หมอดูยอดอัจฉริยะ 660-665
ตอนที่ 660 เจ้าชายนิทรา (1)
Ink Stone_Fantasy
“คนที่กระโดดลงมาเป็นเสี่ยวเทียน เป็นเสี่ยวเทียนจริง ๆ ด้วย”
แม้ภาพนั้นจะเห็นแค่แว๊บเดียว แต่นั่นมันลูกชาย ลูกชายที่ใช้ชีวิตกับเขามากว่า 20 ปี เยี่ยตงผิงมองแว๊บเดียวก็มองออกแล้ว
แม้เยี่ยตงผิงจะรู้ว่าลูกชายตัวเองไม่เหมือนคนอื่น แต่การที่เขากระโดดลงมาจากชั้น 20 ที่สูงขนาดนั้น ก็ทำให้เยี่ยตงผิงถึงกับหน้าซีดไปทีเดียว ความสิ้นหวังในใจก็เกิดขึ้นแล้ว
หลังจากภาพนั้นหายไป เยี่ยตงผิงใจร้อนขึ้นมาทันที เขาพุ่งไปหาซ่งเฮ่าเทียนและตะโกนใส่ว่า “เป็นเพราะคุณแยกพวกเราออกจากกัน ทำให้เวยหลันต้องไปอเมริกา นี่เป็นสิ่งที่คุณอยากได้งั้นเหรอ?”
ความโมโหที่อดทนมากว่า 20 ปี ถูกระเบิดออกมาแล้ว เยี่ยตงผิงโกรธจนเส้นเอ็นปูดขึ้นมา สองมือกำหมัดไว้แน่น ถ้าซ่งเฮ่าเทียนไม่ใช่คนแก่อายุ 80 กว่าละก็ หมัดนี้คงจะปล่อยออกไปแล้วจริง ๆ
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ทำไม?!”
ตอนนี้ซ่งเฮ่าเทียนรู้สึกแก่ลงอย่างกะทันหัน ตัวที่ยืนตรงในตอนแรก โค้งงอลงพร้อมกับน้ำตาที่ไหลออกมา เขายังทนไม่ได้กับความเศร้าโศกของคนผมขาวที่ต้องส่งคนผมดำ
“ตงผิง อย่าทำแบบนี”
เยี่ยตงจู๋น้ำตาคลอเบ้าเหมือนกัน เธอดึงเยี่ยตงผิงเอาไว้และพูดว่า “ฉันเห็นเสี่ยวเทียนเหมือนมัดอะไรไว้ที่ตัว หลานฉันมันฉลาดจะตาย หลานมันจะฆ่าตัวตายเหรอ?”
เยี่ยตงจู๋เป็นคนที่เห็นภาพในทีวีก่อน เธอพอจำได้บ้างว่ามีของพันอยู่ที่ตัวของเยี่ยเทียน
“ใช่ ใช่ ลูกชายผมต้องไม่ตาย เวยหลันต้องไม่เป็นอะไร!”
หลังจากฟังคำพูดของพี่ใหญ่ เยี่ยตงผิงราวกับได้วิญญาณกลับคืนมา และเริ่มบ่นพึมพำ ดูเหมือนว่าเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้ใจของเขาสงบลงได้
เมื่อเห็นอารมณ์ของน้องชายเริ่มคงที่ เยี่ยตงจู๋พูดต่อว่า “แล้วก็ เรื่องนี้อย่าพึ่งบอกชิงหย่า ฉันกลัวว่าเด็กคนนั้นจะรับเรื่องนี้ไม่ไหว!”
เยี่ยเทียนแต่งงานยังไม่ถึงหนึ่งปี ถ้าเป็นอะไรไปจริง ๆ อวี๋ชิงหย่ารับไม่ได้แน่ ๆ ป้าใหญ่คิดเก็บเรื่องนี้เอาไว้ก่อน รอให้รู้แน่ชัดก่อนค่อยว่ากันอีกที
แต่ป้าใหญ่เพิ่งพูดจบ เสียงของอวี๋ชิงหย่าก็ดังขึ้นทันที “คุณป้า ฉัน……ฉันเห็นหมดแล้ว!”
อวี๋ชิงหย่าที่อยู่หน้าประตู ใบหน้าเลอะไปด้วยน้ำตา ส่วนเสียงที่พูดออกมากลับพูดอย่างหนักแน่น “ฉันไม่เชื่อว่าเยี่ยเทียนจะตาย เขาต้องไม่เป็นอะไร เขาพูดว่าจะพาฉันไปเที่ยวรอบโลก!”
“ลูก เสี่ยวเทียนต้องไม่เป็นอะไร”
เยี่ยตงจู๋เดินไปหา และดึงอวี๋ชิงหย่ามากอดเอาไว้ ส่วนตัวเองก็กลั้นไม่ไหวแล้วเช่นกัน คนในตระกูลเยี่ยเหลือผู้สืบทอดแค่คนนี้คนเดียวแล้ว
“คุณป้า ฉันจะไปอเมริกา ฉันจะไปนิวยอร์ค!”
อวี๋ชิงหย่าดูเหมือนอ่อนแอ แต่จริง ๆ แล้วนิสัยของเธอค่อนข้างดื้อรั้น แค่ช่วงเวลาสั้น ๆ เธอก็ตัดสินใจได้ทันที
พอเยี่ยตงผิงรู้สึกตัว ก็รีบพูดว่า “ใช่ ชิงหย่า ฉันจะไปกับเธอเอง เราไปกันตอนนี้เลย!”
ซ่งเฮ่าเทียนส่ายหน้า พูดออกมาด้วยเสียงต่ำ ๆ ว่า “ไม่ได้ ตอนนี้สถานการณ์ไม่แน่นอน ไม่รู้ว่าจะมีกลุ่มก่อการร้ายโจมตีอีกหรือเปล่า พวกเธอไปตอนนี้ไม่ได้!”
เรื่องกลุ่มก่อการร้ายโจมตีในวันนี้ เป็นเรื่องที่ได้รับผลกระทบใหญ่ที่สุด นับตั้งแต่เหตุการณ์เพิร์ลฮาร์เบอร์ในครั้งนั้น
ปัจจุบันนอกจากตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์จะถูกโจมตีด้วยการฆ่าตัวตาย กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯก็ถูกเครื่องบินชนจนเกิดเพลิงไหม้อีกด้วย มีหลายร้อยคนติดอยู่ภายในและหลบหนีไม่ทัน
ตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ผ่านไปแค่ 45 นาที แต่หน่วยข่าวกรองของทั่วโลกก็เริ่มทำงานกันอย่างเต็มที่ ในช่วงยี่สิบนาทีแรกซ่งเฮ่าเทียนตรวจเอกสารลับไปแล้วหลายฉบับ
เนื้อหาในเอกสารลับเหล่านี้ มีใจความว่าการโจมตีของผู้ก่อการร้ายในสหรัฐอเมริกาน่าจะเป็นการกระทำขององค์กรหัวรุนแรงทางศาสนา และการเลือกวันที่ 9 เดือน 11 แสดงให้เห็นว่าเป็นการยั่วยุรัฐบาลสหรัฐฯ
สิ่งที่ประหลาดใจยิ่งกว่าก็คือหน่วยสืบราชการลับแสดงให้เห็นว่าผู้ก่อการร้ายยังมีอาวุธที่ทรงพลังกว่า ซึ่งสงสัยว่าเป็นระเบิดนิวเคลียร์ที่รั่วไหลจากรัสเซีย ข่าวกรองนี้ ยิ่งทำให้ประเทศต่าง ๆ วิตกกังวลมากขึ้น
นั่นเป็นเหตุผลที่ซ่งเฮ่าเทียนกันไม่ให้อวี๋ชิงหย่า และ เยี่ยตงผิง ไปสหรัฐอเมริกา ถ้าพวกเขาเป็นอะไรไปอีก ตัวเขาเองคงต้องอยู่กับความเสียใจไปตลอดชีวิต
“ถึงแม้ฉันจะตาย ฉันก็จะไป!” อวี๋ชิงหย่ามองซ่งเฮ่าเทียนด้วยสายตาไม่ยอมถอย สายตาของเธอเต็มไปด้วยความแน่วแน่!
“ก็ได้ ฉันจะจัดเครื่องบินพิเศษส่งพวกคุณไป……”
หลังจากได้เห็นแววตาที่แน่วแน่ของอวี๋ช่างหย่า ซ่งเฮ่าเทียนถอนหายใจและพูดว่า “เจ้าหน้าที่สถานกงสุลจีนในนิวยอร์คจะพยายามค้นหาและช่วยเหลือเยี่ยเทียนสองแม่ลูกอย่างเต็มที่ ฉันจะแจ้งให้ทราบทันทีที่ได้รับข่าว!”
กำลังที่เกิดจากการทำงานของประเทศมักเกินกว่าจินตนาการของคน แม้ว่าซ่งเวยหลันจะมีแต่ลูกชายเท่านั้น เธอถึงจะลืมโทรรายงานความปลอดภัยของเธอ แต่เจ้าหน้าที่ของจีนที่เกี่ยวข้องในนิวยอร์คก็หาตัวเธอพบอย่างรวดเร็ว
หลังจากได้รับทราบข่าว อวี๋ชิงหย่ากับเยี่ยตงผิงและผู้ที่ใจร้อนอย่างโจวเซี่ยวเทียนก็เตรียมตัวขึ้นเครื่อง เมื่อพวกเขารู้ว่าเยี่ยเทียนยังไม่ได้สติ ทั้งสามคนก็ขึ้นเครื่องบินมุ่งหน้าไปยังสหรัฐอเมริกาทันที
ขณะเดียวกัน โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นที่อยู่ไกลถึงฮ่องกง ก็ขึ้นเครื่องบินส่วนตัวบินไปยังสหรัฐอเมริกาเช่นกัน
…………
“ผมอยู่ที่ไหน?”
หลังจากตกจากที่สูงกว่า 20 เมตรและแรงเฮือกสุดท้ายก็ใช้ไปกับการหนีบท่อดับเพลิงหมดแล้ว พลังงานลมปราณชีวิตแท้ของเยี่ยเทียนพูดได้เลยว่าถูกขโมยไปกลางอากาศจริง ๆ ไม่เหลือเลยสักนิด
ร่างที่ไม่มีพลังลมปราณชีวิตแท้ปกป้อง อาการบาดเจ็บที่อวัยวะภายในและแขนของเขารุนแรงขึ้นมาในทันที หลังจากที่ถูกเจ้าหน้าที่รับไว้แล้ว เยี่ยเทียนรู้สึกโล่งใจและสลบไปทันที
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าตัวเองว่าสลบไปนานแค่ไหน ตอนที่เขาคิดว่ารู้สึกตัว เขาเหมือนอยู่ในห้องมืดที่มีพื้นที่จำกัดห้องหนึ่ง เบื้องหน้าไม่มีแสงสว่างเลยแม้แต่นิดเดียว มีแต่ความว่างเปล่า
ไม่ว่าเยี่ยเทียนจะตะโกนเรียกยังไง ห้องนั้นก็ไม่มีเสียงตอบกลับมาเลย ด้านหน้าของเยี่ยเทียนยังคงเป็นสีดำสนิท ราวกับกำลังกัดเซาะจิตใจของคน มันทำให้คนเรามีความรู้สึกอยากจะบ้าคลั่ง
เยี่ยเทียนไม่รู้เลยว่าแม่เป็นยังไงบ้าง อิฐที่กระจายเหล่านั้นจะตกใส่เธอหรือเปล่า พอคิดถึงตรงนี้ เยี่ยเทียนก็ยิ่งใจร้อน
มีเสียงหนึ่งดังขึ้นในใจของเยี่ยเทียน เสียงนั้นเหมือนกับปีศาจร้าย “ร้องเรียกไปเถอะ ร้องเรียกไปเลย แม่ของแกจะตายแล้ว ถ้าแกไม่ร้องเรียก ก็ออกไปไม่ได้แล้วนะ!”
“หืม? ปีศาจในจิตใจ? ตลกจริง ๆ !”
เยี่ยเทียนฝึกจิตมาตลอด แม้จิตของเขายังสู้โก่วซินเจียไม่ได้ แต่พวกที่เรียกตนว่าเป็นพระก็สู้เขาไม่ได้ หากปีศาจในจิตใจปรากฏตัวขึ้น เขาก็รู้ทันทีเลยว่าแย่แล้ว
“เต๋าไร้รูป กำเนิดฟ้าดิน เต๋าไร้จิต ขับเคลื่อนสุริยจันทรา เต๋าไร้นาม หล่อเลี้ยงสรรพสิ่ง……สะอาด มีสกปรกเป็นรากฐาน เคลื่อนไหว มีนิ่งเป็นฐาน มนุษย์สะอาดและนิ่ง ฟ้าดินรวมกลับคืน”
เยี่ยเทียนนึกออกบางอย่าง จากนั้นก็เริ่มอ่านคัมภีร์ที่ไท้สั้งเหล่าจวินเขียนไว้ 《คัมภีร์เต๋า》ซึ่งคล้ายกับ《คัมภีร์ใจ》ของชาวพุทธ หลังจาก 391 ตัวอักษรท่องเสร็จ ใจของเยี่ยเทียนก็นิ่งสงบในทันที
“สติของเราถูกขังไว้ในหมอกความคิดนี้ ดูเหมือนว่าร่างกายจะได้รับบาดเจ็บค่อนข้างรุนแรง!”
หลังจากที่จิตใจสงบนิ่งลง เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่า การฝึกของเขาใกล้เข้าสู่ระดับหลอมจิตสู่ความว่างแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะบาดเจ็บหนัก สถานการณ์แบบนี้จะไม่เกิดขึ้นแน่นอน
และนี่คือความแตกต่างของคนที่ฝึกภายในกับฝึกการต่อสู้ภายนอก การฝึกการต่อสู้คือการสร้างความแข็งแรงให้กับร่างกาย ด้วยการพัฒนาความสามารถอันสูงสุดที่ซ่อนไว้ในตัว จนมีความสามารถที่มากกว่าคนทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นความสามารถในการต่อสู้ภายนอกของประเทศจีนหรือจะเป็นศิลปะมวยปล้ำของต่างประเทศ ล้วนต้องทำเช่นนี้
ส่วนคนที่ฝึกภายใน เป็นการฝึกร่างกาย พลังลมปราณและจิตใจ สิ่งที่สำคัญคือการเป็นตัวเองที่แท้จริง
คัมภีร์เต๋าเต๋อจิงของเหลาจื่อเคยกล่าวไว้ว่า เต๋าให้กำเนิดหนึ่ง เต๋าให้กำเนิดสอง เต๋าให้กำเนิดสาม เต๋าให้กำเนิดสรรพสิ่ง ซึ่งสอดคล้องกับสามย้อนสอง สองย้อนหนึ่ง หนึ่งรวมเป็นเต๋าของลัทธิเต๋า และมันก็คือการหลอมปราณสู่จิต หลอมจิตสู่ความว่าง
แม้ว่าข้างหลังยังมีการหลอมความว่างเปล่าสู่เต๋า แต่ระดับนั้นมันแทบจะว่างเปล่า ซึ่งในตำนานยังไม่เคยมีใครฝึกถึงระดับนั้น
ช่วงเวลานี้ ก็คือช่วงเวลาแห่งร่างกาย พลังลมปราณและจิตใจกำลังหวนกลับ หากฝึกจนถึงระดับหลอมจิตสู่ความว่างได้ จะสามารถถอดจิตได้เลย และไม่ต้องทนกับร่างที่ถูกโซ่ตรวนเอาไว้แบบนี้ ซึ่งการทำแบบนั้นก็คือการทิ้งเนื้อหนังนี้ไป
ถ้าเป็นไปตามการวิเคราะห์ของเยี่ยเทียน สถานการณ์ตอนนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากที่ร่างกายของตัวเองได้รับบาดเจ็บที่ค่อนข้างหนัก สติของเขาหลุดเข้าไปในหมอกความคิด สติกับร่างกายของเขาแยกออกจากกัน ทำให้เยี่ยเทียนไม่ต้องไปรับความเจ็บปวดทางเนื้อหนัง
“บ้าเอ้ย ถ้าเป็นแบบนั้นเราไม่กลายเป็นเจ้าชายนิทราเลยเหรอไง? ” หลังจากสรุปเสร็จ เยี่ยเทียนอดไม่ไหวจึงด่ายกใหญ่
《คัมภีร์เต๋า》ก็ไม่ได้ผล เยี่ยเทียนก็ไม่รู้เหมือนกันว่าร่างของตน บาดเจ็บถึงระดับไหน ถ้ารักษา 8 ปี 10 ปีก็ยังไม่หาย ตัวเขาต้องอยู่ในหมอกความคิดตรงนี้ไปตลอด?
“ต้องหาทางออกไปให้ได้ บัดซบ สภาพเราตอนนี้ ไม่รู้ว่าแม่กับเมียจะร้องไห้แค่ไหน?”
เยี่ยเทียนด่าออกมายกใหญ่ เขาเริ่มขุดคุ้ยสิ่งที่ได้สืบทอดต่อมา การฝึกที่ยิ่งสูง ก็ยิ่งทำให้เขารับรู้เลยว่าสิ่งที่ได้สืบทอดจากคนรุ่นก่อนนั้นมีค่าแค่ไหน สิ่งที่สืบทอดมาจากสำนักเสื้อป่านนี้ ไม่ได้ด้อยไปกว่านักพรต จางซานเฟิงกับเก๋อหงเลย
………………
ภายใต้การนำทางของเจ้าหน้าที่กงสุลประเทศจีนประจำสหรัฐฯ อวี๋ชิงหย่าและคนอื่น ๆ มาถึงโรงพยาบาลที่รองรับบุคคลพิเศษแห่งหนึ่งในนิวยอร์ค เป็นการตัดสินใจของซ่งเวยหลันในตอนที่เยี่ยเทียนกำลังถูกส่งมาที่โรงพยาบาล
โรงพยาบาลแห่งนี้มีอุปกรณ์และเทคนิคทางการแพทย์ที่ทันสมัยที่สุดในโลก แม้แต่เทคนิคการแพทย์ต่าง ๆ ที่ยังไม่ถูกนำไปใช้ทั่วไป แต่มันได้ถูกนำมาใช้ที่นี่แล้วอย่างกว้างขวาง แน่นอนว่า ค่าใช้จ่ายของที่นี่ในแต่ละวันนั้นสูงมาก
“คุณแม่ เยี่ยเทียนเป็นอะไร?”
อวี๋ชิงหย่าใส่ชุดปลอดเชื้อ มองดูเยี่ยเทียนที่เต็มไปด้วยสายคล้องต่าง ๆนานาผ่านกระจกกั้น ตลอดการเดินทางที่เหมือนจะเข็มแข็ง เมื่อเห็นภาพนั้นยังอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
เห็นเยี่ยเทียนที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วย ทำให้ใจของอวี๋ชิงหย่าเหมือนถูกบีบอย่างแรง ความเจ็บปวดนั้นทำให้อวี๋ชิงหย่าที่ไม่ได้นอนเกือบ 20 กว่าชั่วโมงแทบจะเป็นลม
“ลูก อย่าร้องไห้เลย พวกเราไปคุยกันข้างนอกเถอะ อย่ากวนเสี่ยวเทียนเลย!” เรื่องราวผ่านไปแล้ว 10 กว่าชั่วโมง น้ำตาของซ่งเวยหลันแห้งไปหมดแล้ว
ตอนที่ 661 เจ้าชายนิทรา (2)
Ink Stone_Fantasy
หลังออกมาจากห้องผู้ป่วย อวี๋ชิงหย่าเช็ดน้ำตาจนแห้ง แต่เยี่ยตงผิงกับโจวเซี่ยวเทียนกลับร้องไห้เหมือนคนเจ้าน้ำตาซะอย่างนั้น
โดยเฉพาะเยี่ยตงผิง เขายอมให้ลูกชายดื้อกับเขาหมือนตอนเป็นเด็ก ดีกว่าให้เยี่ยเทียนนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยที่ไร้ชีวิตแบบนั้น
“ตงผิง ฉันขอโทษ เสี่ยวเทียนเตือนฉันแล้ว แต่…….แต่ฉันก็ยังไปที่ตึกนั้น เป็นเพราะฉันแท้ ๆ !”
เมื่อเห็นคุณหมอเดินมา ซ่งเวยหลันที่ไม่ได้หลับทั้งคืนก็ทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน เธอล้มลงไปในอ้อมอกของสามี เยี่ยตงผิงจึงตะโกนเรียกหมอทันที
หลังจากที่ถูกหามส่งถึงห้องพักผู้ป่วย หน้าที่ซีดของซ่งเวยหลันก็ค่อย ๆ แดงขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อเห็นลูกสะใภ้กับสามีของตัวเอง ใจของเธอยิ่งรู้สึกผิด
เยี่ยตงผิงส่ายหัวและพูดกับเธอว่า “เวยหลัน เอาเถอะ สถานการณ์ของเสี่ยวเทียนเป็นยังไงบ้าง?”
“เสี่ยวเทียน เสี่ยวเทียน…….” พอสามีเอ่ยถึงลูกชาย ตาของซ่งเวยหลันก็แดงขึ้นมาทันที เธอมองอวี๋ชิงหย่าด้วยความลังเล
“แม่ เยี่ยเทียนเป็นยังไงบ้าง? แม่บอกฉันสิ ฉันรับได้!” อวี๋ชิงหย่าพยักหน้าด้วยความแน่วแน่ สำหรับเธอแล้ว เขาเป็นคนที่ทำได้ทุกอย่าง ขอแค่มีลมหายใจ เขาจะต้องฟื้นกลับมาแน่นอน
“คุณซ่ง คุณต้องพักผ่อนนะ ไม่ควรพูดกันตอนนี้!” ซ่งเวยหลันกำลังจะพูด แต่ก็ถูกคุณหมอวัยกลางคนคนหนึ่งเดินมาห้ามเอาไว้
“คุณหมอเวย์แมน ฉันไม่เป็นไรค่ะ”
ซ่งเวยหลันปฏิเสธ และพูดต่อว่า “พวกเขาเป็นญาติของฉัน คุณหมอเวย์แมน ฉันอยากขอให้คุณพูดสถานการณ์ของเยี่ยเทียนให้ฟังหน่อย ฉันคิดว่า……คุณเป็นคนที่มีสิทธิพูดมากที่สุด”
หลังจากที่ซ่งเวยหลันใช้ภาษาอังกฤษคุยกับคุณหมอเสร็จ เธอหันไปพูดกับทุกคนว่า “คุณหมอเวย์แมนเป็นคุณหมอเฉพาะทางด้านสมองที่เก่งที่สุด และเป็นหมอของเสี่ยวเทียนด้วย ให้เขาพูดเองดีกว่า”
“ตกลง……”
เวย์แมนพยักหน้าและพูดว่า “ตอนนี้คนไข้อาการค่อนข้างซับซ้อน พูดง่าย ๆ ก็คือ นอกเหนือจากการรักษาปฏิกิริยาตอบสนองทางประสาทตามสัญชาตญาณและความสามารถในการเผาผลาญพลังงานแล้ว ความสามารถในการรับรู้สูญเสียไปโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถทำอะไรด้วยตัวเองได้อีกครับ”
“คุณหมอ คุณช่วยพูดตรง ๆ หน่อย”
ภาษาอังกฤษของเยี่ยตงผิงทิ้งไปตั้งนานแล้ว ส่วนโจวเซี่ยวเทียนยิ่งฟังไม่รู้เรื่อง มีแต่อวี๋ชิงหย่าที่เข้าใจทั้งหมด เธอถึงกับหน้าซีด
เวย์แมนยักไหล่ และตอบว่า “คนไข้กลายเป็นเหมือนผัก ซึ่งในทางการแพทย์เรียกว่า เจ้าชายนิทรา”
“เจ้าชายนิทรา? เป็นไปได้ยังไง?”
อวี๋ชิงหย่ากัดริมฝีปากไว้แน่น น้ำตาไหลออกจากเบ้าตา เธอไม่เชื่อว่า สามีที่เพิ่งแต่งงานไม่ถึงหนึ่งปี จะกลายเป็นเจ้าชายนิทราไปแล้ว
เจ้าชายนิทรา ก็คือการทำงานของเปลือกสมองของผู้ป่วยได้รับความเสียหายอย่างหนักและผู้ป่วยอยู่ในอาการโคม่า หมดสติ แต่ระบบสั่งการส่งใยประสาทจากบริเวณซับคอร์ติคัล(ชั้นลึก) สามารถรักษา การหายใจและการเต้นของหัวใจ สถานะนี้เรียกว่า “อาการเป็นผัก” และผู้ป่วยในสถานะที่เรียกว่า “เจ้าชายนิทรา”
ก้านสมองของคนที่มีอาการเป็นผักยังคงทำหน้าที่ ทำการส่งสารอาหารไปยังร่างกาย ย่อย ดูดซึมและใช้พลังงานนี้เพื่อรักษาการเผาผลาญของร่างกายไว้ นอกจากนี้ยังสามารถตอบสนองต่อปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณบางอย่างที่เกิดจากสิ่งเร้าภายนอกเช่นการไอ การจาม การหาวเป็นต้น
แต่ร่างกายของคนที่มีอาการเป็นผักจะไม่มีการรับรู้ การคิดและกิจกรรมทางประสาทระดับสูงอื่น ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์ หลังจากที่กลายเป็นเจ้าชายนิทรา ทำได้เพียงให้สารอาหารต่าง ๆ เพื่อรักษาสถานะนี้ไว้ ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่แพงมาก
แน่นอนว่า เจ้าชายนิทรามีโอกาสที่จะฟื้น แต่ความน่าจะเป็นนี้ต่ำมาก อัตราการรักษาหายต่ำกว่าผู้ป่วยมะเร็ง แม้แต่เทคโนโลยีสมัยใหม่ล่าสุดก็ไม่สามารถช่วยได้สำหรับสมองของมนุษย์ที่มีความซับซ้อนที่สุด
“คุณผู้หญิงท่านนี้ครับ ผู้ป่วยได้รับแรงกระแทกจากภายนอกก่อนที่จะหมดสติ แม้ว่าศีรษะของเขา จะไม่ได้รับบาดเจ็บโดยตรง แต่เกรงว่าอาการช็อกจะส่งผลกระทบต่อเนื้อเยื่อในสมองและเส้นประสาทของเขา เรายังต้องสังเกตอีกสองสามวันก่อนที่จะทำบทสรุปสุดท้าย! “
พูดตามตรงว่าเวย์แมนรู้สึกสับสนเล็กน้อยเกี่ยวกับอาการที่เกิดขึ้นกับเยี่ยเทียน เมื่อพิจารณาจากผลการตรวจ แขน ขาของเยี่ยเทียนตอบสนองเหมือนกับคนอาการเป็นผักทั้งหมด
คนอาการเป็นผักมักได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะโดยตรง ถึงจะมีอาการแบบนี้
แต่นอกจากรอยขีดข่วนบนคอของเยี่ยเทียนแล้ว เส้นผมยังไม่ร่วงเลยแม้แต่เส้นเดียว เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าสมองของเยี่ยเทียนทำไมถึงสูญเสียการตอบสนอง จึงทำได้เพียงจัดให้อยู่ในประเภทคนอาการเป็นผักไปก่อน
เมื่อเห็นอาการเสียใจของอวี๋ชิงหย่า ซ่งเวยหลันกุมมือลูกสะใภ้เอาไว้และพูดว่า “ชิงหย่า ใจเย็น ๆ นะ ฉันเชิญคุณหมอเฉพาะทางจากประเทศต่าง ๆ แล้ว พวกเขาจะช่วยกันรักษาพร้อมกับคุณหมอเวย์แมน เยี่ยเทียนจะต้องฟื้นแน่นอน!”
สำหรับครอบครัวธรรมดา คนที่กลายเป็นเจ้าชายนิทราจะต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลที่มีราคาแพง แต่ปัญหาแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นกับตระกูลเยี่ยและซ่ง ด้วยการเงินของซ่งเวยหลัน เธอสามารถเชิญแพทย์ที่ดีที่สุดในโลกมาได้
“แม่คะ ฉันเชื่อค่ะ เยี่ยเทียนจะต้องฟื้น!” อวี๋ชิงหย่าเชื่ออย่างนั้น แม้เธอจะไม่ค่อยได้อยู่กับสามี แต่อวี๋ชิงหย่าไม่เคยหมดศรัทธาในตัวเยี่ยเทียน
“นายหญิง มีคนโทรมาที่เบอร์ของนายน้อยค่ะ เขาบอกว่าเป็นศิษย์พี่ของนายน้อย ฉันไม่ทราบค่ะว่าจะบอกให้พวกเขามาที่นี่ได้หรือเปล่า?”
ตอนที่ซ่งเวยหลันกับอวี๋ชิงหย่ากำลังคุยกัน แอนนาถือมือถือของเยี่ยเทียนเอาไว้และเดินเข้ามา มือถือนั้น ซ่งเวยหลันเป็นคนสั่งให้ชาร์จแบตและเปิดเครื่องเอง
“ศิษย์พี่ ? เหล่าโก่ว พวกนั้น…….”
หลังจากแอนนาพูดจบ เยี่ยตงผิงรีบพูดขึ้นมาว่า “เร็ว ถามพวกเขาหน่อยว่าอยู่ตรงไหน เชิญพวกเขามาที่นี่!”
แม้ว่าเยี่ยตงผิงไม่ค่อยเชื่อเรื่องฮวงจุ้ยเท่าไหร่ แต่เขาชื่นชมความสามารถในการรักษาของนักพรตหลี่ซั่นหยวนมาก ในสมัยที่การแพทย์ไม่มีแพทย์เพียงพอ ไม่มียาเพียงพอ ไม่ว่าจะป่วยอาการอะไร ขอแค่หลี่ซั่นหยวนฝังเข็มลงไป สุดท้ายอาการก็บรรเทาลงทุกราย
อาการของลูกชายในตอนนี้ แพทย์แผนตะวันตกรักษาไม่ได้ ไม่ได้แปลว่าแพทย์แผนจีนจะช่วยไม่ได้ โดยเฉพาะโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นที่อยู่สำนักเดียวกันกับเยี่ยเทียน ไม่แน่ พวกเขาอาจมีวิธีเรียกให้เยี่ยเทียนตื่นมาก็ได้
พอเยี่ยตงผิงพูดจบ ซ่งเวยหลันหันไปหาแอนนา และพูดว่า “แอนนา เธอไปรับเขาด้วยตัวเอง ไปรับพวกเขามาที่นี่ให้เร็วที่สุด”
นิวยอร์คในเวลานี้ หวาดผวาไปหมด ไม่เพียงแต่สนามบินนานาชาติทุกแห่งในสหรัฐอเมริกาจะปิดให้บริการ ถนนใหญ่มีการคุ้มกันอย่างเข็มงวด การที่แอนนาขับรถไปรับคนด้วยตัวเอง เธออาจต้องเผชิญกับการตรวจหลายต่อหลายด่าน
ซ่งเวยหลันคิดไปครู่หนึ่งและพูดต่อว่า “เธอไปหา หวางชนจั้น ที่เป็นเจ้าหน้าที่กงสุล ให้เขาไปกับเธอ”
ก่อนหน้านี้ซ่งเวยหลันสงสัยในความสามารถของเยี่ยเทียนอยู่บ้าง แต่หลังจากที่เกิดเรื่อง เธอเข้าในแล้วว่าลูกชายไม่เหมือนคนทั่วไป ฉะนั้นเธอจึงคาดหวังต่อศิษย์พี่ของเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก
“คุณซ่ง คุณผู้ชายท่านนี้มาขอพบ คุณจะ?”
แอนนาเพิ่งอออกจากห้องผู้ป่วย ไม่นานก็มีคุณหมอท่านหนึ่งที่ไม่รู้จะทำยังไง พาผู้ชายใส่สูทคนหนึ่งเดินเข้ามา
“วิลเลียม ฉันบอกแล้วไง ห้ามรบกวนคุณซ่งตอนนี้!” ซ่งเวยหลันยังไม่ทันพูด เวย์แมนก็ตอบกลับด้วยสีหน้าไม่พอใจ ถ้าเป็นไปได้ เขาอยากไล่เยี่ยตงผิงและคนอื่น ๆ ออกไปด้วยซ้ำ
วิลเลียมยิ้มอย่างฝืด ๆ และส่ายหัว “เวย์แมน เขาเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของประธานาธิบดีนะ มาตามหน้าที่นะ!”
ในสายตาของเวย์แมน ประธานาธิบดีก็งั้น ๆ เงินเดือนน้อยกว่าเขาอีก เขาจึงพูดออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “คุณซ่งเป็นคนไข้ของผม ประธานาธิบดีมาก็เข้าไม่ได้!”
”หมอเวย์แมน ไม่เป็นไร” ซ่งเวยหลันโบกมือ และพูดกับคนนั้นว่า “ไม่ทราบว่าคุณบุชมาหาฉัน มีธุระอะไรรึเปล่าคะ?”
ซ่งเวยหลันรู้จักบุชตั้งแต่ช่วงปี 80 มีความสัมพันธ์กับครอบครัวบุชดีพอสมควร คนนี้เป็นที่ปรึกษา ส่วนตัวของบุช จึงไม่สมควรที่จะไล่เขาออกไป
“คุณซ่ง ผมชื่อคิวฟีเธอร์……”
คนที่มาเยี่ยม แนะนำตัวเองและพูดว่า “ท่านประธานเสียใจอย่างสุดซึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้ เขาขอให้ผมมาแสดงความเสียใจและขอโทษต่อคุณ นอกจากนี้เขายังอยากจะถามความคิดเห็นของคุณ ที่ลูกชาย ของคุณช่วยเหลือเด็กหญิงตัวเล็ก ๆจากภัยพิบัติ เราต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ “
“คุณคิวฟีเธอร์คะ คงต้องขอประทานโทษคุณบุชด้วย”
ซ่งเวยหลันส่ายหัว และตอบว่า “ลูกชายของฉันยังไม่ฟื้น และอาจกลายเป็นเจ้าชายนิทรา ฉันคิดว่า เขาไม่สามาถให้ความร่วมมือกับพวกคุณได้!”
“ครับ เสียดายเลยนะครับ คุณซ่งครับ ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือ ผมจะแจ้งให้ท่านประธานาธิบดีทราบครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฝากขอบคุณท่านประธานาธิบดีแทนฉันด้วย” อย่าว่าแต่ประธานาธิบดีของสหรัฐฯเลย เลขาธิการสหประชาชาติจะมาที่นี่ ซ่งเวยหลันก็ไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะดูแล
“บัดซบ ไอ้พวกอเมริกัน!”
หลังจากคิวฟีเธอร์เดินออกไป เยี่ยตงผิงทุบเข้าที่กำแพงอย่างแรง ช่วงครึ่งแรกของชีวิตเขาทั้งยากลำบากและมีอุปสรรค เขายังไม่ได้มีชีวิตที่สุขสบายเลย ลูกชายต้องเจอกับเรื่องแบบนี้อีก
“ตงผิง เป็นเพราะฉันเอง ฉันไม่ควรกลับมา” พอเห็นสามีเจ็บปวด ซ่งเวยหลันยิ่งรู้สึกผิด
“เวยหลัน ไม่ใช่ความผิดของเธอ ลูกต้องฟื้น!” เยี่ยตงผิงเช็ดน้ำตาและปลอบภรรยาของเขาอย่างนุ่มนวล
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ แอนนาก็พาคนกลุ่มนึงมาถึงโรงพยาบาลเอกชนแห่งนี้
นอกจากโก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นแล้ว ยังมีหนานไหวจิ่นมาด้วยอีกคน เขาถูกเชิญโดยโก่วซินเจีย และเดินทางมาจากไต้หวัน เวลาที่ลงเครื่องใกล้ ๆ กับโก่วซินเจีย
“โก่วเหล่า ครั้งนี้คงต้องฝากทุกอย่างไว้กับคุณแล้ว!” เมื่อเห็นโก่วซินเจียเดินเข้ามาห้องผู้ป่วย เยี่ยตงผิงรีบขึ้นไปต้อนรับ จนห่างออกไปไม่กี่เมตรเท่านั้น เยี่ยตงผิงก็คุกเข่าลงไปทันที
“ไม่ ไม่” โก่วซินเจียพยุงเยี่ยตงผิงขึ้นมาและพูดว่า “ศิษย์น้องเล็กจะเจอกับภัยหนึ่งครั้ง แต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต!”
ตอนที่ 662 ฟื้นขึ้นมา (1)
Ink Stone_Fantasy
“นักพรตโก่ว ท่านต้องช่วยเสี่ยวเทียนนะ พวกเราขอขอบคุณท่านตรงนี้เลย!”
หลังจากได้ยินคำพูดของโก่วซินเจีย ซ่งเวยหลันซึ่งเดิมทีนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยก็พยายามที่จะลุกจากเตียง ในเวลานี้เธอกำลังเป็นดั่งสุภาษิตที่ว่า หิวน้ำค่อยขุดบ่อ ตราบใดที่ยังมีความหวัง แม้จะริบหรี่ แต่เธอก็จะพยายามลอง
“คุณหญิงเยี่ย ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้ ศิษย์น้องเล็กเป็นเจ้าสำนักของสำนักเสื้อป่านเรา เป็นคนอายุสั้นที่ไหนกันล่ะ?”
ครอบครัวของโก่วซินเจียเป็นคนสมัยเก่าและยังคงปฏิบัติตามกฎก่อนการเปิดประเทศ เขาจึงเรียกขานซ่งเวยหลันว่าคุณหญิง โก่วซินเจียยิ้มเล็กน้อยแล้วพูดต่อว่า “ ก่อนที่ฉันจะมาถึงที่นี่ ได้พยากรณ์ไว้แล้ว ศิษย์น้องเล็กเป็นคนมีดวงมงคล สามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องดีได้อยู่แล้ว พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
หลังจากโก่วซินเจียพูดจบ แอนนาที่ยืนอยู่ด้านหลังขยับปาก และบ่นเบา ๆ “ทำไมคนนี้พูดจาแปลกประหลาด?”
ซ่งเวยหลันมองแอนนา และพูดตำหนิว่า “แอนนา อย่าพูดเรื่อยเปื่อย ออกไปก่อน!”
“ค่ะ นายหญิง” แอนนาแลบลิ้น และเดินออกจากห้องไป
ซ่งเวยหลันแสดงอาการขอโทษต่อโก่วซินเจียและพูดกับเขาว่า “นักพรตโก่ว เด็กไม่รู้เรื่องอะไร ท่านอย่าถือสาเลยนะคะ”
โก่วซินเจียสะบัดมือและตอบว่า “ไม่เป็นไรคุณหญิงเยี่ย ไม่ทราบว่าฉันขอไปดูศิษย์น้องเล็กหน่อยจะได้หรือไม่?”
“เอ่อ?”
ซ่งเวยหลันตอบช้า ถ้าเป็นไปตามที่คุณหมอเวย์แมนพูด สัญญาณชีพของเยี่ยเทียนอ่อนแอมาก ห้องปลอดเชื้อห้องนั้นห้ามไม่ให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นบาดแผลของเยี่ยเทียนอาจติดเชื้อได้
คิดไปครู่นึง ซ่งเวยหลันหันไปมองเวย์แมนและถามว่า “คุณหมอเวย์แมน คุณคนนี้เป็นคุณหมอแพทย์แผนจีนจากประเทศจีน เขาจะขอดูอาการของเยี่ยเทียนสักหน่อย ไม่ทราบว่าเข้าไปได้มั้ย?”
“แพทย์แผนจีน? การฝังเข็มเหรอ?”
เวย์แมนไม่เหมือนแพทย์ตะวันตกคนอื่น ๆ ที่ไม่ค่อยเชื่อแพทย์แผนจีนเท่าไหร่ หลังไตร่ตรองเสร็จ เขาก็ตอบกลับไปว่า “การฝังเข็มของแพทย์แผนจีนช่วยผู้ป่วยอย่างเยี่ยเทียนได้จริง ๆ ผมอนุญาตให้เข้าไปได้ครับ!”
แม้ว่าเขาจะไม่เข้าใจหลักการของแพทย์แผนจีน แต่ครั้งหนึ่งเวย์แมนเคยเห็นแพทย์แผนจีนใช้การฝังเข็มกับ
ผู้ป่วยเป็นเวลานาน จนทำให้เจ้าชายนิทราคนหนึ่งฟื้นขึ้นมา นี่คือเหตุผลหลักที่เขาไม่ปฏิเสธแพทย์แผนจีน
“งั้นอย่ารอช้าอีกเลย พวกเราไปกันเถอะ!”
แม้ว่าจะลงจากเครื่องบินได้ไม่นาน แต่ความปลอดภัยของเยี่ยเทียนนั้นสำคัญกว่าการพักผ่อนอย่าง
ไม่ต้องสงสัย หลังจากได้รับความยินยอมจากหมอเวย์แมน โก่วซินเจียก็พูดว่า “ศิษย์น้องจั่วรออยู่ข้างนอกนะ ฉันกับหนานไหวจิ่นเข้าไปก็พอแล้ว คุณหมอเวย์แมน ได้มั้ย?”
เช่นเดียวกับเวย์แมน โก่วซินเจียที่เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนจีนก็เข้าใจบทบาทของแพทย์แผนตะวันตก
เช่นกัน สำหรับคำพูดสุดท้ายนี้โก่วซินเจียถามเวย์แมนเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อแสดงการเคารพ เวย์แมนรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเช่นนั้นและตอบด้วยความประหลาดใจว่า “คุณ เข้าใจภาษาอังกฤษด้วย? “
“หลายปีก่อน ผมเคยอยู่ที่อังกฤษ”
โก่วซินเจียยิ้มตอบ ตอนนั้นเขามีความเป็นเลิศทางวิชาการเพื่อนำจีนไปสู่สากล และตอนที่อายุ 10 ขวบ
กว่า ๆ เคยติดตามกูหงหมิง ผู้ซึ่งได้รับฉายาว่า “ตัวประหลาดปลายราชวงศ์ชิง” หลังจากนั้นด้วยความต้องการทางหน้าที่การงาน เขายังเชี่ยวชาญด้านภาษาเยอรมันและญี่ปุ่นอีกด้วย
หลังจากได้รับการยินยอมจากหมอเวย์แมนแล้ว โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นทำการเปลี่ยนเป็นชุดปลอดเชื้อ และเดินเข้าไปในห้องผู้ป่วยที่เยี่ยเทียนพักอยู่ ส่วนซ่งเวยหลันและคนอื่น ๆ ดูพวกเขาผ่านกระจกด้วยความตื่นเต้น
“พี่หยวนหยาง อาการศิษย์น้องเยี่ยไม่ดีเลยนะ?”
เพิ่งเข้ามาถึงในห้อง หนานไหวจิ่นก็ขมวดคิ้วทันที ด้วยความสามารถของเขาแล้ว เขารับรู้ได้ทันทีว่าทิศทางการเคลื่อนที่ของพลังลมปราณชีวิตเหลืออยู่น้อยมาก ไฟแห่งชีวิตก็พร้อมจะดับลงทุกเมื่อ
“อาการหนักจริง ๆ !” โก่วซินเจียเดินวนรอบ ๆ ตัวเยี่ยเทียน สีหน้าค่อนข้างเครียดผิดปกติ
เมื่อพิจารณาจากอุปกรณ์กับอาการบนร่างกายของเยี่ยเทียนแล้ว กระดูกสันหลังหลังของเยี่ยเทียนผิดรูปไปสามชิ้น นี่เป็นอาการบาดเจ็บที่ร้ายแรงที่สุด หากไม่ได้รับการรักษาอย่างดี อาจต้องเผชิญกับความพิการตลอดชีวิต
เมื่อเทียบกับอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลัง การแตกหักของแขนไม่มีอะไรเลย โก่วซินเจียมองที่อุปกรณ์สักพัก จากนั้นก็นั่งบนเก้าอี้ข้าง ๆ เยี่ยเทียน เหยียดมือขวาออกไปเพื่อวางบนจุดชีพจรของเยี่ยเทียน
“ เป็นแบบนั้นจริงด้วย บาดเจ็บไปถึงอวัยวะภายใน และจุดตันเถียนก็ถูกทำลายแล้ว นี่ … จะทำยังไงดีละ?”
หลังจากตรวจชีพจรของเยี่ยเทียนเสร็จ ใบหน้าของโก่วซินเจียก็เปลี่ยนสีทันที เขาไม่คิดว่า ความร้ายแรงของเรื่องนี้จะเกินจินตนาการของเขา
ต้องเข้าใจว่ากระดูกสันหลังไม่เพียงแต่เป็นอวัยวะรองรับร่างกายมนุษย์เท่านั้น แต่ยังเป็นตัวช่วยลดแรงกดและแรงกระแทก เพื่อปกป้องอวัยวะภายใน เมื่อกระดูกสันหลังของเยี่ยเทียนได้รับบาดเจ็บ โก่วซินเจียทำใจไว้แล้วว่าอวัยวะภายในของเขาต้องได้รับบาดเจ็บแน่นอน
แต่สิ่งที่โก่วซินเจียคิดไม่ถึงก็คือ เมื่อพลังลมปราณชีวิตแท้ของเขาเดินผ่านจุดชี่ไห่ที่อยู่ข้างล่างของจุดตันเถียน เขาพบว่าไม่มีร่องรอยของพลังลมปราณชีวิตแท้อยู่ในนั้นเลย ซึ่งเกินความคาดหมายของเขา
สำหรับผู้ที่ฝึกวิชาลัทธิเต๋า จุดตันเถียนเป็นสิ่งที่ปรากฏอยู่ในการฝึกภาวะภายใน เมื่อฝึกจิตต้องจดจ่ออยู่ตรงนี้
คนโบราณจึงนับ ร่างกาย ลมปราณและจิตเป็นสามมหาสมบัติ ตันเถียนเป็นจุดจัดเก็บร่างกาย ลมปราณและจิต ฉะนั้นจุดตันเถียนจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก เปรียบเสมือน “รากฐานแห่งชีวิต”
ด้วยความสามารถในวิชาของเยี่ยเทียน แม้ไม่อาจเป็นเหมือนเรื่องเล่าขานที่สร้างจุดตันเถียนภายในร่างกาย แต่จุดตันเถียนที่หล่อเลี้ยงพลังลมปราณชีวิตแท้อยู่ ไม่มีเลย
โก่วซินเจียตรวจไปเมื่อครู่ เขาพบว่าจุดตันเถียนของเยี่ยนเทียนกลับว่างเปล่า ไม่มีลมปราณชีวิตแท้เคลื่อนไหวอยู่เลย ซึ่งเหมือนคนทั่วไปที่ไม่เคยฝึกวิชามาก่อน
พอเป็นแบบนี้ แม้เนื้อหนังของเยี่ยเทียนจะรักษาจนหายแล้ว แต่เขาไม่สามารถฝึกวิชาได้อีกต่อไป และที่สำคัญ เมื่อลมปราณชีวิตแท้ที่ไม่มีแล้ว จะไม่สามารถเคลื่อนย้ายพลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมของฟ้าดินได้อีก วิชาต่าง ๆ ของสำนักเสื้อป่านก็คงทำไม่ได้อีกแล้ว
“พี่หยวนหยาง ทั้งพี่และผมต่างก็พยากรณ์แล้ว ศิษย์น้องเยี่ยน่าจะไม่เป็นอะไรมาก แต่ว่า……”
หลังจากได้ยินสิ่งที่โก่วซินเจียพูด สีหน้าของหนานไหวจิ่นก็เปลี่ยนไปเช่นกัน คนฝึกวิชาเหมือนกัน เขารู้ดีว่าจุดตันเถียนมีความสำคัญต่อคนที่ฝึกกำลังภายในแค่ไหน
โก่วซินเจียถอนหายใจเฮือกใหญ่และพูดว่า “น้องไหวจิ่น ชะตาชีวิตของศิษย์น้องเล็กมหัศจรรย์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เราสองคนไม่สามารถดูออกได้หรอก!”
เมื่อครู่โก่วซินเจียใช้พลังลมปราณชีวิตแท้ พยากรณ์ดวงชะตาของเยี่ยเทียน เขามองเห็นเพียงลาง ๆ ว่าการพบเจอภัยครั้งนี้จะเป็นเรื่องดี สามารถเปลี่ยนเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องดีได้ การที่เขาใช้ปราณชีวิตแท้ ทำให้เขากระอักออกมาเป็นเลือด แต่ดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว เลือดที่กระอักออกมาไม่ได้ช่วยอะไรเลย
เปลี่ยนเรื่องร้ายให้เป็นเรื่องดีก็เท่านั้น แต่การเจอภัยแล้วจะเป็นเรื่องดีกับสภาพของเยี่ยเทียนตอนนี้ ไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลยแม้แต่นิดเดียว แค่มีชีวิตรอดมาได้ก็เก่งมากแล้ว จะมีเรื่องดีให้กล่าวถึงได้ยังไงกัน?
“ถ้าจุดตันเถียนของศิษย์น้องเล็กหายไปจริง ฉันจะกระตุ้นมันออกมา ถ้าออกมาแล้ว ก็สามารถชี้นำให้เขาฟื้นฟูอาการบาดเจ็บด้วยตัวเองได้ แต่……แต่ตอนนี้ต้องทำยังไง?”
เจอสถานการณ์แบบนี้ โก่วซินเจียยังรู้สึกจนปัญญา อาการภายในของเยี่ยเทียน แย่เกินความคาดหมายของเขา
“พี่หยวนหยาง ใจเย็นก่อน”
หนานไหวจิ่นปิดตาและใช้การเคลื่อนที่ของลมปราณชีวิตตรวจสภาวะภายในของเยี่ยเทียนอีกครั้ง เขาเปิดตาทันทีและพูดว่า “ผมสัมผัสได้ถึงการเคลื่อนที่ของปราณชีวิตของน้องเยี่ย คลับคล้ายว่าจะเข้าสู่สภาวะมุดเข้ากระดองเต่าไปแล้ว เขาตั้งใจทำแบบนี้เองหรือเปล่า?”
“มุดเข้ากระดองเต่างั้นเหรอ?”
โก่วซินเจียฟังแล้วอึ้ง เขาสัมผัสอย่างละเอียดอีกครั้ง พยักหน้าและพูดว่า “ลมหายใจของศิษย์น้องเล็กเหมือนมีและเหมือนไม่มี แต่ลมปราณรวมอยู่กับจิต จิตปรองดอง ชัดเจน คล้ายว่าจะอยู่ในสภาวะมุดเข้ากระดองเต่าจริง”
มุดเข้ากระดองเต่าก็คือคำศัพท์ของลัทธิเต๋า คือการปรับลมหายใจเหมือนเต่า เป็นวิชาอายุยืนโดยที่ไม่กิน ไม่ดื่ม
ก็เหมือนกับที่คนรุ่นหลังเรียกปรมาจารย์เฉินถวนว่า “เซียนหลับ” หลับหนึ่งตื่นคือสามปี ถ้าเป็นไปตามบันทึกของลัทธิเต๋า เขาอยู่ในสภาวะมุดเข้ากระดองเต่านั่นเอง
หนานไหวจิ่นคิดสักพักและพูดว่า “ได้ข่าวว่าก่อนที่น้องเยี่ยจะสลบไป เขาใช้ตัวบังแผ่นพื้นที่กำลังตกลงมากลางอากาศ ร่างกายเนื้อหนังของเขาจะทนรับแรงมหาศาลนี้ได้ยังไง? ถ้าไม่เข้าสู่สภาวะมุดเข้ากระดองเต่า เกรงว่าวิญญาณคงออกจากร่างไปแล้ว! ”
การฝึกวิชาเมื่อฝึกถึงระดับหลอมปราณสู่จิตแล้ว จิตวิญญาณจะไม่เหมือนคนทั่วไป
แม้ยังไม่เคยลองมาก่อน แต่โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นรู้ว่า แม้เนื้อหนังของพวกเขาจะตายแล้ว แต่จิตของพวกเขายังอยู่ได้อีกระยะหนึ่ง แต่เพราะไม่มีเนื้อหนังให้ฝากฝังแล้ว เวลาจึงค่อนข้างสั้นเท่านั้นเอง
หลังจากได้ยินสิ่งที่หนานไหวจิ่นพูด โก่วซินเจียก็เชื่ออย่างนั้น เขาจึงพูดว่า “ใช่ สิษย์น้องเล็กยังฝึกวิชาไม่ถึงระดับหลอมจิตสู่ความว่าง หากจิตหลุดไปจากร่างกาย เกรงว่าจะกลับมาไม่ได้อีก แต่นี่ น่าจะเป็นการกระทำที่เขาเลือกเอง”
โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นเป็นคนที่มีประสบการณ์มากมาย แค่อนุมานเล็กน้อย ก็สรุปผลลัพท์ออกมาได้ว่า ตอนที่เยี่ยเทียนได้รับบาดเจ็บ เขาใช้วิธีเข้าสู่สภาวะมุดเข้ากระดองเต่า เพื่อลดการทำงานของร่างกาย และรักษาชีวิตเอาไว้
แต่ถ้าเยี่ยเทียนที่ถูกขังไว้ในหมอกความคิดได้ยินละก็ ต้องร้องตะโกนโหวกเหวกอย่างแน่นอน เขารู้วิชามุดเข้ากระดองเต่า แต่ไม่คิดว่าจะใช้วิธีนี้ ผีที่ไหนจะไปคิดว่า เพราะสาเหตุอะไรถึงทำให้เขาถูกขังอยู่ในหมอกความคิด?
“พี่หยวนหยาง ถ้าจะบอกว่าน้องเยี่ยเข้าสู่สภาวะมุดเข้ากระดองเต่าด้วยตัวเอง งั้นพวกเราจะเรียกเขาตื่น ก็คงไม่ง่าย”
หลังจากทำความเข้าใจการเคลื่อนไหวของลมปราณชีวิตของเยี่ยเทียนแล้ว หนานไหวจิ่นโล่งใจไปทีเดียว ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ชีวิตของเยี่ยเทียนก็ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว
โก่วซินเจียคิดไปสักพักและพูดว่า “ผมกับศิษย์น้องเล็กอยู่สำนักเดียวกัน สามารถใช้วิชาในสำนักเรียกเขาออกมาได้ แต่ก่อนจะทำแบบนั้น อาการบาดเจ็บของเขาต้องดีขึ้นระดับนึง ไม่งั้น อาจะเกิดการเปลี่ยนแปลงได้”
สภาพร่างกายของเยี่ยเทียนในตอนนี้พูดได้ว่าแย่มาก เส้นลมปราณหักไปเท่าไหร่ก็ไม่รู้ อาการของกระดูกสันหลังยิ่งมีผลกระทบต่อชีวิตของเขา ถ้าไปเรียกเยี่ยเทียนตื่นทันที อาจไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าไหร่
เมื่อหาสาเหตุเจอแล้ว จะอยู่ต่อก็ไม่มีความหมายอะไร โก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่นจึงเดินออกจากห้องผู้ป่วยไป
“ท่านโก่ว เสี่ยวเทียนเป็นยังไงบ้าง? สามารถทำให้เขาฟื้นได้มั้ย?”
สองคนนั้นเพิ่งเดินออกมา ซ่งเวยหลันและคนอื่น ๆ ก็เดินมาหาทันที สีหน้าเคร่งเครียดของโก่วซินเจียกับหนานไหวจิ่น ทำให้คนที่รออยู่ข้างนอกรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก
“พวกคุณใจเย็น ๆ ก่อน!”
เมื่อเห็นความวิตกกังวลของทุกคนแล้ว โก่วซินเจียจึงตอบว่า “ชีวิตของศิษย์น้องเล็กปลอดภัยดี แต่อาการบาดเจ็บทั้งภายในภายนอกค่อนข้างรุนแรง ต้องหาวิธีปรับก่อน ถึงจะเรียกเขาตื่นขึ้นมาได้”
ตอนที่ 663 ฟื้นขึ้นมา (2)
Ink Stone_Fantasy
กระดูกสันหลังของเยี่ยเทียนแตกหัก อวัยวะตันทั้งห้า ได้แก่ หัวใจ ตับ ม้าม ปอด ไตและอวัยวะกลวงทั้งหก ได้แก่ ลำไส้เล็ก ถุงน้ำดี กระเพาะอาหาร ลำไส้ใหญ่ กระเพาะปัสสาวะ และซานเจียวได้รับความเสียหายในระดับที่แตกต่างกัน อาการบาดเจ็บเช่นนี้หากเกิดกับคนธรรมดาทั่วไป เกรงว่าคงตายไปนานแล้ว
ถึงแม้อาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนในเวลานี้จะควบคุมอยู่แล้ว แต่ถ้าอยากจะรักษาให้หายสนิท เกรงว่าต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามถึงห้าปี โดยเฉพาะอาการบาดเจ็บของกระดูกสันหลัง หากพลาดไปอาจจะจะพิกลพิการไปตลอดชีวิต
การดูแลรักษาที่หมอแผนจีนพูด เกี่ยวกับกระดูกสันหลังหักของเยี่ยเทียนนั้น โก่วซินเจียก็ไม่มีวิธีที่ดีอะไร พลางหันไปมองหมอเวย์แมนแล้วพูดว่า “หมอเวย์แมนครับ อาการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังเยี่ยเทียน คุณมีความคิดเห็นว่ายังไงบ้างครับ?”
หมอเวย์แมนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า “อาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังของเยี่ยเทียนนั้นยุ่งยากมากครับ มีกระดูกที่แหลกละเอียดอย่างน้อยสิบกว่าชิ้นอยู่ภายใน พวกเราต้องรอหลังจากที่สัญญาณชีพของเขามั่นคงแล้ว ถึงจะทำการผ่าตัดจัดการเศษกระดูกที่แตกหักได้ครับ”
อัตราการการเต้นของหัวใจของคนปกติทั่วไปจะอยู่ที่หกสิบถึงหนึ่งร้อยครั้งต่อนาที แต่การเต้นของหัวใจของเยี่ยเทียนทุกนาทีนั้นมีเพียงสิบถึงสามสิบครั้ง อย่างน้อยที่สุดเต้นเพียงแปดครั้งเท่านั้น
จากความคิดของหมอเวย์แมนแล้ว หัวใจของเยี่ยเทียนสามารถหยุดเต้นได้ตลอดเวลา ชีวิตของเขายังอยู่ในช่วงอันตราย ไม่เหมาะที่จะทำการผ่าตัด
“ผ่าตัด?” โก่วซินเจียขมวดคิ้วพลางพูด “ไม่ได้ การผ่าตัดจะทำร้ายพลังชีวิตมากเกินไป ทำไม่ได้!”
ตามหลักของผู้ที่บำเพ็ญตบะ ร่างกายของคนเราก็เหมือนกับคลังมหาสมบัติ หนวดเคราและผม สารจำเป็นและเลือดล้วนสำคัญเป็นอย่างมาก เมื่อทำการผ่าตัด จะทำให้เส้นลมปราณได้รับความเสียหาย และไม่สามารถฝึกวรยุทธได้อีกในภายหลัง นั้นเป็นความยากของความยากเลยที่เดียว
หมอเวย์แมนส่ายหน้า พลางพูด “คุณลุงครับ หากไม่เอาเศษกระดูกที่แหลกออกจากภายในร่างกาย จะมีผลกระทบต่อการฟื้นฟูของเขาเป็นอย่างมาก และกระดูกสันหลังที่แตกหัก จะต้องเสริมด้วยการผ่าตัดเพื่อความมั่นคง!”
การแตกหักของกระดูกสันหลังของเยี่ยเทียน ถ้าหากไม่ผ่าตัดล่ะก็ ต่อไปเขาจะไม่สามารถลุกขึ้นได้อีก และการผ่าตัดนี้ยังเกี่ยวข้องกับประสาทศูนย์กลางอีกด้วย แม้แต่โรงพยาบาลที่หมอเวย์แมนทำงานอยู่ ก็ยังไม่มั่นใจว่าจะรักษาให้หายขาดได้
“ไม่ได้ พวกคุณแค่ทำให้อาการบาดเจ็บของอวัยวะภายในของเขามั่นคงได้ก็พอแล้ว ห้ามผ่าตัด”
โก่วซินเจียหยิบขวดกระเบื้องเคลือบออกมาจากกระเป๋า หลังจากเปิดจุกขวดแล้ว กลิ่นหอมของยาก็อบอวลไปทั่วทั้งห้องคนไข้ เทเม็ดยาที่มีขนาดเท่าถั่วเหลืองออกมา
มองไปที่ขาที่บาดเจ็บของซ่งเวยหลัน แล้วโก่วซินเจียจึงพูดว่า “คุณหญิงเยี่ย อาการบาดเจ็บที่ขาของคุณก็หนักไม่เบา แค่ทานเม็ดเดียวก็พอแล้ว ส่วนอีกหนึ่งเม็ดให้ไปละลายกับน้ำเกลือ แล้วฉีดใส่เส้นเลือดดำของเยี่ยเทียน”
เยี่ยเทียนในเวลานี้ไม่สามารถกลืนกินอาหารได้อย่างสิ้นเชิง ต้องอาศัยการฉีดสารอาหารบางส่วนเพื่อคงสภาพของชีวิต ยารักษาแผลของโก่วซินเจียจึงได้แต่ผ่านวิธีแบบนี้เพื่อใส่เข้าไปภายในร่างกายของเยี่ยเทียน
ด้วยวรยุทธของเยี่ยเทียนแล้ว ขอเพียงแค่ทำให้เขาสามารถตื่นขึ้นมาได้ ลมปราณชีวิตแท้ก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ถึงแม้อาการบาดเจ็บของกระดูกสันหลังจะรุนแรงมาก แต่หากค่อยๆ ใช้ปราณชีวิตแท้ดูแลรักษา ก็จะสามารถกำจัดเศษกระดูกที่แหลกอยู่ภายในร่างกายให้หมดไปได้ ดังนั้นโก่วซินเจียจึงยืนกรานคัดค้านการผ่าตัดเอากระดูกที่แตกออกมา
“อันนี้ ฉันจะคุยกับหมอเวย์แมนนะคะ…” ซ่งเวยหลันได้ยินแล้วจึงรับยาสองเม็ดนั้นมา จากนั้นจึงนำคำพูดเป็นภาษาจีนของโก่วซินเจียอธิบายให้หมอเวย์แมนฟังอีกรอบ
“ไม่ ไม่ ไม่ได้เด็ดขาด จะฉีดยาใส่ไปในเส้นเลือดดำสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้ นี่มันผิดกฎของการรักษาทางการแพทย์ คุณซ่งครับ จุดนี้ผมรับปากไม่ได้เด็ดขาด!”
หลังจากได้ยินคำพูดของซ่งเวยหลันแล้ว หมอเวย์แมนจึงส่ายหน้าเป็นพัลวัน แค่การฉีดยาธรรมดาทั่วไป ก็มีบางคนที่มีปฏิกิริยาการตอบสนองที่ไวมาก นับประสาอะไรกับอาการบาดเจ็บหนักของเยี่ยเทียน ถ้าหากเกิดผิดพลาดเพียงนิดเดียว ผลเสียที่ตามมาก็คือความตาย
“ไม่ได้ก็ย้ายโรงพยาบาล อาการบาดเจ็บของศิษย์น้องเล็กรุนแรงมาก จำเป็นต้องใช้สูตรยาลับของอาจารย์ของพวกเราถึงจะได้”
โก่วซินเจียรู้ว่า ผลของการรักษาแผลอักเสบและระงับความเจ็บปวดของยาแผนปัจจุบันนั้นดีกว่ายาแผนจีน แต่เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของอวัยวะนั้น ยาที่เขาเป็นคนปรุงขึ้นมาสามารถเยียวยาให้ตรงกับโรคได้อย่างไม่ต้องสงสัย
และอย่าดูถูกยาเม็ดนี้ ถ้าหากพูดถึงต้นทุนแล้ว มันแพงจนทำให้คนตกสะดุ้งใจได้อย่างแน่นอน
หลังจากที่โก่วซินเจียเก็บกวาดและขูดรีดยาอันล้ำค่านับร้อยปีในเรือนสี่ประสานของเยี่ยเทียนจนหมดแล้ว ก็ปรุงยาออกมาได้เพียงสิบกว่าเม็ดเท่านั้น หากคำนวณแล้วหนึ่งเม็ดอาจมีราคาเป็นล้านหยวน ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปใช่ว่าจะใช้ได้
“โอเคค่ะ ฉันจะเชื่อคุณค่ะ”
เมื่อนึกถึงความพิเศษที่อยู่ในตัวของลูกชาย ซ่งเวยหลันจึงพยักหน้า มองไปทางหมอเวย์แมนแล้วพูดว่า “คุณหมอเวย์แมนคะ ฉันอยากขอเช่าห้องไอซียูของโรงพยาบาลนี้กับอุปกรณ์ทางการแพทย์บางส่วนค่ะ ส่วนการรักษาเยี่ยเทียน พวกคุณไม่ต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวค่ะ!”
จากสภาพของเยี่ยเทียนในตอนนี้ ไม่สามารถทนรับการทรมานของการย้ายโรงพยาบาลได้ ซ่งเวยหลันจึงยื่นข้อเสนอนี้ขึ้นมา ในอเมริกา ขอเพียงเซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ต่อให้เกิดเรื่อง ก็เอาผิดจากโรงพยาบาลไม่ได้
“คุณซ่งครับ ต้องรู้นะว่า พวกเรามีหมอที่ดีที่สุดและมีวิธีการรักษาที่ทันสมัยที่สุดในโลกนะครับ?”
หมอเวย์แมนรู้สึกไม่อยากจะเชื่อกับคำพูดของซ่งเวยหลัน หรือว่าคนบนโลกใบนี้จะเป็นบ้ากันหมดแล้ว? ประเทศอเมริกาที่แข็งแกร่งที่สุดถูกการโจมตีของผู้ก่อการร้าย และสมองของคุณผู้หญิงที่งดงามที่อยู่ตรงหน้าดูเหมือนจะไม่ปกติ
“ทำตามที่ฉันบอกเถอะค่ะ หมอเวย์แมนคะ หากเกิดเรื่องอะไรก็จะไม่เกี่ยวกับโรงพยาบาลของคุณแน่นอนค่ะ” ซ่งเวยหลันโบกมืออย่างอ่อนเพลีย เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดในเวลาเพียงหนึ่งวันกับหนึ่งคืน ทำให้เธอหมดแรงจริงๆ
“ตกลงครับ ผมจะเอาสัญญาหนึ่งฉบับมาให้นะครับ”
หมอเวย์แมนยักไหล่ด้วยความเสียดาย ในความคิดของเขา ชีวิตของเด็กหนุ่มคนนั้นจะถูกแม่ของเขาเป็นคนส่งลงหลุมด้วยตัวเอง หากไม่มีการรักษาจากพวกเขา เยี่ยเทียนจะต้องตายอย่างแน่นอน
ถึงแม้จะเป็นการเช่าใช้ แต่อุปกรณ์และยาแผนปัจจุบันที่โก่วซินเจียต้องการทั้งหมด ก็มีพยาบาลเอามาให้อย่างรวดเร็ว
หลังจากนำยาไปละลายในน้ำแล้ว โก่วซินเจียจึงนำน้ำที่มียาผสมอยู่ใส่เข้าไปในน้ำเกลือด้วยตัวเอง จากนั้นจึงให้พยาบาลฉีดเข้าไปในร่างกายของเยี่ยเทียน
หมอเวย์แมนที่ออกมาจากห้องคนไข้ของซ่งเวยหลันแล้วใช่ว่าจะหมดความสนใจในตัวเยี่ยเทียนไป เขาพบว่า หลังจากที่ฉีดยาเข้าไปในร่างกายของเยี่ยเทียนแล้ว อาการของเยี่ยเทียนไม่ได้ทรุดลงไป
และวันที่สองตอนที่หมอเวย์แมนใช้อุปกรณ์ในการตรวจสอบสภาพร่างกายของเยี่ยเทียนนั้น กลับพบความแปลกประหลาด กลุ่มกล้ามเนื้อที่ได้รับความเสียหายทั้งตัวของเยี่ยเทียน กลับสมานตัวกันอย่างรวดเร็วเกินความคาดหมาย
จึงทำให้หมอเวย์แมนรู้สึกหงุดหงิดและตื่นตระหนกตกใจไม่หยุด เพราะตามสัญญาแล้ว เขาไม่สามารถเข้ามาเกี่ยวข้องกับการรักษาเยี่ยเทียนในตอนนี้ ในขณะเดียวกันก็ไม่มีสิทธิ์เข้ามายุ่งอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่ายาเพียงเม็ดเดียวไม่สามารถรักษาอาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียนได้ ภายในสามวันหลังจากนี้ โก่วซินเจียจึงต้องใช้ยาหนึ่งเม็ดทุกเช้าเย็น อาการบาดเจ็บภายในทั้งหมดของเยี่ยเทียน ถึงได้ค่อยๆ ดีขึ้นมาเรื่อยๆ
เวลาหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป ยาของโก่วซินเจียก็ใช้ไปกับตัวของเยี่ยเทียนจนหมดแล้ว
แต่นอกจากการฟื้นฟูอย่างรวดเร็วของสมรรถนะร่างกายของเยี่ยเทียนที่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าแล้ว ลักษณะพิเศษอย่างอื่นกลับเหมือนตอนที่เพิ่งส่งเข้ามาในโรงพยาบาลในตอนแรกไม่ผิดเพี้ยน
โดยเฉพาะการเต้นของหัวใจ จากเดิมที่จะเต้นสิบถึงสามสิบครั้งทุกนาที ตอนนี้กลับเป็นสิบครั้งต่อหนึ่งนาที
ถ้าหากไม่ใช่กรณีตัวอย่างตัวเป็นๆ ที่อยู่ตรงหน้า แม้แต่หมอก็แทบไม่อยากจะเชื่อ บนโลกนี้ยังมีคนที่สามารถรักษาอัตราการเต้นของหัวใจแบบนี้ได้แต่กลับไม่ตาย
“พี่หยวนหยาง ศิษย์น้องเยี่ยกำลังเข้าอยู่ในสภาวะการหายใจแบบเต่าอย่างแน่นอน หลังจากบรรพบุรุษอย่างปรมาจารย์เฉินถวนในตอนนั้น ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีคนที่สามารถอยู่ในสภาพการแสร้งตายได้ การฝึกวรยุทธของศิษย์น้องเยี่ยไกลเกินความคาดเดาของพวกเราจริงๆ”
เมื่อยืนอยู่ในห้องคนไข้ของเยี่ยเทียน สีหน้าของหนานไหวจิ่นเต็มไปด้วยความอิจฉา
เขาโชคดีเมื่อตอนอยู่ที่ภูเขาชิงเฉิง ที่ได้ตัดสินใจมาฝึกบำเพ็ญตบะ และยังเคยฝึกการหายใจแบบเต่า แต่ยังอยู่ไกลจากสภาพของเยี่ยเทียนในตอนนี้ อย่างมากที่สุดเขาสามารถรักษาจังหวะการเต้นของหัวใจอยู่ที่สี่สิบครั้งต่อนาทีเห็นจะได้
“ศิษย์ก้นกุฏิคนนี้ของอาจารย์ ฉันเองก็มองไม่ทะลุปรุโปร่งเหมือนกัน”
โก่วซินเจียฝืนยิ้มพลางพูดหนึ่งประโยค “ศิษย์น้องไหวจิ่น อาการบาดเจ็บของศิษย์น้องเล็กทรงตัวแล้ว ฉันตัดสินใจว่าจะปลุกเขาให้ฟื้นขึ้นมา เธอมีความคิดเห็นว่ายังไงบ้าง?”
อาการบาดเจ็บของเยี่ยเทียน มีบางส่วนที่โก่วซินเจียสามารถรักษาได้ แต่ตำแหน่งของกระดูกสันหลังนั้นเขาไม่สามารถรักษาได้ จำเป็นต้องหลังจากที่เยี่ยเทียนฟื้นคืนสติกลับมา แล้วจึงใช้พลังลมปราณชีวิตแท้ในการหล่อเลี้ยงอย่างช้าๆ
โก่วซินเจียคิดว่า ปราณชีวิตแท้ของเยี่ยเทียนได้หายไปตอนที่เขาเข้าไปอยู่ในสภาวะการหายใจแบบเต่า หลังจากรอให้เยี่ยเทียนตื่นขึ้นมา ก็จะสามารถฟื้นฟูกลับมาดังเดิมได้
หนานไหวจิ่นส่ายหน้า พลางพูด “ผมคิดว่า ศิษย์น้องเยี่ยสามารถอยู่ในสภาพแบบนี้ได้สามถึงห้าปี พี่หยวนหยางครับ พวกเราอยากจะเข้าไปก็เข้าไปไม่ได้น่ะสิ!”
การหายใจแบบเต่า นอกจากจะทำให้ส่วนบำรุงร่างกายที่คนเราต้องการทั้งหมดลดลงจนถึงระดับต่ำที่สุดแล้ว ยังเป็นวิธีที่ดีในการฝึกสติปัญญาและจิตใจ
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ คนเราไร้ซึ่งความปรารถนา จิตใจจึงเหมือนกลับเข้าไปอยู่ในท้องของแม่ เหมือนกับปรมาจารย์เฉินถวนในตอนนั้น เขาใช้เวลาในการนั่งสมาธิสิบกว่าปีหลังจากที่นอนหลับไปสามปี
ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับการตื่นรู้ตามที่หลักพระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ ปัญหามากมายที่ยากจะตอบได้ในเวลาปกติ บางทีการอยู่ในสภาพของการหายใจแบบเต่า จะสามารถหาคำตอบได้ จึงเป็นเหตุที่หนานไหวจิ่นคัดค้านการปลุกเยี่ยเทียนให้ตื่นขึ้นมา
“พวกเราสามารถรอได้ แต่…พวกเขาล่ะ?”
โก่วซินเจียสามารถเข้าใจเหตุผลนี้ได้อยู่แล้ว เพียงแต่หลังจากที่มองดูคนสองสามคนที่อยู่นอกหน้าต่างกระจก เขาจึงได้แต่มีสีหน้าที่เศร้าสลดออกมา
หนึ่งสัปดาห์กว่าๆ ที่ผ่านมา ซ่งเวยหลันและคนอื่นๆ เกือบใช้เวลาทั้งหมดอยู่นอกห้องคนไข้ของเยี่ยเทียน ถึงแม้จะไม่มีน้ำตาอาบหน้า แต่ท่าทางของความเศร้าโศกแบบนั้น ก็ยากที่จะให้ทำให้คนทนได้
หนานไหวจิ่นถอนหายใจอย่างเสียดาย พลางพูด “งั้นก็ได้ ถ้าปลุกให้เยี่ยเทียนตื่นขึ้นมาในเร็ววัน พวกเราก็จะสามารถกลับฮ่องกงได้ เพราะปราณวิเศษในค่ายกลมีผลดีต่อการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บของเขา แค่ก็ขอให้เยี่ยเทียนตื่นขึ้นมาแล้วไม่โทษพวกเราเป็นพอ!”
หากเปลี่ยนเป็นตัวของหนานไหวจิ่นเอง ถ้าหากมีใครปลุกเขาให้ตื่นจากสภาวะการหายใจแบบเต่า เขาก็จะสู้สุดชีวิต การเอาใจเขามาใส่ใจเรา ดังนั้นเขาจึงคิดว่าเยี่ยเทียนก็ต้องคิดแบบนี้
แต่ถ้าสติของเยี่ยเทียนที่ถูกขังอยู่ใน “หมอกของความคิด” ได้ยินเข้า เขาคงจะโกรธจนแทบบ้าแน่นอน เขาอยากจะเข้ามาอยู่ในสภาวะการหายใจแบบเต่าเสียที่ไหน? แต่เป็นจิตที่ลากเข้ามาอยู่ในตันเถียนเองต่างหาก
ใน “คัมภีร์เซียนจิงหรือคัมภีร์แห่งเซียน (หมายถึงคัมภีร์ของลัทธิเต๋า)” กล่าวไว้ว่า “ตันเถียนล่าง เป็นศูนย์รวมของพลังกาย ตันเถียนกลาง เป็นศูนย์รวมของพลังชีวิต ตันเถียนบน เป็นศูนย์รวมของพลังจิตหรือสมอง”
ตันเถียนแบ่งเป็นสามจุด ตันเถียนกลางเรียกว่า “เจี้ยงกง” อยู่จุดกลางหน้าอก เหมือนกับตันเถียนล่างหรือจุดกวนหยวนที่อยู่ต่ำกว่าใต้สะดือ ทั้งสองจุดนี้เป็นการฝึกร่างกายสร้างลมปราณชีวิต
และการที่วรยุทธถูกทำลายตามที่กล่าวไว้ในนิยายกำลังภายใน ส่วนมากจะหมายถึงตันเถียนล่าง แต่ถ้าอยากจะเข้าสู่ภาวะการฝึกเซียนหวนคืนสู่ความว่างเปล่านั้น กลับต้องสำรวจความลึกล้ำและมหัศจรรย์ของตันเถียนบนให้ถ่องแท้เสีย ก่อน
ตอนที่ 664 ฟื้นขึ้นมา (3)
Ink Stone_Fantasy
“คุณซ่งครับ ผมยอมรับว่าฝีมือการรักษาโรคของคุณลุงท่านนั้นยอดเยี่ยมมากครับ”
เมื่อมองดูโก่วซินเจียที่อยู่ในห้องคนไข้ หมอเวย์แมนจึงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ซับซ้อนว่า “แต่ผมคิดว่า ตอนนี้เยี่ยเทียนต้องทำการผ่าตัดโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นถ้ากระดูกสันหลังไม่ได้รับการแก้ไข ไม่กำจัดกระดูกที่แตกออกไป ถึงแม้ว่าเยี่ยเทียนจะตื่นขึ้นมา ก็อาจจะกลายเป็นคนไข้ที่พิการได้นะครับ”
ไม่ว่าอย่างไรหมอเวย์แมนก็คาดไม่ถึง ว่าประสิทธิภาพของยาที่โก่วซินเจียเอามาใช้นั้นจะมีผลดีเช่นนี้ แค่เวลาเพียงหนึ่งสัปดาห์ เยี่ยเทียนที่นอนซมอยู่บนเตียงนอกจากอาการบาดเจ็บของไขกระดูกที่ยังไม่ฟื้นฟูแล้ว การบาดเจ็บภายในทั้งหมดของเขากลับดีขึ้นเกือบเจ็ดแปดส่วน
ตอนที่เยี่ยเทียนถูกส่งมาที่โรงพยาบาลนั้น ตับของเขาแตก มีเลือดออกหลายตำแหน่ง ไม่ตายก็ถือว่าดวงแข็งมากแล้ว จากประสบการณ์ของหมอเวย์แมน เกรงว่าหากไม่ถึงปีครึ่งก็อย่าคิดว่าจะรักษาให้หายได้
แต่การมาของโก่วซินเจีย กลับเป็นการล้มล้างความรู้ทางการแพทย์ของเขา ทำให้หมอเวย์แมนรู้สึกล้มเหลว เขาอยากพูดโน้มน้าวซ่งเวยหลันให้ทำการผ่าตัดเยี่ยเทียน เพื่อพิสูจน์บทบาทสำคัญทางการแพทย์แผนตะวันตก
และการกระทำของโก่วซินเจียในตอนนี้ ทำให้หมอเวย์แมนรู้สึกขวัญหนีดีฝ่ออยู่บ้าง
เพราะว่าตอนนี้โก่วซินเจียกำลังถือเข็มเงินสามเล่มที่มีความยาวประมาณยี่สิบกว่าเซนตินเมตรอยู่ในมือ และกำลังวัดคำนวณอยู่ตรงศีรษะของเยี่ยเทียน สภาพการณ์แบบนั้นเห็นได้ชัดว่าอยากจะใช้เข็มเงินปักเข้าไปที่สมองของเยี่ยเทียน
ถึงแม้แต่ก่อนจะเคยเห็นการฝังเข็มของหมอจีนที่ทำต่อคนไข้ แต่ก็ใช้กับร่างกายส่วนอื่นเสียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนของสมองมีประสาทมากมาย หากไม่ระวัง อาจจะทำให้คนดีๆ กลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปได้
“หมอเวย์แมนคะ ไม่ต้องพูดอีกแล้วค่ะ”
ซ่งเวยหลันที่ทำสีหน้าตึงเครียดเอ่ยปากพูด “ในเมื่อฉันเลือกให้คุณโก่วเป็นคนรักษาโรคให้เยี่ยเทียน ฉันก็จะเชื่อใจเขาค่ะ ส่วนเรื่องผ่าตัด เชื่อว่าหลังจากที่ลูกชายของฉันฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาจะเป็นคนเลือกด้วยตัวเองค่ะ”
หลังจากได้ยินคำพูดเป็นกังวลของหมอเวย์แมนแล้ว ซ่งเวยหลันจึงมีสีหน้าที่กลุ้มใจออกมา แต่การเปลี่ยนแปลงของร่างกายเยี่ยเทียนในสองสามวันที่ผ่านมา ยังคงทำให้เธอเต็มไปด้วยความเชื่อใจโก่วซินเจีย
ในหัวใจของซ่งเวยหลันตอนนี้ ลูกชายคือผู้วิเศษที่มีความสามารถในการทำนายอนาคตได้คนหนึ่ง
และโก่วซินเจียในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ของเยี่ยเทียน จึงต้องมีความสามารถมากกว่าลูกชาย ถ้าหากเขาช่วยเยี่ยเทียนไม่ได้ล่ะก็ เชื่อว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครที่จะช่วยเหลือลูกชายได้อีก
หลังจากหนานไหวจิ่นที่ยืนอยู่ข้างๆ ซ่งเวยหลันได้ยินการสนทนาของทั้งสองคน จึงยิ้มพูดว่า “คุณหญิงเยี่ยครับ ไม่ต้องเป็นห่วง พี่หยวนหยางเก่งอยู่แล้ว บางทีคราวนี้เยี่ยเทียนอาจจะเปลี่ยนเคราะห์ให้เป็นโชคได้ก็ไม่แน่นะครับ”
โก่วซินเจียทำการฝังเข็มในเวลานี้ หนานไหวจิ่นไม่ได้เข้าไปอยู่ในห้องคนไข้ด้วย ด้วยวรยุทธของเขา ยังไม่สามารถปรับการขับเคลื่อนของลมปราณชีวิตหรือลมปราณชีวิตแท้ได้ ดังนั้นเขาจึงกลัวว่าเป็นการรบกวนโก่วซินเจีย
“เปลี่ยนเคราะห์เป็นโชค? เสี่ยวเทียนสามารถฟื้นขึ้นมาได้ก็พอแล้วค่ะ”
ซ่งเวยหลันมองอวี๋ชิงหย่าที่ยืนอยู่ไม่ไกลด้วยความเป็นห่วง พลางพูดว่า “เด็กคนนี้โชควาสนาน้อยนัก ถ้าหากต้องพิการจริงๆ พวกเราก็จะดูแลเขาไปตลอดชีวิต”
ช่วงนี้ซ่งเวยหลันก็ไม่ได้ว่างเลย เธอสอบถามศัลยแพทย์ที่ดีที่สุดในอเมริกาแล้ว แต่ก็ได้ผลสรุปเดียวที่ทำให้เธอเป็นกังวลมากที่สุด
นั่นก็คืออาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังของเยี่ยเทียน มีความเป็นไปได้ถึงเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ที่จะพิการ กระทั่งอาจจะมีผลกระทบถึงระบบประสาทศูนย์กลางของเยี่ยเทียนอีกด้วย
แม้ว่าจะมีตัวเสริมความมั่นคงภายในร่างกายของเยี่ยเทียนแล้ว เกรงว่าทั้งชีวิตนี้ของเยี่ยเทียนก็คงได้แต่นั่งบนรถเข็น หากรุนแรงมากกว่านี้ ไม่แน่เขาอาจจะต้องเป็นผู้ป่วยติดเตียงใช้ค่อนครึ่งชีวิตที่เหลืออยู่
หลังจากได้ยินคำพูดของซ่งเวยหลันแล้ว อวี๋ชิงหย่าจึงเดินเข้ามา กุมมือของซ่งเวยหลัน พลางพูดเบาๆ ว่า “แม่คะ แม่ไม่ต้องกังวลนะคะ ต่อให้เยี่ยเทียนพิการ หนูก็จะดูแลเขาไปตลอดชีวิตค่ะ”
“พวกคุณผู้หญิงสองคนกำลังทำอะไรกันอยู่?”
หลังจากได้ยินบทสนทนาของทั้งสองคน หนานไหวจิ่นจึงมีสีหน้าที่จะร้องไห้ก็ไม่ได้จะหัวเราะก็ไม่ออก “ถึงแม้เยี่ยเทียนจะมีอาการบาดเจ็บหนัก แต่สำหรับพวกเราแล้ว ไม่รุนแรงมาก แค่ใช้เวลาในการพยาบาลรักษาสักพักหนึ่งก็ดีแล้ว”
คนที่ฝึกฝนกำลังภายในนั้น ถึงแม้จะไม่สามารถสร้างแขนขาให้งอกใหม่ได้ แต่ผลของการใช้พลังลมปราณชีวิตแท้ในการปรับสมดุลของร่างกาย ซึ่งยังห่างไกลจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะเอามาเปรียบเทียบได้
ต่อให้ตันเถียนของเยี่ยเทียนแตกหัก ลมปราณชีวิตแท้ไม่หลงเหลืออยู่ภายในร่างกายแม้แต่นิดเดียว โก่วซินเจียกับจั่วเจียจวิ้นก็สามารถใช้วิชาของสำนัก นำลมปราณชีวิตแท้ใส่เข้าไปในร่างกายของเยี่ยเทียน เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังของเยี่ยเทียนได้
แต่จำเป็นต้องหลังจากที่เยี่ยเทียนฟื้นขึ้นมาก่อนถึงจะทำได้ ถึงอย่างไรลมปราณชีวิตแท้จากการฝึกฝนของคนนอก ก็ต้องได้รับความเชื่อใจและการยอมรับทั้งหมดจากเยี่ยเทียนก่อนถึงจะทำได้
“จริงเหรอคะ?”
ซ่งเวยหลันกับอวี๋ชิงหย่ามีสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมาพร้อมกัน สำหรับพวกเธอทั้งสองคนแล้ว คนหนึ่งเป็นลูกชาย อีกคนหนึ่งเป็นสามี ไม่ว่าใครก็ไม่อยากให้ร่างกายท่อนล่างของเยี่ยเทียนต้องนอนซมอยู่บนเตียงเท่านั้น
“ผมอายุจะเก้าสิบแล้ว จะโกหกพวกคุณทำไมครับ?” หนานไหวจิ่นฝืนยิ้มพลางพูดว่า “พี่หยวนหยางจะฝังเข็มแล้ว พวกคุณอย่าพูดอะไร ระวังจะรบกวนเขาได้นะครับ!”
ถึงแม้จะมีกระจกกันเสียงที่หนาเตอะกั้นระหว่างห้องคนไข้ แต่ประโยคนี้ของหนานไหวจิ่นก็ทำให้ซ่งเวยหลันกับอวี๋ชิงหย่าปิดปากพร้อมกัน พลางมองไปที่ห้องคนไข้ด้วยสีหน้าที่ตึงเครียด
“ศิษย์น้องเล็ก วิชาบุกทะลวงนี้ เธอเป็นคนถ่ายทอดให้ศิษย์พี่เอง ถ้าหากผิดพลาดอะไร จะโทษศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้นะ!”
โก่วซินเจียที่อยู่ในห้องคนไข้ มีความตื่นเต้นอยู่บ้างในเวลานี้ วิชาที่เขาจะใช้ทั้งหมด ความจริงแล้วเป็นเคล็ดวิชาของอาจารย์ที่เยี่ยเทียนจัดเก็บออกมาก่อนหน้านี้
เคล็ดวิชาแบบนี้ไม่ได้ใช้เรียกวิญญาณแต่อย่างใด แต่เป็นวิชายุทธที่ยืมพลังภายนอกบุกทะลวงฝ่าด่านเข้าไปต่างหาก
ทุกคนต่างทราบว่า จุดฝังเข็มของร่างกายมนุษย์มีหลายจุด หากจะเดินให้รอบทุกจุด จะต้องเปิดทางจุดฝังเข็มทั้งหมด และสองจุดนี้ถือเป็นจุดที่ยากจะบุกเข้าไปมากที่สุด
คนที่ฝึกพลังลมปราณ จุดลั่วของเส้นลมปราณเริ่นหนึ่งเส้นกับจุดลั่วของเส้นลมปราณตูหนึ่งเส้นเป็นจุดฝังเข็มที่ยากที่สุด โดยเริ่มจากจุดหุ้ยอินเป็นจุดแรกที่อยู่ระหว่างขาของร่างกายท่อนล่าง ไหลเวียนไปตามแนวเส้นกลางลำตัวจนถึงรอยบุ๋มใต้ต่อริมฝีปากล่างคือจุดเฉิงเจียง เส้นลมปราณสายนี้คือการไหลเวียนของเส้นลมปราณเริ่น
เส้นลมปราณตูเริ่มจากจุดหุ้ยอินแล้วผ่านออกมาบริเวณฝีเย็บ ผ่านไปทางด้านหลังขึ้นไปตามแนวกระดูกสันหลังสู่ศีรษะแล้วค่อยผ่านระหว่างดวงตาทั้งสองข้าง จนถึงเหงือกจุดอิ๋นเจียวของขากรรไกรบนของช่องปาก
เพราะว่าในนิยายกำลังภายในได้บรรยายให้เลยเถิดและเกินความจริง อย่างเช่น ถ้าหากเส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตูถูกเปิด จะทำให้วรยุทธก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว จึงทำให้คนคุ้นเคยกับชื่อของชีพจรพลังนี้มากที่สุด
แต่ความจริงแล้ว เส้นลมปราณหลักของเส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตูล้วนเป็นพลังลมปราณหลักของเส้นลมปราณในร่างกายมนุษย์ เมื่อเส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตูเปิด จุดเชื่อมโยงเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดก็เปิด เมื่อจุดเชื่อมโยงเส้นลมปราณพิเศษทั้งแปดเปิด หลอดเลือดทั้งหลายก็เปิด จึงสามารถเข้าไปปรับปรุงคุณภาพของร่างกายให้ดีขึ้น ทำให้เส้นเอ็นและกระดูกแข็งแรง ส่งเสริมการไหลเวียนโลหิตของร่างกาย
การจับชีพจรของแพทย์แผนจีนกับศาสตร์วิชาชี่กงอย่างเต๋าอิ่นหรือหย่างเซิงของนักบวชลัทธิเต๋าได้กล่าวไว้ว่า เส้นลม ปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตูนั้นมีความสำคัญมาก
ที่โก่วซินเจียกำลังทำทั้งหมดนี้ ก็คือการนำลมปราณชีวิตแท้ใส่เข้าไปในเส้นลมปราณเริ่นของเยี่ยเทียน เพื่อปะทะจุดตันเถียนบนที่อยู่ระหว่างดวงตาทั้งสองข้างของเขา ซึ่งก็คือจุดหนีหวานกงของเยี่ยเทียนนั่นเอง
มีการบรรยายแบบนี้ในนิยายกำลังภายในอยู่บ่อยครั้ง บอกว่าหากยอดฝีมือขั้นปรมาจารย์ปะทะเส้นลมปราณเริ่นกับเส้นลมปราณตูไม่สำเร็จ จะทำให้ร่างกายพิกลพิการหรือไม่ก็สติฟั่นเฟือน เพราะเป็นผลมาจากจุดของหนีหวานกง
จุดหนีหวานกงก็คือตันเถียนบน อยู่ตรงกลางระหว่างคิ้ว ตา หน้าผากและกระดูกจมูก จึงถูกนักลิทธิเต๋าเข้าใจว่าเป็นแก่นของพลังจักรวาล เป็นสถานที่ซ่อนของเทพเจ้า เป็นจุดฝังเข็มของการฝึกฝนเล่นเร่แปรธาตุ เป็นแหล่งกำเนิดลมปราณชีวิต ที่เป็นสมบัติอันล้ำค่ามาก
ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญตบะเองหรือคนอื่นก็ตาม ก็จะไม่ยอมแตะจุดนี้เป็นอันขาด แต่โก่วซินเจียอยากจะปลุกเยี่ยเทียนให้ตื่นขึ้นมา จึงจำเป็นต้องสัมผัสจุดหนีหวานกง เพื่อทำให้เขาตกใจตื่นจากสภาวะการหายใจแบบเต่า
เมื่อจุดไฟตะเกียงแอลกอฮอล์บนหัวเตียงของเยี่ยเทียนแล้ว โก่วซินเจียจึงนำเข็มเงินทั้งสามเล่มไปเผาไฟเพื่อฆ่าเชื้อ หลังจากใช้ผ้าเช็ดหน้าที่มีแอลกอฮอล์เช็ดให้สะอาดแล้ว เขาจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ
ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้จับเข็มเล่มหนึ่ง โก่วซินเจียลงมือเร็วปานสายฟ้า ฝังลงไปที่จุดเสินถิงของเยี่ยเทียนโดยตรง จากนั้นจึงใช้เข็มอีกสองเล่มฝังไปที่จุดหยางป๋ายซ้ายและขวา
ตำแหน่งที่ถูกฝังเข็มทั้งสามเล่มนั้นลึกมาก หัวเข็มเหลือความยาวเพียงสี่ห้าเซนติเมตร พลางมองดูทุกคนที่อยู่นอกห้องคนไข้ที่ต่างก็อกสั่นขวัญแขวน ที่มีของพวกนี้ฝังอยู่ในศีรษะ ไม่แน่อาจจะฝังเข็มจนทำให้คนปัญญาอ่อนก็เป็นได้
หลังจากฝังเข็มลงไปแล้ว โก่วซินเจียก็ไม่ลังเล ใช้นิ้วกลางและนิ้วชี้ของมือขวาจับเป็นรูปดาบ พร้อมกับท่องคาถาไปด้วย จากนั้นจึงกดนิ้วทั้งสองไปที่จุดอิ้นถังที่อยู่ระหว่างหัวคิ้วทั้งสองของเยี่ยเทียน แล้วแก่นแท้ของพลังชีวิตที่บริสุทธิ์จึงไหลเข้าสู่ช่องว่างระหว่างคิ้วของเยี่ยเทียน
……
เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่าตัวเองถูกดึงเข้ามาอยู่ห้วงเวลานี้นานเท่าไรแล้ว อยู่ในนี้ไม่มีความคิดเรื่องเรื่องเวลาเลย เพราะสิ่งที่เข้าตามีแต่ความมืดมิดเต็มไปหมด
เยี่ยเทียนเคยคำรามก็แล้ว ตะโกนก็แล้ว แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เขาไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ และในห้วงเวลานี้ยังคงปกคลุมไปด้วยความมืดมิดเหมือนเดิม ไม่เห็นแสงสว่างแม้แต่นิดเดียว
เคยมีนักจิตวิทยาวิเคราะห์ว่า สิ่งที่ยากที่สุดบนโลกใบนี้ไม่ใช่การลงโทษที่โหดร้ายทารุณ แต่เป็นความเหงา ความเหงาที่เป็นการทรมานจิตใจแบบนั้น ถึงจะทำให้คนยากที่จะทนรับได้มากที่สุด
ในเรือนจำของแต่ละประเทศเกือบทั้งหมดของโลกก็มีการลงโทษอย่างหนึ่ง นั่นก็คือการกักขัง โดยการนำนักโทษที่กระทำความผิดไปขังภายในพื้นที่เล็กและแคบ ไม่ให้ได้ยินเสียงใดๆ และมองไม่เห็นแม้แต่แสงอาทิตย์
คนที่อยู่ในนั้นหนึ่งสัปดาห์ หลังจากที่ออกมาแล้วก็จะไม่มีใครอยากเข้าไปอีก เพราะว่าความรู้สึกมืดและเงียบเหงาแบบนั้น ทำให้สติของพวกเขาแทบพังทลาย
พื้นที่ที่เยี่ยเทียนอยู่นี้ ยังโหดกว่าสถานที่กักขังเป็นร้อยเท่า เพราะว่าในนี้ แม้แต่เวลาก็เหมือนกับหยุดนิ่ง อารมณ์และความคิดด้านลบต่างๆ ก็ทยอยตามมา
ช่วงแรกที่อยู่ในนี้ เยี่ยเทียนก็เกือบจะพังทลาย แต่ท้ายที่สุดเขาก็ฝึกฝนวรยุทธมาตั้งแต่เด็ก นั่งสมาธิเงียบๆ อยู่ในภูเขาก็ไม่น้อย ความเข้มแข็งของจิตใจยากที่คนธรรมดาจะเทียบได้ หลังจากผ่านความยากลำบากในช่วงแรกมาแล้ว เยี่ยเทียนจึงเงียบสงบลงในที่สุด
เยี่ยเทียนได้ฝึกฝนวิชายุทธและคาถามาตั้งแต่เด็ก เขาจึงทำการทบทวนความทรงจำทั้งหมดอีกครั้ง
แต่ไม่รู้เป็นเพราะสาเหตุจากที่นี่เงียบเกินไปหรือเปล่า มีหลักการมากมายที่แต่ก่อนเขามองไม่ทะลุปรุโปร่ง ตอนนี้ปัญหาต่างๆ ได้แก้ตกไปตามๆ กัน ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกตื่นเต้นดีใจด้วยความประหลาดใจ แล้วจึงเข้าสู้การฝึกฝนอย่างรวดเร็ว
ระหว่างนี้เยี่ยเทียนตื่นขึ้นมาสองสามครั้ง และทุกครั้งที่ตื่นขึ้นมา เขาสามารถรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของสติที่เกิดขึ้นแต่ไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้ ซึ่งดูเหมือนจะแตกต่างจากเมื่อก่อนไปบ้าง
แต่การถูกขังอยู่สถานที่แห่งนี้ เยี่ยเทียนก็ไม่มีตัวพาหะให้เปรียบเทียบได้ เพื่อเป็นการขจัดความว่างเปล่ากับความมืดที่ไร้จุดสิ้นสุดออกไป เขาจึงได้แต่ตั้งใจฝึกวรยุทธอีกครั้ง
“หืม? เกิดอะไรขึ้น?” เกิดการเตือนขึ้นมาในหัวใจอย่างฉับพลัน ทำให้เยี่ยเทียนตื่นขึ้นมาจากความเงียบอีกครั้ง
เขารู้สึกเหมือนมีพลังงานที่คุ้นเคยบางอย่างเข้ามาอยู่ในพื้นที่แห่งนี้ และความมืดมิดที่ไร้ที่สิ้นสุดพลันเกิดแสงสว่างขึ้น เยี่ยเทียนจึงดีใจขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ จากนั้นสติของเขาก็ตามลำแสงนั้นแล้วหนีออกไป
ตอนที่ 665 เจ็บปวดอย่างรุนแรง
Ink Stone_Fantasy
“บัดซบ มีคนถือโอกาสเอาค้อนมาทุบหัวฉันตอนที่ฉันนอนหลับอยู่ใช่ไหม?”
ความรู้สึกแรกหลังจากที่เยี่ยเทียนฟื้นขึ้นมา ก็คือทั่วทั้งตัวไม่มีตรงไหนที่สบายตัวเลย และยังไม่พูดถึงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงของแขนที่หักทั้งสองข้าง แม้แต่กล้ามเนื้อก็ยังปวดเมื่อยจนหมดแรง และตั้งแต่ช่วงเอวลงไปก็ยิ่งไม่มีความรู้สึก
ก่อนที่จะสลบไป สติของเยี่ยเทียนอยู่ในขั้นที่ตึงเครียดมาก จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดแต่อย่างใด แต่ทำไมพอฟื้นขึ้นมาแล้ว เขาจึงรู้สึกเจ็บปวดจนแทบอยากจะมุดเข้าไปอยู่ในห้วงแห่งความมืดแล้วไม่ออกมาอีกตลอดไป
เขากัดฟันแน่น แล้วเม็ดเหงื่อขนาดเท่าเม็ดถั่วเหลืองก็ผุดเต็มหน้าผาก มันเจ็บปวดมากจนกล้ามเนื้อบนใบหน้าของเยี่ยเทียนกระตุก
เยี่ยเทียนไม่ได้ลืมตาขึ้นมาเป็นสิ่งแรก เพราะเขารู้ว่า เมื่ออยู่ท่ามกลางความมืดเป็นเวลานาน ถึงแม้จะมีแสงสว่างรำไร ก็ยังส่งผลที่อันตรายต่อดวงตาของเขา
“หืม? ลมปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายของฉันล่ะ?”
เยี่ยเทียนค่อยๆ ทำความคุ้นชินกับแสงสว่างภายนอกอย่างช้าๆ ผ่านหนังตา เขาเคยชินกับการปล่อยลมปรารชีวิตแท้เพื่อสัมผัสสภาพแวดล้อมภายนอก แต่กลับพบว่า ภายในร่างกายของตัวเองไม่มีปรารณชีวิตแท้แม้แต่นิดเดียว
นี่คือความตื่นตระหนกตกใจอันใหญ่หลวงสำหรับเยี่ยเทียน สิบกว่าปีที่ผ่านมา เขาเคยชินกับการใช้ปราณชีวิตแท้ในการดำเนินชีวิต ถ้าหากต้องกลายเป็นคนพิการ เยี่ยเทียนก็ไม่รู้ว่าชีวิตหลังจากนี้ต่อไปจะกลายเป็นแบบไหน?
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังตกใจอย่างบอกไม่ถูกนั้น ในหัวของเขาก็พลันปรากฏภาพสามมิติภาพหนึ่ง คือตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียงคนไข้สีขาวโพลน ข้างกายของตัวเองนั้นมีศิษย์พี่ใหญ่โก่วซินเจียกำลังยืนอยู่ข้างๆ
และข้างหลังหน้าต่างกระจกที่ห่างจากเตียงคนไข้ออกไปหกเมตร ยังมีคนอีกสองสามคน กำลังมองเข้ามาภายในห้องด้วยความตึงเครียด นอกจากซ่งเวยหลันผู้เป็นแม่แล้ว ยังมีภรรยาของตัวเอง คุณพ่อ โจวเซี่ยวเทียนกับจั่วเจียจวิ้นรวมทั้งหนานไหวจิ่น
เหมือนกับการใช้ดวงตาจ้องมองไปที่คนพวกนั้นโดยตรง ใบหน้าของพวกเขานั้นชัดเจนอยู่ในหัวของเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก ชัดเจนจนเยี่ยเทียนสงสัยว่าตัวเองลืมตาแล้วใช่ไหม
“นี่…นี่มันเกิดอะไรขึ้น?”
เยี่ยเทียนใช้ความคิดเพียงนิดเดียว ภาพที่อยู่ในนั้นก็พลันหายไปทั้งหมด ราวกับภาพลวงตา แต่มันกลับเสมือนจริงจนทำให้เยี่ยเทียนยากจะลืมได้ลง
“ศิษย์น้องเล็ก อย่าเพิ่งลืมตา ศิษย์พี่ใหญ่ลืมเรื่องนี้ไปเลย!”
เมื่อเห็นดวงตาของเยี่ยเทียนกำลังขยับแต่กลับไม่ได้ลืมตา โก่วซินเจียจึงเข้าใจทันที รีบหยิบผ้าปิดตาในฉับพลัน เพื่อปิดตาทั้งสองข้างของเยี่ยเทียน
“ใช่ศิษย์พี่ใหญ่จริงๆ หรือครับ?”
เยี่ยเทียนเพ่งจิตเพียงนิดเดียว ในหัวจึงนึกถึงสภาพของการนอนสลบไสลก่อนหน้านี้ จึงรีบถามโดยไม่สนใจความแปลกประหลาดของร่างกาย “ศิษย์พี่ใหญ่ แม่ของผมเป็นยังไงบ้างครับ?”
เยี่ยเทียนเพิ่งจะเอ่ยพูด เขาจึงรู้สึกตกใจกับเสียงที่แหบแห้งของตัวเอง เสียงแบบนั้นเหมือนกับถูกทำแตกร้าว ทำให้เสียงที่ส่งออกมาเป็นเสียงที่แหบพร่าราวกับเสียงทราย
ถึงแม้เสียงของเยี่ยเทียนจะดูแปลกยากที่จะอธิบายให้ชัดเจน แต่โก่วซินเจียก็ยังฟังเข้าใจ จึงยิ้มพูดขึ้นทันทีว่า “ศิษย์น้องเล็ก เธอวางใจได้ แม่ของเธอไม่เป็นอะไร ตอนนี้กำลังมองเธออยู่ข้างนอกห้องคนไข้”
หลังจากได้ยินคำพูดของโก่วซินเจียแล้ว ความรู้สึกแปลกประหลาดในหัวใจของเยี่ยเทียนก็เกิดอาการกำเริบขึ้นมาอย่างรุนแรง แล้วจึงรีบถามต่อ “นอกห้องคนไข้? ยังมีใครอีก?”
แต่ก่อนเยี่ยเทียนพยายามขับเคลื่อนพลังลมปราณชีวิตเพื่อสัมผัสร่างกายของคนอื่น ส่วนมากจะสามารถใช้พลังชีวิตที่อ่อนแอวิเคราะห์ได้แต่เพียงอายุกับลักษณะพิเศษของใบหน้าเท่านั้น แต่เมื่อครู่เขากลับเหมือนมองเห็นได้อย่างแท้จริง
ถ้าหากไม่ใช่โก่วซินเจียบอกว่าแม่อยู่ข้างนอก เยี่ยเทียนคงจะคิดว่านั่นคือภาพหลอนที่เกิดขึ้นหลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาจากความมืดจนทำให้ตัวเองเกิดอาการคลุ้มคลั่ง
“ภรรยากับพ่อของเธอก็มา แล้วก็ยังมีศิษย์พี่รองของเธอ ศิษย์น้องหนานไหวจิ่น เซี่ยวเทียน พวกเขาต่างก็มาเยี่ยมเธอกันทั้งนั้น”
มองดูเหงื่อเย็นไหลพลั่กๆ ออกมาจากหน้าผากของเยี่ยเทียนไม่หยุดหย่อน โก่วจินเซียจึงพูดว่า “ศิษย์น้องเล็ก พยายามทำความคุ้นชินสักเล็กน้อย อย่าเพิ่งพูดอะไร พักผ่อนสักครู่หนึ่งแล้วพวกเราพี่น้องค่อยคุยกัน”
“ศิษย์พี่ใหญ่ ยังมีฝรั่งใส่กรอบแว่นตาทองสวมชุดกาวน์อยู่อีกคนใช่ไหมครับ?” โก่วซินเจียเพิ่งจะพูด เยี่ยเทียนก็เข้าใจทันที เมื่อครู่สถานการณ์ที่เกิดในหัวของตัวเองไม่ใช่ภาพลวงตา แต่เป็นสภาพแวดล้อมจริงที่อยู่รอบตัว
“ถูกแล้ว นั่นคือหมอเวย์แมน เธอรู้ได้ยังไง?”
โก่วซินเจียมองไปที่เยี่ยเทียนด้วยความแปลกใจ อย่าเพิ่งพูดถึงว่าเยี่ยเทียนยังไม่ได้ลืมตา ต่อให้ลืมตา เขาก็ไม่สามารถมองเห็นภาพที่อยู่ข้างหลังของกระจกด้านเดียวได้
“ผม…โอ๊ย!”
ตอนที่เยี่ยเทียนอยากจะตอบ กระดูกสันหลังจากข้างหลังพลันส่งความเจ็บปวดอย่างรุนแรง ความรู้สึกแบบนั้นเหมือนกับจะทำให้เขาฉีกขาดจากกลางลำตัวก็ไม่ปาน เยี่ยเทียนเจ็บจนอดส่งเสียงร้องฮึดฮัดด้วยความเย็นชาออกมาอย่างช่วยไม่ได้
“ศิษย์น้องเล็ก เธออยากให้ฉีดยาชาทั้งตัวไหม?”
เมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดทรมานของเยี่ยเทียน โก่วซินเจียจึงอดสงสารไม่ได้ เขาเพิ่งจะตรวจดูร่างกายของเยี่ยเทียน ปราณชีวิตแท้ที่หายไปนั้น กลับไม่ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง
ทำให้โก่วซินเจียรู้สึกเสียใจที่ปลุกเยี่ยเทียนให้ตื่นขึ้นมาจากสภาพการหายใจแบบเต่า ควรทราบว่า อาการบาดเจ็บที่กระดูกสันหลังตรงช่วงหลังของเยี่ยเทียนนั้น เชื่อมโยงกับประสาทศูนย์กลาง หากเกิดอาการกำเริบ ความรู้สึกเจ็บปวดเข้าไขกระดูกนั้นยากที่คนทั่วไปจะทนรับได้
“ไม่…ไม่ต้อง!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าเล็กน้อย เขาเกือบจะกัดริมฝีปากล่างของตัวเองจนขาด พยายามอดทนกับความเจ็บที่แสนทรมานที่ส่งมาจากภายในร่างกาย แล้วเอ่ยพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ เอาผ้าเช็ดหน้ามายัดปากผม บัดซบเอ้ย น่าสมเพศจริงๆ!”
“เสี่ยวเทียนฟื้นแล้ว เขาฟื้นแล้ว!”
“แม่ เยี่ยเทียนเขาฟื้นแล้ว!”
“อาจารย์ฟื้นแล้ว ฮ่าๆ ลุงเยี่ย อาจารย์เขาฟื้นแล้ว!”
ตอนที่เสียงแหบแห้งดังออกมาจากไมค์ที่อยู่ภายในห้องนั้น ข้างนอกพลันเกิดความคึกคักขึ้นมาทันที
อวี๋ชิงหย่ากับซ่งเวยหลันกอดกันด้วยน้ำตาอาบหน้า ส่วนโจวเซี่ยวเทียนก็กอดรัดเยี่ยตงผิงด้วยความตื่นเต้น ผู้ชายทั้งสองคนต่างก็มีน้ำตาไหลออกมาพร้อมกันด้วยความปีติ
รอดแล้ว!
สำหรับเหล่าญาติและคนสนิทของเยี่ยเทียน เขาไม่ขออะไรมาก ขอแค่เยี่ยเทียนสามารถฟื้นขึ้นมาได้ พวกเขาก็พอใจแล้ว ส่วนเยี่ยเทียนจะพิการหรือเป็นอย่างไร ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างคนในครอบครัวได้
“พระเจ้า หรือว่าท่านติดใจอเมริกาแล้วใช่ไหม?”
หมอเวย์แมนเห็นภาพนี้อยู่นอกห้องคนไข้ จึงอดทำมือเป็นสัญลักษณ์ไม้กางเขนอยู่ที่หน้าอกไม่ได้ วันนี้เขาได้เห็นความมหัศจรรย์กับตาตัวเองแล้ว
ก่อนที่เยี่ยเทียนจะฟื้นขึ้นมา อัตราการเต้นของหัวใจเขาได้ลดลงอยู่ที่แปดครั้งต่อนาที ซึ่งทำให้จำนวนการเต้นของหัวใจสามารถหยุดเต้นได้ตลอดเวลา
แต่ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสองสามนาที ไม่เพียงเยี่ยเทียนฟื้นขึ้นมา และหากดูจากอุปกรณ์การตรวจของเครื่องนั้น หัวใจเต้นของเยี่ยเทียนได้กลับสู่สภาพปกติแล้ว อัตราการเต้นอยู่ที่เจ็ดแปดสิบต่อนาที ไม่ต่างจากคนปกติทั่วไปเลยสักนิด
“หรือว่าเขาเป็นยอดมนุษย์จริงๆ?” หมอเวย์แมนพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมา แล้วหัวใจก็อดเกิดความคิดนี้ขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
วันที่สองที่เยี่ยเทียนถูกส่งเข้าห้องคนไข้ ก็มีสมาชิกขององค์กรวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ลึกลับกลุ่มหนึ่งของอเมริกามาหาเขา องค์กรนี้คือองค์กรในพื้นที่ Area 51 ของอเมริกาที่เต็มไปด้วยความลึกลับมหัศจรรย์
พื้นที่ Area 51 ตั้งอยู่ในทะเลทรายเนวาดาห่างจากลาสเวกัสไปหนึ่งร้อยสามสิบกิโลเมตร ตามตำนานที่เล่าขานกล่าวว่าได้เก็บศพของมนุษย์ต่างดาวเอาไว้อยู่ภายในกรีนเฮาส์
คนภายนอกต่างก็คาดเดาว่าบางทีภายใน “กรีนเฮาส์” อาจจะไม่ได้มีแค่ศพของมนุษย์ต่างดาว แต่อาจจะมีเศษยูเอฟโอที่มนุษย์ต่างดาวเคยนั่งมาก่อน ซึ่งคนแปลกหน้าไม่สามารถเข้ามาเยือนฐานทัพนี้ได้ แม้ว่าจะเป็นทหาร ก็ยังถูกห้ามไม่ให้เปิดเผยความลับของการใช้ชีวิตใดๆ ในพื้นที่ Area 51 เด็ดขาด
พื้นที่ Area 51 จึงมีความน่าสนใจจากทั่วโลกมาเป็นเวลาสามสิบกว่าปีแล้ว แต่ถึงตอนนี้พื้นที่ Area 51 ก็ยังเป็นปริศนาต่อคนภายนอกอยู่ดี แม้ว่าจะสามารถวิเคราะห์ฐานข้อมูลบางส่วนจากภาพถ่ายจานดาวเทียมได้ แต่ก็ยากที่จะอธิบายข้อเท็จจริงออกมา
เกี่ยวกับลักษณะของการทำงาน หมอหมอเวย์แมนกับสมาชิกขององค์กรนี้ก็มีการไปมาหาสู่กัน และด้วยสมองอันชาญฉลาดของเขาจนเกือบจะถูกดึงเข้าไปอยู่ในองค์กรนี้แล้ว
หมอเวย์แมนรู้ว่า พื้นที่ Area 51 กำลังทำการวิจัยที่เกินกว่าการจินตนาการของคนทั่วไปจะคิดได้จริงๆ และหนึ่งในนั้นก็รวมถึงปรากฏการณ์พลังพิเศษของพวกมนุษย์ แน่นอนว่า ในนั้นจะมีศพของมนุษย์ต่างดาวจริงหรือไม่ หมอเวย์แมนก็ไม่รู้เช่นกัน
หลังจากที่เจ้าหน้าที่ลึกลับของพื้นที่ Area 51 มาหาหมอเวย์แมนแล้ว จึงเสนอความต้องการอย่างหนึ่งกับเขา
อีกฝ่ายสั่งให้หมอเวย์แมนเอาเซลล์กล้ามเนื้อของเยี่ยเทียนส่วนหนึ่งออกมาเพื่อให้พวกเขาทำการวิจัย ถึงอย่างไรความสามารถที่แสดงออกมาตอนที่เยี่ยเทียนตกตึกนั้น ได้ไกลเกินกว่าที่คนปกติทั่วไปจะสามารถทำได้
หมอเวย์แมนได้ตอบรับคำขอนี้ ตอนที่ได้ทำความสะอาดแผลให้เยี่ยเทียน เขาได้นำกลุ่มเซลล์ส่วนหนึ่งของเยี่ยเทียนมอบให้คนนั้นไปแล้ว เพียงแต่ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์กว่า คนนั้นก็ไม่กลับมาที่นี่อีกเลย
มีเพียงหมอเวย์แมนที่รู้เรื่องนี้ทั้งหมด ดังนั้นหลังจากที่เขาได้เห็นความมหัศจรรย์ที่อยู่ตรงหน้าด้วยตาตัวเอง กระทั่งเขาเกิดบุ่มบ่ามอยากจะโทรศัพท์หาคนนั้น เพื่อถามว่าเยี่ยเทียนมีพลังพิเศษเหนือมนุษย์จริงไหม?
แต่ต่อให้หมอเวย์แมนโทรศัพท์ไปหา เขาก็ต้องได้รับคำตอบที่เป็นข้อปฏิเสธ เพราะว่าหลังจากที่นักวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ Area 51 ได้ทำชุดวิเคราะห์ออกมาแล้ว กลุ่มเซลล์ของเยี่ยเทียนไม่ได้มีพลังพิเศษแต่อย่างใด
จากนั้น การรายงานการแสดงบนเวทีมวยใต้ดินของเยี่ยเทียนก็ได้วางอยู่ตรงหน้าของนักวิทยาศาสตร์ สุดท้ายพวกเขาได้ข้อสรุปว่า “เยี่ยเทียนผ่านการฝึกฝนมา ระดับความแข็งแกร่งของร่างกายจึงมากกว่าคนธรรมดาทั่วไป”
บวกกับเยี่ยเทียนร้อนใจอยากจะช่วยแม่ให้พ้นอันตราย ความสามารถพิเศษที่ซ่อนอยู่ภายในร่างกายจึงระเบิดออกมา ดังนั้นจึงได้แสดงออกมาอย่างโดดเด่นเช่นนี้ การแสดงออกแบบนี้ สามารถอธิบายให้อยู่ในขอบเขตความสามารถของคนธรรมดาได้
แต่นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้ยังไม่รู้ว่า พวกเขาได้วิจัยกลุ่มเซลล์ของเยี่ยเทียน ที่เกิดขึ้นหลังจากการหายไปของปราณชีวิตแท้ภายในร่างกายของเยี่ยเทียนแล้ว
ไม่อย่างนั้น พวกเขาคงจะพบว่า ความรวดเร็วในการแบ่งเซลล์ของเยี่ยเทียน มีความช้ามากกว่าคนธรรมดาสิบเท่ากระทั่งเป็นร้อยเท่า ซึ่งก็แสดงว่า พลังชีวิตของเยี่ยเทียนไกลเกินกว่าคนอย่างพวกเขาเป็นอย่างมาก
แต่หลังจากที่ได้ข้อสรุปนี้แล้ว แฟ้มเอกสารของเยี่ยเทียนก็ยังถูกเก็บเอาไว้ และเหล่านักวิทยาศาสตร์ของพื้นที่ Area 51 ก็ได้สูญเสียโอกาสอันล้ำค่าของการวิจัยพลังพิเศษอีกครั้ง
“เสี่ยวเทียนเขาเป็นอะไร?”
“ทำไมสีหน้าถึงดูเจ็บปวดขนาดนั้น เยี่ยเทียน แม่อยู่ข้างนอกนะ”
“เพราะว่าเรียกให้ฟื้นขึ้นมาเร็วเกินไป อาการบาดเจ็บนั่นไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปจะทนรับได้”
ยังไม่พูดถึงหมอหมอเวย์แมนที่มีความคิดฟุ้งซ่านอยู่ตรงนั้น เวลานี้คนที่อยู่นอกห้องคนไข้ ต่างก็ตกตะลึงงันกับความเจ็บปวดของสีหน้าเยี่ยเทียน โดยเฉพาะซ่งเวยหลัน เธอแทบอยากจะรับความเจ็บปวดนั้นมาอยู่กับตัวเอง
“ให้ตายสิ น่าจะเหลือปราณชีวิตแท้ไว้ให้ฉันสักนิดหนึ่งก็ยังดี!”
เยี่ยเทียนกัดผ้าเช็ดหน้าเอาไว้ในปากอย่างแน่น พยายามอดทนต่อความเจ็บปวดจากการโจมตีของคลื่นสมอง เขารู้ว่า ถ้าหากไม่สามารถฝืนทนให้ผ่านช่วงแรกไปได้ เกรงว่าตัวเองจะต้องฉีดยาชาเพื่อใช้ชีวิตต่อไปในภายหลัง
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น