หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 642-645
บทที่ 642 พลังเทพทั้งหก!
หากเป็นคนอื่นคงไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ แต่หวังเป่าเล่อเป็นได้ศึกษาเรื่องอาวุธเวทมาตลอดตั้งแต่เริ่มฝึกวิชาใหม่ๆ เขาเริ่มตั้งต้นในสาขาอาวุธเวท จากนั้นก็ได้เลื่อนขึ้นไปตำหนักอาวุธเวท ตอนอยู่บนดาวอังคารก็คอยศึกษาเกี่ยวกับการหลอมอาวุธเวทอยู่ตลอดจนทักษะและความรู้อยู่ในระดับผู้เชี่ยวชาญ
เขาสามารถหลอมอาวุธเวทระดับแปดที่สมบูรณ์ได้จึงมั่นใจว่าตนจะสามารถหลอมดวงจิตทั้งหกเข้ากับอาวุธเวทได้เช่นกัน
ที่น่าเป็นห่วงคือดวงจิตพวกนี้อ่อนพลังมาก หากทำผิดพลาดหรือเกิดแรงต้านระหว่างกระบวนการหลอมแม้แต่นิดเดียวอาจสร้างความเสียหายให้กับดวงจิต ถึงขั้นแหลกสลายไปได้ หวังเป่าเล่อคิดขณะก้มหัวคุ้ยกระเป๋าคลังเวท เขาเจอวัสดุหลอมมากมาย รวมถึงวัตถุเวทที่ไม่สมบูรณ์อีกหลายชิ้น
แต่ก็นำมาใช้การไม่ได้ ถ้าดวงจิตแข็งแกร่งกว่านี้ เขาคงไม่ต้องกังวลว่าจะสร้างความเสียหายให้กับพวกมันระหว่างการหลอม หากเป็นเช่นนั้นก็จะสามารถนำวัตถุสภาพไม่สมบูรณ์มาได้ แต่ก็อาจเกิดแรงต้านระหว่างการหลอมได้ตลอด
แรงต้านจะเกิดขึ้นเมื่อกระบวนการหลอมอาวุธเวทขั้นต้นเข้ากับดวงจิตเทพไม่มั่นคง โดยทั้งสองสิ่งอาจได้รับความเสียหายประมาณหนึ่งก่อนจะหลอมเป็นอาวุธเวทได้สำเร็จ
นักหลอมอาวุธเวทหลายคนไม่ค่อยให้ความสำคัญเรื่องนี้ ดวงจิตเทพที่จะนำมาใช้เป็นวิญญาณวุธและหลอมเข้ากับอาวุธเวทจะต้องคัดสรรเป็นพิเศษเพื่อให้มั่นใจว่าจะหลอมรวมกันได้สำเร็จแม้จะได้รับความเสียหายระหว่างกระบวนการหลอม
ชายหนุ่มครุ่นคิดถึงปัญหาข้อนี้ เขาเลิกล้มความตั้งใจที่จะใช้วัตถุสภาพไม่สมบูรณ์ไป ดวงตาพลันฉายแสงวาบเมื่อหันไปเห็นรอยโหว่ของหัวกะโหลก
หวังเป่าเล่อไคร่ครวญอยู่พักใหญ่ จากนั้นก็ลุกยืนขึ้นและโค้งคำนับให้กับหัวกะโหลกที่ตนเหยียบอยู่
“ศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่ หวังเป่าเล่อผู้นี้เป็นศิษย์ของหมิงคุนจื่อ ข้าบังเอิญผ่านมาและสัมผัสได้ถึงดวงจิตที่หลงเหลืออยู่ในที่แห่งนี้ ข้าอยากจะเปลี่ยนพวกมันเป็นวิญญาณวุธเพื่อให้ดวงจิตเหล่านี้คงอยู่ต่อไป ซึ่งข้าจะต้องใช้กระดูกของท่านมาหลอมเป็นวัตถุบรรจุวิญญาณวุธ โปรดเข้าใจการกระทำของข้าด้วย!” หวังเป่าเล่อมีสีหน้าจริงจัง เขาสูดหายใจลึก จากนั้นก็ออกเดินหากระดูกรอบเมืองและบนภูเขาที่ตั้งอยู่บนกะโหลก
ไม่ใช่ทุกชิ้นที่จะสามารถนำมาใช้หลอมเป็นอาวุธเวทได้ ชายหนุ่มตามหากระดูกชิ้นที่มีพลังชีวิตและความยืดหยุ่นประมาณหนึ่ง
มีกระดูกจำนวนหนึ่งที่มีคุณสมบัติตามนั้น แต่เกณฑ์การเลือกอีกข้อที่สำคัญที่สุดคือ กระดูกชิ้นนั้นจะต้องผสานรวมกับดวงจิตได้!
อธิบายง่ายๆ คือ ก่อนยักษาจะตาย กระดูกชิ้นนั้นได้ดูดซับเอาพลังชีวิตและความรู้สึกในชั่วขณะนั้นเอาไว้ ทำให้กระดูกที่ว่ามีคุณค่ามากทีเดียว!
แม้กะโหลกจะใหญ่โตมโหฬาร หวังเป่าเล่อกลับหากระดูกที่มีคุณสมบัติตามที่ต้องการได้แค่สิบกว่าชิ้น ซึ่งต้องขุดขึ้นมาเอง เขาคิดอยากหลอมเกราะจักรพรรดิของตนเอง แต่ก็คงเป็นไปไม่ได้ ได้แต่คิดว่าหลี่อู๋เชินช่างเก่งกาจเสียจริงๆ
เมื่อไม่มีทางเลือกอื่น หวังเป่าเล่อก็ปลดปล่อยเกราะที่มือข้างขวา รวมพลังอาวุธเทพมาใช้ขุดค้นกระดูกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องใช้พลังกายของตนเอง!
อาวุธเทพแหลมคมมาก แต่กระดูกก็แข็งมากเช่นกัน ชายหนุ่มต้องออกแรงเพิ่มเล็กน้อย และปลดปล่อยพลังปราณเต็มขั้นอยู่หลายครั้งถึงจะขุดขึ้นมาได้สิบเอ็ดชิ้น
แต่ละชิ้นมีความยาวประมาณหนึ่งฝ่ามือ เมื่อนำมาต่อกันก็ดูมีขนาดใหญ่ แต่เมื่อเทียบกับโครงกระดูกทั้งตัวแล้วถือว่าเล็กมาก
ในอดีต หลี่อู๋เชินต้องฝึกคาถาร้ายกาจหรือไม่ก็คงโชคดี มิเช่นนั้นคงไม่สามารถเปลี่ยนร่างเป็นอาวุธเทพได้ ศิษย์พี่จากสำนักแห่งความคนนี้ต้องเป็นบุคคลแกร่งกล้าเช่นกัน แต่ถึงกระดูกจะแข็งเท่าไหร่ ก็เทียบกับอาวุธเทพไม่ได้อยู่ดี หวังเป่าเล่อก้มมองเกราะจักรพรรดิลักอัคคีบนแขนขวาขณะครุ่นคิด
เขาเลิกคิดและนั่งลง ปล่อยหุ่นเชิดออกมาคุ้มกันรอบๆ จากนั้นก็ปล่อยเปลวไฟสีดำออกมาพร้อมกับทำสมองให้โล่ง ชายหนุ่มตั้งผนึกมือ เริ่มหลอมกระดูกทั้งสิบเอ็ดเข้าด้วยกัน!
ชายหนุ่มตั้งใจจะใช้กระดูกของยักษามาหลอมเป็นแก่นวิญญาณเพื่อสร้างสมบัติเวท ซึ่งจะช่วยให้การกระบวนการผสานดวงจิตเป็นไปอย่างราบรื่น
แม้จะท้าทายอยู่มาก แต่หวังเป่าเล่อก็เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวท โดยเฉพาะเรื่องการคำนวณตัวอักขระที่ต้องใช้ในการหลอม เพราะเหตุนี้เขาจึงค่อนข้างมั่นใจว่าจะทำได้สำเร็จ
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ หลังจากชายหนุ่มเริ่มกระบวนการหลอม เขามีประสบการณ์เรื่องการคำนวณอักขราจารึกและการหลอมแก่นวิญญาณมากมาย ทำให้กระบวนการหลอมเป็นไปอย่างรวดเร็วแม้จะคอยระวังเป็นพิเศษ กระดูกทั้งสิบเอ็ดชิ้นเริ่มหดเล็กลงด้วยพลังปราณของหวังเป่าเล่อ ตลอดกระบวนการหลอมมีข้อผิดพลาดเล็กน้อยเกิดขึ้นประปราย
ข้อผิดพลาดแต่ละครั้งทำให้กระดูกชิ้นหนึ่งแหลกเป็นฝุ่นผง กลายเป็นบทเรียนให้กับหวังเป่าเล่อ หลายวันผ่านไป ในที่สุดชายหนุ่มก็หยุดมือ ดวงตาดูเหนื่อยล้า เบื้องหน้ามีลูกประคำที่หลอมขึ้นจากกระดูกเจ็ดลูก!
กองลูกประคำส่องแสงสีฝุ่น แฝงไว้ซึ่งพลังลึกลับ แต่ละลูกมีตัวอักขระจำนวนมากอัดแน่นอยู่ แม้จะไร้ซึ่งวิญญาณวุธ ลูกปะคำแต่ละลูกก็มีพลังเทียบเท่ากับอาวุธเวทระดับเจ็ด
ด้วยวัสดุที่ใช้หลอมทำให้บอกได้ยากว่ามีพลังรบระดับใด ลูกประคำมีทั้งข้อดีและข้อเสียเมื่อใช้ในการต่อสู้ ประสบการณ์จากการหลอมสิ่งนี้ขึ้นทำให้เขาตระหนักว่าหากไม่ผสานเข้ากับดวงจิตเทพ กระดูกก็ไม่เหมาะนำมาใช้เป็นวัสดุหลอมเป็นอาวุธเวท
ชายหนุ่มเตรียมลูกประคำไว้พร้อมสำหรับผสานเข้ากับดวงจิต แต่ก็ไม่ได้เริ่มกระบวนการในทันที เขาหลับตาทำสมาธิอยู่สองชั่วโมงเพื่อขจัดความเหนื่อยล้า ฟื้นกำลังกายกลับคืน จากนั้นก็ลืมตาขึ้น แสงเห็นความมุ่งมั่งฉายวาบในแววตา หวังเป่าเล่อตั้งผนึกมือ ก่อนจะกดฝ่ามือทั้งสองข้างลงบนกะโหลก
เปลวไฟสีดำและดวงจิตของเขาลอยเข้าไปในกะโหลก หวังเป่าเล่อพยายามเรียกดวงจิตเทพออกมาจากกะโหลก กลุ่มดวงจิตหลากสีสันกระจายตัวส่องสว่างอยู่ภายในกะโหลก ฝูงหนอนสีเลือดที่จับตาดูอยู่ตัวสั่นเทิ้ม พวกมันโค้งตัวลงพื้นเหมือนกับจะหมอบกราบ
เสียงจากโลกแห่งความตายในอดีตอันไกลพ้นดังก้องขึ้นในหัวหวังเป่อเล่ออีกครั้ง เสียงโบราณดังสะท้อนอยู่ในหัวไม่หยุด
“หัตถ์สื่อวิญญาณ นิมิตหมุนวน พรากจุติเกิด หมื่นภัยพิบัติ พันชีวิต ห้าโทษทัณฑ์!”
ขณะที่เสียงดังก้อง ดวงจิตเลือนรางหกดวงก็ลอยพ้นกะโหลกมาหยุดอยู่หน้าชายหนุ่ม จากนั้นก็เคลื่อนตัวเข้าไปส่องสว่างในลูกประคำหกลูก คลื่นพลังปะทุขึ้นจากแต่ละลูก ก่อนจะสั่นไหวและเริ่มเปลี่ยนรูป ลูกประคำสี่ลูกค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นลูกประคำทรงดาว แฉกทั้งห้าตั้งชี้ไม่เท่ากัน!
ทั้งสี่ลูกเปล่งพลังแกร่งกล้า ค่อยๆ จัดรูปร่างให้เข้าที่เข้าทาง อีกสองลูกยังคงเปลี่ยนรูปอยู่!
กองลูกประคำสั่นไหวรุนแรง เหล่าวิญญาณวุธนั้นทรงพลังเกินกว่าจะคงรูปในลูกประคำเหล่านี้ แม้ลูกประคำจะสร้างขึ้นจากแหล่งพลังเดียวกัน แต่ก็เหมือนว่าจะไม่สามารถบรรจุเหล่าดวงจิตไว้ได้ ทำให้ลูกประคำส่งสัญญาณเหมือนจะระเบิดออกได้ทุกเมื่อ คลื่นพลังที่พวยพุ่งออกมาจากลูกประคำอีกสองลูกแกร่งกล้ากว่าวิญญาณวุธสี่ดวงก่อนหน้า!
หวังเป่าเล่อเริ่มฉุนเฉียว เขาสูดหายใจลึก พยายามสงบใจลง ชายหนุ่มเคยพบกับประสบการณ์ท้าทายคล้ายกันนี้ตอนหลอมฝักกระบี่ พอสงบใจลงได้ เขาก็ปล่อยแขนอาวุธเทพเกราะจักรพรรดิลักอัคคี พลังจากแขนกดทับลูกประคำทั้งสองและห่อหุ้มเอาไว้มิด ทำเช่นนั้นไปได้สักพักก็เกิดเสียงปริแตกดังขึ้น รอยแตกเริ่มปรากฏขึ้นบนลูกประคำแต่ละลูกเรื่อยๆ จนมีมากกว่าสิบรอย เหมือนว่าจะแตกออกได้ทุกเมื่อ หวังเป่าเล่อหยิบลูกประคำลูกที่เจ็ดมาหลอมเข้ากับลูกประคำทั้งสองลูกอย่างไม่ลังเลใจ
เขาหลอมลูกประคำลูกที่เจ็ดเพิ่มเพื่อทำให้อีกสองลูกเกิดความสมดุล หลังจากอดทนพยายามอย่างหนัก…ลูกประคำทั้งสองลูกที่ทำถ้าเหมือนจะแตกออกก็ผสานรวมกับดวงจิตเทพได้สำเร็จ!
แต่ละลูกมีลักษณะแตกต่างกันมาก ลูกหนึ่งมีลักษณะกลมแบน ส่วนอีกลูกเป็นทรงเสี้ยวดวงจันทร์!
หลังจากผสานรวมกับบดวงจิตเทพสำเร็จ ลูกประคำทั้งหกก็ลอยขึ้นกลางอากาศ ก่อนจะหมุนวนเข้าใกล้กัน ด้ายดำบางปรากฏขึ้น ร้อยเรียงลูกประคำเข้าด้วยกันเป็นกำไลแขน!
“ลูกกลมเป็นเหมือนดวงอาทิตย์ ลูกทรงเสี้ยวเป็นเหมือนดวงจันทร์ ส่วนที่เหลือคือดวงดาว…ข้าจะเรียกอาวุธเวทชิ้นนี้ว่ากำไลเป่าเล่อ!” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง ช่างเป็นชื่อที่ดียิ่ง เขายกมือขวาขึ้น กำไลเบื้องหน้าลอยเข้ามาคล้องข้อมือในทันใด
คลื่นพลังพวยพุ่งออกมาจากกำไล พลังอาวุธเทพพลันตื่น ดังสะท้อนก้องในหัวหวังเป่าเล่อ!
เสียงเลือนรางเดินทางผ่านห้วงเวลา ข้ามผ่านเส้นแบ่งชีวิตและความตาย ดังกระจ่างขึ้นในหัวชายหนุ่ม!
“หัตถ์สื่อวิญญาณ นิมิตหมุนวน พรากจุติเกิด หมื่นภัยพิบัติ พันชีวิต ห้าโทษทัณฑ์!”
บทที่ 643 วิชาแห่งศาสตร์มืดอีกรูปแบบ!
เสียงที่ดังขึ้นในหัวไม่ใช่กลอนไร้สาระ แต่พูดถึงพลังเทพทั้งหก!
พลังเทพไม่ใช่มนต์คาถาธรรมดาทั่วไป แต่เป็นพลังที่ใช้ประโยชน์จากกฏธรรมชาติและพลังแห่งจักรวาล มีเพียงผู้ฝึกตนแกร่งกล้าเท่านั้นที่จะมีพลังเทพในครอบครอง พลังเทพที่สืบทอดกันมานั้นยิ่งแกร่งกล้ามากขึ้นไปอีก
เป็นไปไม่ได้เลยสำหรับหวังเป่าเล่อที่จะสามารถใช้พลังเทพทั้งหกจากดวงจิตเทพได้ เหมือนเช่นตอนอยู่ในนิมิตมืด เขาได้ศึกษาคาถาและพลังเทพมากมาย แต่ก็ไม่สามารถฝึกได้เพราะมีระดับการฝึกตนไม่ถึงขั้นซึ่งเป็นข้อจำกัดอันยิ่งใหญ่
แม้จะยังไม่สามารถก้าวผ่านข้อจำกัดนั้นไปได้ แต่ชายหนุ่มก็พบวิธีใช้งานพลังดังกล่าวผ่านอาวุธเวท เขาผนึกพลังเทพทั้งหกไว้ในลูกประคำแต่ละลูกผ่านการผสานดวงจิตเทพเป็นวิญญาณวุธ ลูกประคำเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางที่จะช่วยให้หวังเป่าเล่อก้าวข้ามข้อจำกัดเรื่องพลังปราณ เมื่อมีลูกประคำเป็นสื่อกลางและวิญญาณวุธเป็นตัวเร่ง ชายหนุ่มก็สามารถปลดปล่อยพลังเทพเหล่านี้ได้โดยใช้พลังปราณที่น้อยลง
ถึงจะช่วยลดลงไปบ้างแต่ก็ถือว่ายังต้องใช้พลังปราณมากอยู่ดี สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วถือว่าเป็นจำนวนที่มากเช่นกัน แต่ก็ยังพอรับได้ไว้!
อารมณ์มากมายฉายขึ้นบนสีหน้าชายหนุ่มขณะก้มมองกำไลตรงข้อมือ เขาสัมผัสได้ถึงพลังและวิญญาณวุธทั้งหกที่กักเก็บอยู่ภายใน พลันดวงตาก็ฉายแสงผิดแปลก
แต่ละลูกมีพลังเทพอยู่!
หวังเป่าเล่อไม่ได้คาดว่าจะเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะดูอย่างไร นี่ก็เป็นการหลอมที่แสนสมบูรณ์แบบ เขารู้ว่ากำไลเส้นนี้มีความสำคัญอย่างไรด้วยความรู้ด้านอาวุธเวทที่มีและการที่หลอมมันขึ้นมาเองกับมือ กำไลนี้ไม่ได้ใช้เพื่อปลดปล่อยพลังเทพทั้งหก หากใช้เพียงแค่นั้น ผ่านไปมีกี่ครั้งก็จะกลายเป็นของไร้ประโยชน์ หลังจากใช้ซ้ำๆ ลูกประคำจะค่อยๆ แตกออกและกลายเป็นเถ้าธุลี พลังเทพก็จะปลิวหายไปกับสายลม
กำไลนี้จะช่วยเปิดโอกาสให้ข้าได้ศึกษาพลังเทพที่สถิตอยู่ ข้าสามารถศึกษาได้เรื่อยๆ จนกว่าจะเชี่ยวชาญและทำให้กลายเป็นพลังของข้าโดยแท้จริง!
ชายหนุ่มสูดหายใจลึกและหันมองรอบๆ ฝูงหนอนสีแดงยังคงดิ้นไปมาทั่วบริเวณ แต่หลังจากสวมกำไลข้อมือแล้ว พวกมันก็ดูจะมุ่งร้ายน้อยลงไปมาก เหมือนว่าจะยอมจำนนต่อพลังของเขา
หวังเป่าเล่อตระหนักว่าที่แห่งนี้น่าจะเป็นหนึ่งในจุดปลอดภัยที่หาได้ยากในดินแดนกองศพนี้
เขาแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก ไม่ได้รีบร้อนจากที่แห่งนี้ไป ชายหนุ่มมองกำไลอีกครั้ง ก่อนจะหลับตา ปล่อยจิตให้เปลวไฟสีดำนำทางเข้าไปในลูกประคำทรงดาวห้าแฉกลูกแรก
วิสัยทัศน์เบื้องหน้าพลันเลือนราง พอแจ่มชัดขึ้นอีกครั้งก็เห็นฟากฟ้าเปลี่ยนเป็นยามค่ำคืน ท่ามกลางหมู่ดาวพร่างพราวมีดาวเคราะห์ขนาดใหญ่อยู่ดวงหนึ่ง
การต่อสู้เปิดฉากขึ้นบนดาวเคราะห์ ชายหนุ่มเห็นทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนนั้น ดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นของสำนักแห่งความมืด คนจากตระกูลไม่รู้สิ้นมากมายกำลังปะทะกับศิษย์สำนักแห่งความมืดอย่างเร่าร้อน!
บนฟากฟ้ามืดสนิทเหนือดาวเคราะห์ มีหัตถ์ขนาดใหญ่ยักษ์กำลังก่อตัวขึ้น บนมือปรากฏตัวอักขระอยู่ทั่ว นิ้วมือแต่ละนิ้วเหมือนจะขังอสูรร้ายหน้าตาโหดเหี้ยมเกินบรรยายเอาไว้ หัตถ์ยักษ์เหยียดยื่นแหวกสวรรค์ คว้าเอาดาวเคราะห์มาไว้ในมือ!
ดาวเคราะห์สั่นไหวรุนแรง เหล่าผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นตัวแข็งทื่อ ขยับเขยื้อนร่างกายไม่ได้แม้แต่น้อยขณะวิญญาณเริ่มหลุดออกจากร่าง ดวงวิญญาณของพวกเขามารวมตัวก่อเป็นแม่น้ำแห่งความมืดไหลผ่านสรวงสวรรค์ ผ่านห้วงอวกาศ ตรงไปยังหัตถ์ยักษ์!
นี่คือหัตถ์ดึงวิญญาณ!
หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านไปถึงทรวง เขาสะดุ้งลืมตาขึ้น หายใจถี่รัวขณะจ้องลูกประคำห้าแฉกที่มีพลังหัตถ์ดึงวิญญาณบรรจุไว้ภายใน ไม่สามารถหยุดใจที่เต้นถี่รัวไว้ได้ วิชาหัตถ์ดึงวิญญาณเป็นวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณอีกรูปแบบหนึ่ง จริงๆ แล้วหากดึงพลังของวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณออกมาอย่างเต็มที่น่าจะมีผลลัพธ์เหมือนกัน
ชายหนุ่มได้ศึกษาเกี่ยวกับวิชาหัตถ์สื่อวิญญาณจากบันทึกมากมายในนิมิตมืด แต่กลับไม่เคยเห็นวิชาหัตถ์ดึงวิญญาณเลย ไม่นานก็ตระหนักว่าแต่ละฝ่ายในสำนักมืดนั้น แม้จะมีรากฐานเหมือนกัน ในแต่ละในฝ่ายก็ได้มีการพัฒนาพลังเทพเฉพาะเป็นของตนเอง
วิชาหัตถ์ดึงวิญญาณนี้เป็นพลังเทพของฝ่ายหนึ่งในสำนักแห่งความมืด!
เขาไคร่ครวญต่ออยู่เนิ่นนาน จากนั้นก็ปล่อยจิตให้ผสานเข้ากับลูกประคำห้าแฉกดวงที่สอง พลังเทพที่สถิตอยู่ในลูกประคำนี้มีชื่อว่า…นิมิตหมุนวน!
ชายหนุ่มนึกสงสัยความหมายของชื่อ พอลืมตาขึ้นอีกครั้งหลังจากได้เห็นวิชานิมิตหมุนวนก็ได้ข้อสรุปคล้ายๆ กับวิชาหัตถ์ดึงวิญญาณ นิมิตหมุนวนคือนิมิตมืดในอีกรูปแบบหนึ่ง
ไม่ได้ครอบคลุมเหมือนนิมิตมืด แต่ก็มีรายละเอียดมากและตรงจุดกว่า โดยเฉพาะตอนใช้ในการต่อสู้ วิชานี้ทำให้คนติดอยู่ในนิมิตมายาได้ในทันที คนนั้นจะไม่สามารถแยกแยะภาพฝันกับความจริงได้และกลายเป็นหุ่นเชิดให้คนอื่นควบคุม!
แสงสว่างวาบขึ้นในตาหวังเป่าเล่อขณะปล่อยจิตเข้าสู่ลูกประคำห้าแฉกอีกสองลูกที่เหลือ แต่ละลูกบรรจุวิชาหมื่นภัยพิบัติและวิชาพันชีวิตเอาไว้ ทั้งสองเป็นวิชาทรงอำนาจที่ทำให้ผู้คนต้องสั่นกลัวถึงขั้วหัวใจ โดยเฉพาะวิชาหมื่นภัยพิบัติที่เหมือนจะเป็นคำสาปใช้ร่ายก่อนเริ่มสู้!
ผู้ถูกสาปจะกลายเป็นศัตรูกับทุกสิ่งไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง อาจจะโดนหินทับระหว่างเดินเล่นหรืออาจคลุ้มคลั่งไประหว่างทำสมาธิ
หมื่นภัยพิบัติที่ว่าคือการต้องเผชิญหน้ากับภัยพิบัติมากมายจากสิ่งรอบตัว!
วิชาพันชีวิตมีอิทธิฤทธิ์ตามชื่อ เป็นวิชาขั้วตรงข้ามของวิชาหมื่นภัยพิบัติและเป็นวิชาเดียวที่สามารถใช้กับตนเองได้ โดยจะช่วยเพิ่มพลังชีวิตได้ถึงพันชีวิตระหว่างต่อสู้ หรือก็คือช่วยกันการโจมตีรุนแรงถึงตายได้หนึ่งพันครั้ง แต่เมื่อใช้จริงอาจจะได้ผลลัพธ์ต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสถานการณ์
ไม่มีอะไรแน่นอน หากเป็นตามที่ว่าจริง ศิษย์พี่ผู้ยิ่งใหญ่ของสำนักแห่งความมืดคงไม่ถูกฟันขาดเป็นสองท่อนเช่นนี้… หวังเป่าเล่อก้มมองกะโหลกที่ตนนั่งทับอยู่ พยายามข่มความตื่นเต้นเมื่อได้ทราบถึงวิชาพันวิญญาณและสงบใจลง จากนั้นก็เริ่มปล่อยจิตเข้าไปในลูกประคำดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ พลังเทพที่สถิตด้านในคือวิชาพรากจุติเกิดและวิชาห้าโทษทัณฑ์!
ไม่นานเขาก็ต้องล้มเลิกความพยายามไป พลังเทพทั้งสองนั้นเหนือชั้นกว่าพลังเทพอีกสี่อยู่มาก ความยากลำบากตอนหลอมก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว ชายหนุ่มยังไม่พร้อมที่จะเรียนรู้ทั้งสองวิชาเพราะไม่สามารถสัมผัสอะไรได้เลยจากลูกประคำสองลูกสุดท้าย
หลังจากเงียบอยู่พักใหญ่ หวังเป่าเล่อก็ถอนใจและเลิกล้มความตั้งใจไป จากนั้นก็หันมองรอบๆ แม้จะเป็นสถานที่แสนปลอดภัย แต่เขาก็เลือกที่จะจากซากเมืองแห่งนี้ไป
ชายหนุ่มก้มหัวคำนับกะโหลกยักษาและซากเมืองที่ตั้งอยู่ด้านบนก่อนจะกลับออกไป หนอนสีแดงมากมายยังดิ้นอยู่ในอากาศขณะหวังเป่าเล่อพุ่งขึ้นฟ้าและทะยานจากไป
ภารกิจของยังเป็นภารกิจเดิม ชายหนุ่มออกตามหาแท่นสังเวยต่อ เหมือนครั้งนี้โชคจะเข้าข้าง หลังจากท่องโลกได้สองสามวัน จู่ๆ หวังเป่าเล่อก็หยุดชะงักกลางอากาศ รีบหันไปมองด้านหนึ่ง เขาสัมผัสได้ถึงผืนดินที่สั่นไหวและได้ยินเสียงโซ่กระทบกัน ลมหายใจหนักพัดขึ้น รุนแรงเหมือนดังพายุ พุ่งมาอย่างดุดันจากสุดขอบฟ้า
หวังเป่าเล่อไม่ลังเลใจ เกราะจักรพรรดิลักอัคคีพลันปรากฏขึ้น เขาถอยออกไปและจ้องอยู่จากไกลห่าง ผืนดินไหวรุนแรงขึ้น เสียงโซ่กระจ่างชัดในหู พายุหลายลูกโหมกระหน่ำบนฟ้า ร่างใหญ่ยักษ์สูงชะลูดพลันปรากฏตัวจากสุดขอบฟ้า!
มันไม่ใช่อสูรที่เขาเคยเจอก่อนหน้า ร่างกลมเริ่มปรากฏเด่นชัดในสายตาหวังเป่าเล่อ ดวงตาพลันเบิกกว้างเมื่อเห็นได้ชัดว่าเป็นตัวอะไร
อสูรเขี้ยวดารา!
อสูรเขี้ยวดาราเบื้องหน้าตัวใหญ่ยักษ์กว่าราชันอสูรที่หวังเป่าเล่อเคยพบ ร่างกายของมันส่งกลิ่นอายความตายพวยพุ่งออกมา ชายหนุ่มไม่ทราบได้ว่ามันตายมานานเท่าใดแล้ว แต่เปลวไฟรอบตัวมันยังคงลุกโชติช่วง ห้วงอากาศบิดเบี้ยวเมื่อมันเคลื่อนผ่าน นำพาความตายและอุณหภูมิร้อนระอุติดตัวไปตามทาง!
รอบตัวมีโซ่ล่ามไว้เหมือนวานรยักษ์ ปลายโซ่ล่ามติดกับท่อนไม้ มันลากท่อนไม้ไปตามทางเหมือนกับลา หากชะลอฝีเท้าแม้แต่นิดจะโดยแส้ที่มองไม่เห็นลงทัณฑ์!
หวังเป่าเล่อหยุดหายใจไป ต้องรีบถอยหนีเมื่อต้องเผชิญหน้ากับไอร้อนระอุ ดวงตาของเขาจับจ้องไปยังท่อนไม้ด้านหลังอสูรเขี้ยวดารา ท่อนไม้ยาวสุดลูกลูกตา ชายหนุ่มรู้ว่ามีความเป็นได้สูงที่ตรงปลายอีกด้านของท่อนไม้…จะมีแท่นสังเวยอยู่!
บทที่ 644 โม่หินบดเลือดเนื้อ!
ข้าเคยตรวจดูตรงนั้นแล้ว! อสูรเขี้ยวดาราเริ่มเข้ามาใกล้ ปล่อยอุณหภูมิร้อนระอุปกคลุมทั่วบริเวณ มองจากไกลๆ เห็นเป็นเหมือนลูกไฟที่พร้อมเผาทุกอย่างที่ขวางทางให้เป็นจุณ
หวังเป่าเล่อต้องถอยกลับพลางครุ่นคิดอย่างหนัก เขาจำได้ว่าเคยไปยังทิศทางที่อสูรเดินมาแล้ว ตรวจอยู่นานแต่ก็ไม่พบอะไร ซึ่งก็หมายความว่าตนยังไปได้ไม่ไกลพอ หรือ…แท่นสังเวยอาจจะไม่ได้พบเจอได้โดยการมุ่งหน้าตามหาในทิศทางเดียว!
หากเป็นตามเหตุผลแรก ชายหนุ่มสามารถลองตรวจดูอีกรอบได้ แต่ถ้าเป็นเหตุผลหลัง เขาคงไม่สามารถยอมเสี่ยงได้เพราะจะมีเพียงทางเดียวที่จะสามารถตามหาแท่นสังเวยได้!
ต้องขึ้นไปเดินบนท่อนไม้ นี่เป็นทางเดียว…ที่จะช่วยไม่ให้หลงทาง ไม่ว่าแท่นสังเวยจะอยู่ตรงไหน ถ้าเดินตามท่อนไม้ไปต้อเจอแน่! หวังเป่าเล่อหรี่ตา ความคิดแล่นเข้าหัวไม่หยุด ไอร้อนระอุจากอสูรเขี้ยวดาราทำให้เขาเข้าไปใกล้ได้ยาก มีโอกาสน้อยมากที่จะขึ้นไปบนท่อนไม้ได้
แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย… ชายหนุ่มมองอสูรเขี้ยวดาราเดินห่างออกไปไกล หลังจากคิดอยู่สักพัก เขาก็หยิบเอาแก่นในอสูรเขี้ยวดาราจากกระเป๋าคลังเวทขึ้นมาแนบไว้ตรงอก จากนั้นก็พยายามเข้าไปใกล้อสูรเบื้องหน้า แม้อุณหภูมิจะสูงจนเกินต้าน แต่ก็มาจากแหล่งพลังเดียวกับแก่นในอสูรเขี้ยวดาราในมือ ไม่นานก็พบว่าแก่นในอสูรสามารถชวนกันความร้อนได้ส่วนหนึ่ง
หวังเป่าเล่อใจชื้นขึ้น ดวงตาฉายแววมุ่งมั่น เขาเร่งความเร็วขึ้นโดยไม่ลังเล พุ่งทะยานตรงไปพร้อมกับแก่นในอสูรเขี้ยวดาราในมือ!
คลื่นไอร้อนระอุพัดกระทบร่างกายขณะเข้าไปใกล้ แก่นในอสูรเขี้ยวดาราปล่อยพลังเกราะป้องกันห่อหุ้มชายหนุ่มไว้ หวังเป่าเล่อเร่งความเร็ว พุ่งตรงไปหาอสูรเขี้ยวดาราอย่างรวดเร็วจนเห็นเหมือนเป็นเส้นสายรุ้ง
เส้นผมเริ่มลุกไหม้เมื่อเข้าไปใกล้ในระยะสามร้อยเมตร ร่างกายเริ่มแห้งเหี่ยวเหมือนไม่มีน้ำสักหยดอยู่ภายใน น้ำในกายเหือดแห้งอย่างรวดเร็ว หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงสัญญาณอันตราย เขาตระหนักว่าแค่การป้องกันจากแก่นในอสูรเขี้ยวดารานั้นไม่เพียงพอ หากเข้าไปใกล้กว่านี้ ร่างกายและวิญญาณคงจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่าน
ข้ายังมีอีกอัน! หวังเป่าเล่อหยิบเอาแก่นในอสูรเขี้ยวดาราอีกอันออกมาแนบอก รุดหน้าเข้าไปในระยะสามร้อยเมตรด้วยความช่วยเหลือจากแก่นในอสูรในทั้งสองชิ้น ก่อนจะไปหยุดอยู่ตรงหน้าอสูรเขี้ยวดาราที่ลุกไหม้ร้อนแรงเหมือนดวงอาทิตย์
สัญญาณอันตรายดังขึ้นอีกครั้งในหัว ความกลัวส่งหัวใจให้เต้นร่ำ ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ ชายหนุ่มไม่มีทางเลือกใดอื่นนอกจากขึ้นท่อนไม้ไป มีอีกทางคือรอจนกว่าอสูรตนใหม่จะโผล่มา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าลองเสี่ยงกับอสูรเขี้ยวดาราน่าจะมีโอกาสสำเร็จมากกว่าเพราะมีแก่นในอสูรสองชิ้นคอยช่วย
ลองเสี่ยงดู! ชายหนุ่มเม้นปากแน่นก่อนจะหยิบเอาศพอสูรเขี้ยวดาราสองตนจากกระเป๋าคลังเวทออกมาไว้เบื้องหน้า จากนั้นก็ทะยานตรงไปหาอสูรเขี้ยวดารา ฟากฟ้าสั่นไหวเมื่อไอร้อนหลอมละลายพุ่งขึ้นสูง หลังจากงัดทุกอย่างที่มีออกมาใช้ หวังเป่าเล่อก็ขึ้นไปบนตัวอสูรเขี้ยวดาราได้
หัวใจสูบฉีดรุนแรงเมื่ออสูรเบื้องล่างสะบัดไปมา แต่เขาก็ไม่ได้ชะลอความเร็วลงแม้แต่ร้อย รีบทะยานข้ามหลังอสูร ไม่สนใจไอความร้อนลุกไหม้รุนแรงจนต้องปล่อยพลังเกราะจักรพรรดิลักอัคคีเต็มขั้น พลังปราณเริ่มปั่นป่วน ชายหนุ่มเรียกอาวุธเวทหลายชิ้นออกมาช่วยซื้อเวลาเพิ่ม ในที่สุดก็ลงเหยียบบนโซ่ที่ตรึงอสูรกับท่อนไม้เบื้องหน้าได้สำเร็จ!
โซ่นั้นกว้างใหญ่เหมือนกับสะพาน หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัวทันทีที่ลงเหยียบ สัญญาณอันตรายดังขึ้นในหัว ภัยอันตรายร้ายแรงก่อตัวขึ้นเหมือนกับคลื่นยักษ์พร้อมกลืนกินชาหนุ่ม ภัยร้ายถึงตายห้อมล้อมรอบด้าน เขาไม่หยุดคิด รีบเรียกเปลวไฟสีดำออกมาและส่งเข้าไปในลูกประคำดาวห้าแฉกของวิชาพันชีวิต!
ครั้งนี้ เจ้าไม่ได้เข้าไปเพื่อเรียนรู้วิชาแต่เพื่อใช้งาน!
ลูกประคำดาวห้าแฉกระเบิดแสงเป็นประกาย ตัวอักขระพลันปรากฏขึ้น เข้าห้อมล้อมชายหนุ่มก่อนจะพุ่งตรงเข้าร่างกาย หายวับไป
หวังเป่าเล่อสัมผัสไม่ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอะไรมาก เว้นเสียแต่ความอบอุ่นภายในที่เหมือนจะมาจากส่วนลึกของกระดูกและดวงวิญญาณ เหมือนกับมีพลังบางอย่างคอยคุ้มกันอยู่
แค่นี้เองหรือ ชายหนุ่มแปลกใจ แต่ก็ไม่มีเวลาให้คิดอะไรมาก เขากัดฟันแน่นขณะความอบอุ่นในร่างเริ่มอยู่ตัว จากนั้นก็พุ่งไปบนโซ่ อสูรเขี้ยวดาราที่เดินมุ่งหน้าไม่หยุดส่งผลให้โซ่สั่นไหวรุนแรง แต่ก็ไม่ได้ทำให้หวังเป่าเล่อช้าลงแต่อย่างใด เขาพบว่าทุกครั้งที่เหยียบโซ่ จะมีภาพปรากฏขึ้นรอบๆ
ภาพมากมายที่ปรากฏขึ้นเป็นรูปกระบี่ เหมือนจะไม่เป็นอันตรายอะไรถ้าไม่เหยียบมันเข้าโดยตรง ที่น่าแปลกคือร่างกายของเขาเหมือนจะรู้ว่าควรวางเท้าลงตำแหน่งใด ทำให้ถึงจะวิ่งเร็วอย่างไร ชายหนุ่มก็ไม่เคยเหยียบโดนรูปเหล่านี้เลย…
ทันใดนั้น หวังเป่าเล่อก็เห็นภาพกระบี่ปรากฏขึ้นตรงที่เท้ากำลังจะลงเหยียบ แต่ภาพก็พลันหายวับไปตอนที่เท้าแตะลงบนโซ่ ทิ้งไว้เพียงความว่างเปล่า
ถัดมา เขาก็ถูกล้อมไว้ด้วยภาพกระบี่มากมาย ไม่มีช่องว่างให้ลงเหยียบ อสูรเขี้ยวดาราพลันกระโดดขึ้นฟ้า หวังเป่าเล่อโดนพลังสะเทือนส่งพุ่งถลาไปไกลหลายพันเมตร ก่อนจะไปหล่นลงตรงจุดที่ปราศจากภาพกระบี่
ชายหนุ่มสั่นสะท้านไปถึงทรวง เขาพบว่าความอบอุ่นภายในค่อยๆ จางลงเรื่อยๆ ระหว่างเดินทางข้ามโซ่…
ในที่สุด หวังเป่าเล่อก็เดินทางมาถึงปลายโซ่พร้อมกับที่ความอบอุ่นในกายหายวับไป เขากระโดดลงเหยียบบนท่อนไม้ใหญ่ยักษ์ แม้จะโดนลากดึงไปเร็วแค่ไหน ท่อนไม้กลับนิ่งไม่ไหวติง
ง่ายขนาดนี้เลยหรือ ชายหนุ่มมองรอบตัว ก่อนจะหันกลับไปจ้องอสูรเขี้ยวดาราที่กำลังมุ่งตรงไปข้างหน้าและซี่ที่ล่ามมันไว้กับท่อนไม้ จากนั้นก็ปล่อยหุ่นเชิดออกมาด้วยความสงสัย
ทันใดที่หุ่นเชิดเหยียบลงบนโซ่ ภาพกระบี่ก็ปรากฏขึ้นใต้เท้าของมัน ปราณกระบี่มหาศาลพลันล้นทะลักขึ้นฟ้า รายล้อมรอบตัว!
พลังวิญญาณระเบิดสั่นสะเทือนผืนดิน ก่อนจะเข้าห้อมล้อมบริเวณสามสิบเมตรรอบตัวหุ่นเชิด ปราณกระบี่นับหมื่นพุ่งตรงไปยังทิศทางเดียวพร้อมกัน หุ่นเชิดของเขาถูกทำลายกลายเป็นฝุ่นผงในทันที…
หวังเป่าเล่อสั่นเทิ้มเมื่อได้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้า หัวใจเต้นถี่รัวขณะมองลูกประคำพันชีวิต ยังจำได้ถึงความอบอุ่นเมื่อครู่ ที่สามารถข้ามมาได้อย่างราบรื่นเหนือธรรมชาติเป็นเพราะพลังเทพนี้
จะฝืนกฏธรรมชาติเกินไปแล้ว! เขาส่งเสียงตื่นตกใจ ลูกประคำเกิดรอยแตกเล็กๆ ซึ่งใช้ยืนยันการคาดเดาเมื่อครู่ได้ กำไลนี้…ใช้ได้จำกัดครั้ง จุดประสงค์จริงๆ ที่สร้างขึ้นคือเพื่อใช้ศึกษาพลังเทพที่สถิตอยู่ภายใน
แต่นั่นก็เป็นเรื่องของอนาคต หวังเป่าเล่อเอานิ้วลูบรอยแตก เลิกคิดเรื่องนี้และมุ่งหน้าไปตามท่อนไม้
การเดินทางบนท่อนไม้ไม่ได้ถือว่าราบรื่นเลยเสียทีเดียว แต่อุปสรรคระหว่างทางก็ไม่ได้รับมือยากสักเท่าไหร่ ท่อนไม้เหมือนจะมีพลังรวมดวงวิญญาณ มีฝูงวิญญาณมากมายปรากกฏตัวขึ้นระหว่างทาง หากเป็นคนอื่นคงจะรับมือได้ยาก หากไม่มีวัตถุเวทที่เหมาะสมคงจะไม่สามารถรุดหน้าไปได้เลย แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วกลับเป็นเรื่องง่ายดาย
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อเห็นเหล่าวิญญาณ พวกมันเป็นภัยคุกคามที่ชายหนุ่มเป็นกังวลน้อยที่สุด เขาปลดปล่อยเปลวไฟสีดำก่อนจะพุ่งตรงไปไม่หยุด รุดหน้าไปไกลขึ้นเรื่อยๆ!
เจ็ดวันผ่านไป หวังเป่าเล่อมุ่งหน้าไปตามทางไม่หยุดพัก ความเหนื่อยล้าเริ่มถาโถมเข้าสู่ร่างกาย แต่ชายหนุ่มก็รุดหน้ามาจนใกล้ถึงปลายท่อนไม้แล้ว ทันใดนั้น เสียงกัมปนาทก็ดังขึ้นจากไกลๆ
เขาหันควับไปทางต้นเสียง คอยระแวดระวังตัว ชายหนุ่มนั่งลงและหยิบโอสถออกมา จากนั้นก็เริ่มทำสมาธิ สองชั่วโมงผ่านไป เมื่อร่างกายมีสภาพพร้อมสมบูรณ์อีกครั้ง เขาก็ลืมตาขึ้น ก่อนจะลุกยืนและพุ่งตัวออกไปด้านหน้าพร้อมกับประกายแสงในตา!
เสียงกัมปนาทดังขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าไปใกล้ จนกระทั่ง…หวังเป่าเล่อเดินไปหยุดอยู่ตรงขอบท่อนไม้ ดวงตาของเขาเบิกกว้าง เสียงอื้ออึงระเบิดขึ้นในหัว เบื้องหน้าของชายหนุ่มคือ…แท่นสังเวย!
ที่ปลายสุดของท่อนไม้มีโม่หินขนาดมหึมา ใหญ่กว่าท่อนไม้ไปอีก!
โม่หินเบื้องหน้ามีด้ามหมุนเก้าด้ามยื่นเหยียดยาวไปไกลโพ้น หนึ่งในด้ามนั้น…คือท่อนไม้ที่หวังเป่าเล่อยืนอยู่!
บทที่ 645 แท่นสังเวย!
ที่ปลายท่อนไม้มีแท่นสังเวยอย่างที่เขาคิดไว้ก่อนหน้า แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาก็ยังสั่นสะท้านไปถึงทรวง ชายหนุ่มกลืนน้ำลายอึกใหญ่ลงคอ
โม่หินขนาดใหญ่โตมโหฬารมีชั้นสอง ชั้นล่างไม่ขยับเขยื้อน ส่วนชั้นบนต่อติดกับด้ามหมุนเก้าด้ามที่คอยเคลื่อนส่วนด้านบนให้บดกับชั้นด้านล่าง เสียงบดดังสนั่น หากมีอะไรหลุดไปแทรกกลางคงจะถูกบดขยี้จนแหลก หวังเป่าเล่อนึกถึงอสูรร่างยักษ์สองตนที่พบบนโลกใบนี้ สรุปความได้ง่ายดายว่าน่าจะมีพลังบางอย่างสั่งการให้ศพอสูรเก้าตนคอยลากด้ามหมุนทั้งเก้า เหล่าอสูรถูกบังคับให้วิ่งวนไม่หยุดเพื่อหมุดโม่หิน!
อสูรแต่ตนถูกโซ่ล่ามไว้ หากชะลอฝีเท้าลงแม้แต่นิด ตัวอักขระบนโซ่จะแปรเปลี่ยนเป็นแส้ล่องหนเข้าฟาด ต้องจำนนทนทุกข์อยู่ในวังวนความเจ็บปวดและความเป็นทาส
ช่างตื่นตะลึงยิ่งนัก!
หวังเป่าเล่อหรี่ตา คุกเข่าลงบนท่อนไม้และจ้องไปยังโม่หินที่อยู่ถัดออกไป เขาเห็นกระดูกนับไม่ถ้วนกองสุมอยู่ใต้โม่หิน ถัดไปมีหุ่นเชิดร่างแห้งเหี่ยวมากมายกำลังโยนกระดูกเข้าหินโม่อย่างขยันขันแข็ง
โม่หินหมุนบดไปเรื่อยๆ โครงกระดูกถูกบดเป็นเศษผง เลือดสีคล้ำและเศษเนื้อไหลหยดลงจากโม่หิน แต่ส่วนใหญ่หายไปในโม่หินราวกับถูกกลืนกินเข้าไป
หวังเป่าเล่อรังเกียจตระกูลไม่รู้สิ้นมากขึ้นเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า ต้องใช้เวลาพักใหญ่ถึงจะสงบใจลงได้ เขาเขยือบไปข้างหน้าอย่างระมัดระวัง สัมผัสได้ถึงแรงสั่นที่เพิ่มมากขึ้น ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็สังเกตเห็นร่องยุบบริเวณกึ่งกลางของโม่หิน
ภายในนั้นมีตัวตนหนึ่งนั่งอยู่!
เทียบกับโม่หินขนาดใหญ่ยักษ์แล้ว ตัวตนนั้นเล็กเหมือนกับมด ทำให้หวังเป่าเล่อไม่ทันสังเกตเห็นก่อนหน้า ต้องเดินเข้าไปใกล้ๆ ตัวตนนั้นเหมือนจะเป็นผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้น!
ชายหนุ่มดูไม่ออกว่าชายคนนั้นตายไปแล้ว หรือยังมีชีวิตอยู่ ดวงตาทั้งสามปิดสนิท แขนหกข้างวางเรียบอยู่ข้างลำตัว เขาอาจจะทำสมาธิอยู่ หรือไม่ก็สิ้นลมไปในท่านั้น ร่างกายชายผู้นั้นไร้ซึ่งพลังชีวิต มีเพียงรอยช้ำดำคล้ำปรากฏอยู่ทั่วตัว
หวังเป่าเล่อพิจารณาผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นตรงหน้า ไม่ได้รีบร้อนทำอะไรบุ่มบ่าม เขาเป็นกังวลเรื่องพวกเจ้าเยี่ยเหมิงและความอันตรายของภารกิจนี้ ไม่รู้เลยว่าจะออกไปได้เช่นไร ถึงกระนั้น ชายหนุ่มก็รู้ว่ามาถึงจุดนี้แล้ว มัวคิดมากไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
เขากัดฟันแน่น ข่มความกังวลเอาไว้ ดวงตาพลันฉายแววเย็นเยียบ ชายหนุ่มคุกเข่าลง มองสำรวจโม่หินที่ทำงานไม่หยุด ตั้งใจจะดูสถานการณ์จนกว่าจะเห็นช่องโหว่อะไรสักอย่าง
เวลาไหลผ่านไปอย่างเชื่องช้าขณะหวังเป่าเล่อเฝ้าโม่หินตรงหน้าด้วยความอดทนจนผ่านไปแล้วเจ็ดวัน
ตลอดเจ็ดวันที่ผ่านมา เขาสังเกตเห็นว่าใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์พอดีที่ท่อนไม้ด้ามจับจะหมุนครบหนึ่งรอบ นอกจากนี้ยังบันทึกอัตราการบดกระดูกของโม่หินไปด้วย แต่ข้อมูลที่ได้ก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่ โม่หินเป็นเหมือนเครื่องจักรทรงพลังที่ทำงานต่อเนื่องได้ถึงหนึ่งอาทิตย์โดยไม่มีหยุดพัก
ทั้งเหล่าหุ่นเชิดที่คอยโยนกระดูกใส่และผู้ฝึกตนตระกูลไม่รู้สิ้นที่นั่งอยูบนโม่หินต่างเหมือนติดอยู่ในห้วงเวลาที่หยุดนิ่ง
เข้าไปใกล้ไม่ได้ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ข้าไม่มีทางทำลายแท่นสังเวยได้เลย… หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว พยายามปัดความกังวลและความไม่สบายใจทิ้งและเฝ้ารอต่อไป แต่ครั้งนี้ไม่ต้องรอนาน สามวันผ่านไปก็เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น
ไม่ใช่โม่หินหรือเหล่าหุ่นเชิดที่เปลี่ยน แต่เป็นโลกทั้งใบ ชายหนุ่มนั่งอยู่บนที่สูงจึงมองเห็นทัศนียภาพกว้างไกล เขาเห็นว่าฟากฟ้าไกลห่างเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เหมือนกับว่าหมอกสีแดงกำลังพุ่งมาทางตน!
เสียงสั่นไหวดังขึ้นเรื่อยๆ จากทั่วทุกทิศ หวังเป่าเล่อเห็นเงากองทัพกำลังพุ่งตรงมา!
นั่นมัน… ชายหนุ่มหรี่ตา มองเห็นภาพที่คุ้นเคย หมอกสีแดงคือละอองเกสรที่ดอกปีศาจราเขียวปล่อยออกมา จึงไม่ยากเลยที่จะเดาได้ว่าเงากองทัพที่กำลังเคลื่อนตัวมานั้น…คือโครงกระดูกมากมายนับไม่ถ้วน!
เป็นไปได้ไหมว่าแท่นสังเวยจะทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้เป็นช่วงๆ เพื่อดึงเหล่าโครงกระดูกที่ตกอยู่ในภวังค์คาถาของดอกปีศาจให้เข้าหา ชายหนุ่มมีสีหน้าตื่นตะลึง เขาก้มมองภูเขากระดูกใต้โม่หิน จากนั้นก็หันกลับไปมองยังขอบฟ้าที่อยู่ไกลห่าง ความตื่นตระหนกเริ่มก่อตัวขึ้นภายในใจเมื่อภาพเหตุการณ์ตรงหน้าช่วยยืนยันว่าที่คิดไว้นั้นถูกต้อง
ผืนดินสั่นไหว ทัพความตายเคลื่อนตัวเข้ามาจากไกลห่าง จระเข้ยักษ์ร่างเน่าเปื่อยโผล่พ้นดินมาร่วมกับกองทัพแห่งความตาย
จระเข้ตัวนั้นไม่ใช่อสูรแข็งแกร่งเพียงหนึ่งเดียวในโลกใบนี้ สถานการณ์เริ่มแย่ลงไปอีกเมื่ออสูรมากมายเริ่มปรากฏขึ้นเรื่อยๆ ทีละตัว!
พลังประหลาดแผ่พุ่งไปรอบบริเวณ ดอกปีศาจราเขียวทุกดอกบานสะพรั่งทันใดพร้อมกับปล่อยละอองเกสรสร้างหมอกสีแดงนำพาศพรอบๆ มุ่นหน้าไปทางแท่นสังเวย
หวังเป่าเล่อไม่สามารถนั่งรอเฉยๆ ได้อีกต่อไปเมื่อภัยอันตรายกำลังรุดหน้าเข้ามา เขาแนบตัวลงกับพื้น ค่อยๆ คลานเข้าไปหาแท่นสังเวย หากเหล่าศพที่หมอกสีแดงนำทางมาถึง พวกนั้นคงจะพบตนเข้าในทันที และต้องติดอยู่ในกองทัพผีดิบเหมือนก่อนหน้านี้
หากเป็นเช่นนั้นคงจะมีโอกาสรอดต่ำมาก ทางเดียวที่จะรอดไปได้ตอนนี้คือมุ่งหน้าไปยังแท่นสังเวย แม้จะอันตราย แต่ก็เป็นทางเลือกเดียวที่เขามี
ข้าไม่น่ามาที่นี่เลย! หวังเป่าเล่อแบกหน้าเคร่งเครียดของตัวเองคลานไปด้านหน้า ก่อนจะเห็นอะไรบางอย่างผ่านตา เขามองไปทางกองกระดูกใต้ท่อนไม้ เหล่าหุ่นเชิดเหมือนจะไม่สังเกตเห็นเลยว่ามีฝูงชนกว่าสี่สิบคนบนภูเขากองกระดูกลูกหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวไปทางแท่นสังเวยอย่างระมัดระวัง!
ในฝูงชนนั้นมีคนคุ้นหน้าอย่างเฟิ่งชิวหรัน เจ้าเยี่ยเหมิง กงเต๋า สวีหมิง ลู่หยุน และผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอีกจำนวนหนึ่ง
พวกเขาซ่อนอยู่นี่ตั้งแต่เมื่อไรกัน เขาหยุดชะงักขณะหันมองกลุ่มผู้ฝึกตน สายตาเลื่อนไปหยุดอยู่ตรงอัญมณีเปล่งแสงห้าสีในมือเฟิ่งชิวหรัน ชายหนุ่มหยุดคิด เฟิ่งชิวหรันที่นำทัพอยู่เหมือนจะใช้พลังบางอย่างที่เขาไม่รู้จักซ่อนฝูงชนไว้ไม่ให้หุ่นเชิดสังเกตเห็น
พวกเขาน่าจะมาถึงนานแล้วแต่ตัดสินใจรอดูสถานการณ์ก่อนเหมือนข้า กองทัพที่ตื่นขึ้นจากละอองเกสรคงจะบีบบังคับให้พวกเขาต้องทำอะไรสักอย่าง! หวังเป่าเล่อได้ข้อสรุป ตายังจ้องไปทางเจ้าเยี่ยเหมืองและกงเต๋า
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อพบว่าทั้งสองปลอดภัยดี ผู้ฝึกตนบางคนดูอ่อนล้า แต่ก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ การเดินทางของพวกเขาคงจะเต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางมากมาย แต่ก็รอดพ้นมาได้เพราะมีผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอย่างเฟิ่งชิวหรันคอยปกป้อง ด้วยพลังแกร่งกล้าจากท่อนไม้และจุดซ่อนตัวที่คาดไม่ถึงขอหวังเป่าเล่อ กลุ่มตรงหน้าจึงไม่สามารถสังเกตเห็นเขาได้
ทุกคนเคลื่อนตัวอย่างระมัดระวัง ตอนนี้ยังไม่เหมาะที่หวังเป่าเล่อจะเผยตัว เขาจับตาดูพวกเฟิ่งชิวหรันไปพร้อมๆ กับรุดหน้าเข้าไปหาแท่นสังเวย
ทั้งสองกลุ่มเดินหน้าไปยังแท่นสังเวยจากคนละจุดขณะที่ละอองเกสรยังระเบิดขึ้นในอากาศไม่หยุดหย่อน ผืนดินสั่นไหวรุนแรงจากกองทัพศพที่มุ่งหน้าเข้ามา ในที่สุด พวกเขาก็ไปถึงขอบแท่นสังเวยพร้อมกัน!
เหลือดไหลหยดเปื้อนหน้าพวกเขา พลังทรงอำนาจอัดแน่นในอากาศห้ามไม่ให้ใครเข้าใกล้ หลายคนตัวสั่นเทิ้มจากพลังกดดันแม้จะมีพลังปราณของเฟิ่งชิวหรันช่วยคุ้มกัน หวังเป่าเล่อเองก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน เขาหันมองพวกเฟิ่งชิวหรันอีกครั้ง
ชายหนุ่มเห็นนางตั้งผนึกมือขึ้น ก่อนจะชี้นิ้วออกไป ยันต์ส่องแสงจ้าพุ่งออกมาจากกระเป๋าคลังเก็บ เป็นยันต์ที่ดูเก่าแก่ เหมือนจะอยู่รอดมาเป็นพันปี พลังแกร่งกล้าพวยพุ่งออกมาจากแผ่นกระดาษ หวังเป่าเล่อรู้สึกเหมือนโดนผู้ฝึกตนระดับดาวพระเคราะห์จ้องหน้าทำให้เขาต้องหายใจถี่รัว
เฟิ่งชิวหรันกัดลิ้นพ่นเลือดใส่ยันต์ เปลวเพลิงพวยพุ่งออกมาทันใด ปักษาเพลิงถือกำเนิดขึ้นจากเปลวไฟ มันกรีดร้องพร้อมกับพุ่งตรงไปยังโม่หิน!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น