ท่านเทพมาแล้ว 65-72

 ตอนที่ 65

 

เขาเป็นคนนอกงั้นหรือ?

โดย

Ink Stone_Romance

 


แววตาของลู่ยาเปลี่ยนไปอึมครึม


นอกจากนางจะพออกพอใจคนแซ่หลินแล้ว แม้แต่อาจารย์ของตนก็ยังถูกตาต้องใจด้วย ที่สุดแล้วนางชอบแบบไหนกันแน่? ถึงแม้คนแซ่หลินจะเรียบๆ ก็ช่างเถอะ อย่างน้อยก็ยังหนุ่มแน่นทั้งยังรูปงาม แต่นึกไม่ถึงว่าในสายตาของนาง ชายชราที่เป็นจินเซียนแล้วก็ยังมีแรงดึงดูด ไหนจะยังสุภาพอ่อนโยน? ทั้งเป็นจินเซียนฝีมือแก่กล้า? ให้ตาย! นางไม่อายเลยด้วยซ้ำ!


“อาจารย์เจ้าชื่ออะไร?” ภายหลังเขาจะไปพบเขาเสียหน่อย


“หลิวหยางเจินเหริน” มู่จิ่วตอบ “แต่เขาเป็นคนปลีกตัวจากโลกภายนอก จิตใจสงบไม่เห็นแก่ลาภยศเงินทอง ลงจากภูเขาน้อยมาก เจ้าอาจจะไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อน”


ลู่ยาคิดครู่หนึ่ง ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนจริงๆ


แต่เพียงแค่จินเซียนเล็กๆ คนหนึ่ง พอออกจากปากนางกลับกลายเป็นองอาจได้ขนาดนี้ ช่างทำให้คนรับไม่ได้เสียจริง


“หากเจ้ากลับภูเขาคราวหน้า พาข้าไปด้วย” เขาพูด


“ทำไม?” มู่จิ่วเคี้ยวลูกท้อ “ภูเขาของพวกเราไม่อนุญาตให้พาคนนอกเข้าไป”


ลู่ยาสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนพูด “เจ้ารู้หรือไม่ว่าชิงชิวอันตรายแค่ไหน? นั่นมันสระมังกรถ้ำเสือ[1]เชียวนะ! ข้าไม่รักชีวิตรับปากเสี่ยงพาเจ้าไปชิงชิวแล้ว เจ้ายังเห็นข้าเป็นคนนอกอีก?”


มู่จิ่วไร้คำพูดตอบกลับ


เขาพูดแบบนี้ นางก็รู้สึกไม่ดีที่จะปฏิเสธแล้ว


อย่างไรก็แล้วแต่ นางยังไม่รู้ว่าจะกลับไปเมื่อไหร่ ไม่แน่ว่าตอนนางกลับไปเขาอาจจะควบคุมพลังร้ายในร่างกายได้แล้ว และคงจากไปเสียก่อน คิดดูก็อย่าไปวุ่นวายกับเขาในเรื่องนี้เลย จึงตอบไปส่งๆ “ได้” แต่ในเมื่อพูดเรื่องชิงชิวขึ้นมาแล้ว นางก็จำต้องทำคอโล่งนั่งหลังตรง “เจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรต่อเรื่องชิงชิว?”


“ไม่มีความคิดเห็น” ลู่ยาส่ายศีรษะโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย “ยังไม่ไปก็ไม่มีความคิดเห็นอะไร”


สิ่งที่เขาต้องใคร่ครวญตอนนี้คือทำอย่างไรถึงจะหลบจากสายตาของจิ้งจอกเฒ่าแห่งชิงชิวนั่นไปได้ ราชาจิ้งจอกคือหลานของจิ้งจอกเก้าหางข้างกายหนี่ว์วา ตอนยังเล็กเคยวิ่งเล่นอยู่ที่สวรรค์ชั้นสามสิบเก้าบ่อยครั้ง เจ้านั่นรู้จักเขา ดังนั้นถึงแม้เขาจะผนึกพลังที่เหลือทั้งหมดไป จมูกของจิ้งจอกสักแปดส่วนก็ต้องดมสิ่งผิดปกติออกบ้าง


เขาต้องคิดหาวิธีดีๆ ในการหลบหลีก


เรื่องนี้ไม่เพียงแต่เป็นปัญหาเกี่ยวเนื่องว่าเขาจะเสียหน้าไม่เสียหน้า แต่ยังเกี่ยวกับปัญหาเรื่องหลักการของเทพทั้งสี่อย่างพวกเขา


ปีนั้นตอนที่ฟ้าดินแต่งตั้งเทพได้แบ่งโลกออกเป็น เทพ มาร เซียน ปีศาจ มนุษย์ และวิญญาณทั้งหมดหกภพ อวี้ตี้ดูแลภพเทพ เซียน มนุษย์รวมสามภพ ที่เหลืออีกสามภพไม่ได้ควบคุม ให้มีกษัตริย์เป็นของตนเอง เพียงแค่ไม่ก่อเรื่อง สวรรค์ก็จะไม่ยุ่งเกี่ยว


หลังจากที่พวกเขาทั้งสี่จัดการเรื่องราวเรียบร้อยหมดแล้วก็กลับสู่ตำแหน่งเดิม นับจากนั้นจึงไม่ได้สนใจเรื่องราวใดๆ บนภพทั้งหกอีก ตอนนี้ชิงชิวโกรธแค้นลัทธิฉ่าน ด้านหนึ่งคือจิ้งจอกเก้าหางลูกน้องของหนี่ว์วา อีกด้านคือไท่ซ่างเหล่าจวินหลานศิษย์ของเขา หากเขาปรากฏกายเข้าร่วม แน่นอนว่าแต่ละภพจะต้องนั่งไม่ติดที่ และเรื่องต้องบานปลายแน่


แต่เขากลับไม่มีทางวางตนออกห่างจากเรื่องนี้ได้


เหตุผลแรกคือชิงชิวกับลัทธิฉ่านมีเรื่องกันไม่เป็นผลดีต่อสามภพ ในฐานะที่เป็นศิษย์น้องของหงจวินและหนี่ว์วา เขามีหน้าที่รับผิดชอบตรวจสอบเรื่องนี้ให้ชัดเจน เพื่อคลี่คลายบุญคุณความแค้นระหว่างพวกเขา เหตุผลที่สองคือนี่เป็นภาระหน้าที่ของเด็กสาวคนนี้ เขาไม่สนใจไม่ได้ อย่างไรก็กินอยู่เปล่าๆ กับนางมานาน ไม่ช่วยก็ผิดหลักเหตุผลใช่หรือไม่?


มู่จิ่วรออยู่นาน ไม่ได้ยินเขาพูดใจก็วุ่นวาย


หลิวจวิ้นให้เวลานางแค่สามเดือนในการทำคดี เวลาเริ่มนับถอยหลังจากวันนี้ นางตั้งใจลากเขาเข้ามาช่วย เขากลับบอกว่าไม่รู้? ไม่มีความคิดเห็น?


“ปกติไม่ใช่ว่าเจ้าฉลาดมากหรือ? อย่างไรเจ้าลองให้คำแนะนำข้าหน่อย ลองพูดว่าคดีนี้ข้าควรเริ่มลงมือจากตรงไหนก็ได้?”


ลู่ยาหยุดเคี้ยวแล้วมองดูนาง “ข้าไม่ว่าง”


ไม่ว่าง? มู่จิ่วรู้สึกประหลาดใจนัก ทั้งสวรรค์นี้นับได้ว่าเขาว่างที่สุด เขากลับบอกว่าไม่ว่าง?


นางดึงเก้าอี้มานั่งอยู่ตรงหน้าเขา “เจ้ายุ่งอะไรอยู่?”


“นอน” เขายิงฟันพ่นเอาเปลือกองุ่นออกมา พูดอย่างช้าๆ


มู่จิ่วถูกยอกย้อนจนสำลัก จึงแย่งถาดผลไม้ที่เขายังกินไม่หมดกลับมา ก่อนผลักประตูเดินออกไป


เช้าวันถัดมา หลังกินข้าวเช้ามู่จิ่วก็ไปที่หน่วย


ในเมื่อทำคดี แน่นอนว่าต้องมีบางเรื่องต้องเตรียมตัวก่อน เช่นไปเอาใบอนุญาตเข้าออกประตูสวรรค์แดนใต้ ใบอนุญาตไปโลกมนุษย์ และยังมีใบพาคนเดินทางไปด้วยกันอะไรพวกนั้น ทั้งหมดนี้ต้องมาทำที่หน่วยทั้งสิ้น


มู่จิ่วไปที่หน่วยลาดตระเวนก่อน หลิวจวิ้นกำลังยุ่ง ดังนั้นจึงไปทำขั้นตอนอื่นให้เสร็จก่อนค่อยกลับมาที่นี่อีก ตอนเข้าประตูไปเจอกับเทพเซียนถือพู่หางม้าสามคน รอจนพวกเขาเดินไปไกลแล้ว นางจึงเข้าไปในห้องทำงานของหลิวจวิ้น ก่อนถามขึ้น “สามท่านเมื่อครู่เป็นเซียนตำหนักไหน? ดูแล้วตำแหน่งไม่ต่ำกันเลย”


หลิวจวิ้นเงยหน้าจากเอกสารขึ้นมองนาง “พวกเขาคือสามนักพรตข้างกายหลิงอวิ๋นเซียนจุนแห่งวังนิรกรรมในวิมารหลีเฮิ่น ทางวิมารหลีเฮิ่นรู้เรื่องที่จิ้งจอกแห่งชิงชิวไล่ล่าสังหารศิษย์ลัทธิฉ่านแล้ว เมื่อครู่ส่งท่านเหล่านั้นมาเพื่อถามรายละเอียดและมากดดันพวกเรา” พูดถึงตรงนี้เขาก็วางพู่กันลง ดื่มชา จากนั้นก็วางแก้วลงไปหนักๆ


หลิงอวิ๋นเซียนจุนเป็นศิษย์ของไท่ซ่างเหล่าจวิน ในโลกเซียนตำแหน่งค่อนข้างสูง ตอนนี้เป็นเจ้าหน้าที่ของวิมารหลีเฮิ่น รู้จักกันทั่วไปในฐานะจ่งก่วน (เลขาธิการ) ที่แท้สามท่านนี้เป็นนักพรตข้างกายหลิงอวิ๋นเซียนจุน ถึงว่าตอนอยู่ห่างกับคนเหล่านี้ในระยะไกลยังรู้สึกได้ว่าความองอาจพัดผ่านหน้ามา


มู่จิ่วมองดูสีหน้าของหลิวจวิ้น “ในเมื่อพวกเขามาด้วยตนเอง คงไม่ได้ทิ้งคำพูดอะไรดีๆ ไว้แน่กระมัง?”


นางกลับไม่แปลกใจที่ทางวิมารหลีเฮิ่นรู้เรื่องนี้ จิ้งจอกสังหารคนที่เป่ยอี๋ก่อนหน้านี้นานแล้ว โดยปกติข่าวคราวต้องไปถึงสวรรค์อยู่แล้ว เรื่องที่นางกับลู่ยาทำลายเขาของสำนักตะวันอำพราง อวี้ตี้ยังส่งอสุนีบาตสามสายมาลงโทษ เรื่องนี้พวกเขาจะไม่โกรธหรือ? เพียงแต่คราวนี้ฝ่ายตรงข้ามคือชิงชิวที่ไม่น่าหาเรื่องด้วย ดังนั้นจึงมาที่หน่วยลาดตระเวนเพื่อกดดันแทน


หลิวจวิ้นก็โชคร้าย แต่ใครใช้ให้หน่วยลาดตระเวนดูแลคดีทั้งหลายบนโลกเซียนเล่า?


หลิวจวิ้นถลึงตาใส่นาง วางเอกสารคดีที่เรียบร้อยแล้วในมือลงด้านหนึ่ง ปลายพู่กันจุ่มน้ำหมึกพลางพูด “เจ้าไม่ไปทำคดีของเจ้า มาทำอะไรที่นี่? อย่าลืมว่าเจ้าลงหนังสือสัญญาไปแล้ว อย่าคิดว่าทำๆ ไปก็จะปิดคดีได้ หลังจากสามเดือนผ่านไปเจ้าทำไม่สำเร็จ ข้าจะไม่ให้เวลาเจ้าเพิ่มแม้แต่ครึ่งเค่อ”


เมื่อคุ้นเคยกันแล้ว เขาก็เป็นคนที่คุยรู้เรื่อง ขนาดนี้แล้วยังไม่ล้มโต๊ะอีก


“ทราบแล้ว ข้ามาที่นี่ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรือ” มู่จิ่ววางเอกสารที่ทำเสร็จแล้วไว้บนโต๊ะ พูดต่อว่า “พรุ่งนี้จะออกเดินทางไปชิงชิว”


หลิวจวิ้นดึงเอกสารนี้มาเปิดดู เหลือบมองนางก่อนพูด “เจ้ามีคู่หมั้นอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ทำไมเมื่อวานถึงลากหลินเจี้ยนหรูมาด้วย?”


มู่จิ่วนิ่งตอบ “ใครพูดว่าข้ามีคู่หมั้นแล้วห้ามไปทำคดีกับเพื่อนร่วมงาน? หน่วยของพวกเราไม่มีกฎนี้มิใช่หรือ?”


สองเรื่องนี้เดิมทีก็เป็นคนละเรื่องกันนี่?!


หลิวจวิ้นไม่ได้พูดอะไร


กฎที่ว่านั้นไม่มี


เขาแค่เกรงว่าหลังบ้านนางจะคุกรุ่นหรอก


เจ้าเด็กแซ่ลู่นั่นสายตาดูแล้วสงบราบเรียบ คงไม่ใช่พวกไม่เอาถ่านหรอกกระมัง?


แต่เขาคร้านจะสนใจเรื่องเวรนี่ของนาง ยังไงไม่กระทบกับงานก็เป็นพอ


……………………………………………


[1] สระมังกรถ้ำเสือ หมายถึง สถานที่ที่อันตรายอย่างมาก

 

 

 


ตอนที่ 66

 

 แขกไม่ได้รับเชิญ

โดย

Ink Stone_Romance

มู่จิ่วคิดจะออกไปแล้ว


ทว่าตอนหมุนตัวพลันคิดถึงเรื่องหนึ่งได้ “ใช่แล้ว เรื่องที่ท่านให้ข้าทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ยืนดูกระดาษโดนเผาไหม้จนกลายเป็นเถ้าทั้งหมดจึงค่อยไป”


ในเมื่อทำเรื่องแทนคนอื่น กลับมาก็ควรแจ้งเสียหน่อย


พู่กันในมือหลิวจวิ้นพลันชะงักไป สายตาจดจ่อตัวอักษรเสี่ยวข่าย[1]ใต้พู่กันอยู่นานกว่าจะเคลื่อนมือแล้วพูดขึ้น “อืม”


หลังออกจากห้องทำงานของหลิวจวิ้น มู่จิ่วก็ไปห้องทำงานของเฉินอิงเพื่อคุยเรื่องที่ต้องไปทำคดีกับหลินเจี้ยนหรู


เฉินอิงรู้เรื่องแล้ว เจอหน้าก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะหยอกล้อสักหลายประโยค แต่สุดท้ายยังกำชับนางถึงเรื่องที่ควรรู้ก่อนไปยังโลกต่างๆ แต่ก่อนตอนมู่จิ่วนำมื้อดึกออกมา มักจะเอาไปให้เฉินอิงชุดหนึ่งเป็นประจำ ในตอนแรกเฉินอิงไม่รับ ภายหลังเมื่อห้ามน้ำใจของนางไม่ได้จึงทำได้เพียงรับมา วันนี้ความสัมพันธ์ค่อยๆ สนิทสนมกันแล้ว


นางกำลังเตรียมกลับหอ ไหนเลยจะรู้ว่าจะเจอหลินเจี้ยนหรูที่ถนนแคบระหว่างค่ายทหารสวรรค์กับหอวิหคแดง


เขายืนหันหน้าเข้าหากำแพงอยู่ที่นั่นคนเดียว มือจับกระบี่ข้างเอว ปลายเท้าเตะหญ้าเขียวที่มุมกำแพงเบาๆ เสื้อคลุมสีฟ้าตัวยาวขับเน้นให้เขาดูหล่อเหลาสง่างาม ความเยาว์วัยที่พบเห็นตรงประตูสวรรค์แดนใต้ในตอนนั้นค่อยๆ เลือนหายไปจากตัวเขา ความมั่นคงและสุขุมเข้ามาแทนที่ ลักษณะงดงามที่สุดของช่วงวัยหนุ่มสาวปรากฏออกมาแล้ว


“เจ้ากำลังรอใคร?”


มู่จิ่วพิจารณาเขาสักครู่ อดเดินไปทักทายไม่ได้


หลินเจี้ยนหรูหยุดปลายเท้า นิ่งไปครู่หนึ่งถึงค่อยหันศีรษะมา สายตาจับจ้องที่ใบหน้ามู่จิ่ว ยกริมฝีปากขึ้น “รอเจ้า”


มู่จิ่วพยักหน้า ชี้ไปด้านหลังพลางพูด “ข้าเพิ่งไปจัดการเรื่องเบ็ดเตล็ดที่หน่วยมา ข้าบอกเรื่องที่เจ้าจะรับผิดชอบทำคดีกับข้าแล้วนะ เจ้าเตรียมตัวเรียบร้อยหรือยัง? พวกเราไปคราวนี้อาจจะใช้เวลาหลายวัน”


หลินเจี้ยนหรูพยักหน้า เงียบไปพักหนึ่ง เขาก็พูดขึ้นอีก “มีเรื่องหนึ่งอยากถามเจ้า ลู่หยา…เป็นคู่หมั้นของเจ้าจริงๆ หรือ?”


มู่จิ่วคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะถามเรื่องนี้ จะให้นางพูดอย่างไรดี? นางขยี้ศีรษะ “เจ้าถามเรื่องนี้ทำไม?”


“ข้าแค่รู้สึกว่าระหว่างพวกเจ้าเหมือนไม่ได้คุ้นเคยกันอย่างที่เจ้าพูด” เขาหลุบตามองพื้น “ข้าคิดว่าเขาไม่ใช่คู่หมั้นของเจ้า เพียงแต่คงมีเรื่องลำบากที่พูดออกมาไม่ได้ ทำให้เจ้าต้องรับเขาไว้ ถูกหรือไม่?”


ใจของมู่จิ่วเหมือนกับโดนม้าถีบทีหนึ่ง!


เจ้าคนนี้ฉลาดเกินไปแล้วกระมัง? เขาดูออกได้อย่างไรว่าพวกนางโกหก?


“ข้าจำได้ คราวก่อนต่อหน้าใต้เท้าหลิว กระจกฟ้าดินสะท้อนที่มาที่ไปของเจ้า เจ้าเกิดในบ้านที่ยากจน เป็นเพราะมีจิตใจดีงามจึงได้รับวาสนาเซียน เข้าสู่หนทางการบำเพ็ญเพียร คู่หมั้นสมัยเด็กของเจ้าจะมาจากไหนกัน?” หลินเจี้ยนหรูพูดต่อ “ข้าไม่ได้มีเจตนาจะถามเรื่องความลับของเจ้า เพียงแต่หวังว่าเจ้าจะเห็นข้าเป็นเพื่อน หากมีเรื่องลำบากอะไร ข้าช่วยเจ้าแบ่งเบาได้มิใช่หรือ?”


มู่จิ่วสับสนอยู่บ้าง


เขาเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของนางในค่ายทหารสวรรค์นี้ และไม่ว่าเวลาไหนเขาก็ยืดอกออกมาปกป้องนางทุกครั้ง ตอนนี้เขาพูดแบบนี้ นางรู้สึกว่าตนเองมีความเป็นเพื่อนไม่มากพอจริงๆ


แต่เรื่องสำคัญขนาดนี้ นางจะพูดออกไปส่งเดชได้หรือ?


นางกัดฟันพูด “เจ้าไม่ต้องถามแล้ว ตอนนี้ข้าพูดไม่ได้ แต่ภายภาคหน้าจะบอกให้ฟัง”


แบบนี้ก็ไม่นับว่าหลอกลวงแล้วใช่หรือไม่? อย่างไรก็ไม่ได้ทำร้ายอะไรเขา


“ข้าเข้าใจแล้ว” สายตาของหลินเจี้ยนหรูขยับไหวเล็กน้อย ก่อนยิ้มขึ้น


เขารู้ว่านางโกหกไม่เป็น สายตาของนางพูดแทนทั้งหมดแล้ว ถึงแม้ลู่หยาจะเป็นเทพเซียน แต่กลับไม่ใช่คู่หมั้นของนางจริงๆ


เพียงแค่ไม่ใช่ความจริง เขาก็ไม่จำเป็นต้องถามต่อแล้ว


เห็นสีหน้าคล้ำหมองของเขาเปลี่ยนเป็นสดใส มู่จิ่วพลันรู้สึกเสียใจภายหลังเล็กน้อย ทำไมเขาถึงมีท่าทางเหมือนกับว่ารู้หมดแล้วล่ะ?


แต่ช่างเถอะ ถือเสียว่านอกจากนางที่โง่แล้ว ที่เหลือล้วนเป็นคนฉลาดทั้งสิ้น เขาไม่ใช่คนที่เที่ยวโพนทะนาไปทั่ว รู้ก็รู้ไปเถิด


“เช่นนั้นเจ้าไปทำธุระของเจ้าก่อนเถอะ ข้าจะกลับไปเก็บของ”


หลินเจี้ยนหรูพยักหน้าให้นาง ก้าวเท้าเบาๆ เข้าประตูไป


มู่จิ่วคิดจะกำชับเขาสักหน่อย ไม่คิดว่าเขาจะเดินเร็วเกิน เลี้ยวมุมไปก็ไม่เห็นเงาคนแล้ว จึงได้แต่ปล่อยตามนั้นไป


หลินเจี้ยนหรูกลับถึงลานชิงซง มุ่งตรงเข้าไปในเรือน ปิดประตูแล้วเก็บข้าวของ


ที่จริงก็ไม่มีอะไรต้องนำไป จึงไม่ต้องใช้สัมภาระ เขาเองก็ไม่มีของล้ำค่า มีเพียงกระบี่เล่มเดียวเท่านั้น


ถ้ายังมีก็คงเป็นคัมภีร์ฝึกลมปราณเล่มนั้น


เขานั่งลงข้างโต๊ะเขียนหนังสือริมหน้าต่าง หยิบคัมภีร์จากในลิ้นชักขึ้นมาอ่านด้วยอารมณ์ดีอย่างยิ่ง ประสบการณ์ตั้งแต่เด็กในสำนักแรกพยับบอกเขาว่า ของที่อยากได้ต้องดิ้นรนเอามาด้วยตนเอง เขาไม่อยากปล่อยเพื่อนอย่างมู่จิ่วคนนี้ไป เพราะนอกจากนางแล้วก็ไม่มีใครช่วยเหลือเขาอย่างเอาใส่ใจเช่นนี้


เมื่อคืนวานเขาพลิกตัวไปมาทั้งคืน ความคิดที่จะไปลานจื่อหลิงเพื่อนัดนางออกมาผุดขึ้นหลายครั้ง แต่ที่สุดแล้วก็รู้สึกว่าทำแบบนั้นวู่วามไป และหากพวกเขาหมั้นหมายกันจริง ถ้าโดนลู่หยาพบเข้า เขาก็คงน้ำท่วมปากพูดได้ไม่ชัดเจน ตอนนี้เขาไม่คิดจะดึงแต่ละฝ่ายไปสู่สถานการณ์ลำบากเพราะเรื่องเหล่านี้ สถานะของเขาทำให้เขาต้องใคร่ครวญแต่ละก้าวให้ดี


ดังนั้นเมื่อถามได้ความมาว่านางไปค่ายทหารสวรรค์ เขาจึงรอนางอยู่ที่ปากประตู


ความคิดของนางเข้าใจได้ง่ายดังคาด เขาเพียงถามครั้งเดียวก็สารภาพแล้ว


ตอนนี้ยืนยันได้แล้วว่าแท้จริงเป็นเรื่องเข้าใจผิด เขาจึงรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งร่าง


เขารู้ว่าหากมู่จิ่วหมั้นหมายไว้นานแล้ว ด้วยระดับความสัมพันธ์ของนางกับเขาที่ผ่านมา อย่างไรนางก็ต้องแพร่งพรายออกมาเล็กน้อย เขามั่นใจในทักษะการสังเกตของตนเองมาตลอด เมื่อก่อนเขาไม่เห็นสิ่งที่น่าสงสัยเลยแม้แต่น้อย ทว่าเรื่องนี้กลับมีพิรุธมาก


แต่จะว่าไปแล้ว ทำไมนางต้องโกหกด้วย?


เขาขมวดคิ้วมองหนังสือที่เปิดค้างไว้ รู้สึกเพียงตัวอักษรแต่ละตัวสั่นไหว


ถึงแม้เขาจะแน่ใจว่านี่เป็นเรื่องโกหก แต่ก็ยากจะรับประกันว่าลู่หยาอาจมีใจให้มู่จิ่วอยู่หลายส่วน หากเรื่องโกหกกลายเป็นเรื่องจริง…


แม้เขาจะเป็นศิษย์ลัทธิฉ่าน แต่สถานะลูกนอกสมรสกำหนดให้เขาไม่มีอนาคตอะไรในสำนักแรกพยับ


ความหวังเดียวของเขาคือการเกณฑ์ทหารในรอบห้าร้อยปีนี้จะได้รับวาสนาให้กลายเป็นเซียนหรือไม่ ทหารในหน่วยลาดตระเวนส่วนใหญ่ก็อยู่ในขั้นจินตันลงไป พลังฤทธิ์กับความสามารถของพวกเขาจำกัดให้ไม่สามารถสร้างผลงานใหญ่ๆ อะไรได้ เขาก็เหมือนคนพวกนั้น ยากจะได้วาสนาที่ต้องการในห้าร้อยปี


สวรรค์ทำให้เขาพบนางที่มีใจเอื้อเฟื้อ หรือยังคิดจะพาไปจากข้างกายเขาอีก?


เขาเปิดลิ้นชัก หยิบเอาขนจิ้งจอกเล็กๆ ออกมา


ขนจิ้งจอกนี้เขาใช้ปลายกระบี่ตัดมาได้จากตอนที่ต่อสู้กับจิ้งจอกแดงเก้าหาง เมื่อมองเห็นมันเขาจะนึกถึงว่าตนยังห่างชั้นกับคนอื่นนัก


พลังการต่อสู้แบบนั้นของจิ้งจอกแดง เกรงว่าผ่านไปอีกหลายพันปีเขาก็ยังไม่มีกระมัง?


“หลินเจี้ยนหรูอยู่ไหม?”


ด้านนอกพลันมีคนมาเคาะประตู


เขารีบเก็บความคิด เก็บขนจิ้งจอกเข้าในกระเป๋า จากนั้นยืนขึ้นเปิดประตู


ไม่คิดว่าข้างนอกจะเป็นเหลียงชิวฉาน!


เขาขมวดคิ้ว นับจากตอนที่จีหย่งฟางมาหาเรื่องเขา เหล่าศิษย์พี่หญิงก็ไม่ได้มาหาเขาอีกเลย


“ทำไมเปิดประตูช้าขนาดนี้?”


ไม่รู้ว่าเพราะเคยชินกับศิษย์พี่ใหญ่แล้ว หรือเพราะนางเป็นหนึ่งในศิษย์ที่เจ้าสำนักหัวชิงเต้าเหรินเอ็นดูที่สุด ต่อหน้าคนอื่นเหลียงชิวฉานจะมีท่าทางวางตนอยู่เหนือผู้อื่นเสมอ และคราวนี้สายตาของนางกำลังมีแววตำหนิ

 

 

 


ตอนที่ 67

 

 คำพูดแทงใจ

โดย

Ink Stone_Romance

หลินเจี้ยนหรูเงียบ จวบจนความประหลาดใจบนใบหน้าหายไป จึงหมุนตัวเดินเข้าห้อง “ศิษย์พี่ใหญ่มาหาข้ามีเรื่องอะไร?”


เหลียงชิวฉานเดินตามเข้ามา มองไปรอบๆ ห้อง เมื่อไม่พบว่ามีอะไรผิดปกติถึงค่อยหมุนกลับมาจ้องเขา “แน่นอนว่าต้องมีเรื่อง! สำนักแรกพยับเกิดเรื่องแล้ว อาจารย์อาเจ็ดถูกสังหารในป่า พ่อของเจ้าก็ได้รับบาดเจ็บหนัก เจ้าสำนักส่งคนนำจดหมายมาแจ้งให้พวกเรากลับไป เจ้ารีบตามข้าไปเร็ว!”


หลินเซี่ยได้รับบาดเจ็บ?


หลินเจี้ยนหรูประหลาดใจอยู่บ้าง ทว่าไม่มีท่าทีตึงเครียดเลย


หลินเซี่ยจะเป็นหรือตายเขาไม่ใส่ใจ เพียงแต่คนที่ตายทำไมไม่เป็นหลินเซี่ยแต่กลับเป็นจื่อหยางเต้าเหริน? คนแบบเขาสมควรตายตั้งนานแล้ว!


“นิ่งอึ้งทำอะไร? ยังไม่รีบเก็บของอีก?” เหลียงชิวฉานขมวดคิ้วเร่ง


เขาหยิบกระบี่ที่ผูกไว้ข้างตัวอย่างเชื่องช้าก่อนพูด “หน่วยงานมีคำสั่ง พรุ่งนี้ข้ากับสหายต้องไปสืบคดีที่ชิงชิว มีภาระติดตัวอยู่ โปรดอภัยที่ข้าไม่สามารถไปด้วยได้”


“สืบคดี?” เหลียงชิวฉานนิ่งไป มองเขาบนจรดล่างถึงสองครา พูดเยาะเย้ยว่า “เจ้าจะสืบคดีอะไรได้? หาข้ออ้างให้น้อยหน่อย! อาจารย์อาสี่คือพ่อของเจ้า ตอนนี้เขาบาดเจ็บหนัก แม้แต่ไปดูเจ้ายังไม่ไป ในสายตาเจ้ายังมีคำว่ากตัญญูอยู่หรือไม่?!”


“พ่อ?” หลินเจี้ยนหรูพูดคำนี้ด้วยเสียงสูงอย่างมาก เขายิ้มเยาะเอ่ย “ทำไมข้าถึงไม่รู้ว่าข้ายังมีพ่ออยู่? หลายปีมานี้ข้าอาศัยอยู่กับกองฟาง กินผักเหลือข้าวเหลือจนเติบโตขึ้นมา บ่อยครั้งข้าต้องแบกรับบทลงโทษที่ไม่รู้ที่มาที่ไป เวลานั้นไม่เห็นมีใครบอกว่าข้ามีพ่อ”


เมื่อก่อนเขาไม่กล้าพูดคำเหล่านี้ แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจแล้ว


ห้าร้อยปีข้างหน้าหากเขาไม่ตาย เขาก็จะไม่กลับไปสำนักแรกพยับอีก


“หลินเจี้ยนหรู!” เหลียงชิวฉานร้องเรียกเขาเสียงหนัก เดินตรงเข้าไปพูด “เจ้ามันพวกสวะเนรคุณ!”


“เขามีบุญคุณอะไรกับข้า?” เขาหันศีรษะไปทันที ดวงตาทั้งคู่เย็นเยียบดุจน้ำแข็ง “เชิญเจ้าบอกข้า เขามีบุญคุณอะไรกับข้า?”


เหลียงชิวฉานอึ้งอยู่นาน กัดฟันแน่น เงื้อมือขึ้นสะบัดไปที่ใบหน้าเขาทันที!


หลินเจี้ยนหรูจับข้อมือของนางไว้ได้อย่างแม่นยำ ดันนางถอยไปด้านหลัง เหลียงชิวฉานโซเซถอยไปหลายก้าว สีหน้าเปลี่ยนไปเย็นยะเยือกยิ่งกว่าน้ำค้างแข็งในฤดูใบไม้ร่วง


“เจ้าคิดจะก่อกบฏรึ?!”


“ข้าไม่ได้คิดจะก่อกบฏ เพียงแค่อยากบอกเจ้าว่า อย่าคิดว่าข้าจะเป็นขยะไปทั้งชีวิต!”


“เจ้าเป็นเพียงขยะ!” เหลียงชิวฉานกัดฟันชี้เขา “ทุกชีวิตทุกชาติภพ เจ้าก็เป็นแค่ลูกนอกสมรสกับขยะ! ตั้งแต่แรกรากฐานวิญญาณของเจ้าไม่ได้ถูกชำระล้างให้สะอาด ถึงแม้พลังฤทธิ์ของเจ้าจะสูงขึ้น แต่ทั้งชีวิตนี้ก็เลื่อนขั้นไม่ได้ ถึงแม้เจ้าจะเลื่อนขั้นได้ ทั้งชีวิตเจ้าก็เป็นเพียงแค่เศษดินโคลนใต้เท้าข้า! เจ้าคิดจริงหรือว่าตัวเองจะขึ้นเป็นเซียนได้? ฝันไปเถอะ!”


หลินเจี้ยนหรูพลันสั่นสะท้าน “เจ้าว่าอะไรนะ?”


“ข้าพูดว่าชั่วชีวิตนี้เจ้าอย่าคิดจะแทรกตัวขึ้นมาในกลุ่มเซียนได้!” เหลียงชิวฉานเดินเข้าไปใกล้เขา แต่ละคำต่างก็ลอดไรฟันออกมา “ชีวิตนี้ของเจ้าถูกกำหนดให้เป็นเพียงสุนัขของสำนักแรกพยับ ถึงแม้ขึ้นมาบนสวรรค์ ถึงแม้ได้โอกาสสร้างผลงาน แต่คนรากฐานวิญญาณไม่สะอาดอย่างเจ้า ทั้งชีวิตนี้ก็อย่าคิดว่าจะข้ามผ่านพวกเราไปได้! ไม่มีวันขึ้นมานั่งเชิดหน้าชูตาเสมอพวกเราได้หรอก!”


หลินเจี้ยนหรูรู้สึกในหัวส่งเสียงดังหวือ


รากฐานวิญญาณของเขาไม่ได้รับการชำระล้าง?


นี่คือคำโกหกของนางหรือเขาฟังผิดไป?


เหตุผลที่เขาเลื่อนขั้นช้ามาหลายปีขนาดนี้ไม่ใช่เพราะบำเพ็ญไม่พอ พลังฤทธิ์ไม่ลึกล้ำ แต่เป็นเพราะรากฐานวิญญาณของเขาไม่สะอาดบริสุทธิ์?


“ทำไม?” เขายันขอบโต๊ะไว้ เรียกเสียงของตนเองกลับมายากลำบากนัก


“เพราะแต่เดิมเจ้าก็ไม่คู่ควรเป็นศิษย์สำนักแรกพยับของพวกเรา!”


เหลียงชิวฉานตบโต๊ะชาตรงหน้าเขาแหลกเป็นผุยผงในฝ่ามือเดียว ก่อนจะยิ้มเยาะเดินออกประตูไป


หลินเจี้ยนหรูมองตามแผ่นหลังนาง อีกนานกว่าจะหาลมหายใจของตนเองเจอ


ทางด้านมู่จิ่วกลับมาถึงลานจื่อหลิงแล้ว มู่เสี่ยวซิงจัดอาหารขึ้นโต๊ะเรียบร้อย


ลู่ยาไม่รู้กำลังยุ่งอยู่กับอะไร เห็นเพียงบนโต๊ะเตี้ยวางอุปกรณ์เต็มไปหมด


ครั้นเห็นมู่จิ่วกลับมา เขาก็ยื่นศีรษะมาเอ่ย “เจ้าเตรียมตัวไว้ วันนี้พระจันทร์เต็มดวงพอดี เหล่าจิ้งจอกเก้าหางจะเซ่นไหว้พระจันทร์อยู่ที่สระน้ำฮั่น กินข้าวเสร็จพวกเราจะไปชิงชิว”


มู่จิ่วที่กำลังดื่มน้ำฟังแล้วสำลัก “ทำไมต้องไปตอนพระจันทร์เต็มดวง?”


ลู่ยาหันหลังให้มู่จิ่ว “อาจารย์ผู้ก่อตั้งของพวกเขากำหนดไว้ เพื่อระลึกถึงบุญคุณฟ้า ทุกครั้งที่จันทร์เต็มดวงจะงดเว้นการฆ่า ดังนั้นถึงพวกเขาจะไม่ต้อนรับพวกเรา อย่างน้อยก็คงไม่ลงไม้ลงมือด้วย”


เหล่าจิ้งจอกเจ้าเล่ห์อย่างมาก ถึงแม้เขาไปเองก็ไม่อาจไม่ระมัดระวังเป็นพิเศษ ถ้าสามารถร้องขอให้พวกเขาร่วมมือได้ก็ดี


มู่จิ่วพลันตาสว่าง ก้าวเข้าไปประจบประแจงเขาต่อ “โชคดีที่มีเทพเซียนมากความสามารถเช่นเจ้าอยู่! มิฉะนั้นหากออกเดินทางพรุ่งนี้คงเจอกับเรื่องยุ่งยากไม่น้อย”


“รู้ว่าข้าดีแล้วก็ปฏิบัติต่อข้าดีๆ หน่อย อย่าเอะอะก็ตบโต๊ะถลึงตาใส่” ลู่ยาวักน้ำล้างมืออย่างไม่รีบร้อน


มู่เสี่ยวซิงได้ยินว่าพวกเขาจะออกเดินทางบ่ายนี้ จิตใจก็ร้อนรุ่มมาก ถึงแม้เวลาปกตินางจะอยู่ตัวคนเดียวที่บ้าน ดีร้ายอย่างไรก็ยังมีลู่ยาอยู่ ตอนนี้พวกเขาทั้งสองต้องเดินทาง นางก็ได้แต่มองตาปริบปริบ น้ำตาจวนเจียนจะไหลอยู่ร่อมร่อ คิดจะหยิบยกเรื่องขอติดตามไปด้วยก็ไม่กล้า เพราะอย่างไรจิ้งจอกก็กินกระต่าย และยังได้ยินมาว่าจิ้งจอกเหล่านี้โหดเหี้ยมนัก เช่นนั้นก็ช่างมันเถอะ


มู่จิ่วรู้ว่านางขี้กลัว จึงตั้งใจสั่งอาฝูให้อยู่เป็นเพื่อนนาง ตอนนี้อาฝูมองมู่เสี่ยวซิงเป็นผู้ดูแลข้าวปลาอาหาร ไม่ได้จ้องมองนางอย่างจะกินเลือดเนื้อนานแล้ว อีกทั้งเขายังมีพละกำลังขนาดสามารถต่อกรกับจิ้งจอกเก้าหาง อย่างไรก็ปกป้องนางได้อยู่แล้ว


แต่มู่จิ่วยังคงกางเขตพลังไว้ที่เรือนทิศตะวันตกเพื่อป้องกันเรื่องไม่คาดฝัน


หลังมื้ออาหาร นางวิ่งไปหาหลินเจี้ยนหรูที่ถนนตะวันออก


เพิ่งถึงประตูลานบ้านของเขา เพื่อนร่วมลานบ้านก็บอกว่า “หลินเจี้ยนหรูกลับสำนักแรกพยับไปแล้ว ได้ยินว่าสำนักนั้นเกิดเรื่องเล็กน้อย เขาให้ข้านำสิ่งนี้ให้เจ้า”


มู่จิ่วรู้สึกผิดคาดมาก รีบคลี่ม้วนกระดาษออกมา เห็นเป็นลายมือของหลินเจี้ยนหรู บอกเรียบๆ เพียงไม่กี่ประโยคว่าจะกลับสำนักแรกพยับ ไม่กี่วันก็กลับมา การเดินทางครั้งนี้ให้นางกับลู่หยาระมัดระวังตัวให้มาก


ในเมื่อเป็นแบบนี้ มู่จิ่วจึงทำได้เพียงเก็บของกับลู่ยา แล้วออกจากประตูสวรรค์แดนใต้ไป


หลินเจี้ยนหรูไปไม่ได้ ลู่ยาดีใจมาก ถึงขนาดเดินอย่างรวดเร็วเลยทีเดียว


ชิงชิวอยู่ที่แผ่นดินเก้าทวีป ห่างออกไปแสนลี้ทางทิศตะวันออก สมัยโบราณถือชิงชิวเป็นชื่อของอาณาจักร หลายชั่วอายุคนต่อมาใช้จิ้งจอกเก้าหางเป็นคำเรียก


จิ้งจอกเก้าหางสูงส่งทระนงเหมือนกับเผ่าพันธุ์มีชาติตระกูลอื่น ไม่คบค้าสมาคมกับเผ่าพันธุ์อื่นนอกจากเผ่าพันธุ์เทพ แต่อดีตราชาจิ้งจอกที่ผ่านมาบริหารปกครองอาณาจักรอย่างมีระบบระเบียบ ทำให้แต่ละเผ่าพันธุ์ไม่มีการห้ำหั่นกัน เพราะเหตุนี้จึงมีข่าวเกี่ยวกับพวกเขาออกมาน้อยมาก


และพวกเขาก็เคยชินกับการปิดอาณาจักรปกครองตนเองเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการแก่งแย่งผลประโยชน์หรือความแค้นต่างๆ ก็มักจะคุ้นเคยกับการแก้ปัญหาภายในกันเอง


ครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะมู่หรงหลิวเย่ตามสังหารศิษย์ลัทธิฉ่าน ชิงชิวเกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้คงยังไม่มีคนรู้


เมฆของลู่ยาเดินทางอย่างรวดเร็ว มู่จิ่วจัดการความคิดอยู่สักครู่ก็รู้สึกว่าตำแหน่งต่ำลง เมื่อหลุบตาลงมอง เบื้องล่างเห็นเพียงต้นไม้โบราณสูงใหญ่เสียดฟ้า ต้นไม้ใบหญ้าอุดมสมบูรณ์ บ้างก็มีภูเขาสูงใหญ่เทียมฟ้าตั้งตระหง่าน บ้างก็เห็นเนินเตี้ยจำนวนมากมายผลุบๆ โผล่ๆ มีแอ่งน้ำและบึงมากมายดุจผืนดาว ดอกไม้แปลกหญ้าประหลาดงอกเงยขึ้นทุกทิศ เหล่าสัตว์ปีศาจต่างกำลังวิ่งอย่างเป็นอิสระ ช่างเป็นทิวทัศน์ที่สุขสงบยิ่งนัก!

 

 

 


ตอนที่ 68

 

 อาณาจักรโบราณชิงชิว

โดย

Ink Stone_Romance

ที่นี่ต้องเป็นชิงชิวไม่ผิดแน่!


ลู่ยากดเมฆลงต่ำไม่หยุด สุดท้ายก็ร่อนลงที่เนินเขาแห่งหนึ่งซึ่งมีภูเขาสูงโอบล้อม ตรงหน้ามีชั้นหินที่เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำเรียงตัวคดเคี้ยวอยู่ระหว่างต้นไม้โบราณ นำทางไปสู่ป่าลึกรกทึบที่สายตามองไม่เห็นสิ่งใด ข้างบนมีต้นไม้ปกคลุมจนมืดฟ้ามัวดิน เหมือนกับตาข่ายที่ถักทอขึ้นโดยช่างฝีมือ มีเพียงแสงสว่างเล็กน้อยส่องผ่านเข้ามาได้


มู่จิ่วกำลังเตรียมก้าวเท้าขึ้นไป ลู่ยากลับยื่นมือไปดึงนางกลับมา


เขากดนิ้วร่ายคาถาไปบนชั้นหิน เห็นเพียงภาพด้านหน้าพลันแตกกระจายเป็นชิ้นๆ เหมือนผิวน้ำโดนกระทบ! รอจนสงบลงแล้ว ไหนเลยจะมีชั้นหินอะไรอีก? หลังจากทิวทัศน์ถูกทำลายลงทั้งหมด สิ่งที่เผยให้เห็นกลับเป็นบ่อน้ำดำลึกไม่เห็นก้นบ่อ กลางบ่อน้ำดำยังมีคลื่นเกิดขึ้นไม่หยุด แสดงให้เห็นชัดเจนว่ามีปีศาจซ่อนอยู่


“เผ่าพันธุ์จิ้งจอกเชี่ยวชาญที่สุดในเรื่องวิชาสร้างภาพมายา ตอนที่พวกเขายังไม่รับเจ้าเป็นเพื่อน ทุกย่างก้าวห้ามประมาทเลินเล่อ”


ลู่ยาเหลือบมองนาง ก่อนไพล่มือไว้ด้านหลัง เดินไปยังหุบเขาลึกทางตะวันออก


มู่จิ่วลูบอกพลางสูดลมหายใจลึกไปหลายที ถึงจะทำให้หัวใจเต้นเป็นปกติได้


พวกเขาเดินมาถึงด้านล่างหุบเขาลึก นี่คือหุบเขาที่มีทางแคบขนาดให้คนเดียวเดินผ่าน ทั้งสองข้างเป็นต้นเถิงหลัว (วิสเตียเรีย) อุดมสมบูรณ์และพุ่มไม้เตี้ย กระทั่งยังมีดอกไม้หลายต้นแทรกอยู่ แต่มองไปแล้วต่างก็ไม่ธรรมดาทั้งสิ้น เพราะรอบด้านแม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่มี สันนิษฐานว่าไม่เป็นพืชมีพิษก็เป็นปีศาจ


เส้นทางแคบมีหินประหลาดขรุขระ เดินลำบากเป็นอย่างยิ่ง ลู่ยากลับมั่นคงนัก เดินอยู่บนนั้นราวกับเดินอยู่ในสวนดอกไม้ มู่จิ่วกลับเดินโอนเอนไม่หยุด ลู่ยาอดรนทนไม่ได้ จึงจูงนางเดินไป


อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินไปจนสุดกลับไม่มีทางเดินแล้ว หน้าผาฉับพลันปรากฏให้เห็นในครรลองสายตา และด้านล่างก็ไม่รู้ว่าลึกเท่าไหร่


มู่จิ่วกำลังจะถามลู่ยาว่าทำอย่างไรดี เขากลับปล่อยมือ ดึงปิ่นปักผมออกจากศีรษะ โคจรพลังฤทธิ์ส่งมันขึ้นไปกลางอากาศ เห็นเพียงปิ่นปักผมอันนั้นค่อยๆ เปลี่ยนเป็นงูขนาดใหญ่ยาวสามฉื่อ บินวนอยู่กลางท้องฟ้าหลายรอบ จากนั้นศีรษะของงูตัวนั้นก็กลายเป็นประกายไฟแตกกระจายไปทุกทิศ เสียงคมมีดกระทบกันดังมาไม่ขาดสาย


เมื่อจดจ้องดู ที่แท้ตรงจุดที่ประกายไฟนั้นผสานขึ้นเป็นค่ายกลขอบสวรรค์พอดี หลายปีก่อนตอนอยู่หงชางนางฝึกค่ายกลมามากมายขนาดนั้น ตอนนี้กลับยังดูไม่ออก! กลมายาของเหล่าจิ้งจอกเก้าหางไม่ใช่เรื่องหลอกลวงแน่นอน


“ไปเถอะ”


คล้อยหลังค่ายกลที่ค่อยๆ สลายลง หน้าผาที่อยู่ด้านหน้าก็หายไป ชั้นบันไดหินขยายออกไปด้านหน้าตามทางเดินภูเขาใต้เท้าพวกเขา เบื้องหน้าคือเนินที่เต็มไปด้วยดอกไม้สดใบหญ้าเขียว แสงอาทิตย์สาดส่องลงมาอย่างอ่อนโยน กระเรียนเซียนกับเหมยฮวาลู่ (กวางซิกา หรือ กวางญี่ปุ่น) กำลังเดินเตร่อย่างเกียจคร้านอยู่ใต้กลุ่มต้นไม้ดอกไม้ซึ่งไม่รู้นาม ไกลออกไปมีบ้านและหมู่บ้านที่มองเห็นได้เลือนราง ความกลมกลืนนี้ เทียบกับทิวทัศน์อันตรายเมื่อครู่แล้วเหมือนเป็นโลกสองโลกที่ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง


เมื่อหันกลับไปมอง ทางที่เดินมาไหนเลยจะมีหุบเขาลึกอีก?


เห็นชัดเจนว่าเป็นทางที่แสงอาทิตย์ส่องสว่าง!


มู่จิ่วรีบเดินตามลู่ยา เดินไปพลางมองไปพลาง แต่เดินไปได้ไม่นานนางก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันแรงกล้าที่ปะทะเข้าใบหน้า เมื่อเงยสายตามองไปประมาณครึ่งลี้เห็นประตูเมืองเขียวมรกตสูงใหญ่หลายจั้ง กำแพงเมืองซึ่งซ่อนอยู่ใต้ต้นเถิงหลัว ยาวต่อเนื่องไปถึงหมื่นลี้ ป้ายประตูเมืองด้านบนเขียนคำว่า ‘ชิงชิว’ สองข้างยังมีป้ายคำมงคลแขวนอยู่คู่หนึ่ง


ความเก่าแก่สงบเงียบนี้ ราวกับไม่เคยมีผู้ใดมาเยี่ยมเยียนตลอดหลายพันปี


มู่จิ่วเพิ่มความระแวดระวังขึ้นทันที “คราวนี้เป็นภาพมายาหรือค่ายกลลวงตา?”


“นี่คือของจริง” ลู่ยาเหลือบมองนาง พูดจบก็เดินตรงไป ตีอากาศข้างหน้าพลางพูด “หน่วยลาดตระเวนจากค่ายทหารสวรรค์ขอเข้าพบราชาแห่งชิงชิว”


เสียงเขาเหมือนกับลอยไปไกลหมื่นลี้ แต่ละคลื่นละคลื่นมุ่งตรงเข้าไปในประตูเมือง


ที่แท้ตรงที่มือตีไปเป็นเขตกำแพงค่ายกลนี่เอง!


มู่จิ่วงุนงง “เจ้าเคยมาชิงชิวรึ?” ดูแล้วคุ้นชินกับเส้นทางนัก


ลู่ยาคิดคำพูดไว้นานแล้ว “ข้าเคยตามอาจารย์ข้ามา”


มู่จิ่วเหลือบมองเขา


“ใครขอเข้าพบราชา?”


ขณะกำลังพูด ประตูเมืองก็เปิดออก ภายในมีนายพลสวมเกราะนำทหารหลายคนเดินออกมา


มู่จิ่วรีบส่งหนังสือราชการให้ “ข้าน้อยกัวมู่จิ่ว ขอเข้าพบราชาด้วยเรื่องงานราชการ”


นายพลผู้นี้กวาดสายตามองนางบนจรดล่าง ส่งหนังสือราชการกลับมา “พวกเจ้ารอก่อน” พูดจบก็เข้าไปในเมืองแล้วปิดประตู


สองคนยืนรออยู่ที่เดิม ช่วยไม่ได้ ใครใช้ให้เผ่าพันธุ์เทพยโสโอหังกันล่ะ?


ยังดีที่อีกฝ่ายรวดเร็ว ทางนี้มองไปรอบๆ ได้ไม่กี่ครั้ง ก็เห็นประตูเมืองเปิดออกอีก นายพลคนนั้นประคองกระบี่สูงค่าไว้ด้วยสองมือขณะเดินออกมา แล้วแทงเข้าไปยังหินหยกใต้ประตูเมือง จากนั้นท่องคาถา ในที่สุดแรงกดดันที่ขวางกั้นพวกมู่จิ่วกับประตูเมืองก็หายไปในพริบตา


นายพลเดินออกมา คราวนี้ประสานมือให้ “ทั้งสองท่านเชิญตามข้ามา”


มู่จิ่วกับลู่ยาแลกสายตากัน ก่อนเดินตามหลังเขาเข้าประตูเมืองไป


ในประตูเมืองยังคงเป็นเนินเขาทอดยาวต่อเนื่องกันไป มีบ้านเรือนกับผืนนากระจายตัวอยู่ทั่ว สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือไม่มีภูเขาสูง แต่มีต้นไม้ทึบมากมาย ต้นไม้สูงเสมอฟ้าบดบังเมฆและดวงอาทิตย์ ดังนั้นแสงแดดจึงค่อนข้างสลัวอยู่บ้าง วังจิ้งจอกถูกสร้างอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของป่า ยิ่งเดินเข้าไป แสงแดดก็ยิ่งอ่อนลง แต่ระหว่างทางเดินสองข้างทางมีคบไฟหินจุดสว่าง จึงไม่ต้องเพ่งมองมาก


ไม่รู้ว่าเดินไปนานเท่าไรแล้ว ในที่สุดด้านหน้าก็ปรากฏแสงจากตะเกียงส่องสว่าง จากนั้นมีเสียงต่ำของพิณลอยมา ยิ่งเดินเข้าไปยิ่งกว้างขวาง เมื่อมาถึงบันไดหินขั้นสุดท้าย เบื้องหน้าก็เห็นวังอันสวยงามวิจิตร


ตรงประตูวังมีคนออกมารับ หลังจากทั้งสองฝั่งค้อมศีรษะทักทายกัน อีกฝ่ายดูหนังสือราชการของมู่จิ่ว แล้วจึงค่อยเดินมาข้างหน้าพวกเขา “ราชาของพวกเรากำลังมุ่งหน้าไปบวงสรวงบูชาที่สระน้ำฮั่น ท่านทั้งสองอยากพบ หากไม่ไปที่สระน้ำฮั่นก็ค่อยมาวันอื่น”


ไม่ง่ายเลยกว่ามู่จิ่วจะมาถึงที่นี่ จะยินยอมมาวันอื่นได้อย่างไร? นางรีบพูดว่า “เชิญท่านนายพลนำทาง พวกเราจะไปที่สระน้ำฮั่น”


ชิงชิวไม่ได้มองสวรรค์เป็นสิ่งสลักสำคัญอะไรดังคาด อย่างไรนางก็นับว่าเป็นผู้แทนใช่หรือไม่? ยังมาทำคดีแทนพวกเขาถึงหน้าประตูเลย แต่อากัปกิริยาแบบนี้ แทบจะเทียบเท่าพระญาติของกษัตริย์แล้ว


นายพลผู้นี้ชี้ทางให้พวกเขา “เข้าวังมุ่งไปทางตะวันออกห้าลี้ สุดทางทิศนั้นจะมีวังหลังหนึ่งคือสระน้ำฮั่น”


มู่จิ่วรีบขอบคุณ ลากลู่ยาเข้าประตูเมืองไป


ที่แท้ภายในประตูวังยังไม่ใช่ตัววังจริงๆ เป็นเพียงทางวนยาวเหยียดสายหนึ่ง ทางทิศตะวันออกมีประตู หลังจากผ่านประตูเข้าไปก็เจอกับสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ เก๋งระเบียงอาคารศาลาต่างก็มีหมด มีตะเกียงแต่กลับไม่มีคนหรือสัตว์ รอบด้านสลัวและเงียบสงัด ทั้งยังเย็นอยู่บ้าง แต่มีลูกโลหิตมังกรอบอุ่นร่างกายอยู่จึงไม่เป็นปัญหา


“ตามข้ามาก็พอ”


ลู่ยาเดินนำหน้าพลางเรียกมู่จิ่ว ในสวนสลัวนี้เดินไปก็เหมือนเดินอยู่บนพื้นเรียบ จึงมั่นใจไร้กังวล


มือของเขาอบอุ่นแข็งแกร่ง มู่จิ่วถูกเขาจับจูงแบบนี้ใจก็มั่นคงขึ้นไม่น้อย


“ที่นี่ทำไมไม่มีคน?” นางถาม เป็นถึงสวนของวังกษัตริย์ ไม่มีคนคอยเฝ้าดูออกจะผิดปกติไปหน่อย เห็นแบบนี้แล้ววังของเผ่าพันธุ์เทพกลับเหมือนเป็นสถานที่หลังความตาย ช่างน่าสลดหดหู่นัก


“ใครว่าไม่มีคน? เจ้ามองไม่เห็นเอง” ลู่ยาพูดอย่างเชื่องช้า จากนั้นหยุดฝีเท้าลง หันมายกนิ้วหัวแม่มือลูบเบาๆ บนตาของนาง

 

 

 


ตอนที่ 69

 

 จิ้งจอกเงินขวางทาง

โดย

Ink Stone_Romance

ครั้นนางเปิดตาขึ้น ภาพเบื้องหน้าก็เปลี่ยนไป สวนยังคงเป็นสวนเดิม แต่กลับมีดอกไม้หลากหลายสีสันเต็มไปหมด แสงเงาสาดส่อง กระดาษสีและโคมไฟประดับงดงามระยิบระยับอยู่ทั่ว สาวใช้ในวังซึ่งสวมเสื้อหลากสีขวักไขว่ไปมาอยู่ในทางเดินรอบอาคาร ทุกสามก้าวมีพลอารักขาใส่เกราะกระจายตัวรักษาการอยู่ใต้กำแพง กลิ่นของดอกไม้นานาพรรณลอยแตะจมูกบางๆ ทั้งยังมีเสียงอีกด้วย


ที่แท้แค่พลังฤทธิ์ของนางอ่อนไปเท่านั้น


“เสียงอสูรกายกับกลมายาต่างก็เป็นอาวุธของพวกเขา ใช่ว่าทุกคนจะดูออก?”


ลู่ยาเดินไปข้างหน้าต่อ “รอผ่านไปสามพันปีก่อน เจ้าคงพอจะเห็นร่องรอยบ้าง”


สามพันปี…หากไม่เลื่อนขั้นล่ะก็ นางยังไม่รู้ว่าจะสามารถมีอายุยืนถึงห้าพันปีหรือไม่!


“เอาล่ะ เอาล่ะ รู้แล้วว่าเจ้าเก่ง” นางโบกมือแทรกตัวไปข้างหน้า วิ่งตึงตังตรงไป


เพิ่งวิ่งไปได้ครึ่งลี้ นางก็ชนกับคนที่เดินมาใต้ต้นหลิวโค้งงอเข้าอย่างจัง!


“โอ๊ะ ขอโทษด้วย!”


นางรีบกุมหน้าผากพลางขอโทษ


อีกฝ่ายกลับหมุนกายมาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “เจ้าคือใคร?”


เสียงอยู่เหนือศีรษะ มู่จิ่วเงยหน้าขึ้นไปมอง เห็นเพียงชายเสื้อดำผมเงินอยู่ด้านหน้า


ชายหนุ่มไม่เพียงมีผมสีเงิน ดวงตาก็เป็นสีเงินอมเทา ตัดกับเสื้อสีดำที่ปกคลุมร่างกายได้สะดุดตาอย่างมาก ใบหน้าของเขาเหี้ยมเกรียม ร่างกายตรงทื่อเหมือนธนูที่ขึงตึง แขนยาวทั้งสองข้างไพล่อยู่ด้านหลัง เปลือกตาหลุบต่ำมองนาง ในลานนี้ไม่มีลมแม้แต่น้อย ทว่าผมสีเงินยาวเสมอเอวกลับลอยเบาๆ อยู่กลางอากาศ


“ข้าคือกัวมู่จิ่ว มาเพราะได้รับคำสั่งจากค่ายทหารสวรรค์ เมื่อครู่เดินไม่ระวัง ต้องขอโทษด้วยจริงๆ”


จะอย่างไรก็เป็นถิ่นของคนอื่น มู่จิ่วจึงรีบบอกที่มาของตัวเอง


“คนของทัพสวรรค์?”


คนผู้นี้หรี่ตาทั้งคู่ลง แต่เดิมสายตาที่ยังนับได้ว่าปกติอยู่ ตอนนี้พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “พวกเจ้ามาทำอะไร?” เขาไม่ลืมกวาดตามองลู่ยาที่เดินตามมู่จิ่วมาทางด้านหลัง คิ้วหยุดอยู่บนร่างเขาครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ่งขมวดกันแน่น


“ได้ยินองค์หญิงหลิวเย่บอกว่าวันก่อนชิงชิวเกิดเรื่องเล็กน้อย พอดีกับที่ลัทธิฉ่านเกิดเรื่องยุ่งยากเช่นกัน ดังนั้นพวกเราจึงรับคำสั่งจากค่ายทหารสวรรค์มาสืบคดีนี้ ไม่ทราบท่านมีนามว่าอะไร?”


เสื้อผ้าของคนผู้นี้ไม่ธรรมดา สถานะต้องไม่ต่ำแน่ มู่จิ่วจำเป็นต้องเจียมเนื้อเจียมตัวเสียหน่อย


“พวกเจ้าเป็นสุนัขรับใช้ของลัทธิฉ่าน?” คนผู้นี้ไม่ตอบคำถามนาง กลับกันน้ำเสียงยิ่งเย็นเยียบซึมเข้าสู่ใจคน


มู่จิ่วไม่ใคร่พอใจนัก อย่างไรนางก็เป็นผู้ปฏิบัติงานของสวรรค์ และยังสุภาพด้วยขนาดนี้ ถึงแม้เจ้าจะไม่เห็นสวรรค์อยู่ในสายตา แต่อย่างไรก็ไม่ควรพูดจาไม่น่าฟังขนาดนี้? นางพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “พวกเรายังมีเรื่องต้องไปทำ ในเมื่อท่านไม่คิดจะสนทนามาก เช่นนั้นโปรดให้อภัยที่พวกเราไม่อาจอยู่ด้วยได้”


พูดจบนางก็ก้าวเท้าขึ้นเดินผ่านเขาไป


“ช้าก่อน!”


เพิ่งเดินไปได้สองก้าวก็เห็นเงาสีเงินพาดผ่านด้านหน้า คนผู้นั้นเคลื่อนตัวมา สีหน้าเทียบกับเมื่อครู่นี้แล้วยิ่งไม่น่ามอง “เจ้าคิดจะไปทั้งแบบนี้? ประมือกับข้าสักหลายกระบวนท่าก่อนค่อยว่ากัน!” พูดจบ มือขาวสะอาดคู่นั้นก็พลิกพลิ้วกลางอากาศราวกับดอกบัว สาดกระจายลูกแสงแยงตาออกมานับไม่ถ้วน ลูกแสงเหล่านี้ค่อยๆ รวมกันเป็นจิ้งจอกเงินตัวใหญ่ อ้าปากง้างกรงเล็บพุ่งเข้าหานาง!


“ระวัง!”


กระบวนท่านี้น่ากลัวแบบที่มู่จิ่วไม่เคยเจอมาก่อน ทว่านางก็จำต้องรวบรวมสมาธิทั้งหมดตอบโต้กลับไป! อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่นางจะลงมือ แขนข้างหนึ่งก็ดึงนางเข้าสู่อ้อมอกราวกับพายุหมุน!


“นี่คือองค์ชายสองมู่หรงเส่าชิงแห่งชิงชิว เจ้าสู้เขาไม่ได้หรอก!”


พูดจบลู่ยาก็ผลักนางไปอยู่หลังต้นไม้ จากนั้นหมุนตัวยกฝ่ามือต้านการโจมตีของเส่าชิงไว้! จิ้งจอกโหดเหี้ยมตัวนั้นถูกกระแทกถอยไปราวสามจั้ง มู่หรงเส่าชิงเพ่งสายตาจับจ้อง จิ้งจอกตัวนั้นพลันกระโจนตัวกลับมาราวกับดาวตก!


จากตอนที่เส่าชิงลงมือจนถึงลู่ยาตอบโต้เป็นเพียงแค่เรื่องในพริบตาเดียว ทางมู่จิ่วเพิ่งจะกอดลำตันยืนได้อย่างมั่นคง พวกเขาก็สู้กันไปถึงระดับหนึ่งแล้ว


ที่แท้ลู่ยาไม่ได้พูดเล่น องค์ชายสองแห่งชิงชิวผู้นี้ฝีมือเก่งกล้า ลงมือไม่มีลังเลแม้แต่น้อย ทั้งสวนดอกไม้นี้เห็นเพียงเงาร่างสีดำกับสีเงินปะปนกันราวกับมังกรแหวกว่ายไปมา ตรงกลางมีเสียงคำรามออกมาบ้างบางคราว ดอกไม้ใบหญ้าในรัศมีครึ่งลี้ถูกพลังของเขาทำให้หมุนเป็นน้ำวน และใจกลางน้ำวนนั้นมุ่งตรงเข้าหาลู่ยา!


มู่จิ่วจิกลำต้นแน่นพลางมองไปยังลู่ยา วันนี้เขายังคงสวมเสื้อเรียบง่าย ผมยาวเกล้าไว้บนศีรษะ เพียงนำไม้หอมก้านหนึ่งมาปักไว้เท่านั้น ทั้งร่างดูแล้วอากัปกิริยาเหนือสามัญ ท่วงท่าไร้ที่ติ แม้แต่ลงมือยังเหมือนทุกวันที่เขาจิบชาอยู่ในเขตพลัง มีความนิ่งสงบยากจะบรรยาย ภายใต้สถานการณ์ที่คู่ต่อสู้แข็งแกร่ง เขากลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย


แต่มู่จิ่วยังกังวลแทนเขา เพราะนางเคยเจอความแข็งแกร่งของจิ้งจอกเก้าหางมาก่อน…เอ๊ะ จิ้งจอกเก้าหาง? จิ้งจอกแดง?


คิดมาถึงตรงนี้ มู่จิ่วพลันนึกถึงคำพูดของมู่หรงหลิวเย่ก่อนนางจะจากไปที่ด้านนอกเมืองต้าหนิง มู่หรงหลิวเย่เคยพูดว่า หวังว่ามู่จิ่วกับหลินเจี้ยนหรูจะไม่เจอกับพี่รองของนาง ในเมื่อนางเป็นบุตรีของราชาจิ้งจอก อย่างนั้นพี่ชายรองของนางก็คือองค์ชายสองเบื้องหน้าคนนี้? นางยกพี่รองขึ้นมาพูดคนเดียว หมายความว่าเขายากจะต่อกรด้วยเป็นพิเศษ?


มู่จิ่วเริ่มรู้สึกว่าแผ่นหลังหลั่งเหงื่อออกมา


มู่หรงหลิวเย่มีชีวิตอยู่มาสามหมื่นปีแล้ว พี่ชายของนางย่อมอยู่มานานกว่ามาก ลู่ยาเป็นเพียงซ่านเซียน เขาจะสู้เขาไหวหรือ?


ถึงแม้เขาจะเป็นผู้ชาย พบเจออันตรายยืดตัวเข้าสู้คือศักดิ์ศรี แต่ก็ไม่อาจทิ้งชีวิตไปเพื่อศักดิ์ศรีหรอกนะ!


หากนางตายก็ถือได้ว่าสละชีวิตในหน้าที่ หากเขาเสียชีวิตไปจะถือว่าเป็นอะไร?


ไหนบอกว่าคืนพระจันทร์เต็มดวงจะบวงสรวงบูชาไม่ลงมือสังหาร!


ตอนนี้คืออะไรกัน?!


คิดถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้พุ่งออกมา ตะโกนใส่เส่าชิงว่า “ข้าเป็นสหายกับองค์หญิงหลิวเย่! ข้าขอพบนาง!”


แต่เสียงที่ออกไปก็เหมือนกับโคลนจมในมหาสมุทร ไม่เพียงเส่าชิงจะไม่หยุด พลังปราณรอบๆ กลับยิ่งเข้มข้นขึ้น!


ดูเหมือนชายคนนี้จะไม่เห็นนางอยู่ในสายตาแต่แรก


และดูจากที่เขาไม่ฟังก็เข้าโรมรัน สักแปดส่วนคงได้ยินข่าวมาแต่เนิ่นๆ จึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อหาเรื่อง!


จะทำอย่างไรดี?


นางต้องช่วยลู่ยา!


แต่นางเข้าไปสู้ไม่ได้ ดันทุรังเข้าไปจะเป็นการถ่วงเขา…


มู่จิ่วมองดูพวกเขาที่กำลังต่อสู้กันพัลวัน นางกัดฟัน พลันเรียกพลังฤทธิ์ กระโดดตัวขึ้นไปกลางอากาศ แล้วข้ามผ่านพวกเขามุ่งตรงไปข้างหน้า!


พลังฤทธิ์ของนางน้อยนิดแถมยังถูกผนึกไปครึ่งหนึ่ง ยิ่งไม่รู้จักการปิดบังลมหายใจซ่อนพลัง การเคลื่อนไหวครั้งนี้จึงย่อมอึกทึกไม่น้อย แน่นอนว่าทำให้เส่าชิงตกใจ ผมสีเงินเพียงสะบัด ฝ่ามือหนึ่งก็ซัดไปทางหลังมู่จิ่ว!


ลู่ยาคาดไม่ถึงว่านางจะทำแบบนี้ หมัดนี้ของเส่าชิงนางจะรับไหวได้อย่างไร? เขารีบกระโจนตัวเข้าไปปัดมืออีกฝ่ายออก แต่มู่จิ่วที่เห็นชัดเจนว่าพุ่งตรงไปข้างหน้า ตอนนี้กลับพลันหายไป! ราวกับระเหยกลายเป็นไอ แม้แต่วิชาซ่อนร่างของเทพเซียนยังไม่เร็วขนาดนี้!


ลู่ยานิ่งอึ้งไป เส่าชิงยิ่งอึ้งงันจนลืมแม้แต่จะลงมือ หมุนตัวไปรอบๆ พลางตะโกน “เจ้าเด็กสมควรตาย เจ้าออกมาหาข้า!”


เสียงยังไม่ทันจบ เขาพลันสะดุดไปข้างหน้า ตอนนี้เองลู่ยาก็พุ่งเข้าไปด้านหลังเขาอย่างคล่องแคล่ว จากนั้นพลิกตัวร่ายคาถาเซียนแตะไปบนหน้าผากเขา เส่าชิงตัวแข็งทื่อล้มไปบนพื้นราวกับถูกจี้จุด เหลือแต่ปากที่สามารถตะโกนด่าเท่านั้น “เจ้ากล้าลอบทำร้ายข้า! อย่าให้ข้าได้เจอเจ้าอีก!”

 

 

 


ตอนที่ 70

 

 ที่นี่มีพวกอวดรวย

โดย

Ink Stone_Romance

มู่จิ่วถอดชุดซ่อนเซียน เผยร่างออกมา จากนั้นไปอยู่ด้านหลังตรงที่เขาสะดุดโซเซ แล้วทำหน้าแลบลิ้นปลิ้นตาใส่


เส่าชิงเบิกนัยน์ตาหงส์ถลึงไปทางนาง ลู่ยาอาศัยตอนที่พลังของเขายังไม่กลับมา ซัดพลังเข้าไปอีก เขาก็ตาเหลือกไม่รู้สึกตัวแล้ว


มู่จิ่วมองดูรอบด้าน คนที่ถูกพลังลมปราณทำให้ล่าถอยไปกลับคืนที่เดิม กระทั่งยังมีหลายคนเดินมาดูทางนี้ จึงอดไม่ได้ที่จะกังวล “สภาพพวกเราดูแล้วไม่ดีนัก”


นี่คือเขตแดนของราชาจิ้งจอก พวกนางจัดการเก็บกวาดลูกชายของเขา ดูอย่างไรก็เหมือนกับมาเพื่อก่อเรื่องโดยเฉพาะ…


“กลัวไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว” ลู่ยาปัดๆ เสื้อ สีหน้าไม่เปลี่ยนใจไม่เต้นขณะพูด “จิ้งจอกเฒ่านั่นเข้าข้างครอบครัวมาก เจ้าดูเขาสิ เพราะบุตรชายตายก็ก่อเรื่องราวใหญ่โตขนาดไหน? ครานี้พวกเราคิดจะทำให้ราบรื่นคงไม่ไหวแล้ว ยังไงก็รีบไปก่อนเป็นสำคัญ” พูดจบดึงนางมา ท่องคาถาเคลื่อนย้ายออกไปจากที่นี่


เมื่อไปถึงที่ที่ไม่ได้ยินความวุ่นวายเบื้องหลังแล้ว เขาถึงได้ชะลอฝีเท้าลงมองชุดซ่อนเซียนในมือนาง “ดูไม่ออกว่าเจ้ายังมีของเล่นแบบนี้อยู่”


ของเล่นอะไร? นี่เป็นของมีค่าที่หลิวหยางให้นางมา!


มู่จิ่วก้มศีรษะมอง อารมณ์ไม่ดีอย่างมาก “ไม่มีความสามารถ ไหนเลยจะกล้าขึ้นเหลียงซาน?”


พูดจบนางก็ขมวดคิ้ว สิ่งที่เขาพูดไม่สลักสำคัญ ที่สำคัญคือประโยคก่อนหน้านี้…เขาพูดไม่ผิด ทั้งตระกูลจิ้งจอกเฒ่าไม่น่าไปมีเรื่องด้วย ครั้งนี้นางจัดการกับลูกชายเขาไปยังจะมีผลดีอีกหรือ? แต่เรื่องที่ยิ่งทำให้คนพูดไม่ออกคือ ลู่ยารู้ชัดแจ้งว่าพวกนี้ไม่น่าต่อกร แต่ยังทำให้คนเขาหัวหมุนอีก!


ต่อไปนางจะจัดการอย่างไร?


“ที่จริงเจ้าไม่ยื่นมือเข้ามาข้าก็จัดการเขาได้”


นางกำลังจะแสดงความคิดเห็น ลู่ยากลับเปิดปากอย่างสบายๆ ทั้งยังมีท่าทีไม่คิดจะสนทนาต่อ สองเท้าเดินไปข้างหน้าไม่หยุด


มู่จิ่วถลึงตาใส่หลังเขา


ตอนนี้เอง ด้านหน้าพลันมีเสียงน้ำไหลช้าๆ ครั้นตั้งใจฟังให้ดี ยังมีเสียงเบาบางของคนด้วย!


มู่จิ่วเร่งฝีเท้าเดินผ่านทางเล็กๆ ไป เบื้องหน้าพลันปรากฏให้เห็นทะเลสาบสีฟ้าที่มองไม่เห็นขอบเขต และตรงใจกลางทะเลสาบมีกลุ่มวังซึ่งผุดขึ้นมาสอดผสานอย่างมีแบบแผน!


วังทั้งกลุ่มลอยอยู่เหนือผิวน้ำทะเลสาบ ทั้งหมดเชื่อมต่อกันแค่สะพานหินสามสะพานตรงประตูทางเข้า ไม่มีกำแพงวัง เมื่อยืนมองเข้าไปอยู่ที่สวนดอกไม้รอบนอก ทางเดินรอบอาคารในวังแขวนโคมไฟแก้วเต็มไปหมด ดวงจันทร์กลมราวกับถาดเงินบนฟ้าสะท้อนลงมาบนผิวน้ำหน้าวัง น้ำทะเลสาบกระเพื่อมไหวระยิบระยับ ทำให้วังสามชั้นซึ่งจัดวางอย่างมีแบบแผนดูไปแล้วยิ่งงดงาม


และดอกบัวสีน้ำเงินเต็มทะเลสาบนั้นก็กลายเป็นทะเลดอกไม้ที่ยิ่งใหญ่ตระการตา


“ถึงแล้ว! ต้องเป็นที่นี่แน่!” มู่จิ่วได้สติคืนกลับมา


ลู่ยาพยักหน้า เดินขึ้นไปยังสะพานขาวทางทิศตะวันตกกับนาง


ผู้อารักขาที่ตีนสะพานเห็นพวกเขา ก้าวเท้าเข้ามาขวางไว้ “เป็นผู้ใดกัน?”


มู่จิ่วจำเป็นต้องเล่าที่มาที่ไปอีกรอบ


อย่างไรก็ตาม นางเพิ่งพูดจบ ในประตูวังด้านหลังเขาก็มีคนหลายคนเดินออกมาอย่างรวดเร็ว หญิงที่นำมางดงามหาใดเปรียบ นางแขวนหินล้ำค่าสีน้ำเงินร้อยสร้อยกระพรวนทองเล็กบางอยู่ตรงหว่างคิ้ว ขับเน้นให้สีผิวยิ่งขาว เสื้อไหมสีฟ้าบนร่างก็ยิ่งสดขึ้น นางเดินพลางพูดอย่างรัวเร็ว “องค์ชายรองอยู่ไหน?”


มู่จิ่วรีบดึงลู่ยาหลบไปด้านข้าง


คล้อยหลังคำพูด คนผู้นี้ก็เผยโฉมออกมาภายใต้แสงสว่าง ที่แท้นอกจากผิวจะขาวแล้ว ยังจะเป็นสาวงามที่มีดวงตาโตจมูกสวย! เพียงแต่บนใบหน้าสาวงามคนนี้เต็มไปด้วยความเย็นชา เมื่อดูโดยละเอียดจะพบว่าคล้ายคลึงกับมู่หรงหลิวเย่หลายส่วน คนผู้นี้ดูแล้วคงเป็นองค์หญิงสักคนของวังจิ้งจอกอย่างไม่ต้องสงสัย!


มู่จิ่วใจเต้น เท้าที่ก้าวขึ้นก็พลันชักกลับมา


อีกฝ่ายดูท่าทางโกรธขึ้งแบบนี้ นี่นางกับลู่ยายังไม่ทันแจ้งเหตุผลที่มากับราชาจิ้งจอกเลย เรื่องมู่หรงเส่าชิงถูกพวกเขาจัดการมาถึงสระน้ำฮั่นแล้วหรือ?


คิดไม่ถึงว่าจะเร็วขนาดนี้? นางยังไม่ทันเตรียมตัวเลย!


“ตอนนี้ทำอย่างไรดี?” นางหันศีรษะกลับมามองลู่ยา


ลู่ยากลับสบายๆ “เข้าไปก่อนค่อยว่ากัน”


มู่จิ่วไม่รู้จะว่าอย่างไรดี แต่ก็ไม่อาจไม่เห็นด้วย ชิงชิวจะก้าวร้าวอย่างไร ปีนั้นตอนที่แต่งตั้งเทพก็ได้ให้สัตย์ไว้ว่าจะอยู่ภายใต้การปกครองของสวรรค์ พวกเขารับคำสั่งมา บุตรของราชาจิ้งจอกขวางทางโดยไม่ฟังคำอธิบายไม่ว่า แต่ยังลงมือทำร้ายคน อย่างไรก็นับได้ว่ามีโทษขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่? อย่างไรเบื้องหลังนางก็ยังมีทัพสวรรค์หนุนอยู่ แท้จริงแล้วนางไม่มีอะไรต้องกลัวเลย


รอจนปลายสะพานสงบลงแล้ว พวกเขาจึงเดินเข้าไป


ชี้แจงจุดประสงค์ในการมาเยือนต่อผู้อารักขาประตูวัง ตรวจดูหนังสือราชการแล้ว ผู้อารักขาก็พาพวกเขาเข้าไป ผ่านไปได้สองด่านจุดตรวจก็มากขึ้น มาถึงตำหนักกลางหลังใหญ่ยิ่งอารักขาเข้มงวด เพียงดูก็รู้ว่าเป็นที่สำคัญไม่ธรรมดา


หลังจากผู้เฝ้าประตูเข้าไปแจ้งเรื่อง ก็มีคนนำทางมู่จิ่วกับลู่ยาเข้าตำหนัก


ข้างในโถงตำหนักดูล้ำค่าอย่างไรไม่จำเป็นต้องเอ่ย ลำพังเพียงไข่มุกราตรีขนาดเท่าอ่างล้างหน้าหน้าที่เรียงกันสองฝั่งข้างทางก็เพียงพอจะส่องแสงทิ่มแทงดวงตาคนให้บอดได้


บัลลังก์ที่นั่งทำขึ้นจากการฝังหินมรกตล้ำค่านานาชนิด และท่ามกลางแสงไข่มุกเหล่านี้ มีคนชราเคราขาวผู้หนึ่งนั่งอยู่


คนชราสวมเสื้อคลุม ดูไม่ออกว่าทำจากวัสดุอะไร ทว่าอย่างไรก็เบาบางและโปร่งใส ต้องสวมถึงเจ็ดแปดชั้นถึงจะปกปิดร่างกายได้ บนศีรษะมีมงกุฎซึ่งส่องแสงน่าเกรงขามเรื่อๆ มองดูแล้วเหมือนฝังหินห้าสีไว้


ส่วนที่สะดุดตาที่สุดคือบนนิ้วกลางข้างขวามีแหวนเพชรขนาดเท่าไข่ไก่…พูดกันตรงๆ มู่จิ่วอยู่มาสองชาติ ทั้งหมดสองพันกว่าปี เห็นพวกร่ำรวยใหม่มาก็ไม่น้อย แต่คนอวดรวยถึงระดับนี้เพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก นางไม่เข้าใจเลย เขาไม่กลัวเพชรนั่นจะทับนิ้วเขาจนข้ออักเสบหรืออย่างไร?


คนผู้นี้ที่ทำให้ใครๆ ตกใจคิดว่าเป็นคนเฝ้าสมบัติ ย่อมเป็นราชาจิ้งจอกแน่นอน


“พวกเจ้ามาจากสวรรค์?” พวกมู่จิ่วทำความเคารพ ส่วนราชาจิ้งจอกก็หยิบถ้วยหยกขึ้นมา พูดเสียงลากยาว


“ใช่ พวกเราคือหน่วยลาดตระเวนของทัพทหารสวรรค์ เพราะช่วงก่อนหน้านี้บังเอิญพบองค์หญิงหลิวเย่เข้า จึงได้รู้ว่าชิงชิวเกิดคดีฆาตกรรมต่อเนื่องกันหลายคดี ดังนั้นสวรรค์จึงส่งข้าน้อยมาเพื่อจัดการคดีนี้”


มู่จิ่วเหลือบเห็นอาการดูถูกจากปลายผมของเขา จึงไม่อาจไม่ก้มตัวลงต่ำเอ่ยเหตุผลที่มาให้ชัดเจน “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความสงบของแดนเซียน พวกเราหวังว่าจะได้พบผู้เกี่ยวข้อง ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น จากนั้นปรึกษาหารือว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร หวังว่าราชาจิ้งจอกจะอำนวยความสะดวก”


อันที่จริงนางสามารถทำไปตามขั้นตอนโดยไม่ไว้หน้า แต่ใครใช้ให้นางไปทำร้ายบุตรชายของเขาเข้าล่ะ? อย่างน้อยตอนนี้คนชรานั่นก็ดูเหมือนยังไม่รู้เรื่อง มีคำกล่าวว่าไม่ยื่นมือตบคนที่มีใบหน้ายิ้มแย้ม นางต้องอาศัยโอกาสนี้สร้างภาพพจน์ที่ดีไว้ก่อนค่อยว่ากัน


ราชาจิ้งจอกดื่มชา ลูบเพชรบนมือ จากนั้นพูดอย่างช้าๆ “แต่คนแก่อย่างข้าไม่ได้ส่งคนไปร้องเรียน เรื่องนี้พวกเราชิงชิวจัดการเองได้ ไม่ต้องการสวรรค์”


มู่จิ่วพูด “ถึงแม้ชิงชิวจะไม่มีคนไปร้องเรียน แต่เรื่องนี้เกี่ยวพันกับลัทธิฉ่าน ตอนนี้คดียังไม่คลี่คลาย กลับดึงผู้บริสุทธิ์มากมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นคดีนี้สวรรค์จึงต้องสอดมือเข้ายุ่ง”

 

 

 


ตอนที่ 71

 

วัยเด็กที่ไม่น่าจดจำ

โดย

Ink Stone_Romance

พูดในอีกนัยหนึ่ง ถึงแม้พวกเขาไม่ใส่ใจว่าจะคลี่คลายคดีได้หรือไม่ วิมานหลีเฮิ่นรู้เรื่องนี้ก็กดดันลงมาที่หน่วยลาดตระเวน พวกเขาจึงต้องมาที่ชิงชิวสักรอบเช่นนี้


ราชาจิ้งจอกหัวเราะเบาๆ ลุกขึ้นมาจากบัลลังก์ ไพล่มือเดินช้าๆ ลงมาข้างล่าง ก่อนพูด “เผ่าพันธุ์ชิงชิวของข้ารวมแล้วไม่ถึงหนึ่งร้อยตัว ในหลายสิบตัวนี้มีสามตัวที่ตายในเงื้อมมือของลัทธิฉ่าน ศิษย์ลัทธิฉ่านมีอยู่ทั่วทั้งสี่ทะเลแปดทิศ ไม่ถึงแสนก็ต้องถึงเก้าหมื่นเก้า หากนับกันตามสัดส่วนนี้ เผ่าพันธุ์จิ้งจอกของข้าสังหารพวกมันสักพันหรือหมื่นก็ไม่นับว่าผิดหลักนัก ตอนนี้เพิ่งสังหารได้เพียงกี่สิบคน พวกเจ้าร้อนรนอะไร?”


“พูดแบบนี้ไม่ได้ ความดีความชั่วมีบทลงโทษของมันเอง ถึงแม้ฆาตกรจะเป็นลัทธิฉ่าน ก็ต้องสืบเสาะให้ชัดแจ้ง ตามจับฆาตกรตัวจริงก่อนค่อยลงโทษ หากแต่ละคนต่างก็ดูหมิ่นกฎหมายบ้านเมือง ลงโทษคนผิดตามอำเภอใจ หกภพจะไม่ยุ่งเหยิงหรอกหรือ?”


ไม่ว่าผู้เฒ่าจะมีหลักตรรกะบิดเบี้ยวอย่างไร มู่จิ่วจะลองพูดคุยกับเขาด้วยเหตุผลดู


แต่ราชาจิ้งจอกมีท่าทีราวกับไม่อยากฟัง มือทั้งสองซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ ยิ้มตาหยีพลางพูด “กฎหมายบ้านเมือง? พวกเราชิงชิวมีจิ้งจอกตายสามตัว หนึ่งตัวยังเป็นลูกของคนแก่อย่างข้า เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมจึงไม่เห็นสวรรค์ใช้กฎหมายบ้านเมืองช่วยข้า? คราวนี้ข้าเพียงลงมือกับลูกศิษย์หลานศิษย์ของวิมานหลีเฮิ่นไม่กี่คน อวี้ตี้ก็นั่งไม่ติดเสียแล้ว?”


“นั่นเป็นเพราะท่านไม่ร้องเรียนก่อนเป็นอันดับแรก” มู่จิ่วพูด “ท่านดูสิ ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเนินอารามก็เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย แต่หลังจากตระกูลซ่างกวนส่งคนขึ้นมาร้องเรียน ทัพทหารสวรรค์ก็ลงมือคลี่คลายคดีทันใด ตอนนี้ยังให้ข้าน้อยสืบเสาะต่ออีกด้วย”


พูดปกปิดความอับอายแทนสวรรค์ออกไป มู่จิ่วก็ละอายใจนัก แต่ไม่มีทางเลือก นางเป็นคนของหน่วยงาน ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องพูดจากมุมมองของหน่วยก่อน


“อย่าคิดว่าคนแก่อย่างข้าจะไม่รู้เรื่องเขาเนินอาราม” ราชาจิ้งจอกร้องเหอะเยาะเย้ย “ข้าขอถามเจ้าหน่อย เหล่าชี (คนที่เจ็ด) ของตระกูลเขา จนบัดนี้ได้ออกจากคุกหรือยัง?”


จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้แม้แต่เรื่องซ่างกวนสุ่นถูกจับก็รู้หมด…


มู่จิ่วนิ่งอึ้งไป ยังไม่ทันพูด ราชาจิ้งจอกก็พูดต่อ “หลายปีมานี้ลัทธิฉ่านเติบโตอย่างรวดเร็ว ในสำนักทั้งหมดบนสวรรค์และพื้นพิภพ หากพวกมันกล้าพูดว่าเป็นที่สอง ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าเป็นที่หนึ่งแล้ว ตอนนี้ทุกเรื่องอวี้ตี้ยังต้องไว้หน้าสักสามส่วน พวกมันมาก่อเรื่องฆาตกรรมในชิงชิวของข้า ถือเป็นการอาศัยสวรรค์ที่ไม่มีทางเอาจริงด้วยไม่ใช่หรือ?”


“ร้องเรียน? หากข้าไปร้องเรียน สุดท้ายไม่แน่ว่าจะมีผลลัพธ์อย่างไร แม้คนแก่อย่างข้าไม่ออกจากชิงชิวง่ายนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้เรื่องราวภายนอก ลัทธิฉ่านอาละวาดไปทั่ว บนโลกมนุษย์โอดครวญไม่พอใจกันมานานแล้ว ข้าก็ทำเป็นลืมตาข้างหลับตาข้าง ในเมื่อตอนนี้ลงมือมาถึงชิงชิว พวกเราเผ่าจิ้งจอกเก้าหางไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยผ่านไป”


“พวกเราชิงชิวไม่แพ้เผ่าพันธุ์เทพใด ลัทธิฉ่านกล้าสังหารลูกชายข้า เช่นนั้นข้าจะให้พวกมันใช้หนี้เลือดล้างด้วยเลือด!”


“ข้าไม่รังแกเด็ก เรื่องชิงชิวกับลัทธิฉ่านเจ้าไม่ต้องยุ่ง กลับไปซะ!”


ราชาจิ้งจอกเพียงโบกมือ มู่จิ่วก็ต้านไว้ไม่ได้ ลอยถอยออกไป


ยังดีที่ลู่ยาดันหลังนางไว้ให้หยุดนิ่ง ไม่เช่นนั้นคงกลิ้งออกประตูวังไปแล้ว!


มู่จิ่วอดกลั้นความอัดอั้นตันใจพลางทำร่างกายให้มั่นคง คิดจะพูดอีก ลู่ยากลับเดินแทรกขึ้นมาข้างหน้า “ในเมื่อไล่พวกเราไป ภายหลังก็ไม่อนุญาตให้ลูกของเจ้ามาหาเรื่องพวกเราอีก”


คำพูดนี้ของเขาทำให้มู่จิ่วสำลัก!


เขานี่ถ้าไม่พูดให้คนตกใจตายก็จะไม่หยุดจริงๆ!


“ลูกของข้า?” คิ้วของราชาจิ้งจอกพลันขมวด “เจ้าหมายถึงอะไร?”


“หมายความว่าระหว่างทางเมื่อครู่ เส่าชิงบุตรชายคนที่สองของท่าน ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไรถึงมาขวางพวกเราไว้ ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็ลงมือด้วย ราชาจิ้งจอกเป็นผู้มีอำนาจสูงสุด คงรู้ดีว่ามีหน้าที่อยู่ไม่อาจละทิ้งได้ เพื่อที่จะรีบมาเข้าพบท่าน เราจึงจำเป็นต้องเชิญให้เขาพักผ่อนอยู่ข้างทางชั่วครู่ แต่ดูเหมือนเขาจะโกรธเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะขอให้ท่านปล่อยพวกเราไปได้หรือไม่”


ราชาจิ้งจอกอึ้งอยู่ตรงนั้น มือชี้มายังพวกเขาทั้งสอง “พวกเจ้ากับเส่าชิง?”


ลู่ยาพยักหน้า “ไม่ผิด เส่าชิงที่มีสัมพันธ์อันดีกับเหล่าลิ่ว (คนที่หก) ของจิ้งจอกขาวเหอเจ๋อคนนั้น”


ราชาจิ้งจอกได้ยินคำพูดนี้ใบหน้าก็พลันเปลี่ยน กระทั่งดวงตาทั้งสองข้างยังเบิกกว้างราวกับกระแสไฟฟาด “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเส่าชิงกับเหล่าลิ่วของตระกูลจิ้งจอกขาว…”


เขามองสำรวจลู่ยา ดวงตาทั้งคู่เบิกค้าง เขารีบเดินสองก้าวเข้ามาตรงหน้าลู่ยา พูดขึ้นว่า “ทำไมข้ารู้สึกว่าเจ้าคุ้นตานัก? เจ้าคือ…หรือเจ้าคือ…” พูดถึงตรงนี้สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปมาก และสองขาจิ้งจอกก็อ่อนแรงลงอย่างควบคุมไม่ได้!


ลู่ยาเปิดปาก “ข้าเป็นเพียงซ่านเซียน ราชาจิ้งจอกย่อมต้องไม่รู้จักข้า”


“ไม่! ข้าต้องเคยพบเจ้ามาก่อน!” ดวงตาของราชาจิ้งจอกพลันเบิกกว้างจนกลมดิก “หรือเจ้าคือ…คือลู่ยาเต้าจู่!”


มู่จิ่วที่อยู่ข้างม่านหน้าต่างสูดลมหายใจเย็นเข้าไป


ลู่ยาพูดอย่างสงบ “ข้าจะเป็นลู่ยาเต้าจู่ได้อย่างไร? เพียงแค่ท่านอาจารย์ปู่มีวาสนากับลู่ยาเต้าจู่ ข้าเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาคนหนึ่งของสำนักเรา ราชาจิ้งจอกรู้สึกว่าคล้าย อาจเป็นเพราะข้าก็ฝึกพลังสายเสวียนหมิงด้วย?”


พูดจบเขาก็ยื่นข้อมือไปตรงหน้าราชาจิ้งจอก


ราชาจิ้งจอกจับข้อมือเขาไว้แล้วตรวจสอบ…เป็นพลังเสวียนหมิงจริง! แต่กลับยังห่างไกลกับพลังของลู่ยาเต้าจู่มากนัก อย่าถามเลยว่าเขารู้ได้อย่างไร ตอนยังเล็กเขาถูกคนผู้นั้นนำไปเป็นสัตว์เลี้ยงอยู่ระยะเวลาหนึ่ง!


คิดถึงตรงนี้ ราชาจิ้งจอกยังรู้สึกข้อเข่าทั้งสองอ่อนแรงอยู่


ตอนยังเล็กเขาตามปู่ของตนไปอยู่วังจิ่วหลีของหนี่ว์วาเสียหลายปี


ตอนนั้นหนี่ว์วาให้สัตว์อสูรตัวน้อยทั้งหลายรวมตัวฝึกพลังสายเสวียนคงอยู่ที่วังหลังหนึ่ง


ลู่ยาเต้าจู่ทั้งวันไม่มีอะไรทำ ก็วิ่งมาดึงหางดึงหูของพวกสัตว์น้อยที่ด้านหลังวังจิ่วหลี เวลาอารมณ์ดีก็ให้เรียงแถวกินไขกระดูกหยกอยู่ที่สวนดอกไม้ เวลาอารมณ์ไม่ดีก็ให้พวกเขาต่อแถว แล้วจับแขวนไว้บนต้นไม้เพื่อทำเป็นชิงช้า เจ้าลองคิดดูสักหน่อย จิ้งจอกเสือขาวและป๋ายเจ๋อตัวน้อยกว่ายี่สิบตัวเข้าแถวรอถูกจับแขวนบนต้นไม้จะเป็นอย่างไร?


ตอนนั้นเขากับเสือขาวหนานกงซีตัวอ้วน ก้นทั้งสองไม่รู้ถูกเตะไปเท่าไหร่ เจ้าปีศาจร้ายตนนี้…ไม่ใช่! เทพเซียนบรรพกาลที่มีพลังไร้ขอบเขตจนผู้คนในสวรรค์ชั้นสามสิบเก้าได้ยินชื่อแล้วอกสั่นขวัญแขวนผู้นี้ เขาจะไม่รับรู้ถึงความเก่งกาจของอีกฝ่ายได้อย่างไร?


ลู่ยาเต้าจู่เป็นอาจารย์ปู่ของเด็กตรงหน้านี่?


เขาก็รับศิษย์ด้วย?


ไม่ไม่ นี่ไม่สำคัญ ที่สำคัญคือทำไมเขารู้สึกว่าเจ้าคนนี้กับตัวลู่ยาคล้ายคลึงกันหลายส่วน?


ราชาจิ้งจอกจ้องซ้ายขวาด้วยแววตาสงสัย สามแสนปีก่อนลู่ยาย้ายไปอยู่วังชิงเสวียน ห่างจากวังจิ่วหลีไปหลายหมื่นลี้ ยิ่งไปกว่านั้น หลายปีมานี้โลกมนุษย์ค่อยๆ อุดมสมบูรณ์ เขาไม่ได้อยู่บนสวรรค์เท่าไหร่นัก ดังนั้นคำนวณดูก็เป็นหลายหมื่นปีแล้วที่ไม่ได้พบกัน แต่โครงร่างของลู่ยาเขากลับจำได้ขึ้นใจ ที่จริงเทพเซียนที่หล่อเหลาและโหดร้ายในเวลาเดียวกันอย่างนั้นก็มีไม่มากนัก


แต่ภายนอกเหมือนก็แล้วไปเถอะ สำคัญคือบุคลิกลักษณะ!


เจ้าคนทรามที่ทำอะไรให้ตัวเองสบายใจก็พอนั่น!


พูดถึงตรงนี้เขาก็มองลู่ยาอย่างประหม่า


ทว่าเขาเห็นคนผู้นี้ไม่มองมาทางเขาเลยตั้งแต่ต้น แต่เอามือไพล่หลังสำรวจวังไปรอบๆ อย่างสนใจ ไม่ต่างอะไรกับพวกบ้านนอกที่เข้ามาหาเขาที่นี่เลยแม้แต่น้อย ดูแล้วไม่เหมือนหนึ่งในสี่ผู้ยิ่งใหญ่ที่นั่งปกครองสวรรค์ชั้นสามสิบเก้า…


หรือเขาจะคิดมากไปเอง?

 

 

 


ตอนที่ 72

 

ดูดีก็ไร้ประโยชน์

โดย

Ink Stone_Romance

คงจะใช่


หากเป็นลู่ยาจริง ฝ่ายนั้นจะต้องทายออกแต่แรกว่าเขากำลังด่าอยู่ในใจ และหากรู้ว่ามีคนกล้าด่าว่าเป็นคนทราม ลู่ยาต้องไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น นำคนนั้นมาหั่นครึ่งก่อนค่อยว่ากัน!


ดังนั้นใจของเขาจึงสงบลง มองดูท่าทางสบายๆ ของคนหนุ่ม ยิ่งมั่นใจขึ้นหน่อยว่าไม่น่าใช่ตัวลู่ยา


จากนั้นจึงกลับไปนั่งที่บัลลังก์ ทำใจให้หนักแน่นขึ้น


เพิ่งคิดขึ้นได้ว่าควรจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับมู่หรงเส่าชิง ด้านนอกประตูพลันมีคนกลุ่มหนึ่งเข้ามา คนเสื้อฟ้าที่นำหน้าคือมู่หรงเสวี่ยจีลูกสาวคนที่สองของเขา เสวี่ยจีเข้ามาพลางรีบร้อนพูด “ท่านพ่อ! พี่รองกลับมาแล้ว!”


แต่เดิมมู่จิ่วยังคิดจะเข้าใจให้กระจ่างว่าระหว่างลู่ยากับราชาจิ้งจอกทายปริศนาอะไรกัน ไหนเลยจะรู้ว่าคนที่เดินตามหลังมู่หรงเสวี่ยจีเข้ามาด้วยท่าทางโกรธขึ้ง คือมู่หรงเส่าชิงที่เพิ่งพ่ายแพ้ใต้เงื้อมมือนางและลู่ยา!


เพียงมู่หรงเส่าชิงเข้ามา ไม่กล่าวทักทายแก่คนหมู่มาก ดวงตาทั้งคู่จ้องมองมู่จิ่วอย่างเคียดแค้น จากนั้นไม่พูดพร่ำทำเพลง ออกกระบวนท่ามุ่งไปทางลู่ยา!


ถึงแม้ลู่ยาจะยืนอย่างสบายๆ ที่ด้านข้าง แต่ราวกับเตรียมป้องกันการโจมตีอย่างฉับพลันนานแล้ว ดังนั้นมู่หรงเส่าชิงโจมตีมา เขาก็ตอบโต้กลับไปทันที


วังอันงดงามตระการตากลายเป็นสนามรบของคนทั้งสองทันที มู่หรงเส่าชิงทุ่มเทกำลังทั้งหมดเข้าโรมรันลู่ยา ลู่ยาไม่ได้ถอยร่นไป กลับทำลายไข่มุกราตรีสองเม็ดที่ด้านหลังเขาจนเป็นผุยผง!


นี่เป็นไข่มุกที่เพาะเลี้ยงจากหอยอายุเป็นหมื่นปีในทะเลตะวันออก…


ในที่สุดราชาจิ้งจอกก็ทนไม่ได้ ตบโต๊ะ “หยุดมือ!”


ลู่ยาถอยออกมาก่อน หมุนตัวอยู่กลางอากาศ ร่อนลงพื้นอย่างโดดเด่นสง่างามตรงผ้าม่าน กระแสลมทำให้เสื้อเบาบางของเขาขยับเคลื่อนไหว ภายใต้แสงของไข่มุก ดูไปแล้วก็มีกลิ่นอายของความสันโดษไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องทางโลกอยู่หลายส่วน


มู่หรงเสวี่ยจีที่ห่างออกไปสามก้าวมองเขา สายตาเรืองรองอย่างประหลาด…


แน่นอนว่าองค์ชายสองมู่หรงท่วงท่าไม่เลว ตอนราชาจิ้งจอกส่งเสียงเขากำลังออกกระบวนท่า ไปได้ครึ่งทางเท้าซ้ายของเขาก็ถีบเสาทองอย่างรุนแรง เด้งกลับมาเหมือนกับงูสีเงิน ก่อนร่องลงที่เบื้องหน้าราชาจิ้งจอก ผมสีเงินทั้งศีรษะยังคงพริ้วไหวตามพลังลมปราณ ควบคู่กับนัยน์ตาหงส์คู่นั้นที่ผุดความเย็นเยียบขึ้น มู่จิ่วไม่อาจไม่ยอมรับ จิ้งจอกเงินผู้นี้เป็นหนุ่มรูปงามมีเสน่ห์อย่างแท้จริง


เพียงแต่ขณะจ้องมองอย่างตั้งใจ ครรลองสายตากลับถูกคนบดบัง เงยหน้าขึ้น ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ลู่ยามาหยุดอยู่ข้างหน้า สายตากวาดมองใบหน้านางอย่างเย็นชา จากนั้นจึงหมุนไปเผชิญหน้ากับราชาจิ้งจอก


“ท่านพ่อ! สองคนนี้เป็นสุนัขรับใช้ของลัทธิฉ่าน อาศัยการทำคดีมาลอบทำร้ายแทนลัทธินั่น! เมื่อครู่พวกเขาลอบทำร้ายข้า ขอให้ท่านพ่อมอบให้ลูกจัดการ!”


ในใจมู่จิ่วกำลังร่ำร้อง!


พ่อคนนี้เป็นโรคหวาดระแวงกระมัง? มาลอบทำร้ายแทนลัทธิฉ่าน? เกรงว่าทุกวันนี้ชื่อของนางยังอยู่บนบัญชีดำของวิมานหลีเฮิ่นอยู่เลย นางมาลอบทำร้ายแทนพวกเขาเพื่อหาเรื่องใส่ตัวหรือ?


คิดจะใส่ร้ายก็อ้างเหตุมั่วซั่ว!


หน้าตาดีเสียเปล่า!


“องค์ชายสองใส่ร้ายป้ายสีคนรึ? เมื่อครู่ตอนที่พวกเรามาก็ไม่ได้ไปหาเรื่องเจ้าตั้งแต่ต้น เป็นเจ้าเองที่มุ่งเข้ามาลงมือกับพวกเรา! พวกเรารีบร้อนไปเข้าพบราชาจิ้งจอก จึงทำได้เพียงหยุดเจ้า หรือนี่จะกลายเป็นการลอบทำร้ายเจ้าไปแล้ว? เจ้าไม่ได้ทำมาจากเต้าหู้ พวกเราคนตัวเล็กๆ จะลอบทำร้ายได้อย่างไร?”


มู่หรงเส่าชิงถลึงตามา “อย่างไรเรื่องที่ข้าโดนพวกเจ้าลอบทำร้ายก็เป็นเรื่องจริง!”


“อย่าโวยวาย!” ราชาจิ้งจอกโบกมืออย่างรำคาญใจ “แท้จริงเรื่องเป็นอย่างไร?”


ด้านข้างมีพลอารักขาหมาป่าขึ้นมาข้างหน้า เล่าเรื่องที่เกิดขึ้น


ราชาจิ้งจอกฟังจบก็ขมวดคิ้ว มองมาทางพวกมู่จิ่ว “พูดแบบนี้พวกเจ้าก็ลอบทำร้ายลูกข้าจริง?”


นี่คือคำพูดใดกัน?


มู่จิ่วพูด “ราชาจิ้งจอกไม่ควรเชื่อหรือฟังด้วยใจโอนเอียง หรือท่านเชื่อว่าลูกชายของท่านสู้ไม่ได้แม้แต่พวกเรา? เห็นได้ชัดว่าเขาตั้งใจพ่ายแพ้ภายใต้เงื้อมมือของเรา จากนั้นก็มาป้ายสี!”


ในเมื่อพูดส่งเดชกลับดำเป็นขาวแล้ว เช่นนั้นก็มาทำด้วยกัน!


“เหลวไหล!” มู่หรงเส่าชิงเดินเข้ามา จ้องนางจากที่สูงกว่า นัยน์ตาสีเทาเข้มเต็มไปด้วยอันตราย “ข้าองค์ชายแห่งเผ่าพันธุ์จิ้งจอกที่ยิ่งใหญ่ จะลงมือกับเจ้าหน้าที่จากสวรรค์ก่อนได้อย่างไร? ข้าได้ยินว่าพวกเจ้ามา จึงตั้งใจไปรอรับล่วงหน้า ไหนเลยจะรู้ว่าพวกเจ้าเปิดปาก ก็กล่าวหาพวกเราเผ่าจิ้งจอกสังหารผู้บริสุทธิ์ ข้าเพียงแค่แก้ต่างไปสองประโยค พวกเจ้ากลับลงไม้ลงมือกับข้า!”


“หากไม่เป็นเพราะเสวี่ยจีช่วยข้าไว้ เกรงว่าข้าคงยังนอนนิ่งโดนหนอนแมลงกัดอยู่บนพื้น!”


พูดไปพูดมาเขาก็ข่มมาที่มู่จิ่ว เรือนร่างสูงใหญ่ดุจเขาไท่ซานกดลงมาบนศีรษะ มู่จิ่วก็แสดงอาการถูกกดดันอย่างเด่นชัด


แต่วินาทีถัดมานางถูกดึงออกไป ลู่ยาเข้ามาแทนที่ ซ่อนนางไว้ข้างหลัง เปิดปากพูดว่า “องค์ชายสองพูดจาน่าสนใจนัก ที่แท้พวกเราลงมือลอบทำร้ายท่านอย่างไร้เหตุผลได้ด้วย”


มู่จิ่วจับเสื้อเขาไว้แน่น โผล่ศีรษะออกมาจากด้านหลังเขาพลางจ้องมู่หรงเส่าชิง “องค์ชายต้องพูดไปตามมโนธรรม!”


เจ้าจิ้งจอกสมควรตายเล่นอะไรอยู่กันแน่? เปิดตาทั้งคู่ขึ้นมาก็เปลี่ยนดำเป็นขาวแบบนี้?! ตกลงใครลงมือก่อน สวรรค์จับตาดูอยู่ ต่อไปเขาต้องได้รับทัณฑ์อสุนีบาตแน่!


“หรือคนอย่างข้ายังต้องสร้างเรื่องโกหกเพื่อจัดการกับพวกเจ้า?”


มู่หรงเส่าชิงกัดฟันแน่น มองตรงไปข้างหน้า จากนั้นหมุนตัวเดินไปตรงหน้าราชาจิ้งจอก “ท่านพ่อ น้องสี่ก็ได้สูญเสียจิตต้นกำเนิดไปแล้ว วันนี้พวกเขายังกลั่นแกล้งลูกอีก นี่มิใช่ปัญหาเรื่องคุกคามหรือไม่คุกคามแล้ว พวกเขามาเพื่อทำลายเผ่าพันธุ์พวกเราให้สิ้นซาก! ขอให้ท่านพ่อส่งสองคนนี้มาให้ข้าด้วย!”


มู่จิ่วโกรธจนอยากกระอักเลือด


ลู่ยาพูด “ถ้าเช่นนั้นไม่ทราบว่าองค์ชายสองคิดจะจัดการกับพวกเราอย่างไร?”


มู่หรงเส่าชิงจ้องเขา “พวกเจ้ากระทำผิดภายในอาณาเขตชิงชิวของข้า และยังไม่เคารพสมาชิกราชวงศ์ ตามกฎของพวกเราต้องถูกจองจำสามเดือน!”


“อะไรนะ?!” มู่จิ่วคิดว่าฟังผิด


สามเดือน?! หลิวจวิ้นจำกัดเวลาการทำคดีของนางอยู่แค่สามเดือน หากถูกขังอยู่ที่นี่สามเดือนนางยังจะทำคดีอะไรได้อีก!


“จะได้อย่างไร?” ลู่ยาแบมือพูด “พวกเราเพียงแค่ใจร้อนพลาดพลั้งทำร้ายองค์ชายสองโดยไม่ได้ตั้งใจ แท้จริงแล้วไม่อาจนับว่าทำให้บาดเจ็บด้วยซ้ำ ถึงแม้พวกท่านจะเป็นเผ่าเทพ ก็ไม่อาจทำส่งเดชแบบนี้ และพวกเราเป็นเจ้าหน้าที่สวรรค์ หากพวกท่านกักขังกันอย่างไม่มีสาเหตุ ภายภาคหน้าจะทำให้เกิดเรื่องยุ่งยาก! ชิงชิวภายใต้การปกครองของราชาจิ้งจอกสงบสุข สันนิษฐานว่าองค์ราชาต้องจัดการเรื่องอย่างแยกแยะเหตุผลเป็นแน่”


แต่เดิมราชาจิ้งจอกได้ยินว่าลูกชายตนถูกเจ้าสองคนตรงหน้าสั่งสอน ในใจก็รู้สึกโกรธอย่างมาก ที่จริงก่อนหน้านี้ไม่นานเขาก็เพิ่งสูญเสียบุตรชายตัวน้อยที่รักที่สุดไป แต่คำพูดของลู่ยามีเหตุผลมาก การที่เขาปิดประตูทำให้สวรรค์โกรธเคืองได้ แต่ถ้าเขากักขังคนจริง เช่นนั้นก็คงยุ่งยากไม่น้อย


แต่ปล่อยพวกนั้นไปแบบนี้ใจเขาก็ไม่ยินยอม อย่างไรพวกตนก็เป็นเผ่าพันธุ์เทพโบราณอันสูงส่ง!


หากเรื่องที่องค์ชายสองถูกเจ้าหน้าที่สองคนจัดการแพร่งพรายออกไป จะเป็นการเสียหน้าพวกเขาอย่างมาก!


และเส่าชิงยังไม่แต่งภรรยาเลย!


“ท่านพ่อ” ตอนนี้เอง มู่หรงเสวี่ยจีที่ไม่ได้พูดมาตลอดพลันเดินตรงหน้าเขา ประคองแขนของเขาพลางพูด “พวกเราเผ่าจิ้งจอกแต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยได้รับความอับอายขนาดนี้มาก่อน ตามความเห็นข้า มิสู้ส่งพวกเขาให้พี่รองเสีย เพียงแต่ว่าไม่จำเป็นต้องขังนานถึงสามเดือน แค่ครึ่งเดือน ถ้าพวกเขายอมอ่อนข้อแล้ว พวกเราก็ปล่อยไป หากไม่ยอมอ่อนข้อ ค่อยหารือกันอีกที”

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)