หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 648-649
บทที่ 648 ชั้นที่สาม!
พื้นที่สว่างไสวสุดปลายทางคือโลกแห่งใหม่!
ดูน่ากลัวและแตกต่างจากโลกทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อเคยเห็น แม้แต่ดาวหลักของสำนักวังเต๋าไพศาลที่ถูกตระกูลไม่รู้สิ้นถล่มไปยังไม่น่าตื่นตะลึงเท่าที่แห่งนี้!
ฟากฟ้ามืดมิดจากหมอกหนาสีดำ ท่อลำเลียงที่ถักทอจากเลือดเนื้อโผล่ออกมาจากหมอก ตรงดิ่งลงไปยังผืนดิน!
ในโลกใบนี้มีท่อลำเลียงคล้ายกันนี้อีกนับพันกระจายอยู่ทั่วฟ้า ส่วนปลายสายบรรจบรวม ณ จุดเดียวกันบนพื้นดิน!
จุดนั้นคือผืนดินสีดำสนิท…ที่มีเสาตั้งสูงตระหง่าน ขนาดกว้างกว่าสามร้อยเมตร!
เสาต้นนั้นก็สร้างขึ้นจากเลือดเนื้อที่เต้นตุบๆ ท่อลำเลียงนับพันเชื่อมต่อกับเสา ส่วนที่เต้นตุบๆ เหมือนจะดูดเอาเศษเลือดเนื้อจากท่อลำเลียงเข้าไป!
เสากลมตั้งตระหง่านให้เห็นเพียงแค่ส่วนเหนือพื้น ไม่มีใครรู้ว่าใต้ดินจมลึกลงไปอีกไกลเท่าใด ถัดจากเสามีดินสีดำที่เต็มไปด้วยก้อนเนื้อ แต่ละก้อนมีตัวอ่อนอยู่ด้านใน ไม่ใช่ทารกของตระกูลไม่รู้สิ้น แต่เป็นอสูรสายพันธุ์หนึ่ง!
เห็นได้ชัดว่ามีการปรับปรุงโลกใบนี้ใหม่ ท่อลำเลียงมากมายดูน่าสะพรึงกลัว รอบเสาขนาดใหญ่มีม่านแสงสีฟ้าคุ้มกันกว้างกว่าสามหมื่นเมตรคอยกีดกันไม่ให้ผู้บุกรุกเข้ามาใกล้ได้
ม่านสีฟ้าคล้ายๆ กันนี้มีอยู่รอบท่อลำเลียงทุกสายด้วยเช่นกัน ทำให้ด้านหลังม่านเหมือนเป็นโลกใบหนึ่ง ส่วนด้านนอกม่านเป็นโลกอีกใบ
เสียงสั่นสะเทือนดังก้องอยู่ทั่วบริเวณ หวังเป่าเล่อใจเต้นถี่รัวเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้าและเสียงที่ก้องโสตประสาท ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาก็สูดหายใจลึกและตกอยู่ในภวังค์ความคิด ชายหนุ่มกัดฟันแน่นก่อนจะปีนลงท่อลำเลียง ผ่านหมู่เมฆไปพบกับโลกเบื้องล่างด้วยตาของตนเอง
โลกทั้งใบเหมือนจะมีเสาค้ำเป็นจุดศูนย์กลาง ม่านแสงสีฟ้าคอยคุ้มกันเสาไม่ให้สิ่งใดย่างกรายเข้าไปใกล้ได้ โชคดีที่เขาหาท่อลำเลียงในโม่หินเจอจึงมาถึงโลกใบนี้ในฝั่งด้านในของม่านคุ้มกัน!
หัวใจของเขาเต้นถี่รัว ลมหายใจเริ่มผิดจังหวะ เขาเกาะท่อลำเลียงและมองไปรอบๆ เสาค้ำเป็นเหมือนกับรังไหมที่คอยดูดเอาสารอาหารจากโม่หิน จากสิ่งที่ได้พบเห็นมาในโม่หินทำให้ชายหนุ่มได้ข้อสรุปว่าอาจจะมีโลกอีกใบอยู่อีกด้านหนึ่งของเสา ลึกลงไปใต้ดิน!
ถ้าดินแดนศพคือชั้นแรก นี่ก็คือชั้นที่สอง… หวังเป่าเล่อหรี่ตา ภาพเรือบินรบปรากฏขึ้นในหัว เขาจำได้ว่าเรือบินรบลำนี้สร้างจากแผ่นวงแหวนยักษ์สามแผ่น
มีแผ่นวงแหวนที่สี่เชื่อมต่อกับอีกสามแผ่น ซึ่งน่าจะเป็นส่วนหลักของเรือบินรบ ตั้งอยู่กึ่งกลางด้านล่างของแผ่นวงแหวนทั้งสามที่ประกบกันอยู่
ถ้ายึดตามนี้ แผ่นวงแหวนที่สี่ก็คือชั้นที่สอง เมี่ยเลี่ยจื่อกับสหายแห่งเต๋าโยวหรันน่าจะอยู่ที่นี่! เขานวดหน้าผากขณะจ้องมองออกไปไกล โลกใบนี้กว้างใหญ่เกินไปจนมองไม่เห็นขอบสุด
ชายหนุ่มครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเลิกล้มความคิดที่จะออกนอกม่านแสงคุ้มกันไป การที่ได้อยู่ภายในม่านคุ้มกันเช่นนี้น่าจะเป็นการนำหน้าทุกคนไปหลายก้าว แม้จะดูอันตราย แต่นี่ก็น่าจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนี้
หวังเป่าเล่อหรี่ตามองขณะครุ่นคิดเช่นนั้น เขาปีนท่อลำเลียงลงไปก่อนจะกระโดดลงพื้น จากนั้นก็เดินไปตรงขอบม่านคุ้มกันและปล่อยหุ่นเชิดออกไป ชายหนุ่มพบว่าแม้จะมีความลำบากอยู่บ้างในการข้ามม่านคุ้มกันออกไป แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลย แต่พอหุ่นเชิดจะกลับเข้ามาในม่านอีกครั้งกลับทำไม่ได้ เมื่อได้ข้อสรุป เขาก็หันไปมองเสาค้ำใหญ่โตเบื้องหน้า
ชายหนุ่มยืนมองอยู่พักหนึ่งก่อนจะเดินวนดูรอบเสา ดวงตาของเขาฉายแสงวาบเมื่อกลับมาหยุดอยู่ที่เดิม จากนั้นก็ปล่อยหุ่นเชิดให้เดินเข้าไปใกล้เสาค้ำ หวังเป่าเล่ออยากตรวจดูว่าหุ่นเชิดจะสามารถจมหายเข้าไปในเสาหลักและมุดลงไปยังบริเวณที่เขาคาดว่าจะเป็นชั้นที่สามของเรือบินรบได้หรือไม่
แม้เสาหลักจะดูนุ่มนิ่มจากการที่มันเต้นตุบๆ ไม่หยุด แต่กลับแข็งกว่าท่อลำเลียงอยู่มาก ไม่มีทางเลยที่เขาจะสามารถมุดเข้าไปด้านในได้โดยไม่ดึงเปลือกชั้นนอกออกและเจาะรูเข้าไปด้านใน
หวังเป่าเล่อรู้สึกปวดหัวขึ้นมา เขามั่นใจว่าจะต้องมีอะไรบางอย่างอยู่ด้านล่างเป็นแน่ อาจจะเป็นความลับของเรือบินรบหรือไม่ก็ช่องทางหนี แต่ก็ไม่สามารถเข้าไปตรวจดูด้านในเสาค้ำได้ง่ายๆ โดยไม่เสี่ยงภัยอะไร
ชายหนุ่มไม่อยากยอมแพ้ง่ายๆ เขาหรี่ตาคิดหาทางออก ตั้งใจจะลองใช้หุ่นเชิดทดสอบดูก่อน เมื่อคิดได้ดังนั้น หวังเป่าเล่อก็สูดหายใจลึกและประเมินความแข็งของเสาค้ำอีกครั้ง ก่อนจะหรี่ตาเล็ก เกราะจักรพรรดิลักอัคคีพลันปรากฏรอบกายท่ามกลางเสียงดังสนั่น เส้นปราณสีเลือดถักทอรวมกันเป็นเกราะทรงพลังขณะที่แขนอาวุธเทพส่องแสงจ้า
เขาไม่คิดลังเลใจ เดินถอยห่างออกไปสามสิบเมตร กระทืบเท้าขวาลงพื้นเสียงดัง รวบรวมพลังทั้งหมด ก่อนจะพุ่งออกไปราวกับลูกธนู ชายหนุ่มทะยานตรงไปยังเสาค้ำ ยกแขนอาวุธเทพขึ้นนำหน้า
หวังเป่าเล่อพุ่งแหวกอากาศจนเกิดเป็นเสียงดังกึกก้อง ก่อนจะกำมือขวาปล่อยหมัดเมื่อเข้าใกล้เสาค้ำ พลังเกราะจักรพรรดิ พลังปราณของตนเอง และการพุ่งออกตัวเมื่อครู่เสริมแรงให้หมัดที่ปล่อยออกไปทรงพลังเกินกว่าหมัดครั้งไหนๆ พลังเทพพลันปะทุขึ้นเกิดเป็นเสียงกัมปนาท หมัดตรงเข้าปะทะเสาค้ำอย่างจัง!
เกิดรูโหว่ขนาดประมาณกำปั้นขึ้น ไม่ได้เกิดแรงปะทะกลับใดๆ รอยที่ปรากฏขึ้นนั้นเป็นเหมือนกับรอยบาดเล็กๆ ที่ไม่สำคัญอะไร
หมัดที่ปล่อยก่อให้เกิดเสียงปะทะอู้อี้ ของเหลวสีม่วงไหลออกมาจากรูโหว่ ทันทีที่หวังเป่าเล่อดึงหมัดกลับ รูโหว่เบื้องหน้าก็เริ่มฟื้นฟูตัวเองอย่างรวดเร็ว!
ชายหนุ่มไม่มีเวลาพอที่จะขยายรูให้กว้างขึ้นเพื่อส่งหุ่นเชิดเข้าไป ขณะที่รูโหว่กำลังจะปิดสนิท ดวงตาของหวังเป่าเล่อก็ฉายแววมุ่งมั่น ร่างกายพลันเลือนรางก่อนที่ร่างอวตารจะปรากฏตัวขึ้น ร่างอวตารแปรเปลี่ยนกลายเป็นสายฟ้าพุ่งเข้าไปในรูโหว่ก่อนที่จะปิดสนิท
หวังเป่าเล่อตัวสั่นเล็กน้อย เขาเรียกหุ่นเชิดออกมายืนคุ้มกันเมื่อพบจุดปลอดภัยที่สามารถนั่งลงได้ สมองต้องแบ่งความสนใจออกเป็นสองส่วนเพื่อคอยเฝ้าระวังรอบพื้นที่และคุมร่างอวตารดำลึกลงไปในเสาค้ำที่เต็มไปด้วยของเหลวสีม่วง
ร่างอวตารต้องพบกับฤทธิ์กัดกร่อนของของเหลวสีม่วงทันทีที่โดนตัว หากเป็นร่างจริง เลือดเนื้อคงจะโดยกัดกร่อนไปจนหมด
หุ่นเชิดเองก็คงไม่สามารถทนการกัดกร่อนได้ไหว แต่ร่างอวตารนั้นสร้างขึ้นจากสายฟ้าไม่ใช่เลือดเนื้อ จึงสามารถทนได้ระยะหนึ่ง แต่ถ้านานเกินไปก็ไม่น่าจะรอดเช่นกัน เขาจึงต้องรีบลงไปตามหาชั้นที่สามให้ได้เร็วที่สุด
แต่…ของเหลวสีม่วงก็ไม่ใช่สิ่งอันตรายเพียงอย่างเดียวในเสาค้ำ ยังมีภัยร้ายอื่นๆ ที่ไม่รู้จักซ่อนอยู่อีก ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อดำลึกลงไปได้ประมาณสามสิบเมตรก็พบกับแสงสีทองสว่างวาบขึ้น ยังไม่ทันจะเห็นได้ชัดว่าเกิดอะไรขึ้น ร่างอวตารก็สลายกลายเป็นสายฟ้าจมหายไปในของเหลวสีม่วง
หวังเป่าเล่อที่นั่งอยู่ในชั้นที่สองลืมตาตื่นทันใด เขาตรวจสอบเสาเบื้องหน้าก่อนจะเรียกร่างอวตารตนที่สองออกมา จากนั้นก็ต่อยเสาจนเกิดเป็นรูโหว่และส่งร่างอวตารเข้าไปอีกรอบ ครั้งนี้เขาระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม จึงใส่อาวุธเวทป้องกันระดับแปดติดตัวร่างอวตารไปด้วย
ซึ่งก็ถือว่ามีประโยชน์ทีเดียว ทันใดที่แสงสีทองสว่างวาบขึ้นตามด้วยเสียงระเบิดกึกก้อง เสียงนั้นมีแหล่งที่มาจากตัวตนสีทองที่พุ่งเข้าปะทะกับอาวุธเวทจนพังทลายไป ร่างอวตารแหลกสลายไป ครั้งนี้หวังเป่าเล่อมองเห็นได้ทันว่าการโจมตีนั้นมีต้นตอมาจากที่ใด
ต้นตอนั้นก็คือนิ้วหักงอสีทอง!
บทที่ 649 ชุดคลุมออกศึก!
สิ่งนั้นไม่ได้มีสัมผัสของอาวุธเทพ เป็นแค่นิ้วมือธรรมดาสร้างขึ้นจากคลื่นพลังที่ทำให้หวังเป่าเล่อแทบจะหยุดหายใจ ราวกับว่าเพียงแค่นิ้วหักงอเข้าสัมผัสก็สามารถทำให้ร่างของเขาสลายกลายเป็นฝุ่นผงได้!
หัวใจของเขาเต้นถี่รัวเมื่อความกังวลเข้าถาโถมใส่ ชายหนุ่มนั่งใคร่ครวญด้วยแววตาเคร่งเครียด ก่อนจะเตรียมตัวเปิดรูโหว่และส่งร่างอวตารเข้าไปอีกครั้ง
ร่างอวตารพุ่งตัวไปอย่างรวดเร็วเมื่อเข้าไปในเสาค้ำได้ มันไม่ได้ดำลึกลงไปแต่ทะยานขึ้นด้านบน พยายามอยู่ตรงจุดกึ่งกลาง ร่างโชกไปด้วยของเหลวสีม่วง จากนั้นก็ปลดปล่อยแรงเหวี่ยงส่งของเหลวสีม่วงพัดกระจายออกไป
ความโกลาหลที่เกิดขึ้นดึงความสนใจเหล่าตัวตนน่าสะพรึงกลัวภายในเสาค้ำทันที ลำแสงสีทองนับสิบพุ่งตรงมาทางร่างอวตารทันที
ตอบสนองช้ากว่าที่คิด… หวังเป่าเล่อหรี่ตาครุ่นคิด ลำแสงที่พุ่งตรงมาเจาะผ่านร่างอวตารทันที เขาเห็นตัวตนของลำแสงก่อนร่างอวตารจะแหลกสลายไปหมด ลำแสงเหล่านั้นคือแขนขาและส่วนต่างๆ ของร่างกายในสภาพหักงอ!
ทุกส่วนล้วนมีสีทอง!
แต่ละส่วนนั้นไม่ได้มาจากร่างเดียวกัน กลุ่มลำแสงสีทองจากไปหลังจากทำลายร่างอวตารของชายหนุ่มเสร็จ หวังเป่าเล่อเตรียมตัวไว้พร้อมอยู่แล้วจึงปล่อยร่างอวตารอีกร่างเข้าไปในเสาค้ำอย่างไม่ลังเลใจ
“ลองดูอีกรอบว่าพวกมันตอบสนองเร็วแค่ไหน!” ชายหนุ่มพูดพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะพุ่งความสนใจไปที่ร่างอวตาร
ร่างอวตารทะยานขึ้นสูงอย่างรวดเร็วทันทีที่เข้าไปในเสาค้ำ พยายามก่อความโกลาหลภายในและคอยรักษาตำแหน่งให้อยู่จุดกึ่งกลาง ไม่นาน…ร่างอวตารก็ถูกทำลายย่อยยับ
แขนขาพวกนั้นคิดเองไม่ได้ พวกมันโจมตีตามสัญชาตญาณ…ถึงจะแข็งแกร่งแต่ก็มีช่องโหว่ หลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก เขาก็ลองดูอีกรอบทันที
ชายหนุ่มลองอีกครั้ง สองครั้ง สามครั้ง…เจ็ดครั้ง แปดครั้ง เก้าครั้ง…เขาต้องกินโอสถมากมายเพื่อฟื้นฟูพลังปราณที่เสียไปเป็นจำนวนมากพร้อมกับปล่อยร่างอวตารนับไม่ถ้วนออกไปไม่หยุดหย่อน พวกมันเป็นเหมือนเครื่องบูชายัญที่ต้องส่งไปตายซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ร่างอวตารกลายเป็นเหยื่อล่อ คอยโจมตีที่เดิมซ้ำๆ ล่อเหยื่อให้มารวมตัวกัน ณ จุดเดียว!
การลวงล่อของชายหนุ่มทำให้ตัวตนสีทองมารวมตัวกันมากขึ้น ผ่านไปพักใหญ่ หวังเป่าเล่อที่หน้าซีดเผือดก็ต้องเห็นภาพร่างอวตารถูกทำลายไปอีกครั้ง ร่างกายของเขาเหมือนโดนสูบพลังไปจนหมด แต่ก็ยังส่งร่างอวตารอีกตนออกไปพร้อมกับโบกมือเรียกกระบี่บินเล่มหนึ่งให้ติดตัวมันไปด้วย ครั้งนี้ ร่างอวตารไม่ได้ลอยขึ้นไปเหมือนเดิม แต่กลับพุ่งตัวลงไปแทน!
มันดำลงไปลึกกว่าที่ร่างอวตารตัวก่อนๆ เคยไปถึง เหล่าตัวตนสีทองได้ไปรวมตัวอยู่บริเวณด้านบนทำให้ร่างอวตารสามารถดำลึกลงมาได้อย่าง่ายดาย
ร่างอวตารพุ่งผ่านชั้นที่สองไปถึงดินแดนที่ไม่รู้จัก ตอนนั้นเองเหล่าชิ้นส่วนร่างกายสีทองถึงจะตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้น!
หวังเป่าเล่อเห็นบางอย่างเรืองแสงด้านนอกเสาค้ำ แต่ยังไม่ทันจะได้ตรวจสอบให้ละเอียด ชิ้นส่วนร่างกายสีทองสภาพแตกหักก็พุ่งแหวกของเหลวสีม่วงตรงมาหา ก่อนที่พวกมันจะตรงเข้าโจมตี ร่างอวตารก็อ้าปาก ปล่อยกระบี่บินสีแดงทะยานออกไป!
กระบี่เล่มนั้นคือกระบี่ที่ทรงพลังที่สุดในหมู่กระบี่บินสามสี มีพลังเทียบเท่ากับอาวุธเวทระดับเก้า
ร่างอวตารปล่อยพลังหนุน สายฟ้ามากมายพลันปรากฏรอบกระบี่เสริมพลังและความเร็วเพิ่มขึ้น กระบี่พุ่งตรงไปยังผนังเสาค้ำ แม้เสาค้ำจะแข็งหนาและสามารถฟื้นสภาพได้ไว แต่การโจมตีเมื่อครู่ก็เปิดช่องว่างเล็กๆ ขึ้นได้!
ช่องว่างที่เปิดออกกว้างไม่ถึงสามเซนติเมตร เป็นเพียงแค่รอยข่วนเล็กๆ บนเสาค้ำใหญ่โต มนุษย์หรือหุ่นเชิดไม่สามารถลอดผ่านไปได้ แต่ร่างอวตารของเขาสร้างขึ้นจากอัสนี มันแปลงกายเป็นสายฟ้าพุ่งตามกระบี่ลอดผ่านช่องว่างไปในพริบตา!
กระบี่บินสีแดงไม่สามารถผ่านไปได้ ช่องว่างปิดตัวลงทันใดหลังจากร่างอวตารผ่านออกไป ทิ้งกระบี่ให้ติดอยู่ภายในเสาค้ำ
หวังเป่าเล่อปวดใจที่ต้องเสียกระบี่ไป แต่ก็ไม่มีเวลามัวมาคร่ำครวญ ร่างอวตารปรากฏตัวนอกเสาค้ำและเริ่มสำรวจรอบๆ ตัว
ภาพเบื้องหน้าทำให้ร่างอวตารและร่างจริงตื่นตะลึงไป!
บริเวณใต้ชั้นที่สองไม่สามารถบรรยายได้ว่าเป็นโลกอีกใบ ทั่วบริเวณไม่ได้กว้างนัก เป็นเหมือนแค่ถ้ำกว้างแห่งหนึ่ง ไม่ใช่โลกใบใหม่!
ปลายอีกด้านของเสาค้ำห้อยลงมาจากผนังถ้ำ ตั้งค้างเติ่งอยู่กลางอากาศไม่ได้เหยียดยาวลงมาถึงพื้นดิน ดูเหมือนกับอุโมงค์ที่เชื่อมต่อไปยังชั้นที่สอง
รอบเสาค้ำมีหนวดจับยื่นยาวออกมา สั้นยาวแตกต่างกันไป ดูแล้วเหมือนกับหนวดสัตว์ที่ปลิวพลิ้วไปตามลม ที่น่าสะพรึงกลัวสำหรับหวังเป่าเล่อที่สุดคือมีศีรษะผุดออกมาจากปลายหนวดจับ!
ศีรษะเหล่านั้นมีทั้งหญิงและชาย ทั้งเด็กและแก่ ราวกับว่าศีรษะพวกนี้ถูกสะบั้นออกจากบ่าและนำมาประดับตรงปลายหนวดจับไว้ เกิดเป็นภาพน่าขนลุก ชายหนุ่มหยุดหายใจเมื่อหันไปพบ เมื่อดูให้ละเอียดแล้ว ดวงตาทุกคู่ล้วนปิดสนิท ไม่ว่าหนวดจับจะโบกไปมาแรงแค่ไหนก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น หนวดจับบางเส้นหย่อนตัวลงทะเลสาบด้านล่าง!
ทะเลสาบเบื้องล่างมีสีทอง ผิวน้ำนิ่งสงบไม่ไหวติง ตรงกลางแม่น้ำ ด้านล่างเสาค้ำ มีร่างหนึ่งนั่งอยู่!
ร่างสามหัวหกแขนบ่งบอกชัดเจนว่าเขามาจากตระกูลไม่รู้สิ้น ดูแข็งแกร่งกำยำ พลังไร้เทียมทานแผ่จากร่างปกคลุมทั่วพื้นที่
ในกายผู้ฝึกตนคนนั้นมีพลังวิญญาณมากมายดั่งมหาสมุทร ตรงหน้าผากมีรูโหว่ที่ได้ทะเลสาบคอยฟื้นฟูสภาพแต่ก็ยังขยายออกอยู่เรื่อยๆ ไม่มีทีท่าว่าจะรักษาได้สมบูรณ์
ร่างอวตารหรี่ตามองภาพเบื้องหน้า หยุดยืนดูอยู่นานก็ไม่พบอะไรผิดแปลก หวังเป่าเล่อจึงเริ่มตรวจดูร่างกลางแม่น้ำอย่างระมัดระวัง
เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่นาน ก่อนจะเดินเข้าไปมองอยู่ไกลๆ
ไม่มีทั้งสัญญาณชีวิตหรือความตาย เหมือนเป็นแค่กายเนื้อ แต่ก็ให้สัมผัสคล้ายกับ…สมบัติเวท หวังเป่าเล่อไม่รู้จะอธิบายร่างกลางทะเลสาบอย่างไร ยิ่งตรวจดูก็พบว่ามันดูคล้ายกับ…ชุดคลุม!
อาจจะบอกว่าเป็น…ชุดเกราะก็ได้!
“เหมือนจะเป็น…ศิลาวิญญาณด้วยเหมือนกัน เป็นภาชนะบางอย่างที่ใช้กักเก็บปราณวิญญาณอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลงขณะพึมพำกับตนเอง เขากำลังจะลงทะเลสาบไปตรวจสอบใกล้ เตรียมใจพร้อมรับสถานการณ์เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้ หากเกิดอะไรขึ้นมา เขาจะตัดการเชื่อมต่อระหว่างร่างจริงและร่างอวตารทันที
ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังจะมุ่งหน้าเข้าไปใกล้ ทันใดนั้นเอง…ศีรษะชายแก่คนหนึ่งที่ห้อยติดกับหนวดจับเหนือหัวก็พลันลืมตาตื่น!
ศีรษะชายชราเต็มไปด้วยผมหงอกขาวและริ้วรอยแห่งวัย ดวงตาดูสับสน เสียงแหบห้าวดังขึ้น
“ช่วยข้าด้วย…ช่วยข้า…”
หวังเป่าเล่อขนหัวลุกทันทีที่ได้ยินเสียงนั่น เขารีบถอยกลับและเงยหน้าขึ้นมอง ก่อนจะต้องตื่นตกใจไป ชายชราที่เอ่ยพูดขึ้นได้ตายไปแล้ว ดวงตาเต็มไปด้วยความมืดมิด แต่เสียงยังดังก้องแจ่มชัด เหมือนจะมีพลังบางอย่างแฝงอยู่ เป็นพลังที่สามารถเจาะทะลุถ้ำและเรือบินรบออกไปสะท้อนอยู่ในกาลอวกาศ
ชายหนุ่มคุ้นเคยกับเสียงนั่น มันคือเสียงร้องขอความช่วยเหลือที่พัดผ่านตามลมมาจนถึงสำนักวังเต๋าไพศาล เป็นเสียงของ…บิดาของเฟิ่งชิวหรันที่นางอยากพบใจจะขาดและอาจารย์ลุงของเมี่ยเลี่ยจื่อผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นผู้ฝึกตนทรงอำนาจของสำนักวังเต๋าไพศาล!
ไม่มีอะไรที่ข้าสามารถทำได้ในที่แห่งนี้…ข้าต้องบอกเรื่องนี้ให้ผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรันและคนอื่นทราบให้เร็วที่สุด! หวังเป่าเล่อหรี่ตา ยังไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะตรวจสอบร่างผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้น ส่วนร่างจริงก็จะแยกออกไปตามหายเฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ
ขณะที่ชายหนุ่มกำลังจะลงมือตามแผนที่วางไว้…แม่นางน้อยที่เงียบหายไปนานก็โพล่งขึ้นในหัว!
“นั่นคือชุดคลุมออกศึก…เป็นสิ่งที่ควบคุมเรือบินรบลำนี้!”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น