเกือบจะครึ่งหนึ่ง
สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมาก
ตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ร่างตัวอ่อนกระบี่ยิ่งมีขนาดใหญ่ พลังของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่สำเร็จออกมา ก็จะน่าตกใจมากขึ้นด้วย
“ดูท่าคงต้องแสดงความยินดีกับศิษย์พี่หลิ่วด้วยแล้ว!” จินเทียนชื่อสังเกตดูร่างตัวอ่อนกระบี่สองสามที และเผยแววตาครุ่นคิดออกมา
“ที่ครั้งนี้สามารถหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ได้สำเร็จ ต้องขอบคุณพี่จินที่ช่วยเหลือ ข้าใช้งานเสร็จแล้ว หวังว่าคงจะไม่ทำให้พี่จินใช้ค่ายกลนี้ล่าช้าเกินไป”
หลิ่วหมิงหัวเราะเบาๆ พอโบกมือข้างหนึ่ง ตัวอ่อนกระบี่สีทองสลัวๆ ก็หมุนวนหนึ่งรอบก่อนร่วงลงในกล่องไม้ที่เขาเตรียมไว้ และถูกเก็บเข้าไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นหลิ่วหมิงถึงก้าวออกมาจากค่ายกล
“พี่หลิ่วสามารถใช้ระยะเวลาสั้นๆ แค่สองชั่วยามหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ออกมาได้ ช่างเหนือความคาดหมายยิ่งนัก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็จะไม่เกรงใจแล้ว” จินเทียนชื่อหัวเราะก่อนตอบกลับไป
พอพูดจบ เขาก็หายวับเข้าไปอยู่ในใจกลางค่ายกล มือทั้งสองก็ทำท่ามือแปลกประหลาด ดวงตาทั้งคู่ค่อยๆ ปิดลง และเริ่มร่ายคาถาออกมา
ครู่ต่อมา ฉากอันน่าประหลาดใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
อักขระสีทองนับไม่ถ้วนปรากฏออกมารอบตัวจินเทียนชื่อ และสว่างไปทั่วทั้งตัว ร่างของเขาราวกับเป็นลูกไฟสีทองกลุ่มหนึ่ง และส่องแสงจนรอบๆ ดูสว่างขึ้นมา
และแสงสีขาวแวววาวรอบด้านค่ายกล ก็หมุนวนรอบตัวจินเทียนชื่อเร็วขึ้นเรื่อยๆ
ชั่วเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา ความเร็วในการหมุนวนของแสงดาราสีขาวก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงระดับที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกลานตาเล็กน้อย พอมองจากที่ไกลๆ ทำให้รู้สึกราวกับว่าดวงดาวเต็มท้องฟ้ากำลังหมุนวนรอบดวงอาทิตย์อยู่
หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้
ทันใดนั้น แสงดาราทั้งหมดก็หมุนติ้วๆ กลายเป็นแสงวับแวมก่อนพุ่งยิงไปที่จินเทียนชื่อทั้งหมด และค่อยๆ จมหายไปในร่างของเขาอย่างไร้ร่องรอย
พอเห็นฉากเช่นนี้หลิ่วหมิงก็เบิกตากว้างขึ้นมา และเผยสีหน้าตกตะลึงพรึงเพริดอย่างปิดไม่มิด
ไม่รู้ว่าจินเทียนชื่อผู้นี้ฝึกฝนพลังอะไร ถึงได้อาศัยกายเนื้อดูดซับพลังแสงดาราโดยตรง
สำหรับพลังแฝงในแสงดารานี้หลิ่วหมิงย่อมรู้ดี แก่นทองคำอุกกาบาตที่เป็นวัสดุแข็งแกร่งนี้ ยังถูกมันหลอมจนเปลี่ยนรูปร่างได้ กายเนื้อของผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปยิ่งไม่อาจรับพลังมหาศาลเช่นนี้ได้ถึงจะถูก
ขณะนั้นเอง แสงสีทองในค่ายกลก็ดับลง และเผยให้เห็นร่างของจินเทียนชื่ออย่างชัดเจน
ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองในตอนนี้หลับตาทั้งคู่สนิท เริ่มมีลวดลายจิตวิญญาณสีทองแปลกประหลาดปรากฏบนผิวเป็นเส้นๆ กลิ่นไอก็แข็งแกร่งขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากผ่านไปไม่กี่อึดใจ ขณะที่หลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูจินเทียนชื่อนั้น ก็ค้นพบว่าเขาเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ทั้งยังพุ่งสูงขึ้นด้วยความเร็วที่เหลือเชื่อ
หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
ครู่ต่อมา จินเทียนชื่อที่มีลายจิตวิญญาณสีทองเต็มตัว ก็มีกลิ่นไอของระดับผลึกขั้นกลางแล้ว แรงกดดันแข็งแกร่งบางอย่างเริ่มแผ่ออกมาตามอำเภอใจ
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป คลื่นพลังเวทบนตัวจินเทียนชื่อถึงสงบลง
แต่หลิ่วหมิงกลับพบว่าคอของเขาแห้งผาก แรงกดดันของชายหนุ่มชุดทองบรรลุถึงระดับแก่นเสมือน ซึ่งห่างจากระดับแก่นแท้แค่ครึ่งก้าว
ก่อนหน้านั้นฝ่ายตรงข้ามเป็นแค่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวเท่านั้น
ตอนที่ 662 กระบี่บินว่างเปล่า
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอจินเทียนชื่อทำท่ามือด้วยมือเดียว ลวดลายจิตวิญญาณสีทองบนตัวก็เปล่งประกาย จากนั้นแสงดาราที่เหลืออยู่บริเวณรอบๆ ก็สลายไปในพริบตา
เขาปล่อยพลังใส่ธงค่ายกลบริเวณรอบๆ ติดต่อกันอีกครั้ง
แสงสีทองที่เปล่งประกายบนค่ายกลมืดลงในพริบตา และสุดท้ายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
จินเทียนชื่อลุกขึ้นมา เขายื่นแขนทั้งสองลงด้านล่าง และกำกำปั้นเบาๆ ทันใดนั้นก็หันมาหัวเราะให้กับหลิ่วหมิง
“ครั้งนี้สามารถฟื้นฟูการฝึกฝนในก่อนหน้านั้นได้อย่างรวดเร็ว ต้องขอบคุณพี่หลิ่วที่ให้ข้ายืมใช้ค่ายกลแสงดาราแล้ว”
“พี่จินใยต้องเกรงใจด้วย ด้วยพลังของท่านหากคิดจะวางค่ายกลนี้ เกรงว่าคงไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังของข้าหรอก” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ได้สติจากความหวาดผวา และตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
“พี่หลิ่วไม่รู้อะไรแล้ว หากข้าอยากจะอาศัยค่ายกลแสงดาราฟื้นฟูพลังในอดีตล่ะก็ สามารถทำได้แค่อาศัยความช่วยเหลือจากผู้อื่นเท่านั้น และไม่อาจแจ้งให้อีกฝ่ายทราบก่อนได้ เพราะข้าเคยมีศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญวิชาเสี่ยงทาย และรับรู้ชะตาฟ้าได้ ปีนั้นยังเคยถูกเขาผนึกไว้ พอใช้พลังแห่งดวงดาวด้วยตนเอง ฝ่ายตรงข้ามก็จะรับรู้ได้ในทันที พอถึงเวลานั้นปัญหาของข้าก็จะใหญ่ขึ้นมา ดังนั้นเรื่องในวันนี้ต้องขอให้พี่หลิ่วรักษาเป็นความลับให้ด้วย”พอจินเทียนชื่อได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ พี่จินวางใจเถอะ เรื่องนี้หลิ่วหมิงจะเก็บรักษาเป็นความลับอย่างแน่นอน ดูท่าสถานะในนิกายของพี่จินคงไม่ธรรมดา คงไม่ได้เป็นแค่ศิษย์สายในสินะ” หลิ่วหมิงเข้าใจในทันที จากนั้นก็ถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา
“สถานะของข้า พี่หลิ่วจะรู้เองในภายหลัง นอกจากนี้ ไม่ทราบว่าพี่หลิ่วยังต้องการธงค่ายกลที่ใช้ในการวางค่ายกลนี้หรือไม่” จินเทียนชื่อหัวเราะออกมา จากนั้นก็กวาดสายตามองธงค่ายกลรอบด้าน และถามขึ้นมาทันที
“ข้าวางค่ายกลนี้ไม่เป็น หากพี่จินต้องการก็เอาไปได้เลย เก็บไว้กับข้าก็ไม่มีประโยชน์อันใด” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่ลังเล
“ฮ่าๆ! ถ้าอย่างนั้นข้าติดค้างน้ำใจพี่หลิ่วหนึ่งครั้งแล้ว หากไม่มีเรื่องอื่นแล้วข้าต้องขอตัวก่อน สำหรับภารกิจในหอลี้ลับนั้น พี่หลิ่วเพียงแค่อธิบายเหตุผลในการยกเลิกให้ชัดเจนก็พอ ลาก่อนแล้วค่อยพบกันใหม่” หลังจากจินเทียนชื่อหัวเราะฮ่าๆ แล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อในทันที แสงสีทองม้วนเอาธงค่ายกลทั้งสามสิบหกอันขึ้นมา จากนั้นเขาก็กลายร่างเป็นแสงสีทองก่อนพุ่งออกไป
หลิ่วหมิงมองดูแสงสีทองที่อยู่ไกลๆ และนิ่งเงียบอยู่นาน พอสะบัดแขนเสื้อ ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งกลับไปยังถ้ำที่พัก
แม้ว่าจินเทียนชื่อจะมีอานุภาพน่าตกใจ และดูลึกลับเป็นอย่างมาก แต่ในเมื่อดูไม่มีท่าทีประสงค์ร้ายกับเขา เขาย่อมไม่สืบหาเส้นสนกลในของฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป
หลังจากหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำที่พัก ก็ปิดประตูสนิททันที หลังจากแขวนป้ายไม่รับแขกแล้ว ก็เปิดชั้นจำกัดป้องกันทั้งหมด
ตอนนี้ เงื่อนไขของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว ต่อไปก็จะเป็นขั้นตอนสำคัญคือการใส่เข้าไป
เขาไม่อยากถูกใครรบกวนในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาก็ก้าวเข้าไปในห้องลับ และนั่งเข้าฌานบนเบาะอย่างเงียบๆ
หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน หลิ่วหมิงรู้สึกว่าสภาพจิตใจ และพลังเวทต่างก็ฟื้นฟูมาถึงจุดสูงสุดแล้ว เขาจึงค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา
จากนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งหยิบกล่องไม้ออกมา พอสะบัดแขนเสื้อ ฝากล่องก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างตัวอ่อนกระบี่สีทองอร่ามที่ยาวสองฉื่อแปดชุ่น
หลิ่วหมิงชี้นิ้วผ่านอากาศไปทางกล่องไม้ และตะโกนคำว่า “ขึ้น!” ออกมา
ร่างกระบี่สีทองค่อยๆ ลอยขึ้นจากกล่องไม้ทันที และหยุดนิ่งอยู่บริเวณหน้าอกของเขา
หลิ่วหมิงเพ่งสายตาดูร่างตัวอ่อนกระบี่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ มีแสงสีดำจางๆ ที่ดูคล้ายกับหมอกควันปรากฏระหว่างนิ้ว
ทันทีที่เขาอ้าปาก หมอกโลหิตที่กลายร่างมาจากโลหิตบริสุทธิ์ก็ถูกพ่นออกมาปกคลุมร่างตัวอ่อนกระบี่ตรงหน้าไว้ จากนั้นก็เปลี่ยนท่ามืออีกครั้ง
ร่างกระบี่ส่งเสียงดังเบาๆ หลังจากเก็บหมอกโลหิตทั้งหมดเข้าไปแล้ว แสงสีทองก็เปล่งประกายบนร่าง และลวดลายสีทองก็เริ่มปรากฏบนพื้นผิว
จะว่าไปแล้ว การหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ เพียงแค่เตรียมร่างตัวอ่อนกระบี่กับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ไว้ก็ได้แล้ว
แม้จะบอกว่าพอกระบี่บินพลังจิตวิญญาณถูกสร้างขึ้น มันจะเป็นต้นแบบอาวุธเวทที่มีสามสิบหกชั้นจำกัด แต่วิธีการหลอมของมันไม่ค่อยซับซ้อนมาก สำคัญคือขั้นตอนระหว่างการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่กับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ และขณะที่ใช้วัสดุล้ำค่าจำนวนมากนั้น ชั้นจำกัดจำนวนหนึ่งก็ประทับเข้าไปในนั้นแล้ว
พอจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่บ่มเพาะเสร็จสมบูรณ์ และร่างตัวอ่อนกระบี่สำเร็จออกมา เพียงแค่ใส่จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เข้าไปในร่างตัวอ่อนกระบี่ทำให้ทั้งสองผสมผสานเข้าด้วยกัน ย่อมได้กระบี่บินที่มีระดับเป็นต้นแบบอาวุธเวท
ขณะนี้ ลวดลายจิตวิญญาณสีทองค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นจนปกคลุมไปทั่วร่างกระบี่ พอลวดลายจิตวิญญาณเปล่งประกาย มันก็โอบล้อมรอบตัวกระบี่ราวกับอสรพิษสายฟ้าสีทองที่เปล่งประกาย
หลิ่วหมิงจ้องมองฉากตรงหน้าตาไม่กะพริบ เมื่อความหนาแน่นของสายฟ้าสีทองถึงระดับหนึ่ง ท่ามือของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
แสงแวววาวเปล่งประกายตรงหน้าของเขา เงาแวววาวที่ลอยอยู่บริเวณจุดตันเถียนเงียบๆ เริ่มสั่นสะท้านเบาๆ จากนั้นก็พร่ามัวมาปรากฏเหนือร่างตัวอ่อนกระบี่
และร่างตัวอ่อนกระบี่สีทองก็สั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่งราวกับรับรู้อะไรได้ ทั้งยังเกือบหลุดจากการควบคุมของหลิ่วหมิงเพื่อพุ่งไปที่อื่น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รีบปล่อยพลังออกไปติดต่อกันอย่างตกใจถึงควบคุมมันไว้ได้ จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ ร่างสูงสง่าไม่ขยับเขยื้อน นิ้วทั้งสิบดีดออกไปติดต่อกัน พลังเล็กละเอียดราวกับเส้นผมค่อยๆ ร่วงลงบนจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่
แสงเจิดจ้าเปล่งประกายบนจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ ภายใต้การชี้นิ้วของเขา มันก็ค่อยๆ ร่วงลงบนร่างตัวอ่อนกระบี่…….
เวลาในแต่ละวันค่อยๆ ผ่านไป หลังจากผ่านไปหลายวัน หลิ่วหมิงที่อยู่ในห้องลับก็ลืมตาขึ้นมา
แม้ว่าตอนนี้เขาจะดูอ่อนเพลียมาก แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยด้วยความเบิกบานใจ
ด้วยระดับวิชาหลอมอาวุธของเขาในตอนนี้ ใช้เวลาในการหลอมตัวอ่อนกระบี่บินพลังจิตวิญญาณไม่มาก แต่ที่เสียเวลามากเช่นนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่นั้นแข็งแกร่งและรุนแรงเกินไป แม้ว่าจะผสานเข้ากับร่างตัวอ่อนกระบี่แล้ว ก็ไม่ค่อยเสถียรมากนัก
สุดท้ายภายใต้การชี้แนะของหลัวโหว เขาก็ใช้เวลาบ่มเพาะมันอีกสามเดือนกว่า ในที่สุดก็เสถียรอย่างสมบูรณ์
ระหว่างที่คิดไตร่ตรอง หลิ่วหมิงก็หรี่ตาทั้งคู่ลง จากนั้นก็อ้าปากพ่นแสงสีทองออกมา หลังจากมันหมุนรอบตัวเขาหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นกระบี่ยาวสีทองเล่มหนึ่ง และลอยอยู่ตรงหน้าเขา
กระบี่บินเล่มนี้ยาวสองฉื่อแปดชุ่น ตัวกระบี่เป็นสีทองจางๆ ลายเส้นอ่อนโยน บนตัวกระบี่มีลวดลายจิตวิญญาณอันประณีตสวยงาม
หลิ่วหมิงมองมันอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมีเสียงกระบี่พุ่งยิงออกไป “ฟิ้ว!”
แสงกระบี่สีทองอีกลำพุ่งขึ้นมาภายในห้องลับ ทั่วทั้งถ้ำที่พักเต็มไปด้วยเสียงพายุและสายฟ้า
หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมาก ท่ามือของเขาหยุดชะงักลงอีกครั้ง
ครู่ต่อมา แสงกระบี่สีทองก็เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเงาจางๆ สิบกว่าเงา พริบตานั้น มันก็กลายเป็นตาข่ายกระบี่สีทองจางๆ ผืนหนึ่ง ทั้งยังหดตัวแน่น เมื่อมองดูไกลๆ มันดูคล้ายกับลูกสีทองกลมๆ ลูกหนึ่ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ชี้มือข้างหนึ่งไปทางอากาศทันที
แสงสีทองบนกระบี่บินพลังจิตวิญญาณหายไป ทำให้มันกลายสภาพเป็นเงากระบี่ พริบตาเดียวก็ปรากฏขาดๆ หายๆ และสุดท้ายก็ซ่อนตัวไว้
ชั่วขณะนั้น เสียงพายุกระบี่ที่ปกคลุมเต็มห้องก็ส่งเสียงดังไม่ขาดสาย แต่ดูเหมือนจะมองไม่เห็นร่องรอยของกระบี่บินใดๆ เลย กระบี่บินพลังจิตวิญญาณเปลี่ยนแปลงไปมาราวกับปีศาจ ช่างเป็นอาวุธยอดเยี่ยมที่สุดในการลอบโจมตี
“จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่นี้หลอมขึ้นมาจากไผ่ว่างเปล่า ถ้าอย่างนั้นก็เรียกมันว่ากระบี่ว่างเปล่าก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงรีบตั้งชื่อให้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณอย่างอารมณ์ดี
ต่อมาเขาก็ทดลองความสามารถอื่นๆ ของกระบี่บิน และค้นพบว่านอกจากมันจะหลบซ่อนตัวได้ตามใจแล้ว หากปล่อยพลังเวทใส่ตัวกระบี่อย่างบ้าคลั่งล่ะก็ ยังสามารถก่อเกิดเป็นพลังแม่เหล็กไร้ชื่อรอบตัวได้ด้วย มันสามารถส่งผลต่อการเหินเวหาของอาวุธจิตวิญญาณอื่นๆ ในระยะที่จำกัดได้
หลังจากหลิ่วหมิงลองดูผลลัพธ์นี้แล้ว ก็รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น
เขาชื่นชมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณอีกรอบ จากนั้นก็เก็บเข้าไปในร่าง และเก็บตัวฝึกฝนอีกครั้ง
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงจะเข้าไปใช้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณต่อสู้กับจินเลี่ยหยาง ราชาโลหิต และคนอื่นๆ ในแดนมายาทุกวัน หลังจากเขามีกระบี่บินพลังจิตวิญญาณแล้ว โอกาสในการเอาชนะก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
ในระหว่างเวลานั้น หลงเหยียนเฟยก็มาเยี่ยมเยียนอยู่หลายครั้ง แต่ว่านางไม่พูดถึงเรื่องตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งแล้ว แต่กลับพูดคุยเรื่องวิชาขี่กระบี่กับหลิ่วหมิงแทน
หลิ่วหมิงไม่รู้สึกสงสัยความรู้เรื่องกระบี่ของศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่ดีอย่างหาไม่ได้
หลังจากไปมาหาสู่กันบ่อยๆ หลิ่วหมิงกับนางผู้นี้ก็สนิทกันมากขึ้น
แต่เรื่องที่เขาหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณสำเร็จ กลับไม่แพร่งพรายเลยแม้แต่น้อย
เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปครึ่งปี หลิ่วหมิงก็ออกจากการเก็บตัวในที่สุด
ขณะนี้ เขาฝึกฝนการต่อสู้จริงในแดนมายาอย่างต่อเนื่อง จนควบคุมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณได้ชำนาญแล้ว
หลังจากออกจากถ้ำที่พักแล้ว ก็ขี่แสงสีทองมายังหอลี้ลับ
ขณะนี้ หอลี้ลับส่วนนอกยังคงมีผู้คนแอัด ซึ่งเต็มไปด้วยศิษย์สายนอกกับศิษย์ธรรมดาที่มารับภารกิจต่างๆ
พอศิษย์ดำเนินการหอส่วนนอกคนหนึ่งเห็นหลิ่วหมิงสวมชุดศิษย์สายใน ก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม
หลิ่วหมิงกลับไม่พูดอะไรกับเขามาก แต่กลับเดินเข้าไปหอส่วนในตรงทางเดินด้านข้างอย่างรู้ทาง
ผู้คนในหอส่วนในย่อมมีน้อยกว่ามาก
หลังจากหลิ่วหมิงดูป้ายประกาศในอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็ดึงป้ายประจำตัวออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เขารับภารกิจรวบรวมแก่นวิญญาณของปีศาจอสูรที่เป็นภารกิจระยะยาว
ภารกิจระยะยาวเช่นนี้พบเจอได้บ่อยในนิกายยอดบริสุทธิ์ ส่วนมากจะเป็นการรวบรวมพืชจิตวิญญาณที่กำหนดเป็นพิเศษ วัสดุปีศาจอสูรเป็นต้น โดยไม่จำกัดเวลา และจะคิดค่าตอบแทนจากจำนวนที่รวบรวมมาได้
ผู้ที่ประกาศภารกิจนี้ ส่วนมากเป็นผู้อาวุโสในนิกายที่ศึกษาการปรุงโอสถหรือวิชาหลอมอาวุธเป็นระยะยาว ด้วยเหตุนี้จึงมีความต้องการวัสดุบางอย่างเป็นจำนวนมาก
ที่หลิ่วหมิงรับภารกิจนี้ย่อมเป็นเพราะว่ามีจุดประสงค์อื่น
ตอนที่ 663 ตลาดเหมียวจง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลังจากหลิ่วหมิงรับภารกิจเสร็จแล้ว ก็ไม่อยู่ที่นี่นานอีกต่อไป ไม่นานก็หมุนตัวออกจากหอลี้ลับอย่างรวดเร็ว และไปรวบรวมวัตถุดิบเสริมของโอสถแฝงจิตวิญญาณเป็นจำนวนมากที่ตลาดในนิกายอีกครั้ง
หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น เขาก็ส่งข่าวบอกอินจิ่วหลิงที่เป็นอาจารย์ของเขาว่า ตนเองจำต้องไปจากนิกายเป็นเวลานาน เพราะทำภารกิจสะสมแต้มคุณูปการ จากนั้นก็เขาออกไปจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณโดยใช้ค่ายกลส่งตัวของนิกาย
เป้าหมายแท้จริงของการออกไปข้างนอกในครั้งนี้ ก็เพื่อแสวงหาวัตถุดิบหลักในการปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณ ที่รับภารกิจระยะยาวนั้นเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อออกไปข้างนอกเท่านั้น
หลังจากเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว พลังของโอสถผลึกเย็นไม่เพียงพอสำหรับการฝึกฝนของเขาอีกต่อไป มีเพียงแค่วิธีการปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณออกมาจำนวนมาก ถึงจะเพิ่มพลังเวทได้อย่างรวดเร็ว
ของเหลวห้าแสงที่เป็นวัตถุดิบหลักของโอสถแฝงจิตวิญญาณ เป็นผลิตผลพิเศษในพื้นที่วุ่นวายทางตอนใต้สุดของแผ่นดินจงเทียน ไม่เพียงแต่อยู่ห่างจากเทือกเขาจิตวิญญาณมาก ทั้งยังเป็นพื้นที่ที่เผ่าภูติผีผลุดๆ โผล่ๆ อยู่บ่อยๆ
แม้แต่ความสามารถของหลิ่วหมิงในตอนนี้ หากไปสถานที่แห่งนี้ล่ะก็ ต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างมาก ศิษย์สี่ยอดนิกายใหญ่เสียชีวิตในพื้นที่ป่าเถื่อนทางตอนใต้ไม่น้อย
หลังจากหลิ่วหมิงไปจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณแล้ว ก็เดินทางผ่านค่ายกลส่งตัวหรือไม่ก็เหินเวหามุ่งหน้าไปทางใต้อยู่ไม่หยุด
……
สามเดือนต่อมา มีแสงสีทองจางๆ กะพริบออกจากบึงน้ำที่มีไอหมอกแผ่คลุม และร่วงลงบนกิ่งของต้นไม้โบราณที่สูงระฟ้าต้นหนึ่ง
พอแสงสีทองดับลง ก็เผยให้เห็นชายหนุ่มชุดเขียวรูปร่างสูงใหญ่ผู้หนึ่ง เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ขณะเดียวกัน พลันมีเสียงคำรามมาจากไอหมอกด้านหลังของเขา จากนั้นลมที่ปนไปด้วยกลิ่นคาวก็พัดเข้ามา อสรพิษสีเขียวขนาดใหญ่ตัวหนึ่งกะพริบออกมา มันมีขนาดยาวสิบกว่าจั้ง และพุ่งตรงเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม
หลิ่วหมิงที่ยืนอยู่บนกิ่งไม้ สะบัดแขนเสื้อในทันที ทันใดนั้นไหมสีทองก็กะพริบผ่านไป
“โครม!” หัวอสรพิษสีเขียวถูกตัดออกมา ร่างขนาดมหึมาร่วงลงกลางอากาศ โลหิตสีแดงสาดลงพื้นทำให้พื้นใต้ต้นไม้กว่าครึ่งหนึ่งกลายเป็นสีแดง
“ตู๊ม!” เกิดเสียงดังสนั่น โคลนในบึงสาดกระเด็นไปทั่วทิศ
ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงกวาดสายตามองด้านล่างด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็หายวับไปอยู่ข้างศพอสรพิษยักษ์ และนำผลึกโปร่งใสกลมๆ ออกมา ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาและโบกมืออีกครั้ง
หมอกสีเขียวกลมๆ ลอยออกจากหัวอสรพิษยักษ์ และถูกนำเข้าไปในผลึกกลมๆ
ขณะนี้ผลึกกลมๆ กลางอากาศ มีหมอกสีเขียวที่มีลักษณะคล้ายกันลอยออกมาสิบกว่าลูก
หลิ่วหมิงเก็บผลึกกลมๆ ในมือเข้าไป จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง และทะยานขึ้นฟ้าทันที พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปไกลๆ
…….
ครึ่งปีต่อมา ท่ามกลางทะเลทรายสีแดงที่ร้อนผะผ่าว และมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
อสูรจิตวิญญาณสิบกว่าตัวที่ดูคล้ายอูฐกำลังยืนเรียงเป็นแถว และกำลังเดินไปท่ามกลางทะเลทรายอย่างยากลำบาก
อูฐแต่ละตัวต่างก็มีคนนั่งอยู่หนึ่งคน ซึ่งสวมชุดคลุมสีดำทั้งตัว เผยให้เห็นแค่ลูกกะตาเท่านั้น
หนึ่งในนั้นมีแสงแวววาวที่ดูแหลมคมในดวงตาของเขา ดูเหมือนว่ากำลังระแวดระวังภัยอยู่ตลอดเวลา เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ท่ามกลางทะเลทรายสีแดงในขณะนี้ มีพายุพัดอย่างรุนแรง จนก่อเกิดเป็นคลื่นความร้อนผสมปนเปมากับพายุทะเลทราย พออูฐจิตวิญญาณเผชิญหน้ากับพายุทะเลทรายระดับนี้ แสงสีแดงก็เปล่งประกายบนตัวมัน และเดินต้านทานแรงพายุด้วยความยากลำบาก
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงพลันเงยหน้าขึ้นมา ส่วนมือก็กำบังเหียนไว้แน่น สายตามองไปยังด้านข้าง
คนทั้งสิบก็เหมือนจะมีระดับการฝึกฝนที่ไม่ธรรมดา ครู่เดียวก็ค่อยๆ พากันมองไปยังทิศทางเดียวกันด้วยความรู้สึกระแวดระวัง
ฉากน่าประหลาดใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
ท่ามกลางทะเลทรายสีแดงที่อยู่ด้านข้าง พลันมีพายุฝุ่นปกคลุมเต็มฟ้า ดูคล้ายกำแพงทรายที่ประชิดเข้าหาพวกเขา ไม่นานก็อยู่ห่างจากพวกเขาแค่สิบกว่าจั้ง
จากนั้นก็มีเสียง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ท่ามกลางกำแพงทราย มีหนูยักษ์สีเทากระโดดออกมาจำนวนมาก และมันก็อ้าปากกระโจนเข้าหาฝูงอูฐ
หนูสีเทาเหล่านี้มีขนาดพอๆ กับละมั่ง มีฟันแหลมคมสีขาวเต็มปาก ราวกับว่าจะกลืนกินทุกคนเข้าไป
“ระวัง นี่คือหนูกัดศิลา!” กลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้าส่งเสียงตะโกนออกมา
และผู้คนที่นั่งอยู่บนอูฐจิตวิญญาณ ก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวกับการถูกโจมตีอย่างกะทันหันนี้ สามารถพูดได้ว่าหนูกัดศิลาเป็นปีศาจอสูรระดับต่ำที่พบเจอได้บ่อยที่สุด ผู้คนที่สัญจรไปมาบ่อยๆ ย่อมพบเห็นจนเคยชิน
ครู่ต่อมา แสงสิบกว่าลำก็เปล่งประกายออกจากฝูงอูฐ และพุ่งเข้าไปในฝูงหนูสีเทาท่ามกลางเสียงลมพายุ
หนูกัดศิลาเป็นแค่ปีศาจอสูรระดับของเหลวชนิดหนึ่ง และในกลุ่มคนเหล่านี้รวมถึงหลิ่วหมิงด้วย ก็มีผู้ฝึกฝนระดับผลึกอยู่สามคน คนอื่นๆ ต่างก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางจนถึงขั้นปลาย มิเช่นนั้นคงไม่กล้าเดินทางในสถานที่ที่มีชื่อเสียงดุร้ายเช่นนี้
แต่ในขณะที่ฝูงหนูสีเทาเหล่านี้กระโจนเข้ามายังไม่ถึงตัวหลิ่วหมิง และคนอื่นๆ นั้น ก็ถูกสกัดไปกว่าครึ่งหนึ่ง
ภายใต้การเคลื่อนไหวนิ้วทั้งสิบของหลิ่วหมิง ปราณกระบี่สีทองก็พุ่งออกไปติดต่อกัน และร่วงลงในฝูงหนูราวกับสายฝน ทันใดนั้นหนูยักษ์สิบกว่าตัวก็ถูกปั่นจนเป็นเนื้อเหลว
หนูกัดศิลาที่เหลือส่งเสียงร้องแหลม ทันใดนั้น มันก็หมุนตัวพุ่งหนีไปอีกทิศทางทันที
หลังจากที่อสูรจิตวิญญาณเหล่านี้แตกสลายไป กำแพงทรายที่โหมซัดสาดเข้ามา ก็แตกกระจายกลายเป็นฝุ่นทรายปกคลุมเต็มฟ้า
สำหรับปีศาจอสูรขั้นต่ำเหล่านี้ ย่อมไม่มีใครอยากจะไล่ล่ามัน หลังจากฝูงอูฐหยุดอยู่พักหนึ่งแล้ว เขาก็เดินหน้าไปต่อ
หลิ่วหมิงตามคนเหล่านี้ไปอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าสงบ
……
ผ่านไปครึ่งปีกว่า ขอบพื้นที่บริเวณทางใต้ของแผ่นดินจงเทียน หลิ่วหมิงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าเรือหยกจันทรา ชุดคลุมสีเขียวโบกสะบัดตามลม และพุ่งผ่านท่ามกลางทะเลหมอกสีเขียวขจีแห่งหนึ่ง
แสงสีแดงจางๆ เปล่งประกายบนเรือหยก กระตุ้นให้เกิดคลื่นอากาศไร้รูปกั้นไอหมอกเขียวขจีไว้ด้านนอก
ที่นี่คือทะเลหมอกพิษที่มีชื่อเสียงของพื้นที่ทางตอนใต้!
อากาศที่เป็นพิษเหล่านี้ ไม่เพียงแต่มีพิษร้ายแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ยังมีผลในการสกัดกั้นจิตรับรู้ในระดับหนึ่งด้วย หากผู้ฝึกฝนสัมผัสโดนมันเพียงนิดเดียว ก็ต้องเกิดเรื่องยุ่งยากอย่างเลี่ยงได้
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย และหรี่ตาทั้งคู่ลง จะเห็นว่าส่วนลึกของทะเลหมอกด้านข้างเรือหยก มีฝูงผึ้งพิษสีเขียวหยกขนาดใหญ่บินเข้ามา
ผึ้งพิษเหล่านี้มีขนาดเท่าศีรษะ ตรงก้นของมันยังมีเข็มพิษที่มีลักษณะคล้ายกริช เปล่งแสงสีดำแวววาว มองดูก็รู้ว่ามันมีพิษ
ฝูงผึ้งบินรวดเร็วมาก เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็อยู่ห่างจากเรือหยกเจ็ดแปดจั้งอย่างไร้สุ้มเสียง
หากไม่ใช่ว่าหลิ่วหมิงเคยทานโอสถเบญจโรจน์มาก่อน จึงทำให้มองทะลุเมฆหมอกได้ล่ะก็ พอพวกมันเข้ามาใกล้ เกรงว่าต่อให้จะไม่เป็นอะไร แต่ก็ต้องมือไม้ยุ่งเหยิงอย่างช่วยไม่ได้
ตอนนี้เขาแค่เอามือทั้งสองมาถูและแยกออกจากกัน ทันใดนั้นลูกสายฟ้าสีขาวเงินลูกหนึ่งก็พุ่งยิงออกไป
หลังจากมีเสียงดังตู๊ม ลูกสายฟ้าก็ระเบิดออกมาในพริบตา เส้นละเอียดเล็กๆ เปล่งประกายไปมาท่ามกลางฝูงผึ้ง
ฝูงผึ้งมือไม้ยุ่งเหยิงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง จากนั้นผึ้งพิษจำนวนนับไม่ถ้วน ก็ร่วงลงจากท้องฟ้าราวกับเม็ดฝน และไม่รู้สึกหวาดกลัวหลิ่วหมิงเลย
หลิ่วหมิงกลับรู้ว่าผึ้งพิษที่พบได้บ่อยในทะเลพิษเหล่านี้ ชอบอยู่รวมกันเป็นฝูงมากที่สุด ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่มีจิตใจจะต่อสู้ พอกระทืบเท้าข้างหนึ่งเบาๆ เรือหยกจันทราก็พุ่งไปด้านหน้าทันที และสะบัดผึ้งพิษไว้ด้านหลัง
ผึ้งพิษสีเขียวเหล่านี้เป็นแค่แมลงพิษชนิดหนึ่งที่อยู่ในทะเลหมอกพิษเท่านั้น
ช่วงระยะเวลาในสิบกว่าวันต่อมา หลิ่วหมิงพบเจอกับแมงป่องพิษ ยุงพิษ มดพิษ และอื่นๆ เป็นต้น
ดีที่ว่าขณะนี้เขามีการฝึกฝนที่พัฒนาไปอย่างมาก ทั้งยังมีอาวุธเหินเวหาระดับสุดยอดอย่างเรือหยกจันทรา ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้รับอันตรายใดๆ ในระหว่างการเดินทาง
สิบวันต่อมา ในที่สุดเรือหยกจันทราก็มาถึงขอบทะเลหมอก และเริ่มเข้าสู่ทุ่งหญ้าแห่งหนึ่ง
……
หนึ่งปีต่อมา หลังจากหลิ่วหมิงคลำหาทิศทางไปหนึ่งครั้ง ในที่สุดก็ค่อยๆ เข้าสู่ส่วนลึกของเขตพื้นที่ป่าเถื่อนทางตอนใต้
ภายในถ้ำภูเขาบนเทือกเขาไร้นามแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีเขียวกำลังนั่งขัดสมาธิเข้าฌานอยู่บนพื้น
หลังผ่านการเดินทางมายาวนาน ต่อให้เขาจะมีการฝึกฝนในระดับนี้ ก็รู้สึกเหนื่อยล้าทั้งร่างกาย และจิตใจจนรู้สึกจะรับไม่ไหวเล็กน้อย
ไม่นาน เงาร่างสวมชุดคลุมหนังอสูรที่ดูคล้ายคนป่า ก็มายืนอยู่นอกถ้ำ แต่กลับไม่รู้ว่ามาจากไหน และค่อยๆ ล้อมรอบถ้ำไว้
หลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่และเผยสีหน้าเยือกเย็นออกมา จากนั้นก็ลุกขึ้นช้าๆ
ที่เข้าดินแดนป่าเถื่อนทางตอนใต้นั้น เพื่อหลบซ่อนสายตาของผู้คน จึงได้แต่ได้ทำการเก็บซ่อนพลังแท้จริงของตนเองไว้ ซึ่งคลื่นพลังเวทบนตัวอยู่ที่ระดับของเหลวเท่านั้น
เดิมทีเขาไม่อยากเป็นจุดสนใจของผู้คน แต่ไม่คาดคิดว่ามันจะดึงดูดสายตาผู้ฝึกฝนชนเผ่าท้องถิ่นได้น้อย
ครู่ต่อมา มีเสียงร้องอย่างเวทนาดังขึ้นติดต่อกันในบริเวณรอบๆ ถ้ำ
ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป นอกถ้ำก็เต็มไปด้วยศพที่นอนอยู่เต็มพื้น ขณะเดียวกันแสงสีทองลำหนึ่งก็พุ่งออกมา และหายไปจากขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว
…….
ครึ่งปีต่อมา บริเวณเขาจูหลงที่มีชื่อเสียงในส่วนลึกของดินแดนป่าเถื่อนทางตอนใต้ มีแสงแวววาวพุ่งเข้ามาจากขอบฟ้าที่ไกลๆ
หลังจากแสงม้วนตัวหายไป ก็เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่บนเรือหยก
เขากวาดสายตามองดูกลุ่มภูเขาที่ทอดยาวติดต่อกันอยู่ไกลๆ หลังจากหรี่ตาทั้งคู่ลงแล้ว ก็นำแผ่นหยกมาแปะไว้บนหน้าผาก และนำจิตจมดิ่งลงไปในนั้น
ครู่ต่อมา เมื่อเขาถอนหายใจยาวออกมาแล้ว ก็นำแผ่นหยกออกจากหน้าผาก และกระโดดลงจากเรือหยกทันที
เขาสะบัดแขนเสื้อเก็บเรือหยกเข้าไป หลังจากยืดเส้นยืดสายแล้ว ก็เหยียบเมฆดำพุ่งไปยังขอบเทือกเขา
หากแผนที่ไม่ได้ระบุผิดล่ะก็ ที่นั่นคงจะเป็นเมืองที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่แห่งหนึ่ง
เมืองแห่งนี้เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณเขาจูหลงนี้ มันคือตลาดเหมียวจงนั่นเอง
ไม่นานหลิ่วหมิงก็มองเห็นเงาของเมืองจากระยะไกลๆ
ขณะนั้นเอง มีกลุ่มผู้ฝึกฝนขี่อสูรประหลาดที่มีหัวเป็นวัวร่างเป็นม้าเหินเวหาอยู่พอดี ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวที่อยู่ตรงหน้ามีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นต้น ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหลังกลับมีการฝึกฝนแค่ระดับศิษย์จิตวิญญาณเท่านั้น
ดูจากทิศทางที่พวกเขาไปแล้ว ก็คือตลาดที่อยู่ตรงหน้านั่นเอง
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กระตุ้นเมฆดำลงไปขวางอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกฝนเหล่านี้ และปล่อยพลังกดดันระดับผลึกออกมาอย่างไม่ปิดบัง
หลังจากชายหนุ่มชุดขาวรับรู้ถึงกลิ่นไอของหลิ่วหมิง ก็รีบกระโดดลงจากหลังอสูรด้วยสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และโค้งตัวกล่าว
“ผู้อาวุโสขวางทางกะทันหันเช่นนี้ มีเรื่องอะไรให้ข้าน้อยรับใช้หรือ?”
ผู้ฝึกฝนระดับต่ำคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ ก็พากันกระโดดลงมาด้วยสีหน้าร้อนอกร้อนใจ
“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องตื่นเต้น ข้าไม่ได้มีเจตนาร้าย เพียงแค่พบเจอพวกเจ้าพอดี จึงอยากสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ในตลาดเหมียวจงสักหน่อย” หลิ่วหมิงยืนเอามือไขว้หลัง และกล่าวอย่างราบเรียบ
ตอนที่ 664 ซื้อ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ทราบ! เพียงแค่ผู้อาวุโสถามมา พวกข้าจะตอบทุกสิ่งที่รู้” ชายหนุ่มชุดขาวได้ยินก็รู้สึกโล่งใจมาก แต่ยังคงมีสีหน้านอบน้อมเช่นเดิม
“การฝึกฝนของพวกเจ้าต่ำเช่นนี้ ไม่มีระดับผลึกเลยแม้แต่คนเดียว ไม่กลัวจะเผชิญกับเรื่องที่คาดไม่ถึงหรือ?” หลิ่วหมิงสังเกตดูคนเหล่านี้ทีหนึ่ง จากนั้นถึงค่อยๆ กล่าวออกมา
“ผู้อาวุโสมาตลาดเหมียวจงเป็นครั้งแรก อาจจะไม่รู้สถานการณ์ในสถานที่แห่งนี้ พวกข้าเป็นศิษย์นิกายโคสวรรค์ที่อยู่บริเวณตลาดเหมียวจง รับคำสั่งจากอาจารย์ให้มามอบของเซ่นไหว้ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าหมาน หรือเผ่าปีศาจต่างก็ไม่มีใครเข้ามายุ่ง” ชายหนุ่มชุดขาวรีบตอบกลับไป
“มอบของ? พวกเจ้ามอบของเซ่นไหว้ให้ใครกัน?” หลิ่วหมิงถามต่อด้วยแววตาที่เป็นประกาย
“ผู้อาวุโสไม่รู้อะไร ตลาดเหมียวอยู่ภายใต้การปกครองของฝ่ายชิงหมานในเผ่าหมาน แต่ผู้ที่ฝ่ายชิงหมานมอบของเซ่นไหว้ให้ก็คือปีศาจวายุหมัวเจี๋ยที่เป็นหนึ่งในสามผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจในดินแดนป่าเถื่อนทางใต้ ว่ากันว่าท่านหมัวจี๋ได้เข้าใกล้ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์แล้ว ทั่วทั้งดินแดนทางตอนใต้ยังไม่เคยพ่ายแพ้ให้กับผู้ใดเลย” ชายหนุ่มชุดขาวรีบอธิบายออกมา
“สามผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจ ก่อนหน้านั้นข้าก็เคยได้ยินมาบ้าง แต่เรื่องราวเกี่ยวกับปีศาจวายุที่เป็นรูปธรรมนี้ กลับไม่ค่อยเข้าใจอย่างชัดแจ้ง” หลิ่วหมิงได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ผู้อาวุโส ปีศาจวายุไม่จัดอยู่ในกลุ่มอิทธิพลของเผ่าปีศาจในดินแดนป่าเถื่อนทางตอนใต้ เป็นแค่ผู้ฝึกฝนอิสระเท่านั้น แต่กลับอาศัยชื่อเสียงอันโด่งดังทำให้เผ่าหมานจำนวนไม่น้อยในแดนใต้มอบของเซ่นไหว้ให้ หากมนุษย์ผู้ฝึกฝนอย่างพวกเราอยากจะยืนมั่นในบริเวณเทือกเขาจูหลง ก็ได้แต่มอบของจำนวนหนึ่งให้อยู่เสมอๆ ถึงไม่ถูกรังแกและกดขี่จากผู้ฝึกฝนเผ่าหมาน” ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวอย่างนอบน้อม
“อ๋อ? ในเมื่อเป็นผู้ฝึกฝนอิสระ ต่อให้จะได้รับของเซ่นไหว้ แต่ทำไมถึงมีเวลาสนใจเรื่องของดินแดนทางใต้ล่ะ” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา
“ผู้อาวุโสไม่รู้อะไร ท่านหมัวจี๋ย่อมไม่มีเวลาสนใจเรื่องของสถานที่แห่งนี้ แต่ผู้ที่ประจำการอยู่ฝ่ายชิงหมานเป็นศิษย์สายตรงผู้หนึ่ง และกลุ่มอิทธิพลอื่นในแดนใต้ก็จะไม่ไปยุแหย่เผ่าที่มอบของเซ่นไหว้ให้ปีศาจวายุเหล่านี้ และยอมรับเป็นกลุ่มอิทธิพลเดียวกับเขาโดยปริยาย เพียงแต่เผ่าที่มอบของเช่นไหว้ให้ปีศาจวายุเหล่านี้ ไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่เดียวกัน แต่กลับกระจัดกระจายไปทั่วส่วนต่างๆ ของแดนใต้” ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวกล่าวอย่างละเอียด
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ เอาล่ะ! พวกเจ้าไปได้แล้ว” หลิ่วหมิงฟังจบถึงรู้สึกวางใจขึ้นมา
ในเมื่อตลาดเหมียวจงแห่งนี้มีปีศาจวายุผู้แข็งแกร่งอย่างหมัวจี๋เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง คงไม่มีคนกล้าหาเรื่องในนี้อย่างแน่นอน เช่นนี้หากเขาปะปนอยู่ในนั้น ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องอื่นมากเกินไป
ชายหนุ่มชุดขาวฟังคำพูดของหลิ่วหมิงแล้ว ก็รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมามาก จากนั้นก็คารวะอย่างนอบน้อมอีกครั้ง และพาคนอื่นๆ กระโดดขึ้นหลังอสูรจิตวิญญาณก่อนทะยานฟ้าจากไป
หลิ่วหมิงกลับมีแสงสีทองเปล่งประกายรอบตัว จากนั้นก็กลายเป็นแสงหลบหลีกพุ่งไปยังเมืองที่อยู่ไกลๆ
ไม่นาน หลิ่วหมิงก็ร่อนลงตรงทางเข้าด้านหนึ่งของตลาดเหมียวจง และเดินยักย้ายส่ายสะโพกเข้าไปท่ามกลางคนเผ่าหมาน
เทียบกับความเจริญรุ่งเรืองของตลาดในนิกายยอดบริสุทธิ์แล้ว ตลาดเหมียวจงแห่งนี้ไม่มีอะไรที่เทียบไม่ได้ พอเขาเดินมาถึงบนถนน ก็ได้ยินเสียงอึกทึกที่ดังมาจากด้านในอย่างไม่ขาดสาย เผ่าปีศาจกับเผ่าหมานที่สวมเสื้อผ้าแบบต่างๆ และผู้ฝึกฝนที่ดูจากการแต่งกายก็รู้ว่ามาจากข้างนอก กำลังเข้าออกร้านค้าบริเวณนั้นอย่างไม่ขาดสาย ดูเหมือนจะคึกคักเป็นอย่างยิ่ง
ในตลาดที่หลิ่วหมิงเคยเห็นในก่อนหน้านั้น มีแค่ตลาดเมืองจันทราสายน้ำเท่านั้นที่เป็นเช่นนี้
เพราะในตลาดระดับนี้ไม่ใช่ผู้ฝึกฝนทั้งหมด แต่ส่วนมากกลับเป็นคนธรรมดา
เขาใช้ห้าร้อยหินจิตวิญญาณซื้อแผนที่ตลาดเหมียวจงจากผู้ขายตรงปากทางเข้ามาชุดหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปในส่วนลึกของตลาด
ในตลาดเหมียวจงก็เต็มไปด้วยร้านหลอมอาวุธ ร้านโอสถต่างๆ เหมือนกับตลาดอื่นๆ เพียงแต่ว่าร้านค้าส่วนมากเป็นรูปแบบการก่อสร้างของเผ่าหมาน ส่วนใหญ่ใช้ไม้ขนาดใหญ่กับกิ่งไม้แห้งสร้างขึ้นมา
สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ภายนอกดูหยาบๆ แต่ข้างในกลับมีทุกอย่างครบครัน
หลิ่วหมิงเดินดูมาตลอดทางจนเวลาผ่านไปกว่าครึ่งชั่วยาม ถึงมาถึงลานใจกลางตลาด
ทั่วทั้งลานกว้างขวางมาก มีขนาดพื้นที่หลายหมู่ ตรงกลางมีรูปปั้นทองสัมฤทธิ์สูงประมาณร้อยกว่าจั้งตั้งตระหง่าน ดูเหมือนจะเป็นปีศาจก็ไม่ใช่คนก็ไม่เชิง มีแสงทรงกรดจางๆ เปล่งประกายบนพื้นผิว ดูเหมือนจะเป็นสัญลักษณ์ชนิดหนึ่งที่เป็นที่เคารพของชนเผ่าหมาน
และพื้นรอบด้านรูปปั้นแกะสลักมีแผงลอยของผู้ฝึกฝนอิสระจัดวางกระจัดกระจายอยู่ไม่น้อย มีคนเดินซื้อวัสดุจิตวิญญาณต่างๆ อย่างหนาแน่น มีเสียงร้องเรียกอยู่ไม่หยุด ให้ความรู้สึกของตลาดในเมืองมนุษย์ธรรมดาๆ
ข้างถนนหลายสายรอบลานกว้างมีสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่สูงห้าหกจั้ง ทั้งตัวสร้างโดยไม้ขนาดใหญ่จำนวนหนึ่ง นี่คือร้านค้าสองสามแห่งที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในตลาด และด้านนอกก็เป็นร้านค้าขนาดกลางและขนาดเล็ก
หลังจากหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดูแผนที่ในมือแล้ว ก็เลี้ยวไปทางถนนบางแห่ง ไม่นานก็เดินเข้าไปในร้านโอสถที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง ซึ่งระบุไว้ในแผนที่
ชั่วเวลาครึ่งเค่อต่อมา ขณะที่เขาเดินออกจากร้านค้าด้วยสีหน้าปกตินั้น ก็ซื้อวัตถุดิบเสริมในการปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณมาได้จำนวนหนึ่งแล้ว และยังแอบสอบถามราคา ปริมาณ และสถานการณ์อื่นๆ ของของเหลวห้าแสงด้วย
หลิ่วหมิงนำแผนที่ออกมาดูอีกที จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้านโอสถอีกแห่ง
เขาเดินวนในตลาดราวๆ สองชั่วยาม จากนั้นก็ตรวจสอบร้านโอสถที่แสดงบนแผนที่ไปหนึ่งรอบ
สุดท้ายก็ค้นพบว่าเทือกเขาจูหลงสมกับเป็นดินแดนผลิตน้ำผึ้งจิตวิญญาณจริงๆ มีของเหลวห้าแสงขายอยู่ไม่น้อย ดูเหมือนว่าจะมีขายทุกร้าน แต่ส่วนมากจะมีคุณภาพกลางถึงต่ำ ของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงยังคงมีอยู่ไม่มาก ระดับสุดยอดยิ่งไม่มีเลย
หลังจากสืบข่าวมา หลิ่วหมิงก็รู้ว่าเนื่องจากของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงกับคุณภาพสุดยอดมีจำนวนน้อย ส่วนมากจะอยู่ในการควบคุมของฝ่ายชิงหมาน และสามปีถึงนำออกมาประมูลหนึ่งครั้ง ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ปกติ ของเหลวห้าแสงที่ถูกปล่อยออกมาจึงมีคุณภาพไม่ค่อยสูงมากนัก แม้ว่าจะพบเจอคุณภาพสูงจำนวนหนึ่งอยู่บ้าง แต่ก็พอจะนับว่ามีคุณภาพสูงเล็กน้อย ไม่อาจทำให้รู้สึกพึงพอใจได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ย่อมมีคนจากภายนอกจำนวนไม่น้อยเข้าไปหารังผึ้งห้าแสงในภูเขาโดยตรง เพื่อเก็บน้ำผึ้งจิตวิญญาณคุณภาพสูง
ไม่อาจพูดได้ว่าหลิ่วหมิงรู้สึกพอใจกับผลลัพธ์เช่นนี้ แต่เห็นว่าท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว จึงหาโรงเตี๊ยมบางแห่งใจกลางตลาด และจ่ายสามหมื่นหินจิตวิญญาณเช่าบ้านที่มีห้องลับหลังหนึ่ง จากนั้นก็เข้าไปวางชั้นจำกัดไว้ในห้องลับ และนั่งเข้าฌาน
เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงแปลงโฉมเป็นบัญฑิตสุภาพเรียบร้อยคนหนึ่ง จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้านโอสถที่เมื่อวานบอกว่ามีของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงอยู่
พอเดินเข้าไปในประตูร้าน ชายฉกรรจ์เผ่าหมานผู้หนึ่งก็เดินออกมารับ
“ข้าเป็นเถ้าแก่ของร้านนี้ ไม่ทราบว่าสหายจะมาซื้อสมุนไพรอะไรที่ร้านเราหรือ?” ชายฉกรรจ์กล่าวด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า
“ไม่ทราบว่าร้านของท่านมีของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงขายหรือไม่?” หลิ่วหมิงถามออกมาตามตรง
“อ๋อ! ของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงย่อมมีอย่างแน่นอน หากสหายไม่รังเกียจ พวกเราไปคุยรายละเอียดบนห้องรับรองชั้นสองกันเถอะ” ชายฉกรรจ์ได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ ก็รู้ว่ามีลูกค้ารายใหญ่มาหาถึงที่แล้ว จึงรีบกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม
หลิ่วหมิงทำท่าทางให้ฝ่ายตรงข้ามนำทางให้
ชายฉกรรจ์เรียกพนักงานหนุ่มมาดูหน้าร้าน จากนั้นก็สั่งหญิงรับใช้ให้เตรียมชา ส่วนตนเองก็นำหลิ่วหมิงเดินขึ้นไปบนชั้นสอง
ในห้องรับรองหรูหราบนชั้นสอง
หลิ่วหมิงนั่งจิบชาจิตวิญญาณอยู่บนเก้าอี้ไม้ และกวาดสายตาดูการตกแต่งภายในห้อง
ผนังทั้งสี่ด้านสร้างขึ้นจากไผ่เขียวที่มีขนาดๆ เท่ากัน ตรงมุมยังมีดอกไม้แปลกประหลาดวางอยู่สองสามกระถาง และตู้ไม้ที่มีหินแปลกประหลาดวางอยู่บนเป็นจำนวนมาก ตรงกลางเป็นโต๊ะไม้กลมๆ กับเก้าอี้ไม้สองสามตัว ประตูห้องรับรองเป็นม่านแสงสีเทาจางๆ คงเป็นชั้นจำกัดกั้นเสียงของห้องรับรองนี้
“เมื่อครู่สหายบอกว่าอยากซื้อของเหลวห้าแสงคุณภาพสูง แม้ว่าของเหลวห้าแสงนี้จะสามารถซื้อได้ตามร้านค้าต่างๆ ในตลาดของเรา แต่ที่มีคุณภาพสูงกลับมีน้อยมาก ด้วยเหตุนี้ราคาจึงไม่ถูกตามไปด้วย ไม่ทราบสหายต้องการเท่าใด?” พอชายฉกรรจ์เข้ามาในห้องก็ถามด้วยรอยยิ้มทันที
“หากข้าซื้อครั้งละมากๆ จะมีส่วนลดหรือไม่?” หลิ่วหมิงถามอย่างไม่สะทกสะท้าน
“สหายดูเป็นคนตรงไปตรงมา ของเหลวห้าแสงนี้ขวดละห้าแสนหินจิตวิญญาณ หากสหายซื้อทีเดียวห้าขวดล่ะก็ ทางร้านเราสามารถลดราคาให้เป็นสองล้านสามแสนหินจิตวิญญาณ” ชายฉกรรจ์หัวเราะก่อนกล่าวออกมา
“ราคานับว่าสมเหตุสมผล ถ้าอย่างนั้นก็เอาห้าขวดก่อน” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ
“ท่านโปรดรอสักครู่ ข้าจะไปเอาเดี๋ยวนี้” ชายฉกรรจ์ได้ยินก็ลุกขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม จากหลังออกจากห้องรับรองแล้ว ก็เดินขึ้นไปบนชั้นสาม
หลิ่วหมิงจิบชาจิตวิญญาณด้วยสีหน้าครุ่นคิด
โอสถแฝงจิตวิญญาณนี้ใช้เวลาในการปรุงค่อนข้างมาก ต่อให้เขาจะฝึกฝนทุกวันทุกคืน อย่างน้อยของเหลวห้าแสงห้าขวดนี้ ก็นานพอที่จะปรุงโอสถได้สองเดือน
เวลาผ่านไปไม่นาน เถ้าแก่ร้านก็กลับมาในห้องรับรองบนชั้นสองด้วยรอยยิ้ม ในมือถือขวดสีเงินเล็กๆ ห้าขวดอยู่ และค่อยๆ วางลงบนโต๊ะตรงหน้าหลิ่วหมิง
“เชิญสหายตรวจสอบเล็กน้อย” ชายฉกรรจ์กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย พอชี้มือข้างหนึ่งออกไป จุกขวดสีเงินเล็กๆ ก็เปิดออก และกลิ่นหอมจรุงใจก็โชยออกมา
ในขณะที่เขากวาดสายตามองดูของเหลวสีเหลืองอ่อนในขวดนั้น กลับเผยแววตาผิดหวังเล็กน้อย
ของเหลวห้าแสงนี้มีคุณภาพสูงไม่มีผิด แต่เทียบกับห้าขวดที่ซื้อในเมืองจันทราสายน้ำในก่อนหน้านั้นแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความเข้มข้นหรือความหอม ก็ดูเหมือนจะด้อยกว่าส่วนหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ขวดละห้าแสนหินจิตวิญญาณก็ไม่นับว่าถูกมาก
ดูท่าคงจะเป็นอย่างที่เขาสอบถามมาในก่อนหน้านั้นไม่มีผิด ของเหลวห้าแสงที่มีคุณภาพสูงยังคงต้องรองานประมูลถึงจะซื้อได้ แต่อย่างไรซะนี่ก็เป็นวัตถุดิบคุณภาพสูง เทียบกับขวดละสองแสนหินจิตวิญญาณที่พบเจอในวันก่อนแล้ว ยังนับว่าสมเหตุสมผลอยู่
ผ่านไปสักพัก หลิ่วหมิงก็ตรวจสอบของเหลวห้าแสงทั้งห้าขวดเสร็จสิ้น และวางลงบนโต๊ะเบาๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“ท่านพอใจหรือไม่ หากมาซื้อของเหลวห้าแสงกับร้านเราเป็นเวลานาน ห้าขวดนี้จะคิดราคาสองล้านหินจิตวิญญาณ” เถ้าแก่เห็นเช่นนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป และถามออกมาเบาๆ
ตอนที่ 665 ขายโอสถ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ในเมื่อเถ้าแก่พูดเช่นนี้แล้ว ข้าก็ไม่อาจจะต่อราคาอีก ข้าจะรับของเหลวห้าแสงทั้งห้าขวดนี้ไว้ แต่หากว่าภายหลังมีของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงอีกล่ะก็ หวังว่าจะเก็บไว้ให้ข้าสักระยะหนึ่ง” หลิ่วหมิงได้ยินก็รีบฟื้นฟูสีหน้ากลับมาเป็นปกติ และกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก
กล่าวจบก็หยิบถุงหินจิตวิญญาณออกจากแหวนย่อส่วน และโยนให้ชายฉกรรจ์
ชายฉกรรจ์รับหินจิตวิญญาณมาตรวจสอบดูอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากค้นพบว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว ก็รีบเก็บความดีใจไว้และกล่าวออกมา
“ไม่มีปัญหา หากภายหน้ามีของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงอีก ร้านเราจะเก็บไว้ให้สหายอย่างแน่นอน ใช่สิ! ยังไม่ทราบว่าสหายมีชื่อเสียงเรียงนามว่าอะไรเลย?”
“ข้าแซ่เย่” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเก็บขวดเล็กสีเงินทั้งห้าขวดเข้าไปในแหวนย่อส่วน
“ที่แท้ก็คือสหายเย่ นอกจากของเหลวห้าแสงแล้ว หากสหายยังมีอย่างอื่นที่ต้องการ อีก ร้านเราก็มีส่วนลดให้พิเศษเช่นกัน” ชายฉกรรจ์ลดเสียงลงเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“เถ้าแก่เกรงใจเกินไปแล้ว ตอนนี้ข้ายังไม่มีสิ่งของอย่างอื่นที่อยากจะได้ หากมีจะต้องมาซื้อที่ร้านของท่านอย่างแน่นอน ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ต้องขอตัวก่อนแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวคำอำลาออกมา
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงก็เดินลงหอไปพร้อมกับเถ้าแก่วัยฉกรรจ์
พอเขาเดินออกจากร้าน ก็เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาก่อนหายไปในตรอกเล็กๆ
เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้สถานะและที่พักของตัวเอง ดังนั้นจึงเดินวนในตลาดอีกหนึ่งชั่วยามแล้วค่อยกลับที่พัก
พอกลับถึงบ้านหลังเล็กๆ ในโรงเตี๊ยมแล้ว ก็เดินเข้าห้องลับโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และนำของเหลวห้าแสงกับวัตถุดิบเสริมอื่นๆ วางไว้บนพื้น
พอสะบัดแขนเสื้อ เตาหลอมเล็กสีเขียวสลัวๆ ก็พุ่งออกมา หลังจากหมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นเตาหลอมที่สูงสองสามจั้ง ลวดลายจิตวิญญาณหลากสีเปล่งประกายบนพื้นผิวอยู่ไม่หยุด มันคือเตาหลอมลิ่วเสินนั่นเอง
ภายในระยะเวลาสามเดือนหลังจากนี้ หลิ่วหมิงออกจากห้องลับไปครั้งเดียวเท่านั้น หลังจากไปชำระค่าเช่าอีกครึ่งปีแล้ว เวลาที่เหลือล้วนตั้งใจปรุงโอสถอยู่ในห้องลับไม่ออกไปไหนเลย
การปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณยากกว่าการปรุงโอสถผลึกเย็นมาก ดูจากสถานการณ์ของหลิ่วหมิงในก่อนหน้า ต่อให้จะมีวัตถุดิบที่เพียงพอ ก็รับประกันอัตราความสำเร็จได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น และที่ปรุงออกมาก็เป็นโอสถระดับกลางทั้งหมด
สามเดือนต่อมา หลิ่วหมิงก็นำของเหลวห้าแสงทั้งหมดมาปรุงเป็นโอสถแฝงจิตวิญญาณยี่สิบกว่าเม็ด แต่ล้วนเป็นโอสถระดับกลางทั้งหมด ไม่มีโอสถระดับสูงเลยแม้แต่เม็ดเดียว
รวมกับโอสถที่ปรุงในถ้ำที่พักบนยอดเขาลั่วโยวแล้ว ตอนนี้เขามีโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับกลางทั้งหมดสี่สิบกว่าเม็ดแล้ว
และในแหวนย่อส่วนของหลิ่วหมิงยังคงมีหินจิตวิญญาณอยู่สิบล้านกว่า ดังนั้นก็ไม่ต้องรีบขายโอสถแฝงจิตวิญญาณในมือออกไป หลังจากเขาบรรลุระดับแล้ว แม้ว่าพลังเวทจะถูกทำให้บริสุทธิ์ไปหนึ่งรอบ แต่ก็ลดลงไปมาก
ดังนั้นหลังจากคิดใคร่ครวญไปหนึ่งรอบแล้ว จึงตัดสินใจนำโอสถแฝงจิตวิญญาณเหล่านี้ออกมาทานเอง เพื่อทำระดับผลึกให้มั่นคงก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ดังนั้นเขาจึงเก็บวัตถุดิบที่เหลือกับเตาหลอมลิ่วเสินเข้าไป จากนั้นก็โยนโอสถแฝงจิตวิญญาณเข้าไปในปาก
โอสถนี้สมกับเป็นสุดยอดโอสถในการเพิ่มพลังเวทของระดับผลึก พอมันเข้าไปในปาก ก็กลายเป็นพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์แผ่กระจายไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว
เขาหลับตาทั้งคู่ลง หลังจากพลังจิตวิญญาณเหล่านี้ค่อยๆ ไหลผ่านแขนขาไปหลายรอบแล้ว ก็เริ่มรวมตัวกันภายในจุดตันเถียน ผลึกหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดที่ลอยอยู่ในทะเลจิตวิญญาณ เริ่มสั่นสะท้านเบาๆ และดูดซับพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์เหล่านี้อย่างรวดเร็ว
สองชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกสดชื่นขึ้นมา พลังเวทในร่างเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ผลลัพธ์ของโอสถแฝงจิตวิญญาณของระดับกลางนี้ เทียบเท่ากับการนั่งฝึกฝนเป็นเวลาสองถึงสามเดือนเลยทีเดียว
เวลาในหลายวันต่อมา หลิ่วหมิงทานโอสถแฝงจิตวิญญาณวันละหนึ่งเม็ด และนั่งขัดสมาธิกลั่นพลังโอสถสองชั่วยาม จากนั้นก็อาศัยพลังจิตของหนอนพลังจิตเข้าไปในแดนมายา เพิ่มประสบการณ์จริงของการใช้วิชาสายฟ้าสวรรค์และกระบี่บินว่างเปล่า
ครึ่งเดือนต่อมา หลิ่วหมิงทานโอสถเหล่านี้ไปจำนวนมาก และพลังเวทของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
จากการคาดการณ์ของเขา การยกระดับพลังเวทของโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับกลางสี่สิบกว่าเม็ดนี้ พอที่จะให้เขาไม่ต้องนั่งฝึกฝนเป็นเวลานานถึงสิบปีแล้ว
หลังออกจากการเก็บตัว เขาปลอมตัวมาร้านโอสถแห่งนั้นอีกครั้ง และใช้ห้าล้านหินจิตวิญญาณซื้อของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงมาสิบห้าขวดกับวัตถุดิบเสริมอีกจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็กลับไปเก็บตัวฝึกฝนในโรงเตี๊ยม
ผ่านไปครึ่งปีกว่า เขาหลอมโอสถรอบที่สองออกมาได้อย่างราบรื่น ซึ่งมีทั้งหมดเจ็ดสิบกว่าเม็ด ทั้งยังปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณขั้นธรรมดาออกมาได้สองเม็ด แต่มีลายโอสถแค่เส้นเดียวเท่านั้น
ขณะนี้หินจิตวิญญาณในมือเขาก็เหลือแค่เจ็ดแปดล้านแล้ว หลังจากทำการสอบถามไปหนึ่งรอบ ถึงรู้ว่าขณะนี้ยังอยู่ห่างจากเวลาที่งานประมูลใหญ่จะเริ่มอีกสองปีกว่า
ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงตัดสินใจไปจากตลาด เพื่อไปขายโอสถให้กับตลาดอื่นๆ ที่อยู่บริเวณนี้
เพราะถ้าซื้อของเหลวห้าแสงจำนวนมากในตลาดเดียวกัน และขายโอสถแฝงจิตวิญญาณออกไปด้วยล่ะก็ ทำให้มีคนจับความเชื่อมโยงได้โดยง่าย และจะนำมาซึ่งปัญหาที่ไม่ต้องการ
เจ็ดวันต่อมา ภายในตลาดขนาดกลางที่อยู่ห่างจากตลาดเหมียวจงไปหลายพันลี้ หลิ่วหมิงที่ปลอมตัวเป็นบัญฑิตสุภาพผู้หนึ่ง กำลังเดินอยู่บนถนนใหญ่เส้นหนึ่ง
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาเลือกเข้าไปในร้านที่ดูไม่เตะตาแต่กลับมีขนาดใหญ่เล็กน้อย ดูเหมือนว่าจะเป็นร้านโอสถที่ผู้ฝึกฝนจากภายนอกมาเปิด
ด้านหลังตู้สินค้าเป็นผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาที่ดูมีอายุราวๆ ห้าสิบถึงหกสิบปี ใบหน้าแห้งเหี่ยวเล็กน้อย
“คุณชายผู้นี้ต้องการซื้อวัตถุดิบโอสถหรือโอสถ ร้านเราราคายุติธรรม เชื่อถือได้แน่นอน!” ขณะนี้ไม่มีแขกคนอื่นๆ อยู่ภายในร้าน ด้วยเหตุนี้พอผู้อาวุโสเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็รีบเดินมารับด้วยรอยยิ้ม
“เถ้าแก่ นอกจากร้านของท่านจะขายวัตถุดิบโอสถกับโอสถแล้ว ยังรับซื้อโอสถด้วยหรือไม่?” หลิ่วหมิงหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวออกมา
“โอสถที่พบเจอได้บ่อยในตลาด ปกติร้านเราจะไม่รับ แต่หากเป็นโอสถที่พบเจอไม่มากนัก ร้านเราก็จะรับซื้ออยู่บ้าง ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการขายโอสถชนิดใด?” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาดวงตาเป็นประกาย จากนั้นก็พูดออกมาเบาๆ
หลิ่วหมิงนำตลับหยกแวววาวออกจากแหวนย่อส่วนอย่างไม่รีบร้อน และยื่นออกไปให้
ผู้อาวุโสชุดเทารับตลับหยกมาเคาะเบาๆ พอฝาตลับค่อยๆ เปิดออกมา จะเห็นว่ามีโอสถสีขาววางอยู่ในนั้นห้าเม็ด บนผิวโอสถยังมีไอจิตวิญญาณจางๆ ลอยวนอยู่
“โอสถแฝงจิตวิญญาณ!” ผู้อาวุโสชุดเทาหลุดปากออกมาด้วยสีหน้าตกใจ
หลิ่วหมิงกลับจ้องมองผู้อาวุโสชุดเทาด้วยสีหน้าสงบ และไม่พูดอะไรออกมา ปฏิกิริยาของผู้อาวุโสเป็นอย่างที่เขาคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว
โอสถแฝงจิตวิญญาณเป็นโอสถที่ระดับผลึกใช้เพิ่มพลังเวท เนื่องจากวิธีการปรุงที่ไม่ง่าย จึงไม่ค่อยมีขายตามท้องตลาด ซึ่งมีแต่มูลค่าแต่ไม่มีสิ่งของ
เพราะผู้ฝึกฝนจำนวนมากสามารถทานโอสถชนิดนี้เพื่อยกระดับพลังเวทอย่างรวดเร็วได้ และผู้ฝึกฝนที่สามารถทานโอสถนี้ได้เหล่านั้น มักจะไม่ขาดแคลนหินจิตวิญญาณอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงไม่นำออกมาขาย
และปรมาจารย์ปรุงโอสถเหล่านั้น จะปรุงโอสถเหล่านี้เป็นครั้งคราว ส่วนมากจะมอบให้กับกลุ่มอิทธิพลโดยเฉพาะ โดยทั่วไปจะไม่ปล่อยออกไปในตลาด
หลังจากผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาเก็บสีหน้าตกใจเข้าไปแล้ว ก็ระงับความตื่นเต้นไว้ และประสานมือกล่าวกับหลิ่วหมิง
“สหายผู้นี้ ลองย้ายไปพูดคุยรายละเอียดเรื่องนี้ในห้องลับดีหรือไม่?”
“ก็ดีเหมือนกัน” หลิ่วหมิงทำเป็นมองดูรอบด้านอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย
เวลาต่อมา ผู้อาวุโสชุดเทาก็เรียกพนักงานมาดูร้าน และตนเองก็นำหลิ่วหมิงเดินผ่านบันไดมืดๆ ด้านหลังร้านจนมาถึงชั้นใต้ดินของร้านแห่งนี้ ซึ่งเป็นห้องลับที่ค่อนข้างกว้างขวาง
ห้องลับมีพื้นที่หลายสิบจั้ง มุมทั้งสี่ต่างก็มีค่ายกลขนาดจั้งกว่าๆ ตั้งอยู่ พอหลิ่วหมิงเหลือบตามองออกไปก็ไม่รู้ว่ามันคือค่ายกลชนิดใด
และใจกลางห้องลับใต้ดินก็มีโต๊ะหินอ่อนสีดำตั้งอยู่ตัวหนึ่ง ด้านหนึ่งของห้องลับยังมีประตูอีกสองสามบาน ไม่รู้ว่าด้านหลังจะยังมีห้องลับอื่นๆ อยู่อีกหรือเปล่า
มีห้องลับขนาดใหญ่อยู่ใต้ร้านเช่นนี้ ทำให้เขารู้สึกใจเย็นสะท้านขึ้นมา
“คุณชายผู้นี้ เชิญนั่ง” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาพูดเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม
แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกว่าร้านนี้มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา แต่ขณะนี้เขาสำเร็จกระบี่บินพลังจิตวิญญาณแล้ว บวกกับฝึกฝนเครื่องมือสังหารอย่างวิชาสายฟ้าสวรรค์สำเร็จแล้ว ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ ก็ไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย เขาจึงนั่งลงไปในทันทีและกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ
“เถ้าแก่ให้ข้าลงมาที่นี่ จะพูดคุยเรื่องอันใดหรือ โอสถของข้าเข้าตาท่านหรือไม่?”
“คุณชาย โอสถแฝงจิตวิญญาณเป็นโอสถที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกอยากได้แทบตายแต่ก็หาไม่ได้ ทางร้านเราย่อมยินดีรับซื้อไว้ โอสถห้าเม็ดในตลับหยกนี้ ร้านเรายอมซื้อเม็ดละสองแสนหินจิตวิญญาณ ห้าเม็ดก็หนึ่งล้านหินจิตวิญญาณ ไม่ทราบว่าสหายพอใจหรือไม่?” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาเอานิ้วฟั่นหนวด และแสดงสีหน้ามุ่งมั่นจะเอามาให้ได้
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเล็กน้อย
อย่างที่รู้ว่าของเหลวห้าแสงหนึ่งขวดที่พอจะนับได้ว่ามีคุณภาพสูง ต่อให้จะมีอัตราการปรุงโอสถสำเร็จแค่ห้าส่วน แต่ก็ปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณออกมาได้สี่สิบถึงหกสิบเม็ด มีมูลค่าถึงหนึ่งล้านสองแสนหินจิตวิญญาณ และวัตถุดิบหลักกับวัตถุดิบเสริมที่ใช้ รวมกันแล้วก็แค่ห้าแสนกว่าหินจิตวิญญาณเท่านั้น
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขายังคงมีสีหน้าลังเลอยู่
“ราคาที่ร้านเราเสนอให้มันสูงมากแล้วจริงๆ แต่หากสหายยังมีโอสถนี้ และยินดีขายให้ร้านเราเป็นระยะยาวล่ะก็ ข้าจะให้ราคาสูงกว่านี้หนึ่งส่วน โอสถแฝงจิตวิญญาณห้าเม็ดหนึ่งล้านหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทามองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง หลังจากกลอกลูกตาไปมาแล้วก็กล่าวออกมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อย และหยิบตลับหยกสีเขียวออกจากแหวนย่อส่วนอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็ถามอย่างไม่สะทกสะท้าน
“เถ้าแก่ ไม่ทราบว่าโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับสูงนี้มูลค่าเท่าใด?” หลิ่วหมิงเอามือลูบจมูก และกล่าวออกมา
“โอสถแฝงจิตวิญญาณระดับสูง!”
พอผู้อาวุโสชุดเทาได้ยินก็เกือบจะกระโดดขึ้นมา จากนั้นก็ก้าวเท้าสองเก้าไปรับตลับหยกอย่างรวดเร็ว พอมือข้างหนึ่งแตะลงบนนั้นเบาๆ ฝาตลับก็เปิดออกมา กลิ่นโอสถเข้มข้นโชยออกจากตลับ
ผู้อาวุโสใช้สองนิ้วคีบมันขึ้นมาอย่างระมัดระวัง และทำการสังเกตดูอย่างละเอียด
ตอนที่ 666 โจรปล้นสะดมเผ่าหมาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาถึงวางโอสถลงในตลับอย่างเสียดาย
“เป็นโอสถแฝงจิตวิญญาณขั้นธรรมดาจริงๆ ด้วย! โอสถนี้มูลค่าสองล้านหินจิตวิญญาณ ไม่ทราบว่าท่านยินดีขายให้ร้านเราหรือไม่ ยังคงขึ้นราคาได้หนึ่งส่วน” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทายังคงจ้องมองโอสถในตลับหยกอย่างไม่วางตา
“ราคาก็นับว่าสมเหตุสมผล ในเมื่อผู้อาวุโสมีความจริงใจเช่นนี้ ข้าจะขายโอสถในมือออกไปพร้อมกันเลย” หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเพียงเล็กน้อย ก็ตกปากรับคำทันที
ดูๆ แล้วร้านนี้คงมีที่มาอยู่บ้าง เช่นนี้ล่ะก็คงสามารถซื้อโอสถในมือเขาเหล่านี้ได้
เทียบกับการขายโอสถแฝงจิตวิญญาณในมือออกไปทีละนิดๆ แล้ว การขายออกไปในครั้งเดียวย่อมเป็นเรื่องที่ประหยัดเวลากว่า
อีกอย่างด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้ ย่อมไม่กลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะมีความคิดไม่ดีอะไร
ตามราคาที่เถ้าแก่ผู้นี้เสนอมา โอสถแฝงจิตวิญญาณในมือเขาคงขายได้มากถึงยี่สิบล้านหินจิตวิญญาณ มีหินจิตวิญญาณจำนวนนี้ คงเพียงพอสำหรับใช้เข้าร่วมงานประมูลแล้ว
“อ้อ? ไม่……ไม่ทราบว่าในมือท่านมีโอสถแฝงจิตวิญญาณจำนวนกี่เม็ด ร้านเราจะได้ตกลงราคาแล้วซื้อทีเดียว หากมีจำนวนมาก……ร้านเรายังสามารถเพิ่มราคาได้อีกเล็กน้อย” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งไปทันที แต่ก็ถามด้วยความดีใจ
หลิ่วหมิงนำยันต์เก็บของออกจากแหวนย่อส่วนมาหลายผืน และขยี้มันพร้อมกัน ทันใดนั้น ตลับหยกแวววาวจำนวนมากกับตลับหยกสีเขียวสองใบก็วางเต็มโต๊ะหิน
พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ ตลับหยกบนโต๊ะก็ส่งเสียงดัง “ฟู่!” และเปิดออกมาพร้อมกัน
ห้องลึกลับที่ดูกว้างขวาง ถูกแสงทรงกลดสีขาวส่องสว่างขึ้นมา ปรานจิตวิญญาณหนาแน่นลอยวนเวียนอยู่ในห้องลับ และค่ายกลสีเทาขนาดใหญ่บนห้องลับก็เปล่งประกายในทันที และกั้นปราณจิตวิญญาณไว้ด้านใน
“หรือว่าสหายจะเป็นปรมาจารย์ปรุงโอสถ!” ผู้อาวุโสชุดเทาเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างขึ้นมาจริงๆ
“เฮ่อๆ! ข้ามีสถานะใดนั้น ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องบอก หากไม่ใช่ว่าช่วงนี้ข้าต้องใช้หินจิตวิญญาณเร่งด่วนล่ะก็ คงไม่นำโอสถแฝงจิตวิญญาณมาขายเป็นจำนวนมาก เพราะโอสถที่สามารถเพิ่มทวีพลังเวทระดับผลึกได้นี้ เดิมทีก็เป็นสิ่งของมีมูลค่าที่หาไม่ได้ในตลาดอยู่แล้ว” หลิ่วหมิงไม่ปริปากบอกว่าใช่หรือไม่ใช่
“ข้าพูดจาบุ่มบ่ามไปหน่อย ขอท่านโปรดรอสักครู่ รอข้านับจำนวนโอสถเหล่านี้ก่อน” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทายิ้มแก้เขิน จากนั้นก็ทำการตรวจสอบโอสถเหล่านี้ทีละเม็ด
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาถึงนำโอสถแฝงจิตวิญญาณใส่ลงไปในตลับหยก
“โอสถระดับกลางเจ็ดสิบห้าเม็ด รวมทั้งหมดเป็นสิบหกล้านห้าแสนหินจิตวิญญาณ โอสถขั้นธรรมดาสองเม็ด สี่ล้านสี่แสนหินจิตวิญญาณ ทั้งหมดยี่สิบสองล้านหินจิตวิญญาณเป็นเป็นไง?” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาใช้นิ้วนับอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงเงยหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นเล็กน้อย
สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว เขารู้สึกพอใจกับราคานี้มาก จึงพยักหน้าเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม
“ขอท่านโปรดรอสักครู่” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาเห็นหลิ่วหมิงตอบตกลงเช่นนี้ ก็แอบโล่งใจไปเปราะหนึ่ง จากนั้นก็รีบเดินไปยังประตูด้านหลังห้องลับ
พอเขาปล่อยพลังใส่ประตูบานนี้ แสงสีขาวก็เปล่งประกายบนประตู และร่างของเขาก็หายไปจากห้องลับ
หลิ่วหมิงนั่งรออยู่ที่เดิมเงียบๆ ด้วยสีหน้าสงบ ตอนที่เขาเข้ามาในร้านแห่งนี้ ได้ปล่อยจิตสำรวจดูจนทั่วแล้ว ไม่ค้นพบว่ามีผู้ฝึกฝนระดับผลึกขึ้นไปอยู่เลย จึงไม่ต้องกังวลอะไรมาก
ครู่ต่อมา แสงสีขาวเปล่งประกายบนประตูอีกครั้ง ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาถือถุงที่ใส่หินจิตวิญญาณจนเต็มมาปรากฏตัวในห้องลับ
หลิ่วหมิงรับถุงผ้ามา พอใช้จิตกวาดดูและมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้ว ก็พยักหน้าก่อนเก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างไม่ลังเล
“หากท่านยังมีโอสถชนิดนี้ หวังว่าจะนำมาขายให้กับร้านเราอีก ร้านเราจะรับซื้อทั้งหมด และยังสามารถช่วยท่านซื้อวัตถุดิบจำนวนหนึ่งที่ใช้ปรุงโอสถได้ ราคาก็ต้องพิเศษกว่าร้านอื่นอย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองเก็บโอสถทั้งหมดอย่างระมัดระวัง ทันใดนั้นก็มองหลิ่วหมิงด้วยสายตาแวววาว และกล่าวด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง
“เถ้าแก่ล้อข้าเล่นแล้ว โอสถแฝงจิตวิญญาณเหล่านี้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าทุ่มเทพลังไปตั้งเท่าไหร่ถึงค่อยๆ หลอมมันออกมาได้ แต่หากภายหลังข้ามีอีกล่ะก็ จะต้องมาเยือนร้านท่านอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ! แล้วกล่าวอย่างคลุมเครือ
แม้ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาจะรู้สึกผิดหวังเล็กน้อยที่ได้ยินเช่นนี้ แต่ก็ไม่อาจถามอะไรมากได้ หลังจากพูดจากับหลิ่วหมิงอย่างเป็นพิธีรีตองอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็ส่งเขาออกจากร้าน
หลังจากหลิ่วหมิงเดินออกจากร้านแล้ว ก็ถอนหายใจเบาๆ แต่พอกวาดจิตดูยี่สิบล้านหินจิตวิญญาณในแหวนย่อส่วนแล้ว ก็ยังคงรู้สึกเบิกบานใจอยู่พักหนึ่ง
เท้าของเขาไม่หยุดเดินเลยแม้แต่น้อย ไม่นานก็หายไปบนท้องถนน
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ในตรอกเล็กๆ ที่ไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง พลันมีเสียงข้อต่อกระดูกดังเปรี๊ยะๆ
ไม่นาน ชายฉกรรจ์หน้าดำผู้หนึ่งก็เดินอกผายออกมา หลังจากเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่ครู่หนึ่ง ก็มาถึงบริเวณทางออกตลาด
เขาสะบัดแขนเสื้อปล่อยเรือหยกแวววาวออกมา และกระโดดขึ้นไปบนนั้น
หลังจากพายุบ้าระห่ำก่อตัวด้านข้างเรือเหาะแล้ว มันก็กลายเป็นกลุ่มแสงแวววาวพุ่งออกไป
เรือเหาะนี้ก็คือเรือเหาะหยกจันทราที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นนั้น ชายฉกรรจ์หน้าดำก็คือหลิ่วหมิงที่ปลอมตัวมานั่นเอง
ครึ่งเดือนต่อมา หลิ่วหมิงซื้อของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงจากร้านค้าสองสามร้านในตลาดเหมียวจงมายี่สิบกว่าขวด และซื้อวัสดุเสริมจากร้านค้าต่างๆ จากนั้นก็กลับไปเก็บตัวปรุงโอสถในห้องลับที่เช่าอยู่ในโรงเตี๊ยม
หนึ่งปีต่อมา เขาปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณออกมาได้หนึ่งร้อยกว่าเม็ด ในนั้นยังคงมีโอสถขั้นธรรมดาแค่สองเม็ด เม็ดอื่นๆ ล้วนเป็นโอสถระดับกลางหมด
โอสถที่ปรุงออกมาในครั้งนี้ ส่วนมากหลิ่วหมิงจะเก็บไว้ทานเอง เหลือส่วนน้อยไว้ขายแลกหินจิตวิญญาณเพื่อซื้อวัตถุดิบมาปรุงโอสถต่อเท่านั้น
ส่วนโอสถระดับสูงสองเม็ดนั้น เขาเก็บไว้เองทั้งหมด
ประการแรกเป็นเพราะว่าโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับสูงมีมูลค่ามากเกินไป ทำให้เป็นจุดสนใจได้ง่าย ประการที่สองโอสถระดับสูงมีผลในการเพิ่มพลังเวท ทะลวงคอขวดแตกต่างจากโอสถระดับกลางราวฟ้ากับเหว
เขาวางแผนเก็บมันไว้ใช้ในตอนที่เผชิญกับปัญหาคอขวด
สิบกว่าวันต่อมา ท่ามกลางหุบเขาแคบยาวแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงปลอมตัวเป็นบัณฑิตสุภาพ และกำลังขี่เมฆดำเหินเวหาอยู่
ขณะนี้ เขาได้ใช้โอสถแฝงจิตวิญญาณสามสิบกว่าเม็ดแลกของเหลวห้าแสงกับวัตถุดิบเสริมจากตลาดอีกแห่งที่อยู่บริเวณนี้มาจำนวนหนึ่ง และกำลังเดินทางกลับไปยังตลาดเหมียวจง
ขณะนั้นเอง พลันมีเงาร่างคนสามคนปรากฏตัวตรงด้านหลังป่าหินระเกะระกะสีเทาในหุบเขา “ฟู่ๆ!”
ทั้งสามต่างก็สวมชุดหนังอสูร สวมปีกนกอยู่บนหัว มองดูก็รู้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนเผ่าหมานในท้องที่ กลิ่นไอที่แผ่ออกมาก็ไม่เบา และผู้ที่เป็นหัวหน้าก็มีการฝึกฝนระดับผลึก
“เจ้าเด็กน้อย หากรู้จักเอาตัวรอด ก็รีบนำหินจิตวิญญาณบนตัวกับสิ่งของที่มีค่าออกมาให้หมด! พวกเราจะไม่สังหารเรียบ บางทีอาจจะไว้ชีวิตเจ้าก็ได้” ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้ากล่าวด้วยสีหน้าเฉียบขาด
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา คิดไม่ว่าถึงผู้ฝึกฝนเผ่าหมานในสถานที่แห่งนี้ จะมีการฝึกฝนระดับผลึกแล้ว ทั้งยังสมคบคิดกันทำการปล้นสะดมด้วย
“ข้าก็แค่ผ่านทางมาเท่านั้น ไม่ได้พกหินจิตวิญญาณติดตัวมาก มีแค่ไม่กี่พัน เกรงว่าคงไม่พอให้ทั้งสามไปดื่มชาจิตวิญญาณ” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“พี่ใหญ่ คนผู้นี้เพิ่งออกจากตลาดมาเมื่อครู่ แต่กลับบอกว่ามีหินจิตวิญญาณไม่กี่พัน เห็นได้ชัดว่าจงใจหลอกพวกเรา ยังจะฟังเขาพูดจาไร้สาระอยู่ทำไม เพียงแค่ฆ่าเขาได้ หินจิตวิญญาณกับสมบัติบนตัวทั้งหมด ก็จะเป็นของพวกเราทั้งสามเอง” ผู้ฝึกฝนเผ่าหมานที่มีแผลเป็นเต็มตัวกล่าวด้วยท่าทีประสงค์ร้าย
“ฮึ! ในเมื่อไม่รู้จักที่ตาย ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมทันที พอตบถุงหนังบนเอว ไอหมอกสีขาวสองกลุ่มก็ม้วนตัวออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นหมาป่าสีขาวหิมะสองตัว มันแผ่กลิ่นไอระดับของเหลวขั้นปลายสมบูรณ์แบบอยู่
หมาป่าสีขาวหิมะทั้งสองตัวนี้ยาวหนึ่งจั้งกว่า สูงครึ่งจั้ง ขนสีขาวหิมะบนตัวตั้งตรงขึ้นมา ดวงตาทั้งคู่มีแสงสีทองจางๆ เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ปากของมันก็พ่นไอหมอกสีขาวเทาออกมา
และผู้ฝึกฝนเผ่าหมานที่มีแผลเป็นเต็มตัวผู้นั้น ก็ตบถุงหนังบนเอวเบาๆ แมลงปีกแข็งสีดำฝูงหนึ่งบินออกมาเสียงดัง “หวึ่งๆ!”
แมลงปีกแข็งเหล่านี้มีเกือบจะร้อยตัว แต่ละตัวมีขนาดหนึ่งชุ่นกว่าๆ รูปร่างเป็นสีดำแวววาว มีคมเขี้ยวแหลมคมโผล่ออกมา
สุดท้ายผู้ฝึกฝนเผ่าหมานที่มีรูปร่างค่อนข้างผอม ก็ทำท่ามือแปลกประหลาดบนหน้าอก และร่ายคาถาออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยรอยยิ้มที่ดูเหมือนกับยิ้ม แต่ก็ไม่ได้รีบลงมือแต่อย่างใด
ด้วยพลังระดับเขา ผู้ฝึกฝนเผ่าหมานสามคนตรงหน้า ไหนเลยจะอยู่ในสายตาของเขา แต่ได้ยินมาว่า เผ่าหมานที่เป็นคนท้องถิ่นนี้ มีเคล็ดวิชาเฉพาะบางอย่างที่มหัศจรรย์มาก เขาจึงอยากเห็นกับตาตัวเองสักครั้ง
ขณะนั้นเอง ภายใต้การโบกมือของขายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้า หมาป่าทั้งสองก็ค่อยๆ พ่นเปลวไฟสีขาวเทาออกมา และกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเพ่งสายตามองออกไป พอขยับแขน ไอสีดำบนกำปั้นทั้งสองก็กลายเป็นหมอกพยัคฆ์สองตัวพุ่งออกมาพร้อมเสียงร้อง และกัดหัวของหมาป่าทั้งสอง
หมาป่าระดับของเหลวขั้นปลายสมบูรณ์แบบ ถูกพยัคฆ์หมอกดำที่หลิ่วหมิงแสดงออกมาสังหารในพริบตา ทำให้ผู้ฝึกฝนเผ่าหมานทั้งสามรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
และหลิ่วหมิงก็รู้สึกอึ้งกับอานุภาพของเคล็ดมังกรพยัคฆ์ทมิฬที่แสดงออกมาเล็กน้อย
หลังจากเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว วิชานี้แข็งแกร่งกว่าเมื่อก่อนเท่าตัว
“เจ้ากล้า…”
ในที่สุดชายฉกรรจ์เผ่าหมานที่เป็นหัวหน้าก็ได้สติกลับมา หลังจากส่งเสียงคำรามด้วยความโมโหแล้ว ก็อ้าปากพ่นกระบองฟันหมาป่าออกมา หลังจากมันขยายใหญ่ตามแรงลม และกระตุ้นพลังเวทแล้ว ก็กลายเป็นไอหมอกสีเหลืองพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง
ขณะเดียวกันแมลงเมฆาสีดำก็หมุนวนหนึ่งรอบ จากนั้นก็มาปรากฏตัวด้านหลังหลิ่วหมิงพร้อมเสียงดัง “หวึ่งๆ!”
สุดท้ายชายหนุ่มเผ่าหมานที่มีรูปร่างผอมบาง ก็ขยี้ยันต์ในมือจนแตกกระจาย แสงสีฟ้าเปล่งประกายบนตัว จากนั้นก็หายวับมาปรากฏตัวข้างหลิ่วหมิง และทำท่ามือแปลกประหลาดผ่านอากาศ
วิชาท่าร่างของเขารวดเร็วและแปลกประหลาดมาก ซึ่งเหนือความคาดคิดของหลิ่วหมิงเล็กน้อย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น