หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 650-655
บทที่ 650 เต๋ามรณะ!
หวังเป่าเล่อหยิบหน้ากากออกมาทันทีที่ได้ยินเสียง มันไม่ได้เลือนหาย แสดงว่านี่ไม่ใช่นิมิตลวงตา ตั้งแต่ขึ้นมาบนเรือบินรบ เขาก็เริ่มหวาดระแวงสิ่งต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ
“เลิกมองได้แล้ว เป็นความผิดของเจ้าที่แอบขึ้นมาบนสถานที่ชั่วร้ายนี้ ข้าถูกสะกดไว้ตั้งแต่ที่เจ้าขึ้นมาบนเรือบินรบนี่จึงต้องแอบซ่อนตัว ข้าต้องกลับเข้าภวังค์นิทราอีกครั้งเพื่อป้องกันตนเองไม่ให้ถูกกลืนกิน เพราะฉะนั้นข้าจึงตื่นได้ไม่นานนัก!” แม่นางน้อยพูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเมื่อเห็นท่าทีของชายหนุ่ม
“ถูกกลืนกินอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อโล่งใจเมื่อพบว่าแม่นางน้อยยังปลอดภัยและทำตัวตามปกติเหมือนทุกครั้ง เขาตื่นตัวเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูด
“เด็กสมัยนี้ใจกล้าหน้าด้านขึ้นทุกวัน จะเฟิ่งชิวหรันก็ดี เมี่ยเลี่ยจื่อก็ดี แม้แต่โยวหรันก็เป็นไปกับเขาด้วย บ้ากันไปหมด เจ้าก็ด้วย เจ้าอ้วน! รู้ตัวหรือเปล่าว่าตัวเองอยู่ที่ไหน ที่นี่คือเรือบินรบเต๋ามรณะของตระกูลไม่รู้สิ้น!” แม่นางน้อยว่าด้วยน้ำเสียงเหนื่อยหน่าย หากปรากฏตัวขึ้นได้ คงจะเห็นนางกำลังนวดหน้าผากตัวเองอยู่พร้อมกับชี้นิ้วติเตียนชายอ้วนตรงหน้า
“เต๋ามรณะ ที่นี่ไม่ใช่วังสังเวยอย่างนั้นหรือ” นี่เป็นครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อได้ยินชื่อเต๋ามรณะ
“ช่วงสงครามระหว่างตระกูลไม่รู้สิ้นกับสำนักแห่งความมืด ตระกูลไม่รู้สิ้นได้ทำลายเต๋าสวรรค์และเปลี่ยนกฎแห่งธรรมชาติไป จากนั้นก็ใช้เต๋าสวรรค์ที่ล่มสลายและห้วงอวกาศเป็นเตาหลอม ใช้ดวงดาราเป็นวัสดุหลอมเพื่อสร้างเรือบินรบเต๋ามรณะเก้าหมื่นลำขึ้น เก้าร้อยลำแรกทรงพลังเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับดาราจักร เก้าพันลำต่อมาแข็งแกร่งเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับดารานิรันดร์ เรือบินรบลำที่เจ้าขึ้นมานี้ แม้จะเสียหายหนัก แต่ก็มีพลังอยู่ในระดับจิตวิญญาณอมตะ!
“เรือบินรบมรณะเต๋านั้นห้ามไม่ให้สิ่งมีชีวิตขึ้นมา สิ่งมีชีวิตที่ขึ้นมาบนนี้จะถูกสภาพแวดล้อมกัดกินและดูดเอาพลังชีวิตไปเพราะว่ามีเศษเสี้ยวของสวรรค์เต๋าฝังอยู่บนนี้หลายชิ้นรวมถึงเหล่าศพที่ตายในสงครามครั้งก่อน เรือบินรบนี้มีระบบที่จะช่วยให้มันทำงานต่อไปได้ไม่หยุดและต้นตอของทุกสิ่งก็คือชุดคลุมออกศึกตรงหน้าเจ้า!
“ผู้ที่สวมใส่ชุดคลุมนี้จะสามารถควบคุมเรือบินรบลำนี้ได้และยังสามารถสั่งการกองทัพศพที่อยู่บนนี้ได้อีกด้วย!”
หวังเป่าเล่อตาเบิกกว้างเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาหันไปมองชุดคลุมออกศึกด้วยความหิวกระหาย ก่อนจะทันได้พูดอะไรออกไป แม่นางก็ขัดขึ้นด้วยน้ำเสียงรำคาญใจ
“ทางเดียวที่จะใส่ชุดคลุมได้คือสังเวยเลือดเนื้อและเผาวิญญาณตนเอง ขณะที่ดวงวิญญาณกำลังจะสลายหายไปก็จะสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งกับชุดคลุมได้และกลายเป็นผู้คุมเรือบินรบมรณะ เพราะฉะนั้นเจ้ากับเรือบินรบก็จะกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อยากลองไหมล่ะเจ้าอ้วน”
“เอ่อ” ชายหนุ่มไม่คิดว่าแม่นางน้อยจะพูดขึ้นเช่นนี้จึงเริ่มลังเลใจ
“ที่จริงก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่นะ หลังจากกลายเป็นเรือบินรบแล้ว เจ้าก็ยังสามารถฝึกวิชาได้ ไม่แน่วันหนึ่งอาจจะเจอเรือบินรบตัวเมียแล้วอยู่กินกันแบบคู่รักก็ได้” แม่นางน้อยพูดเสียงสบายๆ คำพูดของนางทำให้เขาขนลุก รีบส่ายหัวทันที
“ถึงอยากลองก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ ชุดคลุมออกศึกนี้เสียหายไปแล้ว ผู้ที่หลอมวิญญาณเข้ากับชุดถูกคนอื่นฆ่า ทิ้งแผลไว้ตรงหน้าผาก ทางเดียวที่จะรักษาได้ขึ้นต้องสังเวยชีวิต ข้าว่าพวกเจ้าน่าจะโดนล่อลวงมาที่นี่เพราะมันต้องการเลือดเนื้อของพวกเจ้า!
“เลือดเนื้อพวกเจ้าจะกลายเป็นสารอาหารให้กับชุดคลุมออกศึก แม้จะไม่สามารถคุมกองทัพศพบนเรือได้ แต่ก็ทำให้ผู้ที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้สามารถเดินเรือบินรบมุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาลได้ หากมีสิ่งมีชีวิตไม่เพียงพอก็จะไปยังสหพันธรัฐและจัดการกับสิ่งมีชีวิตทั้งหมด เลือดเนื้อที่สังเวยไปน่าจะทำให้ฟื้นฟูพลังได้มากทีเดียว
“ตระกูลไม่รู้สิ้นยึดภารกิจนี้เป็นหลัก ถ้าข้าคาดเดาไม่ผิด ผู้อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้น่าจะได้รับภารกิจให้มาหยุดยั้งกระบี่สำริดเขียวโบราณระหว่างออกบินหนีและยังคงปฏิบัติภารกิจนี้อยู่ หากล้มเหลวจะพบกับโทษมหันต์ จึงจำเป็นต้องร้องขอความช่วยเหลือ อาจเป็นได้ว่ามีอะไรบางอย่างทำให้เขาไม่สามารถติดต่อกลับไปยังตระกูลได้จึงไม่สามารถขอกำลังเสริมเพิ่มได้ เขาน่าจะคิดว่าตนคงได้รางวัลอย่างงามถ้าสามารถปฏิบัติภารกิจนี้ได้สำเร็จ ทำให้มีแรงจูงใจเพียงพอที่จะลองเสี่ยง!”
แม่นางน้อยอธิบายอย่างละเอียด น้ำเสียงของนางดูสุขุมนุ่มนวล ไม่ได้แฝงไว้ซึ่งความหนักใจ หวังเป่าเล่อกะพริบตา เขาเห็นด้วยกับการคาดการณ์ของแม่นางน้อย แต่ก็รู้จักนิสัยนางดี ถ้านางอธิบายละเอียดเช่นนี้แสดงว่านางต้องมีทางออก ชายหนุ่มกระแอมไอ เอ่ยชมสักพักหนึ่งก็ถามถึงหนทางจัดการกับสถานการณ์นี้อย่างกังวลใจ
“ง่ายจะตาย ก็แค่เรียกหาศิษย์พี่ของเจ้า เขาคงจัดการได้ด้วยคมดาบเดียว” แม่นางน้อยแค่นเสียงไม่พอใจกับการเอ่ยชมของชายหนุ่ม
หวังเป่าเล่อเงียบไป ถึงจะรู้ว่านั่นคือวิธีที่ง่ายที่สุด แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะเรียกหาศิษย์พี่ได้อย่างไร จึงถอนหายใจพร้อมกับพูดขึ้น
“แล้วถ้าข้าลองขู่ผู้อยู่เบื้องหลังล่ะ ข้าจะบอกไปว่าศิษย์พี่ของข้าเป็นราชันลำดับหนึ่ง การสังหารข้าก็เท่ากับเป็นการฆ่าตัวตาย คิดว่าจะสำเร็จไหม”
แม่นางน้อยเริ่มรู้สึกผิดที่กวนชายหนุ่มไปเช่นนั้น ความคิดของเขาทำให้นางต้องแปลกใจ ถึงกระนั้นก็ดูจะเป็นแผนที่สมเหตุสมผล นางรีบพูดขึ้นอย่างเหนื่อยอ่อน “เลิกเสียเวลากับความคิดบ้าๆ เสียที ศัตรูของเจ้าอาจจะอยากฆ่าเจ้ามากขึ้นถ้าดันบอกไปว่าตัวเองเป็นใคร ตรงหน้าเจ้าคือโอกาสอันหายาก ถึงจะใส่ชุดไม่ได้ แต่เจ้าก็ดูดพลังออกมาได้ ใช้เมล็ดดูดกลืนสูบพลังปราณให้เหี้ยน เจ้าอาจจะช่วยตัวเองและคนอื่นๆ ให้รอดได้”
สิ่งที่นางพูดฟังไม่เห็นเข้าท่าเลยสักนิด หวังเป่าเล่อกำลังจะเอ่ยถามรายละเอียดเพิ่ม แต่แม่นางน้อยก็เงียบหายไป ไม่รู้ว่านางหลับใหลไปอีกครั้งหรือแค่แสร้งทำ
ชายหนุ่มถอนหายใจ ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งดวงตาก็ฉายแววมุ่งมั่น การประกาศตัวตนของตนเองดูจะเป็นการเสี่ยงเกินไป หากไม่เข้าตาจนจริงๆ ก็คงไม่น่าจะต้องใช้วิธีนี้ ดูดพลังจากชุดคลุมออกศึกน่าจะเป็นทางที่ดีที่สุดในตอนนี้
หวังเป่าเล่อไม่ลังเลใจ ส่งร่างอวตารเดินลงทะเลสาบสีทองตรงเข้าไปหยุดอยู่หน้าชุดคลุมออกศึก เขาตรวจชุดคลุมออกศึกจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดแปลก จากนั้นก็หลับตาลงและตั้งผนึกมือ ร่างจริงที่นั่งอยู่บนชั้นสองหยิบกระเป๋าคลังเวทออกมาวางและตั้งผนึกมือขึ้นเช่นกัน ร่างอวตารและร่างจริงพลันสลับที่กันด้วยวิชาอัสนีนิรันดร์จำแลงเหมือนกับการเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา!
ร่างอวตารไปปรากฏอยู่บนชั้นสอง ด้านในม่านป้องกันสีฟ้า ขณะที่ร่างจริงไปโผล่อยู่กลางทะเลสาบสีทองในถ้ำ หวังเป่าเล่อนั่งลงข้างชุดคลุมออกศึก เมล็ดดูดกลืนตื่นขึ้น เริ่มดูดพลังจากชุดคลุมผ่านรูโหว่ตรงหน้าผาก!
ชุดคลุมออกศึกเริ่มสั่นไหวเมื่อถูกสูบเอาพลังออกไป พลังปราณจำนวนมากพวยพุ่งออกมาจากรูโหว่ตรงหน้าผากไหลหลากเข้าสู่ร่างกายของหวังเป่าเล่อ!
ปราณวิญญาณมากมายเป็นดังคลื่นถาโถม เมล็ดดูดกลืนตื่นเต้นดีใจ รีบสูบเอาอย่างบ้าคลั่ง ส่งปราณวิญญาณไหลเวียนไปทุกส่วนในร่างกายของชายหนุ่ม ฝักกระบี่ด้านในเริ่มตื่นตัวและดูดเอาพลังปราณเช่นกัน
ชุดคลุมออกศึกพยายามต้านแรงสูบสุดกำลัง แม้จะชะลอหวังเป่าเล่อลงได้ แต่ถ้าให้เวลาสักพัก เขาก็สามารถสูบเอาพลังปราณออกมาจนหมดได้!
ร่างอวตารที่ชั้นสองหยิบเอากระเป๋าคลังเวทขึ้นมาและพุ่งตรงไปยังม่านกำบังสีฟ้าอย่างไม่ลังเลใจ มันตั้งใจจะออกไปตามหาคนอื่นๆ และบอกเรื่องทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อพบให้ทุกคนทราบ
การจะทะลุออกไปจากด้านในม่านกำบังสีฟ้านั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยหากเปรียบเทียบกับการเข้ามาจากด้านนอกแล้ว นอกจากนี้ ร่างอวตารยังมีกระเป๋าคลังเวทที่ข้างในเต็มไปด้วยอาวุธเวท แม้จะไม่มีพลังกายจากหวังเป่าเล่อช่วย แต่ระดับพลังปราณของมันก็เทียบเท่ากับชายหนุ่ม จึงน่าจะสามารถผ่านออกไปได้
หอกสีดำปรากฏขึ้นในสองมือ ร่างอวตารร้องคำรามและแปลงกายเป็นทะเลอัสนีเข้าล้อมรอบหอก หอกสีดำพุ่งตรงเข้าใส่ม่านกำบัง แม้มันจะได้รับบาดเจ็บ แต่ก็สามารถทนได้ไหว ร่างอวตารแปลงกายกลับเป็นร่างมนุษย์หลังจากหลุดออกไปได้ สายอัสนีแผ่พุ่งรอบตัว นำทางหอกสีดำพุ่งไปตามหาคนอื่นๆ ไม่หยุดพัก
แต่หวังเป่าเล่อก็สามารถคุมได้ในระยะจำกัด ดินแดนชั้นที่สองนั้นกว้างใหญ่มาก แม้จะมีระดับพลังปราณสูง แต่ก็ยังติดข้อจำกัดเรื่องระยะทางที่ร่างอวตารสามารถออกไปไกลห่างร่างจริงได้ ส่งผลให้มันสามารถตามหาได้แค่ภายในระยะทางที่จำกัด
ชายหนุ่มจึงส่งหุ่นเชิดทั้งหมดที่มีออกไปตามหาช่วยอีกแรง ขณะที่ร่างอวตารก็ออกวิ่งตามหาให้ไกลที่สุดเท่าที่ทำได้
ร่างอวตารนั้นได้รับการเสริมพลังมาหลายครั้ง จึงสามารถควบคุมได้เป็นอย่างดี กองทัพหุ่นเชิดก็ช่วยออกตามหาได้รวดเร็วขึ้นกว่าที่เขาตัวคนเดียวจะทำได้
วันคืนผ่านไป ร่างจริงของหวังเป่าเล่อยังคงสูบเอาพลังปราณจากชุดคลุมออกศึก ส่วนร่างอวตารและเหล่าหุ่นเชิดก็ออกตามหาคนอื่นๆ ไม่หยุดพัก ในที่สุด หุ่นเชิดตัวหนึ่งก็จับสัญญาณผู้ฝึกตนได้จากพลังวงแหวนปราณผสานกับคาถาที่บริเวณหนึ่ง นั่นคือสัญญาณว่าเกิดการต่อสู้ขึ้นที่นี่!
หุ่นเชิดพบรอยเลือดสดใหม่และเศษชุดคลุม หวังเป่าเล่อตื่นตระหนกเมื่อได้เห็นภาพเหตุการณ์ผ่านดวงตาของร่างอวตาร!
เยี่ยเหมิง!
บทที่ 651 เจ้าเยี่ยเหมิงผู้น่าสะพรึงกลัว!
สายฟ้าเปล่งประกายอยู่ในแววตาของหวังเป่าเล่อขณะที่เขาพุ่งตัวออกไปหากองเสื้อผ้าเก่าขาดเปื้อนโลหิต ชายหนุ่มเรียกหุ่นเชิดออกมารอบกายและออกคำสั่งให้พวกมันค้นในบริเวณนั้นให้ทั่ว
ขณะที่หวังเป่าเล่อค้นหาไปทั่วบริเวณอย่างบ้าคลั่ง เจ้าเยี่ยเหมิงก็อยู่ในหุบเขาที่ห่างจากเขาไปประมาณห้าสิบกิโลเมตร นางเพิ่งจะกระอักเอาโลหิตออกมากองใหญ่ ใบหน้าของนางซีดเซียว ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิง มือทั้งคู่กำเข็มทิศเอาไว้อย่างแน่นหนา
เข็มทิศนั้นส่องแสงสว่างจ้าที่ประกอบตัวกันเป็นเกราะป้องกันที่ล้อมรอบกายนางเอาไว้ แสงนั้นอ่อนแรงลงทุกที ดูราวกับว่าเกราะนั้นจะอยู่ได้อีกเพียงไม่นาน
เปลวไฟสีฟ้าลุกไหม้อยู่ด้านนอกเกราะป้องกันนั้น ขังเจ้าเยี่ยเหมิงเอาไว้ด้านใน ใบหน้าจำนวนมหาศาลผุดออกมาจากในเปลวไฟนั้น ก่อนจะพุ่งเข้าชนเกราะกำบังอย่างต่อเนื่องพลางส่งเสียงร้องโหยหวนไปที่นาง
เกราะป้องกันนั้นกันพวกมันเอาไว้ได้ในตอนนี้ แต่ว่าแสงของมันก็จางลงทุกทีๆ อุณหภูมิภายนอกพุ่งสูงขึ้นขณะที่เปลวไฟสีฟ้ายังคงลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง ผู้อาวุโสคนหนึ่งยืนอยู่กลางเปลวเพลิง เขาสวมใส่เสื้อคลุมของสำนักวังเต๋าไพศาลและเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณจากฝ่ายของเมี่ยเลี่ยจื่อ นัยน์ตาของเขาส่องประกายกล้าขณะที่จับจ้องไปยังเจ้าเยี่ยเหมิงผู้ซึ่งติดอยู่ภายในเกราะกำบังนั้น ก่อนที่จะหัวเราะด้วยเสียงแหบพร่า
“ไม่เลวเลย ที่ยังเก็บซ่อนวิธีเอาตัวรอดมาไว้จนป่านนี้” ผู้อาวุโสหัวเราะ เขาไม่ได้ดูกลัดกลุ้มกับเกราะกำบังแม้แต่น้อย ดวงตาของเขาทั้งคู่จับจ้องไปที่เจ้าเยี่ยเหมิงอย่างพินิจพิเคราะห์และหิวโหย
“แม่นางน้อย ข้ามองเห็นความสามารถของเจ้าตั้งแต่การทดสอบแย่งชิงใบต้นไฮยาซิน เจ้าไม่ได้ใช่สิ่งมีชีวิตเหนือธรรมชาติธรรมดาๆ ทวารทั้งเจ็ดของเจ้าเปิดออกหมดแล้ว ไม่เลวเลยทีเดียว เจ้าจะเป็นวัตถุชั้นเลิศในการหลอมโอสถโพรงวิญญาณ ช่างหายากเสียจริง!” ผู้อาวุโสฉีกยิ้ม ความหิวกระหายใจแววตาทวีคูณขึ้น ก่อนจะยกมือทั้งสองประสานกันเป็นผนึกฝ่ามือจำนวนมาก ส่งผลให้เปลวไฟสีฟ้ายิ่งเผาไหม้อย่างรุนแรงยิ่งขึ้น เปลวไฟโลมเลียเกราะป้องกันที่มีเจ้าเยี่ยเหมิงอยู่ด้านใน ผู้อาวุโสโจมตีต่อเนื่องโดยการลอยตัวไปรอบๆ เจ้าเยี่ยเหมิงก่อนจะทุบผนึกฝ่ามือลงกับแผ่นดิน
อักขระเวทโบราณจำนวนมหาศาลปรากฎออกมาล้อมรอบหญิงสาวเอาไว้ และเปลวไฟก็พุ่งสูงตามไปด้วย เจ้าเยี่ยเหมิงตัวสั่นและกระอักเอาโลหิตออกมาอีกเต็มปาก แขนทั้งสองข้างของนางสั่นเทาจนกระทั่งเข็มทิศแทบจะหลุดมือ
นางไม่ได้พยายามเช็ดโลหิตออกจากริมฝีปาก กลับกัน เจ้าเยี่ยเหมิงเงยหน้าขึ้นจ้องเยือกเย็นไปทางผู้อาวุโสที่กำลังยิ้มเผล่ แววตาของเขาดูน่าสะพรึงกลัวขึ้นเรื่อยๆ ชายชราติดตามนางมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว เจ้าเยี่ยเหมิงมองไม่เห็นใครตั้งแต่นางฟื้นคืนสติมา นางเดินทางอย่างระมัดระวังโดยไม่ได้พบเจอกับอันตรายมากมาย กระทั่งมาพบกับผู้อาวุโสคนนี้
ศัตรูของนางมีเป้าหมายชัดเจน ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ตำแหน่งที่อยู่ของนางมาโดยตลอด ก่อนจะเข้าปรากฎตัวและจู่โจมนางทันที หากไม่ใช่เพราะได้วัตถุเวทล้ำค่าที่ได้รับมอบมาจากบิดาที่ช่วยปัดป้องการโจมตีของเขาออกไป เจ้าเยี่ยเหมิงก็คงจะตายไปแล้ว
แต่ทว่าถึงแม้จะมีวัตถุเวทดังกล่าวในครอบครอง ตอนนี้นางก็ติดกับ เจ้าเยี่ยเหมิงรู้ดีว่าผู้อาวุโสจะไม่สังหารนางทันที เพราะเขาต้องการใช้นางเป็นวัตถุดิบในการหลอมโอสถโพรงวิญญาณ!
เจ้าเยี่ยเหมิงกัดริมฝีปาก นางไม่โกรธและก็ไม่ได้จะพูดอะไรกับคู่ต่อสู้ พลังปราณของนางหมุนวนอยู่ภายในกาย และแม้ว่ากำลังจะหมดแรง แต่นางก็ไม่ได้หยุดปล่อยพลังงานเข้าไปในเข็มทิศ เข็มทิศนั้นเป็นอาวุธเวทระดับแปดที่นางพกติดตัวมาด้วยจากสหพันธรัฐ อาวุธเวทนี้ควรจะช่วยรักษาชีวิตนาง เจ้าเยี่ยเหมิงได้สร้างผนึกขึ้นมาอันหนึ่งหลังจากได้รับวิชาวงแหวนปราณเอื้อชางโบราณมาและสลักผนึกนั้นเอาไว้บนเข็มทิศนี้ ซึ่งช่วยเพิ่มพลังให้มันอีกต่อหนึ่ง
เข็มทิศตอนนี้กำลังทำงานอย่างเต็มที่ ร่วมกับพลังของจี้ที่ห้ออยู่บนคอนาง เจ้าเยี่ยเหมิงจึงสามารถต้านทานการโจมตีจากผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณได้ แต่ทว่า นางรู้ดีว่าพลังของจี้นั้นกำลังลดถอยลงไป เมื่อใดก็ตามที่มันหมดไป นางก็คงไม่อาจจะป้องกันต่อไปได้ด้วยวงแหวนปราณเพียงอย่างเดียว
เจ้าเยี่ยเหมิงทำทุกทางเพื่อจะส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ ตลอดเวลาสามวัน นางทิ้งร่องรอยโลหิตของตนและกองเสื้อผ้าขณะที่หลบหนี เพื่อเป็นสัญญาณขอความช่วยเหลือ แต่กระนั้น นางก็ไม่ได้พบกับใครเลยในโลกนี้ กำลังใจของหญิงสาวกำลังเสื่อมถอย ไม่ว่านางจะมีความอดทนสักเพียงใดก็ตาม
อย่างไรก็ตาม เจ้าเยี่ยเหมิงก็ยังไม่หมดหวัง!
นางไม่ใช่คนอ่อนแอ นางมีความทะเยอทะยาน มีความฝัน และความเชื่อเป็นของตนเอง ภายใต้ใบ้หน้าที่สงบนิ่งเรียบเฉยมีเปลวไฟร้อนแรง ที่อาจจะแผดเผาทั้งผู้อื่นและตัวนางเอง!
เจ้าเยี่ยเหมิงรู้ดีว่า ณ จุดนี้คงไม่มีใครมาช่วยนางได้ ความมุ่งมั่นฉาบเคลือบอยู่ในแววตาเมื่อนางพยายามส่งสัญญาณให้ผู้อาวุโสมองเห็นนางใช้ผนึกฝ่ามือ เข็มทิศของนาง ที่น่าจะทนได้อีกสักหน่อย จู่ๆ ก็สั่นไหวอย่างรุนแรงและเกิดระเบิดขึ้น!
แรงระเบิดจากอาวุธเวทระดับแปดไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เจ้าเยี่ยเหมิงได้สลักผนึกแห่งวงแหวนปราณโบราณเอื้อชางลงไปบนเข็มทิศนั้น ทำให้แรงระเบิดยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก เสียงกัมปนาทดังสนั่นปะทุขึ้น ก่อนจะก่อตัวเป็นลมหมุนที่พวยพุ่งออกไปทั่วทุกสารทิศ
เปลวไฟสีน้ำเงินหดตัวลงและสั่นไหวจนเกือบจะดับสลาย มวลหมู่ภูเขาส่งเสียงร่ำร้องและหดตัวถอย การโจมตีนั้นคงจะฝากรอยแผลไว้ให้กับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณได้เลยหากใช้ได้ตอนไม่ทันตั้งตัว แต่แววตามุ่งมั่นจนน่ากลัวในตาของเจ้าเยี่ยเหมิงแสดงให้เห็นชัดเจนเกินไป คู่ต่อสู้สัมผัสได้ถึงการโจมตีของนาง และมีเพียงเสียงหัวเราะเยาะที่ดังสะท้อนมาในอากาศ ขณะที่ตัวผู้อาวุโสถอยหนีและหลบแรงกระแทกจากการระเบิดที่กระจายออกไปพร้อมลมพายุ ชายชรายกมือขวาขึ้นคว้าอากาศ เปลวไฟสีฟ้าที่ดูจะอ่อนแรงลงไปเมื่อครู่นี้ปะทุขึ้นมาอีกครั้งอย่างรุนแรง ก่อนจะแปรสภาพเป็นหัตถ์ลุกไหม้ขนาดยักษ์ที่เอื้อมคว้าออกไปทางเจ้าเยี่ยเหมิง!
เจ้าเยี่ยเหมิงมีท่าทีสงบแม้ว่าความพยายามของจะล้มเหลวและทำให้ตอนนี้นางตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าเดิม แต่ทว่า นัยน์ตาของนางก็มีประกายแห่งความตื่นตระหนกและสิ้นหวังฉายอยู่ขณะที่นางถอยหนีและปล่อยพลังปราณออกมาจนถึงขีดสุด หญิงสาวไม่อาจจะหลบหนีการจับกุมได้ด้วยพลังปราณของนางที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในและอาการบาดเจ็บในขณะนี้ หัตถ์ขนาดยักษ์จับตัวเจ้าเยี่ยเหมิงได้แทบจะในทันที และดึงตัวนางไปอยู่ตรงหน้าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทันที
“แม่สาวน้อย แผนการของเจ้ายังอ่อนหัดนัก…” ผู้อาวุโสฉีกยิ้ม แล้วจู่ๆ ก็ยกมือขวาขึ้นอย่างปุบปับ ก่อนจะคว้าเอาจี้ห้อยคอของเจ้าเยี่ยเหมิงก่อนจะขว้างออกไปไกล จี้หอยคอระเบิดออก ส่งคลื่นกระแทกอันรุนแรงยิ่งกว่าการระเบิดของเข็มทิศออกไปทั่วทุกทิศทาง ใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงซีดขาวลงถนัดตา
“การระเบิดครั้งก่อนหน้าก็เพื่อจะหลอกให้ข้าตายใจ โดนหวังว่าการระเบิดครั้งที่สองจะได้ผล แม่นางเอ๋ย เจ้านี่ช่าง…” เจ้าเยี่ยเหมิงขัดจังหวะผู้อาวุโส โดยการซัดเข็มเหาะเหินออกมาจากปากด้วยสีหน้าเรียบเฉย!
“แผนหลอกเด็ก!” ผู้อาวุโสคำรามออกมาพร้อมส่งสายตาจงเกลียดจงชัง ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นจับเข็มที่พุ่งตรงไปยังหน้าผากของเขาเอาไว้ได้ สีหน้าของเขาเปลี่ยนสีไปทันทีที่สัมผัสโดนเข็ม มันสลายกลายเป็นฝุ่นสีเทาที่ล่องลอยพุ่งไปยังดวงตาทั้งสอง
ผู้อาวุโสหลับตาลงตามสัญชาตญาณ ใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงยังคงซีดเผือด แต่ความตื่นตระหนกและสิ้นหวังในแววตาบัดนี้มลายหายไปสิ้น ถูกแทนที่ด้วยความดุร้าย หญิงสาวยกมือขวาขึ้น จรดปลายนิ้วชี้เข้ากับนิ้วหัวแม่มือก่อนจะกดลงอย่างแรง!
มีวัตถุเล็กๆ ฝังตัวอยู่ตรงปลายนิ้วหัวแม่มือของเจ้าเยี่ยเหมิง ดูเหมือนว่ามันจะถูกปลุกขึ้นด้วยการกดอย่างแรงนั้น ลำแสงแรงกล้าสองสายปรากฏขึ้นมาจากปลายนิ้วนั้น อันหนึ่งเป็นสีแดง อีกอันเป็นสีขาว!
แสงสีขาวห้อมล้อมกายเจ้าเยี่ยเหมิงเอาไว้ก่อนจะกลายเป็นเกราะลูกโป่งอากาศ ขณะที่แสงสีแดงนั้นพุ่งตรงเข้าหาผู้อาวุโสขั้นจุติวญญาณทันที หากจ้องมองให้ลึกเข้าไปยังแสงสีแดงแล้ว ก็อาจจะเห็นผลึกขนาดจิ๋วที่ถูกบีบอัดมานับครั้งได้ถ้วน!
คลื่นพลังงานอันน่าสะพรึงกลัวแผ่ออกมาจากผลึกเล็กจิ๋วนั้น ก่อนที่มันจะพุ่งชนผู้อาวุโสก่อนที่เขาจะตั้งรับได้ทัน เกิดเป็นการระเบิดดังสนั่น!
มีเกราะกำบังปรากฏขึ้นในวินาทีเดียวกัน เกราะนั้นดูเหมือนว่าจะสามารถจับปราณวิญญาณได้ และทำหน้าที่ปิดผนึกพลังปราณของเป้าหมาย แรงสะท้อนกลับอย่างรุนแรงจากปราณวิญญาณนั้นก่อตัวเป็นหลุมดำขนาดเท่ากำปั้นที่มีแรงดูดอันทรงพลัง ราวกับว่าสามารถจะฉีกทึ้งทำลายทุกสรรพสิ่ง!
สิ่งนี้ก็คือ…การผสานรวมระหว่างวิทยาการที่ก้าวหน้าที่สุดของสหพันธรัฐเข้ากับพลังวิญญาณ…หรือระเบิดต้านทานวิญญาณนั่นเอง!
ผู้อาวุโสส่งเสียงกรีดร้องอย่างเจ็บปวดท่ามกลางแรงระเบิดอันน่าสะพรึงกลัว กายเนื้อของเขาสลายเป็นเศษเนื้อขณะที่ปลิวกระดอนถอยหลังไป เจ้าเยี่ยเหมิงเอง แม้ว่าจะเจ็บหนัก แต่ก็ถอยหลังกลับมาภายใต้เกราะกำบังจากแสงสีขาวได้สำเร็จ แต่กระนั้น เกราะกำบังก็ยังไม่อาจคุ้มครองนางได้เต็มที่ หญิงสาวกระอักเอาโลหิตออกมากองใหญ่ ขณะนี้ร่างกายของนางอ่อนล้าถึงขีดสุด แต่ประกายแสงในแววตานั้นไม่ได้จางหายไป ในแววตาของเจ้าเยี่ยเหมิงนั้นไม่แสดงอาการอ่อนแอหรือสิ้นหวังออกมาแม้แต่นิดเดียว
ไม่ใช่ความอ่อนด้อยประสบการณ์แต่อย่างใดที่นำพาให้เจ้าเยี่ยเหมิงแสดงความอาฆาตมาดร้ายหรือความตื่นกลัวออกมาทางแววตา การระเบิดเข็มทิศและจี้ห้อยคอก็เพื่อเป็นนกต่อ นางต้องการจะให้อีกฝ่ายมั่นใจในความสำเร็จ มากพอที่จะไม่ทันระวังตัว เพื่อที่นางจะได้ใช้การโจมตีที่รุนแรงที่สุดได้อย่างเต็มที่!
เจ้าเยี่ยเหมิงรู้ดีว่ามีโอกาสเพียงครังเดียวเท่านั้น นางจึงได้วางแผนนี้มาอย่างรัดกุมถึงขีดสุด!
บทที่ 652 เจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว!
นางเก็บระเบิดต้านทานวิญญาณพี่บิดามอบให้ไว้เป็นไพ่ตายสุดท้าย เสียงกัมปนาทดังสนั่นก้องไปทั่วเมื่อระเบิดต้านทานวิญญาณทำงาน ผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณล่าถอยอย่างบ้าคลั่ง พลางโยนซัดเอาทั้งคาถาและวัตถุเวทเพื่อป้องกันตัว แต่ทว่า ชายชรายืนอยู่ใกล้เจ้าเยี่ยเหมิงเกินไป
ไม่ว่าจะตอบสนองได้อย่างรวดเร็วเพียงใด แม้ว่าจะเคลื่อนย้ายตัวเองออกไปก็ตาม ก็ยังคงช้าเกินไปก้าวหนึ่ง ระเบิดต้านทานวิญญาณเป็นอาวุธที่สหพันธรัฐคิดค้นขึ้นมา หลุมดำที่เกิดขึ้นมาจากแรงระเบิดและอำนาจการปิดผนึกพลังปราณได้ทำเอาผู้อาวุโสส่งเสียงคำรามลั่นด้วยแรงโทสะต่อหน้าต่อตาเจ้าเยี่ยเหมิง
กระดูกสีขาวโพลนทิ่มทะลุออกมาจากอก แรงระเบิดมหาศาลนั้นกวาดผ่านใบหน้าเขา บดขยี้ชิ้นส่วนร่างกายของเขาจนกลายเป็นก้อนเนื้อ ก่อนจะแหลกสลายกลายเป็นจุณไป!
ทุกอย่างเกินขึ้นในพริบตาเดียว เสียงกรีดร้องอย่างเจ็บดังก้องไปทั่วเมื่อร่างขอผู้อาวุโสถูกทำลายและหลุดเป็นชิ้นๆ กระทั่งกระดูกก็ยังแตกสลาย หากเป็นใครอื่นก็คงจะตายทันที แต่ทว่าผู้อาวุโสยังเดินเขยกออกมาได้ แสงสว่างจ้าสีแดงส่องสว่างออกมาจากภายในร่าง แสงนั้นส่องสว่างออกมาจากกระดูกของเขา!
แขนหกข้างพุ่งออกมาจากร่างกายที่แหลกสลายนั้น สร้างรูขนาดใหญ่จำนวนมากบนเนื้อตัวเขา มีตุ่มเนื้อขนาดใหญ่อยู่บนคอทั้งสองข้างของเขา ที่ระเบิดออกมาเป็นศีรษะสองอัน!
ดูราวกับว่ามีร่างอีกร่างหนึ่งซ่อนอยู่ภายในร่างของผู้อาวุโสมาโดยตลอด ร่างของผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นเพียงเปลือกนอก ร่างที่แท้จริงของเขาคือสมาชิกตระกูลไม่รู้สิ้นต่างหาก!
ผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นเผยตัวออกมาจากร่างของผู้อาวุโสอย่างรุนแรง ลมหายใจของเจ้าเยี่ยเหมิงสะดุดเพราะความตกตะลึง ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นต้องใช้มือยันพื้นเพราะซวนเซ ก่อนจะตั้งตัวได้และหยุดนิ่งไม่ไหวติงอยู่ เขาเงยหน้าขึ้นมา โลหิตไหลซึมออกมาจากมุมปาก ร่างนั้นหอบหายใจและปกคลุมไปด้วยบาดแผลเหวอะหวะ แม้ว่าร่างผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลจะช่วยลดแรงกระแทกไปบ้าง การโจมตีอันรุนแรงนั้นก็สร้างความเสียหายให้ร่างจริงไปไม่น้อยเช่นกัน!
ผู้อาวุโสมีใบหน้าบึ้งตึง และดวงตาสีแดงฉานที่จับจ้องมายังเจ้าเยี่ยเหมิงอย่างอาฆาตมาดร้ายนั้นเปี่ยมไปด้วยความอ่อนล้า
“เจ้าเกือบจะสังหารข้าได้…ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทำได้ถึงเพียงนี้ ข้าคงจะประมาทเจ้าไปหน่อย!” ผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบพร่าในภาษาของสำนักวังเต๋าไพศาล เจ้าเยี่ยเหมิงผงะถอยหลัง ลมหายใจของนางไม่สม่ำเสมอ
นางเริ่มรู้สึกเสียดายขึ้นมา เพราะในครั้งนี้นางได้สู้สุดความสามารถ หญิงสาวไม่ได้ทำพลาด หากว่าคู่ต่อสู้ของนางไม่ใช่คนตระกูลไม่รู้สิ้นแต่เป็นผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาล เจ้าเยี่ยเหมิงก็คงจะสังหารทั้งร่างกายและวิญญาณของเขาไปจนสิ้นแล้ว
คงจะเป็นโชคชะตาที่กำหนดมาเช่นนี้…เจ้าเยี่ยเหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก มีความขมขื่นอยู่ในใจ แต่ไม่ใช่ความสิ้นหวัง นางยอมรับโชคชะตา ก่อนจะหรี่ตาลง นางยกมือขวาขึ้นแตะหน้าผาก
หากไม่มีทางให้นางเอาชนะการต่อสู้ในครั้งนี้ นางก็คงยอมจะจบชีวิตตัวเองเสียดีกว่าจะถูกหลอมเป็นโอสถที่ส่งเสริมกำลังศัตรู เจ้าเยี่ยเหมิงยอมตายดีกว่ายอมแพ้!
ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นรีบพุ่งตัวออกมาปรากฏตัวตรงหน้านางทันทีที่เจ้าเยี่ยเหมิงยกมือขึ้น และตบมือของเจ้าเยี่ยเหมิงออกไปอย่างแรง ร่างของหญิงสาวปลิวออกไปชนกับกำแพงศิลา
โลหิตทะลักออกมาจากริมฝีปากของนาง ดวงตาของเจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มพร่าเลือน นางกัดกรามแน่น ไม่ยอมส่งเสียงออกมาแม้แต่คำเดียว หญิงสาวพยายามลืมตาอย่างยากเย็น ก่อนจะจับจ้องไปยังผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นที่ย่างสามขุมเข้ามาตาไม่กะพริบ
“ข้าต้องขอชื่นชมเจ้า แต่เจ้าไม่มีสิทธิจะตาย ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำลายตัวเองเสียหรอก! ข้าจะต้องหลอมคนเป็นๆ เท่านั้น โอสถจึงจะมีประสิทธิภาพสูงที่สุด โอสถนั้นจะพาข้ากลับไปยังจุดสูงสุดของระดับปราณของข้า นี่คือโชคชะตาของเจ้า”
ผู้อาวุโสหรี่ตาลง น้ำเสียงของเข้าเปี่ยมไปด้วยอำนาจ ชายชราก้าวขาออกมาและกำลังจะเข้าถึงตัวเจ้าเยี่ยเหมิงจู่ๆ ก็ขมวดคิ้วเป็นปมแน่น เขายกแขนขึ้นวาดผนึกฝ่ามือก่อนจะซัดออกไปทางขวา
ในวินาทีนั้น มีร่างๆ หนึ่งพุ่งออกมาจากด้านขวาอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้า แต่ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นก็ยังเร็วกว่า และคว้ามันเอาไว้ได้ขณะที่มันพุ่งออกมา!
ร่างนั้นเป็นหุ่นเชิดตัวหนึ่ง!
เมื่อผู้อาวุโสคว้ามันไว้ หุ่นเชิดนั้นก็ระเบิกขึ้นทันที ก่อนที่จะถูกเขาขยี้จนเละ เสียงระเบิดดังสนั่นกระจายไปในอากาศ ผู้อาวุโสมีใบหน้าบึ้งตึง เมื่อมองเห็นหุ่นเชิดเจ็ดถึงแปดตัวที่พุ่งเข้ามาจากทุกทิศทาง
ลมหายใจของเจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มขาดช่วงเมื่อมองเห็นบรรดาหุ่นเชิด เริ่มมีสัญญาณชีวิตไหลกลับเข้ามาในดวงตาของนาง
“ลูกไม้ชั้นต่ำ!” นัยน์ตาของผู้อาวุโสฉาบเคลือบไปด้วยความเกลียดชัง เขาเพิ่งจะได้รับบาดเจ็บรุนแรงมา แถมยังไม่ได้ฟื้นฟูอย่างเต็มที่ ทำให้ตอนนี้ร่างของเขายังอยู่ในขั้นจุติวิญญาณขั้นต้น อันที่จริงแล้ว หลังจากแรงระเบิดของระเบิดต้านทานวิญญาณ ทำให้พลังปราณเขาผู้อาวุโสตกลงมาอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น แต่ความมั่นใจของเขายังมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง!
เมื่อบรรดาหุ่นเชิดพุ่งเข้ามาใส่ ผู้อาวุโสก็ย่อตัวลง ก่อนจะกำมือทั้งหกและชกลงไปในดินไปพร้อมๆ กัน
คลื่นพลังวิญญาณพุ่งทะลักออกมาเสียงสนั่น พุ่งเข้ากระแทกหุ่นเชิดที่กำลังพุ่งตรงเข้ามา
ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นกระโจนขึ้นในอากาศก่อนจะพุ่งตรงไปยังเจ้าเหยี่ยเหมิงอีกครั้ง มือก็ใช้ผนึกฝ่ามืออยู่ไม่หยุดหย่อน สร้างเปลวเพลิงลุกโหมกระหน่ำขึ้นมาอีกครั้ง ผู้อาวุโสวางแผนจะหลอมเจ้าเยี่ยเหมิงด้วยกำลัง ทันใดนั้นเองก็มีเสียงหอนที่เจือไปด้วยความบ้าคลั่ง ดุร้าย และกระหายเลือด ดังขึ้นมาเบื้องหลังเขา ราวกับสายฟ้าฟาดที่พุ่งทะลุทะลวงอากาศ!
“เจ้ารนหาที่ตายเสียแล้ว!”
เสียงคำรามดังสนั่นนั้นพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะแปรสภาพเป็นลำแสงสีดำสนิทที่พวยพุ่งออกไปข้างหน้าราวกับดาวหาง แสงสีดำอันพร่ามัวนั้นมีพลังรุนแรงมหาศาล ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นแสดงความตกใจออกมาทางแววตาอีกครั้งหนึ่ง ครั้งแรกคือตอนที่เจ้าเยี่ยเหมิงใช้ระเบิดต้านทานวิญญาณตรงหน้าเขา
ชายชราไม่รอช้า ไม่มีเวลากระทั่งจะจับเจ้าเยี่ยเหมิงมาบังเป็นโล่ห์มนุษย์ เขารีบเคลื่อนย้ายห่างออกไปหลายร้อยเมตรทันที ลำแสงสีดำหักเหอย่างว่องไวขณะที่ร่างของผู้อาวุโสหายไป แสงนั้นเลี้ยวผ่านหน้าเจ้าเยี่ยเหมิงไปโดยที่ไม่ได้ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย ราวกับว่ามีเป้าหมายอยู่ที่ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นเท่านั้น แสงยังคงพุ่งตรงเข้าไปหาเขาอย่างไม่ลดละ!
ลำแสงนั้นคือหอกดำ มันพุ่งผ่านความว่างเปล่าอย่างรวดเร็วไปหาผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นผู้ ซึ่งไม่สามารถจะเคลื่อนย้ายอีกครั้งได้เพราะอาการบาดเจ็บ หอกดำพุ่งเข้าปะทะอย่างแรง
ลมหายใจของผู้อาวุโสเริ่มขาดช่วง มือทั้งหกผสานกันเข้ามาเป็นผนึกฝ่ามือ ฝ่ามือประสานกัน ลายเส้นสีดำพุ่งประสานกันก่อตัวเป็นหน้าปีศาจ
ภาพใบหน้านั้นปะทะเข้ากับหอกดำ ก่อให้เกิดเสียงดังสนั่นที่ดังก้องสะท้อนไปในอากาศ หอกดำหยุดลงในที่สุด และสายฟ้าสีดำก็ปะทุออกมาจากหอกที่ถูกหยุดนั้นก่อนจะขยายขนาดขึ้นอย่างรวดเร็ว มีร่างหนึ่งก้าวออกมาจากสายฟ้า และค่อยๆ ขยายขนาดจากเท่าฝ่ามือมาเท่าตัวคน ร่างนั้นซัดกำปั้นออกมาอย่างรวดเร็ว!
กำปั้นนั้นไม่มีแรงเสริมจากเกราะจักรพรรดิลักอัคคี แต่ก็ยังเป็นกำปั้นที่รุนแรงที่สุดที่ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อจะชกได้ กำปั้นนั้นใช้พลังของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงผนวกกับระเบิดกำเนิดดวงดารา สายฟ้าปะทุออกมาโดยรอบเมื่อกำปั้นนั้นพุ่งเข้าชนเป้า ก่อนจะรวมตัวกันเป็นสายฟ้าลูกใหญ่ที่ระเบิดใส่หน้าของผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างจัง!
สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนปะทุอยู่ไปมาบนพื้นที่แตกระแหก ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นเจ็บหนักมาจากระเบิดต้านทานวิญญาณของเจ้าเยี่ยเหมิงอยู่แล้ว กำปั้นของหวังเป่าเล่อจึงส่งเขากระเด็นถอยหลังไปก่อนจะบ้วนเอาโลหิตออกมาจากปาก
การโจมตีนี้ทำให้ผู้อาวุโสไม่อาจจะต้านทานหอกดำไว้อีกต่อไป หอกพุ่งตรงออกไปข้างหน้า ศีรษะของผู้อาวุโสเริ่มตึงเครียด เขาเอี้ยวตัวไม่ให้หอกปักโดนอวัยวะสำคัญ หอกจึงพุ่งเสียบทะลุหัวไหล่เขาไป!
โลหิตกระจายไปทั่วพื้น ขณะที่ผู้อาวุโสล่าถอยพร้อมๆ กับส่งเสียงคำรามคลั่ง
“หวังเป่าเล่อ เจ้า…”
ชายหนุ่มตามเข้ามาถึงตัวก่อนที่ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นจะพูดจบประโยค เขาปรากฏตัวขึ้นได้ไวราวกับสายฟ้า หวังเป่าเล่อจะใส่ร่างอวตารเข้าไปในร่างของผู้อาวุโสเพื่อจะระเบิดออกมาจากภายใน!
บทที่ 653 การหลอมด้วยสายฟ้า!
ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อมาอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสในพริบตา มีความบ้าคลั่งอยู่ในแววตาและจิตสังหารชัดอยู่ในหัวใจ หวังเป่าเล่อไม่อาจจะยับยั้งจิตสังหารของตนได้เมื่อมองเห็นเจ้าเยี่ยเหมิงบาดเจ็บหนักอยู่ต่อหน้าต่อตา ลมหายผู้อาวุโสถี่เร็วขึ้นเมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารนั้น ความหวาดกลัวทำเอาเขานิ่งเงียบไป
หวังเป่าเล่อมีจิตสังหารปกคลุมอยู่ทั่วกายอย่างหนักหน่วง ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นกัดปลายลิ้นของตนเองก่อนจะพ่นโลหิตออกมากองใหญ่
โลหิตแปรสภาพเป็นหมอกโลหิตที่แพร่กระจายออกไปหยุดไม่ให้หวังเป่าเล่อเข้ามาใกล้ หากเป็นร่างจริงของชายหนุ่ม เขาคงสามารถจะจัดการกับหมอกได้ในหมัดเดียวด้วยพลังจากเกราะจักรพรรดิลักอัคคี
ร่างอวตารนั้นไม่ได้ทรงพลังเท่ากับตัวจริง แต่มันก็ยังมีข้อได้เปรียบที่ร่างจริงไม่มีอยู่เช่นกัน นั่นก็คือ…ร่างกายที่เป็นสายฟ้านั้นสามารถแปรสภาพเป็นอะไรก็ได้หรือสลายไปเมื่อใดก็ได้!
ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อสลายไปทันทีที่กำแพงสีแดงฉานนั้นมาขวาง กลายเป็นทะเลสายฟ้าที่แพร่กระจายผ่านกำแพงไป แทนที่จะรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อน สายฟ้านั้นค่อยๆ ไหลเข้าไปหาร่างของผู้อาวุโสก่อนจะแทรกตัวเข้าไปตามรูขุมขน!
ผู้อาวุโสกรีดร้องอย่างเจ็บปวด ความรู้สึกที่เขามีตอนนี้คือเหมือนกันถูกฟ้าผ่า เนื้อของเขาถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ขณะที่อวัยวะภายในก็กระตุกด้วยความรวดร้าว ความเจ็บปวดของการถูกกระแสไฟย่างร่างนั้นเลวร้ายยิ่งกว่ารูปแบบการทรมาณใดๆ ผู้อาวุโสรู้สึกราวกันว่ามีสายฟ้าลูกใหญ่มารวมตัวกับอยู่ในร่าง และกำลังจะระเบิดออกพร้อมกับฉีกร่างเขาเป็นเสี่ยงไปพร้อมกัน!
โลหิตไหลบ่าออกมาจากรูทวารทั้งหมดของเขาอย่างไม่หยุดหย่อน และหัวใจของผู้อาวุโสเวลานี้ก็ถูกความกลัวเข้าครอบงำ ก่อนที่จะร้องออกมาอย่างเจ็บปวด ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นกัดฟัด นัยน์ตาของเขาฉาบเคลือบไปด้วยความบ้าคลั่งขณะที่เขาชกกศีรษะของตนเองอย่างแรง!
“ออกไป!”
ศีรษะนั้นระเบิดออกกลายเป็นหมอกควันเนื้อและโลหิต หมอกโลหิตก่อตัวขึ้นมาเป็นหัตถ์โลหิตมายาที่เอื้อมมากำรอบร่ายกายผู้อาวุโสเอาไว้!
สายฟ้าที่ไหลบ่าอยู่ทั่วกายหยุดเคลื่อนไหวในบัดดล สายฟ้าหลายเส้นเคลื่อนตัวออกมาจากกายราวกับถูกดึงออกมาโดยหัตถ์โลหิตมายา
เรื่องนี้อาจจะเป็นเรื่องง่ายๆ หากเขามีพลังเต็มที่ แต่เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสนั้นยากลำบากอย่างยิ่งกับระดับพลังปราณในปัจจุบัน เพราะว่าเขายังคงอ่อนแรงจากการรับระเบิดต้านทานวิญญาณของเจ้าเยี่ยเหมิงมา ทำให้พลังปราณของเขาตกจากขั้นจุติวิญญาณขั้นต้นมาสู่ขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุด ถึงกระนั้นผู้อาวุโสก็จะยังเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวสำหรับผู้ฝึกตนในขั้นกำเนิดแก่นในคนอื่นๆ แต่ว่าระดับปราณเท่านั้นไม่เพียงพอที่จะต่อกรกับหวังเป่าเล่อแน่นอน!
สายฟ้าที่ไหลออกมาจากร่างผู้อาวุโสนั้นรวมตัวกันเป็นหน้าของหวังเป่าเล่อ นัยน์ตาของเขาส่องประกายเคียดแค้นไปยังหัตถ์โลหิต!
คลื่นพลังวิญญาณพวยพุ่งออกไปหยุดหัตถ์โลหิตมายาเอาไว้ หัตถ์นั้นอ่อนกำลังลง ส่งผลให้สายฟ้าที่หลั่งไหลออกมาเริ่มไหลกลับเข้าไปในร่างของผู้อาวุโส
ก่อนหน้านั้น สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนไหลบ่าเข้าไปสลายเผาข้างหนึ่งของผู้อาวุโสจนกลายเป็นผุยผง
ผู้อาวุโสกำลังจะเสียสติเพราะความกลัว เขาสัมผัสได้ถึงอวัยวะภายในที่กำลังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ด้วยสายฟ้า นัยน์ตาของเขาฉาบเคลือบไปด้วยความบ้าคลั่ง ขณะที่ชายชรายกมือขวาขึ้นทุบขยี้มือซ้ายจนแหลก!
สิ่งนี้คือกระบวนเวทที่ตระกูลไม่รู้สิ้นใช้เพื่อเพิ่มพลังมหาศาลในยระยะเวลาสั้น การทำลายมือนั้นเพิ่มพลังชีวิตให้กับเขา ผู้อาวุโสเลือกทำลายมือตัวเองเพื่อขอพลังเพิ่ม หัตถ์โลหิตมายาอีกอันหนึ่งปรากฏขึ้นและคว้าอากาศอีกครั้งหนึ่ง
พลังของหัตถ์โลหิตทั้งสองอันผสานกันรุนแรงพอที่จะดึงเอาสายฟ้าทั้งหมดออกจากกายได้!
“ออกไป!” ผู้อาวุโสคำราม เขาใช้แขนข้างที่เหลือกดหน้าอกอย่างแรง เสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้นข้างในกายขณะที่แขนอีกสองข้างระเบิดกลายเป็นผงไปท่ามกลางสายฟ้า ในที่สุดชายชราก็กำจัดเอาสายฟ้าทั้งหมดออกไปจากร่างได้สำเร็จ!
แต่สายฟ้าทั้งหมดนั้นก็ไหลออกมารวมตัวกันเป็นใบหน้าของหวังเป่าเล่ออีกครั้ง!
ช่างเป็นภาพที่แปลกตายิ่ง แม้ว่าผู้อาวุโสจะขับไล่พลังของหวังเป่าเล่อไปได้ แต่ความกลัวในใจก็ไม่ได้จางหาย ชายชรารู้ดีว่าเขายังคงอยู่ในอันตราย จึงล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว นัยน์ตายังคงส่องประกายอย่างบ้าคลั่ง ผู้อาวุโสต้องข่มความเจ็บปวดในใจเอาไว้ก่อนจะตะโกนออกมา
“ระเบิด!”
หัตถ์โลหิตมายาทั้งสองส่องแสงสีแดงแรงกล้าออกมา ก่อนจะหดตัวลงและระเบิดขึ้น!
แรงระเบิดกระจายออกไป สลายใบหน้าของหวังเป่าเล่อที่สายฟ้าสร้างขึ้นมาในบัดดล กลายเป็นเพียงสายฟ้าเส้นเล็กๆ ที่ค่อยร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน
ผู้อาวุโสยังคงไม่พอใจ ใบหน้าของเขายังซีดขาว เขายังคงล่าถอยต่อไปอย่างรวดเร็ว ไม่กล้าที่จะอ้อยอิ่งอยู่ ชายชรารู้ดีว่าหวังเป่าเล่อสามารถสลับตำแหน่งกับร่างอวตารได้ในพริบตา และขณะนี้ผู้อาวุโสก็อ่อนแรงอย่างหนัก ระดับพลังปราณตกลงไปอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในขั้นต้นแล้ว!
หัตถ์โลหิตมายาทั้งสองที่ถูกทำลายไปนั้นเคยเป็นศีรษะของผู้อาวุโสมาก่อน เขาจึงได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการระเบิดนั้นเช่นกัน แม้ว่าจะสามารถดูดซับพลังวิญญาณที่ใช้ไปแล้วกลับมาได้บ้างและงอกศีรษะออกมาได้ใหม่หากว่าเขาไม่ได้ระเบิดมันทิ้งไปเสียแล้ว แต่ตอนนี้ ผู้อาวุโสก็ไม่มีทางขยับได้มากนัก
ข้าขอเวลาอีกสักหน่อย ข้าจะจับเขากินทั้งเป็นเลย! ผู้อาวุโสคิดอย่างคั่งแค้นใจ ขณะที่เขากำลังล่าถอยไกลออกไป เสียงเย็นเยียบก็ดังขึ้นด้านหลังเขา
“เจ้าแก่ชั่วช้า ข้าอยากจะถามคำถามเจ้ามานานแล้ว เจ้ากล้าดียังไงถึงมาแตะต้องคนของข้า”
สายฟ้าที่กระจายอยู่บนพื้นลอยกลับขึ้นมาในอากาศและรวมตัวกันอีกครั้ง แปรสภาพกลายเป็นร่างอวตารของหวังเป่าเล่อ ดูเหมือนกับใครสักคนที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากสายฟ้า สายฟ้าที่เหลือนั้นก็ลอยวนอยู่รอบร่างอวตาร เป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวยิ่ง
ใบหน้าของผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นซีดขาว เขาเร่งฝีเท้าหนีให้เร็วขึ้นอีก การจู่โจมของหวังเป่าเล่อทำเอาชายชรากลัวจับใจ เขาใช้มือคู่ที่เหลืออยู่สร้างผนึกฝ่ามือขณะที่กำลังถอยหนี ผู้อาวุโสตั้งใจจะสละมือทั้งสองข้างเพื่อรักษาชีวิตเอาไว้
แม้ว่าผู้อาวุโสจะเคลื่อนไหวเร็วเพียงใด ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อก็สร้างขึ้นมาจากสายฟ้า ด้วยการเคลื่อนที่เพียงก้าวเดียว สายฟ้าสีดำจำนวนมหาศาลก็พวยพุ่งแหวกอากาศ ส่งเสียงคำรามลั่นขณะที่มุ่งหน้าไปหาผู้อาวุโส บ้างก็ไปตกบนหอกดำที่ปักอยู่ไกลออกไป งัดมันขึ้นมาและพามันพุ่งตรงไปหาผู้อาวุโสจากทิศตรงข้าม กระบี่อีกสองเล่มที่เหลืออยู่จากชุดกระบี่เหาะเหินสามสีพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมๆ กับหมู่มวลสายฟ้า
ผู้อาวุโสถูกล้อมรอบด้วยสายฟ้าแทบจะในทันที ขณะที่สายฟ้าพุ่งเข้าสู่ร่างกายที่กระตุกอยู่ตลอดเวลานั้นเอง หอกดำก็พุ่งเข้ามา ปักทะลุท้องและยึดตัวเขาติดกับพื้น กระบี่เหาะเหินทั้งสองตามหลักมาไม่ห่าง ก่อนจะยึดแขนทั้งสองข้างเอาไว้ หยุดการเคลื่อนไหวของผู้อาวุโสไว้โดยสมบูรณ์
หวังเป่าเล่อไม่ได้จ้องมองผู้อาวุโสเลยด้วยซ้ำ ชายหนุ่มมองไปยังเจ้าเยี่ยเหมิงแทน
“เยี่ยเหมิง เจ้าแก่ชั่วนั่นบอกเจ้าหรือไม่ว่าเขาจะสังหารเจ้าเพราะเหตุใด เขาวางแผนจะทำสิ่งใดกับเจ้ากันแน่”
หวังเป่าเล่อถาม ชายหนุ่มมองเห็นว่าอาการบาดเจ็บของเจ้าเยี่ยเหมิงมาจากการที่พลังปราณของนางถูกดูดเอาไป แต่ไม่อันตรายถึงชีวิต เขาจึงเลือกที่จะพุ่งเป้าไปที่การจับกุมผู้อาวุโสก่อนมาดูอาการนาง
เจ้าเยี่ยเหมิงอาจจะหมดเรี่ยวแรงอยู่ในตอนนี้ แต่ว่าจิตใจของนางนั้นแข็งแกร่งมากโดยตลอด หญิงสาวบังคับตนเองให้เข้มแข็งเมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อปรากฏกายขึ้น ความอ่อนแรงกลืนกินนางอยู่อย่างช้าๆ แต่เมื่อมองเห็นหวังเป่าเล่อ นางก็รู้สึกปลอดภัย หัวใจของนางสงบ เจ้าเยี่ยเหมิงเงยหน้าขึ้นมองผู้อาวุโสที่อ่อนแรงพอกันเมื่อได้ยินคำถามของหวังเป่าเล่อก่อนจะตอบออกมาอย่างยากเย็น “เขาจะหลอมข้าเป็นโอสถ”
ใบหน้าอันเคร่งเครียดของหวังเป่าเล่อหม่นหมองลงไปอีก ชายหนุ่มหลุบศีรษะลงมองที่ผู้อาวุโสที่ตัวสั่นเทา จากนั้นจึงพยักหน้าครั้งหนึ่ง
“ดีละ ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าจะหลอมเจ้าเป็นโอสถเสียเอง” เมื่อพูดจบ ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นกดลงที่หน้าอกของผู้อาวุโส สายฟ้าปะทุออกมาจากกายเข้าปกคลุมร่างของผู้อาวุโสไว้จนทั่ว หวังเป่าเล่อจะหลอมผู้อาวุโสด้วยสายฟ้า!
เสียงตะโกนด้วยความเจ็บปวดดังสนั่นไปหมด!
บทที่ 654 ท้องฟ้าถล่ม!
การจะหลอมโอสถต้องใช้วัตถุดิบ ความร้อน และความรู้ความเข้าใจ แต่ทว่าหวังเป่าเล่อเป็นเจ้าแห่งการหลอมวัตถุเวท ชายหนุ่มจับผู้อาวุโสไว้ใต้สายฟ้าก่อนจะส่งสายฟ้าเข้าไปในร่างของคนตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างต่อเนื่อง ชายชราถูกแผดเผาจนร้อนฉ่าราวกับว่ากายของเขานั้นเป็นวัตถุเวทไปเสียแล้ว!
ความโหดร้ายของวิธีนี้เทียบเท่ากับการหลอมคนเป็นๆ ให้กลายเป็นโอสถก็ว่าได้
หวังเป่าเล่อกำลังโกรธจัด แต่ก็ยังไม่สิ้นสติไปเพราะโทสะ ชายหนุ่มกำลังหลอมส่วนที่เป็นกายหยาบของผู้อาวุโสเท่านั้น เมื่อกายหยาบนี้สลายเป็นผงไปเพราะสายฟ้าของเขา หวังเป่าเล่อก็ใช้มือขวาที่สร้างขึ้นสายฟ้า คว้าเข้าไปในกองขี้เถ้านั้น ก่อนจะหยิบเอาวิญญาณจุติออกมาดวงหนึ่ง!
วิญญาณจุตินั้นเป็นของผู้อาวุโส ทั้งอ่อนแอและยึดติดอยู่กับวิญญาณของเขา พร้อมจะแหลกสลายไปได้ทุกเมื่อ!
แม้ว่าระดับการฝึกตนของหวังเป่าเล่อจะไม่สูงพอให้เขาเข้าไปค้นในวิญญาณได้ แต่ทว่าด้วยวิชาลับของศาสตร์มืด ชายหนุ่มก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถบีบเอาข้อมูลออกมาจากวิญญาณนั้นได้บ้าง แต่ทว่าชายหนุ่มก็จะทำการนั้นผ่านร่างอวตาร ซึ่งอาจจะซับซ้อนอยู่สักหน่อย
ผู้อาวุโสตระกูลไม่รู้สิ้นอาจจะอ่อนแอ แต่ทว่าความเกลียดชังในดวงตาก็แสดงให้เห็นว่าเขาคงไม่ยอมปริปากบอกสิ่งใดกับชายหนุ่มโดยง่ายเป็นแน่
มือขวาของหวังเป่าเล่อส่องสว่างไปด้วยสายฟ้า ชายหนุ่มเริ่มการสอบปากคำไปหนึ่งรอบอย่างไร้ผล หลังจากนั้น เขาก็ไม่ได้เสียเวลากับผู้อาวุโสอีกต่อไป เขาปิดผนึกดวงวิญญาณของผู้อาวุโสด้วยกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงก่อนจะโยนวิญญาณที่ผนึกแล้วนั้นไปทางเจ้าเยี่ยเหมิง
หญิงสาวเพิ่งจะฟื้นสภาพขึ้นมาหลังจากกลืนโอสถและพักผ่อน นางใช้ผนึกฝ่ามือและสลักอักขระโบราณเอาไว้บนวิญญาณก่อนจะเก็บเข้าไว้ในกระเป๋าคลังเก็บ
ทั้งคู่มองหน้ากัน พวกเขามองเห็นความเคร่งขรึมในแววตาของกันและกัน
“ข้าพลัดหลงกับผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ เพราะเกิดไม่คาดฝันขึ้นภายในโม่หิน ข้าหาพวกเขาไม่พบ…” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดเบาๆ นางเงยหน้ามองหวังเป่าเล่อ ชัดเจนว่าหญิงสาวมีคำถามมากมายอยู่ในใจ ที่สำคัญที่สุดคือทำไมหวังเป่าเล่อจึงส่งเพียงร่างอวตารมาที่นี่เท่านั้น
“ข้าซ่อนตัวอยู่ในรอยแตกของโม่หิน…” หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะมองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง จากนั้นจึงเล่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาให้นางฟังรวมถึงเหตุผลที่ส่งร่างอวตารมาที่นี่
เจ้าเยี่ยเหมิงฟังเรื่องการค้นพบชั้นที่สามและเสาใต้ดินด้วยสีหน้าจริงจัง เห็นได้ชัดว่านางกำลังตกใจเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่น่าตื่นตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือข้อมูลของชุดคลุมออกศึกของตระกูลไม่รู้สิ้นและการที่พวกเขาไปอยู่บนเรือรบเต๋ามรณะ!
การค้นพบนี้เกินความคาดหมายของเจ้าเยี่ยเหมิงไปมาก ใบหน้าของนางซีดขาว แม้กระนั้น นัยน์ตาของนางจะยังคงเรียบเฉย ไม่เจือจนด้วยความสับสนหรือตกใจ หญิงสาวสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนที่จะมีประกายส่องสว่างในดวงตา นางพูดออกมาอย่างรวดเร็ว
“เป่าเล่อ เจ้าต้องหาเฟิ่งชิวหรันให้เจอและบอกความจริงกับนาง!
“เห็นได้ชัดว่ามีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นซ่อนตัวอยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้อาวุโสนั้นเป็นแค่หนึ่งในนั้น…เรื่องนี้อันตรายอย่างยิ่ง มันจะส่งผลต่อสำนักวังเต๋าทั้งหมด…รวมไปถึงสหพันธรัฐด้วย!”
“เป่าเล่อ หากข้าคาดเดาถูกต้อง สงครามระหว่างตระกูลไม่รู้สิ้นและสหพันธรัฐ…จะเกิดขึ้นในไม่ช้า! และสหพันธรัฐไม่ล่วงรู้ถึงอันตรายนี้เลย เราจะเสียเปรียบเป็นอย่างมาก!” ใบหน้าของเจ้าเยี่ยเหมิงไม่มีสีหลงเหลืออยู่อีกต่อไป หวังเป่าเล่อเองก็มีสีหน้าหมองหม่นเช่นกัน ชายหนุ่มเองก็คิดเช่นเดียวกัน แม้ว่าความเข้าใจสถานการณ์ของเขาจะดีกว่าบ้างก็ตาม
หวังเป่าเล่อได้ยินที่เจ้าเยี่ยเหมิงพูดแล้วก็หรี่ตาลง จากนั้นจึงกล่าวว่า “เยี่ยเหมิง เจ้าใช้วงแหวนปราณได้ดี หากข้าสามารถหยุดคลื่นรบกวนที่สถานที่นี้ปล่อยออกมา เจ้าจะสามารถใช้กระบวนเวทเคลื่อนย้ายได้หรือไม่
“หากเจ้าทำได้ เราต้องฉวยโอกาสนี้กลับไปที่สำนักวังเต๋าไพศาลทันที พวกเราต้องไปเตือนประมุขสำนักสวีและคนอื่นๆ ให้กลับไปที่สหพันธรัฐโดยเร็วที่สุด สหพันธรัฐจะต้องได้รับการเตือนทันทีเช่นกัน พวกเขาจะได้เตรียมตัว!”
เจ้าเยี่ยเหมิงเข้าใจความเคร่งเครียดของสถานการณ์ดี นางครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพยักหน้า
“ข้าสืบทอดวิชาวงแหวนปราณเอื้อชางโบราณมา ข้าสามารถใช้มันและจี้เคลื่อนย้ายเป็นฐานให้กับวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายระยะสั้นได้ พลังของมันน่าจะสู้กับคลื่นรบกวนได้ แต่ทว่า เจ้าจะต้องลดพลังคลื่นรบกวนให้ได้ก่อน!”
หวังเป่าเล่อมั่นใจว่าเขาทำได้แน่นอน ร่างจริงของเขาขณะนี้อยู่ในชั้นสาม และการดูดซึมพลังงานของชุดคลุมออกศึกษาแม้จะเชื่องช้าแต่ก็มั่นคง ยิ่งชุดคลุมออกศึกที่เป็นแกนของเรือรบเต๋ามรณะอ่อนแรงลงเท่าใด พลังในการขัดขวางการเคลื่อนย้ายของเรือรบก็จะอ่อนแรงลงด้วยเท่ากัน
ชายหนุ่มต้องการเวลาอีกสักหน่อย ก่อนที่ทุกอย่างจะพร้อมให้เจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มการเคลื่อนย้าย
พวกเขาตกลงเรื่องรายละเอียดปลีกย่อยก่อนจะเริ่มเดินทางตามหาเฟิ่งชิวหรัน พวกเขายังคงมองหากงเต๋าไปด้วยระหว่างทาง พวกเขาต้องหาเฟิ่งชิวหรันให้พบและบอกนางว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น ขณะที่ต้องหากงเต๋าให้พบเพื่อที่จะได้หนีออกไปพร้อมกัน
แต่ถึงกระนั้น ชั้นที่สองนั้นมีพื้นที่กว้างใหญ่ หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงใช้เวลาไปหลายวันแต่ก็ไม่พบกระทั่งร่องรอยของเฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ พวกเขาไม่อาจจะส่งเสียงดังได้อีกด้วย การพบกับผู้อาวุโสจากตระกูลไม่รู้สิ้นเมื่อครู่บ่งบอกว่าสถานที่นี้อันตรายเพียงใด พวกเขาต้องระมัดระวังไม่ให้พบกับผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ด้วย
แม้ว่าความคืบหน้าของการค้นหาจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า พวกเขาก็ยังโชคดีในด้านอื่นๆ หวังเป่าเล่อสามารถจะดูดซับพลังของชุดคลุมออกศึกได้อย่างดี พลังของเรือรบในการปล่อยคลื่นรบกวนการเคลื่อนย้ายค่อยๆ อ่อนตัวลงอย่างช้าๆ
เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็จับตามองพลังของจี้เคลื่อนย้ายของนางอยู่ทุกๆ วัน จี้ส่องแสงสว่างขึ้นและคลื่นพลังที่ปล่อยออกมาก็รุนแรงขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน
“ตามการคำนวนของข้า หากไม่มีสิ่งใดผิดพลาด ข้าจะสามารถเปิดจี้เคลื่อนย้ายได้ในอีกหนึ่งสัปดาห์และเราจะได้ออกไปจากที่นี่สักที!” จี้เคลื่อนย้ายนั้นเป็นความหวังของพวกเขา ทั้งคู่ได้พูดคุยกันไว้ก่อนหน้านี้แล้ว หากพวกเขาหาเฟิ่งชิวหรันไปพบก่อนหน้านั้น พวกเขาจะซ่อนตัวและเคลื่อนย้ายออกไปจากที่นี่เมื่อคลื่นรบกวนอ่อนแอลงมากพอ
หากจะต้องเลือกระหว่างชีวิตของทุกคนในสำนักวังเต๋าไพศาลและความปลอดภัยของสหพันธรัฐ พวกเขาทั้งคู่ย่อมต้องเลือกอย่างหลัง
เวลาผ่านไปอีกสามวัน หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงไม่พบกระทั่งร่องรอยของใครในช่วงสามวันที่ผ่านมา พวกเขาถอนใจก่อนจะเตรียมใจยอมแพ้ เมื่อกำลังมองหาที่ซ่อนตัวอยู่นั่นเอง ในทันใด…เพราะว่าการดูดกลืนพลังงานอย่างช้าๆ หรือเพราะสาเหตุอื่นใดไม่ทราบได้ แต่ก็เกิดเสียงกัมปนาทดังลั่นขึ้นบนท้องฟ้า!
เสียงกัมปนาทนั้นดังยิ่งกว่าฟ้าผ่าและสะท้อนไปทั่วโลกอันกว้างใหญ่ ฟังดูราวกับว่าสรวงสวรรค์กำลังแตกแยกออกเป็นเสี่ยง เสียงคำรามดังสนั่นปานสายฟ้านั้นสะท้อนก้องไปทั่วทั้งโลก หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงต่างก็ตกตะลึงตั่วแข็งทื่อกับเสียงที่ไม่คาดคิดนั้น ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองฟ้า ตรงเส้นขอบฟ้าไกลลิบๆ นั้น ปรากฏเป็นรอยแยกขนาดใหญ่ขึ้นมา!
วายุทมิฬฉีกทึ้งผ่านรอยแยกนั้นมาปรากฏอยู่ในชั้นที่สอง เสียงกัมปนาทยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่อง รอยแยกที่สอง ที่สาม ปรากฏขึ้นมาอีก ภายในเวลาสิบวินาที ท้องฟ้าก็ถูกฉีกขาดออกเป็นเสี่ยง!
เสียงดังสนั่นนั้นเขย่าโลกทั้งใบ ทั้งเศษดินและหินก็ตกใส่รอยแยก ทำให้ยิ่งถ่างกว้างขึ้นไปอีก ท้องฟ้าชิ้นขนาดเขื่องเริ่มร่วงหล่นลงมา!
ท้องฟ้านั้นเป็นฐานของพื้นชั้นบนที่หนึ่งของโลกใบนี้ ขณะที่มันถล่มลงมาและมีวายุทมิฬเบียดแทรกเข้ามาอยู่นั้นเอง เสียงโหยหวนของโครงกระดูกจากชั้นแรกก็ดังก้องมาแต่ไกล
ภาพนี้ทำเอาทั้งหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงผงะด้วยความตกตะลึง ทั้งคู่มีสีหน้าตื่นตกใจ หวังเป่าเล่อมองเห็นเงาร่างของคนๆ หนึ่งผ่านท้องฟ้าที่กำลังถล่มมาแต่ไกลๆ ร่างนั้นพุ่งทะยานผ่านไปราวกับดาวหาง คล้ายกับว่ากำลังหลบหนี ร่างนั้นก็คือ…เมี่ยเลี่ยจื่อ!
ผู้อาวุโสไม่ได้กำลังมุ่งตรงมาหาทั้งสองแต่อย่างใด แต่กำลังมุ่งไปที่ไหนสักแห่งหนึ่งใกล้ๆ บริเวณที่พวกเขาอยู่ เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่น และดูเหมือนว่าเขากำลังตกที่นั่งลำบาก ใบหน้าก็ซีดขาวแต่นัยน์ตาวาวกล้าไปด้วยแรงโทสะ โลหิตไหลซึมออกมาจากปากของเขาไม่หยุด
ร่างอีกร่างหนึ่งพุ่งตามออกมารอยแยกเดียวกันราวกับว่าติดตามมา ร่างนั้นสวมใส่ชุดคลุมเต๋าและเปล่งรัศมีอันน่าสะพรึงกลัว อีกร่างนั้นก็คือ…ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั่นเอง
“เมี่ยเลี่ยจื่อ คิดว่าจะหนีพ้นอย่างนั้นหรือ เจ้ามีทางเลือกเดียวเท่านั้น นั่นก็คือ…เข้าร่วมกับเราเสีย” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยิ้ม ก่อนจะก้าวออกมาจากรอยแยก พร้อมกับร่างอีกนับสิบที่พุ่งตรงตามหลังเขาเข้ามาในโลกใบนี้!
บทที่ 655 ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้!
การปรากฏตัวขึ้นของเมี่ยเลี่ยจื่อและศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทำเอาหวังเป่าเล่อตกตะลึง ชายหนุ่มยิ่งตกใจไปมากกว่านั้นอีกเมื่อเห็นร่างนับสิบที่ตามหลังศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันมาติดๆ
ทุกๆ คนมีใบหน้าที่คุ้นเคย ส่วนมากเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่อยู่ในฝ่ายของโยวหรันและเมี่ยเลี่ยจื่อ ศิษย์เอกของโยวหรันอย่างโจวซู่เต๋าและหวงหยุนซานก็อยู่ในกลุ่มนั้นด้วย!
ใบหน้าของพวกเขาดูเคร่งขรึม ทุกคนมีใบหน้าซีดเซียวราวกับว่าเสียโลหิตไปมาก ราวกับว่าวิญญาณของพวกเขาถูกปิดผนึกเอาไว้ แต่ทว่าทุกๆ คนในขณะนี้ยืนอยู่หลังศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันอย่างพร้อมให้การสนับสนุน!
หวังเป่าเล่อพยายามนึกย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน รวมไปถึงความรู้สึกระแวงที่มีต่อชายผู้นี้อยู่โดยตลอด ฉากตรงหน้านี้ยืนยันข้อสงสัยของชายหนุ่ม ความเป็นจริงมาปรากฏอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว!
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทรยศหักหลังสำนักวังเต๋าไพศาล!
ความคิดนั้นเด่นชัดขึ้นในใจของหวังเป่าเล่อขณะที่เขามองเห็นเมียเลี่ยจื่อใช้ผนึกฝ่ามือจำนวนมหาศาลเผื่อชะลออีกฝ่ายและพยายามหนี การระเบิดจากผนึกฝ่ามือนั้นเข้าไปปะทะกับการโจมตีที่มองไม่เห็นที่ถูกซัดตามหลังเขามาเป็นระยะ เห็นได้ชัดว่าเมี่ยเลี่ยจื่อบาดเจ็บหนัก แม้ว่าจะปัดป้องการโจมตีได้ แต่โลหิตก็ยังคงหลั่งไหลออกมาจากปากเขา ชายชราเดินเซ ก่อนจะเริ่มหัวเราะออกมาราวกับคนใกล้เสียสติ
“โยวหรัน เจ้าทำแบบนี้ทำไมกัน”
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันลอยตัวอยู่กลางอากาศ ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาทันทีที่ได้ยิน เสียงหัวเราะของเขามีบางสิ่งที่ดำมืดและลึกล้ำเกินกว่าจะคาดเดาเจือปนอยู่ เขาไม่ได้โจมตีอีกครั้ง หากแต่หยุดเพื่อตอบคำถามอย่างใจเย็น
“เมี่ยเลี่ยจื่อ เจ้ายังทำเป็นไขสืออยู่อีกหรือ เจ้าควรจะรู้ตั้งแต่ที่ข้าลอบโจมตีเจ้าแล้วนะ ไม่เช่นนั้นเจ้าจะใช้การโจมตีที่รุนแรงที่สุดทั้งๆ ที่บาดเจ็บอยู่เช่นนั้นเพียงเพื่อหนีลงมาชั้นสองทำไม…เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าข้าจะรู้ไม่ทัน เจ้าพยายามจะล่อเฟิ่งชิวหรันออกมาและร่วมมือกับนางใช่หรือไม่”
“เราเป็นเพื่อนกันมานาน เจ้าบอกข้าก็ได้หากเจ้าอยากจะถ่วงเวลา ข้าจะปล่อยให้เจ้าทำตามใจเลย” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยิ้มก่อนจะพูดกับเมี่ยเลี่ยจื่อ
ใบหน้าที่เจ็บปวดและซีดเซียวของเมี่ยเลี่ยจื่อหม่นหมองลงทันทีที่ได้ยินสิ่งที่โยวหรันกล่าว อีกฝ่ายคาดเดาถูกต้อง เมี่ยเลี่ยจื่อรู้คำตอบตั้งแต่ที่โยวหรันลอบโจมตีเขาแล้ว ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันทรยศสำนักวังเต๋าไพศาล เมี่ยเลี่ยจื่อคิดไปถึงกระบวนเวทของตระกูลไม่รู้สิ้นทันทีเมื่อมองเห็นว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันสะกดคนเกือบทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลเอาใต้คาถาประหลาด
เป็นเหตุให้เมี่ยเลี่ยจื่อต้องสู้แบบถึงลูกถึงคนเพื่อจะฉีกแผ่นโลกและหนีลงมายังชั้นสอง เป้าหมายของเขาก็คือการตามหาเฟิ่งชิวหรัน ร่วมมือกับนาง และเอาชนะศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันให้ได้ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเลือกที่จะลอบทำร้ายเขาแทนที่จะสู้กับแบบต่อหน้า แปลว่าอีกฝ่ายเองก็คงไม่ทรงพลังถึงขนาดจะเอาชนะไม่ได้!
ความหวังยังคงมี!
แต่ทว่า ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันดูเหมือนจะรู้ทันความคิดของเมี่ยเลี่ยจื่อเสียแล้ว ความพูดน้อยของอีกฝ่ายเริ่มจะทำให้เมี่ยเลี่ยจื่อหวั่นวิตก
หวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงซ่อนตัวอยู่ในภูเขาใกล้ๆ ขณะที่เมี่ยเลี่ยจื่อและศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันลอยตัวอยู่กลางอากาศ พวกเขาเฝ้ามองการต่อสู้อย่างตื่นตระหนก หลังจากที่ได้ยินสิ่งที่หวังเป่าเล่อได้ไปพบมาในชั้นที่สาม เจ้าเยี่ยเหมิงก็สรุปได้อย่างรวดเร็ว
เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรากฏขึ้นของเรือรบ อันที่จริงแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะอยู่เบื้องหลังแผนการเหล่านี้ทั้งหมด การปรากฏตัวขึ้นของผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นคนก่อนทำให้การเดาตัวตนที่แท้จริงของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั้นง่ายขึ้นไปอีก
หวังเป่าเล่อเองก็ได้คำตอบเช่นเดียวกันและตื่นตกใจอยู่เงียบๆ ร่างจริงของเขากำลังพยายามจะดูดซับชุดคลุมออกศึกให้หมดจด ไม่ว่าเขาจะต้องสะสมไขมันวิญญาณไว้มากเพียงใดก็ไม่สำคัญหากจะสามารถเร่งความเร็วในการดูดซับพลังวิญญาณจากชุดคลุมนี้ได้!
หวังเป่าเล่อเร่งมือรีบสูบพลังอีก บนท้องฟ้า นัยน์ตาของเมี่ยเลี่ยจื่อจู่ๆ ก็เป็นประกายประหลาด เขาจ้องมองไปยังศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก่อนจะถามขึ้นมาปุบปับ “เฟิ่งชิวหรันอยู่ไหน”
“ข้าชอบคำถามที่ตรงไปตรงมาของเจ้า” ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยิ้มก่อนจะส่ายศีรษะเบาๆ
“เฟิ่งชิวหรันยังไม่ตาย ข้าจะยอมให้เจ้าทั้งคู่ตายได้อย่างไรกัน แต่อย่างไรเสียนางก็คงไม่มีทางมาถึงที่นี่ทันช่วยเจ้าหรอก นางติดอยู่ภายในวงแหวนปราณที่ข้าเตรียมมาสำหรับนางโดยเฉพาะ อีกอย่าง…” ตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันหรี่เล็กขณะที่เขาก้าวขาออกมาด้านหน้า เมี่ยเลี่ยจื่อถอยกรูดตามสัญชาติญาณ
แต่ทว่า เมี่ยเลี่ยจื่อก็บาดเจ็บหนัก แม้ว่าเขาจะเคลื่อนว่องไวเพียงใด ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็ตามมาทัน เสียงระเบิดดังสนั่นขึ้นในอากาศขณะที่ทั้งคู่ประมือกันอยู่บนฟ้า
การต่อสู้จบลงอย่างรวดเร็ว ผิวหนังของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันฉีกขาดออกเพราะแขนทั้งสี่ที่งอกออกมา และมือทั้งหกของเขาก็ประสานกันเป็นผนึกฝ่ามือจำนวนมหาศาล หมอกสีดำปรากฏออกมาและแปรสภาพกลายเป็นหม้อหลอมขนาดยักษ์ที่กระแทกเมี่ยเลี่ยจื่ออย่างแรง
เสียงกระแทกดังสนั่นดังขึ้น เมี่ยเลี่ยจื่อบ้วนโลหิตออกมากองใหญ่ เขาซวนเซก่อนจะปลิวไปชนกับภูเขาอย่างแรง ทำให้ภูเขาถึงกับถล่ม ขณะที่เมี่ยเลี่ยจื่อพยายามยันตัวลุกขึ้นยืน หม้อหลอมยักษ์ก็แปรสภาพกลายเป็นเส้นด้ายที่ชอนไชเข้าไปในร่างของเมี่ยเลี่ยจื่อ
เมี่ยเลี่ยจื่อตัวสั่นอย่างรุนแรงก่อนจะกระอักเอาโลหิตออกมาเต็มปาก หน้าอกของเขายุบลงไป แขนข้างหนึ่งก็หัก ชายชราหัวเราะอย่างขมขื่นก่อนจะยกศีรษะขึ้นอย่างยากเย็น ดวงตาทั้งคู่จับจ้องไปที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน
สีหน้าของอีกฝ่ายไม่เปลี่ยนแปลง โยวหรันยืดแขนทั้งหกออกอย่างเมื่อยขบก่อนจะฉีกยิ้ม
“เป็นเวลานานมาแล้วตั้งแต่ที่ข้าแสดงร่างจริงเป็นครั้งสุดท้าย แม้ว่าร่างกายของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลจะสะดวกสบายกว่ามากแต่ก็…อ่อนแอเกินไป!” เขาโคลงศีรษะก่อนจะทอดตามองไปไกล นัยน์ตาทั้งคู่กวาดมองขอบฟ้า ก่อนจะมองไปเห็นหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงที่หลบซ่อนตัวอยู่
แต่ทั้งสองไม่สำคัญแม้แต่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าเยี่ยเหมิงหรือหวังเป่าเล่อก็ตาม ทั้งสองเป็นเพียงแมลงในสายตาโยวหรัน แม้ว่าคนหนึ่งจะเป็นถึงศิษย์อุปถัมภ์และผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ แต่ตำแหน่งเหล่านั้นก็ช่างไร้ความหมาย สิ่งที่สำคัญก็คือระดับพลังปราณ!
ณ เวลานี้ โยวหรันสนใจเพียงแค่เมี่ยเลี่ยจื่อเท่านั้น เขาโบกมือหนึ่งครั้ง มีร่างเงานับสิบปรากฏขึ้นมาเบื้องหลังเขา พวกมันรายล้อมเมี่ยเลี่ยจื่อผู้เจ็บหนักเอาไว้ในพริบตา ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันย่างสามขุมเข้ามาหาเมี่ยเลี่ยจื่ออย่างแช่มช้า
หวังเป่าเล่อเห็นอย่างชัดเจนว่าโยวหรันกำลังพยายามควบคุมตนเองอย่างยากลำบาก ชายหนุ่มมีแววตามุ่งมั่นฉายขึ้นมาในแววตา ก่อนที่จะจับมือเจ้าเยี่ยเหมิงและพากันถอยหนีไปอย่างเร่งรีบ
เมี่ยเลี่ยจื่อสัมผัสกายมีอยู่ของพวกเขาได้ แต่ไม่ได้แม้แต่จะหันมามอง ดวงตาของเขานั้นยังคงดุร้าย แต่ความขมขื่นกำลังกลืนกินจิตใจ เขาไม่ได้ถือโทษการล่าถอยของหวังเป่าเล่อ หากเป็นเขาเอง ด้วยพลังปราณระดับกำเนิดแก่นใน เขาก็คงหันหลังหนีอย่างไม่คิดชีวิตเช่นกัน
ความรู้สึกขมขื่นนั้นเกิดขึ้นก็เพราะว่า หากเขาไม่ถูกลอบทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เขาก็คงไม่มาอยู่ในสภาพน่าเวทนาเช่นนี้ ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันมีพลังที่ซ่อนเร้นเอาไว้อีกด้วย จนเมี่ยเลี่ยจื่อไม่อาจจะรับมือได้ไหว ขณะที่เศร้าใจอยู่นั่นเอง ประกายแสดงกล้าก็ปรากฏขึ้นมาในแววตาของเมี่ยเลี่ยจื่อ
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันโคลงศีรษะก่อนจะใช้ผนึกฝ่ามืออีกครั้ง เส้นด้ายสีดำพุ่งออกมาจากร่างของเมี่ยเลี่ยจื่อและรัดเข้าเอาไว้อย่างแน่นหนา!
เมี่ยเลี่ยจื่อตัวสั่นอย่างแรง เส้นเลือดบนขมับเต้นตุบๆ เขาพยายามจะดิ้นหนีแต่ก็ไม่เป็นผล ทำได้เพียงแค่มองโยวหรันค่อยๆ ย่างก้าวเข้ามาหา
“เมี่ยเลี่ยจื่อ ข้านับถือจิตใจเจ้า ข้าจึงจะให้โอกาสเจ้าหนึ่งครั้ง ทุกๆ อย่างที่เจ้าเคยทำมาจะสาปสูญหากข้าประทับตราทาสลงบนกายเจ้า จิตใจของเจ้าจะเสียหายอย่างรุนแรง เจ้ารู้ดี อีกอย่างหนึ่ง สำนักวังเต๋าไพศาลพินาศไปแล้ว ไม่มีทางจะกลับมาเป็นเช่นเดิมอีก…คุกเข่าต่อหน้าข้า และข้าจะให้เจ้ามาเป็นนักรบคู่กาย ข้าสัญญาว่าภายในเวลาร้อยปีจะเปลี่ยนกายเนื้อของเจ้าให้ เจ้าจะได้มาเป็นสมาชิกที่แท้จริงแห่งตระกูลไม่รู้สิ้น!” มีแสงอันเยียบเย็นในดวงตาของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเมื่อเขาพูดจบ
เขาไม่ได้โกหกเมี่ยเลี่ยจื่อ มีคนสองคนเท่านั้นในสำนักวังเต๋าไพศาลที่โยวหรันชอบพอ หนึ่งก็คือเมี่ยเลี่ยจื่อ อีกคนคือศิษย์เอกของเขาตู้กูหลิน!
ทั้งสองเป็นผู้ที่เหมาะสมจะได้รับโอกาสในการเข้าร่วมตระกูลไม่รู้สิ้นในสายตาของโยวหรัน ส่วนคนที่เหลือนั้นเขาเกลียดชังนัก กระทั่งเฟิ่งชิวหรัน ผู้ที่อยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ นางมีจิตใจอ่อนโยน ฉะนั้น จึงเป็นเพียงคนอ่อนแอ!
“คุกเข่าให้ตระกูลไม่รู้สิ้นอย่างนั้นหรือ” เมี่ยเลี่ยจื่อระเบิดหัวเราะออกมา ไม่สำคัญแม้แต่น้อยว่าขณะนี้เขาจะถูกรัดอย่างแน่นหนาเสียจนกระทั่งความเจ็บปวดแล่นไปทั่วสรรพางค์กายจนกระทั่งตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่อยู่ เสียหัวเราะของเขายังคงดังอยู่ต่อไป และดูเหมือนจะดังยิ่งขึ้นไปอีก
“ตัวข้าคนนี้ เมี่ยเลี่ยจื่อ อาจจะไม่ได้เป็นคนดีเด่น แต่ข้าก็เป็นศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาล ข้าคุกเข่าให้เพียงสวรรค์และบรรพชนแห่งสำนักวังเต๋าเท่านั้น ไม่คุกเข่าให้ใครอื่นอีก!”
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน ตระกูลไม่รู้สิ้นเป็นใครจึงคิดว่าข้าจะยอมคุกเข่าให้” แววตาเยาะเย้ยปรากฏขึ้นบนหน้าของเมี่ยเลี่ยจื่อ เขาพูดความจริง เขาไม่ได้เป็นคนดีเลยไม่ว่าจะมองจากมุมใด แต่ชายชราก็ยังมีหลักการดำเนินชีวิต และความภักดีของเขาก็มอบให้สำนักวังเต๋าไพศาลเพียงเท่านั้น!
แม้ว่ามือทั้งสองของเขาจะชุ่มไปด้วยเลือด และแม้จะเคยคิดสละสหพันธรัฐทั้งหมดเพื่อเป้าหมายของเขา แต่…ทุกๆ สิ่งที่เขาทำ ก็เพื่อความเกรียงไกรของสำนักวังเต๋าไพศาล ความภักดีและความทุ่มเทที่มีให้กับสำนักวังเต๋าไพศาลของเขานั้นไม่มีวันเสื่อมสลาย!
ขณะที่เสียงของเมี่ยเลี่ยจื่อดังกังวานไปถึงสวรรค์ ก็มีบางอย่างมาสะท้อนอยู่ในดวงตาของหวังเป่าเล่อ แม้ว่าชายหนุ่มจะไม่ชอบเมี่ยเลี่ยจื่อแม้แต่น้อย แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความแน่วแน่ในน้ำเสียงของอีกฝ่าย
เมี่ยเลี่ยจื่อกำลังพยายามยั่วโมโหให้ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันสังหารเขาเสีย!
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันจับจ้องไปที่เมี่ยเลี่ยจื่อ ก่อนจะหรี่ตาลง เขาสะบัดมือขวาขึ้น หมอกสีดำที่กักขังเมี่ยเลี่ยจื่อเอาไว้แปรสภาพเป็นตัวอักขระโบราณสีดำที่เริ่มประทับลงไปบนผิวกายของเมี่ยเลี่ยจื่อ เขาตัวกระตุกอย่างแรง และหยุดหัวเราะไปในทันที สัญญาณชีวิตเริ่มจะลอยหายไปจากกายเขา
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันใช้ผนึกฝ่ามือออกมาอีกหลายครั้ง เมี่ยเลี่ยจื่อผู้ซึ่งชีวิตหลุดลอยออกไปแล้วจู่ๆ ก็ศีรษะขึ้นมา ดวงตาของเขา…สูญเสียสติสัมปชัญญะไปสิ้น
“หากเป็นเช่นนั้น เจ้าก็จงกลายเป็นทาสเสียเถิด”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น