หมอดูยอดอัจฉริยะ 648-655
ตอนที่ 648 นิวยอร์ค
Ink Stone_Fantasy
ไม่รู้ว่าทำไมคำพูดประโยคนั้นของอับดุลลาห์ทำให้เยี่ยเทียนขนหัวลุกตาลายราวกับโลกกำลังจะพบกับหายนะ ทำเอาเยี่ยเทียนหน้ามืดเหมือนจะเป็นลม
“ให้ตายสิ นี่มันอะไรกัน?”
เยี่ยเทียนรีบสะบัดหัวให้ตัวเองตาสว่าง พูดกับอับดุลลาห์ว่า “คุณอับดุลลาห์ ผมคิดว่าคุณน่าจะเข้าใจผิดแล้ว ผมไม่รู้จักกลุ่มของคุณดีพอ แน่นอนว่าอาจจะมีอคติบ้าง เพียงแต่ผมไม่ชอบการถูกผูกมัด สำหรับคำเชิญของคุณนั้น ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
ตั้งแต่เริ่มพูดคุยกับอับดุลลาห์ เยี่ยเทียนก็รู้สึกจิตใจไม่สงบคล้ายกับว่ากำลังจะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงบางอย่าง สำหรับบุคคลอันตรายผู้นี้ เยี่ยเทียนไม่กล้าทำเฉยชาใส่ การเจราจาจึงเป็นไปอย่างนอบน้อมถ่อมตัว
บนโลกนี้นอกจากศาสนาพุทธและลัทธิเต๋าแล้ว ยังมีศาสนาอีกหลายอย่าง เช่นประเทศอาหรับมักนับถือศาสนาอิสลาม ประเทศโลกตะวันตกนับถือศาสนาคริสต์ โดยเฉพาะในแอฟริกายังมีผู้นับถือศาสนาโทเท็มดั้งเดิมหลงเหลืออยู่
ศาสนาเหล่านี้กำเนิดขึ้นจากวัฒนธรรมของแต่ละท้องถิ่น และมีร่องรอยของเทพเจ้าที่พวกเขานับถือ เช่นรูปเล่าจื่อขี่วัวเดินออกจากด่าน พระศรีศากยมุนีนั่งไตร่ตรองธรรมะอยู่ใต้ต้นไม้ พระเยซูจำแลงลงมาบนโลกมนุษย์เป็นต้น ต่างแสดงถึงตำนานอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของเทพเจ้าทั้งนั้น
ดังนั้นเมื่อเยี่ยเทียนรู้สึกได้ถึงอันตรายจากอับดุลลาห์ซึ่งเกิดจากความศรัทธาในศาสนาของเขา เยี่ยเทียนไม่ค่อยเข้าใจคำสอนของศาสนาอิสลาม แต่ต้องแสดงความเคารพ
“ถ้าอย่างนั้นเป็นที่น่าเสียดายมาก คุณเยี่ย หวังว่าอนาคตเราจะได้ร่วมมือกัน!” เมื่อเห็นท่าทีเด็ดขาดของเยี่ยเทียน อับดุลลาร์ยักไหล่ขึ้นลงแล้วไม่ได้บังคับอะไรอีก
ความจริงแล้วอับดุลลาห์เมื่อได้ดูการต่อสู้ของเยี่ยเทียนแล้วก็รู้สึกสนใจมาก ที่เชื้อเชิญเยี่ยเทียนให้เข้าไปร่วมฝึกทหารให้ไม่ใช่เพราะว่าเขาขาดครูฝึกสอน เพราะภายในนั้นยังมีทั้งครูฝึกค่ายทหารของไซบีเรียด้วย
“ท่านเยี่ย ทำไมคุณมานั่งหลบอยู่ตรงนี้? ผมหาตั้งนาน!”
เยี่ยเทียนกำลังจะหาข้ออ้างปลีกตัวออกพอดีกับที่ต่งเซิงไห่ปรากฏตัวขึ้น เขาจึงหันไปขอโทษขอโพยอับดุลลาร์ แล้วต่งเซิงไห่ก็พาตัวเยี่ยเทียนออกมา
“ท่านเยี่ย ทำไมจู่ๆคุณถึงไปคุยกับเขาได้เล่า?”
ต่งเซิงไห่ขมวดคิ้วพูดว่า “คนๆนี้เป็นนักโทษระดับชาติที่อเมริกากำลังต้องการตัว ท่านเยี่ย คุณอยู่ห่างๆเขาไว้ดีที่สุด ไม่อย่างนั้นความซวยจะมาเยือน!”
“เขาเข้ามาหาผมเอง ผมจะทำอะไรได้?”
เยี่ยเทียนส่ายหัว ยิ้มแห้งเปลี่ยนเรื่องคุย “อย่าพูดถึงเขาเลย เจ้านั่นเป็นพวกผู้ก่อการร้าย เหล่าต่ง จัดการเรียบร้อยหรือยัง เมื่อไหร่ผมถึงจะไปนิวยอร์คได้?”
ด้วยกำลังวิชาของเยี่ยเทียนตอนนี้ โดยเฉพาะหลังจากบรรลุขั้นเปลี่ยนจิตให้เข้าถึงความว่างได้แล้ว ดวงจิตของเขาดูจะว่องไวขึ้นหลายเท่า ภาพวินาศภัยที่ปรากฏขึ้นในหัวเมื่อครู่ ทำให้เขาจิตใจไม่สงบ
เยี่ยเทียนเกือบจะแน่ใจได้เลยว่าอีกไม่นานโลกใบนี้จะเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงดั่งในนิมิตของเขา แต่จะเกิดขึ้นที่ใดนั้น ไม่มีทางล่วงรู้ได้
“ท่านเยี่ย ตอนนี้ก็ไปได้เลย พวกเรานั่งเฮลิคอปเตอร์กลับไปที่ซานฟรานซิสโกก่อน ที่นั่นมีเครื่องบินลำหนึ่งจอดรอคุณอยู่แล้ว เมื่อถึงที่นั่นก็พร้อมออกเดินทางต่อได้ทันที!”
แม้ไม่รู้ว่าทำไมเยี่ยเทียนถึงรีบเดินทางไปนิวยอร์ค แต่ต่งเซิงไห่ก็ยังอุตส่าห์จัดการให้เรียบร้อย ทั้งยังสั่งให้ทางสมาคมหงเหมินส่งเครื่องบินส่วนตัวมา เพื่อให้แน่ใจว่าเยี่ยเทียนจะเดินทางถึงนิวยอร์คได้เร็วที่สุด
เยี่ยเทียนมองไปรอบด้านไม่เห็นจู้เหวยเฟิง จึงถามหา “จู้เหวยเฟิงล่ะ? เขาจะไปหรือเปล่า?”
“เขายังอยากจะอยู่บนเรือต่ออีกหลายวัน เหอะๆ คนหนุ่มน่ะ นานๆจะได้ออกมาที!”
ต่งเซิงไห่ขำออกมา หญิงบริการบนเรือสำราญควีนอลิซาเบธลำนี้เป็นชั้นสุดยอดทั้งนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะจะต้องไปส่งเยี่ยเทียน ต่งเซิงไห่เองก็อยากอยู่เล่นสนุกต่อเหมือนกัน
“บ้าเอ๊ย ถ้าเขาแพ้ไม่เหลืออะไรตั้งแต่แรก ดูสิว่าเขายังจะมีอารมณ์เล่นกับผู้หญิงอีกไหม?”
เห็นรอยยิ้มของต่งเซิงไห่แล้วเยี่ยเทียนรู้ได้ทันทีว่าจู้เหวยเฟิงอยู่ต่อเพื่อการใด แอบก่นด่าอยู่ในใจแล้วตอบออกไปว่า “งั้นก็ได้ พวกเราออกเดินทางเดี๋ยวนี้!”
ภายใต้การนำของต่งเซิงไห่ เยี่ยเทียนกับคลีเมตสันได้อำลากัน กลับห้องพักไปเก็บข้าวของแล้วก็ขึ้นไปที่ดาดฟ้าเรือตรงที่มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์
หนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้น เยี่ยเทียนกลับถึงซานฟรานซิสโก แล้วรีบขึ้นเครื่องบินส่วนตัวที่จอดรออยู่ ผ่านไปอีกสองชั่วโมง เครื่องบินได้มาถึงสนามบินนานาชาตินิวยอร์คเป็นที่เรียบร้อย
“ท่านเยี่ย คนของเราอยู่ทางโน้น”
ต่งเซิงไห่ไม่ได้ตามมานิวยอร์คด้วย แต่จัดให้สมาชิกของสมาคมหงเหมินติดตามเยี่ยเทียนมาคนหนึ่ง เมื่อลงจากเครื่อง มีสมาชิกสมาคมหงเหมินแห่งนิวยอร์ครอรับอยู่
“ไปที่ย่านแมนฮัตตัน….”
เมื่อขึ้นรถแล้ว เยี่ยเทียนนั่งที่ด้านหลัง ตั้งแต่อยู่บนเครื่องเขาได้ทำนายมาตลอดทาง รอจนถึงนิวยอร์คแล้ว เยี่ยเทียนสามารถฟันธงได้เลยว่าอีกไม่นาน มหานครแห่งนี้จะต้องพบกับหายนะ
ตอนที่เยี่ยเทียนตั้งค่ายกลฮวงจุ้ยในบ้านที่ฮ่องกงนั้น ก็รู้สึกว่าชะตาฟ้ามีการเปลี่ยนแปลง จนถึงตอนที่มารดาของเขามาถึงอเมริกาแล้ว ความรู้สึกนั้นยิ่งรุนแรงกว่าเดิม
แต่ถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนสามารถทำนายได้ถึงสถานที่ๆจะเกิดวินาศภัยครั้งใหญ่แล้ว แต่สิ่งที่ทำให้เขาไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไปคือ เขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น และไม่มีทางเปลี่ยนแปลงมันได้ด้วย
ปรมาจารย์ฮวงจุ้ยสามารถกระทำฝืนชะตาฟ้า แต่จะส่งผลถึงชีวิตของตัวเองและคนรอบข้าง อีกอย่างหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ว่าจะด้วยธรรมชาติหรือน้ำมือมนุษย์ ต่อให้เยี่ยเทียนเป็นผู้สั่งการสวรรค์ ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงกฎแห่งชะตากรรม
“ท่านเยี่ย ถึงแล้ว….”
ระหว่างทางเยี่ยเทียนหลับตาพักผ่อนมาตลอด เขาไม่มีแก่จิตแก่ใจจะชื่นชมแสงสีเมืองใหญ่ เมื่อมาถึงตึกสูงแห่งหนึ่งในย่านแมนฮัตตัน รถก็หยุดลง เยี่ยเทียนลืมตาขึ้น
“อาหู่ ขอบใจนายมาก”
เยี่ยเทียนรู้ว่าหนุ่มน้อยที่ติตตามตนเป็นคนที่ตู้เฟยส่งมา แล้วเอ่ยต่อว่า “อีกไม่กี่วันฉันจะกลับจีนแล้ว ถึงตอนนั้นฉันคงไม่ทันได้ไปคารวะเหล่าผู้อาวุโสก่อน อาหู่นายช่วยส่งข่าวให้พวกเขาด้วย!”
ความสามารถพิเศษของหมอดูฮวงจุ้ยคือเสริมความสิริมงคลและหลีกหนีจากความอัปมงคล เยี่ยเทียนถึงไม่มีทางหยุดยั้งไม่ให้เรื่องหายนะเกิดขึ้นได้ แต่การมานิวยอร์คของเขาในครั้งนี้ ก็เพื่อพาตัวมารดาของเขากลับไป
อีกอย่าง เยี่ยเทียนจากบ้านมานานมากแล้ว ทอดทิ้งภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่ออกมาผจญโลกกว้าง ในใจรู้สึกผิดอยู่ไม่น้อย
“ครับ ท่านเยี่ย จะให้ทางเราจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินเที่ยวต่อไปให้เลยไหมครับ?” อาหู่รู้สถานะของเยี่ยเทียน ก่อนมาตู้เฟยกำชับนักหนาว่าต้องทำตามความต้องการของเยี่ยเทียนให้เป็นที่น่าพอใจ
“ไม่ต้องหรอก พวกนายกลับไปเถอะ!”เยี่ยเทียนโบกมือ แล้วสาวเท้าเดินเข้าไปในตึกใหญ่เบื้องหน้า
ย่านแมนฮัตตันเป็นจุดศูนย์กลางของนครนิวยอร์ค เป็นทั้งแหล่งเศรษฐกิจ แหล่งการเงินและกลุ่มบริษัทประกันที่กระจายอยู่รอบๆเขตนี้
เช่นเดียวกันกับที่พื้นที่ทุกตารางนิ้วที่มีค่าดั่งทองคำ ผู้ที่สามารถมีบ้านพักอาศัยอยู่ในเขตนี้ได้ ต้องไม่ใช่แค่คนรวยทั่วไป
อาคารสูงที่เป็นที่พักของซ่งเวยหลัน เป็นตึกศูนย์กลางแห่งหนึ่งในย่านแมนฮัตตัน การรักษาความปลอดภัยเข้มงวดที่สุด หลังจากผ่านการวีดีโอคอลกับแอนนาแล้ว เยี่ยเทียนถึงจะขึ้นไปด้านบนตึกได้
“นายน้อย คุณจะมาทำไมไม่บอกกันก่อนสักคำ?”
ลิฟต์เคลื่อนขึ้นสู่ชั้นสามสิบแปด แอนนาเปิดประตูรอรับอยู่แล้ว เธอคว้าแขนซ้ายของเยี่ยเทียนขึ้นทันที “นายน้อย เรื่องพวกนั้นของคุณน่ะฉันรู้หมดแล้ว!”
“เรื่องอะไรหรือ?” เยี่ยเทียนมองแอนนาอย่างสงสัย ขมวดคิ้วเพราะแขนซ้ายของเขายังใส่เฝือกอยู่
“เรื่องที่คุณเข้าร่วมแข่งมวยอะไรนั่น นายน้อย คุณเก่งจริงๆ แอนโทนี มาร์คัสโดนคุณจัดการไปแล้ว!”
แอนนาได้รับการฝึกจากค่ายฝึกทหารในไซบีเรีย แม้ว่าการฝึกมวยปล้ำจะไม่ได้ฝึกอย่างเป็นระบบ แต่ชื่อเสียงของเจ้าฉายา ปีศาจจากนรกนั้น เธอเคยได้ยินมานาน
“ให้ตายเถอะ ใครกันนะปากไวจริงๆ?”
เยี่ยเทียนสบถออกมาสองสามคำ ถลึงตาใส่แอนนา “เรื่องนี้อย่าไปเที่ยวเล่าให้ใครฟังล่ะ โดยเฉพาะแม่ของฉัน ถ้าเธอกล้าพูดแม้แต่คำเดียว ฉันจะกำจัดวรยุทธของเธอซะ!”
ตามความจริงแล้ว การแข่งขันในตอนนั้นเยี่ยเทียนคิดแล้วยังกลัวอยู่เลย เรื่องนี้ถ้าให้แม่ของเขารู้เข้า ตัวเขาเองจะต้องถูกแม่โกรธไปพักใหญ่
“นายน้อย เจ้านายช่วงนี้ยุ่งมาก เธอไม่มีทางรู้หรอก!”
แอนนาหัวเราะ แล้วพาเยี่ยเทียนเข้าไปที่ห้องเดี่ยวห้องหนึ่ง ชั้นสามสิบแปดมีห้องชุดสองห้อง ซ่งเวยหลันเป็นเจ้าของห้องชุดที่มีลิฟต์ใช้โดยเฉพาะ
“ความเป็นอยู่ของแม่สุขสบายจริงๆ อยู่ที่นี่เหมือนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกแล้ว!”
เมื่อเข้ามาในห้อง ภาพวิวเมืองใหญ่ปรากฏต่อสายตาของเขา ทั้งการตกแต่งห้องที่หรูหรา แค่ผนังกระจกบานใหญ่ตรงหน้าก็ทำให้เยี่ยเทียนตื่นตาตื่นใจแล้ว
ตอนนี้ท้องฟ้ามืดมิด เบื้องหลังกำแพงกระจกนั้นเยี่ยเทียนมองเห็นมหานครนิวยอร์คทั้งเมืองอย่างชัดเจน ความรู้สึกของการยืนอยู่ตรงนี้เสมือนกับได้อยู่บนจุดสูงสุดบนโลกแล้ว
“เจ้านายไม่ค่อยชอบที่นี่ ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ใกล้กับบริษัท เธอคงไม่มีทางพักที่นี่”
แอนนาเบ้ปาก เทน้ำให้เยี่ยเทียนแก้วหนึ่ง แล้วพูดขึ้นมาว่า “นายน้อย เจ้านายยังอยู่ที่บริษัท คุณช่วยเล่าเรื่องการแข่งมวยปล้ำให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม?”
“แม่ฉันยังอยู่ที่บริษัท ทำไมเธอไม่ตามไปด้วย?”
เยี่ยเทียนไม่ตอบรับคำขอของแอนนา เขากำลังไม่พอใจ ตอนนี้นครนิวยอร์คกำลังจะมีอันตราย ข้างกายของมารดากลับไม่มีคนคุ้มครอง ผู้รักษาความปลอดภัยอย่างแอนนาถือว่าทำผิดพลาดในหน้าที่
แอนนาตอบอย่างน้อยใจ “นายน้อย เจ้านายไม่ยอมนี่ เธอประชุมอยู่ทุกวัน ไม่ยอมให้ฉันเข้าไปในที่ประชุมด้วย!”
“ได้ โทรศัพท์หาแม่ที บอกว่าฉันกลับมาแล้ว ให้แม่กลับบ้านเถอะ!”
เยี่ยเทียนส่ายหัวอย่างทำอะไรไม่ได้ ไตร่ตรองครู่หนึ่งแล้วโบกมือบอกว่า “ไม่ต้องโทรแล้ว เธอมีรถไหม? พาฉันไปที่บริษัทหน่อย ฉันอยากจะไปดูที่นั่น!”
บริษัทของแม่ปีนี้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แม้เกิดจากบุคคลภายใน แต่ไม่แน่ว่าอาจเกี่ยวกับฮวงจุ้ยภายในอาคารก็เป็นได้ เมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เยี่ยเทียนก็อยากจะไปดูเสียหน่อย
“บริษัทของเจ้านายอยู่ทางทิศใต้ของแมนฮัตตัน นายน้อย ฉันจะพาคุณไป!”
ท่าทางแอนนาอยู่ในนิวยอร์คนี่คงจะน่าเบื่อไม่เบา ได้ยินว่าเยี่ยเทียนอยากจะออกไปข้างนอกก็ดีใจเป็นเด็กๆ ตอนที่อยู่ในประเทศจีนกับซ่งเวยหลันทำให้เธอนิสัยเปลี่ยนไปมาก
“ที่นี่น่ะหรือ? ตัวตึกทำไมดูแปลกประหลาดจริง?”
รถยนต์หยุดลงหน้าสถานที่ที่เป็นสำนักงานของซ่งเวยหลัน เยี่ยเทียนขมวดคิ้วมองดูอาคารตรงหน้า
ตอนที่ 649 สถานที่อันตราย
Ink Stone_Fantasy
อาคารใหญ่เบื้องหน้าเยี่ยเทียนมีลักษณะเป็นตัวอาคารสองหลัง เป็นแท่งคู่ที่ปักอยูบนชั้นหินอย่างแข็งแรง
ตัวตึกเป็นโครงสร้างท่อนเหล็ก ที่ล้อมด้านนอกไว้อย่างแน่นหนา ส่วนผนังสร้างขึ้นด้วยแผ่นอลูมิเนียมชีทและกระจกสูงตระหง่านเสียดฟ้า เยี่ยเทียนนับไม่ถูกว่าตึกนี้สูงกี่ชั้นกันแน่
แต่ด้านหน้าของตึกคู่นี้เป็นบริเวณของท่าเรือ เยี่ยเทียนมองดูแล้วก็ขมวดคิ้ว
โลกตอนนี้เข้าสู่ยุคแห่งความศิวิไลซ์ เจริญรุ่งเรืองมั่งคั่ง กฎแห่งสวรรค์เปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง จิตวิญญาณแห่งท้องทะเลเปลี่ยนเป็นบ้าคลั่งขึ้น พลังอาฆาตสะสมรวมตัว ก็สามารถทำให้สถานที่ที่มีฮวงจุ้ยดีกลายเป็นแหล่งสะสมพลังงานด้านลบได้
แอนนาเห็นเยี่ยเทียนลงจากรถแล้วยังยืนขมวดคิ้วมองตึกอยู่โดยไม่พูดอะไรจึงถามว่า “นายน้อย ที่นี่เป็นสิ่งก่อสร้างที่ขึ้นชื่อเรื่องสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของอเมริกาเชียวนะ….ตึกแฝด ถ้าสามารถทำงานในนี้ได้จะต้องเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกทั้งนั้น คุณไม่รู้จักหรือ?”
“ตึกแฝด? เหมือนว่าจะเคยได้ยิน เป็นฝีมือการสร้างของคนญี่ปุ่นคนนั้นใช่ไหม?”
ได้ยินที่แอนนาอธิบาย เยี่ยเทียนรู้สึกคับคล้ายคับคลา แม้ว่าตอนเรียนมหาลัยจะเลิกเรียนกลางคัน แต่เยี่ยเทียนยังได้เรียนหนึ่งเทอม เขาเลือกเรียนสาขาสถาปัตยกรรม แน่นอนว่าต้องเคยได้ยินชื่อของตึกหลังนี้
ในความทรงจำของเยี่ยเทียน ตึกแฝดเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจการค้าของโลก เป็นตึกที่สูงที่สุด มีจำนวนชั้นมากที่สุดในโลก
โดยมีจำนวนชั้นทั้งหมด 110 ชั้น สูง 411เมตร ได้รับฉายาว่า “หน้าต่างโลก” ระบบอุปกรณ์ทั้งหมดในตึกใช้คอมพิวเตอร์ในการควบคุม ไม่ว่าฤดูไหนก็สามารถปรับให้เหมาะสมได้ จึงถูกเรียกอีกชื่อว่า “ศูนย์รวมของเทคโนโลยีที่ทันสมัยที่สุด”
มีพื้นที่ใช้สอยสำหรับสำนักงานทั้งหมดแปดแสนสี่หมื่นตารางเมตร บรรจุพนักงานได้ห้าหมื่นอัตรา ขณะเดียวกันก็รองรับลูกค้าที่มารับประทานอาหารได้อีกสองหมื่นคน
อาคารนี้เปิดให้บริษัทการค้าระหว่างประเทศ 800 กว่าบริษัทเช่า ยังมีศูนย์บริการการค้าแยกย่อยอีก ทั้งศูนย์แหล่งข่าวและศูนย์วิจัยต่างๆ ในความคิดของคนอเมริกา ตึกนี้เป็นเหมือนสัญลักษณ์แห่งมหานครนิวยอร์คเช่นเดียวกับรูปปั้นเทพีเสรีภาพ
“การเปลี่ยนแปลงของฮวงจุ้ย ก็หมายถึงสถานที่แบบนี้!”
เยี่ยเทียนเงยหน้ามองดูตึกระฟ้าแล้วส่ายหัว การเปลี่ยนแปลงของฮวงจุ้ยมีเป็นพันเป็นหมื่น เช่นเดียวกับเหล่าทหารในกองทัพที่ชื่อไม่ซ้ำกันสักคน ไม่มีสถานที่ไหนที่ฮวงจุ้ยจะยั่งยืนได้ตลอดไป
“นายน้อย พวกเราขึ้นไปกันเถอะ ถ้าเจ้านายรู้ว่าคุณมาถึงจะต้องเลิกประชุมเร็วกว่าปกติแน่นอนเลย!”
นิวยอร์คในเดือนสิงหาคมอากาศยังร้อนจัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมหานครที่พลุกพล่านแห่งนี้เหมือนอยู่ในเรือกลไฟมากกว่า แม้ว่าฟ้ามืดแล้ว แต่ยังร้อนจนรู้สึกหายใจไม่ออก
“ได้!” เยี่ยเทียนพยักหน้า เดินเข้าไปในตัวตึก
“เกิดอะไรขึ้น?!”
ทันทีที่เดินเข้าไปในอาคาร ความรู้สึกอบอ้าวภายนอกก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ความรู้สึกแปลกอย่างอื่นเกิดขึ้นในหัวใจของเยี่ยเทียน จนรู้สึกหลังกระตุกจนแทบจะเด้งตัวขึ้นมา
“นี่… ที่นี่เป็นที่ๆน่าสยดสยองจริงๆ!”
เยี่ยเทียนมองไปรอบๆ หนังศีรษะของเขารู้สึกชาและขนลุกไปทั่วร่าง ภาพตรงหน้าปรากฏทะเลแห่งซากศพและเลือดกระจัดกระจายเต็มไปทั่ว เขายืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม
เมื่อแอนนาเห็นเยี่ยเทียนเหม่อลอยตาค้างอยู่จึงผลักเขาแล้วตะโกนถามว่า “นายน้อย เป็นอะไรไป?”
“ห๊า? ไม่เป็นไร บริษัทของแม่อยู่ชั้นไหน?” เยี่ยเทียนถามกลับอย่างเหม่อลอย เมื่อกวาดตามองโดยรอบ สีหน้าของเขาก็ยิ่งหม่นหมองลง
ในสายตาของเยี่ยเทียน อาคารสว่างไสวแห่งนี้ปกคลุมด้วยพลังหยินพิฆาตอยู่ทุกหนทุกแห่ง และบางจุดยิ่งหนักจนเกือบจะก่อเกิดเป็นรูปร่างได้ เป็นสถานที่ที่มีพลังหยินสูงสุดแห่งหนึ่งในศาสตร์ฮวงจุ้ย
จากใบหน้าของผู้คนที่เดินเข้าออกอาคารนี้ เยี่ยเทียนมองเห็นพลังแห่งความตายเคลื่อนไหวไปมาอยู่ในอาคาร จนทำให้รู้สึกเหมือนเดินอยู่ท่ามกลางเหล่าภูตผี น่าขนลุกสิ้นดี
เมื่อมองออกไปนอกตัวอาคาร ในระยะทางสั้นๆแค่สิบกว่าเมตรนี้เปรียบเสมือนสะพานข้ามภพยมโลก ที่ตรงกลางสะพานเป็นเส้นแบ่งระหว่างโลกมนุษย์และโลกวิญญาณ เป็นรอยต่อของพลังหยินและหยาง
เมื่อเห็นใบหน้าเยือกเย็นของเยี่ยเทียน แอนนากระซิบถามเบาๆว่า “นายน้อย บริษัทของเจ้านายอยู่ชั้น 82 มีอะไรหรือเปล่า?
“พาฉันขึ้นไปเถอะ ให้ตายสิ ใครเลือกที่นี่ตั้งบริษัทกัน” เยี่ยเทียนไม่อาจควบคุมอารมณ์ไว้ได้อีกต่อไป โชคดีที่เขารู้สึกไม่ชอบมาพากลจึงเดินทางมาอเมริกาพร้อมกับ
มารดาด้วย ไม่เช่นนั้นแล้วเกรงว่าเขาอาจจะต้องสูญเสียมารดาอันเป็นที่รักไป
พอเยี่ยเทียนโมโห ทำให้เขาดูเหมือนหอกดาบที่แหลมคมที่พร้อมเข้าทิ่มแทงทุกคนที่ขวางหน้า จิตสังหารแรงกล้า แม้แต่อากาศในอาคารยังเย็นลงหลายองศา
“คือ…คือฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน นาย…นายน้อย อย่ากล่าวหาฉันสิ!”
คนธรรมดาไม่อาจสัมผัสได้ถึงพลังที่ซ่อนเร้น แต่เยี่ยเทียนทำให้แอนนาตกใจใหญ่ จนเธอหายใจกระชั้นขึ้น เวลาพูดก็ติดขัดเหมือนคนติดอ่างไปเลย
“ไม่เกี่ยวกับเธอ ไป ขึ้นลิฟท์!”
เห็นท่าทางแอนนาดูหวาดกลัว เยี่ยเทียนเรียกสติกลับมา บริษัทของมารดาของเขาได้ตั้งอยู่ในอาคารนี้มาสิบปีแล้ว ไม่เกี่ยวกับแอนนาแต่อย่างใด
ในทางกลับกัน ถ้าไม่ใช่เพราะดวงเมืองเปลี่ยนแปลง ฮวงจุ้ยของที่นี่อาจจะไม่ได้แย่ขนาดนี้
เยี่ยเทียนตอนอยู่ที่บ้านฮวงจุ้ยในฮ่องกงได้ทำการชะลอการเปลี่ยนแปลงชะตาฟ้า ไม่แน่ว่าเป็นการส่งผลทำให้ ฮวงจุ้ยของที่นี่เปลี่ยนเร็วขึ้น
เมื่อเข้าไปในลิฟท์ แอนนาเห็นเยี่ยเทียนเป็นปกติแล้ว ถามต่ออย่างระมัดระวังว่า “นายน้อย เมื่อกี้ท่าทางคุณดูน่ากลัวมาก!”
“ขอโทษที แอนนา ฉันกำลังคิดเรื่องเรื่อยเปื่อย ไม่เกี่ยวกับเธอ”
เยี่ยเทียนส่ายหัว คิ้วยังขมวดแน่นไม่คลาย เพราะในลิฟต์ตั้งแต่ชั้นหนึ่งจนถึงชั้นหกสิบกว่า เยี่ยเทียนรู้สึกถึงพลังพิฆาตรุนแรงที่คละคลุ้งไปทั่ว
พอนึกถึงภาพเหตุการณ์ในนิมิต เยี่ยเทียนเกือบจะแน่ใจได้ว่าอีกไม่นาน ตึกแห่งนี้จะต้องกลายเป็นนรกบนดิน
ความรู้สึกแปลกประหลาดที่ผุดขึ้นกลางอก เยี่ยเทียนรู้ว่าตนไม่มีทางแก้ไขหรือหยุดยั้งสิ่งจะตามมาได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ยิ่งไม่มีทางหยุดยั้ง
บริษัทของซ่งเวยหลันอยู่บนชั้นที่ 82 ชั้นนี้มีบริษัทเดียว เมื่อประตูลิฟท์เปิดออก เยี่ยเทียนมองเห็นแม่ของเขาอยู่หน้าประตูลิฟท์
“แม่ครับ ทำไมดึกป่านนี้แล้ว แม่ยังทำงานอยู่อีก?” เยี่ยเทียนเดินออกจากลิฟท์ไปโอบไหล่แม่ของเขาเบาๆ ใช้สายตาประเมินดูแม่ แล้วโล่งใจขึ้น
ช่วงหว่างคิ้วของซ่งเวยหลันแม้จะมีรอยหมองคล้ำ แต่ในความหมองนั้นแฝงความสดใส เป็นสัญญาณว่าเรื่องร้ายกำลังจะกลายเป็นดี เยี่ยเทียนทราบว่า ถึงเขาจะช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่การช่วยชีวิตคนนั้นเขาทำได้แน่นอน
“เสี่ยวเทียน ลูกมานิวยอร์คทำไมไม่บอกแม่ก่อนสักคำ?” ซ่งเวยหลันเห็นท่าทีออดอ้อนของบุตรชายที่แสดงต่อหน้าลูกน้องของเธอแล้วรู้สึกไม่คุ้นชิน
“แม่ อเมริกาไม่นิยมการทำงานล่วงเวลาไม่ใช่เหรอ? ทำไมที่นี่ยังมีคนอยู่เยอะแยะเลย?”
เยี่ยเทียนยิ้ม โอบไหล่มารดาแน่นขึ้น “อุตส่าห์ได้มาถึงอเมริกาทั้งที ช่วยพาชมให้ทั่วทั้งบริษัทข้ามชาติของแม่ทีนะครับ?”
“ลูกคนนี้ พูดเล่นลิ้นเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ซ่งเวยหลันนำมือเยี่ยเทียนออกอย่างไม่สบอารมณ์ แล้วพูดว่า “ช่วงนี้แม่ยุ่งมาก โครงการในแอฟริกากลางกำลังดำเนินการ เสี่ยวเทียน ให้แอนนาพาลูกไปเที่ยวให้ทั่วนิวยอร์คสักสามสี่วันดีไหม?”
การกลับมาของซ่งเวยหลันทำให้พนักงานในบริษัทอุ่นใจขึ้น แต่เงินกว่าหมื่นล้านดอลลาร์นั้นตามกลับคืนมาไม่ได้ ทุนที่บริษัทได้ลงทุนไปกับหลายๆ โครงการต้องหยุดชะงัก ซ่งเวยหลันจำเป็นต้องใช้แรงใช้สมองไปกับเรื่องนี้อย่างใจจดใจจ่อ
เยี่ยเทียนส่ายหัว ยืนกรานหนักแน่นว่า “แม่ครับ แค่แป๊บเดียวเอง ผมยังมีเรื่องต้องคุยกับแม่อีก แม่พาผมไปเดินดูเถอะครับ”
“งั้นก็ได้”
บุตรชายคนนี้แทบไม่เคยขออะไรจากเธอเลย ซ่งเวยหลันจึงพยักหน้ารับปาก พาเยี่ยเทียนเดินชมรอบๆ บริษัท
บริษัทของเธอมีหุ้นอยู่กระจัดกระจาย ตั้งแต่ศูนย์การค้าไปจนถึงสถาบันการเงินใหญ่ล้วนแล้วแต่มีหุ้นอยู่ทั้งนั้น ที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ และยังเป็นแหล่งรวมของมันสมองของกลุ่มบริษัท
ซ่งเวยหลันตั้งความหวังไว้ว่าอยากให้บุตรชายรับสืบทอดกิจการของเธอต่อไป ดังนั้นเมื่อเดินไปถึงจุดใดจุดหนึ่ง เธอจะแนะนำส่วนสำคัญของแต่ละแผนกและพนักงานที่มีตำแหน่งสูงในบริษัทให้เยี่ยเทียนรู้จักด้วย
การมาถึงของเยี่ยเทียนทำให้บริษัทฮือฮาขึ้น ปกติแล้วคนอเมริกาจะให้ความสำคัญกับสิทธิส่วนบุคคล แต่ในบริษัทใหญ่โตขนาดนี้นอกจากแอนนาแล้วไม่มีใครรู้เลยว่าซ่งเวยหลันมีบุตรชายที่โตขนาดนี้แล้ว
“เสร็จแล้ว เสี่ยวเทียน ลูกมีอะไรจะคุยกับแม่หรือจ้ะ?”
เมื่อพาเยี่ยเทียนเดินชมทั่วบริษัทแล้ว ซ่งเวยหลันพาบุตรชายเข้าไปให้ห้องทำงานของตัวเอง นั่งลงจัดการเอกสารพร้อมๆ กับชวนเยี่ยเทียนคุยไปด้วย “เสี่ยวเทียน แม่ยุ่งมากจริงๆ พรุ่งนี้ตอนเที่ยงแม่หาเวลาว่างไปทานข้าวเป็นเพื่อนลูกดีไหม?”
เยี่ยเทียนไม่พูดอ้อมค้อม โพล่งออกไปว่า “แม่ครับ สามวัน แม่มีเวลาแค่สามวัน ต้องย้ายบริษัทออกไปจากที่นี่ให้ได้!”
“สามวัน ย้ายออก?”
ซ่งเวยหลันเอ่ยอย่างไม่สนใจ แล้วจู่ๆก็สะดุ้งขึ้น เงยหน้ามองบุตรชาย “เยี่ยเทียน ลูกบ้าไปแล้วเหรอ อยู่ดีๆแม่จะย้ายบริษัททำไม? ที่นี่เป็นสำนักงานใหญ่ของบริษัทนะ!”
“แม่ครับ ผมไม่ได้ล้อเล่น”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าอย่างเคร่งขรึม อธิบายต่อว่า “แม่รู้ดีว่าผมถนัดด้านไหน สถานที่นี้มีพลังพิฆาตสะสมอยู่มากกลายเป็นสถานที่อันตรายไปแล้ว อีกไม่ถึงครึ่งเดือนจะต้องเกิดเหตุร้ายแรงขึ้นที่นี่แน่นอน”
“ลูก เป็นอะไรไป?”
ซ่งเวยหลันมองเยี่ยเทียนตาค้าง จู่ๆก็ยื่นมืออกไปลูบหัวบุตรชาย “ลูกไม่สบายเปล่า? แม่ตามหมอเวยเหลียนมาดูให้ดีมั้ย เขาเป็นหมอส่วนตัวที่ดีที่สุดในอเมริกา!”
ซ่งเวยหลันรู้ดีว่าบุตรชายมีความสามารถแค่ไหน แต่ตอนนี้คำพูดของเยี่ยเทียนฟังดูเหลวไหลมาก ตึกศูนย์กลางเศรษฐกิจของโลกมายี่สิบกว่าปี แล้วจะเกิดภัยพิบัติได้อย่างไร?
ตอนที่ 650 พูดเกลี้ยกล่อม
Ink Stone_Fantasy
ด้วยเพราะเป็นอาคารสำคัญของอเมริกา ตึกแฝดเป็นตัวแทนของสถาปัตยกรรมอาคารที่ทรงคุณค่ามากที่สุดแห่งหนึ่ง
จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญ หากเกิดแผ่นดินไหวขนาดเจ็ดริกเตอร์หรือสึนามิถล่มก็ไม่อาจทำอันตรายตึกแฝดแห่งนี้ได้ ดังนั้นซ่งเวยหลันจึงไม่เชื่อคำพูดของบุตรชายนัก คิดว่าเขาพูดเพ้อเจ้อ
“เยี่ยเทียน สีหน้าของลูกดูไม่ดีเลย ไม่สบายรึเปล่า?”
ซ่งเวยหลันมองบุตรชายอย่างรู้สึกผิด ตั้งแต่มาถึงอเมริกา เธอเอาแต่ยุ่งกับงานบริษัท แม้กระทั่งปัญหากับสมาคมหงเหมินยังต้องให้เยี่ยเทียนจัดการแทน ทำให้เธอรู้สึกผิดมาก
“แม่ครับ ผมดูเหมือนคนป่วยอย่างนั้นหรือ?” เยี่ยเทียนทำหน้าไม่ถูก เขาได้รับบาดเจ็บก็จริงแต่ไม่ถึงกับป่วยจนไข้ขึ้นสมอง
“เหมือน!” ซ่งเวยหลันยังไม่ทันตอบ แอนนาชิงพูดขึ้นก่อน “นายน้อย คุณ…คุณได้รับบาดเจ็บมานี่นา!”
เรื่องที่เยี่ยเทียนสู้กับแอนโทนี มาร์คัสนั้น แอนนารู้ดี เพราะข่าวเรื่องนี้แพร่ไปทั่วทั้งวงการมวยใต้ดินแล้ว แค่เป็นคนที่ติดตามข่าวจะรู้เรื่อง แอนนามีหนทางของตัวเอง แม้ไม่ได้ดูถ่ายทอดสดกับตา แต่พอรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
“ได้รับบาดเจ็บ?” ซ่งเวยหลันได้ยินคำนี้ก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที รีบดึงเยี่ยเทียนไปดูใกล้ ๆ “ลูก บาดเจ็บตรงไหน? หลายวันมานี้ลูกไปทำอะไรมา?”
ซ่งเวยหลันรู้ดีว่าสังคมของอเมริกาแตกต่างจากประเทศจีน พรรคใต้ดินต่างๆมากมาย ยังมีการอนุญาตให้พกอาวุธส่วนตัวในที่สาธารณะด้วย เยี่ยเทียนต่อให้มีความสามารถขนาดไหน ฝีมือมวยดีแค่ไหนก็ไม่อาจต้านทานลูกปืนได้
“แม่ อย่าฟังที่แอนนาพูดเพ้อเจ้อ…”
เยี่ยเทียนถลึงตาใส่แอนนาทีหนึ่ง แล้วหันกลับมาหามารดา “แม่ ตั้งแต่ผมออกจากสำนักเต๋า ดูฮวงจุ้ยให้ใครต่อใคร ผูกดวงทำนายชะตา ยังไม่เคยผิดพลาดเลยสักครั้ง
ตึกสูงแห่งนี้เป็นที่อันตราย อีกไม่นานจะเกิดเหตุภัยพิบัติขึ้น แม่เชื่อผมสักครั้ง ย้ายบริษัทเถอะครับ อย่างน้อยแค่ให้ผมสบายใจก็ยังดี?”
เยี่ยเทียนไม่รู้จะพูดอย่างไร ตรงหน้าเขาคือมารดาที่เคารพรัก แต่เวลาพูดโน้มน้าวต้องเสียเวลาและกำลังมาก ถ้าเป็นคนอื่น เกรงว่าตัวเขาอาจจะถูกส่งตัวเข้าโรงพยาบาลบ้าไปแล้ว
“เสี่ยวเทียน ไม่ใช่ว่าแม่ไม่เชื่อลูกนะ แต่…แต่ว่าเรื่องนี้มันฟังดูเหลวไหล!”
ซ่งเวยหลันเห็นท่าทางจริงจังของบุตรชายก็พูดไม่ออก แค่อาศัยคำๆเดียวของบุตรชายก็จะทำให้ย้ายบริษัทได้เชียวหรือ ซ่งเวยหลันตัดสินใจลำบาก
การได้ทำงานในตึกแฝดแห่งนี้เป็นการแสดงถึงศักยภาพของบริษัท บริษัทห้าร้อยอันดับแรกของโลก เกือบทั้งหมดตั้งสำนักงานอยู่ในตึกนี้ และมีอีกหลายบริษัทที่คิดหาวิธีแทบตายก็ไม่สามารถเข้ามาได้
อีกทั้งช่วงเวลานี้บริษัทของเธอกำลังประสบปัญหา หากว่าทำการย้ายสำนักงานแบบเร่งด่วน ในสายตาของคนอื่น อาจจะทำให้เกิดความผกผันหรือกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อบริษัทก็เป็นได้
แล้วยังพื้นที่ที่กว้างใหญ่ของสำนักงาน มีพนักงานกว่าพันคน ถ้าให้ย้ายจริงอย่างน้อยต้องใช้เวลาถึงครึ่งปี
ในเหตุฉุกละหุกแบบนี้ ซ่งเวยหลันไม่สามารถหาสำนักงานใหม่ได้ทัน และก็ไม่สามารถให้งานทั้งหมดของบริษัทต้องหยุดชะงักลง? อย่าว่าแต่ซ่งเวยหลันเลย หุ้นส่วนคนอื่นๆก็คงไม่เห็นด้วยเช่นกัน
คิดได้ดังนี้ ซ่งเวยหลันสีหน้าดูอ่อนโยนลง จ้องมองบุตรชายและปลอบประโลม “ลูก ให้แอนนาพาลูกไปเที่ยวสักสามสี่วันนะ รอบๆนิวยอร์คมีที่สวยๆหลายที่ แม่รับรองว่าอย่างมากอีกเดือนหนึ่ง แม่จะจบงานที่นี่ให้เร็วที่สุด แล้วกลับไปปักกิ่งพร้อมลูกนะจ้ะ ดีไหม?”
“อย่างมากเดือนหนึ่ง? แม่ ไม่ต้องถึงอีกเดือนหนึ่งหรอก ที่นี่กำลังจะไม่มีแล้ว แม่ยังจะมีชีวิตกลับไปอีกเหรอ?”
เยี่ยเทียนอึดอัดจนอยากจะกระอักเลือด ถ้ารออีกหนึ่งเดือน ภัยพิบัติต้องเกิดขึ้นก่อนแน่ เขาคิดเล็กน้อยด้วยท่าทีเคร่งขรึม ตอบว่า “แม่ครับ ผมให้ทางเลือกแม่สองทาง ทางแรกคือผมพาแม่กลับไปเลย ไม่สนใจบริษัทอีกแล้ว ความเป็นความตายของพวกพนักงานไม่เกี่ยวอะไรกับผม
หรือทางที่สอง แม่มีเวลาแปดวัน ไปจัดการเรื่องบริษัทให้เสร็จสิ้น แต่หลังจากแปดวันไปแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ห้ามกลับมาที่นี่อีก แม่ นี่เป็นเส้นตายของผม แม่น่าจะรู้ว่าผมสามารถลักพาตัวแม่ออกไปจากที่นี่ได้!”
“เสี่ยวเทียน นี่ลูกพูดจริงหรือ?”
ฟังที่บุตรชายกล่าวแล้วซ่งเวยหลันในที่สุดก็ตั้งใจฟังขึ้นมา เธอรู้ว่าลูกชายของเธอพูดความจริง ถ้าบังคับให้เขาทำได้ถึงขนาดนี้ ต้องมีเหตุผลมากพอ
อีกอย่างชีวิตคนสำคัญที่สุด ถ้าเกิดเหตุการณ์ตามที่เยี่ยเทียนคาดการณ์ไว้จริง ถ้าเธอไม่ทำอะไรเลย ถึงแม้เธอไม่ตาย แต่ชีวิตที่เหลืออยู่คงต้องจมอยู่กับความรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
เยี่ยเทียนพยักหน้า เน้นย้ำว่า “จริงครับ แม่ ผมทำนายแล้วว่าที่นี่จะเกิดเหตุภัยพิบัติ แต่ผมพูดคนเดียวไม่มีใครเชื่อ ไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ แต่ผมสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาของคนรอบตัวผมได้!”
นึกถึงผลที่จะตามมาจากการทำนายของเยี่ยเทียน ซ่งเวยหลันตัดสินใจอย่างรวดเร็ว หันไปบอกแอนนาอย่างรวดเร็วว่า “แอนนา ออกไปเฝ้าที่ประตูไว้ คืนนี้ฉันจะไม่พบใครทั้งนั้น!”
รอจนแอนนาออกไปแล้ว เยี่ยเทียนเอ่ยออกมาว่า “แม่ แม่อยู่ในอเมริกาเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่ง แม่บอกคนอื่นๆได้ไหม ให้พวกเขาออกไปจากที่นี่?”
การเป็นหมอดูฮวงจุ้ย เมื่อทำนายภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ แต่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงมันได้ สำหรับเยี่ยเทียนแล้วเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดมาก
คำสอนของลัทธิเต๋ากล่าวว่า “ฟ้าดินไร้เมตตา สรรพสิ่งมีเกิดมีดับ” ทุกสิ่งล้วนมีเกิดขึ้นและดับไปเป็นไปตามสัจธรรม แต่ในใจของเยี่ยเทียนทนดูไม่ได้
“อย่า ลูก เรื่องนี้จะบอกให้ใครรู้ไม่ได้!”
เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงว่าพอเขาเริ่มเอ่ยปาก ซ่งเวยหลันรีบเอามือมาปิดปากเขาด้วยท่าทีเคร่งเครียด “เยี่ยเทียน ต่อให้เกิดภัยพิบัติขึ้น ก็อย่าไปบอกคนอื่น ไม่อย่างนั้นจะมีแต่เรื่องเดือดร้อน….”
ซ่งเวยหลันอยู่ในวงการธุรกิจมานาน เข้าใจสถานการณ์ดีกว่าเยี่ยเทียน ถ้าเกิดเหตุร้ายขึ้นจริง แต่เธอรู้ก่อนจะทำให้เกิดความยุ่งยากวุ่นวายตามมานับไม่ถ้วน
ยิ่งกว่านั้นถ้าเธอพูดออกไปเกรงว่าภาคส่วนอื่นๆก็คงไม่สนใจ ที่นี่เป็นถึงศูนย์กลางสถาบันการเงินระดับโลก ไม่มีทางที่ตึกแฝดนี้จะโดนปิดตัวลง เพราะจะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของอเมริกา
หากว่าเธอย้ายบริษัทออกไปก็ต้องมีเหตุผลที่สมควร ไม่เช่นนั้น หากเกิดเหตุร้ายขึ้นแล้วมีการสืบสวน เกรงว่าเธอจะถูกซัดทอดสอบปากคำไปด้วย
“ผมเข้าใจครับแม่ บริษัทนี้เป็นหยาดเหงื่อแรงกายของแม่ที่สร้างมายี่สิบกว่าปี ขอแค่ปกป้องบริษัทให้อยู่รอดก็พอแล้ว เรื่องของคนต่างชาติน่ะ พวกเราไม่ต้องไปกังวลแทน”
เยี่ยเทียนเป็นคนฉลาด เมื่อได้รู้ถึงความกังวลของมารดาแล้ว ก็ถอนหายใจยาว ตั้งแต่เขาร่ำเรียนวิชาฮวงจุ้ยมา นี่เป็นครั้งแรกที่รู้สึกไม่ชอบสิ่งที่ทำนายอนาคตได้ก่อน
“แม่ต้องคิดก่อน”
ซ่งเวยหลันโบกมือ คิ้วขมวดแน่น ในเมื่อเธอเลือกที่จะเชื่อบุตรชาย เธอเริ่มไตร่ตรองความเป็นไปได้ในการย้ายบริษัทใหม่แล้ว
คิดอยู่นาน ซ่งเวยหลันพูดว่า “ไม่ได้ จะย้ายไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะเกิดความวุ่นวายมาก!”
การเป็นบริษัทข้ามชาติ ที่ตั้งของสำนักงานใหญ่จะต้องได้รับความเห็นชอบจากการประชุมบอร์ดบริหารทั้งหมด จะย้ายสำนักงานภายในเวลาอันสั้นแค่นี้ ซ่งเวยหลันไม่สามารถตัดสินใจเพียงลำพังได้
อีกอย่างจุดประสงค์มันชัดเจนเกินไป ถ้าย้ายหลังจากเกิดเรื่องยังพอว่าไปอย่าง ถ้าเกิดเหตุวินาศกรรมโดยน้ำมือมนุษย์ ความผิดทั้งหมดจะถูกชี้มาที่ตัวเธอเพียงผู้เดียว
“แม่ ทำไมเปลี่ยนใจอีกแล้ว ชีวิตคนสำคัญกว่า ถึงตอนนั้นถ้ามีคนตาย แม่จะมานั่งเสียใจภายหลังนะ!”
เยี่ยเทียนเริ่มร้อนรน “ถ้าแม่ไม่ย้ายก็ได้ ผมจะพาแม่กลับเดี๋ยวนี้เลย พวกเรากลับประเทศจีนเดี๋ยวนี้ จะตายไปสักกี่คนก็ช่างหัวมันแล้ว?”
“ลูกคนนี้นี่ อยู่ต่อหน้าแม่ยังจะพูดคำหยาบอีก?”
ซ่งเวยหลันเขกหัวเยี่ยเทียนเบาๆอย่างหงุดหงิด “การย้ายบริษัทไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่ลูกคิดเลย เยี่ยเทียน ภัยพิบัติที่ลูกว่า เป็นอะไรกันแน่?”
“ไม่รู้ครับ อย่างเร็วสิบวัน อย่างช้าครึ่งเดือน ส่วนวันเวลาที่แน่นอนผมไม่รู้เหมือนกัน!”
เยี่ยเทียนส่ายหัว เขาไม่รู้เลยว่าเหตุวินาศภัยที่จะเกิดขึ้นกับตึกแฝดคู่นี้อยู่ตรงจุดไหน และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่กันแน่ เพียงแต่เอ่ยตามภาพนิมิตที่เห็น
“อย่างเร็วสิบวัน อย่างช้าครึ่งเดือน?”
ซ่งเวยหลันนิ่งเงียบไป กดโทรศัพท์บนโต๊ะแล้วสั่งงาน “อลิซ บอกทุกแผนกให้ประชุม ถ้าคนที่ไม่ได้อยู่ในบริษัทให้ต่อสายประชุม ฉันมีเรื่องจะประกาศ!”
“รับทราบค่ะ ฉันจะไปประกาศเดี๋ยวนี้!” เสียงเลขาของซ่งเวยหลันตอบกลับมาในสาย
“แม่ แม่จะทำอะไรหรือครับ?” เยี่ยเทียนมองมารดาอย่างประหลาดใจ เรื่องฉุกเฉินแบบนี้ ยังจะต้องประชุมอะไรกันอีก?
“ลูก การจัดการเรื่องนี้ไม่ต้องถึงกับย้ายบริษัทหรอก อเมริกาเป็นสังคมแบบทุนนิยม ขณะเดียวกันก็มีระบบประกันสังคมที่แน่นหนา!”
ซ่งเวยหลันยิ้มออกมา เอ่ยว่า “ไปเถอะ ลูกเข้าประชุมพร้อมกันกับแม่ ลูกนั่งฟังอยู่ข้างๆก็พอ ส่วนเรื่องภัยพิบัตินั้นอย่าได้พูดออกมาโดยเด็ดขาด!”
“แม่ แม่เอาจริงใช่ไหมครับ ตอนนี้ยังต้องประชุมอะไรกันอีก?” เยี่ยเทียนไม่เข้าใจมารดาของเขาสักนิด ถ้าอยากให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุดนั่นคือต้องย้ายบริษัทถึงจะปลอดภัย
ซ่งเวยหลันไม่ได้อธิบายต่อ สิบกว่านาทีผ่านไป อลิซแจ้งพนักงานจนครบ ซ่งเวยหลันพาเยี่ยเทียนเข้าไปในห้องประชุม
“สวัสดี ท่านประธาน…”
เมื่อเธอเดินเข้าไปในห้องประชุม พนักงานที่นั่งรออยู่ต่างลุกขึ้นยืน ช่วงนี้เป็นช่วงวิกฤตของบริษัท เกือบทุกแผนกจะต้องทำงานล่วงเวลาเหมือนกับซ่งเวยหลัน
“ทุกคนนั่งลงเถอะ”
“ซ่งเวยหลันโบกมือ แล้วนั่งลงที่หัวโต๊ะ กวักมือเรียกเยี่ยเทียนไปยืนด้านหลัง เห็นแววตาสงสัยของพนักงานแล้วเธอจึงแจ้งว่า “เขาเป็นลูกชายของฉัน ชื่อเยี่ยเทียน มาจากประเทศจีน เลยถือโอกาสนี้แนะนำให้ทุกคนรู้จักด้วย”
เหล่าพนักงานได้ยินคำของซ่งเวยหลันแล้วดวงตาปรากฏแววเข้าใจ
ซ่งเวยหลันอยู่ในบริษัทนี้เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่สุด ดูท่าข่าวลือช่วงก่อนจะเป็นจริง ท่านประธานได้โอนหุ้นทั้งหมดของเธอให้บุตรชายคนนี้ไปเรียบร้อยแล้ว
ตอนที่ 651 เงินฉาบฉวยเก็บได้ไม่นาน
Ink Stone_Fantasy
“เวยหลัน คุณอยากจะโอนหุ้นทั้งหมดให้เยี่ยเทียนผมไม่มีข้อคิดเห็น แต่ตอนนี้บริษัทกำลังอยู่ในขั้นวิกฤต คุณทำแบบนี้ มันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นะ?”
หลังจากซ่งเวยหลันแนะนำเยี่ยเทียนจบ ในที่ประชุมเงียบไปครู่หนึ่งแล้วจู่ๆมีเสียงคนๆหนึ่งดังขึ้น
แม้จะพูดภาษาอังกฤษ แต่ผู้พูดกลับเป็นคนเชื้อสายจีนอายุประมาณห้าสิบกว่า ใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ของคนจีน ทำให้คนอื่นรู้สึกเกรงขาม
“พี่หวา ฉันไม่ได้บอกว่าจะยกหุ้นทั้งหมดให้เยี่ยเทียนสักหน่อย!”
ซ่งเวยหลันถอนใจ ชายคนนี้ชื่อจ้าวหวา เป็นหนึ่งในผู้ร่วมบุกเบิกบริษัทมาพร้อมกับเธอ และเป็นผู้ถือหุ้นคนหนึ่ง ถ้าเขามีความคิดเห็นแบบนี้ เกรงว่าคนอื่นๆในบริษัทเริ่มใจไม่ดีแล้ว
“ลูกชายของฉันเก่งมาก เขาเก่งกว่าฉันหลายเท่า กิจการแค่นี้ เขาไม่ได้เห็นมันอยู่ในสายตาเลย”
สายตาของซ่งเวยหลันกวาดตามองลูกหลานตระกูลซ่งคนอื่นๆแล้วพูดต่อว่า “วันนี้ที่ฉันเรียกประชุมก็เพื่ออยากประกาศเรื่องๆหนึ่ง”
ซ่งเวยหลันพูดจบ จ้าวหวาก็ยืนขึ้น แสดงความขอโทษแก่ซ่งเวยหลัน แล้วพูดว่า “ท่านประธาน ขอโทษครับ ผมคิดมากเกินไปแล้ว”
“พี่หวา นั่งลงก่อน”
ซ่งเวยหลันโบกมือ พูดต่อว่า “ ช่วงเวลานี้ทุกคนเหน็ดเหนื่อยกันมาก บริษัทเราสถานการณ์ก็ดีขึ้นแล้ว ตอนนี้แค่รอเงินทุนก้อนนั้นถอนคืนมาได้ ความยากลำบากของบริษัทก็จะผ่านพ้นไป”
“ท่านประธาน เรื่องนี้พวกเรารู้ดี แต่เงินทุนก้อนนั้นถูกรัฐบาลอเมริกันอายัติไว้ จะเอาออกมาเลยก็ไม่ได้ แต่ทางแอฟริกากลางนั้นขาดเงินทุนมากพวกเรายังเผชิญกับภาวะเงินทุนขาดแคลนอยู่”
ผู้ที่เข้าร่วมประชุมต่างเป็นลูกน้องเก่าแก่ที่ซ่งเวยหลันไว้ใจ รู้ซึ้งถึงปัญหาของบริษัทในตอนนี้เป็นอย่างดี ช่วงก่อนที่กลุ่มผู้ดูแลการเงินโจมตีบริษัทของพวกเขาอย่างหนักจนเกือบไม่รอด
ซ่งเวยหลันพยักหน้า ตอบว่า “เรื่องเงินทุนนั้นฉันจะเป็นคนคิดหาทางออกเอง ช่วงนี้ทุกคนเหนื่อยกันมามากแล้ว ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะให้พนักงานในสำนักงานใหญ่ทั้งหมดไปพักร้อนที่บราซิลเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์!”
“พักร้อน?”
“ตอนนี้พักร้อนได้ที่ไหน?”
พอได้ยินคำประกาศของซ่งเวยหลันแล้ว ทั้งที่ประชุมตกตะลึง พวกเขาคิดไม่ถึงว่า ท่านประธานจะมาประกาศเรื่องแบบนี้
กลุ่มบริษัทข้ามชาตินั้นมีเงินกำไรจากผลประกอบการดีมาก ปกติแล้วทั้งบริษัทจะได้ออกไปเที่ยวพักผ่อนกันอยู่บ่อยๆ แต่ตอนนี้ทุกคนไม่มีกะจิตกะใจจะไปเที่ยวเลย
“ความจริงแล้วฉันเองก็เห็นแก่ตัว…”
เมื่อได้ยินเสียงคัดค้านจากทุกคน ซ่งเวยหลันเหลือบมองเยี่ยเทียนแล้วชี้แจงต่อว่า “ทุกคนก็รู้ เยี่ยเทียนแยกกับฉันตั้งแต่ยังเล็ก ฉันติดค้างเขามากมายเหลือเกิน ฉันเลยอยากถือโอกาสนี้ อยู่กับลูกฉันมากๆ”
“ผู้หญิงนี่เป็นนักแสดงโดยกำเนิดจริงๆ!”
เยี่ยเทียนที่นั่งฟังอยู่ด้านข้างกลั้นยิ้มไว้จนปากกระตุก เมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน คุณแม่ยังให้เขาไปเที่ยวคนเดียว ไม่ให้มารบกวนเวลางานของเธออยู่เลย!
“ท่านประธาน คุณไปเที่ยวกับคุณเยี่ยเถอะ พวกเราไม่ต้องหยุดงานหรอก!”
“นั่นน่ะสิ ท่านประธานควรพักผ่อนสักช่วงหนึ่งก็ดี พวกเราจะดูแลงานให้เอง!”
เหตุผลของซ่งเวยหลันทำให้คนอื่นๆในที่นี้ไม่อาจปฏิเสธได้ เธอต้องการจะไปเที่ยวกับลูกชาย ก็เป็นเหตุผลที่สมควรอยู่ อีกทั้งในมุมมองของคนอเมริกันครอบครัวย่อมสำคัญกว่างานเสมอ
“ขอบคุณทุกคนที่เข้าใจ แต่ช่วงนี้ทุกคนก็เคร่งเครียดกันมาก ฉันคิดว่า….ทุกคนควรจะได้พักผ่อนเสียบ้าง ไม่เช่นนั้นฉันได้พักอยู่คนเดียว รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่….”
ซ่งเวยหลันยิ้มออกมา “เอาตามนี้ก็แล้วกัน การท่องเที่ยวครั้งนี้ค่าใช้จ่ายทั้งหมด ฉันจะเป็นคนรับผิดชอบเอง นอกจากนี้ พนักงานที่ทำงานเกินสามเดือนขึ้นไปจะได้สิทธิ์การไปเที่ยวครั้งนี้ด้วย
ท่านประธานอย่างเธอจะให้ย้ายบริษัทนั้นคงไม่มีทางทำได้ง่ายๆ แต่ถ้าเสนอโบนัสให้ทุกคนในบริษัททั่วกัน เธอยังพอตัดสินใจได้อยู่ ยิ่งกว่านั้นคือเธอจะควักเงินออกค่าใช้จ่ายให้เอง
“งั้น….ถ้างั้นก็ได้ ช่วงนี้พวกเราเครียดกันมากเกินไป!”
ซ่งเวยหลันประกาศจบ ทุกคนต่างพยักหน้าเห็นด้วย
อย่างน้อยถือเป็นโบนัสอย่างหนึ่งที่บริษัทมอบให้ ถ้ายังดื้อดึงปฏิเสธพวกพนักงานระดับล่างรู้เข้าจะไม่พอใจ สู้ออกไปพักผ่อนให้สบายใจไม่ดีกว่าหรือ
บริษัทดำเนินการมาได้ถึงทุกวันนี้ ในแต่ละปีจะมีวันหยุดพักร้อนสิบวัน สิบวันดังกล่าวไม่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่บริษัท ยิ่งกว่านั้นช่วงวันหยุดบางคนยังคงทำงานต่อไป
“ได้เลย เดี๋ยวจะให้อลิซแจ้งไปอีกที หนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้…”
ซ่งเวยหลันมองดูเยี่ยเทียน แล้วพูดต่อว่า “หนึ่งสัปดาห์หลังจากนี้ แต่ละแผนกทำงานกันตามปกติ สำนักงานใหญ่หยุดงานสิบวัน ทุกคนรีบจัดการงานในมือให้เสร็จเรียบร้อยภายในหนึ่งสัปดาห์!”
“รับทราบ ท่านประธาน!”
อำนาจของซ่งเวยหลันแสดงออกมาตอนนี้ ทำให้ทุกคนตอบรับคำอย่างนอบน้อม การประชุมจบลง แต่ละแผนกทยอยออกจากห้องประชุม กลับไปที่แผนกของตัวเองเพื่อประกาศข่าวดี
“เวยหลัน ข่าวลือช่วงก่อนไม่คิดว่าจะเป็นความจริง ลูกชายเธอโตขนาดนี้แล้วหรือ?”
ตาแก่ที่ชื่อจ้าวหวาไม่ได้ออกไป แต่เดินเข้ามาใกล้ซ่งเวยหลัน ผายมือออกไปทางเยี่ยเทียน “หนุ่มน้อย แม่ของเธอปิดบังพวกเราไว้ตั้งยี่สิบกว่าปีแหนะ!”
“พี่หวา พูดเรื่องนี้กับเด็กทำไม?”
ซ่งเวยหลันยิ้ม แล้วดึงลูกชายเข้าไปบอกว่า “เยี่ยเทียน นี่คือคุณลุงจ้าว เป็นผู้ดูแลฝ่ายการเงินของบริษัท ตอนที่แม่ตั้งบริษัทนี้ขึ้น ลุงจ้าวก็เข้ามาทำงานแล้ว!”
“ลุงจ้าวสวัสดีครับ!” เยี่ยเทียนทักทายอย่างมีมารยาท ในใจแอบเดาว่า ลุงจ้าวคนนี้คงเป็นหนึ่งในชายหนุ่มที่เคยตามจีบแม่ของเขาแน่นอน?
“ดี เจ้าหนุ่มดูหน้าตาฉลาดหลักแหลม ดูดีกว่าซ่งเสี่ยวหลงตั้งเยอะ…”
จ้าวหวายิ้มพยักหน้า หันไปทางซ่งเวยหลันพูดว่า “เวยหลัน เรื่องหุ้นเมื่อกี้น่ะ ฉันไม่ได้จะเพ่งเล็งไปที่เยี่ยเทียนนะ ตอนนี้บริษัทเรารองรับความสั่นคลอนไม่ได้อีก!”
ไม่ว่าบริษัทใด แผนกการเงินเป็นแผนกสำคัญที่สุด จ้าวหวาเป็นลูกน้องสายตรงของซ่งเวยหลัน เมื่อก่อนเขาไม่ค่อยชอบใจซ่งเสี่ยวหลงเท่าไหร่ เพียงเพราะซ่งเสี่ยวหลงเป็นหลานชายของซ่งเวยหลัน เขาจึงไม่อาจพูดอะไรได้มาก
“พี่หวา ฉันรู้”
ซ่งเวยหลันถอนใจ บอกว่า “เด็กคนนี้ไม่อยากได้หุ้นเลยสักนิด ไม่อย่างนั้นฉันคงยกบริษัทให้เขาไปแล้ว แล้วก็จะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ด้วย”
“แม่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับผมนะ แม่อย่าโยนมาให้ผมสิ” เยี่ยเทียนเหลือกตามองบน ทำไมพูดไปพูดมากลายเป็นเขาต้องเป็นฝ่ายผิดเสียอย่างนั้น?
จ้าวหวามองเยี่ยเทียนอย่างคิดไม่ถึง เขาคิดว่าซ่งเวยหลันพูดพอเป็นพิธี แต่ไม่คิดว่าเจ้าหนุ่มตรงหน้านี้ไม่ต้องการรับช่วงต่อทรัพย์สินกิจการใหญ่โตของมารดาจริงๆ
“ช่างเถอะ พี่หวา ไม่พูดเรื่องนี้แล้ว”
ซ่งเวยหลันโบกมือ “พี่หวา ฉันอยากรู้เรื่องเงินลงทุนที่แอฟริกากลาง ว่ายังขาดอีกเท่าไหร่ นอกจากนี้เงินทุนที่ถูกกักเอาไว้ เมื่อไหร่ถึงจะได้กลับคืนมา?”
ความจริงแล้วปัญหาในบริษัทไม่ได้ใหญ่โต แต่ช่วงก่อนนี้คนของซ่งเสี่ยวหลงใช้ช่องโหว่ของบริษัทควบคุมการเงินนำเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ไปลงทุนในโครงการว่างเปล่าแห่งหนึ่ง
แม้ซ่งเวยหลันจะใช้วิธีการบางอย่างทำให้เงินทุนก้อนนั้นถูกอายัติไว้ แต่เธอก็ไม่มีทางนำเงินออกมาได้เช่นกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทประสบปัญหาใหญ่ หลายโครงการที่กำลังดำเนินการอยู่เมื่อไม่มีเงินทุนก็ไม่อาจเดินต่อไปได้
“ท่านประธาน ทั้งในแอฟริกา อาหรับและรัสเซีย มีทั้งหมดหกโครงการที่ต้องหยุดชะงักลง….”
พอพูดถึงเรื่องนี้ คำเรียกของจ้าวหวาเปลี่ยนไป เขาคิดคำนวณในใจแล้วยิ้มแห้งตอบว่า “ถ้าจะให้งานเดินต่อ เกรงว่าจะต้องใช้เงินอย่างน้อยหกพันกว่าล้าน และเงินที่ถูกอายัติไว้นั้น เกรงว่าภายในหนึ่งปีนี้จะไม่สามารถถอนคืนมาได้!”
“หกพันล้าน? ต้องใช้เยอะขนาดนั้นเชียว?”
ซ่งเวยหลันที่ได้เตรียมใจไว้แล้วยังต้องตกใจกับจำนวนตัวเลขมหาศาล เธอสามารถดึงเงินมาจากกิจการอื่นในประเทศจีนได้พันกว่าล้าน แต่ยังไงจำนวนที่ขาดก็ยังมากอยู่ดี
“อย่างน้อยต้องหกพันล้าน”
จ้าวหวาถอนใจ “ทางรัสเซียได้ออกใบเตือนครั้งสุดท้ายมาแล้ว ถ้าท่อน้ำมันดิบยังไม่เปิดดำเนินการต่อ พวกเขาจะริบกิจการกลับคืนให้คนญี่ปุ่นแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นเงินลงทุนสามพันกว่าล้านของเราคงจะละลายน้ำหายไป!”
“พี่หวา ฉันไม่ปิดบังพี่นะ ถ้าเงินแค่พันกว่าล้านน่ะฉันพอจะมีวิธี แต่หกพันกว่าล้านนี้ ฉันไม่มีทางไปรวบรวมเงินมาได้มากขนาดนั้น!”
ซ่งเวยหลันขมวดคิ้วอย่างเคร่งเครียด ใบหน้าปรากฏสีแดงจากความวิตกกังวล ระยะนี้เธอทำงานหักโหมเหน็ดเหนื่อยทั้งกายและใจ
“แม่ ปัญหาหนักมากเลยหรือ?” เยี่ยเทียนที่เงียบมานานเอ่ยปากขึ้น เขาทนเห็นคนที่รักลำบากไม่ได้ จากตอนแรกที่คิดว่าจะไม่สนใจแล้ว สุดท้ายอดไม่ได้ที่จะถามออกมา
“อืม ความเสียหายใหญ่หลวงเป็นไปได้มากว่าบริษัทอาจจะไม่รอด” ซ่งเวยหลันพยักหน้าอย่างช้ำใจ หยาดเหงื่อแรงกายยี่สิบกว่าปีของเธอกำลังจะดับสูญ
“ได้ ผมมีอยู่ห้าพันกว่าล้าน แม่เอาไปใช้ก่อนเถอะครับ!”
เห็นท่าทางมารดาใจสลาย เยี่ยเทียนหยิบเอาบัตรธนาคารออกมาจากกระเป๋าเสื้อ เอ่ยอย่างเสียดายว่า “แม่ เราตกลงกันไว้ก่อนนะครับ เมื่อไหร่แม่มีเงินแล้วค่อยคืนให้ผม ต้องคืนให้ผมทันทีนะครับ คือ…เงินนี่แลกมาด้วยชีวิต!”
ซ่งเวยหลันมองดูบัตรธนาคารในมือเยี่ยเทียนแล้วตาโต “ห้าพันกว่าล้าน? เยี่ยเทียน ที่ลูกพูดคือเงินดอลลาร์หรือเปล่า ลูก…อย่าล้อเล่นกับแม่แบบนี้นะ!”
“ผมจะไปล้อเล่นกับแม่ทำไม? เงินนี่เป็นดอลลาร์ทั้งหมด แม่จะเอาไหม ถ้าไม่เอาผมเก็บแล้ว!” เยี่ยเทียนบ่นอย่างไม่สบอารมณ์ “มีแต่คนบอกว่าเงินที่ได้มาอย่างฉาบฉวยมักจะเก็บไว้ได้ไม่นาน เงินก้อนนี้ผมยังไม่ได้ใช้เลยสักแดง!”
เมื่อก่อนในสำนักวิชาต่างๆมีกฎที่ไม่ได้บันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร กล่าวว่าเงินที่เก็บได้หรือชนะพนันนั้นต้องรีบใช้ออกไปให้เร็ว ไม่เช่นนั้นจะนำภัยมาสู่ตัว
เหมือนคนในสำนักวิชาเมื่อยุคก่อนการปฏิวัติวัฒนธรรม เมื่อได้เงินมาจะรีบนำเงินไปกินเที่ยวดื่มเล่นพนันเต็มที่ เพื่อสามารถมีชีวิตอิสระอยู่ได้ไปวันๆ ก็ด้วยเหตุผลนี้นี่เอง
ตอนที่ 652 มนุษย์พิฆาต พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน
Ink Stone_Fantasy
“เยี่ยเทียน ในบัตรใบนี้มีเงินห้าพันกว่าล้าน?”
ซ่งเวยหลันพอรู้มาว่าเยี่ยเทียนเคยได้สมบัติขุมทองกลับมาจากพม่าด้วยวิธีที่ไม่ค่อยซื่อตรงนัก แล้วก็รู้ว่าบุตรชายใช้เงินไปกับการสร้างค่ายกลฮวงจุ้ยที่ฮ่องกงไปหมด ตอนนี้จู่ๆบุตรชายก็มีเงินก้อนใหญ่ขึ้นมา พูดแล้วไม่ค่อยอยากจะเชื่อเลย
“ผมหลอกแม่ทำไมเล่า? ถ้าไม่เอาผมจะเก็บจริงๆแล้วนะ!” เยี่ยเทียนเริ่มโมโห เขาเพิ่งได้มีความรู้สึกของการเป็นคนรวยได้เพียงครู่เดียว ยังไม่ทันไรก็หายวับไปกับตา
“คุณเยี่ย ขอบัตรใบนี้ให้ผมดูหน่อยได้ไหม?”
จ้าวหวามองดูบัตรใบมือของเยี่ยเทียนแล้วตาลุกวาว เขาคลุกคลีกับบัตรธนาคารมาทุกรูปแบบ แค่มองก็รู้ได้ทันทีว่ามันไม่เหมือนกับบัตรธรรมดา
“อ่ะนี่ บนกระดาษมีรหัสบัตรเขียนอยู่” เยี่ยเทียนส่งบัตรและซองกระดาษที่มีรหัสบัตรอยู่ภายในให้จ้าวหวา
จ้าวหวาพลิกบัตรไปมา แล้วโพล่งขึ้นอย่างตื่นเต้น “ท่านประธาน บัตรใบนี้เป็นบัตรของธนาคารสวิส ผู้ถือบัตรแบบนี้ได้จะต้องมีเงินไม่ต่ำกว่าพันล้านดอลลาร์!”
ธนาคารสวิสจะจัดทำบัตรแต่ละประเภทตามลักษณะของกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน
อย่างเช่นบัตรใบนี้เป็นบัตรที่จัดทำขึ้นพิเศษ ในเนื้อบัตรผสมทองคำปริมาณหนึ่งอยู่ด้วย ทั้งยังต้องใช้วิธีการแยกแยะแบบจำเพาะ ไม่ว่าถือบัตรนี้ไปที่ธนาคารสวิสสาขาใดก็แล้วแต่สามารถถอนเงินสดออกมาได้ทันที
“เยี่ยเทียน ลูก…ลูกไปเอาเงินพวกนี้มาจากไหน?”
เมื่อรู้ว่าบัตรเป็นของจริง ซ่งเวลหลันทนดูไม่ได้ ไม่ใช่เพราะปัญหาทางการเงินของบริษัทจะถูกแก้ไข แต่เป็นเรื่องที่บุตรชายของเธอไปนำเงินจากไหนมามากมายภายในช่วงเวลาสั้นๆ ทำให้เธอยากที่จะยอมรับได้
ซ่งเวยหลันนักธุรกิจหญิงที่มีความสามารถ ทนบากบั่นมายี่สิบกว่าปีจนสร้างกิจการทรัพย์สินใหญ่โต แต่เงินสดที่เธอจะนำออกมาได้ เกรงว่าจะไม่มีมากเท่าเยี่ยเทียน
“ไม่ต้องสนหรอกว่ามาจากไหน แม่เอาไปใช้ก็พอแล้ว แม่ครับ เราตกลงกันไว้ก่อนนะ เงินนี่ยังไงก็ต้องคืนผมนะครับ!”
เยี่ยเทียนไม่ใช่คนงก แต่เพราะเงินก้อนนี้เขาแลกมาด้วยชีวิต เก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อยังไม่ทันร้อนได้กลายเป็นของคนอื่นไปแล้ว ต่อให้เขาเป็นคนใจกว้างกว่านี้ก็ยังอดรู้สึกหดหู่ไม่ได้
“ดูท่าลูกงกเข้าสิ?”
ซ่งเวยหลันยิ้มออกมา “แม่จะคืนเงินต้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราสูงสุดของธนาคารซิตี้ ไม่ขาดสักแดงเดียว พอใจรึยัง?”
เรื่องเร่งด่วนแบบนี้ ซ่งเวยหลันจึงไม่เกรงใจลูกชายแล้ว หันไปพูดกับจ้าวหวาว่า “พี่หวา เงินก้อนนี้รอจนเที่ยวเสร็จกลับมาค่อยโอนเข้าบัญชี ให้ทางรัสเซียกับแอฟริกากลางดำเนินการต่อไปก่อน ส่วนที่ขาดส่วนอื่นฉันค่อยหาทางเอามาทีหลัง!”
เมื่อมีเงินก้อนนี้ ซ่งเวยหลันก็เบาใจลงมาก เธอเริ่มเชื่อถือในคำเตือนของเยี่ยเทียนมากขึ้น ถ้าบุตรชายเป็นแค่คนธรรมดา แล้วจะหาเงินมากมายมาได้เร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?
“ครับ ท่านประธาน โปรดวางใจ ผมจะทำให้พวกคนญี่ปุ่นนั่นถอนตัวกลับไปแทบไม่ทัน!”
จ้าวหวาพยักหน้าด้วยความฮึกเหิม โครงการที่รัสเซียคนญี่ปุ่นพวกนั้นใช้วิธีสกปรกหลายอย่าง แต่เมื่อมีเงินก้อนนี้แล้ว เขาสามารถสั่งสอนพวกคนที่หวังจะมาชุบมือเปิบได้เต็มที่
“ท่านประธาน คุณเยี่ย พวกคุณคุยกันไปก่อน ผมขอตัวไปจัดการเรื่องนี้!”
หลังจากที่เยี่ยเทียนมอบเงินออกไป ท่าทีของจ้าวหวาที่มีต่อเขากลับตาลปัตร คำชมเชยของซ่งเวยหลันไม่ได้เกินจริงเลย คนลูกเก่งกว่าคนแม่หลายเท่าจริง
“แม่ จัดการจบแล้วรีบกลับเมืองจีนเถอะ”
รอจนจ้าวหวาออกไปแล้ว เยี่ยเทียนบีบหว่างคิ้วอย่างอ่อนล้า “หลายปีนี้เหตุการณ์โลกไม่ค่อยสงบสุข ยังไงก็อย่าออกไปข้างนอกบ่อยเลย”
ดวงโลกาวินาศปรากฎขึ้นทำให้โลกทั้งใบเกิดความเปลี่ยนแปลง พลังไหลวน แม้แต่สงครามและโรคระบาดมีโอกาสจะเกิดขึ้นเช่นกัน แต่โลกทางฝั่งตะวันออกจะปลอดภัยมากกว่า
“แม่รู้แล้ว เรื่องนี้จบลง แม่จะกลับปักกิ่งแล้วไม่ไปไหนทั้งนั้น”
ซ่งเวยหลันพยักหน้า รู้สึกเอ็นดู ช่วยบุตรชายคลึงจุดกลางหว่างคิ้ว ในใจถูกปลอบประโลม ครึ่งชีวิตแรกของเธอเป็นอยู่อย่างเหน็ดเหนื่อยยากลำบาก พอถึงวัยกลางคนกลับได้พึ่งพาบ่าอันใหญ่และอบอุ่นของบุตรชาย
เยี่ยเทียนนึกเรื่องบางอย่างออก มองไปทั่วห้องประชุมที่ตกแต่งอย่างหรูหรา “ใช่แล้ว แม่ครับ แม่ให้คนในบริษัทออกไปพักร้อน มันไม่ได้แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ กิจการที่นี่ไม่เอาแล้วหรือครับ?”
ซ่งเวยหลันยิ้มออกมา “ที่นี่เราเช่าเอาทั้งนั้น ไม่มีค่าอะไรหรอก อีกไม่กี่วันแม่เอาเอกสารสำคัญย้ายออกไปก็เรียบร้อย อีกอย่างค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นก็ให้บริษัทประกันเป็นคนรับผิดชอบ!”
“ก็จริง ขอแค่รักษาชีวิตคนไว้ก็พอ ข้าวของไม่สำคัญ ถ้าย้ายบริษัทจะเป็นการดึงดูดความสนใจของคนอื่น”
เยี่ยเทียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง มารดาของเขาสามารถหาวิธีแก้ปัญหาได้อย่างรัดกุม ถ้าย้ายบริษัทอย่างครึกโครม พอเกิดเรื่องขึ้นจะมีคนสงสัยเอาได้
“เสี่ยวเทียน เงินของลูกไม่ต้องถึงปีหรอก อย่างมากสามเดือนแม่ก็จะหามาคืนลูกจนครบ!” ประกายตาของซ่งเวยหลันลุกวาบขึ้น ตอนนี้เธอกลายเป็นหญิงแกร่งแห่งวอลล์สตรีทไปแล้ว
“สามเดือน? ไม่ใช่ว่าอีกปีหนึ่งถึงจะถอนเงินส่วนนั้นคืนมาได้ไม่ใช่หรือ?” เยี่ยเทียนถามอย่างแปลกใจ
ซ่งเวยหลันหัวเราะ “ถ้าสิ่งที่ลูกพูดเป็นความจริง แม่จะทำรายได้ก้อนใหญ่จากตลาดหุ้นและตลาดการค้าล่วงหน้า เงินแค่ไม่กี่พันล้านแค่นี้เล็กน้อย!”
สำหรับตลาดทุนไม่ว่าจะได้ข่าวดีหรือข่าวร้าย ก็มักมีคนทำกำไรขึ้นอยู่แล้ว หากเกิดวินาศภัยในอเมริกาจริง ซ่งเวยหลันจะทำเงินได้มหาศาลเป็นกอบเป็นกำ
เยี่ยเทียนไม่มีความรู้ด้านตลาดการเงิน ฟังซ่งเวยหลันอธิบายจบแล้วส่ายหัวไปมา “แม่ ช่างมันเถอะ เงินแบบนี้ อย่าไปหากำไรเยอะเลย เดี๋ยวจะอายุสั้นเอา”
เยี่ยเทียนหลุดบอกเรื่องภัยพิบัติที่กำลังจะเกิดขึ้น ถือเป็นการเปิดเผยความลับสวรรค์ ที่ส่งผลถึงดวงชะตาฟ้าดินแน่นอน
เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าอนาคตเขาจะต้องรับบทลงโทษจากสวรรค์ด้วยวิธีไหน ถ้ามารดายังจะใช้เงินดังกล่าวไปแสวงหาผลประโยชน์อีกละก็ เยี่ยเทียนเดาว่าสวรรค์อาจพิโรธ ฟาดสายฟ้าผ่าลงมาที่ตัวเขาจนตายคาที่
“ถ้างั้นก็ได้ ลูก ลูกกลับไปกับแอนนาก่อนเถอะ แม่จะจัดการเรื่องอีกนิดหน่อยแล้วค่อยกลับบ้าน!”
การที่ไม่ได้ใช้เงินปั่นหุ้นในตลาดหุ้นครั้งนี้ได้ ซ่งเวยหลันรู้สึกเสียดายนัก แต่สุขภาพและความสุขของคนในครอบครัวสำคัญกว่า หลังจากพิจารณาแล้ว เธอยกเลิกความคิดนั้นไป
“อย่าเลย กลับด้วยกันเถอะครับ สถานที่แบบนี้ ไม่แน่ว่าจะเกิดเหตุวุ่นวายเมื่อไหร่ก็ได้”
เยี่ยเทียนส่ายหัว ในสายตาของของเขาพลังพิฆาตที่ปกคลุมไปทั่วทั้งตึกแฝดนี้ราวกับเป็นถังระเบิด หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เหตุร้ายดันเกิดขึ้นก่อนเวลาก็เป็นไปได้ เยี่ยเทียนจะให้แม่ของเขาอยู่ที่นี่เพียงลำพังได้อย่างไร?
ซ่งเวยหลันรู้ว่าบุตรชายกังวลใจ จึงยิ้มแล้วปลอบว่า “ได้ ถ้างั้นลูกอยู่เป็นเพื่อนแม่”
ทำงานจนถึงเที่ยงคืนกว่า เยี่ยเทียนและแม่ของเขากลับมาถึงที่พัก วันนี้ตะลอนไปตะลอนมาทั้งวัน ทั้งด้วยร่างกายที่มีบาดแผลทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกอ่อนพลียมาก
“เสี่ยวเทียน ลูกนอนหรือยัง?” เยี่ยเทียนเพิ่งดึงผ้าห่มออกจากเตียงก็ได้ยินเสียงมารดามาเคาะประตูห้อง
“แม่ มีอะไรครับ?” เยี่ยเทียนหยิบเสื้อมาคลุมตัวเพื่อปิดบังเฝือกที่รัดแขนตัวเองไว้แล้วถึงเปิดประตู
“โทรศัพท์ของลูก ศิษย์พี่ใหญ่โทรมา เขาตามหาที่อยู่แม่จนเจอได้อย่างไร?” ซ่งเวยหลันยื่นโทรศัพท์ไร้สายให้เยี่ยเทียน
“ศิษย์พี่ใหญ่ ผมเยี่ยเทียน!” เยี่ยเทียนรู้สึกแปลกใจ ศิษย์พี่ใหญ่พักอยู่ที่ฮ่องกงอย่างสุขสบาย แล้วโทรศัพท์หาเขามีธุระอะไร?
“ศิษย์น้องเล็ก มือถือของนายมีไว้โชว์อย่างเดียวหรือ ฉันโทรเท่าไหร่ก็โทรไม่ติด!” เสียงของโก่วซินเจียดังลอดหูโทรศัพท์ออกมา
“อะแฮ่ม ศิษย์พี่ใหญ่ ผมลืมชาร์จแบต!” เยี่ยเทียนหัวเราะกลบเกลื่น เขาลืมชาร์จแบตที่ไหน แค่ไม่ได้พกโทรศัพท์ไว้กับตัวต่างหาก
“เธอยังอยู่ที่อเมริกาใช่ไหม?”
โก่วซินเจียอารัมภบทเล็กน้อยแล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังขึ้น “ศิษย์น้องเล็ก หลายวันก่อนฉันรู้สึกจิตใจกระสับกระส่ายไม่เป็นสุข พอทำนายดูแล้ว พบว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่!”
“ศิษย์พี่ ผมก็ทำนายออกแล้ว?”
คำพูดของโก่วซินเจียถ้าเป็นคนอื่นฟังอาจจะคิดว่ากำลังถูกตาแก่ที่ไหนหลอกอยู่ก็เป็นได้ แต่เมื่อเป็นเยี่ยเทียนกลับรู้สึกเคารพในวิชาทำนาย ฝีมือการผูกกว้าทำนายของศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้แพ้ตนเลย
“ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอต้องรู้สึกเหมือนกัน ไม่พูดอ้อมค้อมหละ ที่ๆ เธออยู่ตอนนี้ไม่ค่อยปลอดภัย รีบกลับมาให้เร็วหน่อยไม่ได้หรือ!”
ฟังเยี่ยเทียนแล้วโก่วซินเจียแน่ใจขึ้นมาว่าการฝึกตนของเยี่ยเทียนจนสามารถรับรู้ถึงการเตือนภัยต่อเหตุอันตรายนั้นเก่งกล้ากว่าตนหลายเท่า จึงไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่
“ศิษย์พี่ใหญ่ เรื่องบางเรื่องหนียังไงก็ไม่พ้นนะ ผมรู้ดีอยู่แก่ใจ ผมจะระวังตัวไม่ให้เป็นอันตราย!”
เยี่ยเทียนถอนหายใจ ถ้าไม่ใช่เพราะมารดาของเขาอยู่ที่นี่ ตัวเขาคงจะหลบไปให้ไกลที่สุดแล้ว จะมาอยู่ที่นี่ต่อเพื่ออะไร?
วางสายแล้วเยี่ยเทียนหยิบเหรียญทำนายสามอันออกมา เดินไปที่โต๊ะเพื่อโยนเหรียญทำนาย เหรียญทั้งสามกว้าปรากฏผลว่าอันตรายผิดปกติ ทำให้จิตใจของเขายิ่งสงบนิ่งมากขึ้น
“หากฟ้าพิฆาตดวงดาวจะโคจร หากดินพิฆาตพวกงูสัตว์เลื้อยคลานจะผุดขึ้น แต่นี่ไม่ใช่ทั้งแผ่นดินไหว แล้วก็ไม่ใช่คลื่นยักษ์!”
ดูจากกว้าทำนายเยี่ยเทียนพูดพึมพำคนเดียว “หากมนุษย์พิฆาต พลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน นี่ไม่ใช่ภัยธรรมชาติ แต่เป็นภัยจากน้ำมือมนุษย์!”
เมื่อก่อนไม่มีโอกาสสงบจิตใจเพื่อทำนายอย่างจริงจัง จนถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนเห็นเค้าโครงจากการทำนายแล้วว่า ภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในนครนิวยอร์คแห่งนี้ เกิดจากฝีมือมนุษย์แน่นอน
แต่เยี่ยเทียนคิดไม่ออกว่าสิ่งก่อสร้างอย่างตึกแฝดคู่นี้ ต่อให้รัฐบาลของอเมริกาอยากจะระเบิดมันเอง เกรงว่าต้องใช้ระเบิดถึงกี่ตัน ต้องเป็นคนประเภทไหนที่เก่งกาจพอที่จะพังทลายตึกขนาดใหญ่หลังนี้ได้?
“หรือจะเป็นพวกอับดุลลาห์?”
จู่ๆเงาของชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นในหัวของเยี่ยเทียน โดยเฉพาะคำพูดคำนั้นของอับดุลลาห์ทำให้เยี่ยเทียนเกิดความหวาดระแวงอย่างน่าขนลุกขึ้นมา
“ให้ตายสิ คนพวกนี้มันบ้าไปแล้ว!”
แม้จะไม่กล้าฟันธงว่าเหตุวินาศภัยที่จะเกิดขึ้นเกี่ยวข้องกับอับดุลลาห์ แต่เยี่ยเทียนรู้ว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นจากกลุ่มผู้ก่อการร้ายนี้ สำหรับคนบางคน เมื่อตัดสินใจเด็ดขาดแล้ววันหน้าก็ต้องทำให้สำเร็จ
ตอนที่ 653 ฟ้าถล่มดินทลาย (1)
Ink Stone_Fantasy
“น่าจะเหลือเวลาอีกครึ่งเดือนกว่า ถึงตอนนั้นยังไงก็ต้องออกจากนิวยอร์ค!”
เยี่ยเทียนพยากรณ์อีกครั้ง แต่ภัยพิบติที่อาจเกิดขึ้นในครั้งนี้ราวกับถูกผ้าบังเอาไว้ คำนวณยังไงก็คำนวณเวลาออกมาไม่ได้ จึงได้แต่ปล่อยมันไป
“แอนนา แม่ผมล่ะ?”
หลายวันที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นกำลังกายหรือกำลังใจ เยี่ยเทียนสูญเสียทั้งสองอย่างไปมาก เช้าวันที่สองก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาฝึกซ้อม แต่นอนถึงสิบโมงกว่า ๆ ถึงจะลุกขึ้นจากเตียง
“นายน้อย นายหญิงไปทำงานแล้วค่ะ เดี๋ยวฉันเอาอาหารเช้ามาให้ค่ะ!” แอนนาที่กำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่โซฟา พอเห็นเยี่ยเทียนเดินออกมา ก็รีบลุกขึ้น
“เห้ย ซาลาเปา น้ำเต้าหู้ แล้วยังมีปาท่องโก๋อีก ? แอนนา ไปหาของกินพวกนี้มาจากไหน?” พอเห็น แอนนายกอาหารเช้ามาให้ เยี่ยเทียนดีใจขึ้นมาทันที เพราะตอนนี้เขาอยู่ถึงนิวยอร์ค ยังมีอาหารเช้าแบบปักกิ่งมาให้กิน
แอนนาตอบว่า “นายหญิงรู้ว่าคุณชอบกินอาหารเช้าปักกิ่งก็เลยสั่งให้ร้านอาหารในไชน่าทาวน์ส่งมาให้ค่ะ!”
“อื้ม ขนมปัง นม ผมก็กินได้ พรุ่งนี้ไม่ต้องส่งมาแล้วนะ”
เยี่ยเทียนส่ายหัว แม้ว่าเขาจะเป็นบุคคลที่มีทรัพย์สินกว่า 100 ล้าน แต่เขาไม่ชินกับวิธีการใช้ชีวิตแบบนี้เลย เพราะตั้งแต่เด็ก ๆ เขาเคยเจอความยากลำบากมานับไม่ถ้วน ของนอกกายพวกนี้จึงไม่มีความอยากขนาดนั้น
“หืม ? แอนนา นี่รายการอะไรเหรอ? ”
ปากกัดซาลาเปา ส่วนความสนใจอยู่ตรงหน้าจอทีวี ในจอภาพ มีชายหนุ่มแข็งแกร่งสองคนกำลังสู้กัน เขาเลยอึ้งไปครู่นึง
หน้าจอทีวีกำลังฉายเวทีมวยที่มีชายร่างกำยำสองคนขนาดพอ ๆ กับอันเดรวิช กำลังสู้กันอยู่บนนั้น บรรยากาศบนนั้นดูเหมือนดุเดือดมาก
แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนแปลกใจ คือ หนึ่งในนั้นที่โดนคู่ต่อสู้ฟาดจนล้มไปกับพื้นเวทีแล้ว คนที่โดนฟาดลงไปกลับลุกขึ้นมาและล้มคู่ต่อสู้ได้อีก
เยี่ยเทียนที่มีประสบการณ์มวยใต้ดินมาก่อนยังไม่เชื่อเลยว่า คนที่ถูกโจมตีรุนแรงขนาดนั้น กระดูกสันหลังน่าจะหักทั้งหมด จะมีแรงลุกขึ้นมาได้ยังไง?
“คุณชาย นี่เป็นการแข่งขัน WWE ของอเมริกา หรือเรียกอีกอย่างว่ากีฬาเพื่อความบันเทิง…… ”
แอนนาที่ดูภาพนั้นอยู่และพูดว่า “พวกนี้สู้กันแบบปลอม ๆ เพื่อสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมเท่านั้น เทียบไม่ได้กับการแข่งขันที่ นายน้อยไปเข้าร่วมหรอก…..”
กีฬาเพื่อความบันเทิงเน้นมวยปล้ำอาชีพเป็นหลัก แข่งขันโดยใช้รูปแบบการแสดงละคร WWE ถือว่าเป็นบริษัทมวยปล้ำอาชีพที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ในฐานะที่เป็นยักษ์ใหญ่อุตสาหกรรมกีฬาและความบันเทิง รายการทีวีของ WWE ได้รับการแปลกว่า 30 ภาษาและออกอากาศไปแล้วกว่า 145 ประเทศ และมากกว่า 500 ล้านครอบครัวที่รับชมรายการนี้
มวยปล้ำไม่ใช่การแข่งขัน เพียงแต่ว่ามวยปล้ำในช่วงแรก ๆ จะไม่มีโครงเรื่อง เป็นการสู้เพื่อการแสดงเท่านั้นและไม่มีความเกี่ยวข้องกับการแข่งขันกีฬาเลยแม้แต่น้อย แต่หลังจากปี 1982 กีฬาประเภทนี้กลายเป็นการแข่งขันที่มีความสนุกสนานมากขึ้น
WWE มีการกำหนดบทบาทให้กับซูเปอร์สตาร์หรือผู้เล่นที่เป็นผู้หญิงทุกคนอีกด้วย แต่บทบาทเหล่านี้ไม่ได้ตายตัวบางครั้งฮีโร่ก็กลายเป็นคนร้าย บางครั้งคนร้ายก็สามารถกลายเป็นฮีโร่ได้เช่นกัน
แต่เนื่องจากโครงเรื่องจะมีลีลาขึ้น ๆ ลง ๆ และมีการต่อสู้ที่นองเลือดอย่างต่อเนื่องมากกว่าละคร ทำให้ WWE ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ และได้เริ่มออกอากาศไปยังทั่วโลก
“บ้าเอ้ย คนอเมริกานี่หาเงินเก่งจริง ๆ ”
หลังจากที่แอนนาอธิบายจบ เยี่ยเทียนก็ส่ายหัว สังคมที่นี่มันบ้าจริง ๆ นอกจากมวยใต้ดินบนเรือสำราญ ควีนอลิซาเบธที่รองรับแต่เศรษฐีแล้ว ยังมีมวยปล้ำเพื่อสร้างความบันเทิงให้กับประชาชนอเมริกาอีก
“ไป แอนนา ไปหาแม่ผมที่ทำงานกัน!”
หลังจากอาหารเช้าที่กินไปสองสามคำลงท้องไปเรียบร้อย เยี่ยเทียนก็ปิดทีวี รายการทีวีแบบนี้เป็นรายการดูหมิ่นมวยปล้ำชัด ๆ ซุปเปอร์สตาร์เหล่านั้น เวลาอยู่ในสายตาของเยี่ยเทียนก็ไม่ต่างจากตัวตลก
มาถึงตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์อีกครั้ง เยี่ยเทียนพบว่าพลังพิฆาตของที่นี่ข้นกว่าเดิมอีก เมื่อมองจากข้างนอก เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์เหมือนถูกหมอกบาง ๆ คลุมเอาไว้ แต่แสงแห่งเลือดกลับพุ่งตรงไปยังขอบฟ้า
พลังพิฆาตที่มีอยู่แตกต่างจากพลังพิฆาตที่เกิดจากธรรมชาติ พลังพิฆาตที่เกิดจากการหมุนเวียนของฟ้า ไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อร่างกายของคน เว้นเสียแต่ เยี่ยเทียนจะมองเห็นว่าบางคนมีความตายอยู่บนใบหน้า ผู้คนที่อยู่ในตึกยังคงยุ่งอยู่กับการทำงาน
เวลาเดินอยู่ในตึก เยี่ยเทียนจะรู้สึกขนลุกซู่ เพราะเขารู้ว่า อีกไม่นาน คนที่เคยทักทายเห็นหน้ากับเขา เกือบทั้งหมดจะกลายเป็นแค่วิญญาณ
ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกว่าเขากำลังพูดคุยอยู่กับคนตาย ส่วนในใจมีบางอย่างที่ไม่รู้จะพูดยังไง ถ้าไม่ใช่เพราะเป็นห่วงความปลอดภัยของแม่ เยี่ยเทียนจะไม่ก้าวเข้ามาที่นี่เป็นอันขาด
หลังจากเดินมาถึงบริษัทของซ่งเวยหลัน เยี่ยเทียนค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย เพราะเป็นเขา พนักงานในบริษัทของแม่จึงไม่ได้ทำหน้าตายใส่เขา
สำหรับลูกชายของเจ้าของ คนในบริษัทจะปฏิบัติอย่างมีมารยาท โดยเฉพาะการปรากฏตัวของเยี่ยเทียน ที่สร้างวันหยุดอันสนุกสานให้กับพวกเขา ทำให้พนักงานระดับสูง ต่ำ ต่างก็ชอบเยี่ยเทียนกันถ้วนหน้า
โดยฉพาะสาว ๆ หุ่นเซ็กซี่ ผมทอง ตาฟ้า เหล่านั้น ยิ่งหลงใหลคุณชายเยี่ยกันใหญ่
เยี่ยเทียนที่เดินจากฝ่ายต้อนรับมาจนถึงห้องทำงานของแม่ กระเป๋าเสื้อของเขามีกระดาษพร้อมเบอร์โทรเพิ่มขึ้นอย่างน้อยสิบกว่าใบ ทำให้เยี่ยเทียนตกใจจนไม่กล้าเดินออกห้องผู้บริหารทั้งวัน จนซ่งเวยหลันนึกว่าลูกชายเป็นห่วง อยากอยู่เป็นเพื่อนแม่ซะอีก
เนื่องจากซ่งเวยหลันต้องเคลียร์งานของบริษัทฯให้เสร็จภายในหนึ่งอาทิตย์ เธอจึงค่อนข้างยุ่ง ดังนั้นทั้งอาทิตย์เธอจึงอยู่แต่ในบริษัท
เยี่ยเทียนไม่มีอะไรทำ นอกจากรักษาตัวแล้ว เลิกงานพร้อมกับคุณแม่ หลังจากเข้าสู่อาทิตย์ที่สองของเดือนกันยายน ในที่สุดก็ถึงวันหยุดสักที ทุก ๆคน บินไปบราซิลกันหมด รวมถึงแม่บ้านทำความสะอาดด้วย
จากการอ้อนวอนของเยี่ยเทียน ซ่งเวยหลันก็ไม่ได้อยู่ที่บริษัทต่อ แต่กลับไปทำงานที่บ้านแทน และเธอก็ไม่ได้ทำตามคำสัญญาที่บอกว่าจะพาลูกชายเที่ยวนิวยอร์ก
“แม่ครับ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว พวกเรากลับจีนกันเถอะ?”
หลายวันที่ผ่านมา ในใจของเยี่ยเทียนรู้สึกหวาดผวาตลอดเวลา เขารู้ว่าอันตรายใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ แล้ว ความรู้สึกที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้แบบนี้ ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกไม่สบายใจมาก
“เสี่ยวเทียน ถ้าเป็นอย่างที่ลูกพูด แค่ออกจากตึกทำงานก็โอเคแล้ว พวกเราไม่ต้องออกจากนิวยอร์กก็ได้มั้ง”
มือพลิกเอกสาร และมองไปที่ลูกชายอย่างรู้สึกผิดเล็กน้อย “ถ้าภัยพิบัติเกิดขึ้นจริง การเงินทั่วโลกจะได้รับผลกระทบอย่างหนัก แม่ยังมีเรื่องต้องจัดการเยอะมาก เยี่ยเทียน รอเรื่องนี้ผ่านไปก่อนเราค่อยกลับจีนกันเถอะ!”
แม้ว่าซ่งเวยหลันจะฟังคำของลูกชาย แต่เธอไม่ได้ฉวยโอกาสสร้างเงินจากภัยพิบัติในครั้งนี้ และเธอยังทำบางอย่างที่สามารถยืนยันได้ว่าภัยพิบัตินี้จะไม่กระทบถึงบริษัทของเธอ
ภัยพิบัติจะทำให้เกิดความตื่นตระหนก ในเวลาแบบนั้น ซ่งเวยหลันจะต้องอยู่ที่นิวยอร์ก และเธอยังมีความสงสัยอยู่เล็กน้อย เรื่องราวจะรุนแรงและแย่อย่างที่ลูกชายพูดจริงหรือเปล่า?
“งั้นก็แล้วแต่แม่เลยครับ แต่ถ้าเรื่องนี้จบลง พวกเราอยากจะออกอเมริกา ก็คงไม่ง่ายแบบนั้นแล้ว!” เยี่ยเทียนคิดไปสักครู่ แต่ก็ไม่ยืนยันว่าจะออกไปอีก
พูดตามตรง ในใจของเยี่ยเทียนไม่เพียงแต่ไม่สบายใจ แต่ยังมีความสงสัยอยู่ด้วย แล้วกลุ่มก่อการร้ายที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน จะใช้อาวุธอะไรทำลายเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
หรือพวกนั้นแอบขนระเบิดนิวเคลียร์เข้ามา แล้วซ่อนไว้ที่ตึกเพื่อรอมันระเบิด? หลายวันมานี้เยี่ยเทียนคำนวณอยู่ทุกวัน แต่ก็เหมือนกับการดูดอกไม้ในดงหมอก มองไม่เห็นอะไรสักอย่าง
เยี่ยเทียนเชื่อว่า ก่อนภัยพิบัติจะมาถึง เขาจะสัมผัสได้แน่นอน ฉะนั้นขอแค่ช่วงนี้ไม่เข้าใกล้เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ที่เหมือนตึกผี ความเสี่ยงก็น่าจะไม่เยอะ
“แม่ครับ พักผ่อนเร็ว ๆ นะครับ ผมกลับห้องก่อน”
มองดูเข็มนาฬิกาชี้ไปที่สิบนาฬิกา เยี่ยเทียนลุกขึ้น กิจวัตรประจำวันของเขามีระเบียบมาก ทุกๆ สิบนาฬิกาจะเริ่มนั่งสมาธิ ช่วงเช้าตีห้าจะยืนตรงฝึกลมปราณ
“โอเค ไปพักเถอะ” ซ่งเวยหลันปัดมืออย่างไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นก็เบนความสนใจไปที่เอกสารอีกครั้ง “เอ๋ สัญญาที่ทอมเซ็นต์ฉันจำได้ว่าเอากลับมาแล้วนะ ทำไมหาไม่เจอ?”
เยี่ยเทียนส่ายหัวแบบไม่รู้จะพูดยังไง ตั้งแต่มาถึงอเมริกา แม่เปลี่ยนไปเยอะมาก ภาพลักษณ์ที่อ่อนช้อยหายไปหมด สิ่งที่เข้ามาแทนคือผู้หญิงแกร่งคนนึง
นิวยอร์ก วันที่ 11 กันยายน ค.ศ 2000
เวลาหกโมงเช้า ถนนของนิวยอร์กก็เริ่มคึกคักแล้ว ผู้คนจากสถานที่ต่าง ๆ มารวมตัวกันอยู่ที่สถานีรถไฟใต้ดิน ผู้คนหลายสิบล้านคนในมหานครที่เงียบงัน ก็เริ่มพลุกพล่านขึ้นอีกครั้ง
ไม่รู้ว่าทำไม เมื่อคืนเยี่ยเทียนไม่สามารถสงบนิ่งได้เลย และรู้สึกกระสับกระส่ายทั้งคืน แม้กระทั่งตอนเช้าที่ตื่นเพื่อฝึกออกกำลังกายเในสวนลอยฟ้าภายในบ้าน สมองก็มีแต่ความเบลอ
“แม่ครับ เดี๋ยวผมมีธุระ ไม่ต้องเรียกผมนะครับ!”
เยี่ยเทียนเจอแม่ก่อนถึงห้องนอน และสั่งเอาไว้ เขาไม่เคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน อยากคำนวณดี ๆ อีกครั้ง เพื่อดูว่าภัยพิบัติจะเกิดขึ้นวันนี้หรือเปล่า
เยี่ยเทียนหยิบกระดาษฟางที่ซื้อมาจากไชน่าทาวน์โดยเฉพาะ จากนั้นใช้นิ้วโป้งกรีดไปที่นิ้วกลาง ทันใดนั้นเลือดสดก็ไหลออกมา เยี่ยเทียนใช้นิ้วกลางวาดผังแปดทิศบนกระดาษ
ซวิ่น หลี คุน ตุ้ย เฉียน ข่าน เกิ้น เจิ้น ทั้งแปดวาดเสร็จ เยี่ยเทียนหยิบเหรียญทองแดงออกมา และโยนลงที่ผังแปดทิศ
สิ่งที่เยี่ยเทียนกำลังใช้อยู่เป็นวิชาลับของสำนักเสื้อป่าน ใช้เลือดสดของตัวเองพยากรณ์ ถ้าไม่ใช่เพราะใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขาไม่จำเป็นต้องใช้วิชานี้เลย
“จะเกิดวันนี้จริงเหรอ?”
พยากรณ์ต่อเนื่องไปสามครั้ง สีหน้าของเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนไป การพยากรณ์แสดงให้เห็นว่า ประตูบาดเจ็บคือเซียนไม้ คุนตำแหน่งสอง เกิ้นตำแหน่งแปดเป็นไม้ข่มดิน เจ้าของจะเจอเรื่องไม่ดี
เยี่ยเทียนสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ ผลักประตูและเดินออกไป วันนี้เป็นวันที่ไม่ควรออกจากประตู ไม่ว่ายังไงแม่ก็ห้ามหายไปจากระยะสายตาของเขาเด็ดขาด
“แอนนา แม่ผมล่ะ?” มองเห็นแอนนาอยู่ข้างโต๊ะอาหารคนเดียว ในใจรู้สึกไม่ดีขึ้นมาทันที
“นายน้อย นายหญิงบอกว่าลืมสัญญาฉบับหนึ่งไว้ที่บริษัท คนขับรถพานายหญิงไปเอาแล้ว!” เมื่อมองเห็นเยี่ยเทียนออกมา แอนนายกอาหารเช้ามาไว้บนโต๊ะอย่างรู้งาน
ตอนที่ 654 ฟ้าถล่มดินทลาย (2)
Ink Stone_Fantasy
“อะไรนะ? แม่ไปที่ทำงาน?”
เยี่ยเทียนตาโต คว้ามือไปจับแขนของแอนนาเอาไว้ และถามอย่างกังวลว่า “ไปเมื่อไหร่? ไปนานแค่ไหนแล้ว?”
“นาย……นายน้อย คุณทำฉันเจ็บ”
แขนของแอนนาที่ถูกเยี่ยเทียนจับเอาไว้ มีเสียงข้อกระดูกดังขึ้น “แครก” กระดูกน่าจะหลุดเพราะแรงดึงของเยี่ยเทียน ถ้าไม่ใช่เพราะแอนนาเคยอยู่ที่ค่ายไซบีเรียมาก่อน คงจะร้องขึ้นมาแล้ว
“อย่าไร้สาระนะ รีบ ๆ พูด!” เยี่ยเทียนสายตาเย็นชา มือขวาจับแขนของแอนนาและกดขึ้นไป ทำให้ข้อไหล่ของเธอต่อเข้าไปอีกครั้ง
มองดูสีหน้าเป็นกังวลของเยี่ยเทียน แอนนาอดทนกับความเจ็บปวดและตอบว่า “นายหญิงออกไปประมาณ 20 นาทีแล้ว? นายน้อย เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า?”
“ให้ตายเถอะ ผมบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่าสองสามวันนี้อย่าออกจากบ้าน?!”
เยี่ยเทียนคลายมือออก และตบลงไปที่โต๊ะอย่างแรง ทันใดนั้นโต๊ะกินข้าวที่ผลิตจากไม้เอล์มก็หักออกเป็นสี่ห้าส่วน อาหารเช้าที่วางอยู่บนโต๊ะตกกระจายไปกับพื้น
ตั้งแต่รู้จักเยี่ยเทียน แอนนาไม่เคยเห็นเขาโกรธขนาดนี้มาก่อน จึงพูดด้วยความระมัดระวังว่า “นายน้อย นายหญิงอยากบอกคุณเหมือนกัน แต่คุณบอกว่าห้ามรบกวน ก็เลย…….”
“บัดซบเอ้ย พระเจ้าล้อผมเล่นเหรอไง? ”
เยี่ยเทียนกระทืบเท้ากับพื้นอย่างแรง จากนั้นเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนกำแพง เวลานี้เป็นเวลา 8:05 น. เยี่ยเทียนเข้าไปดึงแอนนาเอาไว้ หันหลังปุ๊ปก็พุ่งออกไปทันที
“แอนนา ดึงแม่ผมไว้ได้หรือเปล่า ไม่ว่ายังไงก็ห้ามไปที่นั่นตอนนี้!”
ไม่ว่าจะเป็นความรู้สึกของวิกฤตที่เกิดขึ้นในใจหรือการทำนายที่ได้เมื่อเช้า ไม่มีสิ่งไหนไม่บ่งบอกว่าภัยพิบัติจะไม่เกิดขึ้นในวันนี้ แล้วถ้าเยี่ยเทียนทำนายไม่ผิด เวลานี้เป็นเวลานับถอยหลังแล้ว
“นายน้อย ประตูบ้านยังไม่ทันปิดเลย”
เดินถึงในลิฟต์แล้ว แอนนาเพิ่งนึกขึ้นได้ “เป็นไปไม่ได้ จากที่นี่ไปถึงอาคารเวิลด์เทรดใช้เวลาแค่ 20 นาที นายหญิงน่าจะถึงที่นั่นแล้วนะ ฉันยังไม่ได้หยิบกุญแจรถเลย!”
“ยังจะเอากุญแจอะไรอีกล่ะ ไปเรียกรถ!” เยี่ยเทียนรู้สึกใจร้อนเหมือนไฟกำลังเผา เขาอยากจะมีปีกเลยด้วยซ้ำ อยากจะบินไปอยู่ข้าง ๆ แม่
“ไปไกล ๆ ลิฟต์นี้ไม่รับคน!”
ลิฟต์เพิ่งลงได้สองชั้น ก็ถูกคนกดหยุด ไฟที่อยู่ข้างในใจของเยี่ยเทียนยิ่งพุ่งสูง ความคิดที่จะฆ่าคนก็เริ่มเกิดขึ้นแล้ว สายตามืดมัวน่าตกใจจนคนในลิฟต์ถึงกับถอยหลัง
เมื่อมองเห็นท่าทีของเยี่ยเทียน แอนนาปลอบใจเบา ๆ พูดว่า “นายน้อย อย่าทำแบบนี้เลยนะ นายหญิงไม่เป็นอะไรหรอก”
“ขอให้เป็นอย่างนั้น ถ้าเป็นอะไรขึ้น ผมฆ่ากลุ่มก่อการร้ายกลุ่มนี้แน่!”
แม้ว่าเดือนนี้จะเป็นเดือนกันยายนที่ร้อนที่สุดแห่งปี แต่ความเยือกเย็นที่กระจายออกมาจากตัวของเยี่ยเทียน ทำให้อุณหภูมิในลิฟต์ถึงกับลดลงมาหลายองศา คำพูดที่กัดฟันพูดออกมาเหล่านั้น ทำให้แอนนายังอดไม่ได้ที่จะกลัวจนตัวสั่น
เยี่ยเทียนไม่เคยรู้สึกมาก่อนเลยว่าเวลาจะผ่านไปช้าขนาดนี้ เขารู้สึกผิดที่ลงไปข้างล่างด้วยลิฟต์ หลังจากสองนาทีผ่านไป ลิฟต์จอดที่ชั้นหนึ่ง เยี่ยเทียนดึงแอนนาและออกวิ่งไปทันที
“รีบขึ้นรถ!”
ตอนนี้เพิ่งแปดโมงเช้า คนมากมายกำลังเดินทางไปทำงาน บริเวณที่รอรถมีคนต่อแถวกันยาวเหยียด เยี่ยเทียนไม่มีเวลาสนใจอย่างอื่น เขาเบียดเข้าไปด้านหน้าสุด เปิดประตูรถคันนึงออก
“เห้ ไอ้หนุ่ม มีมารยาทหน่อย……” ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจะก้มตัวลงขึ้นรถ เขาถูกคนอื่นจับไหล่เอาไว้
พอหันกลับไปดู เป็นชายผิวขาวที่อ้วนใหญ่กว่าเยี่ยเทียนสองคน ส่วนสูงเกือบ 1.9 เมตร สายตาจ้องมาที่ตัวเองอย่างไม่เป็นมิตร
“ไป!”
เยี่ยเทียนไม่มีเวลาไร้สาระกับเขาหรอก เยี่ยเทียนดันคนนั้นอย่างแรงบริเวณหน้าอกของชายคนนั้น ชายผิวขาวที่ข่มขู่เยี่ยเทียนยังพูดไม่ทันจบ ตัวเขาก็ลอยขึ้นฟ้าไปแล้ว
“พระเจ้า บินขึ้นได้ยังไง?”
“โห คุณ รีบมาดูซุปเปอร์แมนสิ!”
“โอ้มายก๊อด กังฟูของจีน ”
การปะทะของเยี่ยเทียนกับชายผิวขาวเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่ยืนอยู่บริเวณรอรถยังไม่ทันรู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ มีแค่ไม่กี่คนที่เห็นการกระทำของเยี่ยเทียน
ชายผิวขาวน้ำหนักกว่า 150 กิโล ลอยข้ามราวกั้นไปแล้ว และตกลงไปที่ถังขยะข้างถนน จากนั้นก็มีเสียงดังโครมเกิดขึ้น ทำให้บริเวณแถวนั้นยุ่งเยิงไปหมด
“ออกรถ ไม่งั้นคุณจะเป็นเหมือนคนนั้น!” หลังจากมุดเข้าไปในรถ เยี่ยเทียนใช้สายตาอันเย็นชามองไปที่คนขับรถผิวดำ
“โอเค ผมไม่ใช่ตำรวจ การกระทำของคุณเมื่อครู่ไม่เกี่ยวกับผม!”
คนผิวดำที่เห็นเหตุการณ์ทุกอย่างผ่านกระจกหลังถึงกับยักไหล่ และรีบเหยียบคันเร่ง “เมื่อกี้คุณใช้กังฟูของจีนเหรอ? คุณเท่ห์มาก หลีเสี่ยวหลงก็ทำไม่ได้หรอกมั้ง?”
คนผิวดำเป็นคนพูดมาก เขาไม่ทันสังเกตสายตาแห่งความอาฆาตของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ แต่ตอนที่เขากำลังจะพูดต่อ เงินสดหนึ่งฟ่อนก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าเขา
“สิบนาที ไปให้ถึงตึกเวิลด์เทรด 5000 ดอลล่าร์นี่จะเป็นของคุณ”
แอนนายื่นมือออกไป ยังดีที่กระเป๋าของเธอวางไว้แถวประตู และหยิบได้ทันก่อนจะออกมา ไม่งั้นเยี่ยเทียนคงจะได้นั่งรถแบบอันธพาลแล้วล่ะ
“คุณคนสวยล้อผมเล่นรึเปล่า? ผมเป็นประชาชนที่ทำตามกฎหมายนะ!”
คำพูดของคนผิวดำเกือบทำให้เยี่ยเทียนบีบคอจนตาย เยี่ยเทียนยังไม่ยื่นมือออกไป คนขับรถพูดขึ้นในทันทีว่า “ลูกค้าคือพระเจ้า แล้วคนที่ขอเป็นคุณผู้หญิงที่สวยขนาดนี้ ผมว่า……ผมสามารถทำตามคำขอคุณได้นะ”
คนผิวดำผิวปากไปหนึ่งที และหยิบเงินฟ่อนนั้นมาไว้ในมือ จากนั้นก็เปิดวิทยุในรถ ทันใดนั้นก็มีเสียงเพลงแร็ปสไตล์คนดำดังสนั่นออกจากลำโพง
เยี่ยเทียนรู้สึกแค่ตัวของเขาถูกดันไปข้างหลัง ส่วนคันเร่งก็ถูกคนขับเหยียบจนมิด รถที่จอดอยู่ตรงสี่แยก พุ่งตัวออกไปเหมือนธนู
“มันส์สุด ๆ ไปเลยเว้ย!”
พอเห็นสิ่งที่อยู่ข้างหลังสี่แยกวุ่นวายไปหมด คนขับรถผิวดำก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง มี 5000 ดอลล่าร์ไว้ใช้จ่าย เขาสามารถขับรถแบบรถแข่งได้
เยี่ยเทียนยื่นมือไปปิดวิทยุทิ้ง และตะโกนกับแอนนาว่า “โทรหาแม่ผม ไม่ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ บอกให้แม่ออกจากตึกนั้นเดี๋ยวนี้!”
ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้ เยี่ยเทียนที่เป็นคนมีสติตลอดก็สูญเสียสติไปแล้วตอนนี้ เขาลืมโทรศัพท์ที่เป็นสิ่งของในยุคปัจจุบันไปได้ยังไง ขึ้นรถแล้วถึงนึกขึ้นได้
“ฉันจะโทรเดี๋ยวนี้เลย!” พอแอนนาได้สติ ก็รีบหาโทรศัพท์ในกระเป๋าและทำการโทรออกไป ส่วนแท็กซี่ก็ยังคงซิ่งอย่างบ้าคลั่ง ร่างกายของแอนนาถูกเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาอยู่อย่างนั้น
“นายน้อย ไม่มีคนรับสาย ไม่รู้ว่านายหญิงทำอะไรอยู่?” แอนนาโทรออกไปถึงสามครั้ง และวางมือถือลงอย่างหดหู่ใจ โทรศัพท์ในห้องผู้บริหารกับแผนกต้อนรับก็ไม่มีคนรับ
“ให้ตายเถอะ ไปพักร้อนกันหมดแล้ว!” เยี่ยเทียนในเวลานี้ อยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา ทำได้เพียงฝากความหวังไว้กับแท็กซี่คันนี้ “พี่ชาย เร็วอีก ผมให้คุณอีก 5000”
“ได้ นั่งกันให้ดีล่ะ!”
แม้ว่าหนุ่มผิวดำจะไม่ค่อยพอใจที่เยี่ยเทียนปิดวิทยุเขา แต่พอได้ยินว่าจะได้เงินอีก 5000 ดอลล่าร์ ตาก็ลุกวาวทันที “ในตอนนั้น ถ้าฉันไปแข่งรถ ก็คงเร็วกว่าเซนนากับชูมัคเคอร์แน่ ๆ !”
เยี่ยเทียนไม่เคยดูการแข่งรถของเซนนา แต่เขายอมรับว่าหนุ่มผิวดำคนนี้มันบ้าจริง ๆ
ระยะทางที่ต้องใช้เวลา 20 นาที คนขับรถผิวดำใช้เวลาเพียง 6 นาทีเท่านั้น ตอนที่ลงรถ สองขาของเยี่ยเทียนยังรู้สึกอ่อนตาม เพราะเมื่อครู่มีหลายครั้งมาก ที่เกือบจบชีวิตบนรถก่อนภัยพิบัติจะมาถึง
8:10 น. ตอนที่ลงรถ เยี่ยเทียนมองดูนาฬิกา
“เห้ คุณยังไม่ได้ให้เงินผมเลย?”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังจะวิ่งไปที่ประตู คนขับรถผิวดำลดกระจกฝั่งคนนั่งลงและยื่นหัวออกมา
เยี่ยเทียนหยุดเดิน มองดูรอบ ๆ ไปครู่หนึ่งและพูดว่า “แอนนา เอาเงินให้เขา จากนั้นเธอไปหาที่หลบไกล ๆ หน่อยนะ ออกจากบริเวณนี้ไปเลย !”
ตึกนี้ไม่เหมือนกับหลายวันก่อน ตอนนี้ประตูของตึกเวิลด์เทรดถูกครอบคลุมไปด้วยพลังพิฆาต บริเวณรัศมีภายใน 10 เมตร น่าจะได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติครั้งนี้
“นายน้อย ฉันจะไปกับคุณ !” แอนนาจ่ายเงินเสร็จก็รีบตามมา
“ฉันไม่มีเวลามาดูแลเธอหรอกนะ ไปไกล ๆ ผม!” เยี่ยเทียนหันไปถลึงตาใส่ ดวงตาที่แดงเป็นเลือดน่ากลัวจนแอนนาถึงกับหยุดเดิน
หลังจากสะบัดแอนนาออกไปได้ เยี่ยเทียนพุ่งเข้าไปที่ตึกทันที แต่ตอนนี้เป็นเวลาเร่งด่วน ลิฟต์ทุกตัวเต็มไปด้วยผู้คน
บ้างก็ใส่สูทรองเท้าหนัง บ้างก็ใส่กระโปรงมืออาชีพ ไม่มีใครสัมผัสได้เลยว่าภัยพิบัติกำลังจะมาถึง ใบหน้าของพวกเขามีแต่ความสำเร็จที่สามารถหาได้จากตึกนี้
“คุณผู้ชาย ไม่ทราบว่าคุณต้องการประกันมั้ย? ผมมาจากบริษัทประกัน AIG ผมมีบริการประกันจะแนะนำให้คุณนะ” ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังใจร้อนเป็นไฟ เสียงผู้ชายดังขึ้นข้างหู
“บ้าเอ้ย ประกันมีแต่คนตายเท่านั้นถึงจะได้ใช้!”
ในใจของเยี่ยเทียนอยากจะบีบคอคนนี้ให้ตายคามือทีเดียว แต่พอดูลิฟต์ที่ไม่ลงมาสักที เยี่ยเทียนก็อดกลั้นเอาไว้ และพูดว่า “ผมสามารถซื้อประกัน 1 ล้านดอลล่าร์ได้ แต่คุณต้องบอกผมก่อนว่า ทางหนีไฟอยู่ตรงไหน?”
เยี่ยเทียนเข้าใจแล้วว่า การรอลิฟต์ขึ้นไปถึงชั้นที่ 18 คงต้องใช้เวลากว่า 20 นาที แต่เขาไม่มีเวลาอีกแล้ว เพราะความอันตรายนั้นกำลังกดทับไว้ที่หัวของเขาราวกับเมฆดำ
“ทางหนีไฟอยู่ทางนั้น คุณจะซื้อจริงหรือเปล่า?” เซลส์คนนั้นเพิ่งพูดออกมา เยี่ยเทียนก็หายไปจากตรงนั้นเหมือนลมพัด
“คุณไปรอผมที่ร้านกาแฟตรงนั้น ผมจะไปซื้อประกันกับคุณ!”
เสียงของเยี่ยเทียนดังมากจากระยะไกล สุภาษิตเคยกล่าวไว้ช่วยคนหนึ่งคนยิ่งกว่าสร้างเจดีย์เจ็ดชั้น ถือว่าเขาทำบุญละกัน!
ตอนที่ 655 ฟ้าถล่มดินทลาย (3)
Ink Stone_Fantasy
8:22น. นิวยอร์ค เวิลด์เทรด เซ็นเตอร์
เหมือนกับทุก ๆ วัน ในช่วงเช้า เวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ เป็นสถานที่ที่คึกคักที่สุด ที่นี่รวบรวมอัจฉริยะจากทั่วโลกไว้มากมาย คนที่เตรียมตัวมาแลกเปลี่ยนธุรกิจกันก็ได้เตรียมสิ่งที่จะต้องทำไว้แล้ว
ไม่มีใครรู้เลยว่า ทางหนีไฟที่เคยมีแต่พนักงานทำความสะอาดจะเข้าไป จะมีคน ๆ หนึ่งกำลังวิ่งขึ้นไป
กำลังกายของเยี่ยเทียนกับการปรับความสมดุล กำลังทำงานอย่างเต็มที่ แต่ละก้าวของเขาค่อนข้างกว้าง หนึ่งก้าวสามารถข้ามบันไดได้ถึงสิบกว่าขั้น
ตอนที่เลี้ยว ร่างของเยี่ยเทียนยืดหยุ่นราวกับนกนางแอ่น พนักงานทำความสะอาดหลายชั้นถึงกับมองไม่ทันเพราะเยี่ยเทียนหายไปต่อหน้าต่อตาอย่างรวดเร็ว
ห้องที่ปิดผนึกกับอากาศที่ขุ่นมัว ทำให้เยี่ยเทียนต้องกลั้นหายใจเอาไว้ ส่วนลมที่วิ่งอยู่ในกายเป็นพลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมทั้งหมด
ด้วยการเคลื่อนไหวที่รวดเร็วบวกกับใจที่กังวลที่สุด ตอนที่ขึ้นไปถึงชั้นที่หกสิบ หน้าผากของเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ส่วนชุดลำลองที่ใส่อยู่ เหมือนเอาไปแช่ในน้ำ เพราะตอนนี้มันแนบสนิทไปกับลำตัวของเขาแล้ว
“แปดสิบ!”
เมื่อเยี่ยเทียนเห็นตัวเลขที่แขวนอยู่ตรงกำแพง ลมปราณที่กลั้นเอาไว้ มันก็ถึงขีดสูงสุด เขาอ้าปากและพ่นมันออกมา เป็นเส้นสีขาวที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าพุ่งออกมาจากปากของเยี่ยเทียน
8:35น. มองดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ เยี่ยเทียนพบว่า ตัวเองวิ่งขึ้นมาแปดสิบชั้นใช้เวลาไปทั้งหมดแค่ 13 นาที ไม่รู้ว่าสถิตินี้สามารถยื่นขอจดการทำลายสถิติโลกบนกินเนสส์บุ๊คส์ได้หรือเปล่า?
“บัดซบเอ้ย ใครทำวะ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนบิดกลอนประตู พบว่าประตูถูกล็อกจากข้างใน เยี่ยเทียนไม่มีเวลาคิดแล้ว เขาจึงใช้ไหล่ชนเข้ากับประตู เสียง “ผัวะ” ดังขึ้น ประตูเหล็กทั้งบานถูกชนจนเปิดออก
“เสี่ยว…..เสี่ยวเทียนใช่มั้ย?”
เยี่ยเทียนยังไม่ทันสูดอากาศบริสุทธ์ เสียงของแม่ก็ดังขึ้นมาข้างหู สำหรับเยี่ยเทียนแล้ว นี่เป็นเสียงจากฟ้าเลยแหละ
“แม่ ใครให้แม่มาที่นี่ ผมบอกแล้วไง สองสามวันนี้อย่ามาที่นี่!”
แม่ที่ยืนอยู่ข้างประตูกระจก มีสีหน้าแสดงออกมาเหมือนเห็นผี ความร้อนรุ่มที่อยู่ในใจของเยี่ยเทียนอดกลั้นต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงได้ตะโกนใส่ซ่งเวยหลัน
“ลูก ลูก……เป็นอะไร?”
ซ่งเวยหลันมองเยี่ยเทียนอย่างงุนงงและมองไปที่ประตูหนีไฟที่ถูกชนจนพัง เธอพูดว่า “แม่ลืมสัญญาไว้ฉบับหนึ่ง นี่ก็จะกลับแล้ว ลูกจะโกรธอะไรขนาดนั้น?”
หลายวันที่อยู่แต่ในบ้าน ไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น มันนิ่งสงบมาโดยตลอด ทำให้ซ่งเวยหลันแอบสงสัยในการทำนายของเยี่ยเทียน เธอจึงคิดว่าจะแวะมาครู่เดียวคงไม่เป็นอะไร
แล้วสัญญาฉบับนี้ก็เก็บไว้ในห้องทำงานของเธอ คนอื่นก็หยิบให้ไม่ได้ ซ่งเวยหลันจึงต้องมาเอาด้วยตัวเอง ซ่งเวยหลันไม่ได้มองว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้น
แต่สภาพของลูกชายที่อยู่ตรงหน้าทำให้เธอทั้งโกรธทั้งขำ คนอะไรอายุ 20 กว่าแล้ว ยังรีบร้อนเป็นเด็กไปได้ แถมยังไม่ใช้ลิฟต์แต่วิ่งขึ้นบันไดมาอีกต่างหาก ตัวที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อนั่นอีก เหมือนขึ้นมาจากแม่น้ำซะอย่างนั้น
“ผมโกรธอะไรล่ะ? แม่ แม่อยากให้ผมตายรึไง?”
เยี่ยเทียน เกือบบาดเจ็บเพราะแม่ของเขา ตอนที่กำลังจะพูด สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที จากกระดูกสันหลังไปจนถึงด้านหลังศีรษะจู่ ๆ ก็รู้สึกเย็นวาบและชา ๆ
ความรู้สึกแบบนี้เยี่ยเทียนเพิ่งสัมผัสมันเมื่อไม่นานมานี้ มันเป็นช่วงที่ปะทะกับแอนโทนีมาร์คัส มันเป็นสัญญาณแห่งความตายที่กำลังจะมาถึง!
ในเวลาเดียวกัน มีเสียง “วิ๊ง ๆ ” ดังขึ้น เมื่อมองผ่านกระจกใสของห้องทำงาน เยี่ยเทียนพบว่า ขอบฟ้าตรงนั้น มีเครื่องบินลำนึงเพิ่งโผล่ส่วนหัวออกมาจากกลุ่มเมฆ
“พระเจ้า ผมรู้แล้ว!” ตอนนี้เยี่ยเทียนรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ในที่สุดเขาก็เข้าใจสักทีว่าภัยพิบัติมาจากทางไหน
เพราะในสมองของเยี่ยเทียน มีภาพเครื่องบินพุ่งเข้าใส่ตึกเวิลด์เทรดแล้ว นี่เป็นความสามารถการรับรู้ที่ซินแซฮวงจุ้ยมีเท่านั้น อันตรายใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ เยี่ยเทียนไม่ต้องทำนายอีกแล้วก็ได้
“ไอ้พวกกลุ่มก่อการร้ายเลว พวกแกจะเล่นฉันแบบนี้เหรอวะ!”
ในที่สุดเยี่ยเทียนก็เข้าใจสักทีว่าสิ่งที่อับดุลลาฮ์พูดหมายความว่าอะไร หลังจากเครื่องบินพุ่งชนตึกเสร็จ กลุ่มก่อการร้ายพวกนี้จะกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
แต่ถ้าอับดุลลาฮ์ยืนอยู่ตรงหน้าเยี่ยเทียนในเวลานี้ เยี่ยเทียนจะฆ่ามันให้ตายคามือ ตึกอาคารในอเมริกามีมากมาย เลือกอะไรไม่เลือก ทำไมต้องเลือกตึกที่ทำงานของแม่เขาด้วย?
“แม่ รีบไปกัน!”
ความรู้สึกที่เหมือนโดนไฟช็อต ทำให้เยี่ยเทียนเห็นรอยยิ้มของพระเจ้าแห่งความตายอีกครั้ง เขาไม่มีเวลาอธิบายอะไรให้แม่ฟังทั้งนั้น เขาคว้าเอวของแม่ขึ้นมาอุ้มไว้
“ไอ้ลูกคนนี้ ทำอะไรเนี่ย ปล่อยแม่ลงนะ คนอื่นเห็นจะทำยังไง?”
แม้ว่าจะถูกอุ้มโดยลูกชาย แต่ซ่งเวยหลันก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก เธอเป็นถึงเจ้าของบริษัทระดับสูงในตึกนี้ ถ้ามีคนมาเห็นจริง ๆ พรุ่งนี้เช้าคงได้ขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์การเงินแล้ว
“แม่ แม่อยากให้พ่อสูญเสียเมียกับลูกชายในวันเดียวมั้ยละ?”
เยี่ยเทียนในเวลานี้แทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว เขาหันกลับไปดูเครื่องบินที่คนปกติอาจจะมองไม่เห็นลำนั้น จากนั้นก็เดินเข้าทางหนีไฟทันที
…………-
เอมส์ เจ้าหน้าที่บริษัทประกัน AIG อารมณ์ดีมาก แม้ว่าหนุ่มคนนั้นจะซื้อประกันของเขาจริงหรือไม่ แต่ก็เป็นโอกาสหนึ่งไม่ใช่เหรอ? มีคนมากมายรวยเป็นมหาเศรษฐีร้อยล้านจากการขายประกัน พวกเขาก็รวยเพราะโอกาสที่ไม่โดดเด่นแบบนี้แหละ
“เห้ คนสวย ผมขอเลี้ยงกาแฟคุณสักแก้วได้มั้ย?”
เมื่อเขาเห็นสาวผมบลอนด์หุ่นดีที่นั่งข้างหน้าต่างตรงนั้น เอมส์ก็ยิ่งอารมณ์ดี พระเจ้าใจดีกับตัวเองมาก ตอนที่เขาเบื่อก็ยังมีผู้หญิงสวยปรากฏตัวข้าง ๆ เขา
แต่เอมส์ตัดสินใจแล้วว่า ต้องลองขายประกันให้กับสาวสวยคนนี้สักหน่อย เพราะเอมส์มองปุ๊ปก็รุ้เลยว่า กระเป๋าหนังรุ่นลิมิเต็ดยี่ห้อ LV เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด
“ไปไกล ๆ เอาก้นของคุณออกจากที่นั่งตรงนั้น!”
แต่สิ่งที่เอมส์คิดไม่ถึงเลยคือ สาวที่ดูอ่อนโยนคนนี้ แค่เปิดปากก็เริ่มด่าคนซะแล้ว ทำให้เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูก ก้นยังนั่งไม่สนิทก็ไม่รู้ว่าจะยกขึ้นหรือไม่ยกขึ้นดี
“ยังไม่ไปอีก?”
ตอนนี้แอนนากำลังรอเยี่ยเทียนอย่างใจร้อน ในใจมีแต่ไฟที่พร้อมจะระบายออกมา เธอจึงจ้องเขม่นไปและคว้าคอเสื้อของเอมส์เอาไว้
“พระเจ้า เกิด……เกิดอะไรขึ้น?”
ตอนที่แอนนาดึงคอเสื้อเอมส์ไว้และกำลังจะโยนเขาออกไป แต่เอมส์กลับนิ่งไปทั้งตัว ดวงตาแสดงอารมณ์ที่ไม่น่าเชื่อออกมา จ้องมองท้องฟ้านอกหน้าต่างอย่างตะลึง
“อะไร?” แอนนาก็ตะลึงไปครู่หนึ่ง และหันหัวตามสายตาของเอมส์ ภาพที่อยู่ตรงหน้าทำให้แอนนาไม่สามารถลืมมันได้เลยทั้งชีวิต
เครื่องบินโดยสารลำหนึ่ง ไม่รู้ว่าโผล่มาจากไหน พุ่งเข้าใส่ชั้นบนของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ทางเหนือ จากนั้นเสียงระเบิดก็ดังขึ้นอย่างสนั่น แม้แต่กระจกของร้านกาแฟริมถนนยังมีเสียงร้าวดังขึ้น
“พระเจ้า เกิดอะไรขึ้นเนี่ย?”
แม้ที่ผ่านมาแอนนาจะมีจิตใจที่เข้มแข็งมาก แต่ในเวลานี้ กลับรู้สึกเหมือนโดนคนบีบคอจนขาดอากาศหายใจ เพราะเธอรู้ว่า ออฟฟิศของซ่งเวยหลันอยู่ทางเหนือของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์
และเยี่ยเทียนเพิ่งเข้าไปข้างในตึกเมื่อ 20 นาทีที่แล้ว มันทำให้แอนนาถึงกับกรีดร้องออกมาอย่างดัง เธอลุกขึ้นวิ่งไปข้างนอกทันที
ภาพที่เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัวนี้ ทำให้ผู้คนแถวแมนฮัตตันยังตกตะลึงไปตามกัน อาคารสัญลักษณ์ตัวแทนนิวยอร์คเริ่มมีเขม่าควันลอยขึ้นฟ้า มันลอยขึ้นจนเกือบปิดท้องฟ้าไว้ทั้งหมด
เสียงระเบิดยังคงดังขึ้นเป็นระยะ เชื้อเพลิงเป็นสิบ ๆ ตันของเครื่องบินยังคงไหลออกมาไม่หยุด มันยิ่งทำให้ไฟลุกขึ้นหนักกว่าเดิม
เพียงครู่เดียว ทิศเหนือของเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ก็ถูกปกคลุมไปด้วยควันดำ เศษซากกำแพงที่แตกเพราะระเบิดลอยหล่นกระจายไปทั่ว เหมือนวันโลกแตกกำลังมาถึง!
ผู้คนที่เดินอยู่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น บริเวณที่ถูกควันดำปกคลุมไว้เหมือนเป็นนรกบนโลก พื้นดินกำลังสั่น ท้องฟ้ากำลังร้องไห้
ฝูงชนกำลังวิ่งกันไปคนละทิศคนละทาง เสียงตะโกนร้องไห้ได้ยินทั่วทิศ เศษก้อนหินที่หล่นจากฟ้านับร้อยอันคร่าชีวิตคนไปแล้วนับไม่ถ้วน ความหวาดกลัวค่อย ๆ ก่อตัวขึ้น
“ช่วยคน รีบช่วยคน……”
“โทร 911 เจ้าหน้าที่ดับเพลิงหล่ะ?”
“ผู้ก่อการร้ายโจมตี นี่เป็นการเปิดศึกกับอเมริกาแน่ ๆ !”
หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที ฝูงชนที่หวาดกลัวก็เริ่มช่วยตัวเอง พวกเขาพบว่ามือถือไม่มีสัญญาณแล้ว เบอร์โทรทุกเบอร์ไม่สามารถโทรออกได้
การตื่นตัวจากเหตุการณ์อันตรายของคนอเมริกานั้นเร็วมาก หลังจากที่เครื่องบินลำนั้นพุ่งชนตึกไปแค่ 3 นาที รถดับเพลิงคันแรกก็มาถึงใต้ตึกพร้อมไฟสัญญาณเตือน
“ให้ฉันเข้าไป นายหญิงของฉันอยู่ในนั้น!”
แอนนาที่เพิ่งมาถึงใต้ตึกทิศเหนือถูกคนกันเอาไว้ ตอนนี้สติของแอนนาหลุดไปหมดแล้ว เธอถูกเจ้าหน้าที่ดับเพลิงพาไปยังจุดที่ปลอดภัยเรียบร้อยแล้ว
……-
ถอยเวลากลับไปเมื่อ 5 นาทีก่อน เยี่ยเทียนที่อุ้มซ่งเวยหลันและไม่สนใจเสียงตะโกนโหวกเหวกของแม่ เขาวิ่งลงบันไดสุดชีวิต
เวลาลงบันไดยากกว่าตอนขึ้น ก็เลยทำให้ช้าลงเกือบเท่านึง เขาใช้เวลาไป 6 นาที เยี่ยเทียนมองตัวเลขตรงกำแพง ตอนนี้เพิ่งจะชั้นที่ 48!
ตอนที่เข็มนาฬิกาชี้ไปที่ 8.46 นาที 40 วินาที เสียงระเบิดอันน่าตกใจดังขึ้นข้างหูเยี่ยเทียนกับซ่งเวยหลัน
จากนั้นทั้งตึกก็เริ่มสั่น กำแพงรอบข้างของตึกเริ่มแตกออกเป็นรอยร้าว ราวกับว่าจะถล่มลงไปได้ทุกเมื่อ
“เยี่ยเทียน เกิดอะไรขึ้น? เกิดอะไรขึ้น?”
ซ่งเวยหลันรู้สึกถึงความโยกสั่นของตึก พอเห็นกำแพงเริ่มมีรอยร้าวเหมือนเส้นใยแมงมุม เธอเพิ่งรู้สึกตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติ จากนั้นสีหน้าก็เริ่มซีดลงทันที
“ไม่มีอะไรครับ แม่ปิดตา คนที่จะมาเก็บชีวิตของเยี่ยเทียนยังไม่เกิด แม้แต่พระเจ้าก็ห้ามเก็บไปเด็ดขาด!”
เยี่ยเทียนกัดฟัน และทรงตัวให้ตรง จากนั้นก็เดินลงบันไดต่อ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น