ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 641-652

 ตอนที่ 641 เคล็ดวิชาเกราะอสูร

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชายชุดคลุมสีเทาไม่ได้หันหน้ามา เพียงแค่โบกแขนเสื้อข้างหนึ่งไปทางเขา หลังจากเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ร่างของเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย


พอหลิ่วหมิงเก็บแผ่นหยกเข้าไปแล้ว ก็ออกไปจากยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ จากนั้นก็พุ่งไปทางหอเก็บคัมภีร์อีกครั้ง


แต่ว่าหลิ่วหมิงเพิ่งจะเหาะออกไปได้ไม่ไกล เมฆสีขาวก้อนหนึ่งก็ตามหลังเขามา


หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว และลดความเร็วลง พอหันหน้ากลับไป ก็ค้นพบว่าผู้ที่อยู่บนก้อนเมฆสีขาวก็คือเถียนจิง หญิงสาวอายุสิบหกสิบเจ็ดปีผู้นั้น


ทันใดนั้น เมฆขาวก็เพิ่มความเร็ว และเหาะมาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง


“ศิษย์พี่ ทำไมไปเร็วขนาดนั้นล่ะ ทำข้าตามมาเหนื่อยแทบแย่” ใบหน้าเถียนจิงแดงเล็กน้อย นางตบหน้าอกตัวเองแล้วหอบหายใจสองทีก่อนกล่าวออกมา


“ไม่ทราบศิษย์น้องตามมาถึงที่นี่มีธุระอันใดหรือ?” แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกประหลาดใจ แต่ก็กล่าวด้วยสีหน้าสงบ


“อันนี้…ศิษย์พี่หลิ่วลองทายดู” เถียนจิงกระพริบตาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“หากศิษย์น้องไม่มีธุระอะไร ข้ายังมีเรื่องสำคัญต้องรีบทำ ต้องขอตัวก่อน” หลิ่วหมิงไม่มีเวลาให้หลานสาวของผู้อาวุโสเถียนผู้นี้มาตอแย พอประสานมือแล้วก็คิดจะจากไปทันที


“เดี๋ยวๆ ก่อน ศิษย์พี่ อย่าเพิ่งรีบไปสิ ท่านปรุงโอสถเก่งขนาดนั้น ไม่สู้พวกเรามาแลกเปลี่ยนประสบการณ์ปรุงโอสถกันหน่อยเป็นไร…” หญิงสาวเห็นเช่นนี้ก็รีบส่งเสียงเอะอะโวยวายออกมา


“ที่ครั้งนี้ข้าผ่านการยอมรับเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถในนิกาย ก็เป็นเพราะว่าข้าโชคดีก็เท่านั้น หากศิษย์น้องเถียนอยากยกระดับวิชาโอสถของตนเองล่ะก็ ไปหาศิษย์พี่ทั้งหลายในยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณเถอะ ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ไม่ขออยู่เป็นเพื่อนแล้ว”


หลิ่วหมิงได้ยินก็ปฏิเสธทันที เขาทำท่าเคล็ดกระบี่โดยไม่รอให้นางพูดอะไรมาก จากนั้นก็กลายเป็นแสงกระบี่สีเขียวพุ่งยิงออกไป พริบตาเดียว ก็หายไปท่ามกลางยอดเขาที่ทอดยาวติดต่อกัน


เถียนจิงมีระดับการฝึกฝนไม่สูง เป็นแค่ระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น ย่อมไม่อาจเทียบความเร็วกับวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งของหลิ่วหมิงได้ พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็รู้สึกโกรธจนกระทืบเท้าสองสามที จากนั้นก็ทำเสียงฮึดฮัดและหมุนตัวเหาะกลับไปยังยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณอีกครั้ง


ไม่นาน หลิ่วหมิงก็กลับมาถึงหอเก็บคัมภีร์อีกครั้ง


“ยินดีด้วยศิษย์พี่หลิ่ว ระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน ก็ได้รับการยอมรับสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถแล้ว” หลังจากศิษย์ดำเนินการร่างอวบอ้วนกวาดสายตามองดูภาพเตาหลอมบนป้ายที่ห้อยอยู่บนเอวหลิ่วหมิง ก็รู้สึกตกใจมาก แต่ก็กล่าวแสดงความยินดีอย่างรวดเร็ว


“ศิษย์พี่หลี่ว์เกรงใจไปแล้ว ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อมไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินไปยังที่วางตำราโอสถอย่างรวดเร็ว


ครั้งนี้ ทันทีที่หลิ่วหมิงโบกป้ายประจำตัวใส่ชั้นจำกัดบนตำราโอสถ แสงสีทองลำหนึ่งก็พุ่งยิงออกมา ทันใดนั้น ลวดลายจิตวิญญาณสีเทาก็เปล่งประกายบนป้ายและกระพริบหายไปทันที ส่วนแต้มคุณูปการบนป้ายก็โดยหักไปหนึ่งแสนแต้ม


จากนั้นหลิ่วหมิงก็รีบนั่งขัดสมาธิลง และนำตำราโอสถมาแปะไว้บนหน้าผาก จากนั้นก็อ่านดูอย่างละเอียด


ที่เขาไม่ได้เลือกโอสถระดับผลึกอื่นๆ แต่เลือกโอสถนี้แทน ไม่ใช่เป็นเพราะว่าตำราโอสถนี้ใช้แต้มคุณูปการน้อย แต่เป็นเพราะว่าสมุนไพรจิตวิญญาณที่เป็นวัตถุดิบหลักของโอสถนี้ คือผลิตผลพิเศษของสถานที่บางแห่งในแผ่นดินจงเทียน เพียงแค่ไปหาด้วยตนเอง หรือซื้อมาในราคาที่สูง ก็ไม่ต้องกลัดกลุ้มว่าจะหาส่วนผสมนี้ไม่ได้


แม้ว่าโอสถระดับผลึกอื่นๆ จะมีอัตราปรุงสำเร็จสูงกว่าเล็กน้อย ปรุงเป็นโอสถได้ง่ายยิ่งกว่า แต่วัตถุดิบก็ถูกแย่งชิงจนหมด ทำให้รวบรวมได้ยาก ย่อมไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีสำหรับหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงรีบกล่าวลาศิษย์ดำเนินการ จากนั้นก็รีบออกไปจากหอเก็บคัมภีร์ และกลายเป็นแสงหลบหลีกสีดำพุ่งกลับไปยังถ้ำที่พัก


“ท่านคือศิษย์น้องหลิ่วใช่หรือไม่? ข้าน้อยเสวียนอู๋” เมื่อหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำที่พัก ก็พบกับชายชุดดำผู้หนึ่งที่รออยู่หน้าถ้ำนานแล้ว พอได้ยินเสียง เขาก็หันหน้ามาทันที


คนผู้นี้ใบหน้าแคบยาว มีกระเต็มใบหน้า แลดูอัปลักษณ์เล็กน้อย


“ท่านคือ?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย ชายชุดเขียวหน้าตาพื้นๆ ตรงหน้าผู้นี้ ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกท่านหนึ่ง ดูจากกลิ่นไอที่แผ่ออกมา ดูเหมือนว่าจะฝึกฝนถึงระดับผลึกขั้นกลางแล้ว


แม้เขาจะไม่ค่อยสนิทกับศิษย์ในยอดเขาลั่วโยว แต่ว่าศิษย์ระดับผลึกยังเคยพบหน้ากันอยู่บ้าง แต่คนผู้นี้เขาไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน


“ฮ่าๆ! ข้าน้อยบอกแค่ชื่อศิษย์น้องคงยังรู้สึกฉงนเล็กน้อย ข้าเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสอวี๋ แต่ว่าหลายปีก่อนล้วนออกไปเดินทางนอกนิกายมาโดยตลอด แม้เจ้ากับข้าจะอยู่ยอดเขาเดียวกัน แค่ศิษย์น้องคงจะไม่เคยได้ยินชื่อของข้า” ชายชุดดำหัวเราะออกมา


“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่เสวียน” หลิ่วหมิงเข้าใจในทันที จากนั้นก็โค้งตัวคารวะหนึ่งที


ศิษย์ยอดเขาลั่วโยวยี่สิบถึงสามสิบคนที่อยู่ในยอดเขาขณะนี้ มีระดับผลึกเป็นส่วนน้อย ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีแค่สิบกว่าคนเท่านั้น ส่วนมากเป็นศิษย์สายตรงของผู้อาวุโสท่านอื่น ใต้สังกัดของอินจิ่วหลิงก็มีเสี่ยวอู่แค่คนเดียวเท่านั้น ช่วงนี้เพิ่งรับหลิ่วหมิงเข้ามา


“ศิษย์น้องหลิ่วไม่ต้องมากพิธี ชื่อเสียงของเจ้าข้าก็เคยได้ยินมาแล้ว ต่อไปพวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องยังต้องพบหน้ากันบ่อยๆ จะได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ฝึกฝนให้มาก ใช่สิ! ได้เจอกับศิษย์น้องเหมือนได้พบสหายเก่า ทำเอาข้าเกือบลืมเรื่องสำคัญไปเลย เมื่อครู่อาจารย์ลุงอินได้สั่งการลงมาว่า ตอนนี้ศิษย์น้องเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ถ้ำที่พักแห่งนี้ไม่ค่อยเหมาะสมแล้ว ด้วยเหตุนี้อาจารย์ลุงจึงช่วยเจ้าเลือกถ้ำให้เป็นพิเศษ ซึ่งได้แก่ถ้ำหมายเลขแปดที่อยู่ติดกับยอดเขา อีกประเดี๋ยวศิษย์น้องก็สามารถไปที่นั่นได้ด้วยตนเอง” เสวียนอู๋เอามือตบหน้าผากแล้วกล่าวออกมา


“ขอบคุณศิษย์พี่ที่แจ้งให้ทราบ อีกประเดี๋ยวข้าจะไปกราบขอบคุณอาจารย์” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก ยิ่งใกล้ยอดเขา ก็ยิ่งแสดงว่าปราณหยินภายในถ้ำหนาแน่น มีส่วนช่วยในการปรับสมดุลของระดับการฝึกฝนในตอนนี้ไม่น้อย


“ศิษย์น้องหลิ่วเกรงใจเกินไปแล้ว แต่อาจารย์ลุงอินสั่งว่า สถานการณ์ของศิษย์น้องในตอนนี้ ยังต้องปรับสมดุลระดับการฝึกฝนให้มาก ไม่จำเป็นต้องไปกราบขอบคุณแล้ว” เสวียนอู๋ได้ยินก็หัวเราะออกมา


หลิ่วหมิงย่อมกล่าวขอบคุณอีกครั้ง


จากนั้นเสวียนอู๋ก็พูดคุยกับหลิ่วหมิงอีกสองประโยคก่อนลากลับไป


หลังจากหลิ่วหมิงลับไปแล้ว ก็รีบเข้าไปเก็บข้าวของภายในถ้ำ ไม่นานก็ขี่เมฆมาถึงหน้าประตูถ้ำแห่งใหม่


บนยอดเขาลั่วโยว ถ้ำของศิษย์ทั้งหมดส่วนใหญ่จะจัดตั้งคล้ายๆ กัน หลังจากประทับแผ่นป้ายบนประตูด้วยความคุ้นเคยแล้ว แผ่นป้ายก็สั่นไหวเบาๆ จากนั้นประตูใหญ่ก็ค่อยๆ เปิดออกมา


หลิ่วหมิงรีบเข้าไปในถ้ำทันที หลังจากมองดูรอบด้านแล้ว ก็ค้นพบว่าขนาดของถ้ำมีพื้นที่แตกต่างจากก่อนหน้านั้นไม่มาก ในนั้นมีห้องใหญ่สามห้อง และก็มีลานหน้าบ้านขนาดเล็กด้วย ที่สำคัญก็คือปราณจิตวิญญาณฟ้าดินกับปราณหยินหนาแน่นไม่ต่ำกว่าหนึ่งชั้น


เขาพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นก็จัดถ้ำใหม่อย่างง่ายๆ และนำแมงป่องกระดูกกับหัวบินออกมาวางไว้ในห้องห้องหนึ่ง ให้พวกมันดูดซีบปราณหยินรอบๆ ตามสบายใจ และทำการฝึกฝนด้วยตนเอง


เพราะด้วยพลังระดับผลึกของเขาในตอนนี้ การเสริมแรงของแมงป่องกระดูกกับหัวบินเริ่มจะไม่เพียงพอแล้ว จำต้องยกระดับพลังโดยไวถึงจะได้


แต่ว่าในขณะนี้แมงป่องกระดูกกับหัวบินต่างก็อยู่ในระดับของเหลวขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว หากจะก้าวไปอีกขั้นล่ะก็ จำเป็นต้องเข้าสู่ระดับผลึกถึงจะได้


แต่ว่าการบรรลุระดับของอสูรเลี้ยงจิตวิญญาณนี้ นอกเสียจากว่าเกิดมามีสายเลือดพิเศษหรือมีโชคอันยิ่งใหญ่ มิเช่นนั้นก็ยากเป็นอย่างมาก ซึ่งยากกว่าผู้ฝึกฝนที่เป็นมนุษย์ไม่น้อย และการยกระดับการฝึกฝนข้ามเขตแดนเช่นนี้ มักจะนำมาซึ่งด่านเคราะห์สวรรค์


เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก ภายใต้สถาณการณ์ที่ไม่รู้เส้นสนกลใน เขาได้แต่ละความคิดนี้ทิ้งไปชั่วคราว คอยดูว่าต่อไปโอกาสของอสูรเลี้ยงสองตัวนี้จะเป็นเช่นไร


ไม่นาน หลิ่วหมิงก็นั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับบางแห่ง หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว แสงสีดำก็เปล่งประกายบนมือ จากนั้นคัมภีร์เก่าๆ ที่หน้าปกซีดเหลืองเล็กน้อยแล้ว ก็ปรากฏออกมา


เมื่อครู่ในตอนที่เขาจัดระเบียบภายในแหวนย่อส่วนนั้น ก็ค้นพบของสิ่งนี้โดยไม่ตั้งใจ มันคือคัมภีร์อักขระปีศาจที่เขาได้มาจากปีศาจหยินหยางในตอนนั้น


เห็นได้ชัดว่ามันมีที่มาอันยิ่งใหญ่ ด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนั้น คิดไม่ถึงว่าจะมองเห็นอักขระปีศาจจำนวนมากที่ปรากฏอยู่บนนั้นอย่างชัดเจน แต่พอเวลานานเข้า ก็เกือบลืมคัมภีร์เล่มนี้ไปจนหมดสิ้น


แต่พื้นผิวบนคัมภีร์ มีอักขระโบราณสีดำม่วงสองตัวเปล่งประกายอยู่เป็นระยะๆ และซ่อนเร้นไปอย่างรวดเร็ว มันเกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมาแบบนี้ไปเรื่อยๆ อักขระที่ปรากฏในแต่ละครั้งก็แตกต่างกัน ประจักษ์ชัดว่าเป็นพลังของชั้นจำกัดระดับสูงชนิดหนึ่ง


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา


ตอนนี้เขาเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว แต่กลับไม่รู้ว่าจะสามารถมองเห็นอักขระบนนั้นชัดเจนหรือไม่


หลิ่วหมิงรวบรวมสมาธิแล้วค่อยๆ เปิดไปที่หน้าแรก อักขระสีม่วงดำบนนั้นเคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด ขณะเดียวกัน แสงสีดำก็ม้วนตัวออกจากหน้าคัมภีร์


พลันมีเสียงดัง “หวึ่ง!” ข้างหูหลิ่วหมิง ทันใดนั้นสติก็ตกอยู่ในภวังค์


ชั้นจำกัดนี้ลี้ลับมหัศจรรย์มาก ตอนนั้นทำให้เขาเป็นทุกข์ไม่น้อย


แต่ว่าหลิ่วหมิงในวันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน หลังจากทำเสียงฮึดฮัดแล้ว ผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดที่อยู่ในร่างก็สั่นสะเทือน แสงแวววาวหมุนวนอยู่บนพื้นผิวพักหนึ่ง พลังเวทอันแข็งแกร่งทะลักออกมาราวกับคลื่นที่โหมกระหน่ำ และพวยพุ่งไปบนศีรษะ หัวสมองพองขึ้นมาจนรู้สึกเบาไปครึ่งหนึ่ง ขณะเดียวกัน ดวงตาทั้งคู่ก็เปล่งแสงออกมาสองลำ และเจาะเข้าไปบนแสงสีดำในคัมภีร์


อักขระปีศาจสีม่วงดำที่ปรากฏบนคัมภีร์ ดูชัดเจนขึ้นมา หลังจากหมุนติ้วๆ หนึ่งรอบแล้ว มันก็จัดเรียงแถวใหม่อย่างเป็นระเบียบ


หลิ่วหมิงค่อยๆ เปิดดูทีละหน้าด้วยความดีใจ


แม้เขาจะรู้จักอักขระปีศาจบนนั้น แต่เนื่องจากภาษาที่ใช้บรรยายยังคงขัดๆ อยู่ ซึ่งยากต่อการเข้าใจ เวลาทำความเข้าใจยังคงเป็นอุปสรรคไม่น้อย


หลังจากผ่านไปครึ่งวัน เขาถึงฝืนพลิกอ่านคัมภีร์ครึ่งหนึ่งจากต้นจนจบไปหนึ่งรอบ


หลังจากปิดคัมภีร์ลง หลิ่วหมิงก็เผยสีหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก


บนคัมภีร์เล่มนี้บันทึกเคล็ดวิชาสมัยบรรพกาลที่มีชื่อว่า ‘เคล็ดวิชาเกราะอสูรไว้’


ตามบันทึกในนี้ เคล็ดวิชานี้มาจาก ‘นิกายอสูรสู้รบ’ ที่หลอมชุบร่าง เมื่อนานมาแล้วในแผ่นดินจงเทียน


หลิ่วหมิงไม่เคยเจอชื่อของนิกายนี้ในคัมภีร์มาก่อน แต่ดูจากบันทึกในคัมภีร์อักขระปีศาจเล่มนี้ มีความเป็นไปได้มากว่า นิกายอสูรสู้รบนี้ เป็นนิกายใหญ่ที่มีชื่อเสียงในสมัยบรรพกาล


และเคล็ดวิชาเกราะอสูรนี้ ก็เป็นหนึ่งในสามสุดยอดเคล็ดวิชาของนิกายอสูรสู้รบ ต่อมาไม่รู้ว่าตกอยู่ในมือของเผ่าปีศาจได้อย่างไร และใช้อักขระปีศาจบันทึกขึ้นมา


พอหลิ่วหมิงอ่านถึงเคล็ดวิชานี้ ในสมองของเขาก็นึกถึงตอนอยู่ในวังของแคว้นต้าเสวียนในตอนนั้น วิชาอสูรร้ายที่หมายเลขสองของพรรควิญญาณมืดแสดงในตอนนั้น มีส่วนคล้ายกับเคล็ดวิชาเกราะอสูรสองถึงสามส่วน แต่ว่าวิชานี้เหนือชั้นกว่ามาก


ตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ เคล็ดวิชาเกราะอสูรนี้ สามารถทำให้อสูรจิตวิญญาณที่ถูกกรอกพลังเวทเข้าไป กลายเป็นเกราะนักรบที่ช่วยเพิ่มพลังกายเนื้อได้ คล้ายกับผลลัพธ์ที่มีอสูรจิตวิญญาณแฝงอยู่ในร่าง


และพอฝึกฝนวิชาเกราะอสูรสำเร็จ เกราะอสูรที่สร้างขึ้นมาไม่เพียงแต่จะทำให้กายเนื้อของผู้ฝึกฝนมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น พลังป้องกันก็น่าตกใจเป็นอย่างมาก แต่หากฝึกฝนจนสำเร็จขั้นสูงสุด ยังสามารถได้รับพลังของอสูรจิตวิญญาณด้วย พอที่จะพูดว่าได้ว่าอานุภาพของมันไร้รอบเขตเลยทีเดียว


ตอนที่ 642 เซ่นสังเวย

โดย

Ink Stone_Fantasy

แน่นอนว่าเคล็ดวิชาเกราะอสูรนี้ก็มีข้อเสียเป็นอย่างมาก


ประการแรก พออสูรจิตวิญญาณถูกหลอมเป็นเกราะอสูรแล้ว ก็ไม่สามารถดูดซับปราณจิตวิญญาณภายนอกได้เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นการมีชีวิตรอดกับการเพิ่มขึ้นของพลังที่แท้จริง ล้วนอาศัยการดูดซับพลังเวทของเจ้าของร่างมาช่วยเสริม


ผู้ฝึกฝนทั่วไปล้วนให้ความสำคัญกับการฝึกฝนของตนเองเป็นอย่างมาก เมื่อรู้สึกว่าพลังเวทไม่เพียงพอสำหรับการฝึกฝน ไหนเลยจะยอมแบ่งพลังเวทของตนเองให้อสูรจิตวิญญาณตัวนหนึ่งเพียงเพราะเคล็ดวิชานี้


ประการที่สอง วิชานี้ยังมีความโหดเหี้ยมเป็นอย่างมากในการคัดเลือกอสูรจิตวิญญาณ จำต้องเริ่มเซ่นสังเวยตั้งแต่ยังเป็นอสูรน้อย และในขณะที่ทำการเซ่นสังเวย อสูรน้อยต้องไม่มีการต่อต้านใดๆ เลย ถึงจะทำการเซ่นสังเวยสำเร็จ


สุดท้าย อสูรจิตวิญญาณที่เลือกมาตัวนี้จะต้องมีศักยภาพที่สามารถแตะต้องได้ หลังจากเติบโตแล้วมีพลังที่น่าตกใจ เช่นนี้แล้ว เกราะอสูรที่สร้างขึ้นมาถึงจะเพิ่มพลังให้กับผู้ฝึกฝนเป็นทวี และได้รับสิ่งที่ควรจะได้ในการฝึกฝนวิชานี้ มิเช่นนั้นหากเลือกอสูรจิตวิญญาณอย่างไม่ใส่ใจ จะทำให้เสียเวลาในตอนท้ายเปล่าๆ


ภายในเงื่อนไขสามข้อนี้ สิ่งที่ทำยากที่สุดก็คือข้อสองแล้ว


เพราะตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ในระหว่างการเซ่นสังเวยนั้น อสูรจิตวิญญาณจะเกิดความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ต่อให้จะเป็นอสูรที่มีเลือดเป็นอสูรเลี้ยง ก็จะเกิดความเจ็บปวดจนทำให้เกิดการต่อต้านได้ ด้วยเหตุนี้จะทำให้พลังสะท้อนกลับจนร่างของอสูรน้อยระเบิดเสียชีวิต


คาดว่าหากโชคไม่เลวล่ะก็ เซ่นสังเวยสักเจ็ดแปดครั้ง ก็อาจจะสำเร็จหนึ่งครั้งก็เป็นไปได้ แต่ทุกครั้งที่ทำการเซ่นสังเวยล้มเหลว จะสร้างความเสียหายต่อพลังชีวิตผู้ฝึกฝนเป็นอย่างมาก หากเจ็ดแปดครั้งแล้วยังไม่สำเร็จล่ะก็ ระดับการฝึกฝนของผู้ทำการเซ่นสังเวยอาจจะลดลงไปสามขั้นก็ได้ ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดถึงสามารถบ่มเพาะกลับมาได้ดังเดิม


สามารถกล่าวได้ว่า การฝึกฝนวิชานี้เป็นตัวเลือกที่มีทั้งความเสี่ยงและโอกาสนั่นเอง


ด้วยเหตุนี้ ในส่วนท้ายของคัมภีร์จึงระบุไว้อย่างชัดแจ้ง หากไม่ใช่ผู้ที่มีจิตใจเด็ดเดี่ยวอย่าได้ฝืนฝึกเป็นอันขาด


หลิ่วหมิงอ่านจบก็รู้สึกใจเต้นอย่างอดไม่ได้


อย่างที่รู้ว่า เดิมทีเขาก็เป็นผู้ฝึกร่างครึ่งหนึ่ง ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของเคล็ดวิชากระดูกดำและมังกรพยัคฆ์ทมิฬ ทำให้กายเนื้อในตอนนี้แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกร่างระดับเดียวกันมาก หากมีวิชาฝึกร่างที่ใช้ในการต่อสู้จริงมาประกอบล่ะก็ ย่อมมีอานุภาพเท่าตัวเมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู


อีกอย่าง เคล็ดวิชานี้ยังสามารถมีพลังของอสูรจิตวิญญาณได้ เกรงว่าไม่ว่าผู้ฝึกฝนท่านใด ก็ไม่อาจต้านทานความยั่วยวนนี้ได้


สำหรับปัญหาเรื่องการดูดซับพลังงานเวท เพียงแค่เขามีโอสถอยู่ในมือจำนวนมาก ย่อมไม่ต้องสนใจพลังเวทอันน้อยนิดนี้อย่างแน่นอน สิ่งเดียวที่เป็นกังวลในตอนนี้ก็คือ เรื่องการเซ่นสังเวยอสูรน้อยอย่างยากลำบากนั่นเอง


ต่อให้เป็นเขา ก็ไม่สามารถแบกรับผลของการสูญเสียพลังเจ็ดแปดครั้งติดต่อกันได้ ซึ่งเพียงพอที่จะทำให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อรากฐานของเขาแล้ว


 “อสูรน้อย…”


หลิ่วหมิงพูดคำนี้ออกมา หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายในฉับพลัน แสงสว่างปรากฏบนมือ และถุงอสูรจิตวิญญาณใบหนึ่ง ก็ออกมาจากแหวนย่อส่วน


แสงสีชมพูเปล่งประกายตรงปากถุง อสูรสมุทรน้อยแปดขาปรากฏขึ้นตรงหน้า


สุราคุณภาพเยี่ยมที่เขาซื้อมาจากเมืองจินหยวนในตอนนั้น ได้บำรุงปีศาจสมุทรแปดขาไปหนึ่งรอบ ตอนนี้หัวของมันใหญ่ขึ้นมาหนึ่งเท่ากว่าๆ ลวดลายจิตวิญญาณสีชมพูบนตัวก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา


หลิ่วหมิงใช้นิ้วกดระหว่างคิ้วของอสูรน้อย และร่ายคาถาออกมา ครู่เดียวใบเขาก็เผยสีหน้ายินดีออกมา


อสูรตนนี้ยังไม่มีสติปัญญา เหลือไว้แค่ความสามารถเฉพาะตัวเท่านั้น


ก่อนหน้านั้น เขารู้สึกผิดหวังเพราะสิ่งนี้ แต่ว่าตอนนี้ราวกับว่าจุดอ่อนนี้จะเตรียมไว้เพื่อเขาโดยเฉพาะ


หากไม่รู้สึกตัวล่ะก็ แสดงว่ามันจะไม่ต่อต้านในระหว่างทำการเซ่นสังเวยอย่างแน่นอน บวกกับการที่อสูรสมุทรแปดขานี้ ฟักออกมาจากไข่เทพอสูร หากพูดถึงพลังแฝง ย่อมล้ำเลิศเป็นอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นคงไม่ถูกคนเผ่าเจ้าสมุทรยกให้เป็นเทพอสูร


ด้วยเหตุนี้ การใช้อสูรน้อยตัวนี้มาฝึกฝนเคล็ดวิชาเกราะอสูรย่อมเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง


หลังจากตัดสินใจแล้ว หลิ่วหมิงก็เก็บปีศาจสมุทรเข้าไป และยืนนิ่งๆ อยู่กลางห้อง


วัสดุหลายสิบรายการที่ระบุไว้ในคัมภีร์อักขระปีศาจ ล้วนเป็นวัสดุเซ่นสังเวยอสูร ส่วนหนึ่งในนั้นเป็นวัสดุจิตวิญญาญธาตุหยินที่ล้ำค่าเป็นอย่างมาก


ลำพังแค่วัสดุในรายการนี้ ก็มีมูลค่าราวๆ หนึ่งล้านหินจิตวิญญาณแล้ว


หลิ่วหมิงออกไปจากถ้ำที่พักในทันที จากนั้นก็ไปซื้อวัสดุที่จำเป็นในตลาดของนิกายมาครึ่งหนึ่งก่อน แต่ว่าวัสดุหายากสองสามอย่างยังคงหาซื้อไม่ได้ จากนั้นถึงไปสถานที่ที่มีชื่อว่าหอไท่เจิน และใช้แต้มคุณูปการไปหลายหมื่นถึงซื้อวัสดุทั้งหมดมาได้ครบ


หลังจากกลับถึงถ้ำที่พัก เขาก็รีบปิดประตูใหญ่ทันที และเปิดชั้นจำกัดทั้งหมดไว้ เช่นนี้แล้วในระหว่างทำการเซ่นสังเวยก็จะไม่ถูกใครรบกวนอีก


ภายในห้องลับ หลิ่วหมิงนำอสูรสมุทรออกจากถุงอสูรจิตวิญญาณ ร่างสีชมพูของมันม้วนตัวตามแสงไปลอยอยู่กลางอากาศ หนวดสัมผัสสีชมพูแปดเส้นโบกสะบัดตามสัญชาตญาณ


พอหลิ่วหมิงทำท่ามือ โลหิตหยดหนึ่งก็ถูกบีบออกจากนิ้ว และหยดลงบนหน้าผากของอสูรน้อย ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา มือทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว


นี่เป็นเคล็ดวิชาสื่อสารจิตวิญญาณ เนื่องจากอสูรสมุทรแปดขาไม่มีสติปัญญาอะไร จึงถูกเขารับเป็นอสูรเลี้ยงอย่างง่ายดาย


ขณะที่อักขระสีดำตัวสุดท้ายจมหายไปในหัวของปีศาจสมุทรแปดขาอย่างไร้ร่องรอย ปีศาจสมุทรแปดขาที่ไร้ซึ่งความรู้สึกก็ขยับตัวอยู่ครู่หนึ่ง หนวดสัมผัสจำนวนมากม้วนตัวรัดพันแขนของหลิ่วหมิงไว้


พอหลิ่วหมิงขยับแขน ไอดำก็ม้วนตัวออกไป จากนั้นก็วางอสูรน้อยลงบนพื้นอย่างระมัดระวัง


ขณะที่แขนทั้งสองของเขาโบกสะบัดอยู่ไม่หยุด ธงค่ายกลแต่ละชิ้นกับแผ่นค่ายกลก็พุ่งออกมา และกระพริบหายไปบนพื้นห้องลับ ไม่นานก็ก่อตัวเป็นค่ายกลหลายชั้น


หลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ จากนั้นพู่กันสีเงินด้ามหนึ่งก็ปรากฏออกมา และวาดลงบนตัวอสูรน้อยผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว


ฉากที่น่าตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!


บนตัวอสูรสมุทรน้อยแปดขามีแสงสีเงินเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และลวดลายจิตวิญญาณสีเงินจางๆ ก็ปรากฏออกมาเป็นเส้นๆ


หลิ่วหมิงรู้เกี่ยวกับลวดลายจิตวิญญาณเหล่านี้แค่งูๆ ปลาๆ เท่านั้น ทุกอย่างเขาล้วนทำตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามเต็มๆ เขาถึงทำเสร็จสิ้น


ลวดลายจิตวิญญาณปกคลุมเต็มพื้นผิวของมันในแต่ละชุ่น แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก


พอหลิ่วหมิงส่งเสียงตะคอกเบาๆ แสงแปลกประหลาดสองลำที่พุ่งออกจากดวงตาก็ตกลงบนตัวอสูรสมุทรแปดขา


อสูรตัวน้อยหยุกชะงักในทันที ร่างของมันแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย หนวดที่เคยโบกสะบัดก็ค่อยๆ หยุดลง


หลิ่วหมิงอาศัยพลังเวทอันบริสุทธิ์กระตุ้นพลังจิต และระงับความสามารถของปีศาจสมุทรแปดขาไว้ จากนั้นก็ถึงช่วงเวลาสำคัญก็คือการเซ่นสังเวย


พอเขายกแขนเสื้อข้างหนึ่งปล่อยพลังลงบนพื้น ค่ายกลก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ


“ฟู่!”


แสงสีเหลืองขนาดเท่าถังน้ำสั่นสะเทือนออกจากค่ายกลที่อยู่บนพื้น พอมันสัมผัสกับชั้นจำกัดภายในถ้ำ ก็ถูกต้านทานไว้ทันที


ครู่ต่อมา แสงสีเหลืองจำนวนมากก็รวมตัวกันกลางอากาศ และกลายเป็นเมฆสีเหลืองก้อนหนึ่ง พริบตาเดียวก็แผ่กระจายไปทั่วห้องลับ


หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก เขาปล่อยพังเวทใส่ก้อนเมฆสีเหลืองอยู่ไม่หยุด


ขณะที่ท่ามือของเขาเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น เมฆสีเหลืองก็เริ่มหมุนวนอย่างรวดเร็ว และค่อยๆ ก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนรูปกรวย


และจุดสิ้นสุดของกระแสน้ำวนก็เป็นอสูรสมุทรน้อยแปดขาตัวนั้น มันกำลังหมอบอยู่บนพื้นอย่างเงียบๆ ด้วยสภาพซื่อๆ และไร้ซึ่งความรู้สึก


พอเห็นฉากเช่นนี้หลิ่วหมิงก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง พอโบกแขนเสื้อไปด้านหน้า วัสดุจิตวิญญาณสีต่างๆ ก็ปรากฏออกมา


ทุกครั้งที่หลิ่วหมิงชี้นิ้วสีขาวออกไปติดต่อกัน ก็จะมีวัสดุจิตวิญญาณหนึ่งชิ้นพุ่งเข้าไปในกระแสน้ำวน “ฟิ้ว!”


ขณะเดียวกัน เขาก็อ้าปากพ่นพลังเวทบริสุทธิ์ใส่เข้าไปด้วย ทำให้กระแสน้ำวนสีเหลืองหมุนวนเร็วขึ้นกว่าเดิม ไม่นานก็เพิ่มความเร็วขึ้นมาหนึ่งเท่ากว่าๆ ราวกับว่าเป็นหลุมลึกไร้ก้น และดูดวัสดุจิตวิญญาณทั้งหมดเข้าไป


เมื่อวัสดุจิตวิญญาณชิ้นสุดท้ายพุ่งเข้าไปแล้ว กระแสน้ำวนก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง


นิ้วทั้งสิบของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ แสงแวววาวพุ่งออกจากปลายนิ้วหลายสิบจุด และกระพริบหายเข้าไปในกระแสน้ำวน


“ตู๊ม!”


กระแสน้ำวนกลายเป็นเปลวเพลิงจิตวิญญาณสีขาว และลุกไหม้อย่างรุนแรง จากนั้นก็จมหายเข้าไปในร่างของอสูรสมุทรแปดขาท่ามกลางพายุหมุน


หลิ่วหมิงเพ่งตามองปีศาจสมุทรแปดขาด้วยแววตาตื่นเต้น โชคดีที่อสูรน้อยดูเหมือนตายไปแล้วตั้งแต่ต้นจนจบ โดยที่ไม่มีการเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย


หลังจากอสูรน้อยดูดเปลวเพลิงจิตวิญญาณทั้งหมดไปแล้ว ร่างของมันก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ลวดลายจิตวิญญาณบนตัวเริ่มเปล่งแสงสีเงินเป็นประกายแวววาว ราวกับว่ามีชีวิตขึ้นมาทันใด และค่อยๆ เคลื่อนไหวเบาๆ


“ฟู่!”


ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หลิ่วหมิงถึงถอนหายใจออกมายาวๆ ตอนนี้การเซ่นสังเวยประสบความสำเร็จโดยพื้นฐานแล้ว


ความคิดของเขาเปลี่ยนไปทันที นิ้วมือข้างหนึ่งชี้ออกไปเบาๆ จากนั้นแสงสีดำก็กระพริบออกจากปลายนิ้ว และร่วงลงบนตัวปีศาจสมุทรแปดขา


หลังจากอสูรตัวนี้สะดุ้งโหยงตื่นขึ้นมานั้น ดวงตาของมันดูมีชีวิตขึ้นมา ซึ่งแตกต่างจากที่ดูทื่อๆ ในตอนแรก พอสะบัดหนวดสัมผัสทั้งแปด มันก็กระโดดขึ้นมาบนไหล่หลิ่วหมิง และส่งเสียงร้องออกมา


หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พลังเวทภายในร่างเริ่มเคลื่อนไหวตามที่บรรยายไว้ในเคล็ดวิชาเกราะอสูรอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน พลังเวทก็พุ่งเข้าไปในร่างอสูรสมุทรแปดขาบนไหล่อย่างต่อเนื่อง


 จุดแสงสีเงินหนึ่งจุดเปล่งประกายบนตัวอสูรสมุทร และขยายใหญ่เป็นลำแสงสีเงินอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มีแสงสีดำพุ่งออกจากแสงสีเงินเป็นจำนวนมาก และแสงสีดำกับสีเงินปกคลุมร่างของเขาไว้ในฉับพลัน


เมื่อลำแสงมืดลงอย่างรวดเร็ว บนตัวหลิ่วหมิงก็มีเกราะหนังสีเงินจางๆ ที่ดูเรียบง่ายปรากฏออกมา มันแนบติดกับผิวหนังราวกับมีมาตั้งแต่เกิด


เสื้อเกราะนี้ปกคลุมแค่จุดสำคัญอย่างหน้าอก ท้องน้อย ลำคอ เป็นต้นเท่านั้น บนพื้นผิวมีลวดลายจิตวิญญาณสีเดียวกันประทับอยู่


หลิ่วหมิงส่ายคอ บิดเอว และขยับแขนขยับขาอยู่ครู่หนึ่ง ก็ค้นพบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ และไม่มีความรู้สึกตึง ราวกับว่าเป็นผิวหนังที่มีมาโดยกำเนิด


เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก พอเอานิ้วกดลงบนเสื้อเกราะสีเงิน พลังอ่อนนุ่มบางอย่างก็ดีดออกมา


หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกายในทันที พอดีดนิ้วออกไป ปราณกระบี่สีเขียวก็กระพริบออกมา


“เพล้ง!” มีแสงสีเงินปรากฏออกมาหนึ่งชั้น ปราณกระบี่กระเด็น และสลายไป


ตอนที่ 643 วิชาสายฟ้าสวรรค์

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงพยักหน้าด้วยความพอใจ


พลังป้องกันของเกราะอสูรในตอนนี้ เทียบเท่ากับอาวุธจิตวิญญาณป้องกันระดับสูงเท่านั้น ซึ่งพอๆ กับเกราะหนังมังกรแดงของเขาในเมื่อก่อน


ครู่ต่อมา เขากำมือทั้งสองไว้แน่น ข้อต่อกระดูกในร่างส่งเสียงดังราวกับเสียงคั่วเม็ดถั่ว จากนั้นก็ทุบไปกลางอากาศอย่างรุนแรง


“ตู๊ม!”


ห้องลับสั่นสะเทือน!


หลังจากหลิ่วหมิงเก็บกำปั้น และมองดูเกราะหนังบนตัวแล้ว ดวงตาของเขาก็เผยแววดีใจออกมา


จากการโจมตีในเมื่อครู่ เขารับรู้ถึงพลังเวทที่เพิ่มขึ้นมาราวๆ หนึ่งส่วนอย่างชัดเจน


อย่าได้ดูถูกพลังที่เพิ่มขึ้นมาแค่หนึ่งส่วนนี้ เดิมทีร่างของเขาก็แข็งแกร่งเป็นอย่างมากอยู่แล้ว สำหรับผู้ฝึกฝนธรรมดาแล้ว พลังหนึ่งส่วนนี้เป็นพลังที่น่าตกใจมาก


และอสูรสมุทรแปดขาในตอนนี้ ยังเป็นแค่อสูรน้อยเท่านั้น หากรอมันเติบโตขึ้นมาล่ะก็ คงยากที่จะจินตนาการถึงระดับความน่ากลัวของมันได้ แม้กระทั่งอาจเพิ่มพลังได้หนึ่งเท่ากว่าๆ ก็มีโอกาสเป็นไปได้


นอกจากนี้ ปีศาจสมุทรแปดขาที่เป็นเกราะอสูร ย่อมไม่ได้เป็นชุดเกราะธรรมดา ในเคล็ดวิชาเกราะอสูรยังบันทึกวิธีการควบคุมให้มันเปลี่ยนแปลงได้หลากหลายรูปแบบในการรับมือกับศัตรู


หลิ่วหมิงทำการเปรียบเทียบสถานการณ์ของปีศาจสมุทรแปดขากับเนื้อหาที่บันทึกไว้ในคัมภีร์เล็กน้อย จากนั้นก็พอจะรับรู้ถึงความสามารถคร่าวๆ ของปีศาจสมุทรแปดขาในอนาคต


ยกตัวอย่างเช่น เมื่อผ่านการฝึกฝนที่แน่นอน ก็สามารถทำให้เกราะอสูรสมุทรแปดขากลายสภาพเป็นถุงมือ โล่ และอื่นๆ เป็นต้น


และเมื่ออสูรน้อยโตขึ้นมาอีกหน่อยล่ะก็ สามารถควบคุมให้กลายสภาพเป็นแขนใต้ซี่โครงเพื่อโจมตีในขณะที่ศัตรูไม่ทันได้ระวังได้ หรืออาจทำให้กลายเป็นปีกตรงหลังเพื่อช่วยในการเหินเวหา เป็นต้น


หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเช่นนี้แล้ว มือข้างหนึ่งก็ปล่อยพลังออกมา เกราะสีเงินบนตัวพร่ามัวกลายสภาพเป็นหมึกสีชมพูตัวเล็กๆ และติดหนึบอยู่บนหน้าอกของเขา


พอเขาเห็นเช่นนี้ก็ไม่คิดจะดึงมันออกมา แต่กลับใส่เสื้อปิดคลุมมันไว้


เพราะหากยอมให้อสูรสมุทรน้อยแปดขาติดตัวไปล่ะก็ ไม่เพียงแต่จะบ่มเพาะได้สะดวก พอเผชิญหน้ากับศัตรูก็สามารถใส่พลังเวทได้ทันที พริบตาเดียวก็จะกลายเป็นเกราะอสูร ซึ่งสามารถนำออกมาใช้งานได้ทันที


หลังจากหลิ่วหมิงหลอมเกราะอสูรสำเร็จแล้ว ก็คิดไตร่ตรองไปรอบหนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจไปเลือกเคล็ดวิชาที่เหมาะสมกับระดับผลึกเพื่อทำการฝึกฝน


เพราะครั้งนี้เขาสามารถอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับได้นานถึงสิบหกปี ซึ่งมีเวลาอย่างเพียงพอ ต้องเตรียมการให้มาก


ดังนั้นเขาจึงออกจากถ้ำที่พักอีกครั้ง และขี่เมฆไปยังหอคัมภีร์ของยอดเขาลั่วโยว


หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงเดินออกจากหอคัมภีร์ด้วยสองมือที่ว่างเปล่า และใบหน้าของเขาก็เผยรอยยิ้มอันขมขื่นออกมา


ในหอคัมภีร์ของยอดเขา ส่วนมากเป็นเคล็ดวิชาสายปีศาจ ดูจากเงื่อนไขการฝึกฝนที่บรรยายแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีส่วนที่ขัดแย้งกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬมาก และไม่เหมาะสมกับการฝึกฝนของเขา


หลังจากหลิ่วหมิงทำท่ามืออีกครั้ง เขาก็เหยียบเมฆดำพุ่งไปยังหอเก็บคัมภีร์ของนิกาย


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาก็มาถึงหอเก็บของคัมภีร์ของนิกายที่มาบ่อยจนคุ้นเคยแล้ว


หลิ่วหมิงทักทายศิษย์ดำเนินการร่างอ้วนอย่างง่ายๆ จากนั้นก็เดินตรงไปยังชั้นสามทันที


เขาอยู่บนชั้นสามนานถึงสามชั่วยาม พลิกอ่านคัมภีร์ไปหลายสิบเล่ม แต่ก็ยังหาเคล็ดวิชาที่เหมาะสมไม่ได้


ขณะนั้นเอง ชั้นไม้สีดำที่อยู่มุมหนึ่งของห้องก็ดึงดูดความสนใจของเขา


บนชั้นไม้มีคัมภีร์ที่ดูซีดเหลืองเล็กน้อยวางอยู่สิบกว่าเล่มเท่านั้น


“เคล็ดวิชาบรรพกาล?”


หลิ่วหมิงกวาดสายตาดูอักขระเล็กๆ สองสามตัวบริเวณชั้นไม้ และเผยแววตาประหลาดใจออกมา ทันใดนั้นเขาก็ลุกเดินไปยังหน้าชั้นไม้สีดำทันที และหยิบคัมภีร์เล่มหนึ่งมาเปิดดูหน้าแนะนำสองสามหน้าแรกอย่างไม่ใส่ใจ


หลิ่วหมิงมาหอเก็บคัมภีร์บ่อยครั้งเช่นนี้ ย่อมเข้าใจคัมภีร์ประเภทต่างๆ อย่างชัดเจน


เคล็ดวิชาบรรพกาลที่กล่าวถึง ดูความหมายจากชื่อแล้ว มันเป็นเคล็ดวิชาจำนวนหนึ่งในสมัยบรรพกาล วิชาเหล่านี้มักจะมีอานุภาพไม่เลว แต่สำหรับตอนนี้แล้ว ส่วนใหญ่ไม่สามารถจัดรวมอยู่ในอันดับได้ เงื่อนการฝึกฝนก็โหดร้ายเป็นอย่างมาก โดยทั่วไปไม่ค่อยมีคนถามหา


เพราปราณจิตวิญญาณฟ้าดินกับสมบัติฟ้าดินต่างๆ ในสมัยบรรพกาล ไม่ใช่สิ่งที่ตอนนี้จะสามารถเปรียบเทียบได้


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เขาก็ส่ายหน้าเล็กน้อย และวางคัมภีร์ในมือลง จากนั้นก็หยิบอีกเล่มขึ้นมา


ไม่นาน ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดจะวางคัมภีร์ในมือลงบนชั้นไม้นั้น พลันได้ยินเสียงหลัวโหวดังขึ้นข้างหูเบาๆ


“วิชาสายฟ้าสวรรค์นี้ พอฝึกฝนสำเร็จสามารถดูดรับพลังสายฟ้าที่แท้จริงมาควบคุมไอปีศาจหยินทั้งหมดได้ มีผลในการควบคุมจิตปีศาจในร่างของเจ้า แม้ว่าจะไม่อาจขุดรากถอนโคนจิตปีศาจได้ แต่กลับมีผลในการถ่วงเวลาให้ช้าออกไป”


“ผู้อาวุโสกล่าวจริงหรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจในทันที และรีบถามเข้าไปในทะเลจิตรับรู้


แต่พอเขาถามออกไปแล้ว กลับมีแต่ความเงียบในหู ไม่มีน้ำเสียงของหลัวโหวดังขึ้นมาอีก


หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาในทันที และคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว


“ช่างเถอะ! แม้ตอนนี้จะยังไม่รู้เบื้องหลังของหลัวโหวอย่างชัดเจน แต่อย่างน้อยคำพูดของเขาก็ไม่เคยเป็นเท็จเลยสักครั้ง ในเมื่อบอกว่าวิชาสายฟ้าสวรรค์สามารถควบคุมจิตปีศาจได้ คงจะไม่เป็นเท็จอย่างแน่นอน”


หลิ่วหมิงแอบตำหนิอยู่ในใจ จากนั้นก็พลิกคัมภีร์เล่มนี้ไปยังหน้าที่บอกจำนวนแต้มคุณูปการที่ใช้แลกอย่างไม่ลังเล แต่ผลลัพธ์กลับทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก


คัมภีร์ที่ดูธรรมดาๆ เล่มนี้ กลับใช้แต้มคุณูปการอันน่าตกใจถึงหกแสนแต้ม ซึ่งมากกว่าการยืมใช้กระจกหยินหยางแยกผสานด้วยซ้ำ เทียบกับวิชาเงาร่างสามส่วนแล้ว มากกว่าถึงหนึ่งเท่ากว่าๆ


หลิ่วหมิงกระพริบตาปริบๆ หลังจากมั่นใจว่าตนเองไม่ได้ดูจำนวนแต้มคุณูปการผิดแล้ว ก็กัดฟันนำคัมภีร์วิชาบรรพกาลเล่มนี้ลงไปด้านล่างของหอ และไปหาผู้ดำเนินการหลี่ว์ร่างอ้วนอีกครั้ง


“พี่หลิ่ว มาหอเก็บคัมภีร์ในครั้งนี้จะยืมคัมภีร์เคล็ดวิชาอะไรอีกหรือ?” พอผู้ดำเนินการร่างอ้วนเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“พี่หลี่ว์ ข้าอยากใช้สิทธิ์ครึ่งราคาของศิษย์สายในยืมอ่านวิชาสายฟ้าสวรรค์เล่มนี้” หลิ่วหมิงเอามือลูบจมูก และโบกคัมภีร์ในมือพร้อมกับกล่าวออกมา


“วิชาสายฟ้าสวรรค์? พี่หลิ่วรู้หรือไม่ แม้จะบอกว่าเมื่อฝึกฝนวิชานี้จนถึงขั้นลึกซึ้งแล้ว จะมีอานุภาพไม่จำกัด แต่ความยากในการฝึกฝนไม่อาจเทียบกับวิชาระดับสูงทั่วไปได้ แม้ว่าพอจะมีคนจำนวนน้อยที่สนใจอยู่บ้าง แต่ล้วนเป็นผู้อาวุโสระดับแก่นแท้ขึ้นไป” ชายหนุ่มร่างอ้วนมองดูคัมภีร์ในมือหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยความตกใจ


แม้ว่าผู้ดำเนินการร่างอ้วนผู้นี้จะมีระดับการฝึกฝนไม่ค่อยสูง แต่ก็รับหน้าที่ในหอเก็บคัมภีร์มานานหลายปี จึงค่อนข้างคุ้นเคยกับเคล็ดวิชาต่างๆ ในหอเก็บคัมภีร์ดี ด้วยเหตุนี้ถึงเอ่ยปากเตือนหลิ่วหมิงไปสองสามประโยค


“ขอบคุณพี่หลี่ว์ที่เตือน แต่ข้าได้ตัดสินใจแล้วเลือกวิชานี้แล้ว” หลิ่วหมิงรู้ดีว่าชายหนุ่มหวังดีกับเขา ดังนั้นจึงประสานมือคารวะเล็กน้อย และกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น


“ในเมื่อพี่หลิ่วตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่เกลี้ยกล่อมท่านอีก เอาป้ายมาเถอะ!” ผู้ดำเนินการร่างอ้วนได้ยินก็กล่าวด้วยรอยยิ้มในทันที


หลิ่วหมิงปลดป้ายประจำตัวบนเอวมอบให้ชายหนุ่มร่างอ้วน


ชายหนุ่มแซ่หลี่ว์สะบัดแขนเสื้อหยิบพู่กันหยกที่เปล่งแสงสีเขียวสลัวๆ แตะลงบนป้ายของหลิ่วหมิงเบาๆ หลังจากมีจุดแสงสีเขียวเปล่งประกาย แต้มคุณูปการก็ลดลงไปสามแสนแต้ม


หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็ใช้พู่กันหยกแตะลงบนคัมภีร์วิชาสายฟ้าสวรรค์บนมือหลิ่วหมิง จากนั้นแสงสีเขียวลำหนึ่งก็จมลงไปในคัมภีร์ และชั้นจำกัดในนั้นก็กระพริบหายไป


“พี่หลิ่ว ชั้นจำกัดในคัมภีร์นี้ได้ถูกเปิดออกแล้ว ท่านต้องคัดลอกใส่แผ่นหยก และทำการสาบานก่อนนำมันออกไปก็พอ” ชายหนุ่มแซ่หลี่ว์เก็บพู่กันหยกและมอบป้ายคืนให้หลิ่วหมิงก่อนกล่าวออกมา


“ต้องขอบคุณพี่หลี่ว์มาก”


หลังจากรับป้ายประจำตัวกลับมาแล้ว หลิ่วหมิงก็นำแผ่นหยกแวววาวมาวางทาบลงบนคัมภีร์ พริบตาเดียวแสงทรงกลดสีเงินจางๆ ก็เปล่งประกาย อักขระเล็กๆ แต่ละแถวปรากฏบนแผ่นหยก และกระพริบหายไป


หลังจากหลิ่วหมิงใส่แผ่นหยกเข้าไปในแหวนย่อส่วนแล้ว ก็นำคัมภีร์กลับไปวางบนชั้นไม้ตรงชั้นสาม และกล่าวลาชายหนุ่มแซ่หลี่ว์อย่างรีบร้อนก่อนเหยียบเมฆเหาะกลับไปยังถ้ำที่พัก


พอกลับถึงถ้ำที่พัก เขาก็เดินเข้าไปในห้องลับโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงบนเบาะกลมๆ และนำแผ่นหยกไปแปะไว้บนหน้าผาก พอนำจิตจมดิ่งเข้าไป ก็เริ่มทำความเข้าใจวิธีการฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์


เวลาหลายวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลังจากหลิ่วหมิงใช้ความคิดไปหนึ่งรอบแล้ว ก็เข้าใจวิชาบรรพกาลนี้อย่างทะลุปรุโปร่งในที่สุด


แม้เขาจะรู้สึกเหนื่อยล้า แต่ในที่สุดก็เข้าใจว่าทำไมวิชานี้ถึงมีอานุภาพไร้ขอบเขต แต่ศิษย์ในนิกายกลับมีคนเลือกฝึกฝนวิชานี้น้อยมาก


ตามบันทึกในคัมภีร์ วิชาสายฟ้าสวรรค์นี้ ดูจากชื่อแล้วเป็นวิชาที่ต้องอาศัยพลังของสายฟ้าสวรรค์ถึงจะฝึกฝนได้ ไม่เพียงแต่สิ้นเปลืองเวลาในการฝึกฝนเป็นอย่างมาก ทุกครั้งต้องรอจนกว่าฝนตกฟ้าร้องถึงจะสามารถฝึกฝนได้


เช่นนี้แล้วต่อให้เป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์ทางด้านวิชาอย่างน่าตกใจ แต่หากทุกครั้งที่มีพายุฝนฟ้าคะนองไม่ดึงเวลาในการฝึกฝน เกรงว่าเวลานับร้อยปีก็เพิ่งเข้าถึงขั้นต้นเท่านั้น


แต่สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว หากวิชาสายฟ้าสวรรค์สามารถควบคุมไอปีศาจได้ อย่างน้อยต้องฝึกฝนถึงขั้นลึกซึ้งถึงจะได้ ดูจากสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ต้องใช้เวลาฝึกฝนนับพันปีเลยทีเดียว


ระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ เขาย่อมไม่อาจรอได้


เมื่อหลิ่วหมิงเข้าใจถึงเวลาที่ต้องใช้สำหรับฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์แล้ว ใบหน้าของเขาก็ประเดี๋ยวกลายเป็นสีแดงประเดี๋ยวกลายเป็นสีขาวอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หลับตาทั้งคู่ลงทันที และค่อยๆ ปล่อยพลังเวทเข้าไปในศิลาหุนเทียน


ครู่ต่อมา พลันมีเสียงดังหวึ่งข้างหูของเขา จากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็มืดลง และร่างของเขาก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับ


และชายหนุ่มผู้หนึ่งกำลังเอามือไขว้หลังยืนอยู่ไม่ไกล ซึ่งก็คือหลัวโหวนั่นเอง


“ผู้อาวุโสหลัวโหว ก่อนหน้านั้นท่านบอกแค่ว่าหลังจากฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์นี้สำเร็จ จะมีผลในการควบคุมจิตปีศาจ แต่ไม่ได้บอกว่าต้องฝึกฝนวิชานี้ในขณะฝนตกฟ้าร้อง” หลิ่วหมิงถอนหายใจแล้วถามด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น


“ฮึ! ในเมื่อข้าให้เจ้าเลือกวิชานี้ ข้าย่อมมีเหตุผลของข้า”


หลัวโหวได้ยินก็แค่ตอบกลับอย่างราบเรียบไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็สะบัดแขนสื้อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ดวงตามายาปีศาจบนศิลาหุนเทียนเปล่งแสงออกมา


หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าทิวทัศน์รอบด้านพร่ามัว จากนั้นตัวเขาก็มาอยู่ในสถานที่รกร้างว่างเปล่าแห่งหนึ่ง มีเมฆดำปกคลุมอยู่บนอากาศ สายฟ้าจำนวนนับไม่ถ้วนเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งราวกับอสรพิษสีเงิน


“เปรี้ยง!”


สายฟ้าขนาดเท่าปากถ้วยฟันมายังตำแหน่งที่หลิ่วหมิงยืนอยู่


“สายฟ้าสวรรค์?”


หลิ่วหมิงได้แต่บิดตัวด้วยความตกใจ แต่ไหล่ของเขายังคงถูกสายฟ้าสวรรค์ดังนั่นโจมตีอย่างรวดเร็ว


ร่างของเขาเซไปทีหนึ่ง บนไหล่มีแผลไหม้เกรียมยาวหลายชุ่นปรากฏออกมา สายฟ้าสีเงินแต่ละเส้นส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” บนผิวของเขา กลิ่นไหม้เกรียมโชยออกจากตัวทันที


ตอนที่ 644 เมืองจันทราสายน้ำ

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้ว่ากายเนื้อของเขาจะแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันตั้งแต่แรก แต่หากต้องรับการโจมตีของสายฟ้าสรรค์อันน่ากลัวเช่นนี้ ก็รู้สึกรับไม่ไหวเช่นกัน


ไม่แปลกที่มีแต่ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ฝึกฝนวิชานี้ เกรงว่าศิษย์ระดับผลึกทั่วไปยังไม่ทันฝึกฝนขั้นแรกสำเร็จ ก็ถูกสายฟ้าผ่าตายไปก่อนแล้ว


ขณะเดียว เสียงฟ้าร้องกลางอากาศก็ดังอยู่ไม่หยุด และสายฟ้าสิบกว่าเส้นก็ฟันเข้าใส่หลิ่วหมิงอีกครั้ง


ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงก็ถูกโจมตีจนมีบาดแผลเต็มตัว ภายใต้สถานการณ์ที่สีหน้าของเขาดูไม่ได้เป็นอย่างยิ่ง ก็รับรู้ได้ว่าตนเองไม่อาจยืนหยัดได้อีกต่อไป


ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงดัง “หวึ่ง!” ข้างหูอีกครั้ง ทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านพร่ามัว และร่างของเขาก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง


หลัวโหวยังคงยืนอยู่ข้างศิลาหุนเทียนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และดวงตามายาบนศิลาหุนเทียนก็ค่อยๆ ปิดลง


“ผู้อาวุโสหลัวโหว เมื่อครู่นี้คือ…” หลังจากหลิ่วหมิงได้สติกลับมา ย่อมสอบถามด้วยความสงสัย


“เนื่องจากก่อนหน้านั้นเจ้าใช้ไอปีศาจแท้ซ่อมแซมผนึกของกรงขัง ขอบเขตอำนาจในดวงตามายาปีศาจของเจ้าจึงถูกยกระดับขึ้นมาหนึ่งขั้น สามารถใช้ดวงตามายาปีศาจจำลองสภาพอากาศในสถานที่ต่างๆ ได้แล้ว มิเช่นนั้นข้าคงไม่เอ่ยปากให้เจ้าเลือกวิชานี้หรอก” หลัวโหวอธิบายอย่างราบเรียบ


“สามารถเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเพื่อทำการฝึกฝนได้? นี่ไม่เท่ากับว่าเพียงแค่ข้ามีพลังจิตที่เพียงพอ ก็สามารถฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์นี้ได้ตลอดเวลาหรือ!” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ย่อมมองมาด้วยความดีใจ


“ย่อมเป็นเช่นนั้น แต่ว่ามันเป็นเพียงการเปลี่ยนแปลงของภาพมายาที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ ยังไม่อาจควบคุมได้ ทำได้แค่ให้ข้าเป็นคนน้าวนำ ต่อไปหากเจ้าจะฝึกฝน เพียงแค่เรียกชื่อข้าก็พอแล้ว” หลัวโหวยังคงกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


“เรื่องการน้าวนำนั้นไม่มีปัญหา แต่ไม่ทราบว่าขอบเขตอำนาจกรงขังที่ผู้อาวุโสกล่าวถึงในตอนแรกคือสิ่งใดกันแน่? หากผู้น้อยใช้ไอปีศาจแท้ในการเสริมมากขึ้น จะสามารถยกระดับขอบเขตอำนาจมากขึ้นหรือไม่ ดวงตามายาปีศาจนี้สามารถสร้างแดนมายาอื่นๆ ได้ตามใจต้องการหรือไม่?” หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกายสองสามที จากนั้นก็ถามคำถามจำนวนมากออกไปทีเดียว


แต่ทว่าหลัวโหวกลับไม่สนใจคำถามที่รัวเป็นชุดเหล่านี้ พูดแค่ว่า “ต่อไปเจ้าก็จะรู้เอง” จากนั้นก็สะบัดแขนออกไป และพายุบ้าระห่ำก็ม้วนตัวเข้ามา


ดวงตาทั้งคู่ของหลิ่วหมิงมืดลง จากนั้นก็มาปรากฏตัวในห้องลับที่อยู่ภายในถ้ำอีกครั้ง


“อารมณ์ของหลัวโหวผู้นี้เข้าใจยากจริงๆ” หลิ่วหมิงตำหนิไปหนึ่งประโยคอย่างอดไม่ได้ แต่ก็รู้สึกโล่งใจมาก


มิเช่นนั้นการซื้อคัมภีร์ที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ด้วยแต้มคุณูปการสามแสนแต้ม ย่อมทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอย่างแน่นอน


ตอนนี้เขาเพียงแค่ฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์จนถึงขั้นลึกซึ้งอย่างราบรื่นล่ะก็ ไม่เพียงแต่จะควบคุมจิตปีศาจภายในร่างได้เท่านั้น ยังมีพลังวิเศษในการพิชิตศัตรูกำชัยชนะได้ด้วย


และตอนนี้มีเวลาราวๆ ครึ่งปีก่อนเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับ แต่วัตถุดิบสำหรับปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณยังรวบรวมได้ไม่ครบ หลังจากคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็ออกไปจากถ้ำอีกครั้ง เขาปล่อยเรือเหาะออกมา และกระโดดขึ้นไปก่อนพุ่งออกจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปยังทิศทางบางแห่ง


หนึ่งเดือนต่อมา นอกตลาดขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปหลายล้านลี้ ชายหนุ่มชุดคลุมสีเขียวผู้หนึ่งกำลังยืนโต้ลมอยู่บนยอดเขาลูกเล็กๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด


เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง


หลายวันมานี้ เขาเดินไปทั่วทั้งสองตลาดที่อยู่ในบริเวณนี้อย่างบ้าคลั่ง แต่วัตถุดิบที่บันทึกไว้ในตำราโอสถแฝงจิตวิญญาณยังรวบรวมได้ไม่ครบ วัตถุดิบเสริมที่มีชื่อว่าหญ้าต้าไป่ยังหาซื้อไม่ได้เลยแม้แต่ชุดเดียว


และของเหลวห้าแสงที่เป็นวัตถุดิบหลักก็ซื้อมาได้แค่สองขวด คุณภาพก็ธรรมดา แค่พอใช้ได้เท่านั้น


หลังจากสอบถามไปหนึ่งรอบแล้ว เถ้าแก่ร้านโอสถที่มีประสบการณ์ค่อนข้างมากผู้หนึ่งบอกเขาว่า บริเวณเมืองจันทราสายน้ำที่อยู่ห่างจากที่นี่ไปค่อนข้างไกล ผลิตหน้าต้าไป่โดยเฉพาะ บางทีอาจจะซื้อของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงได้จำนวนหนึ่งด้วย


ของเหลวห้าแสงสีมีชื่อเรียกอีกอย่างว่าน้ำผึ้งห้าแสง เป็นน้ำผึ้งของปีศาจผึ้งชนิดหนึ่ง และเป็นสินค้าพิเศษของสถานที่บางแห่งในแผ่นดินจงเทียน แม้ว่าทุกปีจะผลิตออกมาไม่น้อย แต่พอปรากฏออกมาก็ถูกขายในตลาดท้องถิ่นจนหมดเกลี้ยง


ดังนั้นหากจะซื้อของเหลวห้าแสงที่คุณภาพดีหน่อย ควรไปซื้อที่สถานที่ผลิตจะดีที่สุด


แต่เขาจูหลงที่เป็นที่อยู่ของผึ้งห้าแสง ตั้งอยู่ในดินแดนเปล่าเปลี่ยวทางตอนใต้สุดของแผ่นดินจงเทียน ไม่เพียงแต่อยู่ไกลเป็นพิเศษ ทั้งยังมีอากาศเป็นพิษตลอดปี มีอสูรร้ายชนิดต่างๆ เป็นจำนวนมาก และเป็นที่ตั้งของเผ่าปีศาจต่างๆ ด้วย


 และจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไปยังดินแดนเปล่าเปลี่ยวทางตอนใต้ เส้นทางกว่าครึ่งหนึ่งไม่สามารถใช้ค่ายกลส่งตัวได้ แม้กระทั่งการไปกลับครั้งหนึ่ง ต้องใช้เวลาถึงสองปี ตอนนี้หลิ่วหมิงไปอาจไปได้อย่างแน่นอน


ตอนนี้เขาได้แต่รวบรวมวัตถุดิบโอสถแฝงจิตวิญญาณที่สามารถเปิดเตาหลอมได้ไม่กี่ครั้งก่อน รอออกจากห้องว่างเปล่าลึกลับแล้ว ค่อยไปดินแดนเปล่าเปลี่ยวทางตอนใต้สักครั้ง


แต่จากประสบการณ์ปรุงโอสถในครั้งก่อน การใช้วัตถุดิบหลักที่ดีในการปรุงโอสถ ก็มีอัตราการปรุงสำเร็จมากกว่าอีกเล็กน้อย และยังมีโอกาสปรุงโอสถระดับสูงออกมาได้มากด้วย


หากเป็นไปได้ หลิ่วหมิงอยากจะรวบรวมน้ำผึ้งห้าแสงคุณภาพสูงมาให้ได้สองสามชุดก่อนเข้าห้องว่างเปล่าลึกลับ จะได้ยกระดับความเชี่ยวชาญในการปรุงโอสถของตัวเองได้เร็วขึ้น


ดังนั้นหลังจากคนในตลาดแห่งนี้บอกว่า เมืองจันทราสายน้ำอาจจะมีน้ำผึ้งห้าแสงคุณภาพไม่เลวอยู่ เขาย่อมไม่ละทิ้งมันไปอย่างแน่นอน


แต่ว่าเมืองจันทราสายน้ำก็อยู่ห่างไกลจากสถานที่ที่เขาอยู่ในตอนนี้มาก แม้ว่าจะมีเรือหยกจันทรา แต่หากไม่มีเวลาสองสามเดือนก็ไม่อาจไปถึงได้


แต่โชคดีที่มีค่ายกลส่งตัวหลังหนึ่งอยู่ห่างจากตลาดแห่งนี้ไปพันลี้ สามารถใช้หินจิตวิญญาณเล็กน้อยในการส่งตัวไปไม่กี่ครั้ง ก็ไปถึงบริเวณเมืองจันทราสายน้ำแล้ว


หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองดูแล้ว ก็ตัดสินใจในทันที เขายกแขนปล่อยเรือเหาะหยกจันทราออกมา และกระโดดขึ้นไปบนนั้น จากนั้นก็ใช้ปลายเท้าแตะพื้นเรือเบาๆ


พายุพัดกระหน่ำทั้งสองด้านของเรือ และพุ่งไปทางค่ายกลส่งตัวทันที


จากนั้นหลิ่วหมิงก็ไปนั่งขัดสมาธิตรงส่วนหน้าของเรือ และหลับตาพักผ่อนอย่างเงียบๆ


….


ครึ่งเดือนต่อมา ท่ามกลางหุบเขาที่ลับตาคนแห่งหนึ่ง มีแสงแวววาวเปล่งประกายผ่านไป พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นเรือหยกที่ยาวสิบกว่าจั้ง


ตรงส่วนหน้าของเรือหยกมีเงาร่างคนสองคนยืนอยู่ หนึ่งในนั้นก็คือหลิ่วหมิง และด้านข้างของเขาก็เป็นชายคิ้วเข้มที่สวมชุดคลุมสีขาวแบบเรียบๆ แต่กลับมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นต้น


“ผู้อาวุโส เพียงแค่เหาะไปทางตะวันออกอีกพันกว่าลี้ ก็จะถึงเมืองจันทราสายน้ำแล้ว” ชายหนุ่มคิ้วเข้มชี้ไปยังด้านหน้า และกล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างนอบน้อม


“ดี! เดินทางต่อเถอะ!” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย


พอสะบัดแขนเสื้อ เรือเหาะหยกจันทราที่อยู่ใต้เท้าก็กลายเป็นแสงแวววาวพุ่งไปทางเมืองจันทราสายน้ำต่อ


ตอนผ่านค่ายกลส่งตัวในครั้งแรก หลิ่วหมิงบังเอิญพบเจอกับคนผู้นี้


เดิมทีเขาไม่คิดจะสนใจด้วยซ้ำ แต่พอชายผู้นี้รับรู้ได้ว่ากลิ่นไอของหลิ่วหมิงไม่อาจคาดเดาได้ กลับเดินเข้ามาทักทาย และบอกว่าตนเองเป็นคนเมืองจันทราสายน้ำ ยินดีรับใช้หลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงกำลังไปหาวัตถุดิบที่เมืองจันทราสายน้ำพอดี หลังจากคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง ก็ยอมให้ชายหนุ่มผู้นี้เดินทางไปด้วยกัน


บนเรือเหาะ ชายหนุ่มคิ้วเข้มกล่าวกับหลิ่วหมิงอย่างนอบน้อม


“หญ้าต้าไป่ที่ผู้อาวุโสกล่าวถึง ทุกๆ ปีเมืองจันทราสายน้ำจะผลิตออกมาจำนวนไม่น้อย อีกทั้งมีราคาต่ำ ไม่กี่ร้อยหินจิตวิญญาณก็ซื้อได้หนึ่งต้นแล้ว ส่วนของเหลวห้าแสงนั้น ผู้น้อยมีความรู้เพียงเบาบาง ได้ยินมาไม่มากนัก แต่ทุกๆ ปีเมืองจันทราสายน้ำจะมีงานประมูลขนาดใหญ่ มีสมบัติหายากมากมายนับไม่ถ้วน บางทีอาจจะมีของที่ผู้อาวุโสต้องการก็ได้”


“งานประมูลนี้จะจัดขึ้นเมื่อใด?” หลิ่วหมิงเอ่ยปากถามด้วยใจที่เต้นเล็กน้อย


“งานประมูลขนาดเล็กจัดขึ้นครึ่งปีครั้ง งานประมูลขนาดใหญ่จัดขึ้นสองปีครั้ง ผู้อาวุโสมาได้ไม่ค่อยประจวบเหมาะ เดือนก่อนเพิ่งจะจัดงานประมูลขนาดเล็กไป ครั้งหน้าต้องรออีกห้าเดือน” ชายคิ้วเข้มได้ยินก็ตอบหลิ่วหมิงอย่างนอบน้อม


หลิ่วหมิงได้ยินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป จากคำเตือนของหลัวโหวในก่อนหน้านั้น มีเวลาอีกแค่สี่เดือนก็จะเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับแล้ว ไม่อาจรองานประมูลในครั้งหน้าได้ หรือว่าการมาเมืองจันทราสายน้ำในครั้งนี้จะเสียเปล่าหรือ


“เมืองขนาดใหญ่อย่างเมืองจันทราสายน้ำนี้ นอกจากงานประมูลแล้ว มีร้านขายวัตถุดิบที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงหรือไม่” หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้ว ก็ถามออกมา


“อันนี้…ร้านค้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองจันทราสายน้ำมีชื่อเรียกว่า ‘เรือนสมบัติสวรรค์’ เลื่องชื่อลือนามว่ามีสมบัติฟ้าดินจำนวนไม่น้อย บางทีสิ่งของที่ผู้อาวุโสต้องการอาจจะหาได้จากสถานที่แห่งนี้ก็เป็นไปได้” ชายหนุ่มคิ้วเข้มคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง และกล่าวอย่างระมัดระวัง


“ดีมาก!”


หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อย และนั่งสมาธิเงียบๆ โดยไม่กล่าวอะไรอีก


สามวันต่อมา เรือเหาะแวววาวที่ยาวสิบกว่าจั้งลำหนึ่ง กำลังพุ่งผ่านอากาศเหนือพื้นราบที่อยู่ห่างจากเมืองใหญ่กว่าร้อยจั้ง


หลิ่วหมิงกำลังหรี่ตาดูเมืองจันทราสายน้ำอยู่ตรงส่วนหน้าของเรือ


เทียบกับตลาดในนิกายยอดบริสุทธิ์แล้ว ดูเหมือนว่าเมืองแห่งนี้จะใหญ่กว่าสี่ห้าเท่า รอบด้านเป็นกำแพงเมืองที่ก่อขึ้นมาจากหินอ่อนสีเหลืองแต่ละก้อน กำแพงเมืองนี้สูงสิบกว่าจั้ง สิ่งก่อสร้างที่มีความสูงต่างกันในเมืองถูกจัดวางอย่างหนาแน่นและเป็นระเบียบ


ขณะเดียวกัน มีแสงหลบหลีกหลากสีพุ่งเข้าออกบริเวณเมืองอยู่บ่อยครั้ง แลดูเป็นภาพที่ดูเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก


ความคิดหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที พอเปลี่ยนท่ามือ เรือเหาะก็ร่อนลงด้านล่าง จากนั้นเขากับชายหนุ่มคิ้วเข้มก็กระโดดลงไปทันที


พอยกแขนเสื้อขึ้น เรือเหาะก็กลายเป็นแสงแวววาวก่อนพุ่งเข้าไปในแขนเสื้อของเขา


ภายใต้การนำทางของชายหนุ่มคิ้วเข้ม ทั้งสองก็เข้าไปในเมืองจันทราสายน้ำอย่างราบรื่น


หนึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อหลิ่วหมิงเดินออกจากร้านโอสถที่ดูธรรมดาร้านหนึ่ง ยันต์เก็บของสองผืนที่อยู่ในแหวนย่อส่วนของเขา ก็เต็มไปด้วยหญ้าต้าไป่


เมื่อครู่เขากวาดซื้อหญ้าต้าไป่จากร้านนี้จนหมดเกลี้ยง หญ้าเหล่านี้เพียงพอให้เขาปรุงโอสถเกือบร้อยเตาแล้ว และราคาต้นละสองร้อยหินจิตวิญญาณก็ค่อนข้างถูกมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงใช้สามแสนหินจิตวิญญาณซื้อหญ้าต้าไป่เหล่านี้จนหมดโดยไม่คิดอะไรมาก และนี่ก็ทำให้ชายหนุ่มคิ้วเข้มที่อยู่ด้านข้างกับเถ้าแก่ร้านมองดูด้วยความตกตะลึง


เพราะพืชจิตวิญญาณชนิดนี้เป็นวัตถุดิบเสริม เมื่อเทียบกับพืชจิตวิญญาณชนิดอื่นๆ แล้ว ไม่ค่อยใช้งานกว้างขวางมากนัก โดยปกติไม่มีคนซื้อทีเดียวจำนวนมากเช่นนี้


“ผู้อาวุโสซื้อวัตถุดิบทีเดียวจำนวนมากเช่นนี้ ท่านจะปรุงโอสถหรือ?” ชายหนุ่มคิ้วเข้มเดินตามหลิ่วหมิงออกจากร้าน และเอ่ยปากถามอย่างระมัดระวัง


“ทำไมล่ะ! เจ้ารู้สึกประหลาดใจที่ข้าซื้อวัตถุดิบจำนวนมากเช่นนี้หรือ?” หลิ่วหมิงได้ยินก็ถามกลับด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม


“มิกล้า! ข้าน้อยพูดมากเกินไปแล้ว” ชายหนุ่มคิ้วเข้มรู้สึกสะดุ้งโหยงในทันที จากนั้นก็รีบก้มหน้าตอบกลับไป


“เอาล่ะ! เรือนสมบัติสวรรค์ที่เจ้าพูดถึงอยู่ที่ใด นำข้าไปเถอะ!” หลิ่วหมิงถามราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น


“ผู้อาวุโสเลี้ยวซ้ายตรงมุมหัวถนนด้านหน้าก็ถึงเรือนสมบัติสวรรค์แล้ว ด้วยสถานะอย่างผู้น้อย เกรงว่าคงไม่อาจเข้าไปในนั้นกับท่านได้” ชายหนุ่มคิ้วเข้มรีบตอบด้วยรอยยิ้มในเชิงขอโทษ


ตอนที่ 645 ของเหลวห้าแสง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ก็ได้ ในเมื่อเรือนสมบัติสวรรค์อยู่ไม่ไกล เจ้าก็ไม่ต้องนำทางด้วยตนเองแล้ว ข้ามีโอสถเพิ่มพลังเวทอยู่ขวดหนึ่ง ให้เจ้าเป็นค่านำทางก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงมองชายหนุ่มคิ้วเข้มทีหนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อนำขวดหยกสีเขียวเล็กๆ ออกมา และโยนให้ชายหนุ่ม


ชายหนุ่มคิ้วเข้มรับขวดหยกไว้ และรีบโค้งตัวกล่าวขอบคุณในทันที เมื่อเขาเปิดดูโอสถที่อยู่ด้านใน ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก แต่ขณะนั้นหลิ่วหมิงได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว


หลิ่วหมิงไม่ได้เข้าไปในเรือนสมบัติสวรรค์ทันที แต่กลับใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนกระดูกให้กลายร่างเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำในตรอกเล็กๆ แห่งหนึ่ง จากนั้นถึงเดินออกไป


เรื่องการเคลื่อนไหวของเขาถูกหอเป๋ยโต่วเปิดเผยในครั้งก่อน ทำให้เขาระมัดระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม


หากเรือนสมบัติสวรรค์มีสมบัติต่างๆ อย่างกับที่ชายหนุ่มคิ้วเข้มพูดจริงๆ จะต้องมีอิทธิพลไม่น้อยอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นเขาจำต้องเปลี่ยนโฉมเป็นธรรมดา


ผ่านไปสักพัก ชายฉกรรจ์หน้าดำที่หลิ่วหมิงแปลงโฉมมา ก็มาปรากฏตัวนอกสิ่งก่อสร้างรูปเจดีย์หลังหนึ่งที่สูงสิบกว่าจั้ง แผ่นป้ายเหนือประตูมีอักขระสีทองเขียนติดอยู่ ‘เรือนสมบัติสวรรค์’ และอักขระเหล่านี้ก็เปล่งแสงทรงกลดสีเหลืองออกมา


หลิ่วหมิงก้าวเข้าไปอย่างไม่ลังเล


“มีแขกมา!” ผู้ที่ส่งเสียงตะโกนเป็นพนักงานในร้านหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่ง ดูเหมือนเขาจะเห็นว่าหลิ่วหมิงมีระดับการฝึกฝนไม่ธรรมดา จึงเรียกขานอย่างสุภาพ


พอหลิ่วหมิงใช้จิตส่องดู ก็ค้นพบว่าพนักงานผู้นี้มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นต้น เมื่อเทียบกับพนักงานร้านค้าทั่วไปที่มีการฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณแล้ว เรือนสมบัติสวรรค์แห่งนี้สูงกว่าขั้นหนึ่ง


“สหายผู้นี้ ข้าเป็นเถ้าแก่ของเรือนสมบัติสวรรค์แห่งนี้ ท่านเดินทางมาไกล เชิญไปดื่มชาพูดคุยกันบนหอก่อนดีกว่า” ไม่รู้ว่าชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีเทามาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงตั้งแต่เมื่อไหร่


พอหลิ่วหมิงมองเห็นคนผู้นี้ ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน


เถ้าแก่วัยกลางคนผู้นี้แผ่กลิ่นไอระดับผลึกอยู่


“ก็ดีเหมือนกัน” หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย


จากนั้นเขาก็ตามคนผู้นี้ขึ้นไปบนชั้นสี่ และเข้าไปในห้องรับรองที่มีพื้นที่เจ็ดแปดจั้ง


ห้องแห่งนี้แตกต่างจากห้องรับรองของเผ่ามนุษย์ค้างคาวที่เขาเคยเห็นในก่อนหน้า ผนังทั้งสี่ด้านเพียงแค่แขวนรูปภาพไว้ไม่กี่รูป นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีอักขระใดๆ ที่เป็นชั้นจำกัดปิดกั้นเสียงอีก แต่บนประตูมีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงจางๆ ที่ดูไม่เตะตาอยู่สองเส้น แต่กลับถูกหลิ่วหมิงมองเห็นจนได้


เถ้าแก่ชุดคลุมสีเทายกชามาให้หลิ่วหมิงด้วยตัวเองหนึ่งแก้ว จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“สหายผู้นี้มีนามเรียกขานว่าอย่างไร?” เถ้าแก่ชุดคลุมสีเทาถามอย่างสุภาพ


“ข้าน้อยมีแซ่คู่ว่าโอวหยาง” หลิ่วหมิงจิบชาไปหนึ่งทีแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ


“ที่แท้ก็คือสหายโอวหยาง แม้จะบอกว่าเมืองจันทราสายน้ำมีขนาดไม่เล็ก แต่กลับเป็นดินแดนที่ห่างไกล มักจะมีปีศาจอสูรปรากฏอยู่บริเวณใกล้ๆ ผู้ที่เข้าออกล้วนจำเป็นต้องผ่านค่ายกลส่งตัว สหายดูแปลกหน้าเช่นนี้ คิดว่าคงตั้งใจมาที่นี่โดยเฉพาะ ไม่ทราบว่าข้าน้อยสามารถช่วยอะไรท่านได้บ้าง?” เถ้าแก่หัวเราะก่อนกล่าวออกมา


“บอกเถ้าแก่อย่างไม่ปิดบัง ข้าน้อยอยากซื้อของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงจำนวนหนึ่ง น่าเสียดายที่ไปหาตั้งหลายตลาดแล้วก็ยังหาไม่ได้ จึงมาเรือนสมบัติสวรรค์เพราะเลื่อมใสในชื่อเสียง” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา


“ของเหลวห้าแสงคุณภาพสูง? สิ่งของนี้พบเจอไม่บ่อย แต่ในเมื่อสหายต้องการ ทางเรือนของเราจะต้องตอบสนองอย่างแน่นอน แต่ว่าของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงนี้ เป็นสิ่งที่มีมูลค่าแต่ไม่มีปรากฏในตลาด ทางด้านราคานั้น……” เถ้าแก่ชุดคลุมสีเทาได้ยินก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม


“ราคาสามารถคุยกันได้ เพียงแค่เรือนของท่านมีของสิ่งนี้” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


“ถ้าเช่นนั้นก็ดี สหายรอสักครู่ ข้าจะให้พนักงานส่งของมาเดี๋ยวนี้” เถ้าแก่ชุดคลุมสีเทาได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มกว้างออกมา


จากนั้นเขาก็ควักแผ่นกระดาษเปล่าสีขาวออกจากแขนเสื้อมาแผ่นหนึ่ง หลังจากใช้นิ้วขีดเขียนเบาๆ สองสามที เปลวไฟก็ลุกไหม้ขึ้นมา กระดาษขาวหลายเป็นควันสีดำ และหายไปจากห้องรับรอง


“สหายโอวหยางโปรดรอสักครู่” หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เถ้าแก่ชุดคลุมสีเทาก็กล่าวออกมาเช่นนี้


เวลาผ่านไปราวๆ หนึ่งมื้อข้าว พนักงานที่อยู่ด้านล่างในก่อนหน้านั้นก็เดินเข้ามา หลังจากคารวะผู้อาวุโสชุดเทาแล้วก็ยกแขนเสื้อขึ้น ทันใดนั้น ขวดเล็กๆ สีเงินห้าใบก็วางเรียงอยู่บนตั่งน้ำชา


“สหายตรวจสอบดูก่อนได้ จะได้รู้ว่าพอใจหรือไม่” เถ้าแก่ชุดคลุมสีเทากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม


“ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้า พอเขาโบกมือข้างหนึ่ง ขวดเล็กๆ ใบหนึ่งก็ค่อยๆ ร่วงลงบนมือของเขา


หลิ่วหมิงเปิดฝาออกและกวาดสายตาเข้าไปด้านในทันที


จะเห็นว่าในขวดมีของเหลวสีเหลืองโปร่งแสงอยู่ ในของเหลวมีรูเล็กๆ ปรากฏอยู่จำนวนมาก และยังแผ่ปราณจิตวิญญาณที่ส่งกลิ่นหอมเตะจมูกออกมาเป็นระยะๆ


น้ำผึ้งแฝงพลังจิตวิญญาณนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ


ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป หลิ่วหมิงถึงปิดฝาขวดที่บรรจุของเหลวห้าแสงใบสุดท้าย และวางมันลงบนโต๊ะเบาๆ ก่อนกล่าวกับฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้านอบน้อม


“ของเหลวจิตวิญญาณทั้งห้าขวดนี้มีคุณภาพไม่เลวจริงๆ สามารถจัดอยู่ในระดับสูงแล้ว ต้องการหินจิตวิญญาณจำนวนเท่าใดหรือ?”


“ขวดละหกแสนห้าหมื่นหินจิตวิญญาณ หากสหายเอาทั้งหมดล่ะก็ จะขายให้ในราคาสามล้านหินจิตวิญญาณ” เถ้าแก่หัวเราะและกล่าวอย่างมีแผนอยู่ในใจ


“สามล้านหินจิตวิญญาณ?”


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยๆ เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา


เพราะของเหลวห้าแสงคุณภาพธรรมดาสองขวดที่ซื้อในก่อนหน้า ยังใช้แค่สามแสนกว่าหินจิตวิญญาณ แต่คุณภาพสูงกลับขวดละหกแสนกว่า ส่วนต่างนี้มากกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้มาก


“เอาเถอะ! ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ข้าก็ไม่ต่อราคาแล้ว สามล้านหินจิตวิญญาณก็สามล้านหินจิตวิญญาณเถอะ!” ครู่เดียวหลิ่วหมิงก็กลับมามีท่าทีปกติ และกล่าวอย่างสงบ


จากนั้นก็ควักถุงหินจิตวิญญาณขนาดใหญ่ออกจากแหวนย่อส่วนแล้วโยนออกไป


“เฮ่อๆ สหายโอวหยางช่างเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ หากมีของสิ่งใดที่ต้องการอีก ก็ให้มาที่เรือนของเราได้เลย” เถ้าแก่ชุดคลุมสีเทารับถุงหนังมา หลังจากใช้จิตกวาดดูแล้ว ก็หัวเราะก่อนกล่าวออกมา


“ย่อมเป็นเช่นนั้น ครั้งนี้ต้องขอบคุณเรือนของท่านมาก มิเช่นนั้นไม่รู้ว่าข้าต้องใช้เวลาหาของเหลวจิตวิญญาณนี้อีกนานแค่ไหน แต่ว่าเวลาก็สายมากแล้ว ข้ายังมีเรื่องที่ต้องทำ ไม่ขออยู่ที่นี่นานแล้ว”


หลิ่วหมิงเก็บขวดสีเงินทั้งห้าขวดเข้าไปในแหวนย่อส่วน หลังจากพูดจาอย่างนอบน้อมไม่กี่ประโยคแล้ว ก็ลุกขึ้นกุมมือคารวะชายชุดคลุมสีเทา และกล่าวคำอำลาออกมา


ต่อมา เถ้าแก่ก็เดินออกจากเรือนสมบัติสวรรค์พร้อมกับเขา จากนั้นก็ตัวเขาก็ขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้า


พอหลิ่วหมิงเหาะออกจากเมืองจันทราสายน้ำแล้ว ก็ปล่อยเรือเหาะหยกจันทราออกมาหนึ่งลำ จากนั้นก็พุ่งไปยังค่ายกลส่งตัวทันที


ในระหว่างทาง เขายังเปลี่ยนโฉมเป็นคนอื่นๆ อย่างระมัดระวัง และพยายามหลบผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ


สองเดือนผ่านไป เขาถึงกลับถึงถ้ำที่พักในนิกายยอดบริสุทธิ์


ขณะนี้ อยู่ห่างจากเวลาที่ฟองอากาศลึกลับจะออกมาดูดกลืนพลังเวทแค่หนึ่งเดือนกว่าๆ เท่านั้น และหลังจากเขาผ่านอุปสรรคต่างๆ มามากมาย ในที่สุดก็เตรียมวัตถุดิบปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณได้หลายชุดแล้ว


เวลาต่อมา หลิ่วหมิงแขวนป้ายไม่รับแขกไว้หน้าประตู และฝึกฝนอยู่ห้องลับเพียงลำพัง เขาสังเกตดูสถานการณ์ของนาฬิกาทรายบนศิลาหุนเทียนในทะเลจิตวิญญาณอยู่ตลอดเวลา


หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนกว่า เมื่อทรายเม็ดสุดท้ายร่วงลงมานั้น ทะเลจิตรับรู้ก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง ฟองอากาศแวววาวปรากฏออกมาในทะเลจิตวิญญาณของเขา


“จะเริ่มแล้ว!”


หลิ่วหมิงพูดพึมพำเบาๆ หนึ่งประโยค ทันใดนั้นก็ปล่อยพลังจิตไปสัมผัสมันเบาๆ


“เพล้ง!”


ฟองอากาศลึกลับระเบิดตัวทันที แรงดึงดูดมหาศาลบางอย่างพวยพุ่งออกมา


หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าโลหิตในตัวเดือดพล่าน หมอกดำพวยพุ่งรอบตัว พลังเวทถูกปล่อยออกมาจากผลึกหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดภายในร่างอยู่ไม่หยุด และพวยพุ่งเข้าหาฟองอากาศลึกลับในทะเลจิตวิญญาณราวกับระลอกคลื่น


ขณะที่พลังเวทภายในร่างพุ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าแดงระเรื่อของเขาก็ซีดขาวลง และไอหมอกดำที่ผิวของเขาแผ่ออกมา ก็ค่อยๆ จมหายไปในห้องลับจนดูบางเบาขึ้นมา


ขณะนี้หลิ่วหมิง กลับแสดงสีหน้าดีใจออกมา เพราะได้เตรียมการมานานแล้ว


เขาใช้จิตกวาดดูภายในแหวนย่อส่วน หลังจากมั่นใจว่าเตรียมทุกอย่างไว้ครบครันแล้ว ก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณทันที และไอดำสองสายก็ม้วนตัวออกมา หลังจากสลายไปแล้ว ก็เผยให้เห็นร่างของหัวบินกับแมงป่องกระดูก


หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้สั่งการอะไร ก็ดูเหมือนว่าอสูรเลี้ยงทั้งสองจะเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าแล้ว หัวบินสะบัดผมรัดแขนหลิ่วหมิงไว้แน่น ส่วนแมงป่องกระดูกก็พุ่งขึ้นมาบนไหล่ของหลิ่วหมิง และก้ามยักษ์ทั้งสองก็หนีบแขนเสื้อหลิ่วหมิงไว้


ดูเหมือนว่าเวลาที่ฟองอากาศลึกลับดูดกลืนพลังเวทในครั้งนี้ จะยาวนานกว่าเมื่อก่อนมาก เมื่อพลังเวทภายในร่างหลิ่วหมิงถูกดูดไปเจ็ดแปดส่วนแล้ว แรงดึงดูดจากฟองอากาศถึงหยุดชะงักลง


ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง แต่เขายังไม่ทันได้ตรวจสอบดูสภาพของทะเลจิตวิญญาณ ก็พลันมีเสียงดัง “หวึ่ง!” ข้างหูเบาๆ และภาพตรงหน้าก็พร่ามัวขึ้นมา


เมื่อเขามองเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนอีกครั้ง ร่างของเขาก็มาอยู่ภายในห้องว่างเปล่าลึกลับสีเทาสลัวๆ แล้ว


ห้องว่างเปล่าลึกลับในขณะนี้ มีขนาดใหญ่กว่าที่เข้ามาในครั้งก่อนหลายเท่า ประจักษ์ชัดว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการดูดกลืนพลังเวทจำนวนมากในครั้งนี้


บนพื้นที่อยู่ห่างจากเขาไปร้อยกว่าจั้ง หลัวโหวกำลังหลับตานั่งขัดสมาธิอยู่ ขณะที่หลิ่วหมิงมาปรากฏตัว เขาก็ไม่คิดจะลืมตาขึ้นมาเลย


“พวกเจ้าไปฝึกฝนก่อนเถอะ!” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองหัวบินกับแมงป่องกระดูกที่อยู่ด้านข้างทีหนึ่ง และออกคำสั่งเบาๆ


“ทราบแล้วนายท่าน!”


หัวบินกับแมงป่องกระดูกตอบรับพร้อมกัน หลังจากนั้นร่างของพวกมันก็พร่ามัวไปปรากฏตัวด้านหน้าผนังอากาศที่อยู่ไกลๆ


หัวบินปล่อยเส้นผมสีเขียวจำนวนมากพุ่งยิงใส่กำแพงหมอกผนังอากาศ


ส่วนแมงป่องกระดูกก็ใช้ก้ามยักษ์ลูบไหล่หลิ่วหมิงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นถึงกระโดดลงไป หลังจากลวดลายจิตวิญญาณบนตัวเปล่งประกาย มันก็ขยายใหญ่สิบกว่าจั้ง และพุ่งไปยังผนังอากาศอีกด้านทันที


หลังจากเห็นว่าทั้งสองไปแล้ว หลิ่วหมิงถึงค่อยๆ เดินไปตรงหน้าหลัวโหว และประสานมือกล่าวด้วยท่าทีนอบน้อม


“ผู้อาวุโสหลัวโหว”


หลัวโหวเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย  ยังคงไม่ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา และก็ไม่พูดอะไรออกมาด้วย


หลิ่วหมิงรู้ว่าที่หลัวโหวอยู่ที่นี่ในตอนนี้ ก็เพื่อช่วยเขาฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์เท่านั้น เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมาก จากนั้นก็เดินไปนั่งสมาธิอีกที่หนึ่ง


หากไม่มีอะไรผิดพลาดล่ะก็ ครั้งนี้เขาจะอยู่ห้องว่างเปล่าลึกลับนานถึงสิบหกปี สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ ต้องฝึกปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณให้ชำนาญก่อน


หลังจากเขาครุ่นคิดอย่างเงียบๆ แล้ว ก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา เตาหลอมขนาดเล็กที่เปล่งแสงสีเขียวสลัวๆ ปรากฏอยู่กลางฝ่ามือ มันคือเตาหลอมลิ่วเสินที่เขาได้มาจากวังมายานภาหยกในหลายปีก่อนนั่นเอง


ตอนที่ 646 โอสถแฝงจิตวิญญาณ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เขาโยนเตาหลอมขนาดเล็กไปด้านหน้า และปล่อยพลังออกไปติดต่อกันสองสาย เตาหลอมขนาดชุ่นกว่าๆ เปล่งแสงสีเขียวออกมาทันที จากนั้นก็กลายเป็นเตาหลอมยักษ์ที่สูงสามจั้ง และร่วงลงพื้นเสียงดังโครม!


ขณะที่ปรุงโอสถในก่อนหน้านั้น เขาเข้าใจวิธีการใช้เตาหลอมนี้อย่างชัดแจ้งแล้ว


พอเขาปล่อยพลังใส่ค่ายกลขนาดเล็กตรงก้นของเตาหลอม แสงสีเขียวก็เปล่งประกายออกมา และแสงสีเขียวแก่ก็พุ่งออกจากด้านล่างไปยังพื้นผิวของเตาหลอม


ทันใดนั้น เตาหลอมยักษ์สีเขียวก็เปล่งประกายแสงทรงกลดหลากสีออกมา เปลวไฟสีแดงคุโชนตรงก้นเตาหลอม


หลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อนำยันต์เก็บของที่เตรียมไว้ในก่อนหน้านั้นออกมาขยี้จนแตกกระจาย วัตถุดิบกองหนึ่งกระจายเต็มพื้น


พอเขาตบลงบนพื้นหนึ่งที ไอดำก็ม้วนเอาวัตถุดิบเหล่านี้ไว้ หลังจากมีเสียงดัง “ฟิ้ว!” พวกมันก็จมหายไปในเตาหลอมที่เปิดฝาอยู่


เขาก็รีบนำของเหลวห้าแสงออกจากแหวนย่อส่วนมาขวดหนึ่ง และเทลงเบาๆ ของเหลวโปร่งแสงสีเหลืองส้มอันเข้มข้นกลายเป็นเส้นแวววาว และค่อยๆ ไหลลงไปในเตาหลอมยักษ์


ขณะที่เทลงไปประมาณหนึ่งในสองส่วนแล้ว เขาถึงพลิกมือขึ้นมา และขวดเล็กสีเงินก็กระพริบหายไปทันที


ขณะนี้ ฝาเตาหลอมถึงค่อยๆ ปิดลง


หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือข้างเดียวอยู่ไม่หยุด เพื่อปล่อยพลังเวทใส่เปลวไฟด้านล่างเตาหลอมอย่างต่อเนื่อง


“ฟู่!”


เปลวไฟห่อหุ้มเตาหลอมลิ่วเสินไว้ทั้งหมด


เมื่อเทียบโอสถระดับผลึกกับโอสถระดับของเหลวแล้ว ประจักษ์ชัดว่าใช้เวลาในการกลายรูปเป็นโอสถยาวนานกว่ามาก


เดิมทีหลิ่วหมิงคิดว่าโอสถแฝงจิตวิญญาณเตาแรกใช้เวลานานสุดก็แค่สามวันเท่านั้น แต่หลังจากผ่านไปเจ็ดวันแล้ว ภายใต้การกระตุ้นพลังเวทอยู่ไม่หยุดของเขา เตาหลอมลิ่วเสินถึงส่งเสียงดังออกมา และกลิ่นไหม้ก็โชยเข้ามา


ประจักษ์ชัดว่าการปรุงโอสถในครั้งแรกประสบความล้มเหลวไปแล้ว


เวลาต่อมา หลิ่วหมิงใช้ของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงลองดูอีกครั้ง ผลลัพธ์ยังคงล้มเหลวเช่นเดิม อีกอย่างโอสถที่ปรุงด้วยของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงนี้ ต้องใช้เวลานานถึงสิบวันด้วย


ทำซ้ำๆ เช่นนี้จนผ่านไปครึ่งปี ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ใช้ของเหลวห้าแสงคุณภาพสูงปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณออกมาได้สำเร็จเป็นครั้งแรก


หลิ่วหมิงมองดูโอสถสีขาวในมือที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นและเต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณ และในใจของเขาก็อดรู้สึกสับสนไม่ได้


แม้เขาจะมีเตาหลอมลิ่วเสินคอยช่วย แต่ก็ปรุงโอสถไปเกือบยี่สิบเตาถึงปรุงสำเร็จหนึ่งครั้ง นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงเลยทีเดียว


มิน่าล่ะ! โอสถระดับผลึกที่อยู่ด้านนอกถึงมีจำนวนน้อยกว่าระดับของเหลว


หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่ในใจ เมื่อเก็บโอสถเม็ดนี้เข้าไปแล้ว ก็หยิบขวดเล็กสีเงินออกมาหนึ่งขวด และเริ่มปรุงโอสถเตาต่อไป


ห้าปีต่อมา หลิ่วหมิงกำลังชื่นชมโอสถสีขาวที่เต็มไปด้วยพลังจิตวิญญาณเม็ดหนึ่ง โอสถเม็ดนี้มีไอหมอกสีขาวล้อมรอบ พอมองทะลุไอหมอกไป จะเห็นลายโอสถเส้นหนึ่งปรากฏอย่างชัดเจน ซึ่งมันเป็นแค่โอสถแฝงจิตวิญญาณคุณภาพธรรมดาเม็ดหนึ่งเท่านั้น


มาจนถึงวันนี้ เขาปรุงโอสถติดต่อกันทั้งวันทั้งคืน และภายใต้การช่วยเสริมของเตาหลอมลิ่วเสิน ในที่สุดก็ยกระดับอัตราการปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณสำเร็จขึ้นมาห้าส่วน แต่อัตราการปรุงโอสถระดับสูงออกมาได้นั้น ช่างต่ำจนน่าสงสาร อีกอย่างโอสถที่ใช้ของเหลวจิตวิญญาณคุณภาพสูงปรุงออกมาได้หนึ่งเม็ดเป็นครั้งคราวนั้น ก็เป็นแค่โอสถคุณภาพธรรมดาเท่านั้น


ส่วนโอสถระดับพสุธา เขาไม่เคยปรุงออกมาได้เลย


และทักษะการปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณของเขาก็ไม่อาจยกระดับได้เลยแม้แต่น้อย


ดูท่าหากจะปรุงโอสถพสุธาออกมา ไม่ใช่แค่ว่าทักษะการปรุงโอสถจะสามารถเสริมได้ สิ่งสำคัญคือวัตถุดิบหลักแล้ว


พอหลิ่วหมิงนึกมาถึงจุดนี้ ก็ยกแขนเสื้อปล่อยพลังออกมาทันที เตาหลอมยักษ์สีเขียวหยกตรงหน้าลอยขึ้นมา มันหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ และลดขนาดเหลือหนึ่งชุ่นกว่าๆ เท่าเดิม จากนั้นก็พุ่งเข้าไปในแขนเสื้อ


อัตราความสำเร็จในตอนนี้ เขาค่อนข้างพอใจมากแล้ว จากประสบการณ์ในก่อนหน้า หากปรุงโอสถนี้ต่อไปล่ะก็ เกรงว่าคงจะได้ไม่คุ้มกับเสีย


หลิ่วหมิงลุกขึ้นมายืดแข้งยืดขา และเดินไปดูการฝึกฝนของแมงป่องกระดูกกับหัวบิน


ทั้งสองยังคงฝึกฝนอยู่ตรงหน้ากำแพงอากาศอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย  พลังการเคลื่อนไหวต่างๆ สูงกว่าแต่ก่อนมาก แต่ระดับการฝึกฝนของทั้งสองกลับหยุดชะงักอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นสมบูรณ์แบบ ยังคงไม่มีวี่แววว่าจะทะลวงระดับผลึกได้


หลิ่วหมิงกลับไม่รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด หลังจากพูดให้กำลังใจทั้งสองไปสองสามประโยคแล้ว ก็เดินไปทางศิลาหุนเทียน


หลัวโหวที่นั่งขัดสมาธิราวกับเป็นท่อนไม้แกะสลัก ลืมตามองด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน แต่กลับโค้งตัวกล่าวอย่างนอบน้อม


“รบกวนผู้อาวุโสหลัวโหวแล้ว”


“ในเมื่อจะเริ่มฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์แล้ว ข้าจะส่งเจ้าเข้าไป”


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง หลัวโหวก็ยกมือข้างหนึ่งปล่อยแสงแวววาวใส่ดวงตามายาปีศาจบนศิลาหุนเทียน


ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกว่ามีเสียงฟ้าแลบฟ้าร้องดังอยู่ข้างหู พอเห็นภาพตรงหน้าอย่างชัดเจน ร่างของเขาก็มาอยู่ในแดนมายาที่มีเสียงฟ้าร้องแล้ว


“โครมคราม!”


ดูเหมือนว่าในขณะที่เขามาปรากฏตัว สายฟ้าสีเงินขนาดเท่าปากถ้วยเส้นหนึ่ง ก็ส่งเสียงดังจนหูแทบจะหนวก และยังฟันลงมาทางเขา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็กางแขนทั้งสองข้างพร้อมส่งเสียงคำรามออกมา ไอดำพวยพุ่งออกจากตัว และหมุนวนรอบตัวเขาอยู่ไม่หยุด ซึ่งเขาไม่หลบสายฟ้าเลยแม้แต่น้อย


ครู่ต่อมา จะเห็นว่ามีสายฟ้าสีเงินที่ดูราวกับอสรพิษเปล่งประกายอยู่บนตัวเขา และเคลื่อนไหวไปมาท่ามกลางไอดำอยู่ไม่หยุด


พลังสายฟ้าสวรรค์นี้ เป็นหนึ่งในพลังที่มีบ่อกำเนิดตามธรรมชาติระหว่างฟ้าดิน อานุภาพแข็งแกร่งมาก ไม่ใช่สิ่งที่กายเนื้อทั่วไปจะสามารถแบกรับได้ หากผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปถูกสายฟ้าโจมตีโดยไม่ทันได้ระวัง อย่างเบาก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนระดับการฝึกฝนลดลง อย่างหนักก็ผิวหนังไหม้เกรียม  กล้ามเนื้อเปื่อยยุ่ย และเสียชีวิตไป


แม้ว่าหลิ่วหมิงจะมีกายเนื้อแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันมาก ทั้งยังมีเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬคอยช่วยเสริม แต่การรับพลังสายฟ้าสวรรค์โดยตรงเช่นนี้ ยังคงรู้สึกเจ็บปวดไปทั่วร่างราวกับถูกทิ่มแทงหัวใจ และพลังเวทก็ไหลผ่านไปอย่างรวดเร็ว


แต่การอดทนต่อความเจ็บปวดและความทรหดของเขา ก็ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะสามารถเทียบได้ ไม่นานเขาก็ค่อยๆ ปรับตัวได้ และค่อยๆ รวบรวมพลังสายฟ้าสวรรค์ตามตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์


เขาทำสายฟ้าสวรรค์บนตัวให้กลายเป็นสายฟ้าขนาดเล็ก และปล่อยให้ไหลจมไปในกระดูก


หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกว่าไม่อาจรับพลังสายฟ้าเข้าไปในร่างได้อีกแล้วนั้น ถึงหลับตาทั้งคู่ลงและออกไปจากแดนมายา


ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงกลับเข้ามาในห้องว่างเปล่าลึกลับสีเทาสลัวๆ อีกครั้ง


และหลัวโหวก็หลับตานั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิม ราวกับว่าไม่อยากจะพูดคุยอะไรกับหลิ่วหมิงมาก


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้สนใจแต่อย่างใด หลังจากทำใจให้สงบแล้ว ก็กระตุ้นสายฟ้าสีเงินที่รวบรวมมาเมื่อครู่ ให้มารวมตัวกันบนฝ่ามือเขาอย่างรวดเร็ว ทันทีที่เขาเปลี่ยนท่ามือ กลุ่มสายฟ้าขนาดเล็กก็ปรากฏบนฝ่ามือ


พอมองดูพลังสายฟ้าสวรรค์กระจุกเล็กๆ ในมือแล้ว เขาก็ยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ เขาชี้นิ้วข้างหนึ่งไปทางผนังอากาศตรงหน้า ทันใดนั้น สายฟ้าสีเงินเส้นหนึ่งก็พุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว


“ฟิ้ว!”


ผนังอากาศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง เกิดรูขนาดจั้งกว่าๆ อยู่บนนั้น ขอบรูมีสายฟ้าเปล่งประกายอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ผนังไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้ดังเดิม


“อานุภาพพลังสายฟ้าสวรรค์นี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ดูดรับมาจำนวนน้อยแค่นี้ และปล่อยมันออกไป ก็มีผลลัพธ์เช่นนี้แล้ว” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พูดพึมพำออกมาอย่างอดไม่ได้


ตามที่บันทึกในคัมภีร์วิชาสายฟ้าสวรรค์ วิชานี้ค่อนข้างพิเศษมาก แม้ในตอนแรกจำเป็นต้องอาศัยการใส่พลังสายฟ้าที่มีจุดกำเนิดมาจากฟ้าดินเข้าไปในร่างเพื่อทำการฝึกฝน แต่พอสำเร็จขั้นเบื้องต้น ก็สามารถทำพลังเวทของตนเองให้กลายเป็นพลังสายฟ้าในการโจมตีศัตรูได้ และอานุภาพก็เหนือกว่าวิชาสายฟ้าทั่วไปหลายเท่า


แต่พอสำเร็จขั้นแรกของวิชานี้ ก็สามารถดูดซับพลังสายฟ้าล่วงหน้าได้จำนวนหนึ่ง จากนั้นก็แยกปล่อยเป็นชุดหรือโจมตีศัตรูในทีเดียวก็ได้


และพอถึงขั้นลึกซึ้ง ก็สามารถรวมพลังเวทภายในร่างกับพลังสายฟ้าสวรรค์เข้าด้วยกัน และโจมตีศัตรูพร้อมกันได้


ส่วนขั้นสมบูรณ์แบบนั้น สามารถดูดรับพลังสายฟ้าสวรค์ที่แท้จริงของเก้าสววรค์ชั้นฟ้าได้ ทำให้มีอานุภาพไม่จำกัด


ตอนนี้หลิ่วหมิงเพียงแค่นำพลังสายฟ้าสวรรค์เข้าไปในร่างชั่วคราวเท่านั้น ด้านหนึ่งทำให้กายเนื้อของตนเองค่อยๆ ปรับสภาพกับพลังชนิดนี้ อีกด้านหนึ่งก็อาศัยวิธีการนี้กระตุ้นพลังภายในร่าง เพื่อที่จะควบคุมวิธีการรวมพลังเวทของตนเองให้เป็นสายฟ้า


หลังจากหลิ่วหมิงดูดซับพลังสายฟ้าสวรรค์แล้ว ก็รับรู้ได้ถึงความเจ็บปวดของกล้ามเนื้อ


หลังจากพักผ่อนแบบง่ายๆ ไปครึ่งวันแล้ว ก็อาศัยพลังของหนอนพลังจิตเข้าไปในแดนมายาอีกครั้ง


สองเดือนต่อมา


พอหลิ่วหมิงยกแขนข้างหนึ่งขึ้น สายฟ้าสีเงินเส้นหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือเบาๆ จากนั้นพลังเวทอันแข็งแกร่งก็ค่อยๆ จมเข้าไปในนั้น และสายฟ้าสีเงินก็ขยายใหญ่จนมีขนาดเท่าปากถ้วยก่อนพุ่งยิงออกไป


“โครม!”


หลังจากมีเศษหินดินทรายปลิวว่อน ภูเขาลูกเล็กๆ ที่สูงสี่ห้าจั้งตรงหน้าก็ระเบิดออกมา


หลังจากเข้าไปฝึกฝนในแดนมายาอย่างต่อเนื่อง วิชาสายฟ้าสวรรค์ของหลิ่วหมิงก็เข้าสู่ขั้นเบื้องต้นในที่สุด อานุภาพของมันเหนือกว่าวิชาสายฟ้าทั่วไปไม่น้อย ความเร็วของมันก็ยากจะหาที่เปรียบได้


หลิ่วหมิงรู้สึกพอใจมาก ทำให้เขาตั้งใจฝึกฝนวิชาบรรพกาลนี้มากขึ้นกว่าเดิม


……


ผ่านไปอีกหนึ่งปี หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องว่างเปล่าสีเทาสลัวๆ  และรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงภายในโครงกระดูก


ก่อนหน้านั้นไม่นาน เขาฝึกฝนวิชาสายฟ้าสวรรค์สำเร็จขั้นแรกแล้ว ร่างของเขาสามารถเก็บพลังสายฟ้าสวรรค์ได้ในระดับที่แน่นอน และผสมผสานกับพลังเวทของตัวเองได้อย่างไม่ขัดข้อง


เวลาแค่ปีเดียวก็พัฒนาไปได้ถึงเพียงนี้ ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้ พอนึกถึงผู้ฝึกฝนที่ต้องรอให้ฝนตกฟ้าร้องถึงจะฝึกฝนวิชานี้ได้เหล่านั้น ต่อให้จะโชคดีแค่ไหน เดือนหนึ่งก็ฝึกฝนได้แค่ไม่กี่ครั้ง แต่หลิ่วหมิงกลับฝึกฝนแค่หนึ่งปี ก็เทียบเท่ากับคนทั่วไปที่ฝึกฝนสิบปีแล้ว


……


ห้าปีต่อมา หลิ่วหมิงหลับตาสนิท และลอยตัวอยู่บนอากาศภายในแดนมายา สายฟ้าแต่ละเส้นที่ฟาดลงมา กลับจมหายเข้าไปในร่างอย่างไร้สุ้มเสียง


ทันใดนั้น เขาก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา หลังจากยกแขนทั้งสองขึ้น ก็มีเสียงดังโครมครามออกจากร่างเป็นระยะๆ จากนั้นสายฟ้าสีเงินจำนวนมากก็พวยพุ่งอยู่บนตัว และทอสลับกันไปมา สุดท้ายก็กลายเป็นสายฟ้าสีเงินขนาดใหญ่


ขณะเดียวกัน สายฟ้าจำนวนมากก็ฟาดลงมาจากอากาศ และรวมเป็นหนึ่งกับสายฟ้าบนตัวหลิ่วหมิงจนกลายเป็นสีขาวเงินไปทั้งแถบ


หลิ่วหมิงส่งเสียงคำรามออกมา นิ้วมือนิ้วหนึ่งชี้ไปทางเนินเขาสีดำที่อยู่ไม่ไกล


เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น


สายฟ้าบนตัวของเขาผสานกันจนกลายเป็นสายฟ้าขนาดใหญ่ภายในพริบตา และฟาดฟันตามแขนของเขาอย่างบ้าคลั่ง


ตอนที่ 647 ฝึกฝนในแดนมายา

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากแสงสีเงินกระพริบผ่านไป เนินเขาสีดำก็ถูกลูกสายฟ้าขนาดใหญ่ปกคลุมไว้ และถูกบดละเอียดเป็นจุนท่ามกลางสายฟ้าจำนวนมากที่ประสานกันไปมา พริบตาเดียวมันก็หายไป และเหลือทิ้งไว้เพียงหลุมลึกขนาดหลายหมู่


หลุมยักษ์เป็นสีดำเกรียม และตรงขอบก็เรียบผิดปกติราวกับถูกตัดด้วยมีดอันแหลมคม


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก


การโจมตีเมื่อครู่ กระตุ้นอานุภาพของวิชาสายฟ้าสวรรค์แค่หนึ่งถึงสองส่วนเท่านั้น


หากเขาโจมตีด้วยพลังทั้งหมดล่ะก็ เกรงว่าผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ก็ไม่อาจรับการโจมตีนี้ได้ อีกอย่างเมื่อระดับการฝึกฝนของเขาเพิ่มขึ้น และพลังในการควบคุมสายฟ้าสวรรค์ยิ่งมาก อานุภาพของมันยังคงเพิ่มขึ้นได้อย่างไร้ขีดจำกัด


ปัญหาเพียงหนึ่งเดียวก็คือ นอกจากจะพบเจอกับพายุฝนฟ้าคะนองแล้ว หากจะแสดงการโจมตีอันน่าตกใจเช่นนี้ ก็มีเพียงแค่การกักเก็บพลังสายฟ้าจำนวนมากไว้ก่อน ถึงจะมีความหวังขึ้นมา


ในเมื่อวิชาสายฟ้าสวรรค์เข้าสู่ระดับลึกซึ้งแล้ว หลิ่วหมิงก็หยุดฝึกฝนวิชานี้ในทันที และอาศัยดวงตามายาไปฝึกฝนประสบการณ์ต่อสู้อีกแบบในแดนมายา


ครึ่งปีต่อมา ในแดนมายา


ท่ามกลางทะเลเพลิงสีดำในห้องโถงแห่งหนึ่ง หญิงสาวครึ่งมนุษย์ครึ่งปีศาจที่มีขนสีดำปกคลุมเต็มตัวก็คือเซียนหงส์ดำนั่นเอง


ภายใต้พลังระดับผลึกของหลิ่วหมิงที่เหนือกว่า นางเปิดศึกได้ไม่นานก็มีสถาพเป็นแบบนี้แล้ว


เซียนหงส์ดำกระพือปีกบินเข้าหาหลิ่วหมิง กรงเล็บสีดำอันแหลมคมกลายเป็นเงากรงเล็บยักษ์วาดตัวผ่านไป


หลิ่วหมิงก็กระตุ้นพลังเวทอย่างไม่รีบร้อน ไอดำพวยพุ่งรอบตัว พริบตาเดียวก็ก่อตัวเป็นฝ่ามือยักษ์สีดำสองข้าง และพุ่งออกไปรับมือ


พริบตาที่เงากรงเล็บยักษ์ปะทะกับมือยักษ์ มันก็ระเบิดออกมา เซียนหงส์ดำกระเด็นกลับไปในทะเลเพลิงท่ามกลางพลังอันมหาศาล


แต่นางกระพือปีกทั้งคู่ในทันที ร่างของนางหมุนวนกลับมาด้วยแววตาเยือกเย็น จากนั้นก็อ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีดำใส่หลิ่วหมิง


ทันใดนั้น มีกลิ่นไหม้เกรียมโชยออกมาจากกลางอากาศ


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ก้าวขาข้างหนึ่งไปด้านหลัง และกลายเป็นแสงสีดำพุ่งออกไปยี่สิบกว่าจั้ง


ครู่ต่อมา เกิดเสียงดังกังวานดังเข้ามา เงาร่างวิหคยักษ์ตัวหนึ่งกำลังพุ่งออกจากทะเลเพลิงสีดำ และแผดเสียงพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงท่ามกลางไอดำอันพวยพุ่ง


“ฟู่!”


วิหคยักษ์พ่นเปลวไฟสีทองขนาดเท่าปากถ้วยออกมา


หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งบริเวณหน้าอก สายฟ้าแต่ละเส้นก่อตัวขึ้นบนมือ พริบตาเดียวก็กลายเป็นลูกสายฟ้าสีเงินขนาดเท่ากำปั้นหนึ่งลูก


“ไป!”


พอหลิ่วหมิงกระตุกข้อมือ สายฟ้าขนาดเท่าปากถ้วยเส้นหนึ่งก็พุ่งไปรับมือกับเปลวไฟสีทอง


เกิดเสียงดังกลางอากาศในทันที


สายฟ้าสีเงินพุ่งทะลุเปลวไฟสีทอง และพุ่งเข้าเซียนหงส์ดำ


“วิชาสายฟ้าสวรรค์นี้มีอานุภาพไม่ธรรมดาจริงๆ!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็แอบอุทานออกมาอดไม่ได้ และการแสดงวิชาสายฟ้าสวรรค์ในครั้งนี้ เขาใช้พลังเวทแค่หนึ่งในสามส่วนเท่านั้น


ขณะนั้น ดูเหมือนว่าเซียนหงส์ดำจะรับรู้ได้ว่าสถานการณ์ไม่ค่อยปลอดภัย หลังจากดวงตาทั้งคู่เป็นประกายแวววาวอยู่ครู่หนึ่ง นางก็กระพือปีกทั้งคู่อย่างรุนแรง พายุบ้าระห่ำพัดเข้ามา จากนั้นร่างของนางก็พร่ามัว


แต่ครู่ต่อมา เกิดเสียงสายฟ้าดังเปรี๊ยะๆ สายฟ้าสีเงินเปล่งประกายผ่านเศษเงาร่างของเซียนหงส์ดำ ส่วนร่างแท้จริงของนางกลับหายไปจากห้องโถงในพริบตา


แต่หลิ่วหมิงกลับทำท่ามือด้วยมือทั้งสองโดยไม่รู้สึกประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย


“ฟู่!”


ทางเดินหลายแห่งมีม่านทรายสีทองจางๆ ปรากฏออกมา มันคือทรายทองคำร่วงที่หลิ่วหมิงเตรียมไว้ตั้งแต่แรกนั่นเอง


หน้าม่านทรายแห่งหนึ่งพลันสั่นสะท้านเบาๆ “ตู๊ม!” จากนั้นก็มีรูขนาดใหญ่ปรากฏออกมา


“หาเจ้าเจอแล้ว!”


มุมปากหลิ่วหมิงยกขึ้นเล็กน้อย พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เล็กสีเขียวเล่มหนึ่งก็พุ่งยิงออกมา พอกระตุ้นเคล็ดกระบี่อีกครั้ง เขาก็ใช้วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งกลายสายรุ้งกระบี่สีเขียวพุ่งตามไป


ไม่นานก็มีเสียงร้องอย่างน่าเวทนาท่ามกลางระเบียงทางเดินยาวๆ แห่งหนึ่ง “อ๊ากกกก!”


……


สองปีต่อมา


ยังคงอยู่ในห้องโถงมืดๆ ภายในแดนมายา เงาร่างสีเลือดกำลังปะทะกับเงาร่างสีดำอย่างดุเดือด ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงกับราชาโลหิตที่กลืนมนุษย์โลหิตเข้าไปนั่นเอง


ช่วงเวลาในก่อนหน้านั้น หลิ่วหมิงเคยใช้ร่างแปลงปีศาจไปจัดการกับราชาโลหิตแล้ว ด้วยพลังของเขาที่เพิ่มขึ้นเป็นทวี ไม่กี่รอบก็สังหารราชาโลหิตได้อย่างง่ายดาย


ตอนนี้เขากลับไม่ได้ใช้ร่างแปลงปีศาจอย่างในก่อนหน้า และกำลังต่อสู้กับราชาโลหิตอย่างดุเดือด


“ฟู่!”


เงาฝ่ามือโลหิตกดลงบนศีรษะหลิ่วหมิง


ไอดำบนตัวหลิ่วหมิงพวยพุ่งกลายเป็นเงาสองเงา และแยกออกไปซ้ายขวา ทำให้หลบฝ่ามือโลหิตไปได้ จากนั้นก็ผสานกลับมาดังเดิม และไปปรากฏตัวอยู่ห่างจากด้านข้างของราชาโลหิตหลายจั้ง


พอหลิ่วหมิงทำท่าเคล็ดกระบี่ด้วยมือข้างหนึ่ง ปราณกระบี่รูปเกลียวสามสายก็พุ่งเข้ามาถึงในพริบตา และโจมตีจนทะเลโลหิตรอบตัวราชาโลหิตแตกกระจาย


ราชาโลหิตส่งเสียงหัวเราะอย่างเยือกเย็น และอ้าปากพ่นมุกสีเลือดออกมาหนึ่งเม็ด แต่ปราณกระบี่สามสายที่หลิ่วหมิงปล่อยออกมา กลับถูกดูดเข้าไปในมุกกลมๆ อย่างน่าประหลาดใจ


หลิ่วหมิงขมวดคิ้วในทันที จากนั้นก็ยกแขนปล่อยสายฟ้าเส้นหนึ่งออกจากฝ่ามือ และมันก็แทงทะลุทะเลหมอกโลหิตก่อนพุ่งเข้าหาราชาโลหิตอย่างรวดเร็ว


ราชาโลหิตส่งเสียงร้องแปลกประหลาด และพ่นลำแสงสีเลือดออกไปรับมือ


หลิ่วหมิงย่อมรู้ดีว่า นี่เป็นแสงโลหิตของราชาโลหิตที่มีอานุภาพไม่จำกัด แต่เขายังคงอยากจะทดสอบดูว่า วิชาสายฟ้าสวรรค์ขึ้นลึกซึ้งนี้มีอานุภาพแค่ไหนกัน ดังนั้นเขาจึงใส่พลังเวทเข้าไปในฝ่ามืออย่างบ้าคลั่ง และสายฟ้าที่เขาปล่อยออกมาก็ขยายใหญ่หลายเท่า ซึ่งเขาได้ใช้พลังเวททั้งหมดแล้ว


“ตู๊ม!”


เกิดเสียงระเบิดดังขึ้นกลางอากาศ ลำแสงสีเลือดถูกวิชาสายฟ้าสวรรค์ของหลิ่วหมิงโจมตีทะลุ


แต่เขายังไม่ทันได้แสดงสีหน้าดีใจ ก็มีกลิ่นคาวเลือดโชยมาจากด้านหลัง


“แย่แล้ว!”


หลิ่วหมิงอุทานออกมา ขณะเดียวกันพอบิดตัวไปด้านข้างเล็กน้อย ถึงมองเห็นอย่างชัดเจนว่ามีเงาร่างสีเลือดพร่ามัวมาปรากฏตรงด้านหลัง และคว้ามาทางหน้าอกของเขาอย่างรวดเร็ว


หลิ่วหมิงคำรามด้วยความโมโห หลังจากพายุบ้าระห่ำม้วนออกจากตัว เกราะหนังสีเงินก็ปรากฏออกมา ขณะเดียวกันแขนของเขาก็ขยายใหญ่ และทุบไปทางเงาร่างสีเลือดอย่างบ้าคลั่ง


“ตู๊ม!” กำปั้นหลิ่วหมิงแทงทะลุเงาโลหิตไป หลังจากนิ้วทั้งห้าของฝ่ายตรงข้ามวาดตัวผ่านหน้าอกของเขา กลับทิ้งไว้เพียงรอยเล็บจางๆ ห้าเส้นเท่านั้น


หลิ่วหมิงอ้าปากด้วยสีหน้าเฉียบขาด และสายฟ้าสีเงินอีกเส้นก็พุ่งออกไปโดยที่ฝ่ายตรงข้ามไม่ทันได้ระมัดระวัง…


ภาพรอบด้านหลิ่วหมิงเริ่มพร่ามัว จากนั้นเขาก็มาปรากฏตัวในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง


แม้เขาจะเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีร่างแปลงปีศาจ หากจะสังหารราชาโลหิตที่ถูกยกระดับการฝึกฝนจนถึงระดับผลึกขั้นกลาง ทั้งยังมีพลังไม่ธรรมดานี้ เป็นเรื่องที่ยากเป็นอย่างยิ่ง


โดยพื้นฐานทั่วไปแล้ว ภายใต้พลังเสริมของเกราะอสูรและวิชาสายฟ้าสวรรค์ สามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้หนึ่งถึงสองครั้งในทุกๆ สิบครั้งเท่านั้น ที่เหลือถ้าไม่ตายไปพร้อมกับฝ่ายตรงข้าม ก็ยอมให้ราชาโลหิตกลายเป็นแสงสีเลือดแล้วหลบหนีไป


เวลาต่อมา หลิ่วหมิงทำศึกใหญ่กับราชาโลหิตไปหลายร้อยรอบ ในที่สุดก็เข้าใจและคุ้นเคยกับพลังของราชาโลหิตแล้ว และจำนวนครั้งในการสังหารก็เพิ่มขึ้นมามาก


สี่ปีต่อมา เขาต่อสู้กับราชาโลหิตจนสามารถสังหารฝ่ายตรงข้ามได้แปดถึงเก้าในสิบครั้ง


หลิ่วหมิงย่อมค่อนข้างพอใจเป็นอย่างมาก เพราะขณะนี้เขามีการฝึกฝนแค่ระดับผลึกขั้นต้นเท่านั้น พอการฝึกฝนถูกเพิ่มระดับขึ้น คิดว่าน่าจะขยี้ราชาโลหิตได้อย่างแน่นอน


เวลาที่เหลือ เขามีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงแดนมายาอีกครั้ง และลองท้าสู้จินเลี่ยหยางที่เคยปรากฏตัวในวังมายานภาหยก


ก่อนหน้านั้น เขาก็เคยเข้าไปในแดนมายาจำลองสถานการณ์ต่อสู้กับจินเลี่ยหยางมาแล้ว แต่ตอนนี้เพื่อที่จะฝึกฝนวิชาเงาร่างสามส่วน จึงไม่ได้เผชิญหน้ากับฝ่ายตรงข้ามโดยตรง เพียงแค่เคลื่อนไหวหลบหลีกไปมาอย่างรวดเร็วเท่านั้น


ขณะนี้ หลิ่วหมิงไม่เพียงแต่มีการฝึกฝนระดับผลึกเท่านั้น พลังเวทยังเพิ่มขึ้นเป็นทวี กายเนื้อก็แข็งแกร่งจนน่าตกใจ ประกอบกับมีเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามและวิชาสายฟ้าสวรรค์ขั้นลึกซึ้งด้วยแล้ว ย่อมอยากหาเงาร่างมายาของจินเลี่ยหยางมาแลกมือดูสักครั้ง


หลังจากคิดไตร่ตรองเช่นนี้ไปหนึ่งรอบ เขาก็แตะไปที่ระหว่างคิ้วอีกครั้ง อาศัยพลังจิตที่หนอนพลังจิตปล่อยออกมากระตุ้นดวงตามายาปีศาจ และเข้าไปในแดนมายาอีกครั้ง


พอหลิ่วหมิงลืมตาขึ้นมา ไอเย็นสะท้านก็ปะทะเข้ามาอย่างรวดเร็ว มันคือแสงกระบี่ที่เปล่งประกายอยู่ห่างจากเขาไปสองสามจั้ง


เขารีบกระตุ้นพลังเวทด้วยความตกใจ หลังจากบิดตัวไปหนึ่งทีถึงหลบแสงกระบี่ไปได้อย่างหวุดหวิด แต่ชุดคลุมบนตัวยังคงถูกปราณกระบี่ตัดเป็นรอยหนึ่งเส้น


หลิ่วหมิงร่นถอยออกไปสองสามก้าวอย่างไม่ลังเล จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือทั้งสองทันที และไอดำบนตัวก็พวยพุ่งขึ้นมา เงาร่างพยัคฆ์สามตัวปรากฏอย่างชัดเจนบนแขนของเขา และมังกรหมอกดำสามตัวที่อยู่ด้านหลังของเขา ก็จ้องมองเงามนุษย์สีทองที่ลอยอยู่กลางอากาศด้วยสีหน้าดุร้าย


พอเขาส่งเสียงคำรามออกมา ก็ปล่อยกำปั้นออกไปทันที หลังจากพายุบ้าระห่ำผ่านพ้นไป พยัคฆ์สีดำขนาดใหญ่สามตัวก็กระโจนออกมา และมังกรหมอกดำสามตัวก็พุ่งยิงออกไปด้วยเช่นกัน


เงาร่างมนุษย์สีทองฟันกระบี่ออกไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก พอพยัคฆ์หมอกสามตัวและมังกรหมอกสามตัวปะทะกับแสงกระบี่สีทอง มันก็ไม่อาจต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย และระเบิดตัวสลายไปทันที


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ดูเหมือนจะเตรียมพร้อมไว้ตั้งแต่แรกแล้ว เขายังคงทำท่ามือด้วยสีหน้าสงบ ไอหมอกดำที่สลายตัวไปกลายเป็นแสงสีดำก่อนม้วนตัวเข้าหาชายหนุ่มชุดคลุมสีทอง


หลังจากเปลี่ยนท่ามืออีกครั้ง เงามนุษย์สีทองก็จมเข้าไปในคุกมืดสีดำที่ไม่มีที่สิ้นสุด


แต่ที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกคาดไม่ถึงก็คือ เวลาผ่านไปแค่อึดใจเดียว ปราณกระบี่สีทองก็พุ่งออกจากแสงสีดำไปทั่วทิศ


เขายังไม่ทันได้เปลี่ยนไปใช้วิธีการอื่น ก็มีเสียงดังขึ้นมา คุกมืดระเบิดตัวกลายเป็นจุดแสงสีดำก่อนสลายไปในพริบตา


ในขณะเดียวกัน แสงกระบี่สีทองก็พุ่งเข้ามาถึงตรงหน้า และฟันลงมา


พอหลิ่วหมิงยกแขนข้างหนึ่งขึ้น สายฟ้าสีเงินขนาดเท่าปากถ้วยก็ก่อตัวขึ้นมา ทันใดนั้น มันก็พุ่งยิงออกจากฝ่ามือของเขา และไปรับมือกับแสงกระบี่เหนือศีรษะโดยตรง


“เต๊ง!”


ภายใต้การถูกสายฟ้าสีเงินปะทะอย่างรุนแรง แสงกระบี่สีทองก็ต้านทานได้เพียงครู่หนึ่ง จากนั้นก็แตกกระจายเป็นจุดแสงสีทอง


สายฟ้าสีเงินเองก็หมดซึ่งอานุภาพและหายตัวไปกลางอากาศ ทำให้อากาศบริเวณรอบๆ เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ


นี่เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิงเอาชนะแสงกระบี่ของจินเลี่ยหยางได้อย่างสมบูรณ์ เขามองดูฉากตรงหน้าด้วยแววตาตื่นเต้น


ขณะนั้นเอง เงามนุษย์สีทองตรงหน้าก็สะบัดแขนเบาๆ สองสามที จากนั้นก็ฟันเงากระบี่สีทองออกมาจำนวนมาก ทำให้หลิ่วหมิงมือไม้ยุ่งเป็นพัลวัน


เงามนุษย์สีทองเคลื่อนไหวสองที ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิงราวกับปีศาจ


ตอนที่ 648 ศพปีศาจ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลิ่วหมิงขยับตัวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็กระตุ้นวิชาเงาร่างสามส่วนให้แยกร่างเป็นสองเงาก่อนพุ่งออกไปพร้อมกัน


แต่พอแขนของมนุษย์สีทองพร่ามัว ปราณกระบี่สีทองสายหนึ่งก็ม้วนตัวออกมา


“ฟิ้ว!” เงาร่างเงาหนึ่งถูกแสงสีทองฟันจนสลายไป ส่วนอีกเงากลับยกแขนปล่อยโล่เล็กๆ ออกมา มันขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดหลายจั้ง และต้านทานปราณกระบี่ตรงหน้าไว้โดยตรง


แต่ขณะนั้นเอง เงามนุษย์สีทองก็พร่ามัวในฉับพลัน มันแยกร่างจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ จากสี่เป็นแปด พริบตาเดียวอากาศบริเวณนั้นก็มีเงาร่างมนุษย์สีทองที่มีลักษณะเหมือนกันปรากฏออกมาสิบกว่าเงา ทั้งยังสะบัดกระบี่ยาวพร้อมกัน ทันใดนั้นแสงกระบี่สีทองอันหนาแน่นก็พุ่งออกไปอย่างบ้าคลั่ง และรวมตัวเป็นแม่น้ำสีทองสายหนึ่ง พริบตาเดียวโล่ยักษ์และหลิ่วหมิงที่อยู่ข้างหลังก็จมอยู่ใต้น้ำโดยสมบูรณ์


พลันมีเสียงดังหวึ่งข้างหูหลิ่วหมิง จากนั้นเขาก็กลับเข้ามาในห้องว่างเปล่าสีเทาอีกครั้ง


คิดไม่ถึงว่าหลังจากบรรลุระดับผลึกแล้ว เขายังคงพ่ายแพ้ให้กับจินเลี่ยหยางอีก ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายยิ่งนัก


จินเลี่ยหยางผู้นี้สมกับเป็นศิษย์แข็งแกร่งที่สุดที่พบเจอในรอบหมื่นปีของนิกายยอดบริสุทธิ์จริงๆ ฝีมือช่างไม่ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย แต่ในเมื่อรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามมีความสามารถเช่นนี้ ครั้งหน้าเขาจะต้องระมัดระวังให้มากขึ้นกว่าเดิมแล้ว


เวลาต่อมา เขาเข้าไปต่อสู้กับจินเลี่ยหยางในแดนมายาอย่างดุเดือดอีกครั้ง และค่อยๆ ยกระดับพลังการต่อสู้ของตัวเอง


หลังจากพลังระดับผลึกอย่างหลิ่วหมิง เผชิญหน้ากับเงาร่างจินเลี่ยหยางที่มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายจนเข้าใจฝีมือของฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจนแล้ว ย่อมมีแพ้มีชนะปะปนกันไป และสุดท้ายก็ชนะมากกว่าแพ้


……


วันนี้ หลิ่วหมิงกำลังนั่งสมาธิอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับอย่างเงียบๆ อากาศรอบด้านสั่นสะท้านเบาๆ ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว


“ฟู่!” “ฟู่!”


จะเห็นว่าไอดำสองสายม้วนตัวออกมาด้านข้างของหลิ่วหมิง มันคือแมงป่องกระดูกกับหัวบินนั่นเอง


“ดูท่าคงจะถึงเวลาแล้ว สิบหกปีพอดี ยังคงตรงต่อเวลาเช่นเดิม” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา ทันใดนั้นดวงตาทั้งคู่ก็มืดลง หลังจากรู้สึกราวกับว่าโลกหมุนอย่างรุนแรง เขาก็มาปรากฏตัวในห้องลับภายในถ้ำที่พักอีกครั้ง


ขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าทะเลจิตวิญญาณสั่นสะเทือน พลังเวทอันบริสุทธิ์พวยพุ่งออกจากฟองอากาศลึกลับอย่างต่อเนื่อง และค่อยๆ จมเข้าไปในผลึกหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ด จนเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ถึงค่อยๆ หยุดลง


ฟองอากาศลึกลับส่งเสียงดังเบาๆ “ฟู่!” จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับว่าไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน


พอหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดู ก็ค้นพบว่าแม้ว่าพลังเวทที่คืนกลับมาจะมีแค่ครึ่งเดียว แต่ระดับการฝึกฝนของตนเองไม่ได้ลดลงไปด้วย ยังคงอยู่ที่ระดับผลึกขั้นต้นเช่นเดิม


นี่ย่อมเป็นเพราะว่าผลึกพลังเวทภายในร่างของเขาเหนือกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั่วไปมาก แม้จะถูกลดพลังเวทไปครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังรักษาระดับการฝึกฝนของตัวเองในตอนนี้ไว้ได้


และแมงป่องกระดูกกับหัวบินก็หมอบอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ ร่างของมันจมอยู่ในไอดำอันพวยพุ่ง ไอดำนี้ดำมืดราวกับหมึก มันเกาะกันหนาทึบราวกับปรอท และค่อยๆ ก่อตัวเป็นน้ำวนอย่างช้าๆ


แม้หลิ่วหมิงจะมองเห็นสภาพภายในไม่ชัดเจน แต่อาศัยจิตที่เชื่อมกัน ทำให้รู้ว่าอสูรเลี้ยงทั้งสองก็ได้รับประโยชน์เป็นอย่างมาก


ในช่วงเวลาสิบหกปีมานี้ วิชาแบ่งร่างของหัวบินพัฒนาขึ้นมาไม่น้อย แม้ว่ายังคงแบ่งออกมาได้แค่เก้าร่าง แต่ทุกร่างก็มีขนาดใหญ่กว่าเดิมเท่าตัว พลังของมันก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย


และการโจมตีของหางตะขอหัวมังกรกับหมอกพิษของแมงป่องกระดูก ย่อมเพิ่มขึ้นมาเป็นทวี


เขาตบถุงหนังบนเอวเก็บอสูรเลี้ยงทั้งสองเข้าไปทันที


หลังจากทำทุกอย่างเสร็จสิ้น หลิ่วหมิงถึงถอนหายใจยาวออกมา


ในที่สุดภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่สี่ปี เขาก็หาไอปีศาจแท้มาซ่อมแซม ‘กรงขัง’ ที่หลัวโหวพูดถึงได้อย่างเพียงพอ และยังเข้าสู่ระดับผลึกอย่างราบเรียบ ทั้งยังสนองความต้องการของฟองอากาศลึกลับที่ดูดกลืนพลังเวท ทุกอย่างนี้ดูเหมือนจะผ่านไปอย่างสบายใจ แต่ความจริงแล้วทุกย่างก้าวล้วนอกสั่นขวัญแขวนอยู่ไม่หยุด


ตอนนี้ทุกอย่างดูเหมือนจะดีไปหมด แต่ในใจกลับรู้สึกว่างเปล่าและกลัดกลุ้ม แม้กระทั่งในสมองยังผุดภาพการใช้ชีวิตในนิกายปีศาจในปีนั้น


นักพรตแซ่จงที่ดูแลเขาเป็นอย่างดีเมื่อตอนมอบตัวเป็นศิษย์ในนิกาย เฉียนหรูผิงที่มอบตัวเป็นศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ และจางซิ่วเหนียงที่จับพลัดจับผลูจนเกิดบุพเพกับเขาถึงเก้าชาติ ยังมีอาจารย์อาเย่ที่ดูเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งผู้นั้น……


หลังจากหลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอยู่นาน ถึงส่ายศีรษะละทิ้งความรู้สึกเหล่านี้ไว้เบื้องหลัง จากนั้นก็นำจิตจมดิ่งเข้าไปในร่างอีกครั้ง


จะเห็นว่าบริเวณทะเลจิตวิญญาณ มีเงากระบี่เล็กๆ ลอยอยู่ มันคือจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุนั่นเอง


หลังผ่านการต่อสู้กับราชาโลหิตและซากโบราณในทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์มา อานุภาพของตัวอ่อนกระบี่ที่สะสมมาหลายปี ก็ถูกใช้ไปจนหมดสิ้น แม้ว่าจะผ่านการบ่มเพาะมาหลายปี แต่เมื่อเทียบกับตอนนี้แล้ว ยังคงแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน


แต่ก็เป็นเพราะศึกที่ต่อสู้กับราชาโลหิตในครั้งนั้น ทำให้เขาเข้าใจถึงความร้ายกาจของตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุมากขึ้น ทำให้เขารู้สึกรอคอยถึงการหลอมสิ่งนี้เป็นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ และการฝึกฝนวิชากระบี่บินอย่างลึกซึ้งมากกว่าเดิม


ตอนนี้เขาเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ในที่สุดก็มีเวลาพิจารณาถึงเรื่องการหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ และการฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่บินที่แท้จริงแล้ว


ขณะที่หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ มือข้างหนึ่งก็ทำท่ามือทันที แสงสีเงินเปล่งประกายในทะเลจิตรับรู้ ทันใดนั้น คัมภีร์สีเงินเล่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา มันคือเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งเล่มนั้นนั่นเอง


เขาดึงจิตกลับมาทันที และจมดิ่งเข้าไปในเคล็ดวิชากระบี่เล่มนี้ และเริ่มทำความเข้าใจอย่างเงียบๆ


หลังจากผ่านไปหนึ่งวันเต็มๆ เขาถึงค่อยๆ ดึงจิตออกมาจากคัมภีร์สีเงิน และแสดงแววตาแปลกๆ


เนื่องจากเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ส่วนที่สามารถอ่านได้ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ตามที่บันทึกไว้ในนั้น วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง ดรรชนีกระบี่ และพลังวิเศษพื้นฐานอื่นๆ ที่เขาเชี่ยวชาญแล้ว หากจะฝึกฝนสายกระบี่ให้ลึกซึ้งกว่าเดิม ทางที่ดีต้องมีกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่แท้จริง ถึงจะฝึกฝนได้ผลที่คุ้มค่า


ตอนนี้จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เขาพสุเมรุในร่างเขา ได้สูญสิ้นอานุภาพไปหมดแล้ว ไม่อาจใส่เข้าไปในกระบี่บินพลังจิตวิญญาณตามเงื่อนไขขั้นพื้นฐานได้ จำเป็นต้องหาวิธีการอื่นชดเชยถึงจะได้


อีกอย่างกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่แท้จริงเล่มหนึ่ง นอกจากจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่เหมาะสมแล้ว ร่างที่ใส่ตัวอ่อนกระบี่ก็จำเป็นเช่นกัน


เขาเพียงแค่ใส่จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เข้าไปในร่างตัวอ่อนกระบี่ และผ่านการปรับแต่งหนึ่งรอบ ถึงจะสำเร็จเป็นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเล่มหนึ่ง


ตามที่บันทึกในคัมภีร์ พอหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่แท้จริงสำเร็จ มันจะมีคุณสมบัติเป็นต้นแบบอาวุธเวท อีกอย่างในแง่ของพลังการทำลาย จะอยู่เหนือต้นแบบอาวุธเวทประเภทอื่นๆ ด้วย


แต่ที่แตกต่างกับอาวุธเวทอื่นๆ ก็คือ หากผู้ฝึกกระบี่คิดจะหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่เทียบเท่ากับอาวุธเวทประจำตัว และคาดหวังที่จะให้มันรวมเป็นหนึ่งกับจิตตนเองในอนาคต ร่างตัวอ่อนกระบี่ต้องหลอมด้วยตัวเองจะดีที่สุด


ร่างตัวอ่อนกระบี่ที่หลอมออกมาเช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นขนาดภายนอกล้วนปรับได้สมใจนึก เมื่อใส่ตัวอ่อนกระบี่เข้าไปจนกลายเป็นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ ถึงแสดงอานุภาพสิบสองส่วนของขีดจำกัดในช่วงแรกได้ ซึ่งเหนือชั้นกว่าต้นแบบอาวุธเวทที่คนรุ่นก่อนทิ้งไว้มาก


ตอนที่หลิ่วหมิงก้าวเข้ามาในโลกของผู้ฝึกฝนได้ไม่นาน ก็มองเห็นวิชาขี่กระบี่ที่ทรงพลังของเย่เทียนเหมยแล้ว ประกอบกับประสบการณ์ต่างๆ ในภายหลัง เขาย่อมตัดสินใจหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณมาเป็นอาวุธเวทของตนเอง


แม้ว่าโล่เก้ากะโหลกก็เป็นต้นแบบอาวุธเวทที่มีอานุภาพไม่เลว แต่เพราะว่ามันเป็นอาวุธป้องกัน จึงห่างไกลจากกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่มีประโยชน์ต่อเขากว่ามาก


มีเพียงแต่วิธีการเช่นนี้ ถึงจะฝึกฝนพลังต่างๆ ของวิชากระบี่ในคัมภีร์ได้


แต่เช่นนี้แล้ว เขาก็ต้องเผชิญกับปัญหาสองข้อ


ข้อแรกคือการฟื้นฟูอานุภาพของตัวอ่อนกระบี่ นอกจากบ่มเพาะภายในร่างต่อแล้ว หากยังมีวิธีการอื่นๆ สามารถชดเชยความเสียหายในก่อนหน้าได้ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง


และปัญหาอีกอย่างก็คือ ปัญหาเรื่องการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่แล้ว


หากจะทำทั้งสองสิ่งนี้ให้สำเร็จ เกรงว่าคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ปัญหาอย่างแรกไม่ต้องพูดอะไรมาก หากไม่มีวิธีการฟื้นฟูล่ะก็ เกรงว่าคงต้องค่อยๆ รอไปอีกนาน ส่วนปัญหาข้อหลังก็จำเป็นต้องรวบรวมวัสดุกับวิธีการหลอมร่างกระบี่ถึงจะได้


ที่น่าเสียดายก็คือ ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งบันทึกแค่วิธีการหลอมจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุเท่านั้น ส่วนวิธีการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่กลับไม่กล่าวถึงเลยแม้แต่น้อย


หากหลิ่วหมิงอยากจะหลอมกระบี่บินเป็นอาวุธเวทประจำตัวล่ะก็ คงได้แต่หาวิธีการหลอมอื่นที่เหมาะสมด้วยตนเองแล้ว


หลังจากนั่งคิดอยู่นาน เขาก็แอบตัดสินใจได้แล้ว


ต่อมาหลิ่วหมิงก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้


เขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งหยิบยันต์เก็บของขึ้นมา และขยี้จนแตกกระจาย


หลังจากแสงสว่างม้วนตัวออกไป ซากศพแห้งเหี่ยวศพหนึ่งก็ปรากฏบนพื้น มันคือศพของมนุษย์ปีศาจที่เขาพบเจอในซากโบราณในเมืองเทียนเหย่นั่นเอง


ตั้งแต่ได้ศพนี้มา เขามัวแต่เตรียมทะลวงระดับผลึก และเตรียมพร้อมสำหรับเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับ จึงไม่ได้ทำการศึกษามันอย่างละเอียด ตอนนี้นับว่าพอมีเวลาว่างอยู่บ้าง จึงเตรียมทำการศึกษาสักรอบ


พอเขากวาดสายตามองดู ก็ค้นพบว่าศพนี้มีขนาดใหญ่กว่ามนุษย์ทั่วไปหนึ่งเท่ากว่าๆ ผิวหนังสีเหลืองแห้งติดกับกระดูก เบ้าตากลายเป็นรูสีดำลึกๆ ที่น่าประหลาดใจก็คือบนศีรษะยังมีผมสีเหลืองบางๆ ที่ยาวไม่กี่ชุ่น


แต่หากมองดูอย่างละเอียด ก็สามารถมองเห็นลวดลายปีศาจสีดำจางๆ ปรากฏอยู่บนผิวแห้งๆ หูทั้งสองเป็นสีดำ และแหลมกว่าคนปกติเล็กน้อย


หลังจากหลิ่วหมิงมองดูแล้วก็แอบกระซิบอยู่ในใจ


“นี่คือมนุษย์ปีศาจที่แท้จริงหรือ! ว่าแต่ทำไมถึงดูไม่ออกว่าตอนมีชีวิตเขาเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์!”


เขาคิดเช่นนี้อยู่ในใจ หลังจากหรี่ตาทั้งคู่ลง ก็เอานิ้วแตะระหว่างคิ้วทันที ทันใดนั้น พลังจิตอันแข็งแกร่งก็ถูกปล่อยออกมา เพื่อเข้าไปตรวจสอบดูร่างภายในของศพ


“เอ๊ะ!”


ผ่านไปสักพัก สีหน้าหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนไป และต้องอุทานเบาๆ อย่างอดไม่ได้


ไม่รู้ว่าผิวหนังแห้งเหี่ยวนี้มีความพิเศษอันใด ถึงกีดกั้นจิตรับรู้ของเขาไว้ ดูเหมือนว่าไม่สามารถเจาะเข้าไปได้เลยแม้แต่น้อย


แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พริบตาที่จิตรับรู้ของเขาสัมผัสกับผิวหนังแห้งเหี่ยวนั้น ก็รับรู้ถึงพลังอันน่าตกใจที่แฝงอยู่ในนั้นอย่างลางๆ อานุภาพที่แฝงอยู่ในนั้นแข็งแกร่งมาก จนทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกใจสั่นสะท้าน


แต่ดวงตาหลิ่วหมิงกลับฉายแววดีใจอย่างปิดไม่มิด


แม้จะไม่รู้ที่มาของศพปีศาจนี้ แต่ว่าศพของผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ย่อมไม่ใช่สิ่งของธรรมดา มูลค่าของมันสูงมาก สูงจนพอที่จะทำให้ผู้ฝึกฝนสายปีศาจหรือสายศพเกิดความบ้าคลั่งขึ้นมาได้


หากนำไปประมูลในตลาด เกรงว่าอาจเริ่มต้นประมูลที่ราคาหลายสิบล้านก็เป็นไปได้ ทั้งยังเป็นสิ่งของที่ไม่มีในตลาด ไม่ว่าใครก็ตามที่มีสิ่งของเช่นนี้ ย่อมไม่แสดงให้คนอื่นเห็นโดยได้ง่าย ดังนั้นอย่าได้พูดถึงการนำไปประมูลเลย


หลิ่วหมิงย่อมไม่คิดจะขายมันอยู่แล้ว แต่ในเมื่อจิตรับรู้ไม่อาจเจาะเข้าไปด้านในได้ เขาย่อมไม่ยอมละทิ้งไปง่ายๆ อย่างแน่นอน


หลังจากเก็บสีหน้าตกใจเข้าไปแล้ว เขาก็คิดไตร่ตรองอีกเล็กน้อย จากนั้นก็พลิกฝ่ามือนำแผ่นหยกสีดำออกมาจากหอยสังข์ย่อส่วนหนึ่งอัน


มันคือเคล็ดฝึกศพที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกอย่างอาจารย์อาเยี่ยนในนิกายปีศาจมอบให้เขาในตอนนั้น ในนั้นบันทึกและแนะนำเคล็ดวิชาปรับแต่งศพไว้จำนวนไม่น้อย


ตอนที่ 649 ยอดเขากระบี่สวรรค์

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากผ่านไปนานสองนาน จิตรับรู้ของหลิ่วหมิงถึงค่อยๆ ถอนตัวออกจากแผ่นหยก แต่ปากของเขากลับเริ่มท่องคาถาเบาๆ ขณะเดียวกันก็กางฝ่ามือออกมา นิ้วทั้งห้าต่างก็มีลูกควันสีดำกลมๆ ปรากฏออกมา จากนั้นปากของเขาก็เริ่มขยับอย่างต่อเนื่อง


เมื่อลูกควันสีดำขยายใหญ่เท่าไข่ไก่ นิ้วของเขาก็นำลูกควันทั้งห้าไปแตะลงบนหน้าผากของศพแห้ง


ขณะเดียวกัน แสงสีเหลืองจางๆ ก็ปรากฏบนพื้นผิวศพแห้งเหี่ยว และต้านทานการเจาะเข้าไปในลูกควันสีดำ


พอหลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ ก็ไม่รู้สึกตกใจแต่อย่างใด แต่กลับดีใจเสียด้วยซ้ำ พอเขาเร่งร่ายคาถา ลูกควันสีดำก็ค่อยๆ เจาะทะลุม่านแสงสีเหลืองไป


ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ลูกควันสีดำทั้งหมดก็จมเข้าไปในศพแห้งเหี่ยว


หลิ่วหมิงถอนหายใจออกมาเบาๆ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย


เคล็ดวิชาฝึกศพที่อาจารย์อาเยี่ยนมอบให้ ที่แท้ก็มีช่องทางอยู่บ้าง จิตรับรู้ส่วนหนึ่งของเขาซ่อนอยู่ในลูกควัน และแทรกซึมเข้าไปในศพแห้งอย่างเงียบๆ


แต่พอเขานำจิตออกจากลูกควัน และมองดูศพนั้น ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก


ศพแห้งนี้ดูคล้ายกระดูกหุ้มหนัง แต่มันมีความหนาแน่นอย่างเหลือเชื่อ


เดิมทีหลิ่วหมิงก็เป็นผู้ฝึกร่างครึ่งหนึ่ง กายเนื้อจึงแข็งแกร่งและทรหด กระดูกในร่างก็หนาแน่นมาก ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันจะสามารถเทียบได้ แต่เมื่อเทียบกับศพแห้งนี้แล้วกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน


จากการประเมินคร่าวๆ ของจิตรับรู้ กายเนื้อของศพแห้ง นี้หนาแน่นกว่ากายเนื้อของเขาสิบเท่าขึ้นไป


กายเนื้อที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้จะใช้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่แท้จริงฟัน ก็คงไม่อาจทำร้ายมันได้เลยแม้แต่น้อย


หลิ่วหมิงคิดด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่พอโบกมือข้างหนึ่ง คมวายุโค้งๆ ก็ก่อตัวขึ้นมา และโจมตีลงบนศพแห้ง


คมวายุแตกกระจายเป็นจุดๆ และผิวของศพสีเหลืองแห้งกลับไม่มีร่องรอยใดๆ เลยแม้แต่น้อย


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”


หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา ลูกแสงสีเงินปรากฏออกมาบนนิ้วทิ้งสิบอีกครั้ง


ครู่ต่อมา เกิดเสียงดังโครมคราม สายฟ้าสีเงินเส้นหนึ่งโจมตีลงบนศพแห้ง ซึ่งก็คือวิชาสายฟ้าสวรรค์ที่เขาฝึกฝนอย่างยากลำบากนั่นเอง


เกิดเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” หลังจากสายฟ้าสีเงินไหลวนผ่านไป แสงฟ้าแลบและควันก็ดับสลายจนหมดสิ้น ศพแห้งเหี่ยวสีเหลืองกลับยังคงสภาพสมบูรณ์ ไม่เหลือรอยไหม้สีดำเลยแม้แต่น้อย


พอหลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ทำท่ามืออยู่ไม่หยุด วิชาต่างๆ โจมตีลงบนศพแห้งราวกับสายฝน แต่น่าแปลกที่พวกมันสลายไปในพริบตา แม้กระทั่งการใช้วิชาขี่กระบี่ฟันลงไปบนนั้น ก็ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้เลยแม้แต่น้อย


หลังจากพยายามทำอยู่เช่นนี้จนเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา หลิ่วหมิงถึงหยุดมือลงด้วยสีหน้าดีใจระคนปนทุกข์


ศพแห้งตรงหน้าไม่ผ่านการปรับแต่งใดๆ ความแข็งแกร่งของมันก็สามารถเทียบได้กับอาวุธป้องกันตัวระดับต้นแบบอาวุธเวทแล้ว


แม้ว่าเคล็ดวิชาฝึกศพของอาจารย์อาเยี่ยนจะไม่เลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศพอยู่ในระดับสูง ก็จะมีข้อคิดเห็นพิเศษจำเพาะไม่น้อย แต่เมื่อเผชิญกับศพระดับดาราพยากรณ์นี้ เห็นได้ชัดว่ามันใช้ไม่ได้อีกต่อไป


และหากจะเข้าใจศพแห้งนี้อย่างชัดเจน แม้กระทั่งปรับแต่งมันได้ล่ะก็ เห็นได้ชัดว่าต้องใช้วิธีการปรับแต่งศพที่สูงยิ่งขึ้นแล้ว


หลังจากมองศพและทอดถอนใจแล้ว หลิ่วหมิงก็โบกมือเก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างทะนุถนอม


ต่อมา เมฆดำก้อนหนึ่งพุ่งขึ้นจากหน้าประตูถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ส่วนบนของยอดเขาลั่วโยว จากนั้นก็พุ่งไปทางหอเก็บคัมภีร์


“ศิษย์พี่หลิ่ว มาหาอ่านคัมภีร์ในหอเก็บคัมภีร์อีกแล้วหรือ?” พอเห็นหลิ่วหมิงมาปรากฏตัวหน้าประตู ผู้ดำเนินการหลี่ว์ก็เดินมาต้อนรับด้วยเสียงหัวเราะ


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจขึ้นมาทันที


ครั้งล่าสุดที่เขามาที่นี่คือก่อนเข้าห้องว่างเปล่าลึกลับ แม้ดูเหมือนเวลาจะผ่านไปสิบกว่าปี แต่สำหรับคนที่อยู่ข้างนอกแล้ว ผ่านไปแค่สองเดือนเท่านั้น


“เฮ่อๆ ตอนฝึกฝนข้าพบข้อสงสัยเล็กน้อย คงได้แต่มาดูประสบการณ์การฝึกฝนของบรรดาผู้อาวุโสแล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินไปหาอย่างรวดเร็ว


เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับภายในหอเก็บคัมภีร์แล้ว จึงเดินตรงไปอ่านคัมภีร์ประเภทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ และการปรับแต่งศพบนชั้นสามทันที


ขณะนี้เป็นเวลาหลังเที่ยง และก็เป็นช่วงเวลาที่หอเก็บคัมภีร์วุ่นวายที่สุด มีคนเข้าออกตลอดเวลา แต่ทุกคนต่างก็ลดเสียงฝีเท้าลงอย่างรู้งาน


ครึ่งชั่วยามผ่านไป ชั้นหนังสือทางด้านตะวันออกบนชั้นสามของหอเก็บคัมภีร์ หลิ่วหมิงนำแผ่นหยกที่สลักคำว่า ‘คัมภีร์กระบี่ชิงเฮา’ ลงจากหน้าผากด้วยสีหน้าผิดหวัง


แม้ว่าในหอเก็บคัมภีร์จะมีคัมภีร์จำนวนมาก แต่กลับมีคุณภาพไม่เท่ากัน ในบรรดาคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับสายกระบี่เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นแก่นแท้ของวิชาขี่กระบี่ ซึ่งเอ่ยถึงวิธีการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่น้อยมาก ต่อให้จะมีก็เป็นแค่วิธีการหลอมตัวอ่อนกระบี่ธรรมดาเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากที่หลิ่วหมิงคาดการณ์ไว้มาก และไม่สามารถใช้กับเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งได้


ขณะที่เขารู้สึกกลุ้มใจเป็นอย่างมากนั้น ชายหนุ่มสองคนก็เดินมาจากอีกด้านหนึ่งของชั้นหนังสือ ซึ่งต่างก็สวมชุดสีเหลืองสดใส ดูจากรูปกระบี่บนแขนเสื้อแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นศิษย์สายในของยอดเขากระบี่สวรรค์


หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูทีหนึ่ง จากนั้นก็หันไปค้นหาคัมภีร์บนชั้นต่ออย่างไม่ใส่ใจ


“ศิษย์พี่ไคหยวน ท่านมาที่นี่จะไม่เป็นการเสียเวลาเปล่าหรือ แม้ว่าหอเก็บคัมภีร์จะมีคัมภีร์จำนวนมาก แต่ความจริงแล้วมันก็แค่คัมภีร์พื้นๆ เท่านั้น หากพูดถึงคัมภีร์เคล็ดกระบี่อันล้ำค่า ไม่สู้ไปหาในหอคัมภีร์ของยอดเขาเราไม่ดีกว่าหรือ?”


ชายหนุ่มใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมผู้หนึ่งกระซิบเบาๆ


“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี เคล็ดกระบี่สี่ฤดูของข้าฝึกฝนจนถึงคอขวดแล้ว ตอนนี้จำเป็นต้องหาแรงบันดาลใจในการทะลวงเล็กน้อย จึงมาเสี่ยงโชคดูที่นี่ก็เท่านั้น” ชายหนุ่มอีกคนหยิบแผ่นหยกสีเขียวสลัวๆ ลงจากชั้นหนังสือในขณะที่พูด จากนั้นก็นำมันไปแปะไว้บนหน้าผาก และค่อยๆ อ่านอย่างช้าๆ


แต่ทว่าการสนทนาเบาๆ ของทั้งสองดังเข้ามาในหูของหลิ่วหมิงแล้ว ทำให้เขารู้สึกใจเต้นขึ้นมา


คนพูดไม่มีเจตนา แต่คนฟังกลับมีเจตนา


คำพูดแบบไม่ใส่ใจของทั้งสองทำให้หลิ่วหมิงนึกขึ้นมาได้ว่า ยอดเขากระบี่สวรรค์มีชื่อเสียงในเรื่องของสายกระบี่ และสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับกระบี่บิน ดังนั้นย่อมต้องไปหาที่ยอดเขากระบี่สวรรค์ถึงจะสมเหตุสมผลที่สุด


ดูเหมือนว่าในหอเก็บคัมภีร์จะหาวิชาหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ที่ประณีตไม่ได้ แต่ใช่ว่าบนนอดเขากระบี่สวรรค์จะไม่มี


ก็เหมือนกับหอคัมภีร์ในยอดเขาลั่วโยว ที่เก็บคัมภีร์พลังสายปีศาจประเภทต่างๆ และประสบการณ์เคล็ดวิชาต่างๆ ที่ผู้อาวุโสรุ่นก่อนๆ รวบรวมขึ้นมา หลังจากหลิ่วหมิงมอบตัวเป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยวแล้ว ก็เคยไปอยู่หลายครั้ง


หอเก็บคัมภีร์ที่เปิดให้ศิษย์ทั้งหมดในนิกายเข้าได้นี้ แม้ว่าจะมีคัมภีร์จำนวนมาก เนื้อหาครอบคลุมไปหมดทุกสิ่งอย่าง แต่ถ้าพูดถึงเคล็ดวิชาบางอย่างแล้ว ห้องเก็บคัมภีร์ของแต่ละยอดเขาจะเน้นหนักไปทางใดทางหนึ่ง ช่างวิเศษยิ่งนัก


“เหตุผลง่ายๆ เพียงเท่านี้ ทำไมก่อนหน้านั้นข้าถึงคิดไม่ได้” หลิ่วหมิงเอามือกดหน้าผากและพูดพึมพำด้วยความกลัดกลุ้มเล็กน้อย


หลังจากคิดอย่างชัดแจ้งแล้ว เขาค่อยๆ วางแผ่นหยกในมือลงบนชั้นหนังสือตรงหน้า และเริ่มตรวจสอบเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้องกับการปรับแต่งศพ


แต่ไม่นาน สีหน้าหลิ่วหมิงก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ


แม้ว่าในหอเก็บคัมภีร์จะมีคัมภีร์ล้ำค่าที่เกี่ยวข้องกับการปรับแต่งศพไม่น้อย แต่ทั้งหมดล้วนหยุดอยู่ที่การปรับแต่งศพระดับผลึก อย่าพูดถึงระดับดาราพยากรณ์เลย แม้แต่วิธีการปรับแต่งศพระดับแก่นแท้ยังหาไม่เจอเลยแม้แต่น้อย


ที่จริงไม่ใช่เพียงแค่วิชาปรับแต่งศพเท่านั้น วิชาอื่นๆ ในหอเก็บคัมภีร์เหล่านี้ ล้วนกล่าวถึงแค่ระดับแก่นแท้ ส่วนเคล็ดวิชาระดับที่สูงกว่าขึ้นไปไม่กล่าวถึงได้เลยแม้แต่อักขระเดียว


หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็พอเข้าใจได้อย่างลางๆ แต่หลังจากวางคัมภีร์ในมือไว้ที่เดิมแล้ว ยังคงเดินลงหอไปด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย และเดินตรงไปหาศิษย์ดำเนินการร่างอ้วน


“อะไรนะ! พี่หลิ่วหาสิ่งของที่ต้องการเจอรวดเร็วเช่นนี้เลยหรือ?” พอผู้ดำเนินการร่างอ้วนเห็นหลิ่วหมิง ก็ถามด้วยรอยยิ้ม


“เปล่า! แต่ว่าพี่หลี่ว์ ข้ายังมีเรื่องหนึ่งที่ไม่กระจ่าง อยากขอคำชี้แนะจากท่านเล็กน้อย” หลิ่วหมิงประสานมือกล่าวอย่างนอบน้อม


“หากศิษย์พี่หลิ่วมีข้อสงสัยล่ะก็ ถามมาได้เลย ข้าจะตอบทุกอย่างที่ข้ารู้” ตอนแรกผู้ดำเนินการร่างอ้วนรู้สึกตกตะลึง แต่ก็ถามออกมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด


หลิ่วหมิงย่อมกล่าวขอบคุณออกมา หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็เอ่ยปากถามทันที


“ข้าก็มาหอเก็บคัมภีร์หลายครั้งแล้ว แต่ตอนนี้ถึงค้นพบว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีคัมภีร์ระดับดาราสวรรค์ แม้แต่คัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับระดับแก่นแท้ก็มีอยู่น้อยมาก พี่หลี่ว์พอจะคลายข้อสงสัยได้หรือไม่?”


“ที่แท้พี่หลิ่วก็มาเพื่อหาอ่านเคล็ดวิชาระดับดาราพยากรณ์หรือ?” ศิษย์ดำเนินการร่างอ้วนได้ยิน ก็เผยสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้


เพราะตอนนี้หลิ่วหมิงเพิ่งเข้าสู่ระดับผลึกขั้นต้น ว่ากันตามหลักแล้วเคล็ดวิชาระดับแก่นแท้ยังห่างชั้นจากเขามาก ระดับดาราพยากรณ์นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย


“ข้อสงสัยในการฝึกฝนของข้าในช่วงนี้ บางทีอาจต้องใช้คัมภีร์ระดับดาราพยากรณ์มาเทียบเคียงทำความเข้าใจสักหน่อย ดังนั้นถึงได้ถามออกมาเช่นนี้” หลิ่วหมิงย่อมไม่พูดความจริงอย่างแน่นอน เพียงแค่ตอบกลับไปอย่างคลุมเครือสองสามประโยค


ผู้ดำเนินการหลี่ว์ได้ยินเช่นนี้ถึงแสดงสีหน้าเข้าใจออกมา


เขาเป็นผู้ดูแลหอเก็บคัมภีร์ มักจะพบเจอศิษย์จำนวนหนึ่งถามเรื่องราวแปลกประหลาดอยู่บ่อยๆ และคำถามที่คล้ายคลึงกันนี้ ย่อมเคยมีคนถามมาก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะตอบกลับในทันที


“พี่หลิ่วไม่รู้อะไร หอเก็บคัมภีร์ส่วนใหญ่เปิดให้ศิษย์สายในและสายนอกใช้ ศิษย์เหล่านี้ส่วนมากมีการฝึกฝนระดับของเหลวไปจนถึงระดับผลึก ดังนั้นวิชาที่เกี่ยวข้องในนี้จึงสูงสุดแค่ระดับแก่นแท้เท่านั้น พอศิษย์สายในบรรลุเข้าสู่ระดับแก่นแท้ จะถูกเลื่อนขั้นเป็นศิษย์ลับทันที และวิชาที่พัวพันถึงระดับดาราพยากรณ์ ถึงเป็นเคล็ดวิชาสายตรงที่แท้จริงของนิกายเรา และมีแต่ศิษย์ลับเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติฝึกฝน ดังนั้นคัมภีร์ระดับนี้ย่อมไม่อาจวางไว้ในสถานที่แห่งนี้ได้”


“แน่นอน นิกายเราก็เคยตั้งกฎไว้ หากศิษย์สายในสร้างผลงานยิ่งใหญ่ให้กับนิกาย ทางนิกายก็อาจจะมอบเคล็ดวิชาระดับดาราพยากรณ์ให้ก็ได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางหอเรามากนัก”


 หลิ่วหมิงฟังผู้ดำเนินการร่างอ้วนพูดจบ ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด ประจักษ์ชัดว่าคำตอบนี้แตกต่างจากที่เขาคิดไว้ไม่มากนัก


เขาพูดคุยกับชายดำเนินการร่างอ้วนอีกสองประโยค จากนั้นก็ขี่เมฆดำพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง


ครึ่งชั่วยามต่อมา เขาขี่เมฆเหาะมาถึงบริเวณยอดเขากระบี่สวรรค์ที่มีชื่อเสียงในเทือกเขาหมื่นวิญญาณเป็นอย่างมาก


ยอดเขานี้มีลักษณะใหญ่โต และสูงเสียดเมฆ ตัวเขาสูงชันอันตราย มีเมฆหมอกรายล้อมบริเวณไหล่เขา พอมองออกไปดูคล้ายกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งที่ปักอยู่บนพื้น


และพอมองไปยังส่วนบนสุดของยอดเขา จะเห็นสิ่งก่อสร้างที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ หลังคาเป็นทรงปลายงอนขึ้น ดูแตกต่างจากยอดเขาลั่วโยวเป็นอย่างมาก


หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็คนร่อนลงบนแท่นหยกขาวตรงหน้าหอแห่งหนึ่ง


ตอนที่ 650 เหลียงกง

โดย

Ink Stone_Fantasy

“เอ๊ะ! นี่ไม่ใช่ศิษย์น้องหลิ่วหรือ?” หลิ่วหมิงเพิ่งจะทรงตัวได้ น้ำเสียงอ่อนนุ่มของหญิงสาวก็ดังเข้ามา


พอหลิ่วหมิงหันหน้าไป ก็ค้นพบว่าหญิงสาวชุดเหลืองผู้หนึ่งกำลังเดินมาไม่ไกล ดวงตาทั้งคู่เป็นประกาย ผิวละเอียดเกลี้ยงเกลา  เอวบอบบางของนางมีที่คาดเอวสีชมพูคาดอยู่เส้นหนึ่ง


นางก็คือหลงเหยียนเฟยที่เคยพบเจอกับเขาอยู่หลายครั้งนั่นเอง


“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่หลง ไม่ได้เจอกันนานเลย” ได้พบกับนางในสถานที่แห่งนี้ หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ประสานมือกล่าวด้วยสีหน้าสงบ


หลงเหยียนเฟยนับว่าเป็นศิษย์ที่ภาคภูมิใจของยอดเขากระบี่สวรรค์ ไม่เพียงแต่มีใบหน้างดงามราวเทพธิดา การฝึกฝนก็เข้าสู่ระดับผลึกแล้ว นางมีชื่อเสียงในยอดเขากระบี่สวรรค์ไม่น้อย


“ก่อนหน้านั้น ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องหลิ่วทะลวงระดับผลึกสำเร็จแล้ว เหยียนเฟยยังไม่ได้ไปแสดงความยินดีเลย ศิษย์น้องคงไม่ถือสาข้านะ” หลงเหยียนเฟยยิ้มบางๆ และจ้องมองหลิ่วหมิงด้วยแววตาหยาดเยิ้ม


“ศิษย์พี่หลงล้อข้าเล่นแล้ว ข้าแค่โชคดีทะลวงระดับได้เท่านั้น” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น


“ใช่สิ! คนที่ยุ่งอย่างศิษย์น้อง ทำไมวันนี้ถึงมีเวลามายอดเขากระบี่สวรรค์เราได้ล่ะ?” หลงเหยียนเฟยยิ้มบางๆ จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที


หลิ่วหมิงเองก็ตอบกลับด้วยสีหน้าสงบ


“บอกศิษย์พี่อย่างไม่ปิดบัง ความจริงแล้วที่ข้ามายอดเขากระบี่สวรรค์ในวันนี้ ก็เพื่อขอวิธีการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ จะได้เตรียมการสำหรับกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเล็กน้อย”


“กระบี่บินพลังจิตวิญญาณ? ร่างตัวอ่อนกระบี่? อย่างนี้ก็หมายความว่าศิษย์น้องหลิ่วมีจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่แล้ว คิดที่จะเดินสายกระบี่ในภายหน้าหรือ!” พอหลงเหยียนเฟยได้ยิน ดวงตาของนางก็เป็นประกายราวกับกำลังคิดอะไรอยู่


“ข้าน้อยบังเอิญโชคดีได้วิธีการหลอมจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่มา อานุภาพก็พอถูไถได้” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว และตอบกลับด้วยสีหน้าปกติ ขณะเดียวกันก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา เงากระบี่เล็กสีขาวจางๆ เล่มหนึ่งค่อยๆ พุ่งออกจากฝ่ามือ และไม่ขยับเขยื้อนใดๆ


หลงเหยียนเฟยหยุดหายใจโดยไม่รู้ตัว นางเพ่งมองจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่ปรากฏขาดๆ หายๆ บนมือหลิ่วหมิงตาไม่กะพริบ ผ่านไปสักพัก ดวงตางดงามก็เผยแววผิดหวังออกมา


ที่ผ่านมา นางหาวิธีใกล้ชิดหลิ่วหมิงมาโดยตลอด เพื่อสืบหาตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งที่ลิ่วยินเจินเหรินทิ้งไว้ แต่ว่าจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ตรงหน้าดูอ่อนแอมาก และดูเหมือนเพิ่งจะหลอมสำเร็จได้ไม่นาน ทั้งยังมีรูปร่างแตกต่างจากกระบี่ปราณแกร่งมาก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ที่ลิ่วยินบ่มเพาะขึ้นมา


“ผู้ฝึกกระบี่ ไม่อาจฝึกฝนจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่สองชนิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงในเวลาเดียวกันได้ ดูท่าศิษย์น้องหลิ่วผู้นี้คงมาได้รับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้จริงๆ”


หลงเหยียนเฟยถอนหายใจ แต่ยังกล่าวด้วยสีหน้าเช่นเดิม


“ศิษย์น้องหลอมจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เล่มนี้ได้ นับว่าไม่ธรรมดา น่าเสียดายเวลาที่บ่มเพาะสั้นไปหน่อย พลังจึงค่อนข้างอ่อนแอ ต่อให้จะมีร่างตัวอ่อนกระบี่ที่เหมาะสม ก็ไม่อาจหลอมเป็นกระบี่บินพลังจิตวิญญาณในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ได้”


“ศิษย์พี่มีสายตากว้างไกลมาก ข้าเองก็ไม่ได้จะหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณในทันที เพียงแค่หาวิธีหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่มาก่อน จากนั้นค่อยไปรวบรวมวัสดุ และค่อยๆ ทำการปรับแต่ง” หลิ่วหมิงกล่าว


“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องหลิ่วตามข้าไปพบอาจารย์เหลียงสักหน่อย ท่านกำลังดูแลหอคัมภีร์ของยอดเขาเราอยู่พอดี แต่ว่าที่ผ่านมา เคล็ดวิชาฝึกกระบี่ของยอดเขาเรา ไม่เคยเผยแพร่ออกไปภายนอก จะขอได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับความโชคดีของศิษย์น้องแล้ว” หลงเหยียนเฟยนึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา


หลิ่วหมิงย่อมกล่าวขอบคุณเป็นธรรมดา


ต่อมาทั้งสองก็เดินพูดคุยเล่นกันจนผ่านบ้านที่จัดเรียงเป็นแถวตรงหน้า จากนั้นก็ผ่านลานกว้างที่อยู่ด้านหลัง และเดินวนในกลุ่มสิ่งก่อสร้างอยู่สองสามรอบ ก็มาถึงตรงหน้าหอสีดำเทาหลังหนึ่ง


บนประตูใหญ่ของหอแห่งนี้มีป้ายขนาดใหญ่แขวนอยู่ มีอักขระสีดำขนาดใหญ่เขียนติดไว้ว่า ‘หอคัมภีร์กระบี่สวรรค์’ ทุกเส้นขีดของอักขระดูเข้มแข็งและทรงพลังเป็นอย่างมาก มีไอดุเดือดรุนแรงไหลพรั่งพรูออกมา


มองเห็นแถวของชั้นหนังสือเป็นเงาตะคุ่มๆ อยู่ภายในหอ


หลงเหยียนเฟยเดินนำเข้าไปด้านใน


ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงค้นพบว่าหอคัมภีร์ที่ดูไม่เตะตาเมื่อมองจากภายนอกนี้ ด้านในกลับกว้างขวางเป็นอย่างมาก ชั้นหนังสือแต่ละแถวจัดวางอย่างเรียบร้อยบนพื้นหินขัดเรียบ ระหว่างชั้นมีคัมภีร์หลายม้วนซ้อนกันอยู่


แต่ว่าคัมภีร์ทั้งหมดต่างก็ถูกม่านแสงปกคลุมไว้ ประจักษ์ชัดว่าคนนอกไม่อาจแตะต้องได้โดยง่าย


หลงเหยียนเฟยไม่ได้หยุดฝีเท้านานมากนัก แต่กลับเดินตรงไปหน้าบานประตูที่อยู่ด้านใน


“เชิญศิษย์น้องหลิ่วรออยู่ที่นี่สักครู่ ข้าจะเข้าไปรายงานเกี่ยวกับเจตนาของเจ้าให้อาจารย์ก่อน” หลงเหยียนเฟยกล่าวก่อนเดินเข้าไปด้านใน


หลิ่วหมิงได้แต่ยืนรอด้านนอกอย่างว่าง่าย และสังเกตดูสภาพแวดล้อมอย่างเบื่อหน่าย


หอคัมภีร์แห่งนี้มีขนาดเล็กกว่าหอเก็บคัมภีร์ในนิกายมาก แต่ว่าเก็บกวาดได้เป็นระเบียบเรียบร้อย ชั้นหนังสือแต่ละแถวต่างก็มีเครื่องหมายกำกับไว้ และวางไว้ตามหมวดหมู่ต่างๆ ดูท่าผู้ที่มาประจำการอยู่ที่นี่คงเคร่งครัดและรอบคอบมาก


ด้านข้างของชั้นหนึ่ง มีบันไดไม้สีแดงที่ดูเหมือนจะทอดขึ้นไปบนชั้นสอง เพียงแต่ไม่รู้ว่าบนหอจะมีคัมภีร์วางอยู่เต็มไปหมดหรือไม่


ไม่นาน หลงเหยียนเฟยก็เดินมาจากด้านใน และกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“อาจารย์เหลียงกงอยู่ด้านใน ข้าได้บอกเจตนาการมาของเจ้าแล้ว เข้าไปเถอะ!”


“ขอบคุณศิษย์พี่มาก” หลิ่วหมิงพูดขอบคุณไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็เดินเข้าไป


หลงเหยียนเฟยมองดูด้านหลังหลิ่วหมิงเงียบๆ หลังจากคิดพิจารณาดูแล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อหมุนตัวเดินออกไปจากหอคัมภีร์


หลิ่วหมิงผลักบานประตูเข้าไป ในนั้นเป็นห้องที่ค่อนข้างกว้างแห่งหนึ่ง การตกแต่งเรียบง่ายมาก บนพื้นหินสีดำด้านข้างประตูมีเก้าอี้ไม้เนื้อแข็งวางอยู่สองตัว ในนั้นโต๊ะหนังสือขนาดใหญ่ที่เป็นสีเดียวกันวางอยู่


ชายชุดคลุมสีดำรูปร่างสูงใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ด้านหลังโต๊ะหนังสือ เขากำลังถือเล่มคัมภีร์สีขาว และสั่นหัวดิกๆ อยู่


“หลิ่วหมิง ศิษย์ยอดเขาลั่วโยวคารวะผู้อาวุโสเหลียง” หลิ่วหมิงโค้งคารวะอยู่ตรงหน้าประตู และกล่าวอย่างนอบน้อม


ชายชุดคลุมสีดำขยับตัวเล็กน้อย ดูเหมือนเขาเพิ่งจะรับรู้ถึงการมาของหลิ่วหมิง จึงเงยหน้าขึ้นมาดู


พอหลิ่วหมิงสัมผัสกับดวงตาทั้งคู่ของฝ่ายตรงข้าม ก็รู้สึกเวียนหัวและแสบตามาก แม้แต่ใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามก็มองเห็นไม่ชัดเจน รู้สึกว่าดวงตาทั้งคู่ของฝ่ายตรงข้ามดูราวกับคมกระบี่แวววาว และแผ่ไอกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวออกมา


หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก ผลึกในทะเลจิตวิญญาณเริ่มหมุนทันที พลังเวทอันบริสุทธิ์ทะลักออกจากผลึกทั้งหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ด และพุ่งทะลุตามเส้นลมปราณขึ้นมายังดวงตาทั้งสอง และจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่ลอยอยู่เงียบๆ ในทะเลจิตรับรู้ ก็แผ่ปราณกระบี่เย็นยะเยือกออกมา และทะลุไปยังดวงตาทั้งสอง จากนั้นถึงต้านทานไอกระบี่อันรุนแรงในดวงตาของชายชุดคลุมสีดำไว้ได้


ชายชุดคลุมสีดำเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา เขาแขนข้างหนึ่งชี้ไปทางหลิ่วหมิงเบาๆ


“ฟิ้ว!”


ปราณกระบี่ละเอียดเล็กราวกับเส้นผมพุ่งยิงออกมา พริบตาเดียวก็มาถึงตรงหน้าหลิ่วหมิง


ปราณกระบี่เข้ามายังไม่ทันถึง ไอกระบี่อันดุเดือดรุนแรงก็ทะลักออกมา!


ในความรู้สึกของหลิ่วหมิง ราวกับว่ามีใบมีดยักษ์เพิ่มขึ้นมาตรงหน้าอีกเล่ม ทำให้เขารู้สึกแทบจะหายใจไม่ออก


หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก เงากระบี่สีเขียวเปล่งประกายออกมาข้างตัวอย่างไม่ลังเล หลังจากร่างของเขาหมุนติ้วๆ และภายใต้การพร่ามัวของแขนทั้งสอง พริบตาเดียวก็ไม่รู้ว่าฟันปราณกระบี่ออกไปเท่าใด


ปราณกระบี่สีเขียวแน่นขนัดฟันลงบนไหมกระบี่แวววาว แต่กลับค่อยๆ แตกสลายไป ทำให้ไหมกระบี่สั่นสะท้านเล็กน้อย


พอหลิ่วหมิงสะบัดกระบี่เบาๆ กระบี่บินสีเขียวก็พุ่งยิงออกไปเสียงดัง “ฟิ้ว!” และกลายเป็นเงากระบี่ยักษ์ที่ยาวจั้งกว่าๆ ก่อนฟันลงบนไหมกระบี่


“เต๊ง!”


ลูกแสงกลุ่มหนึ่งปรากฏออกมา ปราณกระบี่นับไม่ถ้วนพุ่งยิงออกไปทั่วทิศ ขณะที่ทุกสิ่งที่อยู่รอบด้านกำลังจะถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ นั้น ชายชุดคลุมสีดำตรงหน้าเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อ คลื่นสั่นสะเทือนแปลกๆ ก็ม้วนตัวผ่านไป จากนั้นปราณกระบี่ทั้งหมดก็ดับลง


ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงกลับรู้สึกแค่ว่าพลังมหาศาลพุ่งเข้ามาถึง โลหิตแผ่ซ่านบนใบหน้าอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากร่างของเขาร่นถอยออกไปติดต่อกันสามก้าวแล้ว ถึงทรงตัวไว้ได้


“ไม่เลว! สามารถรับปราณกระบี่ดาราสวรรค์ที่แฝงไปด้วยพลังส่วนหนึ่งของข้าได้ ดูท่าวิชาขี่กระบี่ของเจ้าก็คงฝึกฝนได้ไม่เลว เข้ามาเถอะ!” ชายชุดคลุมสีดำเพิ่งจะกวาดสายตามองดูหลิ่วหมิง และกล่าวอย่างราบเรียบ


“ขอบคุณอาจารย์อาที่ยั้งมือ!”


หลิ่งหมิงทำได้เพียงโค้งคำนับและตอบกลับด้วยรอยยิ้ม หลังจากโบกมือข้างหนึ่งเก็บกระบี่เล็กสีเขียวกลับเข้าไปแล้ว ถึงเดินเข้าไปอย่างนอบน้อม


ขณะนี้ เขาถึงมองเห็นใบหน้าของฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นชายที่มีลักษณะหน้าตาแปลกประหลาด แขนยาว ไหล่กว้าง มีอายุราวๆ สี่สิบกว่าปี


“เรื่องของเจ้า เฟยเอ๋อร์ได้พูดกับข้าแล้ว นำป้ายนี้ไปเลือกวิชาหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่บนชั้นสองของหอคัมภีร์ด้วยตัวเองเถอะ แต่ข้ามีเรื่องหนึ่งที่อยากเตือนเจ้าไว้ก่อน เจ้าไม่ใช่ศิษย์ของยอดเขาเรา ดังนั้นไม่ว่าวิชาใดๆ ก็ต้องใช้แต้มคุณูปการแลก และแต้มคุณูปการที่ใช้ ก็มากกว่าศิษย์ในยอดเขาเราสามส่วน” ขณะที่พูด ชายชุดคลุมสีดำก็โยนป้ายสีเงินอันหนึ่งเข้ามา


“ขอบคุณอาจารย์อาที่ส่งเสริม” หลิ่วหมิงรับป้ายด้วยความดีใจ


“ข้ากับอินจิ่วหลิงอาจารย์ของเจ้าเป็นสหายที่สนิทกันที่สุด บอกเขาว่าเหลียงกง เขาก็จะรู้เอง มิเช่นนั้นข้าคงไม่ยินยอมให้ศิษย์นอกยอดเขาเข้าหอคัมภีร์ของยอดเขาเราได้โดยง่าย เอาล่ะ! เจ้าออกไปได้แล้ว” ชายชุดคลุมสีดำกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ จากนั้นก็โบกมือ และมองดูเล่มคัมภีร์ในมือต่อ


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก็โค้งตัวคารวะ และหมุนตัวเดินออกไป


ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป บนบันไดที่นำขึ้นไปสู่ชั้นสองของหอคัมภีร์ หลิ่งหมิงกำลังสังเกตดูเกราะป้องกันที่เกือบจะโปร่งแสงจางๆ ตรงหน้า


หลังจากคิ้วของเขาขยับเล็กน้อยแล้ว ก็หยิบป้ายสีเงินอันนั้นออกมา และปล่อยพลังเวทเข้าไป


แสงสีขาวหมุนวนอยู่บนป้ายครู่หนึ่ง จากนั้นลำแสงสีขาวก็พุ่งยิงออกมา


ครู่ต่อมา ระลอกคลื่นเป็นวงๆ ก็แผ่กระจายบนเกราะป้องกัน จากนั้นก็เกิดรูที่คนหนึ่งคนสามารถเข้าไปได้


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็เก็บป้ายด้วยรอยยิ้ม และก้าวเท้าขึ้นไปบนชั้นสอง


บนหอชั้นสองส่วนใหญ่ตกแต่งเหมือนชั้นหนึ่งมีมีผิด มีชั้นไม้ขนาดใหญ่จำนวนมากวางเรียงรายอยู่เช่นกัน แต่ว่าคัมภีร์บนนั้นล้วนเก็บรักษาโดยใช้แผ่นหยก ไม่ใช่เป็นเล่มคัมภีร์ที่จับต้องได้


บนแผ่นหยกแต่ละอันต่างก็มีป้ายหยกห้อยอยู่ บนนั้นระบุเนื้อหาในแผ่นหยกและแต้มคุณูปการที่ใช้อย่างชัดเจน อีกทั้งมีม่านแสงปกคลุมอยู่เช่นกัน


ตอนที่ 651 วิธีหลอมแม่เหล็กแสงดารา

โดย

Ink Stone_Fantasy

ยอดเขากระบี่สวรรค์ฝึกฝนกระบี่เป็นหลัก คัมภีร์ในนี้ย่อมเป็นเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้องกับสายกระบี่เป็นธรรมดา


หลิ่วหมิงเข้าใกล้ชั้นไม้ในนั้นอย่างสบายใจ และหาวิชาที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนกระบี่บินพลังจิตวิญญาณเจอจำนวนไม่น้อย


สองขั้นตอนใหญ่ของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ คือวิธีการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่กับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ ซึ่งมีอยู่ในนี้ทั้งหมด


ภายใต้การกวาดสายตามองของหลิ่วหมิง เขาตั้งใจมองข้ามคัมภีร์เกี่ยวกับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ไป หลังจากใช้ป้ายเปิดม่านแสงออกมาแล้ว ก็ใจจดใจจ่ออยู่กับคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับร่างตัวอ่อนกระบี่


“วิธีหลอมทองคำทมิฬ วิธีหลอมดวงใจแผดเผา…”


ป้ายหยกที่ห้อยอยู่ตรงหน้าแผ่นหยก ระบุข้อดีและข้อเสียของวิธีการหลอมตัวอ่อนกระบี่ต่างๆ อย่างชัดเจน ทั้งยังระบุจำนวนแต้มคุณูปการที่ใช้แลกด้วย


ตั้งแต่ดูมา หลิ่วหมิงยังหาวิธีลับที่เขาถูกใจเป็นอย่างมากไม่ได้เลย


จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุของเขา มีพลังจิตวิญญาณของไผ่ว่างเปล่าแฝงอยู่ด้านใน ด้วยเหตุนี้ร่างตัวอ่อนกระบี่ที่หลอม ย่อมต้องพิจารณาถึงปัญหาของคุณสมบัติที่เสริมซึ่งกันและกันด้วย


ขณะนั้นเอง แผ่นหยกบนชั้นหนังสือตรงมุมห้องที่เปล่งแสงสีฟ้าอยู่ ก็ดึงดูดสายตาของเขาในทันที


หลิ่วหมิงเดินมาตรงหน้าชั้นหนังสือ พอกวาดสายตามองไป ก็ค้นพบว่าบนป้ายหยกมีคำว่า ‘วิธีหลอมแม่เหล็กแสงดารา’ ระบุอยู่ แต้มคุณูปการที่ใช้แลกมากถึงสามแสนแต้ม


เขาสูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน และมองดูคำแนะนำบนนั้นอย่างละเอียด ไม่นานดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมา


วิธีหลอมแม่เหล็กแสงดารา เป็นวิธีการที่อาศัยพลังของดวงดาวบนท้องฟ้ามาหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ คุณสมบัติของมันเหมาะสมกับตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุเป็นอย่างมาก และพอสำเร็จออกมา ร่างตัวอ่อนกระบี่ไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบมิได้ ทั้งยังแหลมคมเป็นพิเศษ


แต่ตามวัสดุที่ใช้ มันมีโอกาสที่จะมีคุณสมบัติบางอย่างของพลังแม่เหล็ก เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรูจะแสดงความลี้ลับมหัศจรรย์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด


แต่ข้อเสียเพียงประการเดียวของการหลอมด้วยวิธีนี้ก็คือ พลังของแสงดาวที่ดึงมาจากท้องฟ้านั้นควบคุมได้ยากมาก และพอการหลอมล้มเหลว วัสดุที่ใช้ในก่อนหน้าก็จะใช้งานไม่ได้อีก


หลังจากหลิ่วหมิงอ่านคำอธิบายเหล่านี้จบ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา และนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ดูเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงนำแผ่นหยกนี้เดินลงไปด้านล่าง


บนแผ่นหยกยังมีชั้นจำกัดจางๆ อีกหนึ่งชั้น จำเป็นต้องคลายชั้นจำกัดออกก่อนถึงมองเห็นเนื้อหาด้านในได้


“วิธีหลอมแม่เหล็กแสงดารา? คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเลือกวิธีลับนี้?” เหลียงกงที่อยู่ในห้องคัมภีร์ชั้นหนึ่งของหอเก็บคัมภีร์จ้องมองแผ่นหยกสีฟ้าในมือ และสังเกตดูหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยแววตาประหลาดใจเล็กน้อย


“ถูกต้อง วิธีหลอมนี้เหมาะสมกับศิษย์พอดี หวังว่อาจารย์อาเหลียงจะส่งเสริม” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อม


“สิ่งที่ระบุอยู่บนนี้เจ้าคงอ่านดูแล้ว พอหลอมตัวอ่อนกระบี่ชนิดนี้ออกมา ย่อมมีอานุภาพไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน แต่ความยากในการหลอม ก็เป็นหนึ่งในวิธีหลอมทั้งหมดที่สามารถงอนิ้วนับได้ ตั้งแต่ก่อตั้งยอดเขากระบี่สวรรค์มา ก็มีแค่ผู้อาวุโสเมื่อหมื่นกว่าปีก่อน ใช้เคล็ดวิชานี้หลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ได้สำเร็จ ส่วนคนอื่นๆ ล้วนล้มเหลวไปทั้งหมด ตอนนี้เจ้าเปลี่ยนใจก็ยังไม่สาย จะได้ไปเลือกวิชาในการหลอมใหม่อีกครั้ง” เหลียงกงค่อยๆ กล่าวออกมาทีละคำ


“ขอบคุณอาจารย์อาที่ชี้แนะ แต่ศิษย์ได้ตัดสินใจแล้ว และรู้สึกว่าวิธีนี้เหมาะกับตนเองมาก หากไม่สำเร็จจริงๆ ค่อยใช้วิธีการอื่นก็ยังไม่สาย” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่ลังเล


“ในเมื่อเจ้าจะลองให้ได้ ข้าก็จะไม่ห้ามปรามแล้ว เอาป้ายประจำตัวของเจ้ามาเถอะ! แต่ว่าหากครั้งหน้าเจ้ามาหาวิชาในยอดเขาเราอีก คงไม่ได้เสียแต้มคุณูปการแค่สามส่วนแล้ว” เหลียงกงฟังจบก็หัวเราะก่อนกล่าวออกมา


หลิ่วหมิงย่อมตอบกลับไปว่า “ทราบ!” จากนั้นก็ยื่นป้ายประจำตัวออกไป


ชายชุดคลุมสีดำเองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขารับป้ายประจำตัวของหลิ่วหมิงมา และหักแต้มคุณูปการออกไปสามแสนเก้าหมื่นแต้ม


จากนั้นมือข้างหนึ่งก็ตบลงบนแผ่นหยกสีฟ้า ทำให้ชั้นจำกัดบนนั้นหายไปก่อนโยนคืนให้หลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงยื่นมือรับแผ่นหยกกลับมา และแอบแบะปากอยู่ในใจ


พักนี้เขาใช้แต้มคุณูปการอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้มันใกล้จะหมดลงแล้ว


หลิ่วหมิงรีบคัดลอกเนื้อหาในแผ่นหยกใส่แผ่นหยกอีกชุด และทำการสาบานว่าจะไม่เผยแพร่ออกไป จากนั้นถึงคืนแผ่นหยกสีฟ้าให้กับเหลียงกงก่อนกล่าวคำอำลาจากไป


ไม่นาน เมฆดำก้อนหนึ่งก็ทะยานขึ้นจากยอดเขากระบี่สวรรค์ จากนั้นก็พุ่งไปทางยอดเขาลั่วโยวอย่างรวดเร็ว


พอกลับถึงถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงก็เข้าไปนั่งขัดสมาธิในห้องลับโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และนำ ‘วิธีหลอมแม่เหล็กแสงดารา’ ที่คัดลอกในเมื่อครู่ออกมา เขานำจิตจมดิ่งเข้าไปในนั้น และทำความเข้าใจวิธีหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่อย่างละเอียด


หลายชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงถึงเข้าใจวิธีการหลอมในคัมภีร์อย่างทะลุปรุโปร่ง และขณะนี้ศีรษะของเขาก็มีเหงื่อออกเป็นจำนวนมาก


ที่แท้วิธีการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ จำเป็นต้องวางค่ายกลพิเศษที่มีชื่อเรียกว่าค่ายกลแสงดารา ทั้งยังต้องอยู่ในเวลาและสถานที่พิเศษ ถึงจะดึงพลังดารามาหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ได้


ตอนนี้หลิ่วหมิงมีแดนมายาในห้องว่างเปล่าลึกลับที่สามารถจำลองสถานที่ดึงพลังของดาราได้ไม่จำกัด ด้วยเหตุนี้จึงไม่ต้องกังวลเรื่องความยากในการหลอม


แต่ว่าวัสดุร่างตัวอ่อนกระบี่ที่หลอมขึ้นด้วยวิธีลับนี้ กลับมีเพียงไม่กี่ตัวเลือก ยกตัวอย่างเช่น วิญญาณทองคำอุกาบาตธาตุทอง วิญญาณสีน้ำเงินธาตุน้ำ เป็นต้น


วัสดุเหล่านี้เป็นสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยากยิ่ง คิดจะหาหนึ่งในนั้นให้เจอ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย คาดว่าคงมีแต่ในงานประมูลบางอย่างเท่านั้น


แต่ยังไม่รู้ว่าจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ในร่างเขา ต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนถึงจะฟื้นฟูกลับมาได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ต้องรีบหาวัสดุในตอนนี้


เวลาต่อมา หลิ่วหมิงไปค้นหาและสอบถามเคล็ดวิชาการฟื้นฟูอานุภาพของจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่อีกรอบ แม้ว่าจะหาได้มาหลากหลายรูปแบบ แต่หากไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องใช้สมบัติฟ้าดินในตำนานบางอย่างมาหล่อเลี้ยง ก็จำเป็นต้องให้ผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ขึ้นไปยื่นมือเข้าช่วยถึงจะได้


ภายใต้สถานการณ์ที่ทำอะไรไม่ได้ หลิ่วหมิงจึงได้แต่วางเฉยกับเรื่องนี้ชั่วคราว จากนั้นก็เข้าห้องลับทำความเข้าใจเกี่ยวกับพลังวิเศษของการขี่กระบี่เหินเวหาในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งอีกครั้ง


การขี่กระบี่เหินเวหาที่กล่าวถึง ต้องมีการฝึกฝนระดับผลึกถึงจะฝึกฝนได้


ก่อนหน้านั้น เขาใช้กระบี่ร่างเป็นหนึ่งขับเคลื่อนแสงกระบี่ให้กลายเป็นแสงหลบหลีกในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ผลลัพธ์คล้ายคลึงกับขี่กระบี่เหินเวหา แต่ว่าต้องใช้พลังเวทมากเป็นพิเศษ หากเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจที่ไม่อาจสลัดตัวให้หลุดพ้นภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้ ย่อมมีอันตรายถึงชีวิตแล้ว


แต่ว่ารากฐานของขี่กระบี่เหินเวหาก็คือวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งโดยแท้ ทั้งยังต้องฝึกฝนวิชาขี่กระบี่ให้ถึงขั้นลึกซึ้ง ถึงจะสามารถควบคุมได้อย่างแท้จริง


หลิ่วหมิงท่องจำเคล็ดขี่กระบี่เหินเวหาทั้งหมดไว้ในใจ จากนั้นก็หลับตาครุ่นคิดอย่างเงียบๆ อีกครั้ง


เช้าตรู่วันที่สอง ท่ามกลางหุบเขาเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ รอบด้านเต็มไปด้วยหินสีเทาขาวระเกะระกะที่เหลื่อมซ้อนกัน สายลมภูเขาที่พัดผ่าน ก่อให้เกิดเสียงดังแปลกประหลาดราวกับปีศาจร่ำร้องไห้


หลิ่วหมิงยืนหลับตาอยู่บนหินยักษ์ใต้หน้าผาก้อนหนึ่ง กระบี่จิตวิญญาณสีเขียวชี้ไปที่พื้น เสื้อผ้าโบกสะบัดตามแรงลมอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดัง “ฟู่ๆ!”


หลังจากครุ่นคิดมาหนึ่งคืน ตอนนี้เขามีความเข้าใจเกี่ยวกับพลังของวิชาขี่กระบี่บินเหินเวลาแล้ว ขณะนี้จึงรีบร้อนมาฝึกฝนภายในสถานที่แห่งนี้ เพื่อยืนยันในสิ่งที่เขาเข้าใจ


เขานำกระบี่บินสีเขียวมาตั้งขวางไว้บริเวณหน้าอกทันที พอทำท่ามือ นิ้วชี้นิ้วหนึ่งก็ค่อยๆ ลูบจากด้ามกระบี่ไปยังปลายกระบี่อย่างช้าๆ เพื่อใส่พลังเวทเข้าไปในตัวกระบี่อย่างเท่าเทียมกัน


ขณะที่นิ้วของเขาลูบไปถึงปลายกระบี่นั้น กระบี่เล็กสีเขียวก็เปล่งประกายออกมา


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็สะบัดแขนในทันที กระบี่เล็กสีเขียวหลุดจากมือไปลอยอยู่ตรงหน้า พอชี้มือข้างหนึ่งออกไป พลังเวทภายในร่างก็พุ่งเข้าไปในกระบี่อย่างต่อเนื่อง


“ฟู่!”


กระบี่เล็กขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ภายในพริบตา พอหลิ่วหมิงเอาปลายเท้าแตะพื้น ร่างของเขาก็ลอยขึ้นไปอยู่บนตัวกระบี่


เขาร่ายคาถาออกมา ระหว่างที่มือทั้งสองเปลี่ยนไปมานั้น แสงกระบี่สีเขียวเส้นหนึ่งก็พุ่งออกจากเงากระบี่ใต้เท้า และหมุนวนรอบๆ ตัวเขา


หลิ่วหมิงส่งเสียงคำรามออกมา แสงสีแดงบนตัวเปล่งประกาย เงากระบี่ยักษ์ใต้เท้าสั่นสะท้านเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งเข้าใส่กองหินระเกะระกะอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


พอมองจากที่ไกลๆ หลิ่วหมิงที่เหยียบกระบี่บินสีเขียวอยู่ ได้กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวไปแล้ว


“ตู๊ม!”


กองหินระเกะระกะที่สูงสี่ห้าจั้ง ถูกเจาะเป็นโพรงขนาดใหญ่หนึ่งจั้งกว่าๆ จากนั้นสายรุ้งยาวสีเขียว ก็พุ่งไปยังหน้าผาอีกด้าน


 ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงหยุดทำท่ามือในทันที ทำให้แสงหลบหลีกหยุดตัวลง แต่เนื่องจากความเร็วที่เร็วเกินไป เงากระบี่สีเขียวใต้เท้ายังคงพาเขาไปชนก้อนหินยักษ์ก้อนหนึ่ง


“ตู๊ม!” หลิ่วหมิงอาศัยกายเนื้อที่แข็งแกร่ง ทำให้หินยักษ์ถูกทุบจนแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ


การลองขี่กระบี่เหินเวหาของหลิ่วหมิงในครั้งแรก ไม่ประสบผลสำเร็จแต่อย่างใด


ด้านหนึ่งเขาไม่อาจปรับตัวให้เข้ากับความเร็วในการขี่กระบี่เหินเวหาได้ อีกด้านหนึ่ง แสงกระบี่บนพื้นผิวก็ไม่อาจควบคุมได้ดังใจ


ดูท่าคงจะเป็นตามที่ระบุไว้ในคัมภีร์ วิชาขี่กระบี่ยังไม่ถึงขั้นลึกซึ้งอย่างแท้จริง การขี่กระบี่เหินเวหา ก็ไม่อาจใช้ในการเหินเวหาระยะไกลได้


แต่ว่าเมื่อการล้มเหลวในครั้งแรกทำให้ทราบสาเหตุแล้ว การฝึกฝนของหลิ่วหมิงในลำดับต่อมา ก็มีความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว


 ดังนั้นเวลาต่อมา ด้านหนึ่งเขาก็ฝึกฝนวิชาขี่กระบี่อยู่ในห้องลับไม่หยุด ด้านหนึ่งก็ศึกษาเทคนิคต่างๆ ของการขี่กระบี่บินเหินเวหา


หนึ่งปีต่อมา ภายในส่วนลึกของยอดเขาบนเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่เป็นหินระเกะระกะ และไม่ค่อยมีคนมาถึง มีเสียงดังออกมาอยู่ไม่หยุด


สายรุ้งกระบี่สีเขียวขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ กำลังพุ่งไปมาท่ามกลางโขดหินระเกะระกะ


พอก้อนหินยักษ์สีขาวเทาขนาดหลายจั้งสัมผัสกับสายรุ้งกระบี่สีเขียว มันก็ถูกเจาะทะลุจนพังพินาศย่อยยับไปอย่างง่ายดาย


ไม่นาน ก้อนหินยักษ์บริเวณรอบๆ ก็ถูกทำลายจนไม่มีชิ้นดี และมีโพรงปรากฏอยู่ทุกที่


ขณะนั้นเอง มีเสียงดังหวึ่งๆ ออกมาจากแสงกระบี่


หลังจากมีเสียงอุทานเบาๆ “เอ๊ะ!” แสงกระบี่สีเขียวก็ดับลง เผยให้เห็นชายหนุ่มชุดดำที่มือถือกระบี่จิตวิญญาณสีเขียวอยู่


เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง


พอสะบัดแขนเสื้อ แผ่นค่ายกลส่งเสียงที่มีขนาดฉื่อกว่าๆ ก็พุ่งออกมา และลอยอยู่ตรงหน้าเขา


“รีบมาพบข้าที่วิหารหลักของยอดเขาลั่วโยว” น้ำเสียงทุ้มต่ำของอินจิ่วหลิงดังออกมา


หลิ่วหมิงมีสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็คว้ามือข้างหนึ่งไปทางอากาศ แผ่นค่ายกลสีเหลืองสลัวๆ หมุนวนหนึ่งรอบก่อนพุ่งเข้าไปในแขนเสื้อของเขา


จากนั้นหลิ่วหมิงก็เก็บกระบี่บินสีเขียวเข้าไป และเหยียบเมฆดำทะยานขึ้นฟ้าก่อนพุ่งไปทางยอดเขาลั่วโยว


ตอนที่ 652 ภารกิจนิกาย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป ภายในวิหารหลักของยอดเขาลั่วโยว อินจิ่วหลิงที่สวมชุดคลุมสีเทากำลังนั่งหลับตาพักผ่อนอยู่บนที่นั่งหลัก


“ศิษย์คารวะอาจารย์” ประตูใหญ่ของวิหารค่อยๆ เปิดออกมา เผยให้เห็นเงาร่างของหลิ่วหมิง เขาก้าวมาด้านหน้าสองสามก้าว และโค้งคารวะอินจิ่วหลิงจากที่ไกลๆ


“ไม่ต้องมากพิธี ที่เรียกเจ้ามาพบในครั้งนี้ เพราะมีเรื่องหนึ่งอยากถามเจ้า ได้ยินมาว่าเจ้าเคยฝึกฝนเคล็ดกระบี่ปราณแกร่ง แต่ว่าจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ได้ระเบิดตัวทำลายตัวเองไปแล้ว ตอนนี้เกาะผนึกขึ้นมาใหม่ได้แล้วหรือ?” อินจิ่วหลิงโบกมือให้กับหลิ่วหมิง และถามด้วยสีหน้าสงบ


“อาจารย์อินหลักแหลมมาก หลายปีก่อนศิษย์เคยเกาะผนึกจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ได้โดยโชค แต่ไม่นานในขณะที่เผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ ศิษย์ได้ใช้จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ไปหนึ่งครั้ง” หลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งในตอนแรก แต่ก็ตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว


การเดินทางไปยอดเขากระบี่ในก่อนหน้านั้น เหลียงกงบอกว่าตนเองเป็นสหายสนิทกับอินจิ่วหลิง  ด้วยเหตุนี้เรื่องนี้ก็ไม่จำเป็นต้องปิดบังอีก


“ทั้งยังใช้จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ไปด้วย? เจ้าไม่รู้หรือว่าก่อนใส่เข้าไปในร่างตัวอ่อนกระบี่ ห้ามนำจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ออกจากร่าง? ให้ข้าดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน” อินจิ่วหลิงได้ยินก็ขมวดคิ้วกล่าว


ต่อมา เขาลุกขึ้นจากที่นั่งโดยไม่รอให้หลิ่วหมิงพูดอะไรอีก จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวมาปรากฏตัวอยู่ด้านข้างหลิ่วหมิงอย่างไร้สุ้มเสียง พอยกแขนขึ้น นิ้วทั้งห้าก็วางลงบนไหล่ข้างหนึ่งของหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีไออันเยือกเย็นพุ่งมาจากแขน และไหลไปทั่วเส้นลมปราณต่างๆ อย่างรวดเร็ว


ไม่นานไอเย็นยะเยือกนี้ ถึงพุ่งกลับมา และไหลออกจากแขนเข้าไปในมืออินจิ่วหลิงอีกครั้ง


“จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ในร่างเจ้า ไม่ใช่ตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งจริงๆ ดูเหมือนว่าอานุภาพก็เหลืออยู่ไม่มาก เช่นนี้ก็หมายความว่าเป็นหนึ่งในตัวอ่อนกระบี่ที่พบเจอได้น้อยจริงๆ ดูท่าเจ้าก็เป็นคนที่โชคดีไม่น้อย ตามที่ข้าทราบมา หลังจากจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่แตกสลายไป ผู้ฝึกกระบี่ที่สามารถเกาะผนึกตัวอ่อนกระบี่เล่มที่สองขึ้นมาได้นั้น มีอยู่น้อยมาก” อินจิ่วหลิงปลดมือออกจากไหล่หลิ่วหมิง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ศิษย์เองก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดีไม่น้อย ดังนั้นจึงเตรียมใช้เวลาฝึกฝนบนเส้นทางสายกระบี่สักหน่อย” หลิ่วหมิงตอบอย่างไม่สะทกสะท้าน


“เจ้าสามารถเกาะผนึกจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ขึ้นมาใหม่ได้ ย่อมถือเป็นเรื่องดีอย่างหนึ่ง แค่เคล็ดกระบี่ปราณแกร่งมีแต่ศิษย์ลับเท่านั้น ถึงมีคุณสมบัติฝึกฝนได้ เดิมทีตอนที่เจ้าเข้านิกาย ทางหอคุมกฎเห็นแก่การที่จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ของเจ้าถูกทำลาย ดังนั้นจึงไม่ได้สืบสาวราวเรื่องในเรื่องนี้ ตอนนี้เกรงว่าจะไม่เหมือนกันแล้ว วันหลังหากมีคนของหอคุมกฎรู้เรื่องเข้า เกรงว่าคงจะมาหาเจ้าถึงที่ได้” หลังจากอินจิ่วหลิงกลับไปนั่งบนเก้าอี้อีกครั้งแล้ว ก็ค่อยๆ กล่าวออกมา


“อาจารย์ ศิษย์…” หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา และกำลังจะเอ่ยปากจะพูดอะไรบางอย่าง


“ไม่จำเป็นต้องอธิบายแล้ว เจ้าก็ไม่ต้องกังวลใจเรื่องนี้ด้วย ในเมื่อเจ้าเป็นศิษย์สายในแล้ว ทั้งยังเป็นศิษย์สายตรงของข้าอินจิ่วหลิงด้วย ข้าจะนิ่งดูดายได้อย่างไร อาจารย์จะไปอธิบายเรื่องนี้กับหอคุมกฎให้กระจ่าง เจ้าสามารถเกาะผนึกจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ขึ้นมาใหม่ได้ ก็คือเป็นโอสกาสอันดีของเจ้า คงจะไม่มีเรื่องใหญ่อะไรมากนัก” อินจิ่วหลิงกล่าวอย่างราบเรียบ


“ขอบคุณอาจารย์ที่ส่งเสริม” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้


เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับกฎข้อบัญญัติของนิกาย ซึ่งเป็นเรื่องที่เขาเป็นกังวลมาโดยตลอด


หากสามารถจัดการปัญหานี้ได้จริงๆ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีไม่น้อย


เช่นนี้ล่ะก็ ภายหน้าเขาก็สามารถแสดงเคล็ดวิชากระบี่ในเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งต่อหน้าผู้คนร่วมนิกายได้แล้ว


ดูท่าการที่เขากราบตัวเป็นศิษย์ผู้ควบคุมยอดเขาลั่วโยว ก็เป็นการหาที่พึ่งให้ตัวเองได้ไม่เลว


ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังรู้สึกดีอกดีใจอยู่นั้น อินจิ่วหลิงก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนามาถามทันที


“หลิ่วหมิง อาจารย์ยังมีอีกเรื่องอยากถามเจ้า ได้ยินมาว่าก่อนหน้านั้นไม่นาน เจ้าเคยไปยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณหนึ่งรอบ และได้รับการยืนยันคุณสมบัติผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถแล้ว มีเรื่องนี้จริงหรือ?”


“เรียนอาจารย์ มีเรื่องเช่นนี้จริงๆ” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ตอบกลับไปอย่างไม่ลังเล


“ดีมาก คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะฝึกฝนสายโอสถควบคู่ไปพร้อมกันด้วย เช่นนี้ล่ะก็ ไม่แน่อาจจะมีโอกาสอันดีในอีกไม่ช้าก็ได้” อินจิ่วหลิงหัวเราะฮ่าๆ ออกมา


แม้หลิ่งหมิงจะรู้สึกจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ก็แต่ยิ้มตอบกลับไป


จากนั้นอินจิ่วหลิงก็สอบถามหลิ่วหมิงเกี่ยวกับปัญหาที่พบในการฝึกฝนช่วงนี้เล็กน้อย


พอหลิ่วหมิงได้รับโอกาสอันหายากเช่นนี้ ย่อมไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน เขานำข้อสงสัยในใจออกมา และค่อยๆ ถามออกไปทีละข้อ อินจิ่วหลิงก็ตอบทีละคำถามอย่างไม่ปิดบัง


จนเวลาสองชั่วยามผ่านไป


เมื่อตะวันลับฟ้าหลิ่วหมิงถึงกราบลาอาจารย์ผู้นี้ และกลายร่างเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งกลับไปยังถ้ำที่พัก


หลายในต่อมา หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งเข้าฌานอยู่ในห้องลับ ก็ได้รับเสียงที่อินจิ่วหลิงส่งมาอีกครั้ง ซึ่งเป็นคนของหอคุมกฎที่ต้องการพบเขา และสั่งให้เขาไปยังวิหารหลักของยอดเขาลั่วโยวภายในหนึ่งชั่วยาม


หลิ่วหมิงมองดูค่ายกลส่งสารเสร็จแล้ว ก็ออกไปจากถ้ำโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และขี่เมฆไปยังยอดเขาลั่วโยว


ครู่ต่อมา ในวิหารใหญ่ของเรายอดเขาลั่วโยว หลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีดำกำลังยืนรออยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ


ครึ่งชั่วยามต่อมา อินจิ่วหลิงกับชายฉกรรจ์ที่มีหนวดเต็มใบหน้า และสวมห่วงสีทองบนศีรษะก็เดินเข้าวิหารมาพร้อมกัน


“หลิ่วหมิง ท่านนี้คือรองหัวหน้าเจ้าของหอคุมกฎ ยังไม่รีบมาคารวะอีก” พออินจิ่วหลิงเห็นหลิ่วหมิง ก็กล่าวดว้ยรอยยิ้ม


“ศิษย์คารวะรองหัวหน้าเจ้า” หลิ่วหมิงได้ยินก็ก้าวไปโค้งตัวคารวะชายฉกรรจ์อย่างไม่รอรี


“ไม่จำเป็นต้องมากพิธี ที่ข้ามาในวันนี้เพียงแค่ตรวจสอบสถานการณ์ของเจ้าเท่านั้น จากนั้นค่อยประกาศการตัดสินของหอเราเกี่ยวกับเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งเป็นครั้งสุดท้าย” ชายฉกรรจ์กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง รองหัวหน้าหอผู้นี้ก็เอามือวางไว้บนไหล่ของหลิ่วหมิง


ทันใดนั้น หลิ่วหมิงก็รู้สึกถึงพลังอันแข็งแกร่งที่พุ่งจากไหล่ และทะลุไปทั่งร่าง ทั้งยังรู้สึกถึงกระแสไอร้อนที่พวยพุ่ง พลังเวทเริ่มโหมซัดซาดขึ้นมา แต่กลับถูกไอร้อนควบคุมไว้ ทำให้เขาไม่อาจกระดิกตัวได้


ครู่ต่อมา หลังจากไออุ่นไหลไปทั่วตัวแล้ว มันก็ถูกชายฉกรรจ์เก็บเข้าไปอีกครั้ง ใบหน้าของเขากลับฉายแววครุ่นคิดออกมา


พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หลิ่วหมิงก็รู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย


อินจิ่วหลิงกลับยืนดูอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าปกติ


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ก็ดูเหมือนว่ารองหัวหน้าเจ้าจะได้ข้อสรุปออกมา หลังจากสีหน้าของเขาผ่อนคลายลงแล้ว ก็พยักหน้าก่อนกล่าวกับหลิ่วหมิง


“ข้าได้ตรวจสอบดูแล้ว ตัวอ่อนกระบี่ในร่างเจ้าเกาะผนึกขึ้นมาใหม่จริงๆ เช่นนี้ล่ะก็ ไม่นับว่าเป็นการละเมิดกฎนิกาย ดังนั้นผู้อาวุโสหลายคนในหอคุมกฎจึงตัดสินใจดังนี้ เนื่องจากเจ้าได้กลายเป็นศิษย์สายในแล้ว ประกอบกับมีผลงานในการสังหารราชาโลหิต และศัตรูคนอื่นๆ ของนิกาย และยังมีศิษย์น้องอินเป็นคนรับรอง ดังนั้นเรื่องการฝึกฝนเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งจะไม่ถูกตรวจสอบมากเกินไป แต่ยังจำเป็นต้องจ่ายสามล้านแต้มคุณูปการเพื่อเรียนเคล็ดวิชานี้ และสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่ให้กับนิกายหนึ่งครั้ง”


“ขอบคุณอาจารย์อาเจ้ากับอาจารย์อิน”


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ย่อมมองมาด้วยความดีใจ และกล่าวขอบคุณชายฉกรรจ์กับอินจิ่วหลิงอีกครั้ง


อินจิ่วหลิงยิ้มแต่ไม่พูดอะไรออกมา


“หลิ่วหมิง ได้ยินมาว่าเจ้ายังเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถระดับของเหลวด้วย มีเรื่องเช่นนี้จริงหรือ?” รองหัวหน้าเจ้าพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงเอ่ยปากถามออกมาอีกครั้ง


“เรียนรองหัวหน้าเจ้า สถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถของศิษย์ได้รับการยืนยันจากนิกายแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้า


“นำป้ายประจำตัวของเจ้ามา ข้าอยากตรวจสอบดูสักหน่อย” รองหัวหน้าเจ้ากล่าวออกมา


“ทราบ!”


แม้หลิวหมิงจะรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับความสนใจของอีกฝ่าย แต่ยังคงดึงป้ายออกจากเอวมอบให้คนผู้นี้อย่างนอบน้อม


“ดี! ดีมาก! ผู้ควบคุมอิน เรื่องของข้าได้เสร็จสิ้นลงแล้ว ต้องขอตัวก่อน” หลังจากตรวจสอบป้ายประจำตัวของหลิ่วหมิงแล้ว ชายฉกรรจ์ที่เดิมทีมีสีหน้าจริงจัง ก็กล่าวลาด้วยรอยยิ้ม


หลิ่วหมิงมองไปตามทางที่รองหัวหน้าเจ้าเดินจากไป และตัวเขาก็รู้สึกงุนงงเล็กน้อย


อินจิ่วหลิงกลับยิ้มให้เล็กน้อย และพูดออกมาหนึ่งประโยค


“ขอให้จัดการตัวเองให้ดี” หลังจากพูดจบเขาก็เดินออกไป


หลิ่วหมิงได้แต่จากไปด้วยความรู้สึกมึนงง และกลับไปยังถ้ำที่พักของตัวเองอีกครั้ง


ครึ่งเดือนต่อมา หลิ่วหมิงอยู่กลางห้องปรุงโอสถภายในถ้ำ เตาหลอมยักษ์สีเขียวหยกใบหนึ่งกำลังร่วงลงพื้น เปลวไฟร้อนแรงคุโชนอยู่ด้านล่าง ทำให้ผิวของเตาหลอมเปล่งแสงทรงกลดหลากสีออกมา


หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตาหลอมยักษ์ มีกระปุกว่างเปล่าเล็กๆ หลายใบวางอยู่ข้างๆ อย่างไม่ใส่ใจ


ขณะนี้เขากำลังปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณอยู่


ขณะนั้นเอง มีแสงสีเขียวเปล่งประกายพุ่งลงมานอกถ้ำอย่างรวดเร็ว พอแสงสีเขียวดับลง ก็เผยให้เห็นชายหนุ่มสวมชุดศิษย์ดำเนินการของหอคุมกฎที่มีรูปร่างผอมสูงคู่หนึ่ง


ชายหนุ่มผู้นี้ควักยันต์สีขาวออกมาผืนหนึ่ง หลังจากพูดออกมาสองประโยคแล้ว ก็ขยี้จนแตกกระจายกลายเป็นจุดแสงสีขาวก่อนสลายไป


ครู่ต่อมา พลันมีน้ำเสียงราบเรียบของชายหนุ่มผู้นี้ดังขึ้นในหูของหลิ่วหมิง


“ข้าคือเย่โจ่ง ศิษย์ดำเนินการของหอคุมกฎ ศิษย์หลิ่วหมิงจากยอดเขาลั่วโยวจงรีบออกมารับคำสั่ง”


“หอคุมกฎ?”


หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว และนึกถึงฉากที่รองหัวหน้าเจ้าแห่งหอคุมกฎมาพบที่วิหารหลักของยอดเขาลั่วโยวอย่างอดไม่ได้


เขาหยุดแสดงวิชาทันที หลังจากกวาดสายตามองดูเตาหลอมลิ่วเสินตรงหน้า และคำนวณดูแล้วโอสถเตานี้คงยังใช้เวลาอีกสองสามชั่วยาม เขาจึงจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทางก่อนเดินออกไป


“ข้าน้อยคือหลิ่วหมิง ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ดำเนินการหอคุมกฎผู้นี้ มาเพราะเรื่องอันใด?” หลิ่งหมิงเปิดประตูหินออกมา พอมองเห็นชายหนุ่มร่างผอมสูง เขาก็รีบกุมมือคารวะก่อนถามออกไป


“เจ้าก็คือหลิ่วหมิงหรือ ข้าได้ยินชื่อเสียงของศิษย์น้องหลิ่วมานานแล้ว ครั้งนี้รองหัวหน้าเจ้าระบุชื่อของเจ้าให้ไปทำภารกิจชิ้นหนึ่งให้สำเร็จ หากผ่านล่ะก็จะได้รับแต้มคุณูปการสองแสนแต้ม ทั้งยังนับว่าเป็นการสร้างผลงานใหญ่ให้กับนิกายด้วย” ชายหนุ่มร่างผอมสูงมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ผลงานใหญ่ของนิกาย! สองแสนแต้มคุณูปการ? ไม่ทราบว่าเป็นภารกิจแบบใด หวังว่าศิษย์พี่จะให้ความกระจ่าง” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย


ก่อนหน้านั้นเขายังเป็นทุกข์ว่า ผลงานใหญ่ของนิกายที่รองหัวหน้าเจ้าพูดถึง จะสำเร็จอย่างไรอยู่เลย คิดไม่ถึงว่าจะมาเร็วเช่นนี้


หรือว่าโอกาสอันดีที่อินจิ่วหลิงพูดถึงในก่อนหน้านั้น จะหมายถึงเรื่องนี้?


“ศิษย์น้องไม่ต้องกังวลไป ผู้อาวุโสระดับสูงที่เป็นศิษย์ลับในนิกายผู้หนึ่ง ต้องการศิษย์ที่เชี่ยวชาญสายกระบี่ และเข้าใจวิชาปรุงโอสถไปทำการทดสอบเล็กน้อยเท่านั้น” ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงอธิบายเล็กน้อย


“ไม่ทราบว่ารองหัวหน้าเจ้า ต้องการให้ข้าไปทำภารกิจนี้เมื่อใด?” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


“พรุ่งนี้ตอนเช้า เจ้าไปที่หอคุมกฎก็พอแล้ว รองหัวหน้าเจ้าจะพาเจ้าไปพบผู้อาวุโสระดับสูงท่านนี้ เอาล่ะ! ข้าได้แจ้งเรื่องนี้กับเจ้าไปแล้ว ต้องขอตัวก่อน” ชายหนุ่มรูปร่างผอมสูงพูดอีกเพียงไม่กี่ประโยค หลังจากกุมมือคารวะหลิ่วหมิงแล้ว ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งออกไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)