ลำนำบุปผาพิษ 649-656

บทที่ 649 ครั้งนี้ถูกตบหน้าเข้าอย่างจังแล้ว…


ทราบว่าเขายังคงลึกลับเหมือนเคย หลายเดือนมานี้เคยปรากฏตัวที่อาณาจักรเฟยซิงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น นั้นก็คือสองเดือนที่แล้ว


ได้ยินว่าการปรากฏตัวครั้งนั้นเป็นเพราะเกิดเหตุขัดแย้งกับทูตสวรรค์ฝ่ายขวาเทียนจี้เยวี่ย ต่อสู้กันอย่างดุเดือดสะเทือนเลือนลั่น กล่าวกันว่าทั้งสองคนต่างฝ่ายต่างไม่พอใจกันและกัน เทียนจี้เยวี่ยบาดเจ็บสาหัส จึงปิดประตูไม่รับแขกอีก


ได้ยินว่าตี้ฝูอีก็บาดเจ็บเหมือนกัน พักฟื้นอยู่ในวังค้ำนภา ไม่โผล่ออกมาเลย


วินาทีที่ได้ยินว่าเขาบาดเจ็บ กู้ซีจิ่วรู้สึกหัวใจตนหวั่นวิตกอย่างที่หาได้ยาก มีวูบหนึ่งที่นึกอยากจะไปเยี่ยมเขาสักครั้ง


เพียงแต่ขยามที่เธอกำลังพิจารณาอยู่ว่าควรเปลี่ยนความคิดชั่ววูบนี้ให้กลายเป็นความจริงหรือไม่ จู่ๆ มู่เฟิงผู้คุ้มกันของตี้ฝูอีก็มาเยือน กล่าวว่าได้รับคำสั่งจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายให้มาเชิญอวิ๋นชิงหลัวไปด้วยกัน


ตอนที่มู่เฟิงมากู้ซีจิ่วกำลังศึกษากลยุทธ์กับเชียนหลิงอวี่และหลานไว่หูอยู่ในห้องฝึกยุทธ์ จึงไม่รู้ไม่เห็น รอจนถึงยามที่เธอได้ยินข่าวนี้ อวิ๋นชิงหลัวก็ตามผู้คุ้มกันมู่เฟิงจากไปได้หลายชั่วยามแล้ว


หลายเดือนมานี้อวิ๋นชิงหลัวฟื้นฟูได้ดีมาก วรยุทธ์ส่วนใหญ่ก็ฟื้นฟูกลับมาเก้าในสิบส่วนแล้ว ยามที่ต้องออกเดินทางกะทันหันนางก็ยังบอกลาสหายร่วมสำนักอีกหลายคนได้…


ตอนที่กู้ซีจิ่วออกมาก็พบเหล่าสหายร่วมสำนักกำลังพูดคุยเรื่องนี้กันอย่างคึกคัก


หัวข้อสนทนาก็คือท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายปฏิบัติต่อสานุศิษย์สวรรค์แตกต่างจากผู้อื่นจริงๆ ผู้ที่มีฐานะเท่าเทียมกันช่างเหมาะสมคู่ควรกันโดยแท้


บางคนถึงกับดึงข่าวลือเรื่องชู้สาวของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกับอวิ๋นชิงหลัวที่ร่ำลือกันเมื่อปีนั้นมา กล่าวท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายน่าจะชอบพอกับอวิ๋นชิงหลัว เพียงแต่เป็นเพราะมีสัญญาหมั้นหมายกับกู้ซีจิ่ว จึงไม่แสดงออกมากนัก


แต่ตอนนี้เขาไม่มีสัญญาหมั้นหมายกับกู้ซีจิ่วแล้ว ไม่แน่หนนี้เขาอาจจะทุ่มเทสุดกำลังเพื่อไช่ตามอวิ๋นชิงหลัว…


บ้างก็กล่าวคาดเดาไปทางที่ดี บอกว่าไม่แน่เมื่ออวิ๋นชิงหลัวกลับมาอาจจะกลายเป็นฮูหยินของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไปแล้วเป็นต้น


ยามนั้นฝูงชนซุบซิบกันอย่างคึกคักเร่าร้อน กู้ซีจิ่วก็ถูกลากเข้าไปเอี่ยวอยู่หลายหนเพราะสัญญาหมั้นหมายนั้น


บ้างก็นำข่าวที่ไม่ทราบว่าไปรู้มาจาช่องทางใดบอกว่ากู้ซีจิ่วเคยทะเลาะเบาะแว้งกับอวิ๋นชิงหลัวเพราะเรื่องท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ทราบมาว่าระหว่างที่ทะเลาะกันกู้ซีจิ่ว ‘พูดจาไร้ยางอาย’ กับอวิ๋นชิงหลัวที่ต่อสู้อย่างเป็นชอบธรรม…


ด้วยเหตุนี้ฝูงชนต่างก็รู้สึกว่าครั้งนี้กู้ซีจิ่วถูกตบหน้าเข้าอย่างจังแล้ว…


ช่วงนี้กู้ซีจิ่วแสดงความโดดเด่นในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์มากจริงๆ!


ถึงแม้จะได้สหายมาไม่น้อย แต่ก็กระตุ้นความริษยาของคนบางส่วนขึ้นมาเช่นกัน


ไม้เด่นเกินไพรลมพัดหักโค่น วิหคยื่นคอย่อมถูกเล็งยิง ดังนั้นข่าวลือแง่ลบที่เกี่ยวกับเธอจึงถูกขุดขึ้นมา แถมยังมีคนบางส่วนคอยเล่าลือกันอย่างออกรส หัวเราเยาะลับหลัง


แน่นอน เนื่องจากตอนนี้เธอมีเพื่อนฝูงมากมายแล้ว คนที่นินทาเธอพวกนั้นเลยไม่กล้าแสดงออกโจ่งแจ้งนัก วาจายามที่พูดคุยกันยังคงสำรวม ค่อนข้างอ่อนโยน บางคนถึงขั้นทอดถอนใจแทนเธออยู่หลายครา…


กู้ซีจิ่วไม่สนใจข่าวซุบซิบนินทาเลย ดังนั้นจึงไม่เก็บถ้อยคำที่พูดกันลับหลังมาใส่ใจเลยสักนิด


แต่ก็ไม่ทราบว่าข่าวลือเกิดอะไรขึ้นกับข่าวลือพวกนั้น พอแพร่ไปถึงหูจองเชียนหลิงอวี่ ผลคือเจ้าเด็กนี่มีอาการหวาดหวั่นราวกับจะเหยียบถูกกับระเบิดก็มิปาน พูดจาปลอบใจเธอเป็นนัยๆ ทำให้เธอเผลอถีบเขากระเด็นไปหลายหน…


ส่วนเรื่องราวระหว่างทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกับอวิ๋นชิงหลัว เธอไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ขึ้นชื่อว่าข่าวลือ ย่อมสามารถกลับขาวให้เป็นดำ กลับดำให้เป็นข่าวได้ ความน่าเชื่อถือต่ำเกินไป!


เพียงแต่เธอก็ยังย้อนคิดถึงทุกสิ่งที่ตนเคยพบเห็นอยู่บ้าง ท่าทีที่ตี้ฝูอีปฏิบัติต่ออวิ๋นชิงหลัว คล้ายกับเห็นนางเป็นสหายจริงๆ…


เขาบาดเจ็บมาครึ่งเดือนแล้วยังส่งคนมาพาอวิ๋นชิงหลัวไปเยี่ยมโดยเฉพาะ ข้อนี้ประประหลาดอยู่บ้างจริงๆ


กู้ซีจิ่วเคยไปพักที่วังค้ำนภามาแล้ว ทราบว่าในนั้นไม่ขาดแคลนบ่าวหญิง ดังนั้นข้างกายตี้ฝูอีก็ไม่น่าจะขาดคนดูแล


————————————————————————————-


บทที่ 650 ซีจิ่ว ไม่ได้พบกันเสียนาน


ต่อให้เขาถูกคนซ้อมจนเป็นอัมพาฒ คนที่อยู่ข้างกายเหล่านั้นก็สามารถดูแลได้เป็นอย่างดี


เช่นนั้นเขารับตัวอวิ๋นชิงหลัวไปทำอะไร?


ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกระทำการใดมักทำให้ผู้คนรู้สึกฉงนอยู่เสมอ ดังนั้นคำถามนี้จึงถูกลิขิตไว้แล้วว่ามิอาจคลี่คลายได้


แต่กู้ซีจิ่วก็ละทิ้งความคิดที่จะไปเยี่ยมเยือนเขาแล้ว วิถีชีวิตเธอควรเป็นอย่างไรก็ยังคงเป็นเช่นนั้น เล่าเรียน ประลองยุทธ์ ค้นคว้ากลยุทธ์ หลอมยาบ้างเป็นครั้งคราว ดำเนินวิถีชีวิตอย่างเรียบง่ายเสรีเช่นนี้เหมือนครึ่งเดือนที่ผ่านมา


อวิ๋นชิงหลัวกลับมาแล้ว


นางหายไปกว่าหนึ่งเดือน ในที่สุดก็กลับมาแล้ว แถมยังถูกส่งกลับมาโดยทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายด้วย


กู้ซีจิ่วรู้สึกว่าตนคงจะมีเวรมีกรรมกับสองคนนี้จริงๆ เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ แต่กลับประสบพบเจอกันอยู่ร่ำไป


วันที่อวิ๋นชิงหลัวกลับมาเป็นวันที่อากาศแจ่มใส วันนั้นกู้ซีจิ่วเพิ่งจะออกมาจากห้องฝึกยุทธ์ ก็มองเห็นเรือลำหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างโดดเด่นบนท้องนภา


ใต้หล้านี้กู้ซีจิ่วรู้จักคนผู้เดียวที่สามารถล่องเรือกลางเวหาได้ นั่นก็คือตี้ฝูอี


ดังนั้นวินาทีที่เธอมองเห็นเรือลำนั้นฝีเท้าก็ชะงักทันที หยุดนิ่งไป


แน่นอน เรือลำนั้นปรากฏขึ้นอย่างโดดเด่นยิ่ง สหายร่วมสำนักคนอื่นก็หยุดฝีเท้าเช่นกัน พากันแหงนหน้ามอง


ต่อมาเรือลำนั้นก็มุ่งตรงไปที่เหนือลานกว้างผืนใหญ่ หยุดนิ่งที่ระดับความสูงหลายสิบเมตรจากพื้นดิน จากนั้นอวิ๋นชิงหลัวก็เหินลงมาจากเรือดั่งเทพธิดาจำแลง


อวิ๋นชิงหลัวงดงามนัก ทำให้วันนั้นงดงามยิ่งขึ้น


นางสวมชุดกระโปรงสีฟ้า ยามที่ร่อนลงมาพลิ้วไหวปานโบยบินออกมาจากภาพน้ำหมึก งดงามจนทำให้คนหยุดหายใจได้


ชมชอบสิ่งสวยงามเป็นสัญชาตญาณตามธรรมชาติของมนุษย์ เมื่อมองเห็นคนงานไม่ว่าชายหรือหญิงล้วนอดไม่ได้ที่จะมองซ้ำอีกหลายครา ดังนั้นยามที่อวิ๋นชิงหลัวเหินลงมาจากฟ้าวันนั้นไม่ทราบว่าทำให้สายตาคนตกตะลึงไปมากน้อยเพียงใด


ตามปกติแล้วอวิ๋นชิงหลัวมักจะทะนงในรูปโฉมตน เกรงว่าแต้มชาดแล้วจะฉูดฉาดเลอะเทอะ ส่วนใหญ่จะวาดคิ้วบางๆ แต่งแต้มให้เป็นธรรมชาติ


แต่วันนั้นนางแต่งกายอย่างพิถีพิถัน บนหน้าผัดสีชมพูอ่อนๆ ริมฝีปากแต้มชาดแดงระเรื่อ ขับให้ผิวนางดูขาวผุดผ่องยิ่งขึ้น ดวงตาใสกระจ่างดุจวารี


หลังจากนางร่อนถึงพื้นก็ค้อมกายคำนับไปยังทิศทางของเรือ “ขอบคุณท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ่งนัก”


เรือมิได้ร่อนสู่พื้น และไม่มีผู้ใดลงมาอีก มีเพียงเสียงใสเสนาะเสียงหนึ่งแว่วมากับสายลม “ไม่ต้องเกรงใจ”


แล้วเรือลำนั้นก็แล่นจากไป เพียงพริบตาเดียวก็หายลับไปในทะเลเมฆาอันกว้างใหญ่


เดิมทีฝูงชนยังนึกว่าจะได้เห็นท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้น่าอัศจรรย์คนนั้น นึกไม่ถึงว่าผู้อื่นกลับไม่ลงมาเลย


เรือลำนั้นหยุดอยู่สูงเกินไป แถมบนเรือยังมีประทุนเรือผ้าลูกไม้คลุมไว้อีก นอกเหนือจากผู้คุ้มกันทั้งสี่ที่ควบคุมเรือแล้ว ฝูงชนก็มองไม่เห็นแม้กระทั่งเสี้ยวมุมชุดของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย


อวิ๋นชิงหลัวยิ้มบางๆ อยู่ตลอด มิได้กล่าวอันใด เก็บงำเรื่องราวหนึ่งเดือนนี้ไว้ไม่เอื้อนเอ่ย เพียงถอนหายใจแล้วเอ่ยออกมาประโยคเดียว “หนึ่งเดือนมานี้..เหนื่อยเหลือเกิน…”


ดูเหมือนประโยคเดียวนี้จะสามารถขยายความหมายไปได้มากมาย และทำให้ผู้คนขบคิดสารพัดได้ง่ายดายยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นคือหลังจากอวิ๋นชิงหลัวร่อนถึงพื้นก็ดูเหมือนแข้งขาจะไม่ค่อยคล่องแคล่วนัก ยิ่งดึงดูดให้ผู้คนคาดเดากันเรื่อย


ดังนั้นทุกคนจึงสบตากันอย่างรู้อยู่แก่ใจ ผู้ที่ค่อนข้างอยากรู้อยากเห็นอย่างหนักก็คิดจะขุดคุ้ยเรื่องซุบซิบให้มากกว่านี้หน่อย จึงเลียบๆ เคียงๆ ถาม แต่อวิ๋นชิงหลัวกลับไม่ยอมพูดอะไรเลย เพียงแต่แย้มยิ้มเท่านั้น


สายตาของนางเฉียบคมยิ่ง มองลอดฝูงชนที่รายล้อมอยู่ไปเห็นกู้ซีจิ่วที่กำลังเตรียมจะจากไปอยู่ไม่ไกล…


ด้วยเหตุนี้นางจึงออกมาจากฝูงชนแล้วก้าวเข้าไปหา ทักทายกู้ซีจิ่วยิ้มๆ “ซีจิ่ว ไม่ได้พบกันเสียนาน”


ถึงแม้น้ำเสียงจะแอบแหบแห้งอยู่เล็กน้อย แต่ก็แฝงความเบิกบานไว้


กู้ซีจิ่วรู้สึกเหมือนนางต้องการจะข่มตน หรือไม่ก็ต้องการจะโอ้อวดเธอ

 

 

 


ตอนที่ 651-652

 

บทที่ 651 + 652

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 651 อารมณ์ชั่ววูบคือมารร้าย! เฮ้อ


กู้ซีจิ่วคร้านจะวิเคราะห์อารมณ์นาง อีกอย่างด้วยความสัมพันธ์ของเธอกับนาง ดูเหมือนจะได้มิได้อยู่ในสถานะสนิทชิดเชื้อกันปานนี้ ดังนั้นเธอจึงพยักหน้าให้อวิ๋นชิงหลัวเท่านั้น แล้วหันหลังจากไป


ระหว่างทางได้รับสายตามากมายบ้างก็เห็นใจบ้างก็ยิ้มเยาะ


แม้แต่หลานไว่หูที่ร่าเริงอยู่เสมอก็เงียบลงไม่น้อย เวลาที่พูดคุยกับเธอก็ระมัดระวังยิ่ง มองสีหน้าของเธอเป็นพักๆ


ส่วนเชียนหลิงอวี่เสมือนหีบเสียงที่ถูกเปิดออก พูดพร่ำอยู่ข้างกายเธอไม่หยุดปานพระถังซัมจั๋ง พูดเป็นต่อยหอย ไม่มีช่วงที่เงียบเลย


ไม่รู้ว่าเขาไปได้ยินเรื่องเล่าขำขันอันใดมากจากไหน หลายวันมานี้ขอเพียงเขาอยู่ด้วย ก็จะเจื้อยแจ้วให้เธอฟังอยู่ตลอด แถมเรื่องส่วนใหญ่ที่เล่ายังเป็นเรื่องราวความรักที่พลัดพรากจากแยก พอเล่ามาถึงตอนจบก็จะสรุปความทำนองว่า ‘แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา ไยต้องอาวรณ์หาบุปผาเพียงดวอกเดียว’ ทำให้กู้ซีจิ่วอับจนวาจายิ่งนัก


สุดท้ายกู้ซีจิ่วทนบทสวดของเขาไม่ไหวแล้วจริงๆ เอ่ยถามเขาตรงๆ “เจ้าคิดว่าข้าช้ำรักหรือ ดังนั้นจึงต้องการคำปลอบโยนจากเจ้าใช่หรือไม่? ข้าขอบอกเจ้าเลยนะ ข้าไม่ได้เป็นอะไรจริงๆ ข้ากับท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นั้นไม่ได้มีอะไรจริงๆ เจ้าอย่ามาเจื้อยแจ้วอยู่ข้างกายข้าได้หรือไม่?”


ผลคือเด็กหนุ่มผู้นี้เงียบไปพักหนึ่ง ตอบอย่างระมัดระวังยิ่ง “ได้ ข้าไม่พูดแล้ว ไม่เอ่ยแล้ว ต่อไปจะไม่เอ่ยถึงอีก”


ในที่สุดกู้ซีจิ่วก็โล่งใจแล้ว รู้สึกว่าในที่สุดก็สงบหูได้เสียที ในที่สุดเจ้าเด็กคนนี้ก็รู้แจ้งแล้ว


กลับนึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญได้ยินเชียนหลิงอวี่เอ่ยกำชับหลานไว่หูเข้า “ต่อไปอย่าเอ่ยถึงท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายอีกนะ แม้แต่ว้ายขวาก็พยายามอย่าเอ่ยถึง ต่อไปพวกเราจะใช้เลขหนึ่งเลขสองแทนสองทิศทางนี้ หนึ่งคือซ้าย สองคือขวา…”


กู้ซีจิ่วแทบกระอัก!


อันที่จริงการอกหักไม่ได้น่ากลัวเลย แต่ที่น่ากลัวก็คือการที่คนทั้งโลกคิดว่าคุณอกหัก!


เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าท่าทีของกู้ซีจิ่วปกติดีทุกอย่าง แต่ในสายตาของผู้ที่ห่วงใยเป็นกำลังฝืนทำเป้นเข้มแข็ง


สามเดือนที่ผ่านมากลุ่มของเธอประลองกับชั้นเรียนศิษย์ใหม่ในชั้นเมฆาม่วงไปนับไม่ถ้วน ชนะมากหนแพ้น้อยครั้ง สถิติการสู้ยอดเยี่ยมนัก


แต่หลังจากมีเรื่องของอวิ๋นชิงหลัวออกมา ไม่ว่าเธอแพ้หรือชนะก็จะถูกตีความไปต่างๆ นาๆ


ยามชนะจะกล่าวว่าเธอเปลี่ยนความโศกเศร้าเป็นแรงต่อสู้ ตั้งใจแสดงความสามารถออกมาเป็นพิเศษ


ยามแพ้จะกล่าวว่าเธอเจ็บช้ำจนจิตฟุ้งซ่านเกินไป…


ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่ากู้ซีจิ่วจะมีท่าทีอย่างไร ในสายตาฝูงชนก็ล้วนเป็นท่าทีของคนช้ำรักทั้งสิ้น…


….


จันทร์เสี้ยวบนนภาถูกเมฆบดบังจนแสงสลัวเลือนราง กู้ซีจิ่วเงยหน้ามองจันทรา แล้วล้วงกระจกบานหนึ่งออกมาส่องใบหน้าตน ครุ่นคิดอย่างจริงจัง หน้าข้าดูเหมือนอกหักหรือไงกัน?


เธอไม่ได้รู้สึกว่าเธออกหัก มากสุดก็หดหู่นิดหน่อยเท่านั้น


ถึงอย่างไรเธอก็เคยมีความรู้สึกดีๆ ให้ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ เกือบจะได้หมั้นหมายกับเขาจริงๆ แล้วด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงตอนนี้ ถ้าเธอบอกว่าไม่ผิดหวังเลยสักนิดก็โกหกแล้ว แต่ก็ยังห่างไกลจากสถานะอกหักอยู่ดี


หากกล่าวว่าเมื่อก่อนเธอเคยมีความรู้สึกเล็กน้อยต่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย แต่หลังจากผ่านเรื่องเหล่านี้ไป ความรู้สึกเล็กน้อยนั้นถูกเธอดับจนวอดไปแล้ว


เดิมทีเธอก็ไม่คิดจะแล่นมาชมจันทร์ที่นี่ แต่สองคนที่อยู่ข้างกายนั้นระมัดระวังจนเกินไปจริงๆ ทำให้เธอรู้สึกเหนื่อยใจ ดังนั้นจึงออกมารับลมสักหน่อย แล้วทบทวนตัวเองไปด้วย


ถ้ารู้ตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าจะเป็นแบบนี้ ตอนที่ทะเลาะกับอวิ๋นชิงหลัวยามนั้นเธอจะไม่พลั้งปากออกไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ


อารมณ์ชั่ววูบคือมารร้าย! เฮ้อ


โขดหินที่เธอนั่งยื่นออกมาจากริมหน้าผาครึ่งหนึ่ง คล้ายชะง่อนหินริมทะเล ถึงแม้จะอันตรายแต่ทิวทัศน์ที่มองลงไปจากตรงนี้ก็ยอดเยี่ยมมาก ใต้หน้าผานี้มีเมฆหมอกขาวลอยละล่อง ให้อารมณ์แดนสวรรค์ยิ่งนัก


————————————————————————————-


บทที่ 652 เจ้าโผล่มาจากไหนกัน?


ยามปกติกู้ซีจิ่วก็มานั่งเล่นที่นี่อยู่บ่อยครั้ง นั่งรับลม เรียบเรียงความคิด วางแผนสำหรับอนาคต


ครั้งนี้ก็เธอก็เหมือนเช่นเคย ความกลัดกลุ้มของเธอไม่สืบเนื่องยาวนานนัก นั่งอยู่เช่นนี้สักพัก ก็ถูกลมภูเขาพัดพาให้กระจัดจายไปนานแล้ว


เธอเริ่มครุ่นคิดเรื่องการประลองในอีกสามวันให้หลัง วางแผนการอยู่ในใจ


กู่ฉานโม่กล่าวว่า ขอเพียงกลุ่มของเธอเอาชนะได้อีกตา พวกเธอทั้งสามก็สามารถเข้าชั้นเรียนเมฆาม่วงห้องหนึ่งอย่างเป็นทางการได้


ห้องหนึ่งเป็นห้องพิเศษ หากเข้าที่นี่ได้ ประการแรกคือจะได้รับทรัพยากรที่ดีกว่า ประการที่สองคือเป็นโอกาสที่จะได้พิสูจน์ตัวเอง และข้อที่สำคัญที่สุดก็คือ เพื่อนทั้งสองคนในกลุ่มเธออยากเข้าชั้นเรียนนี้เป็นพิเศษ…


บังเอิญเหลือเกิน หัวหน้ากลุ่มที่ต้องสู้ด้วยในวันนั้นคืออวิ๋นชิงหลัว…


และสหายร่วมกลุ่มทั้งสองของนางก็เป็นยอดอัจฉริยะเช่นกัน พลังวิญญาณธาตุหลักล้วนบรรลุขั้นหกตอนกลางแล้ว รับมือได้ไม่ง่ายนัก


ยิ่งไปกว่านั้นคือ ปกติแล้วสามคนนี้จะไม่ค่อยประมือกับผู้อื่น ถึงขั้นที่กู้ซีจิ่วไม่เคยเห็นลูกไม้ยามที่พวกเขาจับกลุ่มประลองเลย แต่อีกฝ่ายกลับเคยเห็นฝีมายลายมือของกลุ่มกู้ซีจิ่วนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว…


รู้เขารู้เราถึงจะรบร้อยครั้งไม่พ่าย ตอนนี้อีกฝ่ายรู้ตื่นลึกหนาบางของพวกเธอแล้ว แต่เธอกลับเข้าใจอีกฝ่ายเพียงเล็กน้อย


ศึกครั้งนี้ไม่ง่ายแล้ว!


“กู้ซีจิ่ว…” จู่ๆ ก็มีเสียงแผ่วหวิวแว่วมาจากด้านหลัง


กู้ซีจิ่วที่กำลังเหม่อลอยอยู่ ถูกเขาเรียกกะทันหันจึงสะดุ้งโหยง หันไปมองตามสัญชาตญาณ เห็นเยี่ยนเฉินยืนอยู่ไม่ไกลจากด้านหลังเธอ ท่าทางค่อนข้างกังวลเล็กน้อย


น้อยนักที่จะได้เห็นสีหน้ากังวลบนหน้าของคนผู้นี้ กู้ซีจิ่วรู้สึกประหลาดใจ พลันเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าโผล่มาจากไหนกัน?”


ดวงตาคู่นั้นของเยี่ยนเฉินจ้องมองเธอ “ก่อนเจ้าเข้ามา” กล่าวพลางเดินเข้ามาด้วย


กู้ซีจิ่วนิ่งไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เข้าใจว่าเขากังวลอะไร อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เจ้าคงไม่นึกว่าข้าคิดจะกระโดดหน้าผากระมัง? ด้วยวรยุทธ์ของข้า จากความสูงระดับนี้กระโดดลงไปก้ไม่ถึงตายหรอก”


หน้าผานี้ลึกกว่าสองร้อยเมตร หากกระโดดลงไปตรงๆ กู้ซีจิ่วย่อมไม่รอด


แต่วิชาตัวเบาของเธอก็มิใช่ธรรมดา ต่อให้พลัดตกลงไป เธอก็สามารถเหยียบกิ่งไม้เลื้อยเหินทะยานขึ้นมาได้…


เยี่ยนเฉินมองเธอครู่หนึ่ง คงจะมองความไม่แยแสบนใบหน้าเธอออก จึงถอนหายใจอย่างลางอก เดินเข้ามานั่งข้างกายเธอ มองลงไปเบื้องล่างแวบหนึ่งเอ่ยขึ้นว่า “ถึงแม้ผานี้จะมิใช่ผาที่ลึกที่สุด แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าด้านล่างคืออะไร? เป็นน้ำพุร้อนสายหนึ่ง ซ้ำยังเป็นน้ำพุร้อนที่ร้อนพอจะต้มคนให้สุกได้ด้วย”


กู้ซีจิ่วตะลึง


เธอกะแอมไอคราหนึ่ง “ข้าคิดว่าด้วยความสามารถระดับข้าไม่มีทางกลิ้งตกลงไปแน่นอน”


เธอก็ทราบเช่นกันว่าน้ำพุร้อนด้านล่างสามารถต้มคนให้ตายได้ เมื่อก่อนก็เคยไปสำรวจมาแล้ว


เยี่ยนเฉินก็ทราบแล้วว่าเป็นตนที่ตื่นตูมไปเอง เขากระดากเล็กน้อย พลันเบี่ยงหัวข้อสนทนา “ดึกดื่นค่อนคืนเจ้าไม่หลับไม่นอนวิ่งมาทำอะไรที่นี่? จิ้งจอกน้อยหาเจ้าไม่เจอเลยร้องห่มร้องไห้ วางไปเคาะประตูข้า…”


กู้ซีจิ่วเหงื่อตก ถามอย่างอดไม่ได้ “ยามนางเคาะประตูเจ้าได้ทำให้คนอื่นตกใจหรือไม่?”


พรุ่งนี้คงไม่มีข่าวลือว่าตัวเธอกู้ซีจิ่วคิดไม่ตกจนคิดฆ่าตัวตายออกมากระมัง?!


เยี่ยนเฉินย่อมทราบว่าเธอกังวลอะไร ส่ายศีรษะพลางให้คำตอบ “ไม่มี ปกติแล้วยามที่นางคิดอะไรม่ออกหรือหวาดกลัวปฏิกิริยาแรกก็คือมาหาข้า หากข้าก็ไม่มีเช่นกัน นางถึงจะไปหาคนอื่น ข้าเดาว่าด้วยนิสัยหน้าหนาของเจ้าไม่เหมือนคนที่จะคิดสั้น ดังนั้นจึงบอกนางไปว่าเจ้าน่าจะไปหาที่สงบๆ สักแก่งศึกษาค้นคว้ากลยุทธ์ รับปากนางว่าจะรีบมาตามหาเจ้า นางถึงได้วางใจ”


กู้ซีจิ่วสวนกลับทันที ”…เจ้าน่ะสิหน้าหนา! บ้านเจ้านั่นแหละหน้าหนากันทั้งตระกูล!”

 

 

 


ตอนที่ 653-654

 

บทที่ 653 + 654

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 653 มารดามันเถอะ เธอไม่ได้อกหักจริงๆ โว้ยยย!


เยี่ยนเฉินนิ่งงัน


หาได้ยากนักที่เขาจะไม่ตอบโต้กลับ


เยี่ยนเฉิพูดจามากมายปานนี้ในคราวเดียวก็พบเห็นได้ยากนัก ดูเหมือนเขาจะนึกว่าเธอผิดหวังมากและต้องการปลอบใจเธอจริงๆ


จุ๊ๆ ถึงแม้ว่าคำปลอบใจนี้จะไม่ได้เรื่องเลยก็ตาม…


กู้ซีจิ่วมองเขา ตัดสินใจจะอาศัยจังหวะช่วงที่เขาใจอ่อนอย่างที่พบเห็นได้ยากนี้หลอกถามข้อมูลเล็กน้อย “ใช่แล้ว จ้ารู้บ้างไหมว่ากระบวนยุทธ์ที่กลุ่มของอวิ๋นชิงหลัวใช้มีอะไรบ้าง? แล้วเป็นธาตุอะไรกัน? มาๆ คุยกับข้าหน่อย ข้าจะใช้เรื่องนี้เบี่ยงเบนความสนใจสักหน่อย”


เยี่ยนเฉินอับจนวาจาโดยแท้ เพียงแต่รู้สึกวางใจแล้ว ดูเหมือนกู้ซีจิ่วจะวิ่งออกมาศึกษากลยุทธ์จริงๆ


เขาซื่อสัตย์เที่ยงธรรมจึงตอบไปว่า “ด้วยฐานะหนึ่งในผู้ตัดสินของการประลองในอีกสามวันให้หลัง ข้าไม่อาจเปิดเผยความลับของกลุ่มใดได้”


กู้ซีจิ่วร้องเหอะคราหนึ่ง เพียงแต่ก็ไม่เหนือไปจากความคาดหมาย เยี่ยนเฉินกระทำการใดล้วนซื่อตรง ชัดเจน ยุติธรรมยิ่งนักมาโดยตลอด มิเช่นนั้นเขาที่เป็นศิษย์คนหนึ่งคงไม่ได้รับหน้าที่เป็นกรรมการตัดสินครั้งนี้


เยี่ยนเฉินมองใบหน้าด้านข้างของนาง ใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ถอนหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น “กู้ซีจิ่ว ข้ารู้สึกว่าความจริงแล้วต่อให้เจ้าไม่อาศัยชื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ ด้วยคำสามารถของตัวเจ้าเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอจะท่องทั่วใต้หล้าอย่างยอดเยี่ยมได้แล้ว”


กู้ซีจิ่วหัวเราะเบาๆ เอ่ยตอบ “เรื่องนั้นยังต้องพูดอีกหรือ?”


อันที่จริงนอกการการอ้างชื่อท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ตอนยั่วโมโหคนแล้ว ยามอื่นล้วนเป็นการอาศัยความสามารถของตนทั้งสิ้น


นับตั้งแต่ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จากไป และหลังจากที่ทูตส่างซั่นถ่ายทอดวาจาเหล่านั้นแก่เธอ เมื่อเธออยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ไม่เคยเอ่ยถึงท่านเทพศักดิ์สิทธิ์อีกเลยสักคำ


เยี่ยนเฉินเงียบไปอีกครู่หนึ่ง สายตาที่มองกู้ซีจิ่วค่อนข้างซับซ้อนเล็กน้อย “กู้ซีจิ่ว อันที่จริงเจ้ามีเสน่ห์ดึงดูดมาก รูปโฉมดี ฝีมือล้ำเลิศ มีเอกลักษณ์ เท่าที่ข้ารู้ ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ของพวกเรามีสหายร่วมสำนักไม่น้อยที่ชื่นชอบเจ้ามาก…”


“แล้วอย่างไร?” กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว น้อยนักที่เยี่ยนเฉินจะชมเธอ แถมยังชมเสียยืดยาวเช่นนี้


“ดังนั้น…ต่อให้ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายไม่ชอบเจ้าแล้วไปชอบคนอื่น เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องเสียใจถึงเพียงนี้ เรื่องนี้…แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา…”


เวรเอ้ย! ไม่จบไม่สิ้นเสียที!


เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร แต่พอคนพวกนี้พูดเข้าๆ เธอก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะอกแตกแล้ว


หรือบนหน้าผากเธอจะแปะป้ายสตรีอกตรมไว้?


มารดามันเถอะ เธอไม่ได้อกหักจริงๆ โว้ยยย!


เมื่อกู้ซีจิ่วโกรธมากๆ ผลลัพธ์ก็ร้ายแรงมาก


เธอไม่รอให้เขาพูดจบก็พุ่งเข้ากระโดดถีบเขาให้ตกลงไป!


เยี่ยนเฉินไม่เคยนึกเลยว่าคนปลอบจะสามารถปลอบจนเกิดภัยได้เช่นกัน เด็กสาวผู้นี้ลงมือว่องไวเกินไป แถมเขายังไม่ได้ระวังเลย กว่าเขาจะมีปฏิกิริยาตอบสนอง ตัวคนก็พุ่งดิ่งปานดาวหางแล้ว…


สีหน้าเขาดำทะมึน ด้วยวรยุทธ์ของเขาต่อให้ตกจากหน้าผาก็ย่อมไม่ร่วงลงไปจริงๆ ดังนั้นพอตกลงไปได้ไม่ถึงห้าวินาที เขาก็เหินกายขึ้นมาด้านบนอีกครั้ง หลังจากร่อนลงพื้นก็พบว่ากู้ซีจิ่วยังไม่จากไป นางยังคงยืนอยู่ไม่ไกล ยิ้มละไมจ้องมองเขา


“เจ้า…เจ้าไม่ได้เคลื่อนย้ายจากไป…” เยี่ยนเฉินโกรธจัด และค่อนข้างประหลาดใจ เด็กสาวผู้นี้ไม่กลัวว่าพอเขาขึ้นมาแล้วจะเอาคืนนางหรือ?


กู้ซีจิ่วยิ้มหวาน “เยี่ยนเฉิน ขออภัยด้วย ไม่ทันระวังทำเจ้าตกลงไปเสียแล้ว”


เยี่ยนเฉินพูดไม่ออก เห็นกันอยู่ชัดๆ มิใช่หรือว่านางตั้งใจ


“เยี่ยนเฉิน จำไว้ว่าในอีกสามวันให้หลังอย่าได้ใช้เหตุนี้มาล้างแค้นกัน เอาล่ะ ลาก่อน” พลางหมุนกาย ใช้วิชาเคลื่อนย้ายจกไปทันที


เยี่ยนเฉินอดไม่ได้ที่จะยกมือนวดคลึงหว่างคิ้ว เด็กสาวผู้นี้เหลือเกินจริงๆ…


เพียงแต่ท่าทางนางกระฉับกระเฉงปานนั้น ดูมิคล้ายท่าทางของสตรีช้ำรักจริงๆ…


….


ณ เดือนเจ็ดเจ็ดค่ำตำหนักทอง ยามค่อนคืนไร้ผู้คนแว่ววาจา[1]


วันเกิดของกู้ซีจิ่วในชาติก่อนคือวันที่เจ็ดเดือนเจ็ด เพียงแต่ไม่มีผู้ใดทราบเท่านั้น


————————————————————————————-


บทที่ 654 เจ้าอย่าได้หลอกข้าเลย


วันเกิดของกู้ซีจิ่วในชาตินี้คือวันที่สิบเดือนเจ็ด ต่างกันสามวัน


ที่โลกนี้ วันที่เจ็ดเดือนเจ็ดก็เรียกเทศกาลความรักเหมือนกัน


ในวันนี้ หล่าหนุ่มสาวจะชอบออกไปเที่ยวเตร่ โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่มีคู่รักอยู่แล้ว ยิ่งชอบจูงมือกันไปเที่ยวเล่นในวันนี้


เนื่องจากศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ล้วนเป็นอัจฉริยะพลังวิญญาณขั้นหกขึ้นไปทั้งสิ้น สามารถพูดคุยเรื่องหมั้นหมายตบแต่งได้แล้ว แน่นอนว่าไม่อาจพักการเรียน และไม่อาจแต่งงานก่อนสำเร็จการศึกษาได้


แต่เรื่องความรักนั้น ทางสำนักก็จะทำเป็นหลับตาข้างหนึ่ง ลืมตาข้างหนึ่ง ขอเพียงอย่ารักกันเลยเถิดจนกำเนิดทรกน้อยออกมาก็พอ


ตกเย็นวันนี้ เยี่ยนเฉินมารับหลานไว่หูออกไป บอกว่าจะพานางไปเที่ยวเล่นที่หนึ่ง


หลายวันมานี้หลานไว่หูฝึกซ้อมอย่างหนักอยู่ตลอด ตอนนี้สามารถออกไปเล่นได้แล้วนางย่อมดีใจมาก เพียงแต่นางยังเป็นห่วงกู้ซีจิ่วอยู่บ้าง เกรงว่าเธออยู่ลำพังแล้วจะอ้างว้าง มองเธอตาแป๋ว “ซีจิ่ว เจ้าไปกับพวกเราไหม?”


ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะถูกคนทั้งสองที่อยู่เบื้องหน้ายัดเยียดอาหารสุนัข[2]ให้โดยไม่ทันตั้งตัว แต่กู้ซีจิ่วก็ไม่คิดจะไปเป็นก้างขวางคอระหว่างพวกเขา ดังนั้นเธอจึงโบกมือไล่ ให้สองคนนี้ไสหัวไปให้พ้นหน้าโดยเร็ว ซ้ำยังกำชับอีกสองคำ “กินให้อร่อย เที่ยวให้สนุก!”


เชียนหลิงอวี่ก็โบกมือลาหลานไว่หู “เจ้าวางใจแล้วไปเที่ยวเล่นเถอะ คืนนี้ข้าผู้เป็นคุณชายจะอยู่เป็นเพื่อนซีจิ่วเอง รับรองว่าจะไม่ให้นางต้องอ้างว้าง”


กล่าววาจาเช่นนี้!


กู้ซีจิ่วไม่พูดอะไร เธอเงื้อเท้าเตะเจ้าเด็กนี่ “เจ้าก็ไสหัวไปด้วย!”


เชียนหลิงอวี่อาศัยแรงลมจากลูกเตะนางตีลังกาพลิกตัวกลางอากาศ จากนั้นก็ร่อนลงพื้น “เด็กสาวหยาบคาย ข้าผู้เป็นคุณชายอยากอยู่เป็นเพื่อนเจ้าจริงๆ นะ”


“ไม่จำเป็น” กู้ซีจิ่วตอบเขาสามคำ หันหลังจากไป


“โธ่ ซีจิ่ว ซีจิ่ว วันนี้สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ไม่จำกัดการเข้าออก พวกเราไปเที่ยวเล่นที่เมืองเล็กตรงตีนเขาดีไหม? คึกคักมากเลยนะ” เชียนหลิงอวี่กระโดดโลดเต้นไล่ตามเธอมา ไม่ยอมเลิกรา


“ไม่สนใจ”


“สนุกมากจริงๆ นะ พวกเราไปด้วยกันเถอะน่า ข้าตัวคนเดียวหว้าเหว่มากเลยนะ”


“เช่นนั้นก็หาคนรักสักคนไปเป็นเพื่อนเจ้าสิ”


“หาไม่ได้ ไม่มีใครยอมไปกับข้า…”


“เจ้าอย่าได้หลอกข้าเลย เจ้านึกว่าข้าไม่รู้งั้นหรือ? ตอนนี้แม่นางน้อยที่ติดสอยห้อยตามเจ้าสามารถก่อตั้งเป็นชั้นเรียนได้แล้ว!” กู้ซีจิ่วเหยียดหยัน เปิดโปงคำโป้ปดของเขา


หลังจากพลังวิญญาณของเจ้าเด็กนี่ฟื้นฟูกลับมาประกอบกับรุกไล่บุกตะลุยอย่างห้าวหาญ ความนิยมของเขาก็พุ่งขึ้นสูง เก็บเกี่ยวแฟนคลับได้มากมาย


ไม่เพียงแต่ชั้นเรียนเมฆาคล้อยเท่านั้น ยังมีชั้นเรียนเมฆาม่วงด้วย


ทุกครั้งที่กลุ่มของตนไปประลอง แฟนคลับเหล่านี้ก็จะมาให้กำลังใจถึงสนาม


หากว่าเขายินยอม ขอเพียงกระดิกนิ้วสักหน่อย ก็มีสาวน้อยมากมายที่เต็มใจข้ามวันแห่งความรักไปกับเขาถึงหน้าประตู…


“แต่ว่าพวกนางไม่ใช่เจ้า!” เชียนหลิงอวี่พลั้งปากออกมา


กู้ซีจิ่วเลิกคิ้ว เชียนหลิงอวี่รีบแก้คำทันที “ข้าสนิทสนมคุ้นเคยกับเจ้า วันเทศกาลเช่นนี้จะไปกับคนคุ้นเคยถึงจะสนุก ไปกับพวกนางน่าเบื่อจะตาย”


กู้ซีจิ่วตบไหล่เขา กล่าวอย่างหนักแน่นจริงจัง “หนุ่มน้อย วันเทศกาลเช่นนี้เจ้าต้องไปกับคนรัก หรือไม่ก็ไปคนเดียว ถ้ารู้สึกโดดเดี่ยวจริงๆ เจ้าสามารถออกไปสังสรรค์กับสหายหนุ่มสะกกลุ่มได้”


เธอคร้านจะยุ่งยากกับเขาอีก จึงหันหลังใช้วิชาเคลื่อนย้ายจากไปทันที


….


ในวันเช่นนี้กู้ซีจิ่วย่อมไม่วางแผนว่าจะอุดอู้อยู่ในห้อง เธอขี่เพรียกวายุไปเที่ยวที่เมืองเล็กตรงตีนเขาแห่งนั้นเพียงลำพัง


ฝีเท้าเพรียกวายุว่องไวมาก ไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็ไปถึงที่นั้นแล้ว


ยามนี้เพิ่งจะพลบค่ำ ตัวเมืองก็คึกคักมากแล้ว


บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ใกล้สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์ มีสำนักคุ้มครอง เมื่องเล็กแห่งนี้จึงสงบสุขยิ่งนัก


หลายปีมานี้แม้จะมีสงครามเกินขึ้นบ้างแต่ก็ไม่ลุกลามมาถึงที่นี่ แถมสัตว์ประหลาดมารร้ายอื่นใด ก็ไม่กล้ามาก่อเรื่องที่นี่ด้วย


————————————————————————————-


[1] เป็นท่อนหนึ่งจากบทกวี ลำนำโศกนิรันดร์ ประพันธ์โดย ไป๋จวีอวี้ นักกวีราชวงศ์ถัง


[2] เป็นศัพท์แสลง หมายถึง แสดงความรักต่อหน้าคนโสด โชว์หวานให้คนโสดอิจฉา

 

 

 


ตอนที่ 655-656

 

บทที่ 655 + 656

โดย

Ink Stone_Romance

บทที่ 655 ล้วนเป็นเธอที่ไปเสนอตัวถึงหน้าประตู


อย่างไรซะสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์สุ่มส่งออกมาสักคนก็เพียงพอจะปราบพวกเขาได้แล้ว


ดังนั้นประชาชนที่นี่จึงอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุข ชีวิตค่อนข้างอุดมสมบูรณ์


ถึงแม้สิ่งปลูกสร้างของที่นี่จะเทียบกับที่เมืองหลวงไม่ได้ แต่ก็โดดเด่น กำแพงขาวหลังคาเขียวเข้าชุดกัน ชายคาสี่มุมโค้งงอน แถมบนกำลังแพงขาวยังมีภาพวาด รูปแบบเรียบง่าย มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง


ตัวเมืองถึงแม้จะเล็ก แต่ก็ครบถ้วนสมบูรณ์ มีหนทางทอดยาวไปทั่วสารทิศ บนถนนสายหลักปูด้วยศิลาเขียวมีร้านค้าตั้งเรียงราย ผู้คนขวักไขว่ กลิ่นอายรื่นเริงอบอวลนัก


นับนิ้วคำนวณดู กู้ซีจิ่วก็มาที่โลกนี้เกือบจะหนึ่งปีแล้ว ทว่าน้อยนักที่จะมีเวลาว่างผ่อนคลายเช่นนี้


เดินเพียงลำพังบนถนนใหญ่ มองโคมไฟที่แขวนเรียงรายอยู่สองข้างทาง ป้ายโรงเตี๊ยมโบกสะบัด ผู้คนมากมายเดินไปเดินมา หัวใจที่เดิมทีร้อนรุ่มเล็กน้อยพลันสงบลง


ถึงแม้อยู่ที่สำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เธอจะหาหินวิญญาณได้ไม่น้อย แต่รายจ่ายก็มากมายเช่นกัน ดังนั้นถึงแม้หลายวันมานี้เธอจะพาพวกเจ้าหอยยักษ์ไปกินอาหารของชั้นเรียนเมฆาม่วงบ่อยๆ แต่เจ้าหอยยักษ์ตัวนี้เป็นถังข้าวจอกตะกละโดยแท้ ให้มันกินอิ่มสักมื้อก็ต้องจ่ายหินวิญญาณเป็นพันก้อนทุกครั้ง…


ทว่าค่าใช้จ่ายการกินที่ตีนเขานี้สะดวกกว่า เงินทองบนร่างเธอมีมากมาย เพียงพอจะให้เจ้าหอยยักษ์กินอาหารรสเลิศได้เต็มคราบ


แต่พอมาถึงเมืองเล็กแห่งนี้ เธอก็ต้องเปลี่ยนความคิดอีกครั้ง ไปเดินดูรอบๆ เสียก่อน


ช่างสมกับเทศกาลความรัก รอบกายมีหนุ่มสาวที่สวมเสื้อผ้าหลากสีสันอยู่กันเป็นคู่มากมาย สะดุดตาอย่างยิ่ง


ธรรมเนียมของที่นี่ค่อนข้างเปิดกว้าง จำนวนหนุ่มสาวที่เดินจูงมือกันหัวเราะต่อกระซิกอยู่บนถนนใหญ่มีมิใช่น้อย


ในวันนี้เหล่าบุรุษจะเบิกบานเป็นพิเศษ ซื้อปิ่นซื้อบุปผามามอบให้สตรีข้างกาย พูดจาอ่อนหวาน ท่าทางหวานชื่นเช่นนั้นทำให้คนโสดที่ผ่านทางมาเป็นครั้งคราวรู้สึกอิจฉาตาร้อน


กู้ซีจิ่วรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าล้วนแต่เป็นพวกอันธพาลที่โอ้อวดความรักหวานชื่นให้คนโสดต้องอิจฉา


เธอหวนนึกถึงชาติก่อนอีกครั้ง ชาติก่อนตั้งแต่เธอชอบพอหลงซี ขอเพียงไม่ออกไปปฏิบัติภารกิจ ทุกครั้งที่ถึงเทศกาลความรักเธอจะไปหาเขาตลอด ลากเขาออกไปเที่ยว ดูหนัง ดูดอกไม้ไฟ…


ตอนนั้นหลงซีจนปัญญามาก บอกว่าเธอไม่เหมือนนักฆ่า เหมือนเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่ง แต่ก็ยอมตะลอนไปกับเธอ…


กู้ซีจิ่วหยักยิ้มมุมปากแวบหนึ่ง แฝงแววเยาะหยัน ยิ้มเยาะความสมองทึ่มของตัวเองในยามนั้น


ยามนั้นเกรงว่าเขาจะหมั้นหมายกับเย่หงเฟิงอยู่ก่อนแล้ว ที่ไปเที่ยวกับเธอเป็นเพียงการเล่นละคร ในวันเทศกาลที่เหมือนวันวาเลนไทน์เช่นนี้ ความจริงเขาคงหวังจะใช้เวลาอยู่กับเย่หงเฟิงมากที่สุดกระมัง? น่าเสียดายที่ตอนนั้นตนโง่งมสุดขีด…


มิน่าล่ะวันเทศกาลเช่นนั้นเขาเลยไม่เคยเป็นฝ่ายมาหาเธอด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเธอที่ไปเสนอตัวถึงหน้าประตูทุกครั้ง


พอคิดๆ ดูแล้วตนในยามนั้นช่างโง่เง่าเสียจริง เพียงคิดว่าเขานิสัยเฉยเมยมาแต่กำเนิดจึงไม่เริ่มก่อน ไหนเลยจะนึกถึงว่าความจริงแล้วเขาไม่ได้เต็มใจ…


ยัยโง่! เธอเยาะเย้ย


สตรีที่ตกบ่วงรักล้วนแต่โง่งมทั้งสิ้น! ต่อให้เป็นเธอก็ไม่เว้น


โชคดี เธอโง่งมงายไปเพียงครั้งเดียว ต่อไปจะไม่มีอีก


“พี่ชายน้อยท่านนี้ ซื้อเครื่องประดับผมไปฝากคนรักของท่านหน่อยไหม พี่ชายน้อยรูปงามถึงเพียงนี้ ย่อมต้องมีโฉมงามเคียงคู่แล้วแน่นอน…” เถ้าแก่แผงเครื่องประดับที่อยู่ข้างทางรายหนึ่งทักทายเธอ


เพื่อความสะดวก ยามกู้ซีจิ่วออกมาจึงเปลี่ยนไปสวมชุดบุรุษ แน่นอนว่าแปลงโฉมด้วยเล็กน้อย อย่างเช่นวาดคิ้วให้หนาคม ไล้จมูกให้โด่งเป็นสันสักหน่อย…เครื่องหน้าที่งดงามมาแต่เดิมถูกเธอปรับเปลี่ยนเล็กน้อย กลายเป็นคุณชายน้อยหล่อเหลาสง่างาม


วิชาแปลงโฉมของเธอล้ำเลิศมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เถ้าแก่ยอมดูไม่ออก เถ้าแก่อยากทำการค้ายิ่งนัก จึงเอื้อนเอ่ยวาจาที่คนฟังแล้วชอบใจนัก


————————————————————————————-


บทที่ 656 ที่แท้เป็นเรื่องราวก็เป็นเช่นนี้!


ถึงแม้กู้ซีจิ่วจะไม่ใช่ผู้ชายจริงๆ แต่เธอก็ถูกใจเครื่องประดับผมชิ้นนั้นจริงๆ ด้วยเหตุนี้จึงซื้อติดมือมา ถือโอกาสชมเครื่องประดับชิ้นอื่นๆ บนแผงไปด้วย


สายตาของเธอถูกพู่หยกชิ้นหนึ่งดึงดูดไว้


ข้าวของบนแผงเล็กๆ เช่นนี้ย่อมมิใช่สินค้าชั้นเลิศอันใด วัสดุส่วนใหญ่ธรรมดายิ่ง ข้อดีคือทำอย่างประณีตบรรจง


คุณภาพของพู่หยกชิ้นนั้นก็ไม่ดีเท่าไหร่ เป็นวัสดุที่ธรรมดานัก แต่รูปร่างของพู่หยกชิ้นนั้นค่อนข้างแปลกตา มิใช่แบบที่พบเห็นกันทั่วไป แต่คล้ายดวงตาข้างหนึ่งของจิ้งจอก แถมพู่หยกชิ้นนั้นก็เป็นสีแดงด้วย


รูปร่างเช่นนี้ ค่อนข้างคล้ายกับแถบแพรนัยน์ตาจิ้งจอกบนหน้าผากของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมาก


แน่นอน ไม่คุณภาพของหยกหรือว่าระดับความโปร่งใส พู่หยกชิ้นนี้เทียบกับแถบแพรผืนนั้นไม่ได้เลย หากกล่าวว่าแถบแพรผืนนั้นคือเพชร พู่หยกชิ้นนี้อย่างมากก็เป็นได้เพียงแก้วเท่านั้น…


เพียงแต่กู้ซีจิ่วก็ยังหยิบพู่หยกชิ้นนั้นขึ้นมาดู พอมองก็เห็นความแตกต่างมากขึ้น


ยกตัวอย่างเช่นถึงจะเป็นนัยน์ตาจิ้งจอกเหมือนกัน ทว่าชิ้นนั้นของทูตสวรรค์ฝ่ายพอหันข้างนิดๆ ประกายแสงก็จะหรุบหรู่ลง แลดูอ่อนช้อย ส่วนชิ้นนี้เหมือนนัยน์ตาจิ้งจอกที่ถูกทุบจนโง่งม


“คุณชายน้อย นี่คือพู่หยกนัยน์ตาจิ้งจอกขนานแท้” เมื่อครู่กู้ซีจิ่วซื้อเครื่องประดับผมชินนั้นไปอย่างไม่ลังเล เถ้าแก้ผู้นั้นจึงคิดว่าเธอเป็นลูกค้ารายใหญ่ พยายามแนะนำสินค้าสุดชีวิต “หากท่านแขวนติดกายไว้จะรับกับรูปโฉมล้ำเลิศของท่าน สามารถดึงดูดสายตาของแม่นางน้อยเหล่านั้นได้แน่นอน…”


พู่หยกนัยน์ตาจิ้งจอกชิ้นเดียวก็สามารถดึงดูดความสนใจจากสตรีได้แล้วหรือ?


วาจานี้ดูเหมือนจะแฝงความนัยไว้ กู้ซีจิ่วพิศมองพู่หยกชิ้นนั้นพลางพูดคุยกับเถ้าแก่รายนั้น จึงได้ทราบจากปากของเถ้าแก่ ว่าพู่ไม่ใช่เพียงพู่หยกนัยน์ตาจิ้งจอกเท่านั้นที่ขายดี แม้แต่หัวเข็ดขัดนัยน์ตาจิ้งจอก หมุดปักหมวดนัยน์ตาจิ้งจอกก้ล้วนขายดีมากเช่นกัน เนื่องจากเหล่าสตรีล้วนชมชอบ…


เถ้าแก่ผู้นั้นเล่าความจริงให้เธอฟังด้วยท่าทีลึกลับ “รู้หรือไม่ว่าเหตุใดยามนี้เหล่าสตรีถึงชมชอบนัยน์ตาจิ้งจอก? เป็นเพราะท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายน่ะซี่…ท่านลูกค้าก็รู้มิใช่หรือ ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเป็นคนรักในฝันของเหล่าหญิงสาว…แต่อย่างไรเสียท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็มีเพียงคนเดียว แถมยังสูงศักดิ์จนเอื้อมไม่ถึง สตรีธรรมดาสามัยย่อมไม่กล้าคะนึงหา ถ้าทำให้บุรุษที่ตนชอบสวมใส่เครื่องประดับที่คล้ายคลึงกับแถบแพรคาดหน้าผากเส้นนั้นได้ก็ไม่เลวแล้ว หากท่านแขวนสิ่งนี้ พวกนางต้องชอบแน่นอน…เครื่องประดับเช่นนี้เป็นที่นิยมมาหลายปีแล้ว! แขวนไปนานๆ ก็ไม่เป็นไร ไม่ตกยุคแน่นอน…”


ที่แท้เป็นเรื่องราวก็เป็นเช่นนี้!


กู้ซีจิ่วมองพู่หยกในมือ “ข้าว่าพู่หยกชิ้นนี้ไม่ค่อยเหมือนแถบแพรคาดหน้าผากของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเลยนะ รูปทรงแตกต่างกันโข”


เถ้าแก่ผู้นั้นถูไม้ถูมือ หัวเราะแหะๆ “คุณชายท่านนี้ไม่เข้าใจเสียแล้ว ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีฐานะเช่นนั้น ข้าวของที่เขาสวมใส่ต่อให้ทุกคนเลียนแบบ ก็ไม่กล้าเลียนแบบให้คล้ายคลึงกันมากไป เพียงแค่มีเค้าโครงของสิ่งนั้นรางๆ รับเอาเอกลักษณ์ของสิ่งนั้นมาก็พอแล้ว ถ้าเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้วจริงๆ จะเป็นการล่วงเกิน”


กู้ซีจิ่ววางพู่หยกชิ้นนั้นลง ยิ้มน้อยๆ พลางเอ่ย “ช้าไม่ชอบชิ้นนี้” แล้วเดินจากไป


ของแท้ชิ้นนั้นยังไม่แน่ว่าจะถูกใจเธอเลย นับประสาอะไรกับของปลอมพรรค์นี้เล่า?


เธอเดินไปตามถนน ตั้งใจสังเกตเครื่องประดับของเหล่าบุรุษที่อยู่รอบข้าง พบบุรุษที่สวมใส่เครื่องประดับหยกทรงนัยน์ตาจิ้งจอกบ้างเป็นครั้งคราวจริงๆ คุณภาพของหยกเหล่านั้นก็ดีบ้างแย่บ้าง รูปทรงของนัยน์ตาจิ้งจอกก็แตกต่างกัน บ้างก็ไม่เหมือนดวงตาจิ้งจอก แต่เหมือนตาแมว…


ยามที่เดินผ่านร้านเครื่องหยกร้านหนึ่ง กู้ซีจิ่วมองเข้าไปแวบหนึ่งโดยไม่ได้เจตนา ก็ได้เห็นคนคุ้นเคย


เยี่ยนเฉินกับหลานไว่หู


พวกเขาทั้งสองก็ไม่ได้สวมเครื่องแบบศิษย์ของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เช่นกัน เยี่ยนเฉินสวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อน เอวห้อยกระบี่ยาว เส้นผมมัดรวบขึ้น ขับเน้นให้เขาดูฟันขาวปากแดง หล่อเหลายิ่งนัก อันที่จริงชุดที่เขาสวมคล้ายชุดศิษย์ของเขาซูซานในเรื่องเซียนกระบี่พิชิตมารภาคสองมาก กลิ่นอายก็ค่อนข้างคล้ายกับไป๋โต้วฟูในภาพยนตร์มาก ทำให้หัวใจคนสั่นไหวยิ่งนัก

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)