ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 653-659

 ตอนที่ 653 โอสถประลองกระบี่

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องปรุงโอสถ หลังจากรอคอยอย่างเงียบๆ สองชั่วยาม ก็ปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับกลางออกมาได้หลายเม็ด ขณะที่เก็บเตาหลอมลิ่วเสินเข้าไปนั้น ในสมองยังคงเต็มไปด้วยคำพูดที่กล่าวถึงผู้อาวุโสระดับสูง


ผู้อาวุโสระดับสูงที่กล่าวถึง แตกต่างจากผู้อาวุโสดำเนินการโดยทั่วไปและผู้อาวุโสแต่ละยอดเขา เกณฑ์เดียวที่สามารถเข้าสู่ระดับนั้นได้ก็คือ มีการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์แล้ว


ในนิกายยอดบริสุทธิ์ ไม่ว่าแต่เดิมจะมีสถานะเช่นไร แต่เพียงแค่เข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์ได้ ก็จะกลายเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายทันที มีสิทธิ์ได้รับทรัพยากรในนิกายจำนวนมากเกินกว่าจะนึกถึงได้ และกลายเป็นเสาเอกที่แท้จริงของนิกายยอดบริสุทธิ์


ตามที่หลิ่วหมิงทราบมา แม้ว่านิกายยอดบริสุทธิ์จะเป็นหนึ่งในสี่ยอดนิกายใหญ่ แต่ผู้อาวุโสระดับสูงระดับดาราพยากรณ์ก็มีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น


ฝูจื่อที่เขาพบเจอในวังหลีเหอในก่อนหน้า ก็เป็นหนึ่งในนั้น


ผู้อาวุโสระดับสูงในนิกายยอดบริสุทธิ์เหล่านี้ สามารถบดขยี้การดำรงอยู่ของนิกายธรรมดาได้อย่างง่ายดายในชั่วพริบตาเดียว


แม้เขาจะไม่รู้ว่าเหตุใดผู้อาวุโสระดับสูงท่านนี้ถึงต้องการศิษย์ที่รู้สายกระบี่และโอสถอย่างกะทันหัน แต่ในเมื่อมอบแต้มคุณูปการให้สองแสนแต้มกับคุณงามความดีเป็นการตอบแทน คิดว่าเรื่องนี้สำคัญกับผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ผู้นี้มาก


ดูท่าการไปในครั้งนี้ เขาจะต้องให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ ต้องทำให้ผู้อาวุโสระดับสูงผู้นี้พอใจถึงจะได้


พอหลิ่วหมิงนึกถึงจุดนี้ ก็รีบออกจากห้องปรุงโอสถ และไปนอนในห้องนอนเป็นการใหญ่ในทันที เพื่อเรื่องในวันพรุ่งนี้แล้ว เขาจะต้องพักผ่อนให้มากๆ


เช้าตรู่วันที่สอง หลิ่วหมิงออกจากถ้ำที่พักด้วยจิตใจที่สดชื่นแจ่มใส จากนั้นก็ขี่เมฆพุ่งไปทางหอคุมกฎ


ครึ่งชั่วยามต่อมา เมฆดำก่อนหนึ่งก็ร่อนลงบนยอดเขาที่เป็นที่ตั้งของหอคุมกฎ พอเขาเข้าไปในประตูใหญ่ของหอ รองหัวหน้าเจ้าผู้นั้นก็ได้รออยู่ที่นั่นแล้ว


“ดี! ในที่สุดเจ้าก็มา ตามข้ามาเถอะ!”


พอรองหัวหน้าเจ้าผู้นี้เห็นหลิ่วหมิง เขาก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา หลังจากโบกมือให้แล้ว ก็หมุนตัวเดินนำไป


หลิ่วหมิงย่อมพูดตอบรับ และเดินตามไป


ทั้งสองเดินตามกันไม่นาน ก็มาถึงห้องหลังหนึ่งที่อยู่ด้านหลังหอคุมกฎ


สถานที่แห่งนี้มีค่ายกลส่งตัวขนาดต่างๆ อยู่สิบกว่าหลัง และแต่ละหลังต่างก็มีชั้นจำกัดม่านแสงที่มีสีแตกต่างกัน


ก่อนหน้านั้นที่เขามาหอคุมกฎ ก็เคยชำเลืองมองสถานที่แห่งนี้อย่างไม่ตั้งใจ ส่วนค่ายกลเหล่านี้จะส่งตัวไปที่ใดนั้น เขากลับไม่รู้เลยแม้แต่น้อย


ไม่รอให้หลิ่วหมิงได้เอ่ยปากถามอะไร รองหัวหน้าเจ้าผู้นี้ก็ยื่นยันต์สีทองให้หลิ่วหมิงผืนหนึ่ง จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังค่ายกลบางแห่งก่อนกล่าวออกมา


“มองเห็นค่ายกลสีเขียวอ่อนหลังนั้นไหม  นี่คือยันต์ส่งตัว เจ้าเพียงแค่ถือยันต์นี้เข้าไปในค่ายกล ก็จะถูกส่งไปยังที่พักของผู้อาวุโสระดับสูงผู้นี้”


“ทราบ! อาจารย์อาเจ้า” หลิ่วหมิงยื่นมือรับยันต์มา และกล่าวขอบคุณอย่างนอบน้อม


จากนั้นก็ถือยันต์สีทองเดินเข้าไปใกล้ค่ายกล พอกระตุ้นพลังเวท แสงสีทองลำหนึ่งก็พุ่งออกจากยันต์ส่งตัว และกะพริบจมหายไปในขอบค่ายกลส่งตัว


ทันใดนั้น ค่ายกลก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่ามีแสงสีเขียวเปล่งประกายตรงหน้า อากาศรอบด้านสั่นสะเทือนเบาๆ จากนั้นก็เริ่มพร่ามัว


ครู่ต่อมา พลัยมีเสียงดัง “ตู๊ม!” ข้างหู


เมื่อเขามองเห็นทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านชัดเจนอีกครั้ง ก็มาปรากฏตัวในพื้นที่เขียวชอุ่มขนาดเล็กแล้ว


พื้นที่แห่งนี้ไม่เพียงแต่มีขนาดราวๆ สิบกว่าหมู่ พอมองออกไปรอบด้านล้วนเป็นกำแพงหมอกสีเขียว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใดสถานที่แห่งนี้ถึงสว่างเป็นพิเศษ


หลังจากหลิ่วหมิงเพ่งสายตามอง ก็มองเห็นกระท่อมธรรมดาๆ หลายหลังกับศาลาไม้หลังหนึ่งอยู่ไม่ไกล ด้านข้างของกระท่อมเป็นแปลงสมุนไพรขนาดหลายหมู่ ในนั้นปลูกสมุนไพรจิตวิญญาณที่เต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณหลายชนิด


พอมองออกไป เขาก็ค้นพบว่าในนั้นมีสมุนไพรจิตวิญญาณที่มีชื่อว่าหญ้าดึงวิญญาณอยู่ด้วย ในงานประมูลครั้งหนึ่งในก่อนหน้านั้น ต้นหนึ่งที่มีอายุสามร้อยปีก็ถูกประมูลออกไปในราคาเกือบหนึ่งล้านหินจิตวิญญาณ


แม้เขาจะไม่รู้จักพืชสมุนไพรจิตวิญญาณตัวอื่นๆ แต่คิดว่ามันคงมีคุณสมบัติไม่ธรรมดา ล้วนเป็นพืชจิตวิญญาณล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่งในโลกภายนอก


นอกจากพืชสมุนไพรจิตวิญญาณเหล่านี้แล้ว ยังมีวิหคจิตวิญญาณหลายตัวเกาะอยู่ด้านข้าง แต่ละตัวล้วนมีกลิ่นไอไม่ธรรมดา นกยูงห้าสีตัวหนึ่งหันคอเรียวยาวมามองหลิ่วหมิง ทำให้เขารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดัง “แอ๊ด!” มาจากกระท่อมหลังหนึ่ง และผู้อาวุโสสองคนก็เดินออกมา


ทั้งสองต่างก็ดูมีอายุราวๆ ห้าสิบหกสิบปี หนึ่งในนั้นสวมชุดคลุมสีขาว ผมขาวหน้าแดงมีเลือดฝาด ส่วนอีกคนก็สวมชุดคลุมสีแดงทั้งตัว หน้าตาธรรมดา ผมขาวยุ่งเหยิงเต็มศีรษะ แต่ดวงตากลับเป็นสีฟ้าอ่อนๆ


พอหลิ่วหมิงกวาดจิตออกไป ก็ไม่อาจรับรู้ระดับการฝึกฝนของทั้งสองได้ ประจักษ์ชัดว่าต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งเหนือกว่าระดับแก่นแท้แล้ว


“ศิษย์หลิ่วหมิง คารวะผู้อาวุโสระดับสูงทั้งสอง หลิ่วหมิงยืนนิ่งอยู่กับที่ในทันที และโค้งคารวะทั้งสองจากที่ไกลๆ ด้วยสีหน้านอบน้อม


“อ้อ! เจ้าเป็นศิษย์ที่มาช่วยในครั้งนี้ใช่ไหม ไม่เลว! อายุยังน้อยแต่กลับมีพลังเวทบริสุทธิ์อย่างหาได้ยากยิ่ง” ผู้อาวุโสชุดแดงกวาดสายตามองดูหลิ่วหมิง และหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


เขามองดูแค่ทีเดียวก็รู้ว่าพลังเวทของหลิ่วหมิงบริสุทธิ์กว่าศิษย์ทั่วไปมาก


“ข้าคือจงอี้ เป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ และก็เป็นคนที่ประกาศภารกิจด้วย ด้านข้างนี่คือผู้อาวุโสเหยาฟู่เหวิน” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีขาวสังเกตดูหลิ่วหมิงสองที และค่อยๆ กล่าวด้วยสีหน้าพอใจเช่นกัน


“ที่แท้ก็คือผู้อาวุโสจงกับผู้อาวุโสเหยา” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจเล็กน้อย แต่ก็รีบคารวะอีกครั้งอย่างรวดเร็ว


แม้จะเป็นการพบเจอครั้งแรก แต่เนื่องจากทั้งสองเป็นผู้อาวุโสระดับสูงของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่มีไม่มาก ดังนั้นหลิ่วหมิงย่อมได้ยินชื่อของทั้งสองมานานแล้ว


จงอี้เป็นผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์เพียงหนึ่งเดียวที่เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ และเหยาฟู่เหวินก็เชี่ยวชาญสายกระบี่ พวกเขาทั้งสองกับผู้อาวุโสอีกคนที่เชี่ยวชาญสายยันต์ ถูกเรียกรวมกันว่าสามจิตวิญญาณแห่งยอดบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่เหนือข้อพิพาทใดๆ ในนิกายยอดบริสุทธิ์


“เอาล่ะ! ไม่ต้องมากพิธีแล้ว ศิษย์น้องจงเตาหลอมวิเศษนั้น ข้าให้เจ้ายืมใช้ระยะหนึ่ง รอเจ้าเสร็จเรื่องแล้วค่อยคืนให้ข้า” เหยาฟู่เหวินโบกมือให้กับหลิ่วหมิง จากนั้นก็หันไปกล่าวกับผู้อาวุโสชุดคลุมสีขาวที่อยู่ด้านข้าง


“ถ้าอย่างนั้นต้องขอบคุณศิษย์พี่เหยามาก วันหลังข้าจะไปคืนเตาหลอมให้กับศิษย์พี่ด้วยตนเองอย่างแน่นอน” จงอี้กล่าวอย่างนอบน้อม


“ศิษย์น้องจงกล่าวเกินไปแล้ว เจ้ากับข้าเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกันมานับพันปีแล้ว ใยต้องมาเกรงอกเกรงใจเช่นนี้ด้วย เอาล่ะ! ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ไม่อยู่ดูศิษย์น้องปรุงโอสถแล้ว ต้องขอตัวก่อน” ผู้อาวุโสชุดแดงหัวเราะอย่างเปิดเผย จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีแดงกะพริบหายไปจากพื้นที่ลึกลับแห่งนี้


ผู้อาวุโสชุดขาวเห็นเช่นนี้ ก็หุบยิ้มแล้วหันมากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม


“รองหัวหน้าเจ้าบอกข้าว่า เจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถท่านหนึ่ง ทั้งยังปรุงโอสถระดับพสุธาได้ด้วย ขณะเดียวกันยังเคยฝึกฝนเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง และค่อนข้างเชี่ยวชาญสายกระบี่ด้วย ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงหรือ?”


“เรียนผู้อาวุโสระดับสูง เป็นเช่นนี้จริงๆ” หลิ่วหมิงตอบโดยไม่ต้องคิด


“ดีมาก! หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ก็สามารถช่วยได้อยู่บ้าง ที่ข้าเรียกเจ้ามาในครั้งนี้เพื่อให้เจ้าช่วยข้าปรุงโอสถบรรพกาลที่มีชื่อว่า ‘โอสถประลองกระบี่’ ได้ยินชื่อนี้แล้ว เจ้าคงจะรู้แล้วนะว่าเหตุใดข้าถึงเรียกเจ้ามา ศิษย์ที่ช่วยข้าปรุงโอสถในก่อนหน้านั้นต้องกักตัวฝึกฝน จึงไม่อาจมาช่วยข้าได้ และในนิกายยอดบริสุทธิ์ยังมีหลายคนที่สามารถรับหน้าที่นี้ได้ แต่ดันติดภารกิจภายนอกกันหมด และข้าก็จำเป็นต้องปรุงโอสถนี้มาใช้อย่างเร่งด่วนในระยะใกล้ๆ นี้ ด้วยเหตุนี้หลังจากเกิดอุปสรรคอยู่หลายครั้งหลายหน ข้าถึงเรียกเจ้ามาพบ”


“ศิษย์จะช่วยผู้อาวุโสปรุงโอสถนี้ให้สำเร็จอย่างสุดความสามารถ” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ถึงเข้าใจขึ้นมา จากนั้นก็รีบกุมมือคารวะก่อนกล่าวออกมา


“เช่นนี้ก็ดี! หลังจากเสร็จเรื่องนี้แล้ว เจ้าย่อมได้รับผลดีอย่างแน่นอน เรื่องนี้ไม่อาจชักช้าได้ พวกเรามาเริ่มกันเถอะ! เจ้าตามข้ามา” จงอี้พยักหน้าและโบกมือให้หลิ่วหมิงก่อนกล่าวด้วยความพอใจ


จากนั้นผู้อาวุโสชุดขาวก็พาหลิ่วหมิงเดินไปในกระท่อมหลังหนึ่ง


กระท่อมที่ดูธรรมดานี้ ด้านในกลับราวกับเป็นแดนสวรรค์ ซึ่งเป็นห้องปรุงโอสถสี่เหลี่ยมที่มีพื้นที่ราวๆ สิบกว่าจั้ง ด้านหนึ่งของห้องมีชั้นหนังสือที่เป็นไม้สีเหลืองตั้งวางอยู่สองสามอัน และยังมีเตียงหลังหนึ่งตั้งอยู่อย่างเรียบง่าย นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีสิ่งของอย่างอื่นอีก


บนพื้นอีกด้านหนึ่ง มีค่ายกลที่เกิดจากการก่อตัวของร่องลึกชุ่นกว่าๆ ปรากฏอยู่รำไร


จงอี้เดินไปตรงหน้าค่ายกล พอสะบัดแขนเสื้อ เตาหลอมสีแดงเล็กๆ ใบหนึ่งก็พุ่งออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ กลางอากาศแล้ว มันก็สูงขึ้นราวๆ สามสี่จั้ง และหล่นลงบนค่ายกลอย่างรุนแรง “โครม!”


บนเตาหลอมยักษ์มีอักขระสีแดง เหลือง และฟ้าปรากฏอย่างชัดเจน


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย


เตาหลอมใบนี้ก็คือเตาหลอมสามอัคคีที่เขาเคยพบเจอในแดนอบอ้าวใบนั้น!


“ต่อไปข้าจะปรุงโอสถประลองกระบี่ สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือ ขณะที่โอสถนี้ใกล้จะเกาะตัว ให้เจ้าปล่อยปราณกระบี่เข้าไปในเตาหลอมอย่างต่อเนื่องก็พอแล้ว ในเมื่อเจ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถระดับของเหลว คงรู้ว่าโอสถนี้จะเกาะตัวเวลาใด ยึดกุมโอกาสให้ดี อย่าให้เร็วหรือช้าจนเกินไป มิเช่นนั้นพอโอสถนี้ไม่อาจดูดซับปราณกระบี่ได้มากพอ ก็จะไม่สามารถปรุงออกมาได้อย่างราบรื่น” จงอี้กำชับหลิ่วหมิงอย่างราบเรียบ


หลิ่วหมิงได้ยินย่อมตอบรับอย่างนอบน้อม นิ้วทั้งสิบเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ปล่อยพลังเข้าไปในเตาหลอมสามอัคคีตรงหน้า


อักขระสามสีบนพื้นผิวของเตาหลอมยักษ์เริ่มเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ฝาเตาหลอมก็เปิดออกมา และมีแสงสามสีม้วนตัวเข้าไปด้านในอยู่ตลอดเวลา


“ตู๊ม!”


พลังสายหนึ่งจมเข้าไปในค่ายกลตรงก้นเตาหลอม มังกรเพลิงสีแดงที่ร้อนแรงเป็นพิเศษพุ่งขึ้นมา และหมุนวนห่อหุ้มก้นเตาหลอมไว้


พอจงอี้สะบัดแขนเสื้อ ยันต์เก็บของสามผืนก็ปรากฎบนฝ่ามือ หลังจากขยี้จนแตกกระจายไปพร้อมกันแล้ว วัตถุดิบกองหนึ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตาลายจนเรียกชื่อไม่ถูก ก็ลอยอยู่กลางอากาศตรงหน้า


ครู่ต่อมา แขนเสื้อทั้งสองข้างของผู้อาวุโสชุดขาวก็โบกสะบัดติดต่อกัน จากนั้นวัตถุดิบตรงหน้าก็กระโดดลงไปในเตาหลอม และฝาเตาหลอมก็ค่อยๆ ปิดลง


หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ จงอี้ก็ใช้มือข้างหนึ่งคำนวณดูเวลา ขณะเดียวกันก็รอคอยอย่างเงียบๆ และปล่อยพลังใส่เตาหลอมเป็นระยะๆ เพื่อควบคุมความร้อนของเปลวไฟสีแดงอยู่ตลอดเวลา


ตอนที่ 654 ลูกกลอนกระบี่

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงจ้องมองเตาหลอมตาไม่กะพริบ เขาเพิ่งปรุงโอสถประลองกระบี่เป็นครั้งแรก จึงไม่รู้ว่าโอสถนี้ต้องใช้เวลาปรุงนานเท่าใด และจะเกาะตัวเวลาไหน จึงได้แต่เฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา จะได้ไม่พลาดโอกาสอันดีในการปล่อยปราณกระบี่


ทั้งสองอยู่ในกระท่อมนานสามวันสามคืน


หลิ่วหมิงเชี่ยวชาญเวลาในการใส่ปราณกระบี่มากขึ้นเรื่อยๆ ทุกครั้งต่างก็ปล่อยปราณกระบี่ใส่เข้าไปในเตาหลอมอย่างไร้สุ้มเสียง และส่วนมากก็ถูกโอสถในนั้นดูดซับจนหมดเกลี้ยง มีแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สลายไป


ขณะที่หลิ่วหมิงคิดว่าโอสถนี้จะใช้เวลาปรุงนานกว่านี้นั้น ฝาเตาหลอมพลันสั่นสะท้านเบาๆ และเริ่มพ่นไอสีขาวออกมา


“คงพอประมาณแล้ว อีกประเดี๋ยวข้าจะเปิดเตาหลอม เจ้าใช้พลังเวททั้งหมดปล่อยปราณกระบี่ออกมาได้มากเท่าใด ก็ปล่อยออกมาให้หมดเถอะ” จงอี้เห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย


หลิ่วหมิงย่อมพยักหน้าตอบรับ และสะบัดแขนเสื้อนำกระบี่เล็กสีเขียวออกมา หลังจากทำท่ามือเคล็ดกระบี่แล้ว เงากระบี่จำนวนมากก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า


จงอี้เห็นเช่นนี้ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็โบกสะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง ทำให้ฝาเตาหลอมค่อยๆ ลอยขึ้นมาหนึ่งฉื่อกว่าๆ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หยุดทำท่าเคล็ดกระบี่ทันที แขนข้างที่จับกระบี่สั่นสะท้าน เงากระบี่จำนวนมากกลายเป็นปราณกระบี่พุ่งเข้าไปในเตาหลอม


ขณะที่ปราณกระบี่ทะลักเข้าไปนั้น พลันมีเสียงปราณกระบี่พุ่งไปมาในเตาหลอมเบาๆ จนแทบจะไม่ได้ยิน


หลังจากทำเช่นนี้ต่อเนื่องจนเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป จงอี้ก็ตะโกนออกมาเบาๆ “หยุด!” จากนั้นหลิ่วหมิงถึงหยุดการปล่อยปราณกระบี่


“ทำได้ดีมาก เจ้าไปพักผ่อนสักครู่ก่อนเถิด!” จงอี้กล่าวชมไปหนึ่งประโยค และโบกแขนเสื้อปิดฝาเตาหลอมลงอีกครั้ง จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่ลง และรอคอยอย่างเงียบๆ


ผ่านไปราวๆ สองชั่วยาม มีเสียงดัง “ตู๊ม!” มาจากด้านในเตาหลอม ขณะเดียวกันกลิ่นไหม้อย่างรุนแรงก็โชยไปทั่วกระท่อม


“ดูท่าคงจะล้มเหลวแล้ว”


จงอี้ส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็ทำท่ามือเปิดฝาเตาหลอมออกมา พอโบกมือข้างหนึ่ง วัตถุสีดำที่มีเปลวไฟสามสีห่อหุ้มอยู่ก็พุ่งออกมา และร่วงลงบนฝ่ามือของเขา


เขากวาดสายตาดูแค่ทีเดียว ก็โยนทิ้งไปด้านข้าง จากนั้นก็นำยันต์เก็บของสามผืนมาขยี้จนแตกกระจาย และนำวัตถุดิบกองหนึ่งใส่เข้าไปในเตาหลอมยักษ์อีกครั้ง เปลวไฟตรงก้นเตาหลอมเริ่มปรุงโอสถเป็นครั้งที่สอง


และหลิ่วหมิงย่อมรอคอยอย่างเงียบๆ ไปพร้อมกัน ด้านหนึ่งฟื้นฟูพลังเวท ด้านหนึ่งก็สังเกตการเปลี่ยนแปลงภายในเตาหลอมอยู่ตลอดเวลา


จนเวลาผ่านไปสามวันครึ่ง พลันมีเสียงดัง “ตู๊ม!” มาจากด้านในเตาหลอมอีกครั้ง กลิ่นไหม้โชยออกมา การปรุงโอสถในครั้งที่สองยังคงล้มเหลวเช่นเดิม


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็แบะปากอย่างอดไม่ได้!


คิดไม่ถึงว่าโอสถประลองกระบี่จะปรุงยากขนาดนี้ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถระดับดาราพยากรณ์ยังล้มเหลวติดต่อกันถึงสองครั้ง อัตราการปรุงโอสถสำเร็จต่ำจนยากจะรู้ได้ และวัตถุดิบที่ใช้ปรุงโอสถเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นชนิดใดก็ตาม เกรงว่าคงเป็นสิ่งที่หาไม่ได้ในโลกภายนอกอย่างแน่นอน


แต่จงอี้ยังคงขยี้ยันต์อีกสามผืนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และเริ่มปรุงโอสถครั้งที่สาม


หลายวันผ่านไป ขณะที่ฝาเตาหลอมสั่นสะท้านเบาๆ นั้น หลิ่วหมิงก็ถือโอกาสกระตุ้นเคล็ดกระบี่ปล่อยปราณกระบี่สีเขียวเข้าไปในเตาหลอมสามอัคคีโดยฉับพลัน


หลังจากจงอี้ปิดฝาเตาหลอมลง จนเวลาผ่านไปสองชั่วยาม ก็มีเสียงดังระเบิดดังขึ้นเบาๆ ภายในเตาหลอม “ปังๆ!” และเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นเวลานานหนึ่งมื้อข้าว


ขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกงงงวยนั้น เปลวไฟสามสีกลับพุ่งออกจากช่องว่างระหว่างฝาเตาหลอม


“สำเร็จแล้ว!”


จงอี้เห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าดีใจออกมา พอยกมือข้างหนึ่งปล่อยพลังออกไป เตาหลอมก็ค่อยๆ ขยับออก แสงทรงกลดสีขาวเงินเปล่งประกายออกมา ขณะเดียวกันปรานกระบี่ก็ทะยานออกจากเตาหลอม


ขณะนั้นเอง จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ในร่างหลิ่วหมิง ก็สั่นสะเทือนเบาๆ อยู่ไม่หยุด ราวกับรับรู้อะไรบางอย่างได้


หลิ่วหมิงรีบทำท่ามือด้วยความตกใจ จากนั้นมันถึงถูกควบคุมไว้ได้


ขณะนี้จงอี้ถึงหยุดทำท่ามือ พอโบกมือข้างหนึ่งออกไป โอสถขนาดเท่าหัวแม่มือสามเม็ดที่ถูกเปลวไฟสามสีห้อหุ้มอยู่ ก็ค่อยๆ พุ่งออกจากเตาหลอม และหล่นลงในมือของเขา


เขาใช้นิ้วคีบมันขึ้นมาหนึ่งเม็ด และสังเกตดูอย่างละเอียด


พอมองทะลุเปลวไฟสามสีไป จะเห็นโอสถสีขาวเงินเม็ดหนึ่งปรากฏอยู่ในนั้นอย่างชัดเจน และบนผิวของมันก็มีลายโอสถสีทองจางๆ ประทับอยู่หนึ่งเส้น


ขณะที่หลิ่วหมิงมองเห็นโอสถสีขาวเงินที่ถูกเปลวไฟห่อหุ้มอยู่นี้ เขาก็รู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้


โอสถประลองกระบี่ที่กล่าวถึง กลิ่นไอภายนอกดูคล้ายกับโอสถที่เขาได้มาจากแดนอบอ้าวในตอนนั้นมาก


เพียงแต่ว่าเม็ดที่อยู่บนมือของเขามีขนาดใหญ่กว่าเท่าตัว บนพื้นผิวมีลายโอสถสีทองสามเส้น แต่โอสถเหล่านี้มีเพียงเส้นเดียวเท่านั้น ทั้งยังไม่มีพลังจิตวิญญาณเพียงพอเหมือนกับเม็ดที่อยู่ในมือของเขา


“ฮ่าๆ! สำเร็จแล้วจริงๆ มีโอสถนี้แล้ว ต่อไปคงเข้าสู่ระดับลูกกลอนกระบี่ได้อย่างไม่มีปัญหา” เห็นได้ชัดว่าจงอี้รู้สึกพอใจกับการปรุงโอสถในครั้งนี้มาก ทั้งยังแหงนหน้าหัวเราะเป็นการใหญ่


“ผู้อาวุโสระดับสูง โอสถประลองกระบี่นี้มีความสัมพันธ์อันใดกับลูกกลอนกระบี่หรือ?” พอหลิ่วหมิงได้ยินคำว่า ‘ลูกกลอนกระบี่’ ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา นึกถึงตอนที่ออกทะเลกับเย่เทียนเหมยในครั้งแรก นางก็เคยพูดชื่อนี้ออกมา เขาจึงถามออกไปอย่างอดไม่ได้


“อ๋อ! เจ้าไม่รู้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ลูกกลอนกระบี่คือการดำรงอยู่หลังจากที่กระบี่บินพลังจิตวิญญาณเลื่อนระดับแล้ว นับว่าเป็นของวิเศษโดยแท้จริง แต่ขั้นตอนการเลื่อนระดับของมันไม่เหมือนกับอาวุธจิตวิญญาณอื่นๆ จำเป็นต้องต่อสู้กับกระบี่บินอื่นๆ นับพันนับหมื่นครั้ง ถึงจะหล่อหลอมออกมาได้ และโอสถประลองกระบี่ไม่ต้องต่อสู้กับการฝึกฝนกระบี่อันแข็งแกร่งอื่นๆ ก็สามารถทำให้กระบี่บินแต่ละชนิด ทำการต่อสู้กันเองจนหล่อหลอมออกมาได้” จงอี้เอามือฟั่นหนวดสีขาว และค่อยๆ อธิบายออกมา


หลิ่วหมิงได้ยินถึงแสดงสีหน้าเข้าใจในทันที


คิดไม่ถึงว่าลูกกลอนกระบี่จะเลื่อนระดับด้วยวิธีนี้ และในมือเขากลับมีโอสถระดับธรรมดาที่มีลายโอสถสามเส้น สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้


“ใช่สิ! ได้ยินมาว่าจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่เจ้าหลอมขึ้นมา ได้รับความเสียหายเพราะเหตุผลบางอย่าง และการปรุงโอสถประลองกระบี่สำเร็จในครั้งนี้ ก็นับว่าเจ้าออกแรงไม่น้อย เช่นนี้เถอะ! ข้าจะเปิดยันต์นำทางให้เจ้าเข้าไปในวิหารวิญญาณกระบี่ของนิกายเราสักครั้ง เดิมทีที่นั่นมีแต่ศิษย์ลับของนิกายที่สามารถเข้าไปได้ เจ้าสามารถสังหารวิญญาณกระบี่ในวิหาร และดูดซับพลังของไอกระบี่ที่เปลี่ยนรูปมา ทำให้จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว แม้กระทั่งอาจจะแข็งแกร่งกว่าเดิมหนึ่งเท่าขึ้นไปก็ได้” ผู้อาวุโสชุดขาวเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที และกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม


“วิหารวิญญาณกระบี่……ขอบคุณผู้อาวุโสระดับสูงที่เมตตา” แม้หลิ่วหมิงจะได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก แต่ในเมื่อเข้าไปด้านในแล้วสามารถฟื้นฟูอานุภาพของตัวอ่อนกระบี่ได้ เขาย่อมโค้งคารวะด้วยความดีใจ


“อืม! เจ้าเคยฝึกฝนเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง พอจะนับได้ว่ามีสิทธิ์เข้าไปในนั้นได้ นี่คือยันต์นำทาง เจ้าอาศัยยันต์นี้เข้าไปในวิหารวิญญาณกระบี่ได้หนึ่งครั้ง ส่วนจะได้รับไอกระบี่จากวิหารนี้มากน้อยเท่าใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับวาสนาของเจ้าแล้ว” ขณะที่พูดผู้อาวุโสชุดคลุมสีขาวก็หยิบยันต์สีเทาสลัวๆ ผืนหนึ่งออกจากแขนเสื้อ และยื่นให้หลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงรับยันต์มาด้วยความดีใจ และเก็บเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างทะนุถนอม


เวลาต่อมา ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสจงอี้จะรู้สึกอารมณ์ดีที่ปรุงโอสถประลองกระบี่สำเร็จ จึงแนะนำเทคนิคการปรุงโอสถให้หลิ่วหมิงเล็กน้อย สิ่งนี้ย่อมเป็นประโยชน์ต่อเขามาก


ผ่านไปอีกพักใหญ่ๆ ทั้งสองก็เดินออกจากกระท่อม


จงอี้เพียงแค่โบกแขนเสื้อ แสงสีขาวลำหนึ่งก็ม้วนตัวออกมาห่อหุ้มหลิ่วหมิงไว้


ครู่ต่อมา พลันมีเสียงดัง “ตู๊ม!” ข้างหูหลิ่วหมิง จากนั้นเขาก็ถูกส่งออกมาจากพื้นที่ลึกลับ และมาปรากฏตัวในห้องด้านข้างหอคุมกฎอีกครั้ง


หลังจากหลิ่วหมิงสังเกตดูรอบด้าน และไม่พบว่ามีใครอยู่บริเวณนั้นแล้ว เขาก็ถอนหายใจออกมายาวๆ จากนั้นก็เดินออกไปด้านนอก


ไม่นาน เขาก็ไปหาผู้ดำเนินการหอคุมกฎรับแต้มคุณูปการมาสองแสนแต้ม และส่งมอบผลงานใหญ่ของนิกายที่เขาติดค้างไว้ จากนั้นก็เดินตรงไปนอกหอใหญ่ทันที


ออกจากหอคุมกฎไปแล้ว เขาก็ไม่ได้กลับไปยังถ้ำที่พัก แต่กลับขี่เมฆไปที่หอเก็บคัมภีร์แทน


ครั้งนี้เขาไม่ได้พบกับศิษย์ดำเนินการแซ่หลี่ว์ผู้นั้น ผู้ที่อยู่เวรกลายเป็นชายฉกรรจ์ตาโต คิ้วเข้มผู้หนึ่ง


หลังจากทักทายคนผู้นี้แล้ว หลิ่วหมิงก็ตรงขึ้นไปบนชั้นสาม และพุ่งไปยังคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับโอสถทันที


หลังจากค้นหาข้อมูลไปหนึ่งรอบ ในที่สุดเขาก็ค้นพบข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับโอสถประลองกระบี่จากคัมภีร์เก่าๆ เล่มหนึ่ง


ที่แท้โอสถประลองกระบี่ก็เป็นตำราปรุงโอสถในสมัยบรรพกาล วัตถุดิบที่ใช้ซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง และส่วนมากยังเป็นวัตถุดิบจิตวิญญาณที่หายสาบสูญไปแล้ว


ตามบันทึกในคัมภีร์ แม้แต่ในสมัยบรรพกาลก็มีคนปรุงโอสถชนิดนี้ได้น้อยมาก มาจนถึงตอนนี้ก็เกือบหายสาบสูญไปแล้ว มีเพียงแค่นิกายระดับนิกายยอดบริสุทธิ์ และผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถระดับดาราพยากรณ์อย่างจงอี้เท่านั้น ที่มีกำลังรวบรวมมาได้ครบถ้วน และใช้สมบัติฟ้าดินบางส่วนที่สะสมมาหลายปี ถึงปรุงออกมาได้


แต่ว่าสำหรับผู้ฝึกฝนกระบี่แล้ว โอสถประลองกระบี่นี้ เป็นสมบัติที่หายากจริงๆ


หากไม่มีโอสถนี้ล่ะก็ ผู้ฝึกฝนกระบี่โดยทั่วไปที่อยากจะให้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณกลายสภาพเป็นลูกกลอนกระบี่ ไม่เพียงแต่ต้องการโอกาสดีๆ เท่านั้น ยังยากลำบากและอันตรายเป็นอย่างยิ่ง มีน้อยกว่าหนึ่งในร้อยที่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง


แต่ว่าโอสถประลองกระบี่ยิ่งมีน้อย หลิ่วหมิงก็ยิ่งรู้สึกใจเต้นมากขึ้น


จากนั้นเขาก็รีบหาคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับวิหารวิญญาณกระบี่อย่างรีบร้อน หลังจากใช้เวลาไปครึ่งค่อนวัน ก็พบเจอบันทึกไม่กี่ประโยคในคัมภีร์หนังสีดำบางๆ ที่ดูไม่เตะตาเล่มหนึ่ง


ที่แท้วิหารวิญญาณกระบี่เกิดจากการระเบิดตัวของกระบี่บินเชื่อมจิตวิญญาณหลังจากผู้ฝึกฝนกระบี่ท่านหนึ่งเสียชีวิต ซึ่งหลังจากกระบี่บินระเบิดออกมา ไอกระบี่นับไม่ถ้วนก็ปกคลุมเต็มที่พักของเขา และก่อตัวเป็นวิหารลับแห่งหนึ่ง


สุดท้ายวิหารลับแห่งนี้ก็ถูกพบโดยบรรพบุรุษของนิกายยอดบริสุทธิ์ และใช้พลังมหัศจรรย์นำกลับมาไว้ในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ จะได้ให้ศิษย์ที่ฝึกฝนกระบี่ในนิกายได้ใช้ฝึกฝน


ตอนแรกศิษย์ในนิกายที่ฝึกฝนกระบี่ต่างก็สามารถใช้ได้ทั้งหมด แต่หลังจากค้นพบว่าวิญญาณกระบี่ในวิหารหมดเร็วเกินไป จึงให้ใช้เฉพาะศิษย์สายใน ต่อมาก็มีแต่ศิษย์ลับเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้


แต่ในเมื่อตอนนี้หลิ่วหมิงได้รับอนุญาตจากผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์แล้ว ย่อมสามารถแหกกฎเกณฑ์เข้าไปได้หนึ่งครั้ง


ตอนที่ 655 วิหารวิญญาณกระบี่

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในยอดเขาลั่วโยว


หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับภายในถ้ำที่พัก ในมือถือโอสถสีเงินที่ได้จากแดนอบอ้าวในก่อนหน้านั้นอยู่


โอสถมีขนาดเท่าหัวแม่มือ และถูกเปลวไฟสามสีห่อหุ้มไว้ พื้นผิวเป็นสีเงิน กลิ่นไอที่แผ่ออกมาก็แหลมคมและล้ำลึกเป็นอย่างมาก ทุกอย่างเป็นไปตามที่ระบุไว้ในคัมภีร์ทั้งหมด มันเป็นโอสถประลองกระบี่อย่างแน่นอน อีกอย่างลายโอสถสีทองสามเส้นบนพื้นผิว ก็บ่งบอกว่านี่คือโอสถระดับสูง ซึ่งบริสุทธิ์กว่าที่ผู้อาวุโสจงอี้ปรุงขึ้นมามาก


หลิ่วหมิงใช้นิ้วคีบโอสถอย่างระมัดระวัง ขณะที่พลิกดูไปมานั้น ก็ยิ่งรู้สึกเบิกบานใจมากขึ้นกว่าเดิม และเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้


มีโอสถประลองกระบี่ระดับสูงเม็ดนี้แล้ว  หมายความว่าภายหน้าเขายิ่งมีโอกาสฝึกฝนลูกกลอนกระบี่ในอนาคต ด้วยเหตุนี้การฝึกฝนสายกระบี่ของเขา ก็จะก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วย


แต่ไม่ต้องคิดอะไรมากก็รู้ว่า หากจะใช้โอสถนี้ อย่างน้อยต้องมีกระบี่บินพลังจิตวิญญาณก่อน ทั้งยังต้องฝึกฝนถึงระดับที่แน่นอนถึงจะได้


หลังจากหลิ่วหมิวคิดพิจารณาดูแล้ว ก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งเก็บโอสถนี้เข้าไปในกล่องผ้าไหมอย่างระมัดระวัง และใส่เข้าไปในแหวนย่อส่วน


เพราะในขณะนี้ แม้แต่กระบี่บินพลังจิตวิญญาณเขายังหลอมไม่สำเร็จ ยังห่างจากการปรับแต่งลูกกลอนกระบี่มากนัก ดังนั้นโอสถอันล้ำค่านี้ย่อมต้องเก็บไว้ให้ดี


เวลาต่อเวลา หลังจากหลิ่วหมิงนั่งคิดพิจารณาอยู่เงียบๆ แล้ว ก็เก็บความคิดฟุ้งซ่านเหล่านี้เข้าไป และเริ่มตั้งใจฝึกฝนพลังของการขี่กระบี่เหินเวหา


การฝึกฝนอย่างอย่างลำบากในก่อนหน้านั้น เขาได้รวมพลังเวทกับร่างของกระบี่บินเป็นหนึ่งในขั้นแรกแล้ว ปัญหาต่อไปก็คือฝึกฝนให้ชำนาญนั่นเอง


หลิ่วหมิงอ่านส่วนที่เกี่ยวข้องกับการขี่กระบี่บินเหินเวหาในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็ลุกขึ้นมาทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนอีกข้างก็โบกแขนเสื้อเบาๆ


“ฟิ้ว!”


กระบี่บินสีเขียวพุ่งออกจากแขนเสื้อ และขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ก่อนตกลงตรงเท้าของเขา จากนั้นปราณกระบี่สีเขียวก็แผ่กระจายออกมา


หลิ่วหมิงกระโดดเบาๆ ก็ขึ้นไปอยู่บนตัวกระบี่ และหยุดทำท่ามือลง


“ฟิ้ว!”


หลิ่วหมิงและกระบี่กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งยิงออกไป


พื้นที่ในห้องลับค่อนข้างแคบ ความเร็วในการขี่กระบี่บินเหินเวหาก็เร็วมาก พริบตาเดียวก็เกือบชนใส่ผนังถ้ำ


หลิ่วหมิงรีบเปลี่ยนท่ามือควบคุมกระบี่ให้หักเลี้ยวในทันที จากนั้นถึงหลบผนังไปได้อย่างหวุดหวิด


แต่ยังไม่ทันได้รู้สึกโล่งใจ ก็เกือบชนกับผนังอีกด้านหนึ่ง


หลังจากเป็นเช่นนี้อยู่หลายรอบ หลิ่วหมิงกับเงากระบี่ยักษ์สีเขียวที่อยู่ใต้เท้า ก็ชนใส่ผนังเข้าอย่างจัง


ภายในถ้ำมีชั้นจำกัดอยู่ หลังจากถูกชนในครั้งนี้ แสงทรงกลดสีขาวน้ำนมก็โผล่ออกมา แต่กลับไม่เกิดความเสียหายแต่อย่างใด


และด้วยกายเนื้อที่แข็งแกร่งของหลิ่วหมิง เขาก็ลุกขึ้นมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น หลังจากสะบัดแขนขาแล้ว ก็ทำท่าเคล็ดกระบี่และเริ่มฝึกฝนอีกครั้ง


พื้นที่แคบๆ เช่นนี้ ถึงเป็นเทคนิคที่ดีที่สุดในการฝึกขี่กระบี่เหินเวหา


สุภาษิตกล่าวไว้ได้ดี การฝึกฝนทั้งหมดไร้กาลเวลา ครั้งนี้เขากักตัวฝึกฝนเป็นเวลานานถึงสามปี


ห้องลับภายในถ้ำที่พักของหลิ่วหมิง มีแสงสีเขียวเปล่งประกายรอบด้าน มีเสียงลมพัดอื้ออึง


แต่พอแสงกระบี่สีเขียวลำหนึ่ง โบกสะบัดราวกับขนปุยสีขาวของต้นหลิวที่ล่องลอยตามลม เขาก็พุ่งไปมาในห้องลับ และหลบหลีกได้ดั่งใจต้องการ สามารถบินไปมาในพื้นที่แคบๆ ได้อย่างอิสระ ไม่รู้สึกงุ่มง่ามเหมือนแต่ก่อนแล้ว


ครู่ต่อมาแสงสีเขียวหยุดชะงักเล็กน้อย และเกิดเป็นเศษเงาจำนวนมากที่ทำให้รู้สึกตาลาย เงาแสงสีเขียวทั่วห้องถูกเก็บในพริบตา หลังจากแสงดับลง ก็เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิงที่อยู่ในนั้น


ตอนนี้เขาลอยอยู่กลางอากาศ ใต้เท้ามีกระบี่บินสีเขียวที่ส่งเสียงดังหวึ่งๆ อยู่เป็นระยะๆ


แต่พอมองดูในห้องลับ เขาก็รู้สึกหมดคำพูดในทันที จะเห็นว่าผนังทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยรอยร้าว


การฝึกฝนอย่างยากลำบากมาสามปี ไม่รู้ว่าสัมผัสกับผนังมาตั้งกี่ครั้ง ต่อให้จะมีชั้นจำกัดที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ก็ไม่อาจต้านทานการโจมตีติดต่อกันหลายปีได้ ผนังในตอนนี้จึงเต็มไปด้วยรอยปะทะของกระบี่บิน


แต่โชคดีที่ตอนนี้เขาพยายามฝึกฝนจากขั้นเบื้องต้นจนเข้าสู่ขั้นแรก และสามารถควบคุมได้ดั่งใจแล้ว


ต่อมา เขาก็ไม่ใช้เวลาไปกับการฝึกฝนนี้อีก แต่กลับทำการครุ่นคิดอย่างละเอียด จากนั้นก็เก็บกระบี่บินเข้าไป  หลังจากจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางแล้ว ก็เดินออกไปจากถ้ำที่พัก


พอออกมานอกถ้ำ เขาก็นำแผนที่เทือกเขาหมื่นวิญญาณออกมา หลังจากกวาดสายตาดูแล้ว ก็เหยียบกระบี่บินและกลายเป็นแสงกระบี่สีเขียวพุ่งไปทางวิหารวิญญาณกระบี่


เหตุผลที่เขาลำบากฝึกฝนวิชาขี่กระบี่ ก็เพื่อเพิ่มความมั่นใจในการฝ่าเข้าไปในวิหารแห่งนี้


ไม่นาน แสงกระบี่สีเขียวลำหนึ่งก็มาถึงหุบเขาที่อยู่ห่างจากยอดเขากระบี่สวรรค์ไม่ไกล ซึ่งถูกหมอกขาวปกคลุมไว้


หุบเขาแห่งนี้เร้นลับเป็นอย่างมาก หากไม่ใช่ว่าก่อนหน้านั้นเขาทำเครื่องหมายตำแหน่งนี้ไว้บนแผนที่ เกรงว่าคงไม่อาจหาได้โดยง่าย


หลังจากหลิ่วหมิงมั่นใจว่าหุบเขาตรงหน้าตรงตามที่ระบุไว้ในแผนที่แล้ว ก็ขี่กระบี่บินเหินเวหาต่ำๆ ตรงเข้าไปในหมอกขาว


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาต่อมา แสงกระบี่สีเขียวก็มาถึงวิหารโบราณขนาดใหญ่ที่ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก ซึ่งอยู่ในในส่วนลึกของหุบเขา


หลังจากแสงกระบี่ดับลง ก็เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิง


เขาเก็บกระบี่บินเข้าไปแล้วกวาดสายตามองดูรอบด้านอย่างรวดเร็ว


จะเห็นว่าบนก้อนหินตรงหน้าวิหารใหญ่ มีอักขระสีแดงเลือดขนาดใหญ่ และดูทรงพลังสลักอยู่สามคำ ‘วิหารวิญญาณกระบี่’ มันดูราวกับแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่ แต่ระหว่างอักขระแต่ละตัว กลับเผยให้เห็นไอกระบี่อันแข็งแกร่งที่แผ่ออกมา


พอหลิ่วหมิงมองเห็นหินยักษ์ก้อนนี้ ก็ดูเหมือนจะรับรู้ได้ว่า จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุในร่างของเขามีการเคลื่อนไหวลางๆ


เขารู้สึกใจสั่นสะท้าน และรีบนำยันต์นำทางสีเทาสลัวๆ ที่จงอี้มอบให้ออกมา


ก่อนมาที่นี่เขาก็ได้ทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิหารวิญญาณกระบี่ไปแล้วหนึ่งรอบ รู้ว่ารอบๆ วิหารใหญ่นี้ไม่มีคนอยู่ป้องกัน แต่ว่าบริเวณนี้กลับวางค่ายกลจิตวิญญาณกระบี่ไว้บรนี้ ใครก็ตามที่กล้าบุกรุกเข้ามา จะถูกปราณกระบี่นับไม่ถ้วนฟาดฟันจนกลายเป็นเนื้อเหลว


หลิ่วหมิงกระตุ้นเวทใส่เข้าไปในยันต์ทันที


ผลลัพธ์คือยันต์ลุกไหม้ขึ้นมาเอง จากนั้นควันสีเทาก็พวยพุ่งออกมาจำนวนมาก ทำให้อากาศบริเวณนั้นกลายเป็นระลอกคลื่น พริบตาเดียวก็ห่อหุ้มร่างของเขาไว้


ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่าร่างกายเบาลงจนพุ่งไปทิศทางบางแห่งโดยไม่ได้ตั้งใจ


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เมื่อควันสีเทารอบตัวเขาสลายไป และมองเห็นสภาพรอบด้านชัดเจนอีกครั้งนั้น เขาก็มาปรากฏตัวในพื้นที่ไร้ขอบเขตสีเทาสลัวๆ แห่งหนึ่ง


“ที่นี่คือวิหารวิญญาณกระบี่หรือ?”


พอหลิ่วหมิงมองไปรอบด้าน กลับค้นพบว่าสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาล้วนเป็นหมอกควันสีเทาทั้งหมด และพื้นสีเทาด้านล่างก็ดูเป็นภาพที่เปล่าเปลี่ยวมาก


“เอ๊ะ! ไม่ถูกต้อง!”


หลิ่วหมิงมีปฏิกิริยาตอบสนองในทันที ท่ามกลางหมอกควันสีเทาเหล่านี้ แผ่ไอกระบี่อ่อนๆ ออกมาเป็นระยะๆ ดูเหมือนว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิตอย่างหนึ่ง


ตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุในร่างเขาก็ดูเหมือนจะรับรู้อะไรได้ มันจึงส่งเสียงดังหวึ่งๆ เบาๆ


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอกระตุ้นเคล็ดกระบี่ ก็เริ่มชักนำไอกระบี่ที่กระจัดกระจายอยู่รอบด้านจมเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณ


เมื่อควันสีเทารอบด้านถูกดูดซับไปพอประมาณแล้ว ตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุที่เกือบจะโปร่งใสก็ดูชัดเจนขึ้นมา และเริ่มส่งเสียงเบิกบานใจเบาๆ


“ที่ผู้อาวุโสจงกล่าวไว้เป็นเรื่องจริง วิหารวิญญาณกระบี่นี้เต็มไปด้วยพลังไอกระบี่ สามารถฟื้นฟูความเสียหายของจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ได้อย่างรวดเร็ว” หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น


แต่ว่าพลังไอกระบี่กระจัดกระจายที่ดูดซับมาได้เหล่านี้มันน้อยเกินไป หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ อยากจะฟื้นฟูมันได้อย่างสมบูรณ์ อย่างน้อยต้องใช้เวลาเจ็ดแปดปีถึงจะได้


แต่ยันต์นำทางที่ผู้อาวุโสจงมอบให้ ย่อมไม่อาจทำให้เขาอยู่ในนี้ได้นานขนาดนั้น


“ดูท่าคงต้องทำตามที่ผู้อาวุโสจงบอก รีบสังหารวิญญาณกระบี่ในนี้ และดูดซับพลังไอกระบี่โดยเร็ว”


พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็ขยับเท้าในทันที จากนั้นแสงกระบี่สีเขียวก็ห่อหุ้มร่างของเขาไว้ และพุ่งยิงออกไปในพริบตา


เขาพุ่งออกไปได้ไม่นาน ก็มีเสียง “ฟิ้ว! ดังมาจากด้านข้าง!


แสงสีเทาลำหนึ่งพุ่งเข้ามาไม่ไกล และพุ่งเข้าใส่แสงกระบี่ที่หลิ่วหมิงกลายร่างมา


หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้น เขาไม่ได้รู้สึกโมโหแต่กลับดีใจเสียด้วยซ้ำ เขาหยุดชะงักลง และปล่อยดรรชนีปราณกระบี่ออกไป


จากความเข้าใจของเขาในก่อนหน้า ภายในวิหารวิญญาณกระบี่แห่งนี้ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ มีเพียงแค่วิญญาณกระบี่ที่รวมตัวขึ้นมาจากพลังไอกระบี่เท่านั้น เพียงแค่สังหารมัน ก็จะดูดซับพลังไอกระบี่ที่บริสุทธิ์ได้


“ปัง!” ปราณกระบี่สีเขียวโจมตีแสงสีเทาจนแตกกระจาย และพุ่งลงพื้นโดยตรง


หลังจากมีเสียงระเบิดดังขึ้น ก็เกิดหลุมขนาดใหญ่บนพื้น


ขณะเดียวกัน เงาสีเทาสลัวๆ ก็กระโดดออกมา มันกะพริบแค่ทีเดียวก็พุ่งออกไปสิบกว่าจั้ง


ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงมองเห็นสภาพของวิญญาณกระบี่อย่างชัดเจน ที่แท้มันก็เป็นมนุษย์แสงคนหนึ่ง รอบตัวถูกปกคลุมไปด้วยหมอกควันสีเทาสลัวๆ แต่ดวงตาทั้งคู่กลับมีแสงแวววาวที่ยาวหนึ่งชุ่นกว่าๆ เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และจ้องมองหลิ่วหมิงไม่วางตา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา


ดูเหมือนว่าวิญญาณกระบี่รูปมนุษย์นี้จะมีสติปัญญาในระดับหนึ่ง ซึ่งได้กลายเป็นจิตวิญญาณชนิดหนึ่งแล้ว แต่คลื่นปราณกระบี่ที่แผ่อยู่บนตัวกลับมีจำนวนไม่น้อย ดูจากพลังเวทแล้ว ไม่ด้อยไปกว่าระดับของเหลวขั้นต้นเลย


ตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ บรรพบุรุษผู้ทรงพลังของนิกายยอดบริสุทธิ์ที่ย้ายวิหารวิญญาณกระบี่มาผู้นั้น เพื่อทำให้วิหารแห่งนี้กลายเป็นแดนต้องห้ามที่ศิษย์สายกระบี่ใช้ฝึกฝนโดยเฉพาะ จึงได้วางชั้นจำกัดพิเศษไว้ ภายในพื้นที่แห่งนี้สามารถใช้ได้แค่กระบี่บินกับพลังกระบี่เท่านั้น พอใช้วิชาหรืออาวุธจิตวิญญาณอื่นๆ จะถูกวิหารนี้ส่งตัวออกไปด้านนอกทันที


ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้แต่ใช้เคล็ดกระบี่กับกระตุ้นกระบี่บินรับมือกับวิญญาณกระบี่ตรงหน้าเท่านั้น


หลิ่วหมิงครุ่นคิดไปมาอย่างรวดเร็ว ท่ามือของเขากลับไม่ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย แสงสีเขียวลำหนึ่งพุ่งขึ้นจากใต้เท้า และม้วนตัวเข้าหาวิญญาณกระบี่รูปมนุษย์ตรงหน้า


วิญญาณกระบี่รูปมนุษย์ตรงหน้าก็มีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วมาก พอเผชิญหน้ากับแสงกระบีสีเขียวที่พุ่งเข้ามา ร่างของมันก็พุ่งออกไปด้านหลัง ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นแสงสีกระบี่สีเทาออกมาหนึ่งลำ ดูเหมือนว่าจะมีขนาดใหญ่กว่าแสงสีดำในเมื่อครู่หนึ่งเท่ากว่าๆ จากนั้นมันก็พุ่งไปรับมือแสงกระบี่สีเขียว


ตอนที่ 656 ฉิวหลงจื่อ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัดออกมา เคล็ดกระบี่ที่ท่องอยู่ในใจหยุดลงทันที


แสงกระบี่สีเขียวเปล่งประกายออกมา และกลายเป็นกระบี่ยักษ์สีเขียวทันที มันกะพริบแค่ทีเดียวก็ฟันแสงสีเทาจนขาด จากนั้นก็ม้วนเอาวิญญาณกระบี่รูปมนุษย์ไว้อย่างรวดเร็ว


ขณะที่มีเสียงฉีกขาดดังออกมา วิญญาณกระบี่ก็ถูกปั่นเป็นชิ้นๆ โดยไม่ทันได้ส่งเสียงร้อง พอเกิดเสียงดัง “ปัง!” มันก็กลายเป็นหมอกควันสีเทา ปราณกระบี่เล็กละเอียดราวกับเส้นผมลอยออกมา และแผ่คลื่นกลิ่นไอกระบี่อันแข็งแกร่ง


หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ร่างของเขากะพริบมาปรากฏตัวข้างปราณกระบี่แวววาวอย่างรวดเร็ว พอคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ พลังไอกระบี่สายนี้ก็จมเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณของเขา


ขณะเดียวกัน ตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุที่ลอยอยู่เงียบๆ ก็สั่นสะท้านราวกับมีชีวิตขึ้นมา ระหว่างที่มันกะพริบไม่กี่ที ก็ดูดพลังไอกระบี่ในทะเลจิตวิญญาณไปจนหมดเกลี้ยง


ภายใต้การกวาดจิตดูของหลิ่วหมิง ก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าพลังของจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ฟื้นฟูเล็กน้อยแล้ว เขาจึงพยักหน้าด้วยความพอใจ


จากนั้นเขาใช้มือข้างหนึ่งเรียกกระบี่บินสีเขียวกลับมา และขณะที่กำลังจะขี่แสงกระบี่ไปด้านหน้าต่อนั้น กลับมีแสงสีเงินอีกลำพุ่งเข้ามา


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน หลังจากเขม้นตามอง ก็มองเห็นสิ่งที่ห่อหุ้มอยู่ในแสงสีเงินอย่างชัดเจน ที่แท้มันก็เป็นวิญญาณกระบี่รูปมนุษย์เช่นกัน ดูจากกลิ่นไอที่มันแผ่ออกมาแล้ว ไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่าวิญญาณกระบี่ในก่อนหน้านั้นตั้งกี่เท่า


และด้านหลังของเขาก็มีแสงกระบี่สีทองขนาดใหญ่ลำหนึ่งพุ่งยิงเข้ามา ดูเหมือนว่าจะไล่แสงกระบี่ในเมื่อครู่อยู่


หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ขณะที่กำลังจะหลบวิญญาณกระบี่สีเงินนั้น กลับมีเสียงบ้าระห่ำดังมาจากที่ไกลๆ


“ศิษย์น้องตรงหน้า ช่วยข้าสกัดกั้นเจ้าแสงสีเงินนี้หน่อย!”


ขณะที่พูด แสงกระบี่สีเงินก็กะพริบมาถึงตรงหน้าอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงรู้สึกลังเลเล็กน้อย แต่ในที่สุดก็ชี้นิ้วออกมาไป กระบี่สีเขียวใต้เท้ากะพริบออกมาอีกครั้ง และกลายเป็นแสงกระบี่ยักษ์ลำหนึ่ง พอมันฟันลงไป เงากระบี่สีเขียวเจ็ดแปดเงาก็ปิดทางหนีของวิญญาณกระบี่ไว้ทั้งหมด


“ฮึ่ม……!”


ดูเหมือนวิญญาณกระบี่จะรู้สึกไม่พอใจที่ถูกหลิ่วหมิงขวางทางกะทันหัน มันจึงส่งเสียงคำรามด้วยความโมโห และแสงสีเงินบนตัวก็เปล่งประกายมากขึ้นกว่าเดิม


ครู่ต่อมา ขณะที่เกิดเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” ติดต่อกันนั้น เงากระบี่สีเขียวก็พากันปะทะลงบนกระบี่สีเงิน!


ฉากที่ทำให้หลิ่วหมิงประหลาดใจได้เกิดขึ้นแล้ว!


แสงสีเงินเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งสองสามทีก็กลับมาสงบดังเดิม และเงากระบี่กลับค่อยๆ แตกกระจายออกมา


ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ความเร็วของมันได้หยุดชะงักลงในทันที และในระหว่างเวลานี้ก็มีเสียงแหลมดังขึ้นมา จากนั้นแสงสีทองเจิดจ้าก็ตามมาทัน


ห่างจากแสงกระบี่สีทองไปไม่กี่จั้ง หลิ่งหมิงรับรู้ได้ถึงคลื่นความร้อนที่ปะทะเข้ามา เขาจึงพุ่งถอยออกไปด้วยใจที่เย็นสะท้าน


วิญญาณกระบี่ถูกปกคลุมอยู่ภายใต้รัศมีการโจมตีของแสงกระบี่ ภายใต้สถานการณ์ที่มันไม่สามารถถอยได้ จึงส่งเสียงคำรามออกมาทันที ความเร็วหยุดชะงักลง และแขนของมันก็สะบัดไปมาท่ามกลางแสงสีเงิน ทันใดนั้น ปราณกระบี่สีเงินจำนวนนับไม่ถ้วน ก็ม้วนตัวออกไปรับมือกับแสงสีทอง


แสงสีทองกับสีเงินพัวพันเข้าด้วยกันท่ามกลางเสียงโลหะที่กระทบกันเป็นระยะๆ


ขณะนี้หลิ่วหมิงพุ่งถอยออกไปยี่สิบสามสิบจั้งแล้ว และไม่คิดจะยื่นมือเข้าแทรกแต่อย่างใด


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ ศึกตรงหน้าก็ชี้ชัดผลแพ้ชนะ ถึงแม้วิญญาณกระบี่สีเงินจะมีพลังแข็งแกร่งก็ตาม แต่ก็เทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางเท่านั้น แต่ภายในแสงกระบี่สีทองแฝงไปด้วยไอกระบี่จำนวนมาก มีโอกาสเป็นได้ว่า ผู้ที่ควบคุมมันจะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ ซึ่งพลังของทั้งสองไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกันอยู่แล้ว


วิญญาณกระบี่สีเงินเพียงแค่พยายามต้านทานได้เพียงสองครั้ง จากนั้นก็ถูกแสงกระบี่สีทองฟันเป็นสองส่วน และส่งเสียงระเบิดออกมา “ปัง!” “ปัง!” และกลายเป็นหมอกควันสีเงินหนาแน่นสองกลุ่ม


ท่ามกลางหมอกควัน มีพลังไอกระบี่แวววาวที่ดูคล้ายเชือกป่านหนึ่งเส้นปรากฏอยู่รำไร มันแผ่คลื่นสั่นสะเทือนออกมา ซึ่งมีขนาดใหญ่ไม่น้อยกว่าเจ็ดแปดเท่าของไอกระบี่ที่เขาดูดซับในก่อนหน้า


พอหลิ่วหมิงมองเห็น ก็จ้องตาเป็นมันทันที


ขณะนั้นเอง แสงกระบี่สีทองก็ม้วนตัวกลายเป็นอสรพิษจิตวิญญาณสีทองที่ดูราวกับมีชีวิต พอมันอ้าและหุบปากลง ก็กลืนไอกระบี่แวววาวกับหมอกควันสีเงินที่แผ่มายังไม่ทันถึงเข้าไป


ทันใดนั้น แสงสีทองทั้งหมดก็มาบรรจบกันราวกับวาฬตัวยาวกำลังดูดซับน้ำ และกลายเป็นกระบี่บินสีทองที่บางราวกับปีกจักจั่น และบนนั้นก็มีชายฉกรรจ์หนวดโง้งยืนอยู่


หางตาหลิ่วหมิงกระตุกเล็กน้อย กลิ่นไอที่ชายฉกรรจ์ผู้นี้แผ่ออกมา ดูคล้ายกับของผู้ควบคุมยอดเขาอย่างอินจิ่วหลิง ที่แท้ก็เป็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้จริงๆ มีความเป็นไปได้แปดในสิบส่วนที่เขาจะเป็นศิษย์ลับตามที่เล่าลือกัน


“ฮ่าๆ! ข้าคือฉิวหลงจื่อจากวังเจดีย์ เมื่อครู่ต้องขอบคุณที่ยื่นมือเข้าช่วย ดูจากระดับการฝึกฝนของศิษย์น้องแล้ว คงเป็นศิษย์สายในสินะ ตอนนี้สามารถเข้ามาสถานที่แห่งนี้ได้คงไม่ธรรมดา ไม่ทราบมีนามว่าอย่างไรหรือ?” ชายฉกรรจ์หนวดโง้งเพิ่งดูดไอกระบี่เข้าไปสายหนึ่ง จึงมองหลิ่วหมิงอย่างอารมณ์ดี และกุมมือกล่าวอย่างตรงไปตรงมา


“ศิษย์พี่เกรงใจเกินไปแล้ว ข้าน้อยคือหลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยว” หลิ่วหมิงรีบคารวะกลับในทันที


มีโอกาสเป็นไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วนว่าชายฉกรรจ์ผู้นี้เป็นศิษย์ลับระดับแก่นแท้ แต่กลับดูไม่มีท่าทีหยิ่งยโสมากนัก


“อ๋อ! ยอดเขาลั่วโยว! ตามที่ข้าทราบมาศิษย์สายในที่ฝึกฝนวิชากระบี่บินส่วนใหญ่จะเป็นคนยอดเขากระบี่สวรรค์ บอกศิษย์น้องอย่างไม่ปิดบัง แต่ก่อนข้าก็เคยอยู่ที่ยอดเขากระบี่สวรรค์ ยอดเขาลั่วโยวฝึกฝนพลังปีศาจเป็นหลัก คิดไม่ถึงว่าจะมีผู้ฝึกกระบี่ด้วย เอ๊ะ……ดูเหมือนว่าศิษย์น้องจะฝึกฝนเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งหรือ?” ชายฉกรรจ์หนวดโง้งส่งเสียงหัวเราะออกมา


“ศิษย์พี่ฉิวมีสายตาหลักแหลมจริงๆ ข้าน้อยก็แค่บังเอิญโชคดี ถึงได้ฝึกฝนเคล็ดวิชานี้” เขาเป็นศิษย์สายในที่ฝึกฝนเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง ย่อมทำให้ผู้อื่นรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่เรื่องนี้ได้รับการเปิดเผยต่อหน้าหอคุมกฎแล้ว ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังแต่อย่างใด


“อืม! เคล็ดกระบี่ปราณแกร่งไม่ใช่เรื่องง่าย…..แต่จะว่าไปแล้วความสามารถในการฝึกกระบี่ของพวกเราส่วนใหญ่จะอยู่ในกระบี่บินเล่มนี้ เพื่อที่จะต่อสู้กับศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่งในเมื่อหลายวันก่อน ข้าทำให้พลังจิตวิญญาณของกระบี่เซียนทองคำเล่มนี้เสียหายไปไม่น้อย ถึงได้มาสังหารวิญญาณกระบี่เพื่อบำรุงจิตวิญญาณกระบี่บินสักรอบ ในเมื่อศิษย์น้องก็เข้ามาแล้ว ไม่สู้พวกเราไปด้วยกันดีไหม?” ดูเหมือนว่าชายหนวดงอโง้งจะไม่ค่อยสนใจเรื่องที่หลิ่วหมิงฝึกฝนเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งมากนัก แต่กลับเชิญชวนอย่างอบอุ่น


เขามาวิหารวิญญาณกระบี่เป็นครั้งแรก จึงไม่คุ้นเคยกับที่นี่มากนัก หากไปกับฉิวหลงจื่อย่อมมีมั่นใจกว่ามาก จะได้ถือโอกาสถามเรื่องวิญญาณกระบี่ไปด้วย


เพราะดูจากวิญญาณกระบี่สองดวงที่พบเจอในเมื่อครู่ จะเห็นว่าวิญญาณกระบี่ในนี้ก็มีการแบ่งระดับเช่นกัน ซึ่งแตกต่างกันมากจริงๆ


พอนึกมาถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็พยักหน้ากล่าวออกมา


“เช่นนี้ต้องขอให้ศิษย์พี่ฉิวดูแลด้วยแล้ว”


“เกรงใจอะไรกัน ข้าเป็นชอบความคึกคัก เดินไปเดินมาในนี้มาหลายวันแล้ว รู้สึกอุดอู้จะตาย” พอชายฉกรรจ์หนวดโง้งเห็นหลิ่วหมิงตอบตกลง เขาก็ยิ้มออกมา


เวลาต่อมา ทั้งสองก็เดินทางไปด้วยกัน


พื้นที่วิหารส่วนในกลายเป็นอีกโลกหนึ่ง ซึ่งคล้ายคลึงกับแดนอบอ้าวเล็กน้อย แต่นอกจากสถานที่แห่งนี้จะรกร้างว่างเปล่าแล้ว ก็เป็นทะเลทรายไปทั้งหมด นอกจากจะมีเนินเขาเล็กๆ ปรากฏเป็นระยะๆ แล้ว ก็มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดเลย เห็นได้ชัดว่าดูจืดชืดเป็นอย่างมาก ไม่แปลกใจเลยทำไมฉิวหลงจื่อถึงรู้สึกว่าการเดินทางคนเดียวมันอึดอัดใจมาก


แม้ฉิวหลงจื่อผู้นี้จะมีการฝึกฝนระดับสูง แต่ไม่มีการวางมาดเลยแม้แต่น้อย ยังคงเป็นคนตรงไปตรงมา พอพบเจอกับวิญญาณกระบี่สีเทาจำนวนหนึ่ง ก็ทิ้งให้หลิ่วหมิงจัดการเอง ส่วนตนเองก็เฝ้าดูอยู่ด้านข้าง  บางครั้งก็เอ่ยปากชี้แนะเล็กน้อย บางครั้งที่พบเจอวิญญาณกระบี่สีเงินจำนวนหนึ่ง ก็โจมตีจนแตกกระจายอย่างรวดเร็ว และพลังไอกระบี่ที่ได้มาก็แบ่งให้หลิ่วหมิงส่วนหนึ่ง


ในระหว่างการเดินทางร่วมกัน หลิ่วหมิงก็ถือโอกาสสอบถามเรื่องของวิญญาณกระบี่มาได้ไม่น้อย


ที่แท้วิญญาณกระบี่ก็แบ่งออกเป็นสามระดับ สามารถมองออกได้อย่างง่ายดาย ซึ่งมีสีเทา สีเงิน และสีทองนั่นเอง


เป็นอย่างที่หลิ่วหมิงคิดไว้ วิญญาณกระบี่ทั้งสามชนิดมีพลังไม่เหมือนกัน วิญญาณกระบี่สีเทาเทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนระดับของเหลว สีเงินเทียบเท่ากับผู้ฝึกฝนระดับผลึก และระดับสูงสุดอย่างสีทอง ก็มีพลังแข็งแกร่งเทียบเท่ากับพลังของระดับแก่นเสมือน พอพิจารณาจากสภาพแวดล้อมพิเศษในวิหารวิญญาณกระบี่แล้ว ต่อให้เผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ ก็จะไม่ตกเป็นเบี้ยล่างเลยแม้แต่น้อย


ดีที่ว่าวิญาณกระบี่สีทองมีอยู่น้อยมาก และส่วนมากจะอยู่ในส่วนลึกของวิหาร ในสถานการณ์ปกติจะไม่ปรากฏตัวในบริเวณนี้


แน่นอนว่าพลังไอกระบี่ที่แฝงอยู่ในวิญญาณกระบี่แต่ละระดับ จะเรียงตามระดับของมันด้วย โดยสีทองมีมากที่สุด รองลงมาเป็นสีเงิน และสีเทา


สิบวันผ่านไป


บนเนินเขาเล็กๆ ในพื้นที่รกร้างเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง แสงกระบี่สีเขียวขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ กำลังหมุนวนไปมารอบวิญญาณกระบี่รูปมนุษย์สีเงินดวงหนึ่ง และปล่อยแสงกระบี่สีเขียวขนาดเล็กฟันวิญญาณกระบี่สีเงินอยู่ตลอดเวลา


วิญญาณกระบี่สีเงินส่งเสียงคำรามเป็นระยะๆ แสงกระบี่สีเงินก่อตัวขึ้นรอบๆ และปกคลุมมันไว้ด้านใน เพื่อต้านทานการโจมตีของแสงกระบี่สีเขียว


ขณะเดียวกัน ฉิวหลงจื่อก็มองดูกลุ่มการต่อสู้ที่อยู่ไม่ไกล ดูเหมือนเขาไม่คิดจะลงมือช่วยเลยแม้แต่น้อย


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป วิญญาณกระบี่สีเงินก็ถูกแสงสีเขียวโจมตีอยู่ไม่หยุด จนแสงสีเงินรอบตัวเริ่มดูไม่มั่นคงเล็กน้อย


หลิ่วหมิงที่อยู่ท่ามกลางแสงกระบี่สีเขียวเห็นเช่นนี้ ก็จ้องดูจุดอ่อนนี้ไว้ จากนั้นท่ามือของเขาก็เปลี่ยนไปทันที และปล่อยปราณกระบี่ที่มีลักษณะเป็นเกลียวออกไป


“ฟิ้ว!”


ปราณกระบี่รูปเกลียวโจมตีลงบนหน้าอกของวิญญาณกระบี่สีเงินโดยตรง!


หลังจากวิญญาณกระบี่สีเงินส่งเสียงร้องโหยหวนออกมาแล้ว ก็กลายเป็นแสงกระบี่สีเงินพุ่งหนีไป


กระบี่บินสีเขียวเปล่งประกายขึ้นมาทันที และกลายเป็นวงกระบี่หลายวงในทันใด เงากระบี่บินหลายสิบเล่มปรากฏตัวรอบๆ วิญญาณกระบี่ที่พุ่งออกไปหลายสิบจั้งในเมื่อครู่ และฟันลงไปพร้อมกัน


เกิดเสียงดังเข้ามา!


วิญญาณกระบี่สีเงินถูกฟันเป็นหลายชิ้น และกลายเป็นพลังไอกระบี่สีเงินก่อนถูกแสงกระบี่สีเขียวหมุนวน และดูดซับเข้าไปอย่างคุ้นเคย


แสงแวววาวขนาดเท่าเชือกป่านที่ฉิวหลงจื่อเรียกว่าไหมวิญญาณกระบี่นั้น ยิ่งทำให้ตัวอ่อนกระบี่ในร่างหลิ่วหมิงได้รับการซ่อมแซมเป็นอย่างมาก


“ดี! วิชาขี่กระบี่ของศิษย์น้องหลิ่วช่างยอดเยี่ยมจริงๆ ดูท่าคงรับมือกับวิญญาณกระบี่ระดับนี้ได้อย่างไม่มีปัญหาแล้ว” ฉิวหลงจื่อขยับตัวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิง และกล่าวชมเชยด้วยเสียงอันดัง


ตอนที่ 657 เศษไอกระบี่

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทั้งสองเดินทางร่วมกันเป็นเวลาสิบกว่าวันแล้ว ภายใต้การชี้แนะของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ผู้นี้ ทำให้วิชากระบี่ของหลิ่วหมิงรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งเร็วกว่าที่เขาลองฝึกฝนเองเป็นเวลาหลายปี  ตอนที่เผชิญหน้ากับวิญญาณกระบี่สีเงินในตอนแรก ยังต้องต่อสู้กันอย่างดุเดือดอยู่ ตอนนี้กลับสามารถสังหารได้อย่างง่ายดายแล้ว


นี่ไม่ได้หมายความว่าพลังของหลิ่วหมิงในตอนนี้บดขยี้วิญญาณกระบี่ไม่ได้ แต่เป็นเพราะว่าภายใต้สถานการณ์ที่ใช้ได้แค่วิชากระบี่ ทำให้เขาแสดงพลังแท้จริงออกมาได้เพียงหนึ่งถึงสองส่วนเท่านั้น


“ศิษย์พี่ฉิวชมเกินไปแล้ว หากไม่ใช่ว่าศิษย์พี่ชี้แนะอย่างไม่ปิดบังมาตลอดทาง ข้าก็ไม่อาจรุดหน้าได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้” หลิ่วหมิงย่อมกล่าวขอบคุณออกมา


หลังผ่านการล่าสังหารวิญญาณกระบี่ติดต่อกันสิบกว่าวัน ตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุในร่างหลิ่วหมิงก็ดูเหมือนจะฟื้นฟูสู่สภาพเดิมแล้ว และกระบี่เซียนทองคำของฉิวหลงจื่อก็ฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ตั้งแต่สังหารวิญญาณกระบี่สีทองที่บังเอิญพบเจอในก่อนหน้าหนึ่งวันแล้ว


“ฮ่าๆ! เรื่องเล็กน้อยแค่นี้อย่าไปสนใจมันเลย ด้วยวิชาขี่กระบี่ของศิษย์น้องหลิ่วในตอนนี้ ต่อให้เผชิญหน้ากับวิญญาณกระบี่สีทอง ก็คงจะรับมือได้บ้างแล้ว แต่ว่าข้ามีเวลาเหลืออยู่ในวิหารวิญาณกระบี่ไม่มาก ไม่อาจไปเป็นเพื่อนได้แล้ว ข้ากับศิษย์น้องหลิ่วนับว่าถูกคอกันมาก พวกเราจากกันตรงนี้ ลาก่อนแล้วพบกันใหม่!” ฉิวหลงจื่อได้ยินก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมา


จากนั้นชายฉกรรจ์ก็นำป้ายสีเทาออกมาขยี้โดยไม่รอให้หลิ่วหมิงพูดอะไรอีก


ทันใดนั้น แสงสีเทาก็ปกคลุมร่างของเขาไว้ และกะพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย


หลิ่วหมิงมองไปทางที่ฉิวหลงจื่อหายไปด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็ขี่กระบี่ไปยังทิศทางบางแห่ง


หลังจากผ่านการอยู่ร่วมกันมาหลายวัน ฉิวหลงจื่อก็สร้างความประทับใจให้หลิ่วหมิงไม่น้อย คงจะเป็นคนที่คบหาได้


เวลาในสองวันต่อมา หลิ่วหมิงก็สังหารวิญญาณกระบี่สีเทาไปจำนวนไม่น้อย ส่วนวิญญาณกระบี่สีเงินก็พบเจออยู่บ้าง แต่ล้วนมีพลังระดับผลึกขั้นต้น ย่อมถูกเขาสังหารอย่างง่ายดาย


หลังจากผ่านไปอีกหนึ่งวัน หลิ่วหมิงก็ขี่กระบี่มาถึงเขตภูเขาเล็กที่ทอดติดต่อกันยาวเหยียด และมีทะเลทรายล้อมรอบ


เนื่องจากฉิวหลงจื่อไปแล้ว การหาวิญญาณกระบี่ของหลิ่วหมิงในตอนนี้จึงเคลื่อนที่ช้าลงให้มากที่สุด แม้ว่าหากเขาเผชิญหน้ากับวิญญาณกระบี่สีทองในตอนนี้ จะยังคงมีพลังในการต่อสู้อยู่ แต่หากเผชิญกับการล้อมโจมตีของวิญญาณกระบี่อื่นๆ ก็ไม่อาจรับมือได้โดยง่าย


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังข้ามแอ่งพื้นที่ลุ่มต่ำแห่งหนึ่งนั้น พลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ภายใต้การกวาดสายตามองลงไป ก็ค้นพบว่ามีแสงสีทองระยิบระยับอยู่ไกลๆ


เขาหยุดความเร็วลงด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที


ดูเหมือนว่าแสงสว่างนั้นก็ค้นพบหลิ่วหมิงเช่นกัน มันจึงเบี่ยงเบนทิศทางมาทางด้านนี้อย่างรวดเร็ว


“วิญญาณกระบี่สีทอง? ไม่ใช่! ดูเหมือนจะมีอะไรไม่ถูกต้อง……”


หลิ่วหมิงเพ่งสายตามองออกไป เมื่อมองเห็นสิ่งที่พุ่งเข้ามาอย่างชัดเจน สีหน้าของเขาก็ดูอึมครึมทันที


วิญญาณกระบี่สีทองเป็นวิญญาณกระบี่ระดับสูงสุด ตอนที่เขาร่วมเดินทางกับฉิวหลงจื่อนั้น ก็เคยพบเห็นมันมาก่อน แต่ว่าวิญญาณกระบี่ที่บินเข้ามากลับดูผิดปกติเล็กน้อย


ผ่านไปไม่กี่อึดใจ แสงสีทองก็กะพริบมาหยุดอยู่ห่างจากเขาสิบกว่าจั้ง


พอหลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง ก็มองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน มันเป็นวิญญาณกระบี่สีทองจริงๆ เพียงแต่ว่าแตกต่างจากวิญญาณกระบี่ทั่วไปเล็กน้อย


ตั้งแต่เขาเข้าวิหารวิญญาณกระบี่มา วิญญาณกระบี่ที่พบเจอล้วนมีพลังบริสุทธิ์ นอกจากรูปร่างภายนอกแล้ว ก็ไม่มีลักษณะพิเศษอื่นๆ ของมนุษย์อยู่อีกเลย แต่ที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน


ท่ามกลางแสงสีทอง เป็นร่างมนุษย์สีทองจางๆ กึ่งโปร่งแสง เพียงแต่บนตัวของเงามนุษย์กึ่งโกร่งแสงนี้ สามารถมองเห็นรูปร่างของกระดูกได้ แต่ว่ามีรูขนาดเท่าข้อนิ้วที่ไหล่ขวา ซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ไอกระบี่เป็นสายๆ หมุนวนอยู่บนนั้น ดูเหมือนกำลังค่อยๆ ฟื้นฟูบาดแผลอยู่


ดูเหมือนว่าวิญญาณกระบี่กลายพันธุ์นี้จะได้รับบาดเจ็บหนัก จึงหนีมาจนถึงที่นี่!


หรือว่ามันจะต่อสู้กับวิญญาณกระบี่อื่นๆ หรือว่าจะเป็นวิญญาณกระบี่ที่หลุดพ้นจากมือฉิวหลงจื่อมา


หลิ่วหมิงรู้สึกประหลาดใจอย่างอดไม่ได้


“มนุษย์ผู้ฝึกฝน……ฆ่า……” พอวิญญาณกระบี่สีทองเห็นหลิ่วหมิง ก็อ้าปากตะโกนออกมา


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าวิญญาณกระบี่จะพูดได้ เห็นได้ชัดว่าสติปัญญาของมันสูงกว่าวิญญาณกระบี่ทั่วไปไม่น้อย


ขณะที่ดวงตาของวิญญาณกระบี่สีทองแผ่ไอสังหารออกมานั้น หลิ่วหมิงก็ทำท่าเคล็ดกระบี่อย่างไม่ลังเล กระบี่บินสีเขียวใต้เท้าพุ่งยิงออกมาก่อน


ในเมื่อวิญญาณกระบี่ได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ เขาย่อมไม่ปราณีอย่างแน่นอน


วิญญาณกระบี่สีทองส่งเสียงคำรามออกมา พอคว้านิ้วทั้งห้าออกไป แสงสีทองห้าลำก็เปล่งประกายบนนิ้วทั้งห้า พอโบกแขนข้างหนึ่ง กรงเล็บอันแหลมคมที่กลายร่างมาจากปราณกระบี่อันรุนแรง ก็พุ่งไปปะทะกับกระบี่บินสีเขียว


“เต๊ง!”


กรงเล็บปราณกระบี่ต้านทานกระบี่บินสีเขียวไว้ทันที ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีใครยอมใคร


หลิ่วหมิงมีสีหน้านิ่งเงียบ เขาเปลี่ยนท่ามือในฉับพลัน กระบี่บินสีเขียวกลายเป็นเงากระบี่ยักษ์ที่ยาวสิบกว่าจั้ง


พอเงากระบี่สะบัดตัว กรงเล็บก็แตกกระจายอย่างง่ายดาย และพุ่งตรงเข้าหาวิญญาณกระบี่


“ตู๊ม!”


ปราณกระบี่โค้งๆ ต้านทานแสงกระบี่สีเขียวไว้ หลังจากเกิดเสียงปะทะกัน กระบี่บินสีเขียวก็พุ่งกลับมา


หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย เขาโบกมือเรียกกระบี่บินกลับมา ขณะเดียวกันก็หรี่ตาทั้งคู่ลงอย่างอดไม่ได้


ไม่รู้ว่ามีกระบี่ยักษ์สีทองบนมือวิญญาณกระบี่สีทองตั้งแต่เมื่อไหร่ บนกระบี่ยังมีลายเส้นงดงามจำนวนหนึ่งที่ดูราวกับมีชีวิต


หลิ่วหมิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น พอทำท่าเคล็ดกระบี่ กระบี่บินสีเขียวในมือก็สั่นสะท้าน ปราณกระบี่เป็นสายๆ พวยพุ่งออกมาห่อหุ้มเขาไว้ทันที และกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวกระโจนออกไป


วิญญาณกระบี่สีทองนำกระบี่ยักษ์มาตั้งขวางด้วยความตกใจ และกระโจนออกไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน


ทันใดนั้น เงาร่างสองเงาก็รวมอยู่ในที่แห่งเดียวกัน ทั้งสองเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก พริบตาเดียว ปราณกระบี่สีทองกับสีเขียวก็แผ่กระจายออกมา


เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ก็มีร่องลึกๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นจำนวนมาก


ขณะนั้นเอง เงามนุษย์สีเขียวก็หลุดออกจากวงต่อสู้ และกะพริบไปปรากฏอยู่ห่างสิบกว่าจั้ง


พอแสงสีเขียวดับลง ก็เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิง


ขณะนี้ เขามีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่าการต่อสู้ในเมื่อครู่ เขาไม่ได้เปรียบแต่อย่างใด


แม้ว่าวิญญาณกระบี่สีทองจะมีบาดแผลบนตัว แต่ร่างของมันกลับแข็งแกร่งผิดปกติ ปราณกระบี่ทั่วไปไม่สามารถทำอะไรมันได้เลยแม้แต่น้อย


ยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก วิญญาณกระบี่สีทองที่อยู่ไม่ไกลก็กลายเป็นสายรุ้งสีทอง และกระโจนเข้ามาในฉับพลัน กระบี่ยักษ์สีทองในมือเปล่งประกายกลายเป็นอสรพิษทองคำตัวหนึ่ง พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิง


“แสงกระบี่กลายร่าง?” พอหลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง ก็ค้นพบว่าพลังนี้เขาเคยเห็นซาทงเทียนแสดงมาก่อน


เขาครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวของมือไม่ได้ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย พอถูกเคล็ดกระบี่กระตุ้น ผลึกหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดในทะเลจิตวิญญาณก็สั่นสะเทือน จากนั้นพลังเวททั่วร่างก็ทะลักไปยังกระบี่จิตวิญญาณบนมือ ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีเขียว แสงกระบี่จำนวนมากก็ม้วนออกจากร่าง จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้า


ที่แท้หลิ่วหมิงก็แสดงวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งแล้ว


ครู่ต่อมา สายรุ้งสีเขียวหมุนวนหนึ่งรอบ และพุ่งใส่อสรพิษยักษ์อย่างดุดัน!


“ฟิ้ว!”


หลังจากทั้งสองปะทะกัน อสรพิษยักษ์สีทองก็ถูกผ่าจากหัวไปหางจนกลายเป็นสองส่วน


อานุภาพของแสงกระบี่สีเขียวยังไม่หมดเพียงเท่านั้น หลังจากมีเสียงดัง “ตู๊ม!” มันก็ฟันลงบนร่างวิญญาณกระบี่โดยตรง จากนั้นก็เกิดบาดแผลขนาดใหญ่บริเวณหน้าอกกับหน้าท้อง และกระเด็นออกไปด้วยความเร็วที่เร็วกว่าตอนพุ่งเข้ามา


ไม่รอให้วิญญาณกระบี่สีทองมีการตอบสนองใดๆ พอเงาร่างมนุษย์เปล่งประกาย หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวด้านหลังวิญญาณกระบี่สีทองด้วยใบหน้าที่ซีดขาวเล็กน้อย ดวงตาของเขาเผยแววโหดร้ายออกมา พอขยับแขนข้างหนึ่ง ก็คว้าคอวิญญาณกระบี่เอาไว้ได้


แสงกระบี่เปล่งประกายในมืออีกข้าง กระบี่เล็กสีเขียวยาวขึ้นมาสามฉื่อ และกะพริบไปยังไหล่ข้างขวาของวิญญาณกระบี่ที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ ขณะเดียวกันก็ตะโกนออกมา “ฟัน!”


วิญญาณกระบี่ส่งเสียงร้องแหลม ร่างของมันถูกฟันออกมาเป็นสองส่วนตั้งแต่ไหล่ขวาลงมา


ร่างทั้งสองส่วนของมันระเบิดตัวกลายเป็นหมอกควันสีทองสองกลุ่มในทันที ท่ามกลางหมอกควันกลับไม่มีไหมวิญญาณกระบี่เลยแม้แต่น้อย แต่กลับเผยให้เห็นเศษกระบี่บินสีทองที่มีขนาดเท่าหัวแม่มือหนึ่งชิ้น


“นี่คือสิ่งใดกัน……”


พอหลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งออกไป เศษกระบี่สีทองก็พุ่งเข้ามาในมือของเขา แต่ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นผงสีทองกลุ่มหนึ่ง


ครู่ต่อมา พลังไอกระบี่ที่บริสุทธิ์อย่างเหลือเชื่อก็พุ่งเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณของหลิ่วหมิง และถูกรวมเข้ากับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่อย่างรวดเร็ว


เกิดเสียงดังโครมคราม!


ลำแสงสีเขียวปรากฏขึ้นบนตัวหลิ่วหมิง หมอกควันที่กลายร่างมาจากวิญญาณกระบี่สีทองก็หมุนตัวติ้วๆ และค่อยๆ จมหายเข้าไปในร่างของเขา


หลังจากหลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็วแล้ว ก็นั่งขัดสมาธิลงพื้นทันที มือทั้งสองทำท่าเคล็ดกระบี่อยู่ไม่หยุด


เดิมทีจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ไร้รูปก็ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว ขณะนี้ได้รับพลังไอกระบี่ที่บริสุทธิ์เช่นนี้ ร่างของมันก็ขยายใหญ่กว่าเดิมหลายเท่าราวกับถูกอัดลม พื้นผิวของมันเปล่งประกายแวววาวจนเกือบจะเป็นธาตุแท้แล้ว


ดูเหมือนว่าจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ในตอนนี้ จะแข็งแกร่งกว่าตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งของปรมาจารย์ลิ่วยินในปีนั้นหนึ่งเท่ากว่า


แต่ว่าจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ในขณะนี้ กลับดูไม่มั่นคงเป็นอย่างมาก มันสั่นสะท้านอย่างรุนแรงเป็นระยะๆ


หลิ่วหมิงค่อยๆ โคจรพลังเวทตามที่บันทึกไว้ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งอย่างระมัดระวัง


เวลาค่อยๆ ผ่านไป หลังจากเขานั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิมเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน ถึงพอที่จะควบคุมจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ไว้ได้


“ดูท่าเจ้าจะพบกับความยุ่งยากเข้าอีกแล้ว!” ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังจะลุกขึ้นมานั้น พลันมีเสียงผู้ชายดังขึ้นในสมอง


“ผู้อาวุโสหลัวโหว” หลิ่วหมิงรีบตอบกลับด้วยใจที่สั่นสะท้าน


“ไม่รู้ว่าเจ้าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ ที่ดูดซับไปเมื่อครู่คงเป็นเศษไอกระบี่ที่ผู้ฝึกฝนกระบี่ทรงพลังได้ทิ้งไว้ ไอกระบี่ที่แฝงอยู่ในนั้นแข็งแกร่งมาก ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าจะนึกถึงได้ ตัวอ่อนกระบี่ในร่างของเจ้าตอนนี้แข็งแกร่งจนเกินไป ซึ่งเลยขอบเขตที่กายเนื้อของเจ้าจะรองรับได้ แม้ว่าตอนนี้จะฝืนกำราบไว้ได้ แต่ภายหน้ามันก็อาจพุ่งออกจากร่างได้ตลอดเวลา” หลัวโหวกล่าวอย่างเยือกเย็น


“อะไรนะ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยิน ก็มีเหงื่อผุดออกมาเต็มตัว


“หากจะรักษาตัวอ่อนกระบี่ไร้รูปเล่มนี้ไว้ ทางที่ดีที่สุดควรหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณให้ได้โดยเร็ว มิเช่นนั้นพอจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่แสดงการรั่วไหลของพลังออกไป มันก็จะหลบหนีไปเอง พอถึงเวลานั้น เจ้าก็เหมือนกับเอาตะกร้าสานไปตักน้ำ เจ้าลองคิดไตร่ตรองดูดีๆ เถอะ!” หลังจากหลัวโหวพูดออกมาสั้นๆ ไม่กี่ประโยคแล้ว ก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอีก


ตอนที่ 658 แก่นทองคำอุกกาบาต

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มในใจอย่างขมขื่น และหยิบแผ่นค่ายกลออกมาขยี้จนแตกกระจาย


แสงสว่างม้วนตัวออกมา พริบตาเดียวเขาก็มาปรากฏตัวนอกประตูวิหารวิญญาณกระบี่แล้ว


จากนั้นหลิ่วหมิงก็ทะยานขึ้นฟ้าขี่เมฆไปทางยอดเขาลั่วโยว


พอกลับถึงถ้ำที่พัก ก็พุ่งไปนอนหลับที่ห้องนอนทันที


ตอนอยู่ในวิหารวิญญาณกระบี่ เพื่อที่จะสังหารวิญญาณกระบี่ และดูดซับไอกระบี่ให้ได้มากที่สุด หลิ่วหมิงจึงต่อสู้เป็นเวลานานโดยที่แทบจะไม่ได้นอนพักเลย ขณะนี้สูญเสียพลังเวทและพลังจิตไปมาก จำเป็นต้องพักผ่อนฟื้นฟูเป็นการเร่งด่วน


เช้าตรู่วันที่สอง หลิ่วหมิงตื่นขึ้นมาทำความสะอาดตัวเองเล็กน้อย และเริ่มคิดไตร่ตรองอย่างเงียบๆ


คำพูดของหลัวโหวในวิหารกระบี่ในตอนนั้น ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย ส่วนตนเองจะสามารถควบคุมพลังจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ได้นานเท่าใดนั้น ก็ไม่อาจรู้ได้


แต่ในเมื่อจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่แข็งแกร่งจนสามารถใส่เข้าไปได้แล้ว ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือ ต้องรีบหาวัสดุที่เหมาะสมมาหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณให้ไวที่สุด


ส่วนการรวบรวมวัสดุสำหรับหลอมกระบี่บินนั้น เขาก็มีแผนในใจแล้ว ซึ่งจะไปดูที่หอไท่เจินที่มีชื่อเสียงในนิกาย หากว่าไม่ได้จริงๆ คงได้แต่ไปเสี่ยงดวงที่งานประมูลของหอหารค้าเชียนเหมิงแล้ว


หลังจากคิดเช่นนี้แล้ว เขาก็พลิกฝ่ามือนำแผนที่เทือกเขาหมื่นวิญญาณมาใช้จิตกวาดดู จากนั้นก็ลุกเดินออกจากถ้ำที่พัก และมุ่งหน้าไปวิหารไท่เจิน


วิหารไท่เจินที่กล่าวถึง แท้จริงแล้วเป็นสถานที่แลกวัสดุล้ำค่าได้อย่างอิสระของนิกายยอดบริสุทธิ์ ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์สามารถใช้แต้มคุณูปการของตนเองแลกวัสดุล้ำค่าต่างๆ แน่นอนหากว่ามีสิ่งของล้ำค่า ก็สามารถนำมาประเมินค่าในวิหารไท่เจินได้ จากนั้นก็แลกเป็นแต้มคุณูปการของนิกาย


วิหารไท่เจินนี้ดูคล้ายกับตลาด เพียงแต่เปลี่ยนหินจิตวิญญาณในการแลกเปลี่ยนเป็นแต้มคุณูปการเท่านั้น อีกอย่างราคาก็ไม่คุ้มค่าเหมือนกับไปซื้อที่ตลาดภายนอกด้วยตนเอง


สำหรับศิษย์โดยทั่วไปแล้ว แต้มคุณูปการในนิกายหาได้ยากเช่นนี้ ย่อมไม่ยอมเอาไปแลกอย่างแน่นอน


อีกอย่างแม้ว่าสมบัติต่างๆ ในวิหารไท่เจินจะมีมาก แต่เทียบกับแต้มคุณูปการหนึ่งแสนกว่าแต้มขึ้นไปแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถรับได้


เพราะหินจิตวิญญาณยังสามารถหาได้จากการขายโอสถ และอาวุธจิตวิญญาณ แต่แต้มคุณูปการกลับต้องค่อยๆ ใช้เวลาทำภารกิจของนิกายถึงจะได้มา


เวลาผ่านไปราวๆ ครึ่งถ้วยชา หลิ่วหมิงก็มาถึงบริเวณยอดเขาที่ดูไม่เตะตาแห่งหนึ่ง


ขณะนี้เป็นเวลาเช้าตรู่ ท้องฟ้ายังไม่สว่างมากนัก พอทอดสายตามองออกไป จะเห็นว่ามีหมอกจางๆ ปกคลุมอยู่บนยอดเขา


ท่ามกลางไอหมอกที่ลอยวน สามารถมองเห็นวิหารที่อยู่ในนั้นอย่างเลือนลาง


หลิ่วหมิวกระตุ้นหมอกดำให้ร่อนลงบนพื้นมุมหนึ่งของยอดเขาทันที และยืนสังเกตวิหารตรงหน้า


เทียบกับวิหารใหญ่ที่หลิ่วหมิงเคยเจอแล้ว เห็นได้ชัดว่าวิหารแห่งนี้มีขนาดเล็กลงไปไม่น้อย สูงเพียงแค่สองสามจั้ง ครอบคลุมพื้นที่ไม่ถึงสิบกว่าจั้ง เป็นสิ่งก่อสร้างไม้โบราณที่ดูเรียบง่ายเป็นอย่างมาก นอกประตูวิหารมีอักขระทรงพลังสลักอยู่บนแผ่นไม้สีแดงว่า ‘วิหารไท่เจิน’


บนยอดเขาแห่งนี้ นอกจากจะมีวิหารไท่เจินแล้ว ก็ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดอีก ทั้งสองด้านของวิหารมีต้นไม้โบราณปลูกกระจัดกระจายอยู่จำนวนหนึ่งเท่านั้น


หลิ่วหมิงสังเกตดูอย่างง่ายๆ ไปหนึ่งรอบ จากนั้นก็เดินไปยังประตูใหญ่ของวิหาร


พอเข้าไปด้านใน จะเห็นว่าห้องโถงชั้นหนึ่งของวิหารแห่งนี้ไม่กว้างมากนัก ทั้งสองด้านเป็นบันไดที่ทอดยาวไปสู่ชั้นสอง


พอมองออกไป ในห้องโถงมีศิษย์สายในที่สวมชุดของยอดเขาอื่นๆ อยู่ห้าหกคน และกำลังพูดคุยอะไรกันอยู่เบาๆ


พอคนเหล่านี้เห็นหลิ่วหมิง ก็รีบหยุดการสนทนาในทันที บางคนก็สังเกตดูหลิ่วหมิงด้วยความแปลกใจ


หลิ่วหมิงเพียงแค่พยักหน้าให้คนเหล่านี้เล็กน้อย จากนั้นก็เดินไปชั้นสองอย่างไม่สะทกสะท้าน


วิหารไท่เจินมีแค่สองชั้น ชั้นแรกเป็นสถานที่บรรดาศิษย์พักผ่อน ชั้นสองถึงเป็นสถานที่แลกวัสดุล้ำค่า แน่นอนหากมีความต้องการล่ะก็ สามารถนำสิ่งของของตัวเองมาแลกแต้มคุณูปการได้ และสิ่งของที่เข้าตาวิหารไท่เจินย่อมไม่ใช่สมบัติธรรมดา


พอหลิ่วหมิงเหยียบลงบนชั้นสอง กลับค้นพบว่าตรงหน้าว่างเปล่า เป็นแค่ห้องโถงว่างเปล่าเท่านั้น และในมุมด้านหนึ่งของห้องโถง ก็มีค่ายกลสีต่างๆ ขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ เปล่งประกายอยู่สองสามหลัง


เก้าอี้ที่อยู่ด้านข้างมีชายหน้ายาว อายุราวๆ สามสิบกว่าปี สวมชุดผู้ดำเนินการนั่งอยู่ ขณะนี้กำลังยืนขึ้นมาด้วยท่าทีเกียจคร้าน หลังจากอ้าปากหาวแล้ว ถึงถามออกมาอย่างไม่ใส่ใจ


“ศิษย์น้องผู้นี้ต้องการแลกสิ่งใด วัสดุ โอสถ หรืออาวุธจิตวิญญาณ?”


“ข้าน้อยอยากแลกวัสดุสำหรับหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง” หลิ่วหมิงเอามือลูบจมูก และกล่าวด้วยสีหน้าสงบ


“อ๋อ! วัสดุกระบี่บิน เจ้ารอสักครู่” ชายหน้ายาวมองดูเสื้อผ้าหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และเผยสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อหยิบหนังสือหยกแวววาวเล่มหนึ่งออกมา และหรี่ตาทั้งคู่อ่าน


“ค่ายกลส่งตัวที่สาม เข้าไปที่ตู้แถวที่สอง ใบที่หกตรงชั้นแรก มีเพียงแค่สองชิ้น ชิ้นหนึ่งเป็นหินโมราพายุ ชิ้นที่สองเป็นแก่นทองคำอุกกาบาต ต่างก็ใช้แต้มคุณูปการสี่แสนห้าหมื่นแต้มแลก”


ผ่านไปสักพัก ชายหน้ายาวก็กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าจริงจัง


“แก่นทองคำอุกกาบาต?”


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้ คิดไม่ถึงว่าเขาจะคิดถูกที่มาวิหารไท่เจินในครั้งนี้ ซึ่งมีวัสดุสำหรับหลอมร่างกระบี่ตามที่เขาต้องการ


แต่พอก้มมองป้ายประจำตัวบนเอว กลับต้องขมวดคิ้วขึ้นมา และแอบยิ้มในใจอย่างขมขื่น


ก่อนเข้าสู่ระดับผลึก เขาสังหารผู้คนในบัญชีความเป็นความตายมากถึงเพียงนี้ แม้แต่อันดับหนึ่งอย่างราชาโลหิตก็จัดการไปแล้ว แต่แต้มคุณูปการหนึ่งล้านกว่าแต้มที่ได้มา ถูกใช้ไปจนเหลือแค่สี่แสนสามหมื่นแต้มเท่านั้น


เมื่อคำนวณดูแล้ว หากเขาจะแลกแก่นทองคำอุกกาบาต มันยังคงขาดไปจำนวนหนึ่ง


จะว่าไปแล้ว แม้จะได้แต้มคุณูปการเหล่านี้มาอย่างรวดเร็ว แต่ก็ใช้หมดเร็วไปหน่อย ตอนนี้หลิ่วหมิงยังติดหนี้เคล็ดมังกรพยัคฆ์ทมิฬกับเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งอยู่สี่ล้านแต้ม


ดีที่ว่ายังมีเวลาจำนวนไม่น้อย ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ภายหลังเพียงแค่ใช้เวลาจำนวนหนึ่งไปทำภารกิจระดับผลึกในหอลี้ลับส่วนใน ก็คงจะได้คืนมาแล้ว


“ศิษย์พี่ผู้นี้ ข้าน้อยยังมีโอสถจำนวนหนึ่งที่อยากจะแลกแต้มคุณูปการ ไม่ทราบว่าสามารถแลกได้ที่ใด?” หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองดูแล้ว ก็ประสานมือคารวะก่อนถามออกมา


“อ๋อ! แลกแต้มคุณูปการล่ะก็ ไปที่ค่ายกลส่งตัวสีเหลืองอ่อนก็ได้แล้ว แต่ว่าโอสถที่ใช้แลกแต้มคุณูปการจำเป็นต้องเก็บค่าธรรมเนียมการประเมินค่าห้าหมื่นหินจิตวิญญาณ นอกจากนี้จะขอเตือนสักประโยค วิหารไท่เจินไม่รับโอสถทั่วไป” ชายหน้าแหลมได้ยิน ก็ตอบกลับไปพร้อมกับเก็บหนังสือในมือไปด้วย


เห็นได้ชัดว่าเรื่องแต้มคุณูปการไม่เพียงพออย่างกะทันหันเช่นนี้ เป็นเรื่องที่พบเจอได้บ่อย


“ขอบคุณที่เตือน” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะ จากนั้นก็เดินไปยังค่ายกลสีเหลืองจางๆ


ขณะนี้มีแสงสีเหลืองเปล่งประกาย จากนั้นชายหนุ่มสวมชุดศิษย์สายในผู้หนึ่ง ก็เดินออกมาจากค่ายกลพอดี และเดินลงบันไดไปด้วยสีหน้าผิดหวัง


หลิ่วหมิงเดินเข้าไปโดยไม่คิดอะไรมาก และเหยียบเข้าไปในค่ายกล


หลังจากค่ายกลส่งเสียงดังหวึ่งๆ เขาก็มาถึงห้องหินหลังหนึ่ง รอบด้านมีตู้ไม้จำนวนหนึ่งที่มีสิ่งของวางอยู่


ผู้อาวุโสผมขาวที่สวมชุดคลุมสีขาวกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่กลางห้อง และกำลังชื่นชมโอสถสีเขียวสลัวๆ ที่ถืออยู่ในมือ


“ผู้อาวุโสท่านนี้ ข้าน้อยอยากใช้โอสถแลกแต้มคุณูปการจำนวนหนึ่ง” หลิ่วหมิงรีบก้าวเข้าไปกุมมือคารวะก่อนกล่าวออกมา


“อ๋อ! โอสถหรือ เอามาให้ข้าดูก่อนเถอะ! แต่หากเป็นสิ่งของธรรมดาเหมือนคนเมื่อครู่ ก็ไม่ต้องมาเสียเวลาแล้ว” ผู้อาวุโสชุดขาวกล่าวอย่างราบเรียบโดยไม่เงยหน้าขึ้นมาเลยแม้แต่น้อย


หลิ่วหมิงได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็หยิบตลับไม้ออกจากแหวนย่อส่วนมาใบหนึ่ง หลังจากเปิดฝาตลับออก กลิ่นโอสถก็โชยออกมาในทันที โอสถสีทองสลัวๆ เม็ดหนึ่งกำลังนอนนิ่งๆ อยู่ในนั้น


มันคือโอสถจินหยวนระดับพสุธาที่เขาปรุงออกมาโดยไม่ตั้งใจในตอนที่ไปร่วมยืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถนั่นเอง


พริบตาที่หลิ่วหมิงนำตลับไม้ออกมานั้น ผู้อาวุโสก็เงยหน้าขึ้นมาแล้ว ขณะนี้กำลังจ้องมองสิ่งที่อยู่ภายในกล่องไม้ด้วยแววตาเร่าร้อน


พอเขากวักมือเบาๆ โอสถจินหยวนในมือตลับไม้ก็ลอยออกมา และถูกดูดเข้าไปในมือของเขา


ผู้อาวุโสสังเกตดูโอสถจินหยวนในมือด้วยตาที่เป็นประกาย ผ่านไปพักใหญ่ๆ ถึงเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา


“ลายโอสถสี่เส้น โอสถจินหยวนระดับพสุธา……เจ้าคงเป็นหลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยวสินะ ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องของเจ้ามาก่อน” ผู้อาวุโสชุดขาวจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยสายตาที่ดูราวกับคบเพลิง หลังจากฟั่นหนวดไปมาแล้ว ก็เอ่ยปากถามออกมา


“เป็นศิษย์เอง ผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าโอสถจินหยวนเม็ดนี้สามารถแลกแต้มคุณูปการได้กี่แต้ม?” พอหลิ่วหมิงเห็นว่าผู้อาวุโสจำตนเองได้ เขาก็รู้สึกแปลกใจมาก แต่ก็ยังประสานมือกล่าวด้วยสีหน้าปกติ


“โอสถระดับพสุธาของระดับของเหลว…พอที่จะแลกแต้มคุณูปการได้สองหมื่นแต้ม แต่ว่าโอสถจินหยวนเป็นโอสถฟื้นฟูพลังเวทในการต่อสู้ การปรุงก็นับว่าไม่ง่าย สามารถเพิ่มได้อีกหนึ่งหมื่นแต้มรวมทั้งหมดเป็นสามหมื่นแต้ม ส่วนค่าธรรมเนียมการประเมินค่านั้น ข้าขอไม่คิดละกัน วันที่เจ้าหลอมโอสถนี้ออกมา ผู้อาวุโสหลี่ได้ประเมินค่าแล้ว” ผู้อาวุโสชุดขาวก้มมองโอสถจินหยวนในมือทีหนึ่ง และค่อยๆ กล่าวออกมา


หลิ่วหมิงได้ยินก็ยื่นป้ายออกไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง


ผู้อาวุโสชุดขาวรับป้ายประจำตัวหลิ่วหมิงมา หลังจากมองดูภาพเตาหลอมสีเงินบนแผ่นป้ายที่ยืนยันสถานะของผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถแล้ว ก็พยักหน้าเบาๆ


จากนั้นผู้อาวุโสชุดขาวก็เก็บโอสถจินหยวนเข้าไป และสะบัดแขนเสื้อหยิบพู่กันหยกออกมาด้ามหนึ่ง หลังจากแตะลงบนป้ายเบาๆ แสงสีเขียวก็กะพริบเข้าไปในนั้น และแต้มคุณูปการในป้ายก็เพิ่มขึ้นมาสามหมื่นแต้ม


“ขอบคุณผู้อาวุโส” หลิ่วหมิงรับป้ายประจำตัวกลับมา และก้มหน้าคารวะอย่างนอบน้อมอีกครั้ง จากนั้นก็เดินกลับไปยังค่ายกลส่งตัว


ครู่ต่อมา อากาศรอบด้านหลิ่วหมิงก็สั่นสะท้าน และเขาก็มาปรากฏตัวข้างค่ายกลส่งตัวสีเหลืองบนชั้นสองของวิหารไท่เจินอีกครั้ง


ขณะนี้ ชายดำเนินการหน้ายาวกำลังพูดคุยกับศิษย์สายในอีกคนอยู่


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้เข้าไปรบกวนแต่อย่างใด แต่กลับเดินตรงไปยังค่ายกลสีเขียวอ่อน


พอมองเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนอีกครั้ง ร่างของเขาก็มาปรากฏตัวในห้องโถงลึกลับอีกแห่งหนึ่ง


ห้องโถงแห่งนี้มีขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ ในนั้นมีตู้ไม้สามชั้นจัดวางเป็นแถวๆ อย่างเป็นระเบียบ และประตูตู้ต่างก็แง้มอยู่ สามารถมองเห็นกล่องหยกแวววาวในนั้นอยู่รำไร


“แถวที่สอง ใบที่หกชั้นแรก” หลิ่วหมิงพูดพึมพำเบาๆ หนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินตรงเข้าไป


ชั้นแรกบนตู้ไม้ใบที่หกนี้ มีกล่องหยกวางอยู่สองใบ


หลิ่วหมิงหยิบออกมาใบหนึ่ง และใช้จิตกวาดดูป้ายบนกล่องหยก หลังจากมั่นใจว่ามันเป็นหินโมราพายุจริงๆ แล้ว ก็วางมันลงและหยิบอีกใบขึ้นมา


หลังจากใช้จิตกวาดดูป้ายชื่อแล้ว ก็เผยสีหน้าดีใจอย่างอดไม่ได้


สิ่งที่อยู่ในกล่องหยกใบนี้เป็นแก่นทองคำอุกกาบาตชิ้นนั้นจริงๆ


ตอนที่ 659 ค่ายกลแสงดารา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงนำแผ่นป้ายออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และโบกไปยังชั้นจำกัดบนกล่องหยก


แสงสีเขียวเปล่งประกายบนป้าย แสงสีเขียวลำหนึ่งพุ่งยิงออกไป


ชั้นจำกัดสีเทาสลัวๆ บนกล่องหยกหายไปในพริบตา ขณะเดียวกัน ฝากล่องก็ค่อยๆ เปิดออกมา เผยให้เห็นสิ่งที่วางอยู่ด้านใน


ผลึกหินสีทองอร่ามขนาดเท่ากำปั้นที่มีรูขรุขระอยู่บนพื้นผิวถูกวางอยู่ในนั้น


หลิ่วหมิงหยิบผลึกหินขึ้นมาอย่างระมัดระวัง พอกำไว้ในมือก็รู้สึกเย็นเล็กน้อย ดูเหมือนว่ามันจะแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้


มืออีกข้างก็ใช้ปลายนิ้วดีดปราณกระบี่อันแหลมคมออกไป แต่พอมันปะทะลงบนผลึกหิน ก็จมหายเข้าไปในนั้นราวกับไม่เคยปรากฏมาก่อน


ผลึกหินสีทองดูดซับปรานกระบี่สายนี้ไป จากนั้นแสงสีทองบนตัวก็เปล่งประกายมากกว่าก่อนหน้านั้น


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้แล้ว ถึงพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็เก็บมันเข้าไปในกล่องหยก และใส่เข้าไปในแหวนย่อส่วนบนมือ


หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น ก็ใช้จิตกวาดดูป้ายประจำตัวบนเอวอีกครั้ง พอค้นพบว่าในนั้นเหลือแต้มคุณูปการหนึ่งหมื่นกว่าแต้ม ก็ได้ยิ้มอย่างช่วยไม่ได้


แม้ว่าครั้งนี้จะใช้แต้มคุณูปการไปเกือบหมด แต่ได้วัสดุหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่จิตวิญญาณมาอย่างราบรื่นเช่นนี้ ในใจเขายังคงรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก


ต่อมา หลิ่วหมิงออกจากห้องโถงแห่งนี้โดยผ่านค่ายกล และออกจากวิหารไท่เจินไปอย่างรีบร้อน จากนั้นก็เหยียบเมฆดำพุ่งไปยังตลาดในนิกายทันที


ขณะนี้ เขาได้วัสดุหลักในการหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณมาแล้ว ที่เหลือก็คือวัสดุเสริมที่ค่อนข้างธรรมดากับสิ่งของที่ใช้ในการวางค่ายกลแสงดาราจำนวนหนึ่ง


สองชั่วยามผ่านไป ขณะที่หลิ่วหมิงเดินออกมาจากตลาดนั้น ในแหวนย่อส่วนของเขาก็มีวัสดุเสริมที่ใช้ในการหลอมตัวอ่อนกระบี่ ซึ่งเตรียมเรียบร้อยไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว


ค่ายกลแสงดาราไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่อะไรในนิกายยอดบริสุทธิ์ นอกจากหลอมตัวอ่อนกระบี่แล้ว ภายในนิกายยังมีสำนักที่ฝึกฝนพลังแสงดารา หรือปรุงโอสถแสงดาราอยู่


ด้วยเหตุนี้ เขาจึงใช้สองแสนกว่าหินจิตวิญญาณซื้อเครื่องมือวางค่ายกลชุดหนึ่งจากร้านค้าที่ขายเครื่องมือประเภทค่ายกลโดยเฉพาะ


ส่วนจะวางอย่างไรนั้น ในใจหลิ่วหมิงกลับไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร


เพราะตนเองไม่เชี่ยวชาญสายค่ายกล ทำได้แค่วางค่ายกลชั่วคราวแบบง่ายๆ เท่านั้น


นอกจากค่ายกลแสงดาราจะไม่สามารถวางได้โดยง่ายแล้ว ที่สำคัญคือการเลือกจังหวะเวลาและสถานที่


แม้จะบอกว่าในคัมภีร์ที่หลิ่วหมิงพลิกอ่านในตอนนั้น มีบันทึกวิธีคำนวณตำแหน่งของดวงดาวอย่างละเอียด เพื่อหาสถานที่และเวลาที่ดีที่สุดในการวางค่ายกล จะได้ดึงดูดพลังของแสงดารามาให้ได้มากที่สุด แต่นี่ไม่ใช่เรื่องที่สามารถเข้าใจได้ง่ายอย่างรวดเร็ว ไม่สู้ใช้หินจิตวิญญาณหรือแต้มคุณูปการจำนวนหนึ่งไปเชิญศิษย์ที่เชี่ยวชาญค่ายกลมาช่วยง่ายกว่ากันเยอะ


หลังจากหลิ่วหมิงตัดสินใจแล้ว ก็ทำท่ามือขี่เมฆไปทางหอลี้ลับทันที


ไม่นาน ภายในหอลี้ลับ หลิ่วหมิงกำลังสนทนาอยู่กับศิษย์ดำเนินการที่ดูสุภาพอ่อนโยนผู้หนึ่ง


“ข้าอยากประกาศภารกิจอย่างหนึ่ง ส่วนทางด้านขบวนการนั้น ต้องขอคำชี้แนะเล็กน้อย” หลิ่วหมิงประสานมือกล่าวกับศิษย์ดำเนินการ


“อ๋อ! ศิษย์พี่เพียงแค่บอกรายละเอียดของภารกิจให้ข้า รวมถึงเวลา สถานที่และเรื่องที่ต้องทำด้วย และมอบรางวัลในการทำภารกิจให้ทางหอเรา พวกเราจะมอบรางวัลให้ผู้ที่ทำภารกิจสำเร็จเอง หากเกินหนึ่งเดือนแล้วยังไม่มีคนมารับภารกิจ พวกเราจะคืนของรางวัลให้กับท่าน แต่ว่าจะไม่คืนค่าธรรมเนียมให้” ศิษย์ดำเนินการค่อยๆ อธิบายออกมา


“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนศิษย์น้องแล้ว ข้าอยากเชิญศิษย์ที่เชี่ยวชาญค่ายกลผู้หนึ่งมาวางค่ายกลที่สามารถดึงดูดพลังของแสงดาราได้ ซึ่งเครื่องมือนั้นข้าได้เตรียมไว้พร้อมแล้ว ส่วนรางวัล……แต้มคุณูปการหกพันแต้มบวกกับสองหมื่นหินจิตวิญญาณก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา


หากเป็นค่ายกลธรรมดา คาดว่าคงใช้แต้มคุณูปการมากสุดพันแต้ม หรือหนึ่งแสนกว่าหินจิตวิญญาณก็สามารถเชิญคนมาได้แล้ว


แต่ว่าค่ายกลแสงดาราค่อนข้างพิเศษ แม้จะไม่นับว่าลึกซึ้งมากนัก แต่ศิษย์ที่ศึกษาทางด้านนี้ก็มีอยู่ไม่มาก อีกอย่างมีแต่ผู้ที่ค่อนข้างเชี่ยวชาญการคำนวณดวงดาวเท่านั้น ถึงจะใช้ค่ายกลแสงดาราได้อย่างแม่นยำ หากว่าค่าตอบแทนไม่พอล่ะก็ เกรงว่าคงไม่มีคนยอมรับภารกิจนี้


อีกอย่าง ตอนนี้เขาค่อนข้างเร่งเวลา ดังนั้นย่อมยอมเสียแต้มคุณูปการเป็นค่าตอบแทนจำนวนมากสักครั้ง


ภายใต้การแนะนำของศิษย์ดำเนินการ หลังจากหลิ่วหมิงชำระแต้มคุณูปการกับจิตวิญญาณแล้ว ก็มองป้ายในของหอลี้ลับทีหนึ่ง ค้นพบว่าภารกิจที่ตนเองประกาศอยู่บนแถวที่สาม บรรทัดที่หก


 มองกลับไปยังบรรทัดที่ห้าของแถวที่สามส่วนมากเป็นภารกิจร่วมสังหารปีศาจอสูรระดับสูงจำนวนหนึ่ง หรือไม่ก็ค้นหาวัสดุล้ำค่า ซึ่งแต้มคุณูปการกับหินจิตวิญญาณที่เป็นรางวัล ก็น้อยกว่าของหลิ่วหมิงมาก


หลิ่วหมิงเผยสีหน้าพอใจในทันที จากนั้นก็หมุนตัวออกไปจากหอลี้ลับ และขี่เมฆกลับไปยังถ้ำที่พัก


หลังกลับไปถึงถ้ำที่พัก เขาก็ตรงเข้าไปในห้องลับทันที ด้านหนึ่งทำความเข้าใจ และคลำหาวิธีการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ ด้านหนึ่งก็รอคอยอย่างเงียบๆ


ผ่านไปแค่สองวัน เขาก็ได้รับข่าวจากทางหอลี้ลับว่า มีคนรับภารกิจของเขาแล้ว ทำให้เขารู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้


บ่ายวันนั้นมีลำแสงสีทองพุ่งเข้ามา และมาปรากฏตรงหน้าถ้ำที่พักของเขา จากนั้นก็เผยให้เห็นร่างชายหนุ่มชุดคลุมสีทองผู้หนึ่ง


พอหลิ่วหมิงที่อยู่ภายในห้องลับ รับรู้ว่ามีคนมา ก็รีบเดินไปที่ประตูทันที พอเห็นคนที่อยู่นอกถ้ำกลับต้องหลุดปากออกมาอย่างอดไม่ได้


“เป็นเจ้า”


ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองตรงหน้านี้คุ้นหน้าเล็กน้อย ซึ่งเขาก็คือจินเทียนชื่อ ชายหนุ่มลึกลับที่ดูโดดเด่นในการงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว


และพอเขาใช้จิตกวาดดูกลับค้นพบว่าชายหนุ่มยังคงมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย ราวกับว่าสิบกว่าปีมานี้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลยแม้แต่น้อย


“เฮ่อๆ! ไม่เจอกันสิบกว่าปี พี่หลิ่วเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย ได้ยินมาว่าก่อนหน้านั้นพี่หลิ่วไม่เพียงแต่กล้าบุกเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกจนเป็นศิษย์สายในได้ ทั้งยังเข้าสู่ระดับผลึกด้วยสามชีพจรจิตวิญญาณด้วย จุ๊ๆ! ตอนนี้ทั้งสายในและสายนอกต่างก็รู้เรื่องนี้” จินชื่อหยางหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


“พี่จินกล่าวเกินไปแล้ว ข้าก็แค่บังเอิญโชคดีเท่านั้น ใช่สิ! ที่พี่จินมาในวันนี้หรือเป็นเพราะว่า…” หลิ่วหมิงเก็บสีหน้าประหลาดใจไปอย่างรวดเร็ว หลังจากพูดอย่างนอบน้อมไปไม่กี่ประโยคแล้ว ก็ถามด้วยความแปลกใจเล็กน้อย


“ไม่ผิด! ภารกิจที่พี่หลิ่วประกาศออกมาข้าเป็นคนรับเอง ดังนั้นข้าจึงมาโดยไม่ได้บอก” จินเทียนชื่อกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน


“ที่แท้พี่จินยังเป็นผู้เชี่ยวชาญค่ายกลด้วย ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราเข้าไปคุยเรื่องค่ายกลกันภายในถ้ำเถอะ” หลิ่วหมิงได้ยินก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา จากนั้นก็รีบทำท่าเชื้อเชิญให้เข้าไปด้านใน


จินเทียนชื่อก็เดินตามหลิ่วหมิงไปด้วยรอยยิ้ม


ไม่นาน ทั้งสองก็นั่งอยู่คนละฝั่งของโต๊ะหินภายในห้องโถง


“พี่จิน ข้าต้อนรับไม่ดีโปรดให้อภัยด้วย” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะจินเทียนชื่อ และกล่าวอย่างถ่อมตน


ปกติเขาเอาแต่ฝึกฝน ในถ้ำไม่มีชาจิตวิญญาณเตรียมไว้เลยแม้แต่น้อย ทำให้เขารู้สึกเคอะเขินขึ้นมา


“ฮ่าๆ! พี่หลิ่วใยต้องเกรงใจเช่นนี้ พวกเราเข้าสู่หัวข้อหลักเลยดีกว่า” จินเทียนชื่อโบกมือแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“พูดถึงเรื่องนี้แล้ว เมื่อเช้าข้าได้รับข่าวจากหอลี้ลับว่ามีคนรับภารกิจที่ประกาศไปแล้ว เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นพี่จิน” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วกล่าว


“บอกพี่หลิ่วอย่างไม่ปิดบัง เคล็ดวิชาบางอย่างที่ข้าน้อยฝึกฝนนั้น ก็จำเป็นต้องยืมใช้พลังของดวงดาวเช่นกัน ดังนั้นจึงได้ศึกษาเรื่องนี้เป็นกรณีพิเศษโดยเฉพาะ หากครั้งนี้ท่านกับข้าร่วมมือกันล่ะก็ เป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกสองตัวพอดี พี่หลิ่วก็ไม่ต้องจ่ายหินจิตวิญญาณกับแต้มคุณูปการให้ข้า เพียงแค่หลังจากใช้ค่ายกลนี้เสร็จแล้ว ก็ให้ข้าใช้สักรอบก็พอแล้ว” จินเทียนชื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ข้าแค่อาศัยพลังของแสงดารามาหลอมสิ่งของบางอย่างเท่านั้น ตราบใดที่มีเวลาเพียงพอ ย่อมให้พี่จินใช้ได้อย่างไม่มีปัญหา” หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ


เดิมทีเขากังวลเล็กน้อยว่าจะหาคนที่เหมาะสมได้ยากในเวลาอันสั้นเกินไป เช่นนี้แล้วไม่เพียงแต่จะสำเร็จเรื่องของตัวเอง แต่ยังประหยัดค่าใช้จ่ายบางอย่างด้วย ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง


“ดี! ข้ารู้อยู่แล้วว่าพี่หลิ่วก็เป็นคนตรงไปตรงมาคนหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ เรื่องราวไม่อาจชักช้าได้ ตอนนี้พวกเราไปเลือกหาสถานที่เหมาะสมสำหรับวางค่ายกลเลยดีหรือไม่?” จินเทียนชื่อได้ยินก็ตบมือหัวเราะเป็นการใหญ่ และลุกขึ้นมากล่าว


“ข้าน้อยก็คิดเช่นนี้พอดี!” หลิ่วหมิงตอบรับอย่างไม่ลังเล


ทั้งสองพูดตกลงกันได้ในทันที จากนั้นก็เดินไปนอกถ้ำที่พัก


บนพื้นว่างเปล่านอกถ้ำที่พัก จินเทียนชื่อสะบัดแขนเสื้อนำแผ่นค่ายกลขนาดหนึ่งฉื่อกว่าๆ ออกมา และปล่อยพลังเวทเข้าไปในนั้น ขณะเดียวกัน ก็ทำท่ามือคิดคำนวณไปหนึ่งรอบ จากนั้นแสงสีทองก็ม้วนร่างเขาไว้ และพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ถามอะไรมาก เขาปล่อยกระบี่เล็กสีเขียวออกมาเช่นกัน จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งตามไป


เพื่อหาสถานที่ที่เหมาะสม ทั้งสองหาในเทือกเขาหมื่นวิญญาณนานถึงสามสี่วัน จนดูเหมือนว่าทั่วทั้งเทือกเขาจะถูกทั้งสองวนไปหนึ่งรอบ


สุดท้าย เที่ยงวันนี้ทั้งสองก็มาถึงเหนือเขาลูกเล็กๆ ภายในเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่ดูรกร้างว่างเปล่ามาก ในที่สุดแผ่นค่ายกลบนมือจินเทียนชื่อก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ


“ดี! ในที่สุดข้าก็หาพบ!” จินเทียนชื่อมีสีหน้าดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นแสงสีทองรอบตัวก็ดับลง และร่อนลงไปด้านล่าง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ทำท่ามือด้วยมือเดียวเช่นกัน จากนั้นแสงสีเขียวก็กะพริบลงไปด้านล่าง ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง


คิดไม่ถึงว่าการหาสถานที่วางค่ายกลที่เหมาะสมจะยากถึงเพียงนี้ ซึ่งเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก


ขณะนี้เป็นเวลาหลังเที่ยงพอดี อาทิตย์ร้อนแรงอยู่ตรงศีรษะ หลังจากจินเทียนชื่อสำรวจดูรอบด้านทีหนึ่งแล้ว ก็พูดกับหลิ่วหมิงอย่าง่ายๆ ไม่กี่ประโยค และบอกว่าต้องวางค่ายกลแสงดาราในเวลากลางคืน


หลิ่วหมิงได้ยินก็นำธงเล็กสีทองสามสิบหกอันที่เป็นเครื่องมือวางค่ายกลหนึ่งชุดให้กับฝ่ายตรงข้าม ส่วนตนเองก็ไปหาพื้นที่ว่างนั่งขัดสมาธิลงไป และหลับตาพักผ่อน


จินเทียนชื่อย่อมไม่มีข้อคัดค้านใดๆ เขาไปหาพื้นที่ว่างแล้วนั่งขัดสมาธิลงเช่นกัน


หลายชั่วยามผ่านไป เมื่อตะวันตกดิน แสงจันทราสาดส่องเข้ามาบนเขา กลุ่มดวงดาราก็เริ่มปกคลุมเต็มท้องฟ้า จินเทียนชื่อที่อยู่อีกมุมหนึ่งลืมตาทั้งคู่และลุกขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันก็มีแสงเปล่งประกายในมือ จากนั้นแผ่นค่ายกลก็ปรากฏออกมา ตอนนี้เขาเริ่มเตรียมวางค่ายกลแล้ว

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)