ลำนำบุปผาพิษ 657-664
บทที่ 657 ช้าชอบอันนี้!
อวิ๋นชิงหลัวที่อยู่ข้างกายเขาสวมชุดกระโปรงสีชมพูอ่อน ทั้งร่างดูราวกับฟองน้ำนุ่มนิ่ม น่ารักเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ
รูปโฉมของทั้งสองคนดูสูงส่งหลุดพ้นจากโลกีย์โดยธรรมชาติ ดังนั้นต่อให้อยู่ในร้านเครื่องหยกที่มีคนอยู่มากมาย กู้ซีจิ่วก็ยังมองเห็นพวกเขาได้ในแวบเดียว
ในมือหลานไว่หูกำลังถือพู่หยกนัยน์ตาจิ้งจอกชิ้นหนึ่งไว้ ยื่นให้เยี่ยนเฉินดู “พี่เยี่ยนเฉิน พู่หยกนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
เยี่ยนเฉินเหลือบมองแวบหนึ่ง ตอบไปส่งๆ ประโยคหนึ่ง “ก็ไม่เลว”
หลานไว่หูหรี่ตายิ้ม “งั้นข้าเอาอันนี้แหละ เถ้าแก่ ห่อให้ด้วย”
เยี่ยนเฉินกำลังจะควักเงิน ทว่าหลานไว่หูกดมือเขาไว้ เอ่ยยิ้มๆ “นี่เป็นของที่ข้าซื้อ ท่านไม่ต้องออกเงินหรอก”
สีหน้าเยี่ยนเฉินวูบไหว แต่ก็ยินยอม
เถ้าแก่ห่อพู่หยกชิ้นนั้นแล้วส่งให้หลานไว่หู ไม่ลืมที่จะกล่าวเอาใจนางอีกสองประโยค “แม่นางน้อยตาแหลมจริงๆ มอบพู่หยกนี้ให้คุณชายข้างกายท่านแขวนจะต้องดูดีมากแน่นอน”
หลานไว่หูรับพู่หยกนั้นมาใส่เข้าไปในถุงเก็บของ ดวงตาแวววาวคู่นั้นเบิกกว้าง “ข้าไม่ได้จะมอบให้เขาสักหน่อย”
เถ้าแก่ผงะ
เยี่ยนเฉินไร้วาจา เขานิ่งไปครู่หนึ่ง ถึงจะหาเสียงของตนกลับมาได้ “เช่นนั้นเจ้าคิดจะมอบมันให้ผู้ใด?”
“เชียนหลิงอวี่” หลานไว่หูตอบโดยไม่หยุดคิด
เยี่ยนเฉินเงียบงัน
กู้ซีจิ่วที่อยู่ในที่ลับตาและมองเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างนี้ก็ตกใจจนแทบอ้าปากค้าง!
ไม่น่าใช่กระมัง? จิ้งจอกน้อยชอบเชียนหลิงอวี่หรือ? เธออยู่กับเด็กสองคนนี้ทุกวันทำไมถึงมองไม่ออกล่ะ?
สีหน้าเยี่ยนเฉินไม่สู้ดีแล้ว “ทำไม…ต้องมอบให้เขา?” หากมิใช่เขาบำเพ็ญเพียรมาอย่างหนัก เกรงว่ายามนี้คงหน้าเปลี่ยนสีไปแล้ว
หลานไว่หูประสาททึบมาก นางดูไม่ออกว่าเยี่ยนเฉินผิดปกติ เพียงเอ่ยตอบเขาไปตามสัญชาตญาณ “เขาเป็นสหายของข้านี่นา ตอนนี้เขาคงจะอยู่บนเขา อุดอู้มาก ไม่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ ข้าซื้อไปให้เขาสักอันน่าจะทำให้เขาดีใจ”
เยี่ยนเฉินไม่พูดอะไรอีก
ระหว่างที่พูดคุยนางก็ต้องตาปิ่นหยกด้ามหนึ่งที่อยู่ในตู้กระจก จึงหันไปถามเยี่ยนเฉิน “พี่เยี่ยนเฉิน ปิ่นนี้ดูเป็นอย่างไร?”
สีหน้าเยี่ยนเฉินแข็งทื่อมองดูแวบหนึ่ง “ก็ไม่เลว ครั้งนี้จะมอบให้ผู้ใดอีกเล่า? คงมิใช่ว่าจะมอบให้เชียนหลิงอวี่อีกกระมัง?!”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ อันนี้ข้าจะให้ซีจิ่ว สหายทั้งสองต้องได้ของขวัญกันถ้วนหน้า ไม่อาจละเลยคนใดคนหนึ่งได้ เถ้าแก่ ข้าเอาอันนี้ด้วย ห่อมาเลยๆ”
ด้วยเหตุนี้เถ้าแก่จึงมองเยี่ยนเฉินด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจยิ่งนักแวบหนึ่ง แล้วนำปิ่นนั้นไปห่อให้
เป็นเถ้าแก่ร้านเครื่องหยกย่อมคิดจะขายของให้ได้มากๆ แน่นอน เขาคิดจะเตือนสาวน้อยนางนี้เสียหน่อย ด้วยเหตุนี้เขาจึงลองถามหยั่งเชิงดู “แม่นาง ท่านไม่ซื้อให้คุณชายข้างกายท่านด้วยสักชิ้นหรือ? เขาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ สวมอะไรก็ดูดีทั้งนั้น มาๆ ดูสิพู่ห้อยเอวชิ้นนี้เป็นอย่างไรบ้าง? คุณภาพดี ความใสเพียงพอ เหมาะสมกับคุณชายท่านนี้ยิ่งนัก”
หลานไว่หูมองเยี่ยนเฉินแวบหนึ่ง เยี่ยนเฉินมองนางนิ่งๆ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
ดังนั้นหลานไว่หูจึงส่ายศีรษะ “เขาก็อยู่ที่นี่ เขาต้องตาสิ่งใดก็ซื้อหาเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้ข้าซื้อให้เขาเลย อีกอย่างเขาก็มีเงินมากกว่าข้า เงินทองข้าร่อยหรอแล้ว” นางเขย่าถุงเงินในมือ ฟังจากเสียงแล้ว เงินที่อยู่ข้างในเหลือไม่เท่าไหร่แล้วจริงๆ
“ข้าชอบอันนี้!” จู่ๆ เยี่ยนเฉินก็เอ่ยขึ้น
หลานไว่หูกะพริบตาปริบๆ “หือ? ท่านชอบเหรอ ท่านชอบก็ซื้อสิ”
“ข้าอยากให้เจ้าซื้อให้ข้า!”
หลานไว่หูตกตะลึง มองเขา จากนั้นก็มองถุงเงินตน “แต่ข้าไม่มีเงินแล้วนะ ข้าจำได้ว่าท่านมีเงินมากมาย…”
“ข้าจะให้เจ้ายืม!” เยี่ยนเฉินตัดบทนางอีกครั้ง
————————————————————————————-
บทที่ 658 ต่อไปพวกเราจะไปไหนกัน
ดวงตาของหลานไว่หูเบิกกว้าง มองเยี่ยนเฉินดั่งมองโจร “อาศัยสิ่งใดกัน? ยืมเงินท่านมาซื้อของให้ท่าน ท่านจะปล้นกันหรือ?”
เส้นเลือดที่ขมับเยี่ยนเฉินเต้นตุบๆ ไม่สนใจนางอีก หันไปถามเถ้าแก่ “พู่ห้อยเอวชิ้นนี้ราคาเท่าไหร่?”
เถ้าแก่ผู้นั้นแจ้งราคา พู่ห้อยเอวชิ้นนี้ไม่เลวจริงๆ ราคาเท่ากับยอดรวมของสองชิ้นนั้นที่หลานไว่หูเพิ่งซื้อไปเมื่อครู่
เยี่ยนเฉินไม่พูดไม่จาควักเงินออกมา ยัดใส่มือของหลานไว่หู “เอ้า ซื้อให้ข้า”
หลานไว่หูมองเขาอย่างโง่งม “ข้าบอกแล้วไงว่าจะไม่ยืมท่าน…”
เยี่ยนเฉินนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วยื่นมือไปหาเถ้าแก่ “คืนเงินที่นางจ่ายให้เจ้าเมื่อกี้มา ข้าจะเงินของข้าจ่ายแทน!” จากนั้นก็โยนเงินจำนวนเท่ากันลงบนตู้กระจก
เถ้าแก่รายนั้นก็เป็นคนเฉียบแหลมผู้หนึ่ง ดูเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง รีบพยักหน้าทันที “ได้ๆ!” เก็บเงินของเยี่ยนเฉินไป แล้วนำเงินของหลานไว่หูมาส่งให้ถึงมือนาง
เงินของเยี่ยนเฉินเป็นก้อนเงินทั้งก้อน ส่วนเงินของหลานไว่หูคือเศษเงิน
หลานไว่หูยังไม่ค่อยเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น กุมเงินของตนอย่างงุนงงแล้วมองเยี่ยนเฉิน “ท่านหมายความว่าอย่างไร?”
เยี่ยนเฉินสีหน้าไร้อารมณ์ ตอบนางเรียบๆ “ของขวัญที่เจ้าซื้อให้พวกเขาก็ใช้เงินข้าซะ ไม่จำเป็นต้องให้เจ้าจ่าย เจ้าใช้เงินของเจ้าซื้อพู่ห้อยเอวนี้ให้ข้าเสีย”
หลานไว่หูถูกเขาทำให้มึนงง “แล้วมัน…ต่างกันตรงไหน?” สุดท้ายก็ต้องมอบเงินให้เจ้าของร้านอยู่ดีมิใช่หรือ?
เยี่ยนเฉินมองนางเงียบๆ ไม่พูดไม่จา กลิ่นอายบนร่างเยียบเย็น หลานไว่หูค่อนข้างยำเกรงเขามาโดยตลอด ได้แต่ยอมจำนน “ก็ได้ๆ ตามใจท่าน”
เมื่อซื้อของแล้ว หลานไว่หูก็ยื่นพู่ห้อยเอวชิ้นนั้นให้เยี่ยนเฉิน “แบบนี้ก็เรียบร้อยแล้วใช่ไหม?”
เยี่ยนเฉินมองนางอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็เบือนหน้าไป “เจ้าเก็บไว้ก่อน ค่อยให้ข้าทีหลัง”
หลานไว่หูไม่เข้าใจสิ่งที่เขาทำ เพียงแต่สีหน้าของเขาไม่สู้ดีนัก นางจึงไม่กล้าพูดเป็นอื่นอีก เก็บพู่ห้อยเอวชิ้นนั้นไว้อย่างดี ด้วยเกรงว่าตนจะทำผิดพลาดอีก จึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยกับเยี่ยนเฉิน “ต้องมอบให้ตอนไหนท่านบอกข้าด้วยนะ ข้าโง่ ไม่รู้ว่าต้องให้ยามไหนดี”
“เจ้า…” เยี่ยนเฉินจ้องนางครู่หนึ่ง หลานไว่หูถูกเขาจ้องจนหนังศีรษะชา รับรู้ได้ทันทีว่าเขาจะอบรมนางอีกแล้ว พลันหดกายตามสัญชาตญาณ แล้วถอยหลังไป
ทันใดนั้นเยี่ยนเฉินก็หันหลังแล้วเดินออกไปนอกร้าน
หลานไว่หูไม่ทราบว่าไปก่อกวนอะไรเขาเข้า รีบตามออกไปทันที…
“พี่เยี่ยนเฉิน ท่านเป็นอะไรไป?”
“เหอะ”
“พี่เยี่ยนเฉิน ต่อไปพวกเราจะไปไหนกัน?”
“กลับเขา!”
“ไม่เอานะ ไหนท่านบอกว่าจะพาข้าไปดูการลอยประทีปที่แม่น้ำไง”
“ไม่ไปแล้ว!”
“หา?” หลานไว่หูยืนนิ่ง น้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ไม่ง่ายเลยกว่านางจะได้ออกมาสักเที่ยว ยังเดินเที่ยวไม่หนำใจเลย…
เยี่ยนเฉินเดินจากไปได้สักระยะถึงพบว่านางไม่ได้ตามมา เมื่อเหลียวมอง ก็พบว่านางกำลังยืนร้องไห้อยู่ตรงนั้น…
นางงดงามดั่งตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ ท่าทางตอนร้องไห้ดึงดูดความสงสารจากผู้คนได้เป็นพิเศษ คนที่อยู่รอบข้างมองเข้ามาแล้ว บุรุษบางคนที่ชมชอบรักหยกถนอมบุปผาก็เริ่มขยับเข้ามาใกล้นางแล้ว
เยี่ยนเฉินขมวดคิ้ว ทำได้เพียงเดินกลับไป “ร้องไห้ทำไม?”
“ข้าอยากไปดูล่องประทีป!”
“ก็ได้ จะพาเจ้าไป” เยี่ยนเฉินจนปัญญา
“แต่ท่านโกรธอยู่…” นางฟ้องร้องต่อ
“ไม่โกรธแล้ว เจ้าอย่าร้องไห้เลย” เยี่ยนเฉินเริ่มยอมแพ้แล้ว
“เมื่อกี้ท่านยังอารมณ์เสียใส่ผู้อื่นอยู่เลย!” นางเถียง
เยี่ยนเฉินถอนหายใจ “ขอโทษ ต่อไปไม่ทำแล้ว”
หลานไว่หูถึงได้ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา ถือโอกาสต่อรองไปด้วย “ข้าอยากไปเดินเล่นด้านตะวันตกของเมืองด้วย ได้ยินว่าที่นั่นมีบ้านผีสิ่งอยู่…”
“ไปบ้านผีสิงในวันเทศกาลเช่นนี้น่ะหรือ?” สีหน้าเยี่ยนเฉินอึมครึม
“ก็ข้าอยากไปนี่นา!” น้ำตาหลานไว่หูเริ่มคลอหน่วยอีกครั้ง
ตอนที่ 659-660
บทที่ 659 หรือควรหาบุรุษมาแต่งด้วยสักคน?
“ก็ได้ๆ กลัวเจ้าแล้ว! พวกเราไปกัน” เยี่ยนเฉินดึงนางออกเดิน
เงาร่างคนทั้งสองปะปนไปในฝูงชน กู้ซีจิ่วยืนอยู่ในมุมอับมองพวกเขาจากไปไกล ใจลอยไปครู่หนึ่ง
เผลอไม่ทันไรเธอก็ถูกป้อนอาหารสุนัขให้อีกแล้ว ทว่าหัวใจกลับอบอุ่นแทนหลานไว่หู
เยี่ยนเฉินชอบหลานไว่หู เรื่องนี้ผู้ใดมีตาล้วนมองออกกันทั้งนั้น มีเพียงจิ้งจอกน้อยตัวนั้นที่ยังโง่งมนึกว่าผู้อื่นดีกับนางเพียงเพราะเป็นคนบ้านเดียวกัน
คนผู้นี้เป็นภูเขาน้ำแข็งบ้าเรียน ทว่าเขากลับเอ็นดูหลานไว่หูนัก และรับนางได้
ถึงแม้เขาจะไม่พูดจาหวานแหววอะไร แต่การกระทำทุกอย่างที่เขาปฏิบัติต่อหลานไว่หูล้วนทำให้ผู้คนที่พบเห็นอบอุ่นหัวใจ
บางทีคู่รักหนุ่มสาวก็คงจะเป็นเช่นนี้ หลากหลายอารมณ์ผสมออกมาเป็นความพิเศษ
ตอนที่กู้ซีจิ่วเป็นนักฆ่า ถึงแม้ยามปฏิบัติภารกิจจะต้องเล่นละครมากมาย แต่ตอนนั้นก็คบหากับหลงซีจริงๆ
บางทีอาจกล่าวว่าเธอไม่ได้คบหากับหลงซีอย่างจริงจังก็ได้ อย่างไรเสียตั้งแต่ต้นจนจบสองฝ่ายต่างไม่เคยพูดออกมา
ยามที่เธออยู่กับหลงซีเธอก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อนตลอด บางครั้งสองคนมีปากเสียงกันก็เป็นเธอที่ยอมประนีประนอมก่อน ในความทรงจำของเธอหลงซีไม่เคยหว่านล้อมเธอเหมือนที่เยี่ยนเฉินหว่านล้อมหลานไว่หูเลย เป็นเธอที่หว่านล้อมเขาเสมอ…
หรือจะเป็นเพราะเธอเข้มแข็งและยืนหยัดได้ด้วยตัวเองเกินไป ทำให้ผู้อื่นไม่ปรารถนาจะหว่านล้อมเธอ?
อีกอย่างเธอก็ไม่เคยแสดงอารมณ์แบบเด็กสาวๆ ต่อหน้าเขาเลย ส่วนใหญ่จะเหมือนหญิงแกร่งคนหนึ่ง
หรือว่าร่างกายเธอจะขาดแคลนเซลล์ชนิดนี้ตั้งแต่เกิด?
กู้ซีจิ่วครุ่นคิด ไม่ว่าทาบว่าเพราะเหตุใด ประโยคนั้นที่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เคยกล่าวกับเธอพลันผุดขึ้นมาในสมองเธอ ‘เจ้าลองไปออดอ้อนเขาดูสิ ไม่แน่เขาอาจจะมอบกาสุราใบนั้นให้เจ้าทันทีก็ได้…’
วาจานั้นของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เหมือนจะหยอกเล่น แต่จะรู้ได้อย่างไรว่ามิใช่ความจริง?
ใช้อ่อนสยบแข็ง ใช้ความอ่อนโยนที่พอเหมาะเปลี่ยนเหล็กกล้าให้อ่อนนุ่ม เหตุผลข้อนี้กู้ซีจิ่วรู้มานานแล้ว
บางครั้งน้ำตาของสตรีก็เป็นอาวุธที่ทรงกำลังที่สุด สามารถทำให้ชายชาตรีสูงเจ็ดฉื่อยินยอมตกเป็นรองต่อหน้าสตรี เพียงแต่เธอทำไม่ลงเท่านั้น
ครั้งหน้าถ้าได้พบทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะลองดูดีไหมนะ?
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาก็ทำให้เธอตกใจตัวเอง!
คนผู้นั้นไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับเอแล้ว คราวก่อนที่เธอพูดแบบนั้นต่อหน้าอวิ๋นชิงหลัวก็เพียงเพราะต่อปากต่อคำ ตั้งใจยั่วโมโหสตรีผู้นั้นก็เท่านั้น
ตอนนี้เธอจ่ายค่าตอบแทนของอารมณ์ชั่ววูบในยามนั้นไปแล้ว นึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง
ตอนนี้ทุกคนมองเอด้วยสายตาที่ใช้มองสตรีช้ำรัก ทำให้เธอหดหู่เหลือเกิน
มารดามันเถอะ หรือตนควรหาบุรุษมาแต่งด้วยสักคน?
จากนั้นก็ใช้ชีวิตปกติอย่างเป็นสุข ไม่แน่อาจจะมีความสุขมากก็ได้
แน่นอนว่าความคิดนี้แล่นเข้ามาในสมองกู้ซีจิ่วเพียงแวบเดียวเท่านั้น จากนั้นก็ถูกเธอปัดทิ้งไปทันที
ตนท่องทั่วหล้าเพียงลำพังก็สบายใจดีที่สุดแล้ว ไยต้องคิดออกเรือนกับผู้อื่นด้วยเล่า?
ที่ความคิดเธอไร้สาระแบบนี้ เป็นเพราะวันนี้คือเทศกาลความรักหรือเปล่านะ?
หรือว่าประจำเดือนตนกำลังจะมา?
ไม่ถูกสิ ร่างกายเล็กๆ นี้เติบโตช้า จวบจนยามนี้ก็ยังไม่มีประจำเดือนเลย…
ไม่มีประจำเดือนก็แสดงว่ายังเป็นสาวน้อยโลลิคนหนึ่งอยู่
เฮ้อ อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันเข้าพิธีปักปิ่นของร่างเล็กๆ ร่างนี้แล้ว นับว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว…
ในยุคนี้ เด็กสาวที่ผ่านพิธีปักปิ่นแสดงว่าออกเรือนได้แล้ว
ในยุคปัจจุบันต่อให้อายุสามสิบแล้วยังไม่ได้แต่งงานก็ไม่นับว่าเป็นยัยป้าทึนทึก แต่ในยุคนี้ โดยทั่วไปแล้วแม่นางที่อายุถึงสิบแปดสิบเก้าแล้วยังไม่ได้แต่งงานก็ว่าสตรีทึนทึกแล้ว แน่นอนว่ายกเว้นอัจฉริยะที่ฝึกฝนวรยุทธ์…
เธอยกมือสัมผัสใบหน้าอ่อนเยาว์ของตน สุดท้ายก็ยังเป็นสาวน้อยโลลิคนหนึ่งอยู่ดี
ตอนที่เธออายุเต็มสิบห้าปีจริงๆ จะมีเหตุการณ์ใดปรากฏขึ้นมาหรือเปล่านะ? กู้ซีจิ่วขบคิดอย่างจริงจัง
————————————————————————————-
บทที่ 660 เจ้าหอยยักษ์ไม่ได้จำคนผิดจริงๆ ด้วย…
สมัยที่เธอที่อยู่ในค่ายฝึกนักฆ่า ล้วนถูกฝึกฝนทุกวันจนไม่มีแม้แต่เวลาจะพักหายใจ ไหนเลยจะมีเวลาไปพิจารณาเรื่องหยุมหยิมพวกนั้น
เอ่อ ไม่สิ ตอนนั้นเธอก็ยังชอบดาราชายคนนั้นมาก เนื่องจากดาราชายคนนั้นรับบทจอมยุทธ์ผู้กล้าอยู่บ่อยๆ บางครั้งเธอหลับฝันก็ยังฝันว่าตัวเองกลายเป็นจอมยุทธ์หญิงที่จูงมือท่องใต้หล้ากับอีกฝ่าย…
ตนในวัยสิบห้าปีก็ดูเหมือนจะเป็นเด็กไร้เดียงสาคนหนึ่ง ตอนนั้นถึงแม้หลงซีจะเป็นครูฝึกของเธอแล้ว แต่ยามนั้นเธอไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย ทั้งหัวใจยังคงเป็นดาราชายผู้รับบทจอมยุทธ์คนนั้น ปรารถนาจะทะลุเข้าไปในภาพยนต์แล้วแต่งให้แก่เขา…
เฮ้อ เธอก็เคยไร้เดียงสาถึงเพียงนั้นเช่นกัน
ไม่เหมือนเธอในตอนนี้ ร่างกายเป็นสาวน้อยโลลิชัดๆ แต่จิตใจกลับเหมือนยัยป้าอายุสามสิบปี…
“เจ้านาย เจ้านาย? ทำไมท่านไม่เดินต่อล่ะ? พวกเรายังจะไปหาอะไรกินกันอยู่ไหม? ข้าหิวแล้ว!” เจ้าหอยยักษ์โผล่หัวออกมาจากแขนเสื้อเธอ
กู้ซีจิ่วได้สติขึ้นมาในทันใด ดูเหมือนวันนี้ตนจะมีเรื่องให้คิดมากมายเสียจริง!
ช่างสมกับเป็นเทศกาลความรักโดยแท้ ถูกคู่รักหนุ่มสาวรอบกระตุ้นจนเธอก็เริ่มอ่อนไหวแล้ว…
เธออดจะยิ้มออกมาแวบหนึ่งไม่ได้ สลัดความคิดพิลึกทั้งหมดในสมองทิ้งไ “ได้ พวกเราไปกินข้าวกัน!”
วันนี้ก็นับว่าเป็นวันเกิดของเธอ เธอต้องสั่งสุราอาหารโต๊ะใหญ่มากินให้อิ่มหนำสักมื้อ เฮ้อ ถ้าหากมีเค้กวันเกิดสักก้อนด้วยก็คงดี…
น่าเสียดายนัก ในยุคนี้ไม่มี
เธอสาวเท้าก้าวไปด้านหน้า ฝ่าฝูงชนที่เดินกันขวักไขว่ ยามที่เหลือบมองไปยังสถานที่หนึ่งโดยบังเอิญ ฝีเท้าพลันหยุดชะงัก หัวใจในทรวงอกเต้นโครมคราม
เธอมองเหฌนคนผู้หนึ่งที่ไม่สมควรจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้ ไม่ใช่สิ เป็นคนที่เธอรู้สึกว่าไม่น่าจะมาปรากฏตัวที่นี่ได้
ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอี!
เขากำลังยืนอยู่หน้าประตูใหญ่บานหนึ่งเงยหน้ามองโคมแปดเหลี่ยมดวงหนึ่งที่ห้อยอยู่บนอาคาร
วันนี้ถึงแม้จะยังคงสวมชุดสีม่วงเช่นเคย แต่ก็ไม่ใช่ชุดนั้นที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา เสื้อคลุมตัวหลวม ชายชุดถูกลมพัดไหวนิดๆ งามสง่าดั่งเทพเซียน เขาหันหลังให้เธอ แต่มองจากรูปร่างและบุคลิกแล้วกลับชัดเจนว่าเป็นเขาอย่างไร้ข้อกังขา
แถมที่อยู่ข้างกายเขาก็ดูเหมือนจะเป็นอวิ๋นชิงหลัวผู้งดงาม มือน้อยๆ ข้างหนึ่งของอวิ๋นชิงหลัวจับแขนเสื้อเขาไว้อย่างระมัดระวัง ศีรษะเอียงชิดไหล่เขานิดๆ กำลังหัวเราะต่อกระซิกกับเขาอยู่…
จู่ๆ อารมณ์ชั่ววูบของกู้ซีจิ่วพุ่งขึ้นมา อยากจะพุ่งไปตรงหน้าคนผู้นั้น ดูว่าสรุปแล้วใช้เขาหรือไม่!
“เอ๊ะ คนผู้นั้นมิใช่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายตี้ฝูอีหรอกหรือ?” เจ้าหอยยักษ์เอ่ยเบาๆ
กู้ซีจิ่วขมวดคิ้ว “เจ้าก็รู้สึกว่าเป็นเขาเหมือนกันหรือ? ไม่ได้จำคนผิดใช่ไหม? ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงแผ่นหลัง…”
เจ้าหอยยักษ์เหยียดหยามเธอ “เจ้านาย ข้าจำคนมิใช่แค่มองหน้า ข้าสัมผัสกลิ่นอายด้วย…”
เธอลืมข้อนี้ไปเลย เจ้าหอยยักษ์ไม่ได้จำคนผิดจริงๆ ด้วย…
หรือจะเป็นเขาจริงๆ? เขาเดินกับอวิ๋นชิงหลัวจริงๆ หรือ?
แต่ว่า เธอรู้สึกแปลกๆ อยู่ตลอด
ว่ากันตามจริง อวิ๋นชิงหลัวถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายรับตัวไปกว่าหนึ่งเดือนเธอก็ยังไม่ค่อยเชื่อว่าทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะรักใคร่ชอบพอกับอวิ๋นชิงหลัวจริงๆ…
อย่างไรเสียกว่าหนึ่งเดือนมานี้เขารับตัวอวิ๋นชิงหลัวไปทำอะไรก็ไม่มีผู้ใดทราบแน่ชัด ไม่แน่อาจเป็นเพียงการหารือเรื่องราวบางอย่าง ถึงอย่างไรนางก็เป็นสานุศิษย์สวรรค์ แถมทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยังใส่ใจสานุศิษย์สวรรค์เป็นพิเศษอยู่แล้ว…
เรื่องราวบางอย่างสิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น ดังนั้นยามที่เธอไม่ได้เห็นทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเดินกับอวิ๋นชิงหลัวกับตาตน จึงไม่เชื่อถือ รอดูสถานการณ์มาโดยตลอด
แต่ตอนนี้ เธอได้เห็นกับตาตัวเองแล้ว…
เธอควรเข้าไปตรวจสอบอีกหน่อยหรือไม่?
ถึงแม้เสียงของเจ้าหอยยักษ์จะไม่ดัง แต่ก็ยังคงรบกวนคนทั้งสองที่ยืนเคียงกันอยู่ด้านหน้า ในที่สุดสองคนนนั้นก็หันหลังกลับมา
หัวใจกู้ซีจิ่วเต้นกระหน่ำอีกครั้ง!
ตอนที่ 661-662
บทที่ 662 อยากทำให้ท่านประหลาดใจ
คนผู้นั้นสวมหน้ากากไว้ แต่มองจากรูปร่าง บุคลิก กลิ่นอาย และดวงตาคู่นั้นเป็นตี้ฝูอีจริงๆ…
ตอนแรกอวิ๋นชิงหลัวมองกู้ซีจิ่วอย่างมิเก็บมาใส่ใจ ถึงอย่างไรกู้ซีจิ่วก็แปลงโฉมอยู่ นางดูไม่ออกว่าเป็นเธอ…
แต่เจ้าหอยยักษ์ที่อยู่ในแขนเสื้อกู้ซีจิ่วโผล่ร่างออกมาครึ่งหนึ่ง ประกอบกับมีเพรียกวายุติดตามอยู่ข้างกายกู้ซีจิ่วด้วย ถ้านางดูไม่ออกอีกนางก็สมองมีปัญหาแล้ว!
สีหน้านางแปรเปลี่ยนเล็กน้อย ร่างกายเขยิบเข้าหาตี้ฝูอีตามสัญชาตญาณ มือน้อยรัดต้นแขนเขาไว้ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเจ้าคะ…”
ตี้ฝูอีผินหน้ามองนาง น้ำเสียงอ่อนโยน “ว่าอย่างไร?”
กู้ซีจิ่วเม้มปากแน่น เสียงก็ไม่ผิดเพี้ยนเลย! เป็นเสียงของตี้ฝูอี!
อวิ๋นชิงหลัวมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยขึ้นว่า “ชิงหลัวอยากไปดูล่องประทีปเจ้าค่ะ…”
“ข้าจะพาเจ้าไป” ตี้ฝูอีจับจูงอวิ๋นชิงหลัวหันหลังไป ตั้งแต่ต้นจนจบเขามิได้เหลือบแลกู้ซีจิ่วสักแวบเลย และไม่รู้ว่าดูออกหรือไม่ หรือจะรู้สึกว่าเขากับเธอไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันแล้วจึงไม่ลดตัวมาเสวนากับเธออีก
กู้ซีจิ่วลอบสูดลมหายใจเข้าลึกๆ จู่ๆ ก็เอ่ยขึ้นมา “ช้าก่อน!”
อวิ๋นชิงหลัวขมวดคิ้ว เหลียวมองเธอแวบหนึ่ง “ท่านพูดกับพวกเราอยู่หรือ?”
กู้ซีจิ่วเร่งฝีเท้าขึ้นไปสองก้าว ยืนนิ่งอยู่ในจุดที่ห่างจากพวกเขาสองเมตร ยิ้มน้อยๆ “อวิ๋นชิงวหลัว เจ้าดูข้าไม่ออกจริงๆ น่ะหรือ?” แล้วทักทายตี้ฝูอีต่อ “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ไม่ได้พบกันเสียนาน”
สายตาตีฝูอี้กาวดมองร่างเธอแวบหนึ่ง แววตามองไม่เห็นอารมณ์ใดๆ
ถึงอย่างไรก็เป็นยามวิกาล ท้องฟ้ามืดมิดยิ่ง ถึงมีจะมีแสงโคมส่องสว่าง แต่ใบหน้าคนก็ยังไม่แจ่มชัดเหมือนตอนกลางวันอยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเขาที่สวมหน้ากากอันหนึ่งไว้ เผยให้เห็นเพียงดวงตาคู่เดียว ยิ่งทำให้คนมองเขาไม่ออก
อวิ๋นชิงหลัวขมวดคิ้ว ในที่สุดก็ไม่เสแสร้งต่อ “กู้ซีจิ่ว? เจ้ามีธุระอะไร?”
กู้ซีจิ่วยิ้มนิดๆ “ไม่มีธุระอะไร ก็แค่พบปะสหายร่วมสำนักจึงมาทักทายก็เท่านั้น”
อวิ๋นชิงหลัวพยักหน้าน้อยๆ “ได้ ทักทายเสร็จ ลาก่อน” พลางดึงตี้ฝูอีออกเดิน เดินไปได้สองก้าวนางก็หันกลับมายิ้มแวบหนึ่ง “กู้ซีจิ่ว เจ้าพูดถูก สิ่งที่ข้าควรจะทุ่มเทให้ก็คือเขา…มิใช่เจ้า…โชคดีที่ข้าเข้าใจก่อนที่จะสายเกินไป”
รอยยิ้มของนางแฝงแววยั่วยุและภาคภูมิไว้รางๆ “เอาล่ะ ในวันเช่นนี้ ข้าไม่ต้องการให้ผู้ใดมารบกวนพวกเรา และหวังว่าเจ้าจะเบิกบานกับการเที่ยวเล่นเพียงลำพัง”
นางก้าวต่อไปสองก้าว ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อีก “กู้ซีจิ่ว ข้ารู้ว่าเจ้าอยากเข้าชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่งมาก ข้าก็ยินดีมากที่จะได้กลานเป็นสหายร่วมชั้นกับเจ้า แต่การประลองในวันพรุ่งนี้ข้าก็จะทุ่มเทอย่างสุดฝีมือเช่นเดิม จะไม่อ่อนข้อให้ ข้าหวังว่าเจ้าจะพึ่งพายความสามารถที่แท้จริงของตนฝ่าเข้ามาได้ มิใช่….”
นางหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวต่อ “มิใช่อาศัยบารมีของท่านเทพศักดิ์สิทธิ์เข้ามา ถึงอย่างไรสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ก็เป็นสถานที่ยุติธรรมที่สุด ผู้ใดที่ใช้เส้นสายบารมีเข้ามาล้วนเป็นพฤติกรรมที่น่าละอาย” เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ นางกับตี้ฝูอีถึงจากไปจริงๆ ค่อยๆ ปะปนไปในฝูงชน
กู้ซีจิ่วยืนอยู่ตรงนั้นพลางถามเจ้าหอยยักษ์ที่อยู่ในแขนเสื้อ “คราวนี้ได้กลิ่นชัดเจนแล้วใช่ไหม? ใช่เขาจริงๆ หรือเปล่า?”
เจ้าหอยยักษ์พยักหน้า “ไม่ผิดแน่! เป็นเขา” เมื่อกี้อยู่ห่างกันเกินไปมันเกรงว่าจะประสาทสัมผัสจะผิดเพี้ยนจึงให้กู้ซีจิ่วเข้าไปอีกหน่อย
ระยะห่างสองเมตร เพียงพอจะให้มันได้กลิ่นอายจากร่างเขาอย่างแท้จริง
กู้ซีจิ่วถอนหายใจ “เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ” ครั้งนี้ถึงแม้เธอจะขายหน้า แต่ก็นับว่าได้พิสูจน์แล้ว เธอจะได้ตัดใจจริงๆ เสียที
“เจ้านาย ไปไหนหรือ?” เจ้าหอยยักษ์ถามอย่างระมัดวังยิ่ง
“ไปกินข้าวไง! เจ้าหิวมิใช่หรือ?”
————————————————————————————-
บทที่ 662 อยากทำให้ท่านประหลาดใจ
“เย้ ไปกินข้าว ไปกินข้าว!” เจ้าหอยยักษ์ไชโยโห่ร้อง “คราวนี้ข้าจะกินให้หนำใจเลย!”
….
หอชุมนุมเวียนเป็นภัตตาคารที่ดีที่สุดของเมืองเล็กๆ แห่งนี้ ไม่เพียงแต่บรรยากาศดีเท่านั้น อาหารก็อร่อยมาก ปกติจะมีลูกค้าเนืองแน่นอยู่เสมอ วันนี้คนยิ่งแน่นขนัดกว่าเดิม
กู้ซีจิ่วอยู่ตรงปากประตูมอองเห็นฝูงชนหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ในใจก็ทราบว่าไม่ดีแล้ว เธอนึกว่าผ่านช่วงเวลาอาหารไปแล้ว ตอนนี้คงมีคนไม่มากนัก นึกไม่ถึงว่าด้านนอกจะยังมีแขกต่อแถวอยู่ แถมแขกที่รออยู่ก็มิใช่น้อยๆ
กู้ซีจิ่วคาดว่าถ้าต่อแถวกว่าจะถึงคิวตนก็คงต้องรอไปอีกหนึ่งชั่วยาม…
เธอเอ่ยถามเจ้าหอยยักษ์ “พวกเราจะเปลี่ยนร้านหรือว่าตอนนี้จะรับป้ายลำดับไว้ก่อน แล้วอีกหนึ่งชั่วยามให้หลังค่อยมา?”
เจ้าหอยยักษ์ยึดมั่นถือมั่นต่ออาหารเลิศรสยิ่งนัก ต้องการจะกินที่นี่และยินยอมที่รอ
กู้ซีจิ่วถอนหายใจ แล้วเดินออกไปหาพนักงานต้อนรับของร้านที่อยู่ด้านนอกเพื่อรับป้ายลำดับ
นึกไม่ถึงว่าพนักงานต้อนรับคนนั้นจะเพ่งพิศเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็มองเจ้าหอยยักษ์ที่ผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในแขนเสื้อเธอรวมถึงเพรียกวายุที่ติดตามอยู่ด้านหลัง กระซิบถามเธอ “ท่านใช่แม่นางกู้ซีจิ่วหรือไม่?”
กู้ซีจิ่วใจเต้นแวบหนึ่ง คิ้วขมวดมุ่น “มีคนเอ่ยถึงข้ากับเจ้าหรือ?” ยอมรับฐานะโดยปริยาย
พนักงานต้อนรับคนนั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ท่าทางนบน้อบยิ่งขึ้น ค้อมกายกล่าว “ขอเชิญด้านในเลยขอรับ มีคนคอยท่านอยู่แล้ว”
กู้ซีจิ่วงงงวย
“เป็นผู้กล้าท่านใดกัน?” เธอถามทันที
พนักงานต้อนรับผู้นั้นยิ้มน้อยๆ “ท่านขึ้นไปก็จะทราบเองขอรับ แขกท่านนั้นรอท่านอยู่ที่ชั้นสอง กล่าวว่าอยากทำให้ท่านประหลาดใจ”
ใครกัน?
ตอนที่เธอปลอมตัวคนนอกจะดูไม่ออก คนที่ดูเธอออกล้วนเป็นคนที่คุ้นเคยกับเธอ ยกตัวอย่างเช่นบรรดาอาจารย์และสหายร่วมสำนักเหล่านั้น อย่างไรเสียเจ้าหอยยักษ์กับเพรียกวายุก็เป็นป้ายบอกยี่ห้อที่มีชีวิต
จู่ๆ เธอก็นึกถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา หรือว่าจะเป็นเจ้าเด็กแสบเชียนหลิงอวี่? ข้อนี้มีความเป็นไปได้ที่สุด!
หลังจากเธอขจัดกู่ให้เขา เขาก็กล่าวอยู่ตลอดว่าถ้ามีเวลาจะเชิญเธอมาเลี้ยง เชิญมากินอาหารเลิศรสสักมื้อเป็นการตอบแทนเธอ
อาหารที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์แพงเกินไป แถมต้องใช้หินวิญญาณเพียงอย่างเดียว เชียนหลิงอวี่ใช้หินวิญญาณแบบเดือนชนเดือน เชิญเธอไปเลี้ยงไม่ไหว ดังนั้นเขาจึงมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่าเขาจะถือโอกาสเชิญเธอมาที่นี่ในวันนี้
ไม่ว่าแบบไหนก็ตาม สามารถกินข้าวได้ทันทีล้วนเป็นเรื่องดีเสมอ ดังนั้นกู้ซีจิวเลยเดินเข้าไป
ชั้นล่างมีคนแน่นขนัด ทว่าชั้นบนกลับเงียบสงบ พนักงานต้อนรับพาเธอเดินมาถึงหน้าบันไดแล้วก็ไม่ก้าวต่ออีก เพียงยิ้มน้อยๆ ให้เธอขึ้นไปยังชั้นบน “แม่นางกู้ เชิญขอรับ!”
เจ้าเด็กแสบคนนั้นคงไม่เหมาชั้นสองทั้งชั้นไว้กระมัง?! จ่ายเงินมือเติบ คล้ายจะเป็นสิ่งที่คุณชายฟุ่มเฟือยอย่างเขาทำจริงๆ
กู้ซีจิ่วก้าวขาขึ้นไปยังชั้นบน วินาทีที่เธอแหวกม่านออกก็ต้องตะลึงงัน!
พอเธอแหวกม่านออก โคมบนชั้นสองทั้งหมดก็ดับลง
มืดมิดลงกะทันหันเช่นนี้ทำให้เธอมองอะไรไม่เห็นไปชั่วขณะ คิดจะชักกระบี่ออกมาป้องกันตัวตามสัญชาตญาณ นึกไม่ถึงว่ากลางห้องโถงจะมีไข่มุกราตรีเม็ดหนึ่งค่อยๆ เรืองแสงขึ้นมา ส่องโลกด้านนั้นให้สว่าง
หัวใจกู้ซีจิ่วเหมือนถูกอะไรทุบเข้าอย่างจัง!
เธอเห็นอะไรน่ะหรือ?
เป็นเค้กวันเกิดขนาดใหญ่ก้อนหนึ่ง!
เค้กวันเกิดก้อนนั้นวางอยู่บนโต๊ะกลมตัวหนึ่ง มีเทียนสีแดงปักไว้รอบๆ เค้ก จำนวนยี่สิบสามเล่มพอดิบพอดี เปลวไฟไหวระริก มีเสียงพิณแว่วมาจากหลังโต๊ะ มีเสียงเพลงตามมาพร้อมเสียงพิณ เป็นบทเพลงที่พบเห็นกันดาษดื่นยิ่งนักทว่าเป็นบทเพลงที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะมาปรากฏในโลกนี้ “แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู แฮปปี้เบิร์ดเดย์ทูยู…”
เสียงเพลงทุ้มต่ำดึงดูด รื่นหูดั่งเสียงเชลโล่
กู้ซีจิ่วยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ฉากนี้ทั้งดูคุ้นเคยและดูแปลกตา ทำให้หัวใจที่สงบนิ่งมาตลอดของเธอเกิดคลื่นซัดโหมขึ้นมาอีกครั้ง…
ตอนที่ 663-664
บทที่ 663 ไม่คิดเลยว่าท่านจะอยู่ที่นี่
เธอเดาออกแล้วว่าอีกฝ่ายคือใคร!
หลงซือเย่!
นอกจากหลงซือเย่แล้วจะมีใครเล่าที่ทราบว่าวันนี้คือวันเกิดครบรอบยี่สิบสามปีของเธอ? นอกจากเขาแล้วจะมีใครเล่าที่ทราบวิธีฉลองวันเกิดของยุคปัจจุบันเช่นน์ นอกจากเขาแล้วจะมีใครเล่าที่ทำเค้กวันเกิดของยุคปัจจุบันได้?
เธอยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น จ้องมองเค้กก้อนนั้น
อันที่จริงชาติก่อนหลงซีไม่เคยฉลองวันเกิดให้เธอเลย เนื่องจากภารกิจของเธอยุ่งมาก ประจวบเหมาะพอดี ทุกครั้งที่ถึงวันเกิดเธอล้วนต้องออกไปปฏิบัติภารกิจอยู่ร่ำไป
หลงซีเคยสัญญากับเธอไว้ บอกว่าถ้ามีเวลาจะฉลองวันเกิดให้เธอแน่นอน พอถึงเวลาเขาก็ทำเค้กวันเกิดเองก้อนหนึ่งแล้วมองให้เธอ และจะร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้เธอด้วย…
จะได้ยินคนเคร่งขรึมเย็นอย่างหลงซีร้องเพลงวันเกิดที่แสนสดใสไร้เดียงสาเช่นนั้นก็ให้ความรู้สึกที่ขัดแย้งในตัวเองอยู่บ้าง ดังนั้นกู้ซีจิ่งในยามนั้นจึงตั้งตารอยิ่งนัก เพียงแต่จวบจนเธอวินาทีที่เธอสิ้นชีพก็ยังไม่ได้รับในสิ่งที่เฝ้ารอ…
ตอนนี้เธอได้รับในที่สิ่งรอคอยแล้ว ทว่าเป็นในอีกโลกหนึ่ง อยุ่ภายใต้สถานการณ์ที่เกิดเรื่องราวขึ้นมากมาย
คนเด็ดขาดเช่นเธอ ในยามนี้ก็ทึ่มทื่อไปครู่หนึ่งเช่นกัน ชะงักไปเล็กน้อย ถามออกมาประโยคเดียว “เจ้าสำนักหลง?”
“ซีจิ่ว…” ในที่สุดหลงซือเย่ก็ปรากฏตัวภายใต้แสงไข่มุก เขามองเธอด้วยรอยยิ้ม “สุขสันต์วันเกิด!”
เขาสวมชุดขาวราวหิมะ อาภรณ์ปักลวดลายเมฆาสีเงินรางๆ เรือนกายสูงโปร่งดั่งต้นอวี้ มุมปากหยักยิ้มปานบุปผาแย้มบาน เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่ารูปลักษณ์มิได้เหมือนชาติก่อนไปเสียทั้งหมด แต่รอยยิ้มของเขาเหมือน แววตาที่อ่อนโยนก็เหมือน แม้กระทั่งท่าทางที่ยืนพิงโต๊ะเช่นนั้นเฉยๆ ก็เหมือน
ในใจไม่ทราบว่าเป็นความรู้สึกเช่นไร กู้ซีจิ่วเงียบไปชั่วขณะ หลงซือเย่กวักมือเรียกเธอ “มาเถอะ เป่าเทียนแล้วอธิฐานสิ”
กู้ซีจิ่วไม่อยากขยับ ทว่าไม่รู้เหมือนกันว่าควรจะพูดอะไรดี กลับเป็นเจ้าหอยยักษ์ในแขนเสื้อเธอที่ค่อนข้างตื่นเต้นที่ได้เห็นเค้กวันเกิดเป็นครั้งแรก รีบกลิ้งไถลจากแขนเสื้อเธอเข้าไปทันที “นี่คืออะไร? อร่อยหรือไม่? อ๋าๆๆ รูปร่างของมันประหลาดนัก!”
กู้ซีจิ่วทำตัวไม่ถูก
เธอทำได้เพียงก้าวเข้าไป “ไม่คิดเลยว่าท่านจะอยู่ที่นี่”
“ฉันมาฉลองวันเกิดให้เธอ ซีจิ่ว ชอบหรือเปล่า?” หลงซือเย่มองเธอด้วยรอยยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่แผ่ไปถึงดวงตา ภายใต้แสงเทียน ดวงตาของเขาราวกับทะเลดวงดาวที่พร่างพราวดาษเวหา เสมือนจะโอบลอ้มเธอไว้ภายในได้
กู้ซีจิ่วละสายตาไป กล่าวอย่างสุภาพว่า “มิกล้ารับ ลำบากเจ้าสำนักหลงสิ้นเปลืองความคิดแล้ว เพียงแต่วันนี้มิใช่วันเกิดของซีจิ่ว…” วันเกิดของร่างเดิมนี้คือวันที่สิบเดือนเจ็ด
ดวงตาหลงซือเย่ฉายแววหม่นหมองแวบหนึ่ง แต่ก็ยิ้มออกมาทันที เห็นได้ชัดว่าไม่อยากจะต่อล้อต่อเถียงกับเธอ “มาเถอะ เป่าเทียนก่อนแล้วค่อยอธิฐาน”
“ต้องเป่าเทียนแล้วอธิฐานถึงจะกินสิ่งนี้ได้หรือ?” เจ้าหอยยักษ์ที่อยู่ด้านล่างหนีบมุมชุดของหลงซือเย่ไว้ พยายามจะทำให้ตัวเองมีตัวมีตัวตน
“ใช่” หลงซือเย่ตอบ
“เยี่ยมไปเลย ข้าขอให้ได้กินอาหารดีๆ ทุกวัน ได้กินจนอิ่ม!” เจ้าหอยยักษ์รีบอธิฐานทันที ไม่ทันรอให้หลงซือเย่ได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ มันก็สร้างลมพัดกรรโชกหอบหนึ่ง ฟิ้ว! เทียนทั้งหมดดับลง…
“นี่!” หลงซือเย่เอ่ยขึ้นตามสัญชาตญาณ “ไม่ได้ให้…” ยังไม่ทันพูดคำว่า ‘เจ้า’ ออกมา เจ้าหอยยักษ์ก็อาปากกว้าง เขมือบเค้กทั้งก้อนหายไป…
หลงซือเย่พูดไม่ออก เขาตะลึงพรึงเพริดอย่างที่พบเห็นได้ยาก!
เจ้าหอยยักษ์เคี้ยวแจ๊บๆ ลิ้มรส มันยังติติงเล็กน้อยด้วย “สิ่งนี้หน้าตาดูดี แต่รสชาติไม่ค่อยเท่าไหร่ หวานเกินไป! ข้าไม่ค่อยชอบกินของหวาน…”
หลงซือเย่โมโหจนอยากทุบเปลือกมันให้แตกทันที นิ้วมือกำแน่นแล้วแน่นอีก หากมิใช่เห็นแก่หน้ากู้ซีจิ่ว เขาแค่สะบัดแขนก็เหวี่ยงมันลงทะเลสาบที่อยู่ห่างไปไม่ไกลได้แล้ว!
กู้ซีจิ่วขบขันยิ่งนัก แต่ก็ค่อนข้างรู้สึกผิดเช่นกัน
————————————————————————————-
บทที่ 664 ซีจิ่ว เธอเกลียดฉันไหม?
ในยุคปัจจุบันทำเค้กวันเกิดสักก้อนนั้นปกติมาก แต่ในโลกนี้กลับยากลำบากนัก ถึงอย่างไรก็ไม่มีเตาอบ ไม่มีผงฝูสำหรับทำเค้ก ไม่มีแม่พิมพ์
หลงซือเย่สามารถทำสิ่งนี้ออกมาได้ก็พอจะดูออกว่าเขาทุ่มเทความคิดจริงๆ
….
โต๊ะจีนสองโต๊ะใหญ่
อาหารบกทะเลอากาศครบครัน เจ้าหอยยักษ์กับลู่อู๋น้อยได้หนึ่งโต๊ะ สวามปามกันอยู่ตรงนั้น ส่วนเพรียกวายุไม่ชอบกินของพวกนี้ แถมรูปร่างของมันยังไม่เหมาะจะนำเข้ามาในภัตตาคารด้วย ดังนั้นมันจึงรออยู่ที่จุดหนึ่งของชั้นล่าง มีพนักงานคอยดูแลโดยเฉพาะ ให้อาหารที่มันชื่นชอบ
กู้ซีจิ่วนั่งประจันหน้ากับหลงซือเย่ ถึงแม้จะไม่มีเค้กแล้ว แต่โชคดีที่กู้ซีจิ่วก็ไม่ค่อยชอบกินของหวานแบบนั้นเหมือนกัน บรรยากาศจึงดีขึ้นมาก
เดิมทีหลงซือเย่ก็มิใช่คนช่างพูดอยู่แล้ว เมื่อก่อนยามทั้งสองอยู่ด้วยกันก็เป็นกู้ซีจิ่วที่เป็นฝ่ายชวนคุย
แต่ตอนนี้กู้ซีจิ่วก็ดุเหมือนจะไม่พูดอะไร ในห้องโถงจึงเงียบสนิทอย่างมิอาจเลี่ยงได้
ทำให้คนนึกถึงถนนสายใหญ่ที่ลมหนาวพัดผ่าน
ในใจของกู้ซีจิ่วค่อนข้างปลงตกอยู่บ้าง
เธอนึกไม่ถึงเลยว่าจะมีวันที่ได้นั่งร่วมโต๊ะกับหลงซีทานอาหารและพูดคุยกันอย่างสงบ
ฐานะของทั้งสองคนล้วนไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว รูปโฉมเธอเปลี่ยนไป ฐานะก็เปลี่ยนไป เขาเองก็เช่นกัน…
คนหนึ่งทะลุมิติมาก็นับว่าแปลกประหลาดมากแล้ว ศัตรูคู่แค้นที่เคยรักเคยสังหารก็ข้ามภพมาเจอกันอีกเช่นนี้ยิ่งแปลกประหลาดกว่า
เนื่องจากชาติก่อนเคยถูกเขาวางยาสลบมาแล้วครั้งหนึ่ง ดังนั้นหนนี้กู้ซีจิ่วจึงระวมัดระวังยิ่งนัก
ขอเพียงเธอระวังตัว บนโลกนี้ก็ไม่มีผู้ใดสามารถใช้พิษเล่นงานเธอได้
ดูเหมือนหลงซือเย่มีถ้อยคำอยากจะกล่าวกับเธอ แต่ก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มอย่างไรอยู่พักหนึ่ง เขาไม่พูดเธอก็ไม่ถาม เพียงก้มหน้าก้มตากินอาหารเท่านั้น…
ดวงตาหลงซือเย่ฉายแววหม่นหมองแวบหนึ่ง เมื่อก่อนเวลาที่เธออยู่ต่อหน้าเขาจะหลักแหลมอยู่เสมอ ขอเพียงเขามีท่าทีเหมือนมีอะไรจะพูดเล้กน้อย เธอก็จะรีบซักถามอย่างใส่ใจทันที…
ตอนนี้…ทุกอย่างล้วนเป็นเขาที่เรียกหา
“ซีจิ่ว เธอเกลียดฉันไหม?” หลงซือเย่หลุดปากเปิดประเด็นได้แย่ยิ่งนัก
กู้ซีจิ่วหมุนจอกสุรายิ้มแวบหนึ่ง “ไม่เกลียด”
หลงซือเย่เงยหน้ามองเธอ กู้ซีจิ่วกล่าวเสริมว่า “คุณควักหัวจัน ฉันก็แทงหัวใจคุณ ฉันตายคุณก็ไม่รอด…แบบนี้ดูเหมือนว่าพวกเราจะเสมอกันแล้ว ดังนั้นไม่มีอะไรต้องเกลียดชังกัน”
เธอมองออกไปด้านนอก “บางทีทุกอย่างก็มีเหตุและผลทั้งนั้นใช่ไหม? ถ้าคุณกับฉันไม่ได้มาที่นี่ ฉันคงยังเป็นนักฆ่าในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด ขายชีวิตให้คนอื่น หลังจากมาอยู่ที่นี่ถึงแม้จะใช้ชีวิตแบบอกสั่นขวัญแขวนไปบ้าง แต่ดีร้ายอย่างไรก็ได้เห็นโลกที่แตกต่าง แถมฉันยังได้เห็นเทพเซียนที่เล่าขานอยู่ในตำนาน…ได้เรียนรู้อะไรมากมาย เมื่อคิดได้แบบนี้ ฉันควรจะรู้สึกขอบคุณคุณด้วยซ้ำ แน่นอน ฉันไม่รู้สึกขอบคุณคุณจริงๆ หรอก ขอแค่คุณไม่มาเล่นงานฉันอีก ฉันก็คิดว่าพวกเราถึงขั้นสามารถปมาหาสู่กันในฐานะเพื่อนธรรมดาได้”
เมื่อก่อนเธอถูกเขาเล่นงานเพราะไม่ได้ระแวดระวัง ตอนนี้เธอระแวดระวังเขาเต็มที่แล้ว ถ้าเขาคิดจะเล่นงานเธออีกจะทำได้ง่ายดายปานนั้นอีกหรือ?
“เพื่อนธรรมดา?” หลงซือเย่เอ่ยทวน ดวงตาคู่นั้นจับจ้องเธอ “ถ้าหาก…ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนธรรมดากับเธอล่ะ?”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว “ถ้างั้นก็คนแปลกหน้า?”
สีหน้าหลงซือเย่ซีดเซียวนิดๆ “ซีจิ่ว อยากฟังฉันอธิบายไหม?”
กู้ซีจิ่วเลิกคิ้วอีกครั้ง “อธิบายอะไร? ฉันไม่คิดว่าระหว่างเรามีเรื่องเข้าใจผิดอะไรที่ต้องอธิบายให้กระจ่างนะ เย่หงเฟิงเป็นคู่หมั้นของคุณ คุณช่วยเธอก็เป็นเหตุผลตามสมควรอยู่แล้ว ฉันเป็นมนุษย์โคลนนิ่ง เดิมทีก็เป็นแหล่งสำรองอวัยวะที่พ่อเธอเตรียมไว้ให้เธออยู่แล้ว ก็เหมือนกับเลือดจากสายสะดือนั่นแหละ ในสายตาพวกคุณฉันน่าจะไม่ใช่มนุษย์เลยด้วยซ้ำ เป็นแค่สิ่งของ…”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น