หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 657-659
บทที่ 657 โทสะของโยวหรัน!
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันรีบรุดออกไปในทันที เฟิ่งชิวหรันที่หน้าซีดเผือดกัดฟันหนีอย่างรวดเร็วเช่นกัน ท่ามกลางกลุ่มผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น และผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่โดยล้างสมอง ที่กำลังไล่ตามอย่างไม่ลดละ นางสร้างผนึกมือชุดและกัดปลายลิ้นตนเองจนกระอักเลือดออกมาเป็นลิ่มๆ
เลือดนั้นกลายเป็นหมอกโลหิตที่พุ่งเข้าใส่กลุ่มผู้ฝึกตน ทำให้พวกเขาหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ในตอนนั้นเองนางรีบวาดมือขวาไปในอากาศอย่างบ้าคลั่ง คว้าเอากำไลคลังเวทที่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อทิ้งเอาไว้ ในยามปกติโยวหรันคงไม่ทิ้งของมีค่าเช่นนี้เอาไว้เบื้องหลัง แต่เขากำลังว้าวุ่นเสียจนลืมสิ้นทุกสิ่ง
เมื่อได้กำไลคลังเก็บมาเรียบร้อย เฟิ่งชิวหรันก็รีบหนีไม่คิดชีวิตทันที แม้ชั้นที่สองของเรือรบจะกว้างใหญ่ แต่นางก็ยังอยู่ในสถานการณ์คับขันสิ้นหวังหัวใจหนักอึ้ง นางไม่รู้ว่าตนเองควรไปที่ใด และไม่รู้เช่นกันว่าจะแก้สถานการณ์นี้อย่างไร
นางหันกลับมามองจ้องกลุ่มผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นที่อยู่เบื้องหลัง ใจนึกย้อนไปถึงสมรภูมิรบครั้งใหญ่ ภาพการต่อสู้แสนเลวร้ายมากมายที่เคยเกิดขึ้นบนกระบี่สำริดโบราณนี้ ใจของเฟิ่งชิวหรันเต็มไปด้วยใบหน้าคุ้นเคยจากสำนักวังเต๋าไพศาล ที่ถูกล้างสมองจนลืมสิ้นว่าตนเองเคยเป็นใคร ความขมขื่นเข้าเกาะกุมจิตใจนาง ทำให้นางรู้สึกว่าตนเองช่างเป็นคนบาปเหลือเกิน
ทุกอย่าง…เป็นเพราะเราเลือกเดินเข้ามาที่เรือรบนี้ ทั้งๆ ที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่าเป็นกับดัก… เฟิ่งชิวหรันสีหน้าบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด นางตระหนักแล้วว่าตนเองล้มเหลวในฐานะผู้นำอย่างไร นางปล่อยให้อารมณ์เข้าครอบงำจนตัดสินใจเรื่องสำคัญอย่างไร้ซึ่งเหตุผล
โยวหรัน! ประกายเย็นเยียบวาบเข้ามาในแววตา เฟิ่งชิวหรันต้องการเปลี่ยนสิ่งผิดให้กลับมาถูกต้องอีกครั้ง แต่ก็ไม่มีอำนาจพอทำสิ่งใดได้ ความขมขื่นนั้นทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าในหมู่ผู้ฝึกตนที่กำลังไล่ล่าอยู่นั้น มีเมี่ยเลี่ยจื่อรวมอยู่ด้วย
ยังมีความหวังอยู่! เฟิ่งชิวหรันพยายามทำจิตใจตนเองให้แข็งแกร่งท่ามกลางความเจ็บปวดล้นเหลือ คลื่นแทรกของเรือรบที่ทำให้พวกเขาเคลื่อนย้ายออกไม่ได้อ่อนกำลังลง ด้วยเหตุใดนางไม่อาจทราบได้ แต่ดูเหมือนจะทำให้โยวหรันถึงกับสติหลุดไปในทันที นั่นทำให้เฟิ่งชิวหรันรู้สึกว่าสถานการณ์ยังพอมีความหวังอยู่บ้าง แม้จะริบหรี่ แต่ก็ยังดีกว่าความมืดมิด
นางยังตั้งหน้าตั้งตาหนีต่อไป ในขณะที่เจ้าเยี่ยเหมิงไปซ่อนตัวอยู่ในภูเขาอีกฝั่งหนึ่งของเรือ และพยายามเป็นอย่างมากที่จะสร้างวงแหวนปราณเพื่อปกปิดตนเองให้ไม่มีใครหาเจอ มือของเจ้าเยี่ยเหมิงกำยันต์เคลื่อนย้ายเอาไว้แน่น พยายามทำให้ลมหายใจของตนเองสงบ ดวงตาทอแสงจ้าด้วยความมุ่งมั่น นางกำลังรอจังหวะเหมาะอยู่
แม้เจ้าเยี่ยเหมิงจะกังวลว่าหวังเป่าเล่อจะเป็นอะไรไป แต่ก็รู้ดีว่านางรังแต่จะเป็นตัวถ่วงมากกว่าตัวช่วย ด้วยพลังปราณที่ยังอ่อนด้อยนัก นอกจากนี้นางยังรู้หน้าที่ของตนเองดี นางต้องออกไปแจ้งสหพันธรัฐว่ากำลังเกิดภัยร้ายใดอยู่ในตอนนี้!
“เป่าเล่อ…” เจ้าเยี่ยเหมิงพึมพำกับตนเองก่อนถอนหายใจ นางหลับตาลง คอยเฝ้ารออย่างใจเย็น
เฟิ่งชิวหรันไม่ใช่คำเดียวที่กำลังต่อสู้อย่างดุเดือดอยู่ที่ชั้นสอง ผู้ฝึกตนจากฝ่ายของนางถูกจับแยกกันทันทีที่เข้ามาถึงชั้นสอง ส่วนมากสิ้นชีวิตลงด้วยเหตุการณ์มากมายที่เกิดขึ้น แต่ก็มีหลายคนที่ถูกขังและผนึกเอาไว้ โยวหรันไม่ใช่คนเดียวบนเรือที่มาจากตระกูลไม่รู้สิ้น
กับดักนี้ถูกวางเอาไว้นานแล้ว การไล่ล่าของตระกูลไม่รู้สิ้นเริ่มต้นขึ้นทันทีที่พวกเขาก้าวเข้ามายังเรือรบ ชื่อหลินรวมถึงคนอื่นๆ อีกหลายคนถูกจองจำเอาไว้ หรือไม่ก็โดนนำไปบูชายัญให้แผ่นหิน
ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในส่วนมากสิ้นชีพลงหมด เนื่องจากสถานที่นี้อันตรายต่อผู้ที่มีพลังระดับกำเนิดแก่นในเป็นอย่างมาก พวกเขาเทียบคู่ต่อสู้ไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แม้หลายคนจะสัมผัสได้ถึงอันตรายและเลือกไปซ่อนแทน อย่างเช่นเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นต้น
กงเต๋าเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ชายหนุ่มมีประสบการณ์ช่ำชองในการซุ่มโจมตีและการเร้นกาย แม้จะมีอันตรายซุกซ่อนอยู่ทุกมุมของเรือรบ แต่เขาเองก็มีวิธีเอาตัวรอดในแบบฉบับของตนเอง กงเต๋าคือชายผู้ที่เอาตัวรอดในพื้นที่รกร้างของดาวอังคารได้ แม้ในตอนนั้นจะยังมีปราณระดับการฝึกตนโบราณเท่านั้น
ตอนนี้กงเต๋าอยู่ที่ชั้นสองของเรือ แต่ไม่ได้อยู่ในจุดโล่งแจ้ง เขาซ่อนตัวอยู่ในถ้ำที่ไม่มีทะเลสาบทองคำ จึงไม่ใช่ที่เดียวกันกับหวังเป่าเล่อ แต่ก็ยังมีวัตถุเวทที่หน้าตาเหมือนยานอพยพอยู่บ้าง แม้หลายอันจะใช้การไม่ได้แล้ว แต่ก็ยังมีบางอันที่ทำงานได้ดี
เนื่องจากหาทางออกไม่เจอ กงเต๋าจึงไม่มีทางเลือกนอกจากกัดฟันซ่อนตัวอยู่ในยานอพยพเพื่อหนีการถูกตามล่า
ทุกคนกำลังหนีตาย ที่ชั้นสามอันเป็นที่อยู่ของชุดคลุมออกศึก เสียงกึกก้องกัมปนาทอุบัติขึ้นในท้องฟ้า หวังเป่าเล่อที่อ้วนเสียจนน่าสยองขวัญนั่งอยู่กลางทะเลสาบทองคำ ทุกส่วนของร่างกายเขากระเพื่อมด้วยไขมันหนา ดวงตาวาวโรจน์ขณะที่เมล็ดแห่งการดูดกลืนในกายหมุนวนทำงานอย่างบ้าคลั่ง
เร็วขึ้นอีก! หวังเป่าเล่อตะโกนก้องอยู่ในใจ เขากำลังกระวนกระวาย ในชุดคลุมออกศึกนั้นมีพลังปราณอยู่มากล้น แม้จะใช้ทั้งเมล็ดแห่งการดูดกลืนและฝักกระบี่ ก็ยังดูดเข้าไปไม่หมด หวังเป่าเล่อมีปราณเพียงขั้นกำเนิดแก่นในระดับสมบูรณ์แบบเท่านั้น จึงมีขีดจำกัดในการดูดกลืน อันตรายที่คืบเข้ามาใกล้ทำให้เขาไม่มีเวลาพอพยายามบรรลุขั้นปราณเพื่อกำจัดพลังงานที่พอกพูนด้วยซ้ำ การจะบรรลุจากระดับกำเนิดแก่นในไปเป็นระดับจุติวิญญาณได้ เขาต้องใช้อยู่ในสถานที่ปลอดภัยไร้อันตราย ปลีกวิเวกออกเพื่อจัดการตนเองให้เรียบร้อย
สิ่งที่ทำให้สถานการณ์แย่ลงคือ ความเร็วในการดูดพลังจากชุดคลุมของเขานั้นช้าลงเรื่อยๆ ตามเวลาที่เดินหน้าผ่านไป
ชุมคลุมเริ่มต่อต้านการดูดกลืนของหวังเป่าเล่อ ด้วยพลังที่ดูเหมือนจะเป็นกลไกการต่อต้านตามธรรมชาติของมันเอง แม้เขาจะใช้พลังเมล็ดแห่งการดูดกลืนเต็มที่ แต่ก็ยังไม่ได้ช่วยให้ซึมซับพลังปราณเร็วขึ้นแต่อย่างใด
เมื่อกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้ ชายหนุ่มก็สร้างผนึกมือต่อเนื่องเพื่อเรียกร่างอวตารของตนออกมา ร่างอวตารของเขาแยกออกจากร่างจริง พุ่งเข้าหาเสาค้ำ
ร่างเกราะจักรพรรดิลักอัคคีของหวังเป่าเล่อก็ก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างเช่นกัน ร่างจริงของเขาดูดซับพลังปราณไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นชายหนุ่มจึงจะใช้ร่างเกราะจักรพรรดิลักอัคคีของตนให้ทำงานแทน!
หวังเป่าเล่อต้องการเวลาอีกนิดเดียวเท่านั้น เพียงอีกแค่สองชั่วโมง หากเขายังสามารถดูดพลังจากชุดคลุมออกศึกไปได้เรื่อยๆ ด้วยอัตราเท่านี้ คลื่นแทรกการเคลื่อนย้ายของเรือรบจะอ่อนกำลังลงอย่างมาก หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าพลังงานนั้นจะอ่อนกำลังลงจนทำให้เคลื่อนย้ายออกจากเรือได้หรือไม่ แต่สิ่งที่เขามั่นใจคือหากตนเองตั้งหน้าตั้งตาดูดพลังต่อไป โอกาสที่เจ้าเยี่ยเหมิงจะเคลื่อนย้ายหนีสำเร็จ จะมีมากขึ้นอย่างแน่นอน!
กระนั้น…พลังของเรือรบที่อ่อนแอลงทำให้โยวหรันรู้สึกตัวแล้ว เขากำลังตัดทุกอย่างที่ขวางหน้าออกเพื่อกรุยทางไปถึงชั้นสามให้เร็วที่สุด ชุดเกราะของหวังเป่าเล่อเพิ่งเริ่มดูดพลังจากชุมคลุมต่อไปได้เพียงยี่สิบวินาทีเท่านั้น กำแพงของถ้ำที่เขาเร้นกายอยู่ก็ระเบิดออก!
เศษหินดินทรายกระจายไปทุกทิศทาง ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันที่กำลังโกรธเกรี้ยวปรากฏกายขึ้นในถ้ำ สายตากวาดมองไปที่ทะเลสาบทองคำที่ชุดคลุมออกศึกอันแสนล้ำค่าของเขาสถิตอยู่ในทันที ข้างชุดคลุมนั้นคือร่างอ้วนจนแทบระเบิดของหวังเป่าเล่อ ห่อหุ้มด้วยชุดเกราะจักรพรรดิลักอัคคี!
แสงเรืองรองของชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะนั้นจางลงอย่างเห็นได้ชัด ผิวของมันดูเหี่ยวย่น แขนข้างหนึ่งกลายเป็นเพียงผิวหนังยวบยาบไร้กำลัง หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ข้างๆ กันนั้นยังคงเดินหน้าดูดพลังจาดชุดอย่างเต็มสูบ
โยวหรันคลั่งทันทีที่ได้เห็นฉากนี้ เขาตั้งใจว่าจะล่อผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลมาให้ติดกับในเรือรบ เพื่อล้างสมองทุกคนและเดินหน้าบูชายัญเลือดต่อไป โดยจำกัดความเสียหายเอาไว้ให้น้อยที่สุด เขามีพลังปราณอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ และยังมีสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นอีกมากที่ทำงานให้เขาอยู่บนเรือลำนี้
กระนั้น ทุกคนก็ยังไม่หายดีจากบาดแผลการต่อสู้มากมายเมื่อครั้งก่อน พวกเขาอาจจะเอาชีวิตรอดและชนะการต่อสู้ได้ แต่ก็คงยืนหยัดได้ไม่นานนัก นอกจากนี้เรือรบนี้ยังขาดส่วนประกอบสำคัญ ที่จะทำให้ผสานเข้ากับชุดคลุมออกศึกได้จนเป็นหนึ่ง จึงทำให้แสดงแสนยานุภาพจริงไม่ได้
วงแหวนปราณที่ปกป้องสำนักวังเต๋าไพศาลเอาไว้ รวมถึงพลังของเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรัน ทำให้โยวหรันเองยังไม่มั่นใจว่าแผนการของตนเองจะสำเร็จร้อยทั้งร้อย ที่สำคัญที่สุดคือ เขาไม่ต้องการจ่ายค่าเสียหายราคาแพงเพื่อชัยชนะในครั้งนี้
ด้วยเหตุนี้ตัวโยวหรันจึงเลือกการใช้กับดักแทนการโจมตีตรงๆ เขาตั้งใจว่าจะล้างสมองทุกคนก่อน และใช้พลังงานที่เก็บเกี่ยวมาจากร่างเหล่านั้น เป็นพลังงานหล่อเลี้ยงเรือรบ ซึ่งจะทำให้เขาหลอมรวมกับชุมคลุมเมื่อใดก็ได้ที่ตนเองต้องการ
หากทำสำเร็จ เขาจะสามารถบังคับเรือรบเต๋ามรณะได้ตามใจนึก และไปบุกสหพันธรัฐเพื่อจับทุกคนมาบูชายัญต่อ เมื่อทุกชีวิตในสหพันธรัฐกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับเรือรบเรียบร้อย ตัวเขาเองก็จะกลายเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรือรบเต๋ามรณะในที่สุด!
แผนการของเขาดำเนินไปอย่างไร้อุปสรรค แต่เมื่อมาเจอว่าชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะที่เป็นหัวใจหลักของแผนชั่วร้าย กำลังถูกดูดพลังไปมหาศาลจนกลายเป็นซากไร้ชีวิตเช่นนี้ โยวหรันก็แทบสิ้นสติด้วยโทสะ!
ไอ้ห่าเอ๊ย มันเข้ามาที่นี่ได้อย่างไรกัน ดวงตาของโยวหรันกลายเป็นสีแดงก่ำ ศีรษะของเขาแทบจะระเบิดออก เขาตะโกนออกมาด้วยความโกรธถึงขีดสุด
“ไอ้หวังเป่าเล่อ!”
บทที่ 658 หมื่นภัยพิบัติและพันชีวิต!
เสียงกู่ร้องนั้นดังเสียยิ่งกว่าฟ้าผ่า ทำให้อากาศภายในถ้ำระเบิดออก จนกำแพงและเสาค้ำยันเพดานสั่นไหว ลมแรงพัดผ่านผิวน้ำของทะเลสาบทองคำเกิดคลื่นเป็นระรอก ส่งให้หัวใจของหวังเป่าเล่อถูกเกาะกุมด้วยความกลัว
โยวหรันที่ดูเสียสติตาแดงก่ำพุ่งเข้าใส่หวังเป่าเล่อเหมือนสายฟ้า เขายกมือขวาขึ้นส่งพลังปราณระดับเชื่อมวิญญาณออกไป สร้างพลังร้ายกาจพร้อมเข้าปะทะ เพื่อดูดเอาพลังงานทั้งหมดที่ชายหนุ่มเอาไปเก็บสะสมเอาไว้มานำกลับไปใส่ในชุดคลุมออกศึกดังเดิม และทำลายชายหนุ่มให้ย่อยยับไปในคราวเดียว!
ความตายที่มาเยือนที่ปากประตูนี้ทำให้หวังเป่าเล่อหัวแทบระเบิด
ชายหนุ่มตาเบิกกว้าง รู้สึกได้ว่าร่างอวตารของตนเองเคลื่อนย้ายเข้าเสาค้ำไปแล้วและกำลังจะไปโผล่ที่ชั้นสอง เขาเพียงแต่ต้องสลับที่กับร่างอวตารของตน เพื่อหนีออกไปจากจุดที่สิ้นหวังนี้เท่านั้น
แต่เขาเองก็รู้ดีว่าต่อให้ตนเองหนีออกไปได้ในครั้งนี้ ตราบใดที่คลื่นรบกวนจากเรือรบยังคงไม่อ่อนกำลังลง เขาก็ยังไปไหนไม่ได้อยู่ดี สุดท้ายก็คงจบชีวิตลงไม่ต่างกัน!
มีทางเดียวเท่านั้นที่จะหนีออกไปจากที่นี่ได้ ซึ่งก็คือการทำลายคลื่นแทรกจากเรือรบ เขาต้องทำให้คลื่นนี้อ่อนแอพอให้เจ้าเยี่ยเหมิงหนีออกไปได้ด้วยยันต์เคลื่อนย้าย!
เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำเช่นนั้น นอกเสียจากว่าร่างอวตารของเขาจะหาเจ้าเยี่ยเหมิงเจออย่างรวดเร็ว แต่เวลาก็แทบไม่มีแล้ว ความคิดหนึ่งวาบขึ้นในจิตของชายหนุ่ม สีหน้าของเขามุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว หวังเป่าเล่อตะโกนออกมาทันทีโดยไม่ลังเลใจ ทันทีที่โยวหรันเข้ามาใกล้ ชุดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีของเขายังเดินหน้าสูบพลังต่อไป ไขมันวิญญาณในร่างเริ่มเผาผลาญเพิ่มเป็นพลังงานให้กับเจ้าของร่าง
นี่คือสิ่งที่หวังเป่าเล่อคิดออกเป็นครั้งแรกจากการต่อสู้กับตู้กูหลิน ในครั้งที่เมล็ดแห่งการดูดกลืนของเขากลายพันธุ์และเริ่มดูดทุกอย่างเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง เขาพยายามทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นอีกหลายครั้ง แต่ก็ทำไม่สำเร็จเนื่องจากก่อนหน้านี้ผอมเกินไป
แต่บัดนี้เขาสะสมไขมันวิญญาณเอาไว้ในร่างกายมากโข อ้วนมากเสียจนจะยืนยังแทบทำไม่ได้ เมื่อชายหนุ่มปล่อยท่าไม้ตายนี้ ไขมันวิญญาณในร่างกายเขาก็เริ่มเผาผลาญอย่างรวดเร็ว คลื่นพลังปราณระเบิดออกจากร่างของชายหนุ่มเป็นริ้วๆ !
หากมีคนนอกมาช่วยคะเนอำนาจของพลังปราณที่เขาปล่อยออกมาในตอนนี้ จะพบว่าแซงหน้าพลังของผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณไปไกล จนเทียบเท่าพลังของโยวหรันในตอนนั้นเลยทีเดียว ทว่า…พลังนี้กลับไม่ใช่พลังปราณที่สะสมผ่านการฝึกตน แต่เป็นพลังจากไขมันของหวังเป่าเล่อที่เผาไหม้
แม้ปริมาณจะได้ แต่คุณภาพก็ยังห่างชั้น หากพลังของโยวหรันเปรียบเสมือนน้ำแข็ง พลังของหวังเป่าเล่อก็เป็นเพียงหมอกบางเท่านั้น!
ไม่ว่าหมอกนั้นจะหนาเพียงใด ก็ยังทะลุผ่านได้เสมอด้วยธรรมชาติของมัน หมอกนั้นอาจใช้เป็นโล่กำบังได้หากเปลี่ยนสภาพกลายเป็นน้ำ และเมื่อแข็งแกร่งจนกลายเป็นน้ำแข็ง ก็จะสามารถนำมาใช้โจมตีได้!
นอกจากนี้ความแตกต่างของสองยังมีอยู่ในขั้นการควบคุมพลังอีกด้วย โยวหรันใช้พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณของตนเองได้อย่างไร้ที่ติ ทำให้พลังปราณของเขาแปรเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นสิ่งใดก็ได้ ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นไม่สามารถควบคุมพลังที่ตนเองปล่อยออกมาได้ ทำให้ปรับสภาพการโจมตีของตนเองได้ไม่คล่องมือ
ตัวชายหนุ่มเองก็รู้ความจริงข้อนี้ดี เขาจึงพยายามปล่อยพลังจำนวนมากออกจากจากไขมันวิญญาณที่ตนเองสะสมเอาไว้เท่านั้น ไม่ได้พยายามใช้เคล็ดเวทใดๆ หรือใช้ปราณป้องกันการโจมตีของโยวหรัน
สิ่งที่เขาทำก็คือ การปล่อยพลังปราณจำนวนมหาศาลนั้น…เข้าไปยังกำไลของเขา สู่ลูกประคำหกลูกบนข้อมือนั่นเอง!
พลังปราณที่หลั่งไหลเข้าไปนั้น ทำให้ลูกประคำสี่จากหกลูกดูดกลืนอย่างหิวกระหาย เหมือนหลุมดำที่ไม่ได้รับสารอาหารหล่อเลี้ยงมานานแสนนาน ลูกประคำทั้งสี่สองแสงสว่างเจิดจ้าออกมา แต่ละลูกมีสีต่างกันไป ทั้งแดง น้ำเงิน ดำ และทอง!
พลังรุนแรงเกินต้านทานอุบัติขึ้นในอากาศ!
ลูกประคำแต่ละลูกอันแน่นด้วยพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์ และเป็นไพ่ตายของหวังเป่าเล่อ แม้เขาจะควบคุมพลังปราณมหาศาลที่ตนเองปล่อยออกมา และใช้มันเข้าโจมตีคู่ต่อสู้ไม่ได้ แต่เขาก็ยังสามารถส่งพลังนั้นเข้าไปในกำไลของตน เพื่อปล่อยพลังเทพของลูกประคำต่อกรแทนได้!
ด้วยความที่พลังเทพ…ถูกบรรจุอยู่ในกำไลของเขา แปลว่า…พลังปราณของผู้ใช้งาน จะเป็นตัวกำหนดความแข็งแกร่งของพลังเทพแต่ละประเภท
กำไลเทพนี้เปรียบเสมือนตัวกลางที่ดูดเอาพลังปราณจากไขมันของหวังเป่าเล่อเอาไว้ และปล่อยออกมาเป็นพลังการโจมตีที่รุนแรงยิ่งกว่า เทียบเท่ากับการนำหมอกปราณนั้นมากลั่นและอัดเป็นใบมีดน้ำแข็ง!
นี่คือทางเดียวที่เขาคิดออก ในการปกป้องตนเองจากการโจมตีของโยวหรันในตอนนั้น เขาพยายามอย่างเต็มที่ที่จะเผาผลาญไขมันวิญญาณของตนเองออกให้หมด และปล่อยออกมาในรูปของพลังปราณเพื่อส่งไปยังกำไล ส่วนตัวโยวหรันเองนั้นก็กำลังพุ่งเข้าใส่เขา ด้วยโทสะถึงขีดสุดและพลังระดับเชื่อมวิญญาณทั้งหมดที่ตนเองมี ชายชราพร้อมขยี้หวังเป่าเล่อให้กลายเป็นผุยผง
ในตอนนั้นเองที่หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นและเอ่ยคำหนึ่งออกมา!
“หมื่นภัยพิบัติ!”
ทันทีที่พูดจบ ลูกประคำรูปดาวลูกหนึ่งบนข้อมือขวาของเขาก็ปล่อยแสงสีดำเจิดจ้า นกพิราบสีดำโบยบินออกจากลูกประคำนั้น!
นกสีดำนั้นขยายใหญ่ขึ้นจนขนาดเท่าเกราะจักรพรรดิ เงาของมันทะมึนเหนือทุกสิ่งและพุ่งเข้าหาโยวหรันในทันที!
โยวหรันที่กำลังโกรธเกรี้ยวถึงขีดสุด ไม่ได้คิดว่าหวังเป่าเล่อเป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อกับตนเองแม้แต่น้อย แต่ทันทีที่เขาเห็นนกพิราบสีดำนั้น เขาก็พาลตัวสั่น!
ชายแก่รู้สึกราวกับว่าวิญญาณของตนเองถูกสะกดเอาไว้จนไปไหนไม่ได้ เขาขยับตัวไม่ได้ และก็หนีการโจมตีนี้ไปไม่ได้เช่นกัน โยวหรันสิ้นพลังในการตอบกลับไปโดยสิ้นเชิง ความรู้สึกมืดแปดด้านเข้าเกาะกุมจิตใจ มาพร้อมกับความเย็นเยียบที่หาต้นตอไม่เจอ
โยวหรันไม่ลังเลแม้แต่น้อยที่จะสร้างผนึกมือชุดและชี้นิ้วออกมา ปราณมืดก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างต่อหน้าเขา แปรสภาพไปเป็นรูปปั้นผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น หมายทำลายนกพิราบสีดำให้สิ้นซาก ภาพที่เกิดขึ้นต่อจากนั้นแปลกประหลาดนัก เมื่อนกพิราบพุ่งเข้ารับการโจมตีของรูปปั้นนั้น มันกลับอันตรธานหายไปเสียเฉยๆ โดยไร้ซึ่งวี่แววการบาดเจ็บ ทว่า…นกพิราบสีดำกลับปรากฏขึ้นบนหน้าผากของโยวหรันในรูปแบบของรอยสลักแทนเสียนี่!
โยวหรันไม่ได้รู้สึกเจ็บหรือระคายแม้แต่น้อย เขาตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก รู้สึกได้ในทันทีว่าพลังงานอันตรายแผ่ออกจากรอยสลักบนหน้าผากของตน สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือพลังต้านที่กำเนิดขึ้นจากทะเลสาบ ทั้งภายในเสาค้ำ กำแพงที่รายรอบ และแม้กระทั่งจากชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะที่หวังเป่าเล่อกำลังดูดพลังอยู่!
พลังรุนแรงระเบิดออกทันที พลังนั้นไม่สนใจหวังเป่าเล่อ แต่พุ่งเป้าไปที่โยวหรัน ทุกสิ่งในถ้ำแห่งนี้มองตัวเขาเป็นศัตรูในที่สุด!
ทะเลสาบทองคำระเบิดออก แขนขาซากศพเหาะออกมาพร้อมกระโจนเข้าโจมตี เสาค้ำสั่นสะท้าน นิ้วหักๆ มากมายพุ่งเข้าใส่ตัวเขาเช่นกัน
ยังไม่จบเพียงเท่านั้น กำแพงรอบกายเริ่มปริแตกกลายเป็นก้อนหินที่พุ่งเข้าหาโยวหรันอันเป็นเป้าหมาย!
ตัวเขาตกใจเป็นอันมากจนต้องล่าถอยจากอันตรายที่เกิดขึ้นโดยฉับพลัน สถานการณ์นี้ทั้งแปลกประหลาดทั้งไม่น่าเชื่อจนเขาสับสนไปหมด
โยวหรันปล่อยพลังปราณของตนเองออก พร้อมโบกมือและเปลี่ยนตนเองให้กลายเป็นพายุสีดำ ที่พัดพาเข้าใส่ชิ้นส่วนนิ้วและแขนขา รวมถึงเศษหินเหล่านั้น จากนั้นจึงกระโจนเข้าหาหวังเป่าเล่อต่อไป
การกระทำของเขาทำให้หมื่นภัยพิบัติโกรธเกรี้ยว ตราประทับนกพิราบบนศีรษะของโยนหรันทอแสงจ้า และลืมตาขึ้นในทันที พลังต่อต้านทวีความรุนแรงขึ้นและระเบิดรอบกาย พลังนั้นมาจากชุดคลุมออกศึกด้วยเช่นกัน พุ่งตรงมายังเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียว โยวหรันตัวสั่นสะท้าน สีหน้าไม่อยากเชื่อสายตา ขณะที่ล่าถอยให้พ้นจากการโจมตีที่มองไม่เห็นหนี
นี่คือการปลุกอำนาจของหมื่นภัยพิบัติเป็นครั้งแรกของหวังเป่าเล่อ ตัวเขาเองก็ตกใจกับภาพตรงหน้าเช่นกัน ชายหนุ่มรีบปล่อยพลังชุดที่สองจากลูกประคำอันถัดไปออกมาทันทีโดยไม่ลังเล!
“พันชีวิต!”
ลูกประคำรูปดาวลูกที่สองทอแสงจ้า ความรู้สึกอบอุ่นที่คุ้นเคยกระจายไปทั่วร่างของหวังเป่าเล่อ นกพิราบตัวที่สองปรากฏขึ้นบนหน้าปากของเขา พลังนี้แข็งแกร่งกว่าพลังชุดแรกที่เขาปล่อยไปเป็นอันมาก!
หวังเป่าเล่ออบอุ่นไปทั้งร่างกาย ความรู้สึกได้รับการยอมรับรวมถึงไมตรีจิต เข้าโอบกอดเขาจากบรรยากาศโดยรอบ
ความเปลี่ยนแปลงนี้ปรากฏขึ้นชัดเจนที่สุดในชุดคลุมออกศึก ก่อนหน้านี้ขณะพยายามดูดพลัง หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าชุดคลุมนั้นต่อต้านการกระทำของเขา เมล็ดแห่งการดูดกลืนของหวังเป่าเล่อ เดินหน้าสูบพลังจากชุดคลุมอย่างแข็งขัน แต่ในตอนนี้…แรงต้านที่เคยสัมผัสได้เมื่อก่อนหน้านั้นหายไปเรียบร้อยแล้ว ชุดคลุมไม่ได้ต่อต้านเขาอีกต่อไป แต่กลับเชิญชวนหวังเป่าเล่อให้มาสูบพลังออกจากตนเองด้วยซ้ำ!
การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้หวังเป่าเล่อตกใจเป็นอันมาก เขาดีใจเป็นล้นพ้น ดวงตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น จิตใจพุ่งขึ้นสู่ความปีติถึงขีดสุด!
“เจ้าโยวโยวน้อยเอ๋ย รู้ไหมว่านี่คือที่ได้ เจ้ากำลัง…อยู่ในบ้านของบิดาเจ้าอย่างไรเล่า มารับบทเรียนจากบิดาเจ้าคนนี้เสียดีๆ !”
บทที่ 659 หัตถ์สื่อวิญญาณและนิมิตหมุนวน!
พลังของหมื่นภัยพิบัติและพันชีวิต ทำให้โยวหรันรู้สึกได้ถึงอันตรายจากสภาพแวดล้อมรอบกายภายในถ้ำแห่งนี้!
ความเป็นปฏิปักษ์แผ่ออกจากบรรดาเศษนิ้วที่ไหลบ่าออกจากเสาค้ำ และจากก้อนหินมากมายที่พร้อมจะพุ่งเข้าอัดเขา รวมถึงจากพลังของชุดคลุมที่แยกไม่ออกด้วยซ้ำว่าใครคือมิตรใครคือศัตรู
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนิ่งอึ้งอยู่กับที่ รู้สึกได้ว่าปรากฏการณ์ตรงกันข้ามกับตนกำลังเกิดขึ้นกับหวังเป่าเล่อ ทุกสิ่งในถ้ำหมุนวนรอบความต้องการของหวังเป่าเล่อทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเสาค้ำ ทะเลสาบทองคำ แม้กระทั่งชุดคลุมออกศึกเองก็เลิกต่อต้านการดูดพลังของชายหนุ่ม และส่งพลังทั้งหมดที่มันมีไปให้ชุดเกราะของเขาได้ดูดซึมอย่างอิ่มเอมเสียแทน เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เหลือเชื่อและแปลกประหลาดมากเหลือเกิน
สิ่งที่แย่ที่สุดคือ หวังเป่าเล่อกล้าเรียกเขาด้วยชื่อที่หมายเหยียดหยามเขาให้จมดิน ทำให้เขารู้สึกขมคอ หมอนั่นทำแม้กระทั่งยกตนเป็นบิดาเขาเสียด้วยซ้ำ ดวงตาของโยวหรันเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ ดูเหมือนกำลังจะสติหลุดใกล้บ้า เขากู่ร้องเสียงหลง ปล่อยพลังปราณเชื่อมวิญญาณของตนเองออกและทะยานไปข้างหน้าหมายเข้าชน ท่ามกลางบรรยากาศรอบกายที่อาฆาตมาดร้ายตน เขาตั้งใจต่อสู้กับทุกสิ่งในถ้ำแห่งนี้ ตั้งใจจะทำลายหวังเป่าเล่อให้สิ้นซากเสีย
โยวหรันมาจากตระกูลไม่รู้สิ้นและมีพลังปราณที่ทรงพลังเป็นอย่างมาก แม้ว่าจะเคยแข็งแกร่งกว่านี้ในอดีต แต่พลังปราณที่ตัวเขาส่งออกมาในตอนนี้ ท่ามกลางบรรยากาศโหดร้ายจากอำนาจของกระบวนเวทหมื่นภัยพิบัติ ก็ยังอาบไปด้วยแรงสังหารอย่างเต็มเปี่ยม
ม่านตาของหวังเป่าเล่อหดแคบลง เขาสร้างผนึกมือชุดและชี้ไปที่โยวหรันอีกครั้งหนึ่ง
“หัตถ์สื่อวิญญาณ!”
โยวหรันกรุยทางเอาไว้ให้หวังเป่าเล่อเรียบร้อยแล้ว โดยการกำจัดสิ่งกีดขวางจำนวนมากและต่อสู้กับแรงต้านจากชุดคลุมออกศึก จนมาหยุดอยู่ห่างจากหวังเป่าเล่อไปสามร้อยเมตรได้ในที่สุด จิตใจของเขาเดือดปุดด้วยความโกรธเกรี้ยว มือขวายกขึ้นหมายเปลี่ยนหวังเป่าเล่อให้กลายเป็นเศษเนื้อ ในตอนนั้นเองที่ชายหนุ่มพูดสองคำนั้นออกมา…
เสียงของหวังเป่าเล่อสะท้อนไปทั่วถ้ำ ประคำสื่อวิญญาณบนข้อมือของเขาเรืองแสงจ้า ควันสีดำพวยพุ่งออกจากลูกประคำ ก่อนเปลี่ยนสภาพไปเป็นมือขนาดยักษ์กว้างหลายร้อยเมตร!
ปีศาจหน้าตาน่ากลัวห้าตนผูกติดอยู่กับนิ้วทั้งห้า ต่างพากันคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวขณะที่มือนั้นพุ่งเข้าใส่โยวหรัน มือนั้นทะลุผ่านร่างของเขาไป แต่หวังเป่าเล่อก็เห็นได้ชัดเจนว่ามีเงาดำหนึ่งซ้อนทับกับร่างของโยวหรันอยู่ เงาดำนั้นก็คือวิญญาณของเขาซึ่งหลอมรวมกับวิญญาณจุติเองนั่นเอง!
วิญญาณนั้นหลอมรวมเข้ากับวิญญาณจุติของโยวหรันมาหลายปีจนนับไม่ถ้วน จนแทบจะกลายเป็นหนึ่ง มือยักษ์คว้าเอาวิญญาณดวงนั้นออกจากร่าง และดึงออกมาได้ถึงครึ่งร่างในที่สุด!
ดวงวิญญาณของโยวหรันพร่ามัว แต่ใบหน้าของเจ้าของวิญญาณกลับต่างกันโดยสิ้นเชิง โยวหรันตกใจเป็นอันมาก เขาไม่ได้คาดคิดว่าหวังเป่าเล่อจะมีกระบวนเวทที่ยอดเยี่ยมและทรงพลังเช่นนี้เอาไว้ในครอบครอง!
หากหวังเป่าเล่อทรงพลังมากกว่านี้ เขาจะไม่ต้องใช้ลูกประคำในการปลุกกระบวนเวทนี้แม้แต่น้อย แต่สามารถควบคุมอำนาจของมันได้ดังใจนึก ในตอนนั้น ชายหนุ่มจะกลายมาเป็นก้างชิ้นใหญ่แน่นอน ต่อให้หวังเป่าเล่อไม่ได้มีพลังปราณสูงเท่าโยวหรัน ก็ยังจะอันตรายมากอยู่ดี
แต่ตอนนี้…ชายหนุ่มยังต้องพัฒนาตนเองอีกมาก เมื่ออันตรายมาจ่ออยู่ตรงหน้า โยวหรันก็ไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตนเอง แต่ต่อสู้เพื่อขยับร่างกายให้เป็นอิสระด้วยการกัดลิ้นเรียกสติ ดวงตาของเขากลายเป็นสีเลือด ความเจ็บปวดและเลือดในปากทำให้เขาปล่อยกระบวนเวทบางอย่างออกมาได้
ร่างทั้งร่างกลายเป็นสีแดง พร้อมด้วยคลื่นพลังปราณน่ากลัวที่สาดออกมา ตามด้วยลมหมุนขนาดยักษ์ที่ก่อตัวขึ้นภายใน ลมหมุนนั้นพุ่งเข้าใส่วิญญาณของเขา และค่อยๆ ลากมันกลับเข้าไปยังร่างดังเดิม
ในตอนที่วิญญาณของโยวหรันกำลังจะกลับเข้าร่าง และกำลังจะหลอมรวมกับวิญญาณจุติและกายเนื้อของเขาได้อย่างไม่ค่อยเสถียรนั้นเอง ประกายอำมหิตก็วาบเข้ามาในดวงตาหวังเป่าเล่อ เขาตะโกนก้องพร้อมสร้างผนึกมือชุด!
“นิมิตหมุนวน!”
หัตถ์สื่อวิญญาณนั้นมีไว้เพื่อทำให้วิญญาณตกใจ ส่วนนิมิตหมุนวนมีไว้เพื่อล่อวิญญาณให้ออกจากร่าง!
ลูกประคำรูปดาวลูกสุดท้ายบนข้อมือเขาเริ่มทอแสงจ้าทันทีที่หวังเป่าเล่อประกาศสองคำนั้นออกไป พลังยิ่งใหญ่ที่อยู่รายรอบตัวทั้งสองเริ่มไหลวนเป็นกระแส!
ราวกับว่าพลังนี้เกิดขึ้นจากแก่นของชีวิต และมาจากสถานที่ลึกลับที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณ หวังเป่าเล่อไม่ได้เข้าใจมากว่ากำลังเกิดสิ่งใดขึ้น ตั้งแต่ก่อนเกิดยุคกำเนิดวิญญาณ สหพันธรัฐได้พิสูจน์เรียบร้อยแล้วว่าความฝันของคนเรานั้นมีอำนาจลึกลับเพียงใด แต่ครั้งโบราณกาลมนุษย์พบเจอกับเรื่องประหลาดอย่างปรากฏการณ์เดจาวู ที่ทำให้เรารู้สึกเหมือนว่าสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นนั้น เคยเกิดขึ้นมาก่อนในฝันของเรา
แต่สหพันธรัฐก็ยังสรุปได้เพียงคร่าวๆ เท่านั้นว่าปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไรหลังจากโลกเข้าสู่ยุคกำเนิดวิญญาณ ต้นกำเนิดของมันมาจากพลังลึกลับที่อยู่รอบกายเรา พลังนั้นสะท้อนกับส่วนลึกภายในวิญญาณสิ่งมีชีวิตทุกชนิด จนเกิดเป็นภาพสะท้อนประหลาดที่ฉายออกจากภายในจิตใจ
หากมีใครนำพลังนี้มาใช้งานได้ ก็เปรียบเสมือนคนผู้นั้นได้บรรลุวิชาแห่งเต๋าผ่านทางความฝัน ผู้นั้นจะสามารถควบคุมแก่นของความฝันได้ และจะสามารถใช้อำนาจที่คล้ายคลึงกับนิมิตมืดได้!
นิมิตหมุนวนนี้ก็มีพลังที่คล้ายคลึงกัน แม้จะไม่ได้ยิ่งใหญ่จนแผ่อำนาจได้เป็นวงกว้าง แต่ก็แข็งแกร่งพอควบคุมอาณาเขตเล็กๆ ได้ หลักการของมันคือการดึงเอาพลังลึกลับจากโลกแห่งความฝัน มาหมุนเป็นวงแหวนรอบกายคู่ต่อสู้ที่กำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความฝันนั่นเอง!
วงแหวนหนึ่งวงคือความฝันหนึ่งเรื่อง ส่วนวงแหวนสองวงคือฝันซ้อนฝัน พลังขีดจำกัดของมันคือการสร้างฝันซ้อนฝันเก้าครั้ง ทำได้แม้กระทั่งควบคุมทุกสิ่งในโลกแห่งความฝัน และสังหารคนในฝันได้ด้วยเช่นกัน!
แต่พลังปราณที่ไม่มากพอของหวังเป่าเล่อ ก็ทำให้นิมิตหมุนวนปล่อยพลังถึงขีดสุดไม่ได้ แม้จะส่งพลังปราณจำนวนมากเข้าไปในลูกประคำแล้วก็ตามที ชายหนุ่มก็ทำได้เพียงสร้างวงแหวนแห่งความฝันขึ้นมาหนึ่งวงเท่านั้น!
กระบวนเวทที่หวังเป่าเล่อปล่อยออกมานี้ สร้างผลึกมากมายที่เข้ารายล้อมโยวหรันอย่างไร้สุ้มเสียง ผลึกเหล่านั้นดูเหมือนเป็นภาพลงตา แต่เมื่อดูใกล้ๆ ก็จะพบว่ามีตัวตนอยู่จริง ผลึกค่อยๆ สร้างวงแหวนขึ้นรอบกายเป้าหมาย!
ดูเหมือนว่าโยวหรันจะไม่รู้ตัวว่าวงแหวนผลึกกำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างอยู่รอบตัวเขา เนื่องจากกำลังพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะดึงวิญญาณของตนเองกลับเข้าที่ รวมถึงความทรงพลังของตัวกระบวนเวทนิมิตหมุนวนเองด้วย!
ภายในพริบตา วงแหวนผลึกแก้วก็ล้อมเข้าไว้เป็นที่เรียบร้อย โยวหรันสะดุ้งสุดตัวก่อนหมดสติไป เขาลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศ นิ่งสนิทไม่ไหวติง พลังที่เขาใช้เพื่อทำให้วิญญาณตนเองกลับมาเสถียรมลายหายไปในอากาศ ราวกับร่างทั้งร่างถูกดึงเข้าไปในความฝันโดยไม่ทันตั้งตัว
หวังเป่าเล่อไม่รู้ว่าโยวหรันกำลังฝันถึงสิ่งใดอยู่ เนื่องจากเขาเข้าไปดูด้วยตาตนเองไม่ได้ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่านี่เป็นโอกาสงามที่เขารอคอยมานานแสนนาน!
ดวงตาของหวังเป่าเล่อสว่างวาบขณะมองชุดคลุมออกศึก แขนของหนึ่งของชุดคลุมถูกเขาดูดพลังไปจนแห้งเหี่ยว ส่วนอีกข้างกำลังกำลังเริ่มยวบยาบตามกำลังการดูดกลืนของชุดเกราะจักรพรรดิ
เขาอาจจะใช้โอกาสนี้ในการเดินหน้าดูดพลังจากชุดคลุมออกศึกต่อไปก็ได้ แต่ตนเองก็ไม่แน่ใจว่านิมิตหมุนวนจะคงอำนาจต่อไปได้นานเพียงใด ชายหนุ่มไม่อยากเดินหมากอย่างประมาทในสถานการณ์ล่อแหลมเช่นนี้
หากมีทางเลือก เขาย่อมต้องการอนาคตที่เขาเลือกเอง!
ดวงตาของชายหนุ่มเด็ดเดี่ยวมุ่งมั่น เขาหยุดดูดพลังจากชุดคลุมออกศึกเต๋ามรณะและกระโจนขึ้นไปในอากาศ ชุดเกราะจักรพรรดิสว่างวาบในมือขวา รวมตัวควบแน่นกลายเป็นหมัด พลังปราณของเขาหมุนวน พลังที่อธิบายไม่ถูกพวยพุ่งออกจากอาวุธเทพอัฐิและซัดไปข้างหน้า ร่างของชายหนุ่มพร่าเลือนตามความเร็วที่เพิ่มขึ้นประทันหัน ก่อนปรากฏตัวขึ้นข้างๆ โยวหรัน หมัดของเขาพุ่งตรงไปที่ศีรษะของคู่ต่อสู้ ที่นิ่งสนิทไม่ไหวติงอยู่กลางอากาศ!
กระบี่เหาะเหินทอประกายวาบด้วยไอมรณะ พร้อมพุ่งออกจากเสาค้ำยันหนึ่งด้วยความเร็วเท่าหวังเป่าเล่อ หมายตัดจุดตันเถียนของโยวหรันให้ขาดสะบั้น!
สายสัมพันธ์ระหว่างชายหนุ่มและกระบี่ได้ขาดลงตั้งแต่ที่เขาเข้ามาที่ชั้นสามและตกลงตรงเสาค้ำ เขาเสียใจเป็นอย่างมากที่สูญเสียกระบี่แสนรักไป แม้จะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะนำมันกลับมาครอบครองดังเดิม
อำนาจของหมื่นภัยพิบัติและพันชีวิตทำให้การเชื่อมโยงระหว่างเขาและกระบี่กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่ปลุกเอานิ้วซากศพจำนวนมากให้ออกมาจากเสาค้ำนั้น หวังเป่าเล่อไม่ได้ปลุกมันขึ้นมาเมื่อก่อนหน้า แต่กลับรอให้พลังของมันกลับมาแก่กล้าเต็มที่ก่อน!
“ตายเสียเถิด!”
ชายหนุ่มกัดฟันปลุกพลังทั้งหมดของเกราะจักรพรรดิไปยังอาวุธเทพของเขา พลังของอาวุธเทพนี้มากพ่อที่จะสังหารผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณระดับต้นและกลางได้สบายๆ แม้โยวหรันจะมีปราณอยู่ในขึ้นเชื่อมวิญญาณ แต่หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่าพลังนี้แข็งแกร่งพอทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสได้ หากโจมตีพร้อมกับกระบี่เหาะเหิน!
หวังเป่าเล่อพุ่งตรงไปข้างหน้า แต่ในตอนนั้นเอง ดวงตาของโยวหรันก็เริ่มเคลื่อนไหวอยู่ภายใต้เปลือกตา เขากำลังจะตื่นขึ้นจากนิทราแล้ว!
…………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น