ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา 640-649

 บทที่ 640 ดำน้ำลงสู่ก้นทะเลสาบ

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อได้เจอกับบิลลี่ ฉินสือโอวก็รู้สึกดีใจมาก ถึงยังไงนี่ก็เป็นเพื่อนคู่ค้าของเขา แถมยังเคยส่งรถพอร์ช 918 มาให้เขาอีกด้วย


ได้เจอกันครั้งนี้ ฉินสือโอวรู้สึกว่าทั้งหน้าตาและจิตใจของบิลลี่ดูดีขึ้นมาก ผมสีทองสั้นดูปราดเปรียว แก้มสีแดงเปล่งปลั่งมีเลือดฝาดเต็มไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า แววตาก็เปลี่ยนเป็นว่องไวเฉียบแหลม กล้ามเนื้อบนร่างกายก็แน่นปึ้กจนดูเหมือนภูเขาไฟหนึ่งลูก


“ฉันไม่จำเป็นต้องถามเรื่องความเป็นอยู่ของนายหรอก ช่วงนี้สภาพจิตใจกับร่างกายของนายต้องดีมากๆ อยู่แล้ว” ฉินสือโอวพูดด้วยความพึงพอใจ


บิลลี่ก็ยิ้มแล้วทำท่าเบ่งกล้ามใส่เขา “เรื่องนี้ต้องขอบคุณวินนี่ของนาย ในที่สุดฉันก็ได้แก้ไขตัวเองหลังจากทำผิดไป ไม่กลับไปหลงใหลเหล้ายากับผู้หญิงอีกแล้ว ช่วงนี้ฉันไปๆ มาๆ ระหว่างฟิตเนสกับเรือดำน้ำอยู่ตลอดเวลา เลยรู้สึกว่าสภาพของตัวเองดีขึ้นมากจริงๆ”


ฉินสือโอวเชิญให้เขานั่งลงแล้วถามเขา “แล้วนายหารักแท้เจอหรือยังล่ะ?”


บิลลี่ยักไหล่แล้วตอบเขากลับ “ไม่อะ ยังไม่เจอเลย แต่ฉันไม่รีบหรอก ฉันเชื่อว่าถ้าพระเจ้าอยากให้ฉันเจอรักแท้ ท่านก็จะส่งผู้หญิงคนนั้นมาตรงหน้าฉัน สิ่งที่ฉันต้องทำตอนนี้ก็คือการรอคอยด้วยความอดทน”


“ดีมาก สภาพจิตใจของนายตอนนี้ทำให้ฉันรู้สึกนับถือนายมากๆ แต่ว่าถ้าพระเจ้าอยากให้นายตัวคนเดียวไปตลอดแล้วนายจะทำยังไงล่ะ?”


“ไม่หรอกน่า พระเจ้าไม่โหดร้ายขนาดนั้นหรอก ฉันศรัทธาในตัวท่านขนาดนั้น ท่านต้องให้ผลลัพธ์ที่ฉันพึงพอใจแน่”


คุยเล่นกันทั่วไปสักพัก ฉินสือโอวก็บอกให้บิลลี่อยู่ทานมื้อเที่ยงอย่างง่ายที่วิลล่า เพราะตอนบ่ายเขาต้องดำน้ำ ดังนั้นจึงดื่มเหล้าไม่ได้


เมื่อทานมื้อเที่ยงไปแล้ว ฉินสือโอวกับบิลลี่ก็มาที่ทะเลสาบเฉินเป่า ดอนเห็นทั้งสองคนเดินมาด้วยกันจึงถามด้วยความตกตะลึง “บังเอิญขนาดนี้เลยเหรอ? บิลลี่บอกว่าจะไปเยี่ยมเพื่อนก็คือฉินเองน่ะเหรอ?”


“ดูท่าว่าความสัมพันธ์ของนายกับฉินคงไม่ใช่แค่คนรู้จักทั่วๆ ไปหรอกใช่ไหม?” บิลลี่พูดยิ้มๆ ฉินสือโอวไม่ให้เขาเปิดเผยความสัมพันธ์เกี่ยวกับการร่วมมือกันของพวกเขาทั้งคู่ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไป


มีความสัมพันธ์กันระดับนี้ เรื่องที่อยู่ต่อจากนั้นก็จัดการได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมแล้ว ดอนเตรียมชุดประดาน้ำไว้ให้ฉินสือโอวแล้วหนึ่งชุด ส่วนปัญหาอื่นๆ ปล่อยให้บิลลี่เป็นคนจัดการก็พอ


พอได้รู้ว่าฉินสือโอวไม่เคยดำน้ำมาก่อน บิลลี่ก็พูดอย่างค่อนข้างประหลาดใจ “นายไม่เคยไปดูสภาพการณ์ในน้ำที่ฟาร์มปลาเลยเหรอ?”


ฉินสือโอวแอบตอบกลับไปว่าฉันน่ะไม่ต้องลงไปในน้ำก็ควบคุมได้ทั่วทุกมุมของฟาร์มปลาแล้ว แน่นอนล่ะว่าคำพูดพวกนี้เป็นเพียงความคิดที่อยู่ในใจ เขาจึงพูดออกไปเพียงว่า “ก็ต้องไม่เคยไปดูอยู่แล้ว ฉันมีชาวประมงเยอะแยะขนาดนั้น ถ้าฉันต้องลงทะเลไปทำงานเอง แล้วฉันจะต้องจ้างพวกเขามาทำไมล่ะ?”


ลองคิดถึงความขี้เกียจของฉินสือโอว บิลลี่ก็พยักหน้าแล้วพูดกับเขา “ก็จริง แบบนี้ถึงจะเป็นลักษณะการใช้ชีวิตของนาย”


เขาแนะนำฉินสือโอวอย่างคร่าวๆ ชุดประดาน้ำน้ำตื้นแบ่งออกเป็นแบบเปียกและแบบแห้ง แบบเปียกจะถูกนำมาใช้ค่อนข้างบ่อย โดยทั่วไปแล้วจะทำมาจากวัสดุโฟมยางสังเคราะห์ มีความหนาอยู่ระหว่าง 3 มิลลิเมตรถึง 10 มิลลิเมตร


ฟังก์ชันสำคัญของชุดประดาน้ำแบบเปียกก็คือการรับประกันว่าน้ำที่หนาวเย็นจะถูกชุดประดาน้ำปิดกั้นเอาไว้ไม่ให้มันซึมเข้ามา โดยจะแยกฟองอากาศของก๊าซเฉื่อยออกไป สามารถป้องกันไม่ให้ความร้อนของร่างกายหายไปได้ ชุดประดาน้ำแบบเปียกที่เหมาะสมกับร่างกายจะสามารถลดการไหลเวียนของน้ำด้านในกับด้านนอกได้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้


แต่ที่น่านน้ำในพื้นที่หนาวเย็น ชุดประดาน้ำแบบที่ใช้กันค่อนข้างมากจะเป็นชุดประดาน้ำแบบแห้ง ชุดประดาน้ำประเภทนี้มีวัตถุดิบสิ่งทออยู่หลายชนิด ที่ใช้ค่อนข้างบ่อยก็คือโฟมยางสังเคราะห์ ยางสังเคราะห์กับไนลอน


ชุดประดาน้ำที่ดอนเตรียมไว้ให้ฉินสือโอวก็คือชุดประดาน้ำแบบแห้ง มันมีรูปแบบการใช้งานมากกว่าแบบเปียก ด้านบนมีซิปกันน้ำแบบพิเศษกับอุปกรณ์ชิ้นอื่นๆ อย่างเช่นอุปกรณ์เติมอากาศและระบายอากาศของชุดประดาน้ำแบบแห้ง


เนื่องจากชุดประดาน้ำแบบแห้งจำเป็นต้องมีการเติมและระบายอากาศ ดังนั้นขณะสวมใส่จึงต้องผ่านการฝึกอบรมเป็นพิเศษ นี่ก็คือสาเหตุที่ก่อนหน้านี้ดอนไม่ยอมให้ฉินสือโอวลงน้ำ ใต้น้ำไม่เหมือนกับบนบก ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แค่ไม่กี่วินาทีก็ทำให้คนตายได้แล้ว!


สำหรับปรมาจารย์ด้านการดำน้ำอย่างบิลลี่แล้ว เขารู้สึกว่ามันไม่ได้มีความเข้มงวดขนาดนั้น แต่ก็มีบางเรื่องที่ต้องพูดให้ชัดเจน “ถ้านายอยากลงไปในน้ำ นายก็ต้องฟังฉัน ฟังฉันทั้งหมด ดูท่าทางมือของฉันเพื่อการปฏิบัติการ”


ฉินสือโอวพยักหน้าเพื่อบอกว่าเขาจะเชื่อฟังอย่างดี


เมื่อเห็นแบบนี้บิลลี่ก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ เขาพูดต่อ “ฉันสอนนายใช้ระบบเติมอากาศกับระบายอากาศของชุดประดาน้ำเป็นอย่างแรกแล้วกัน นายดูนะ เพราะอากาศจะต้องถูกเติมและปล่อยออกมาจากชุดประดาน้ำแบบแห้งเพื่อรักษาภาวะเป็นกลางและความสมดุล ดังนั้นกลางชุดประดาน้ำจึงมีสายท่อจากพอร์ตเชื่อมต่อความดันปานกลางในระดับแรกที่เชื่อมต่อกับวาล์วเติมก๊าซ”


ดอนลองทดสอบอุณหภูมิน้ำ อุณหภูมิของชั้นผิวน้ำของทะเลสาบเฉินเป่าในช่วงต้นฤดูร้อนอยู่ที่สิบกว่าองศา อุณหภูมิแบบนี้สำหรับนักประดาน้ำแล้วถือว่าค่อนข้างเหมาะสม ดังนั้นเขาจังเริ่มมีความมั่นใจที่จะให้ฉินสือโอวลงน้ำขึ้นมาบ้างแล้ว


บิลลี่อธิบายให้ฉินสือโอวฟังเล็กน้อย หน้าที่หลักของชุดดำน้ำคือการรักษาอุณหภูมิของร่างกาย ดังนั้นถ้าอุณหภูมิของน้ำสูงกว่า 20 องศาก็ไม่จำเป็นต้องใส่แล้ว อุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาให้สวมชุดประดาน้ำแบบเปียก และถ้าอุณหภูมิต่ำกว่า 10 องศาลงไปก็ต้องสวมชุดประดาน้ำแบบแห้ง


หลังจากอธิบายอย่างชัดเจนแล้ว บิลลี่ก็ช่วยฉินสือโอวสวมชุดประดาน้ำสีเทาฟ้าให้เรียบร้อย จากนั้นก็ขึ้นไปบนเรือเพื่อเตรียมตัวลงน้ำ ตัวเขาเองก็สวมชุดประดาน้ำสีเงินสว่างตามมาทีหลัง ดูแล้วเขาช่างเข้มแข็งทรงพลังหาใดเปรียบจริงๆ ตอนนี้เขาเหมือนมังกรขาวขนสีเงินไม่มีผิด


ฉินสือโอวเบะปากใส่แล้วพูดขึ้นมา “นายนี่ไม่เคยลืมที่จะเก๊กหล่ออยู่ตลอดเวลาเลยจริงๆ ถึงฉันจะไม่ใช่นักดำน้ำมือฉมัง แต่ฉันก็รู้ว่าพออยู่ใต้น้ำต้องพยายามพรางตัวให้ได้มากที่สุด นายสวมชุดประดาน้ำสีสันฉูดฉาดแบบนี้ นายตั้งใจจะไปกระตุ้นสิ่งมีชีวิตใต้น้ำหรือยังไง?”


บิลลี่พูดกับเขายิ้มๆ “ที่นายเข้าใจเป็นแค่แนวความคิดเท่านั้น สำหรับสิ่งมีชีวิตขนาดเล็ก ตอนอยู่ในน้ำยิ่งเห็นได้ชัดเท่าไรก็ยิ่งอันตรายเท่านั้น แต่สำหรับสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่แบบพวกเรา สวมชุดประดาน้ำสีสว่างจะปลอดภัยยิ่งกว่า แบบนี้จะสามารถเตือนสัตว์ที่คิดจะทำอันตรายเราได้ ทำให้พวกมันสังเกตเห็นความแตกต่างของพละกำลังระหว่างเรากับพวกมัน ให้พวกมันรีบไสหัวไปตั้งแต่เนิ่นๆ ”


พอพูดจบบิลลี่ก็สวมหน้ากากออกซิเจนเข้าไป หลังจากสวมใส่แล้วก็หงายหลังจากบนเรือลงไปในน้ำ


ท่อทางเดินอากาศเส้นยาวๆ หนึ่งเส้นก็ขยายจากบนเรือตามลงไปในน้ำไปด้วย ปลายด้านหนึ่งของท่อทางเดินอากาศเชื่อมต่อกับหน้ากากออกซิเจน ส่วนปลายท่ออีกด้านก็เชื่อมอยู่กับเครื่องผลิตก๊าซออกซิเจนที่อยู่บนหัวเรือเพื่อปล่อยก๊าซออกซิเจนให้พวกเขาได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ขาดสายและเพื่อลดความกดดันของนักประดาน้ำอย่างสุดความสามารถ


ฉินสือโอวสูดออกซิเจนเข้าไปลึกๆ แล้วกักเก็บมันไว้ในปอดตามที่บิลลี่สอน ต่อจากนั้นก็หงายหลังลงไปเสียงดัง ‘จ๋อม’ เขาร่วงลงไปในน้ำทันที


เมื่อมีชุดประดาน้ำขวางกั้นอยู่ ฉินสือโอวจึงไม่ได้สัมผัสถึงความเย็นสบายของน้ำในทะเลสาบ หัวของเขาทิ่มลงไปในน้ำ ปลายเท้าของเขาชี้ไปด้านบน เขาดำน้ำลงมาลึกหลายเมตรก่อน ต่อจากนั้นเท้าทั้งสองข้างก็สะบัดด้วยความรวดเร็ว เขาใช้แผ่นตีนเป็ดสร้างแรงขับเคลื่อนดำน้ำตามบิลลี่ลงไปยังบริเวณที่ลึกยิ่งขึ้น


ก่อนหน้านี้ฉินสือโอวคาดคะเนว่าระดับความลึกของแอ่งหลุมใต้น้ำแห่งนี้น่าจะอยู่ที่ยี่สิบสามสิบเมตร แต่ในความเป็นจริงเขาคิดตามอำเภอใจมากเกินไป ดูจากอุปกรณ์วัดแรงดันที่ติดอยู่กับชุดประดาน้ำ ตอนที่พวกเขาเข้าใกล้ก้นทะเลสาบ ระดับความลึกของน้ำก็เกินกว่า 50 เมตรไปแล้ว!


หกสิบเมตรคือขีดจำกัดสูงสุดของชุดประดาน้ำขั้นต้นแบบนี้ พวกเขาเดินอยู่บนจุดที่จะถึงขีดจำกัดสูงสุดแล้ว


ช่วงนี้บนผืนน้ำบริเวณนี้มีเรือผ่านไปผ่านมาเป็นจำนวนมาก มีทั้งคนดำน้ำ มีทั้งอุปกรณ์ลงมาตรวจสอบ ดังนั้นบริเวณรอบๆ จึงไม่มีปลาเลยสักตัว ปลาทั้งหมดถูกทำให้ตกใจจนหนีหายไปหมดแล้ว


ถึงจะเป็นแบบนี้ ฉินสือโอวก็ยังรู้สึกว่าน่าสนใจมากๆ อยู่ดี


เขาเปิดไฟที่สวมไว้บนหัว ลำแสงส่องสว่างสาดไปที่ก้นทะเลสาบมืดสลัว บิลลี่ว่ายน้ำข้ามมาจากข้างหลัง จากนั้นก็ทำท่าทางมือเพื่อถามว่าเขาเป็นยังไงบ้าง


ขณะที่กำลังดำน้ำ อุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดไม่ใช่ความกดของน้ำกับอุณหภูมิของน้ำที่หนาวเหน็บ แต่เป็นสภาพจิตใจ ลำแสงใต้น้ำเบาบางมาก รอบด้านมีแต่น้ำหนาวเย็นที่เลือนรางไม่ชัดเจน มันอาจจะสร้างความกดดันในจิตใจได้อย่างมหาศาลและทำให้รู้สึกถึงความรู้สึกหมดหนทาง ความโดดเดี่ยวและความหวาดกลัว นี่ต่างหากที่จะทำร้ายนักประดาน้ำได้มากที่สุด


ฉินสือโอวคุ้นชินกับเรื่องนี้ที่สุด เพราะเขามีหัวใจโพไซดอน เขาจึงไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวและโดดเดี่ยวเวลาอยู่ในน้ำ เขาก็เป็นเหมือนราชาแห่งโลกใต้น้ำนั่นแหละ นี่คืออาณาเขตของเขา ในอาณาเขตของตัวเอง ทำไมเขาจะต้องรู้สึกโดดเดี่ยวและหวาดกลัวด้วยล่ะ?


บทที่ 641 นักศึกษาสมัครงาน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ดำน้ำชมก้นทะเลสาบไม่เหมือนการใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอน


จิตสำนึกแห่งโพไซดอนสามารถควบคุมผืนน้ำทั้งหมดได้ แทนที่จะดู สู้เรียนรู้จากการสัมผัสดีกว่า


ในตอนนั้นฉินสือโอวเป็นดั่งผู้ควบคุมที่อยู่เหนือข้อเท็จจริงของสังคม เขาสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ความรู้สึกที่ไม่ซับซ้อนของสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ สามารถสังเกตสภาพการเจริญเติบโตของพวกมัน แต่กลับไม่มีความรู้สึกของตัวเขาเอง ตอนนี้เขาดำน้ำอยู่ใต้ก้นทะเลสาบ ร่างกายของเขาสามารถสัมผัสแรงดันของน้ำได้อย่างชัดเจน มองซ้ายมองขวา ก็มีแต่น้ำใต้ทะเลสาบที่มืดสลัวกับหินกรวดหยาบๆ ใต้ก้นทะเลสาบ นั่นทำให้เขารู้สึกได้ว่าเป็นตัวเขาเองเป็นคนที่อยู่ใต้ทะเลสาบ ไม่ใช่เทพเจ้า


เงินทุนสำหรับปราบปรามปลาคาร์ฟเอเชียจำนวนสองแสนกว่าดอลลาร์ที่เมืองแฟร์เวลได้รับมาก่อนหน้านี้ถูกเอามาใช้เพื่อสร้างระบบนิเวศพืชใต้น้ำของทะเลสาบเฉินเป่าทั้งหมด หลังจากผ่านการสร้างมาเป็นเวลาครึ่งปี ตอนนี้ผลสำเร็จขั้นต้นก็ปรากฏให้เห็นแล้ว พืชน้ำใต้ทะเลสาบเจริญงอกงามจนดูเหมือนสนามหญ้าขนาดใหญ่ที่อยู่ใต้น้ำเลยทีเดียว


นี่เป็นเรื่องดีสำหรับสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ แต่สำหรับนักประดาน้ำแล้วนี่ก็คือสิ่งที่สร้างความยุ่งยากให้กับพวกเขานั่นเอง ถ้าไม่ระวังจนถูกพืชน้ำพันขา นักประดาน้ำอาจจะถูกพันถึงขั้นเสียชีวิตอยู่ที่นี่ได้


ฉินสือโอวกลับไม่ได้รู้สึกกังวลกับเรื่องพวกนี้ เพียงใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนกระจายออกไปเล็กน้อย พืชใต้น้ำก็โอนอ่อนผ่อนตามและแผ่ตัวเรียบไปตามก้นทะเลสาบแล้ว เขาร่วงลงมาอยู่ด้านบนอย่างแผ่วเบา จึงไม่ต้องกังวลว่าจุดที่วางเท้าจะมีหลุมเลน


ทว่าบิลลี่กลับรู้สึกเป็นกังวลมาก เขาว่ายน้ำข้ามมาโบกมือด้วยความรวดเร็วแล้วตบๆ หน้ากากดำน้ำของฉินสือโอวเพื่อบอกให้เขาตามตัวเองมา เมื่อว่ายน้ำมาถึงบริเวณกำแพงฟอสซิลตรงแอ่งหลุมใต้ทะเลสาบ เขาก็เกาะอยู่กับก้อนหินหยาบๆ แล้วหยุดตัวลง


ฉินสือโอวยักไหล่แล้วตามเข้าไป ในตอนนี้เขาสังเกตเห็นท่ามือของบิลลี่ที่อยู่ๆ ก็บอกให้เขาหมอบลง เขาจึงรู้ว่าด้านหลังของเขาน่าจะมีอะไรสักอย่างปรากฏตัวขึ้น เขาจึงปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปควบคุมน่านน้ำบริเวณรอบๆ


แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ปลาซ่งตัวหนึ่งที่มีขนาดความยาวหนึ่งเมตรว่ายน้ำผ่านไปอย่างมุทะลุดุดัน ลำตัวของปลาตัวนี้ค่อนข้างอวบใหญ่ หัวขนาดใหญ่ของมันดูเหมือนกับตอร์ปิโดใต้น้ำ ถ้าถูกมันชนคงแย่แน่นอน


ฉินสือโอวไม่เห็นมันอยู่ในสายตา เขาแผ่ตัวออกแล้วหมอบแนบลงไปกับก้นทะเลสาบตามคำสั่งของบิลลี่ คราวนี้แผ่นตีนเป็ดของบิลลี่ถีบลงไปบนผาหินหนึ่งครั้งแรงๆ มือขวาชักของที่เหมือนกับตะบองตำรวจอันหนึ่งออกมาจากต้นขา


อาศัยพละกำลังส่วนนี้ บิลลี่บุกตรงเข้าไปหาปลาซ่งตัวนั้น กระบองตำรวจในมือยืดยาวออกไปถึงสองเมตรครึ่งอย่างฉับพลันแล้วปะทะเข้ากับปลาซ่งตัวนั้นจังๆ


ส่วนปลายของกระบองอันนั้นเป็นดาบปลายปืนทรงสามเหลี่ยม เมื่อเสียบลงไปตรงส่วนแก้มของปลาซ่ง จากนั้นปลาซ่งก็สั่นสะบัดอยู่ในน้ำอย่างรุนแรง บิลลี่ปล่อยมือที่จับกระบองทิ้งให้ปลาซ่งดิ้นทุรนทุรายอยู่ตรงนั้น มันดิ้นรนอยู่ไม่กี่ครั้งก็หงายท้องนอนมึนงงอยู่ที่เดิม


คราวนี้บิลลี่จึงชักกระบองยาวออกมา สะบัดข้อมือหนึ่งครั้ง กระบองยาวก็หดตัวจนกลายเป็นกระบองขนาดสั้นอีกครั้งหลังจากนั้นจึงถูกเขานำไปเสียบไว้ข้างๆ ต้นขา


ฉินสือโอวเข้าไปดูใกล้ๆ บิลลี่ไม่ยอมให้เขาจับแล้วทำท่ามือแกว่งไปมาเหมือนโดนไฟดูด แบบนี้ฉินสือโอวก็เข้าใจแล้วว่านี่คือกระบองไฟฟ้า เพียงแต่ไม่รู้ว่ามันมีการทำงานใต้น้ำยังไง


ใต้ทะเลสาบไม่มีอะไรน่าดู ปลาตัวเดียวที่บังอาจเข้ามาใกล้ก็ถูกบิลลี่ใช้ไฟช็อตจนสลบไปแล้ว ด้วยเหตุนี้ฉินสือโอวจึงเข้าไปดูฟอสซิลที่หยาบและขรุขระพวกนี้อย่างสบายใจ


ฟอสซิลใต้ทะเลสาบยังไม่ถูกขุด ดังนั้นจึงมีแค่ส่วนเล็กมากๆ ที่ยื่นออกมา พวกเขาทำได้แค่แนบไปตามกำแพงตรงแอ่งหลุมในทะเลสาบเพื่อมองดูฟอสซิลกระดูกปลาหยาบใหญ่แต่ละชิ้น


ที่ฉินสือโอวอยากเห็นคือโมซาซอรัส เขาค่อนข้างรู้สึกสนใจสิ่งมีชีวิตอุปนิสัยโหดร้ายชนิดนี้ที่ได้สมญานามว่าเทพแห่งมหาสมุทรยุคครีเทเชียส สิ่งมีชีวิตชนิดนี้สมกับคำกล่าวขานว่าเป็นราชาแห่งมหาสมุทรในยุคของพวกมัน ต่อให้ฉลามดุร้ายยิ่งกว่านี้ก็เป็นได้เพียงอาหารของพวกโมซาซอรัส


บริเวณรอบๆ แอ่งน้ำถูกดอนและคนอื่นๆ ใช้เครื่องสำรวจใต้น้ำตรวจสอบอย่างชัดเจนแล้ว เป็นที่แน่ชัดแล้วว่าได้ค้นพบฟอสซิลที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับโมซาซอรัสที่ยังไม่โตเต็มวัยจำนวนสองตัว ตัวหนึ่งอยู่บริเวณส่วนล่างของแอ่งหลุม มีหัวโผล่ออกมาครึ่งหนึ่ง ส่วนตำแหน่งของอีกตัวก็อยู่บริเวณทิศตะวันออกของแอ่งหลุม


ฉินสือโอวเข้าไปดูหัวโมซาซอรัสใต้ทะเลสาบ มันไม่ได้ชัดเจนมากนัก แท้ที่จริงก็คือหินก้อนใหญ่หนึ่งก้อนเท่านั้น


นอกจากโครงกระดูกของโมซาซอรัส ส่วนอื่นก็เน่าเปื่อยจนหมดไปตั้งนานแล้ว ตะกอนดินทรายกับก้อนกรวดถูกเติมเข้าไประหว่างโครงกระดูกก่อนจะถูกกาลเวลาผสมผสานจนกลายเป็นเนื้อเดียวกันอย่างทุกวันนี้ ต้องมองดูดีๆ ถึงจะดูลักษณะของมันออก


ส่วนที่โผล่พ้นออกมาของโมซาซอรัสมีเพียงกระดูกขากรรไกรด้านบนส่วนหน้าทรงกระบอกเท่านั้น นี่คืออาวุธของพวกมัน สามารถใช้มันเพื่อโจมตีและใช้เพื่อล่าอาหารได้ แถมยังสามารถใช้เพื่อต่อสู้กับพวกเดียวกันเองได้เช่นกัน


นี่เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีความดุร้ายทารุณมาก ขอแค่เป็นสัตว์ที่มีขนาดเล็กกว่าก็จะต้องพบกับการล่าเหยื่อของพวกมัน


ขณะที่ยังไม่ได้หิวโหยมากนัก พวกมันจะล่าปลาทะเลขนาดใหญ่อย่างเม็กกาโลดอนกับสัตว์ประเภทแบ็ททอนิสอย่างเฮสเปอร์รอร์นิสเพื่อเป็นอาหาร แต่ถ้าเป็นตอนที่หิวมาก แม้แต่ อิกทิ โอ ซอ รัส ไลโอพลัวเรอดอนก็สามารถเป็นอาหารของพวกมันได้ทั้งนั้น พวกมันยังอาจจะถึงขนาดล่าโมซาซอรัสขนาดเล็กกับเพลสิโอซอร์เป็นอาหารได้เลยด้วยซ้ำ โหดร้ายป่าเถื่อนจริงๆ !


ฉินสือโอวใช้มือลูบฟอสซิลซี่ฟันแหลมคมในปากของโมซาซอรัสที่ปรากฏให้เห็นเป็นทรงกรวย ตอนนี้มันไม่แหลมคมอีกต่อไปแล้ว ทว่าอำนาจความน่าเกรงขามแบบนั้น แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังทำให้รู้สึกถึงได้อย่างชัดเจน


วนดูรอบๆ แอ่งหลุมไปแล้วหนึ่งรอบ แค่แป๊บเดียวฉินสือโอวก็รู้สึกเบื่อหน่าย พอดีกับที่บิลลี่โบกมือให้เขาเพื่อบอกว่าพวกเขาควรขึ้นไปได้แล้ว


ฉินสือโอวพยักหน้า แล้วว่ายน้ำตามบิลลี่ขึ้นไปข้างบน


เนื่องจากเหตุผลเกี่ยวกับความดันน้ำ ทำให้หลังจากดำน้ำแล้วจะไม่สามารถโผล่พ้นผิวน้ำได้ทันที ฉินสือโอวกับบิลลี่จึงต้องออกกำลังกายยืดเส้นยืดสายเพื่อเพิ่มพละกำลังและความกระฉับกระเฉงอยู่ในตำแหน่งความลึกใต้นำประมาณเจ็ดแปดเมตร แบบนั้นจะทำร่างกายให้เกิดความคึกคักอยู่ตลอด จนกระทั่งถึงครึ่งชั่วโมงค่อยโผล่พ้นน้ำและขึ้นเรือไปตามลำดับ


พอโผล่หัวออกไปแล้วถอดสายออกซิเจนออก บิลลี่ก็ยกนิ้วโป้งให้ฉินสือโอวพร้อมกล่าวชมเขา “โฮ่ๆ จัดการได้สวยมากเพื่อน ฉันนึกว่าดำน้ำครั้งแรกนายจะกลัวจนฉี่รดกางเกงซะอีก ตอนนี้เป้าคงไม่ได้เปียกนะ?”


ฉินสือโอวส่งเสียงเหอะอย่างจองหอง “น้ำลึกห้าสิบเมตร มันไม่เห็นจะมีอะไร? ถ้าเป็นน้ำลึกห้าร้อยเมตร บางทีฉันอาจจะรู้สึกกดดันนิดๆ ก็ได้ แต่นี่ไม่เห็นจะมีความแตกต่างระหว่างน้ำลึกกับการอาบน้ำตรงไหนเลย?”


พูดจบเขาก็กางมือทั้งสองข้างออกแรงๆ เขาจับแคมเรือไว้แล้วก็กระโดดขึ้นไปข้างบน


ดอนได้ยินก็ถึงกับกะพริบตาปริบๆ บ้าน่ามีอะไรผิดพลาดหรือเปล่า? เก่งกาจถึงขนาดนี้เลยเหรอ? นั่นเป็นน้ำลึกห้าสิบเมตรนะ ที่จริงการดำน้ำลึกระดับนี้เหมาะสำหรับนักประดาน้ำที่มีความเชี่ยวชาญแล้วเท่านั้น เพราะงั้นถึงต้องมีนักประดาน้ำที่มีคุณวุฒิมาให้คำแนะนำไงล่ะ ดังนั้นถึงแม้ว่าทีมกู้ซากฟอสซิลของพวกเขาจะมีนักประดาน้ำมืออาชีพ แต่เขาก็ยังต้องเชิญบิลลี่มาควบคุมสถานการณ์โดยรวมอยู่ดี


พอขึ้นมาบนเรือแล้วก็มีคนส่งบรั่นดีที่เตรียมไว้มา ฉินสือโอวดื่มลงไปครึ่งแก้วเพื่อสร้างความอบอุ่นให้กับผิวหนังที่เยียบเย็น สถานที่ในระดับน้ำลึกห้าสิบเมตร ถึงแม้อุณหภูมิจะไม่ได้ติดลบ แต่เนื่องจากความร้อนที่ไหลผ่านอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นอันตรายต่อคนเป็นอย่างมาก


ดำน้ำเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็ไม่รู้จะทำอะไรต่อ บิลลี่ยังต้องอยู่ที่นี่ต่อเพื่อเริ่มทำงาน เขาจึงขับรถกลับวิลล่าไปคนเดียว


ช่วงเที่ยงหลังจากทานอาหารเสร็จ เขากำลังจะเตรียมตัวนอนกลางวัน แต่จู่ๆ หู่จือกับเป้าจือที่กำลังเล่นกันอยู่ตรงประตูก็แหงนหน้ามองประตูของวิลล่าที่อยู่ไกลออกไปพร้อมเห่าโฮ่งๆ ๆ ออกมาสองสามครั้ง


ฉินสือโอวลองออกไปดูก็พบกับวัยรุ่นชายหนึ่งหญิงหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่ด้านนอกประตู


“มีธุระอะไรหรือเปล่า?” ฉินสือโอววิ่งเข้าไปถาม


วัยรุ่นชายที่ดูมีความมั่นใจเป็นฝ่ายยื่นมือออกมาก่อน เขาแนะนำตัวอย่างสุภาพ “สวัสดีครับ คุณคือมิสเตอร์ฉินสือโอวเจ้าของฟาร์มปลาใช่ไหมครับ? ผมชื่อหวังเหล่ย ส่วนนี่คือเหยาลี่ลี่เพื่อนร่วมชั้นเรียนของผม พวกเราเป็นนักศึกษาจากวิทยาลัยเพลสตัน เราอยากใช้ช่วงปิดเทอมใหญ่หาที่ทำงาน ไม่ทราบว่าตอนนี้ที่นี่ต้องการคนทำงานไหมครับ?”


พวกเขาเป็นคนจากภูมิลำเนาเดียวกันทั้งนั้น ฉินสือโอวไม่อยากจะแสดงออกอย่างเย็นชาเกินไปจึงเชิญพวกเขาเข้ามาดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ ในบ้านก่อน ในความเป็นจริงแล้วทางฝั่งเขาไม่ได้ขาดคนทำงานเลย แถมยังมีชาวประมงกลุ่มใหญ่กำลังต่อแถวรอทำงานอยู่อีกต่างหาก


เพียงแต่เขาเห็นว่าหวังเหล่ยกับเหยาลี่ลี่ดูมีจิตใจที่ไม่เลวเลย อีกทั้งบุคลิก ท่าทาง คำพูดคำจาก็ยังดูมีการศึกษา ดังนั้นเขาจึงพิจารณาที่จะให้โอกาสพวกเขาได้ทำงานระยะสั้น


เขาอยู่ที่นครเซนต์จอห์นมาปีกว่าแล้ว รู้เรื่องในพื้นที่มาพอสมควร เขารู้ว่าหวังเหล่ยกับเหยาลี่ลี่น่าจะเป็นนักศึกษาต่างชาติซ้ำชั้น ตอนนี้น่าจะกำลังต้องการความช่วยเหลือ


บทที่ 642 กิจกรรมการท่องเที่ยวของเจ้าของฟาร์มปลา

โดย

Ink Stone_Fantasy

วิทยาลัยเพลสตัน ถ้าไม่คุ้นเคยกับภาษาอังกฤษก็อาจจะฟังเป็นพรินซ์ตัน มันคือมหาวิทยาลัยวิจัยเอกชนขนาดใหญ่แห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก เป็นหนึ่งในสถาบันในเครือไอวีลีก


แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับไม่ใช่อย่างนั้น วิทยาลัยเพลสตันของที่นี่เป็นเพียงแค่วิทยาลัยวิชาชีพธรรมดาๆ แห่งหนึ่งในนครเซนต์จอห์นเท่านั้น ในความเป็นจริงรัฐนิวฟันด์แลนด์ทั้งรัฐ นอกจากมหาวิทยาลัยอนุสรณ์นิวฟันด์แลนด์แล้ว สถาบันการศึกษาแห่งอื่นก็มีแต่เน่าๆ กันทั้งนั้น…


ฉินสือโอวคิดว่าทั้งสองคนอาจจะค่อนข้างลำบากเกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษาของมหาวิทยาลัยในแคนาดา เรื่องนี้ต้องเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับการพักการเรียนของมหาวิทยาลัยในแคนาดาให้ฟังก่อน


ถ้าพูดถึงนักศึกษาระดับปริญญาตรีในมหาวิทยาลัยของแคนาดา โดยทั่วไปแล้วการปิดเทอมภาคฤดูร้อนจะประกอบด้วยพฤษภาคม มิถุนายน กรกฎาคมและสิงหาคมทั้งหมดสี่เดือน ปิดเทอมภาคฤดูร้อนของนักศึกษาจะเป็นเวลาที่ยาวนานมาก


ระหว่างช่วงเวลานี้ นักศึกษามีตัวเลือกหลายทาง สามารถเลือกใช้ช่วงปิดเทอมลงเรียนบางวิชาเพื่อพยายามเรียนให้จบการศึกษาโดยเร็ว หรือจะไปดำเนินกิจกรรมการท่องเที่ยวที่เมืองรอบๆ เพื่อเพิ่มพูนวิสัยทัศน์ให้กับตัวเองก็ได้ และนอกจากนี้ก็สามารถเลือกที่จะพักการเรียนเพื่อไปทำงานได้ด้วย


ดังนั้นจึงดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องปกติที่นักศึกษาจะทำงานในเดือนมิถุนายน แต่ก็ยังมีเงื่อนไขข้อเบื้องต้นอยู่ นั่นก็คือต้องเป็นการศึกษาระดับปริญญาตรี แต่สำหรับวิทยาลัยวิชาชีพแบบวิทยาลัยเพลสตันจะไม่ใช่อย่างนั้น


สำหรับวิทยาลัยวิชาชีพ เดือนมิถุนายนเป็นช่วงเวลาที่สำคัญมาก เนื่องจากโดยทั่วไปแล้วพวกเขาจะเปิดหลักสูตรระยะยาวในเดือนมกราคม เดือนพฤษภาคม และเดือนกันยายน


เดือนกันยายนจะเป็นหลักสูตรการสอนครั้งใหญ่ ดังนั้นมหาวิทยาลัยไม่ว่าจะเป็นการเรียนหลักสูตรปริญญาตรีหรือการเรียนหลักสูตรวิชาชีพ ทุกๆ คณะวิชาจะเปิดการเรียนการสอน เดือนมกราคมจะเป็นการเรียนคลาสเล็ก สาขาการเรียนบางส่วนจะเปิดเรียนในช่วงนี้ เดือนพฤษภาคมจะเปิดเรียนค่อนข้างน้อย แต่มักจะเป็นการเปิดเรียนสำหรับนักศึกษาต่างชาติ ซึ่งก็คือนักศึกษาอย่างหวังเหล่ยกับเหยาลี่ลี่นั่นเอง ถ้าไม่ได้มีอะไรนอกเหนือจากความคาดหมายเดือนมิถุนายนพวกเขาก็น่าจะต้องเข้าเรียนและคงไม่มีเวลาออกไปทำงาน


ตอนนี้ทั้งคู่มีเวลาออกมาทำงาน ดังนั้นฉินสือโอวจึงคาดการณ์ว่าพวกเขาคงเป็นนักศึกษาต่างชาติซ้ำชั้น


อะไรคือนักศึกษาต่างชาติซ้ำชั้น? นี่เป็นชื่อเรียกเฉพาะ แค่เห็นชื่อก็รู้ความหมายนั่นก็คือนักศึกษาต่างชาติที่ต้องซ้ำชั้นเรียนนั่นเอง แต่นักศึกษาประเภทนี้ไม่เหมือนกับนักศึกษาซ้ำชั้นที่จีน พวกเขาคือนักศึกษาต่างชาติที่โอนย้ายมา


เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่า ตอนนี้มหาวิทยาลัยในประเทศจีนมีการเปิดรับลงทะเบียนเรียนอย่างกว้างขวาง ขอแค่มีความสามารถเพียงเล็กน้อยก็สามารถสอบเข้าเรียนระดับปริญญาตรีได้แล้ว นักศึกษาที่ออกไปเรียนต่อต่างประเทศในตอนนี้ถ้าไม่ใช่เพราะเรียนเก่งมากจนมหาวิทยาลัยในต่างประเทศรับเข้าเรียน ก็เป็นเพราะที่บ้านอยากให้พวกเขาออกไปเรียนมหาวิทยาลัยในต่างประเทศที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่า


ถ้ามาเรียนที่นครเซนต์จอห์น โดยพื้นฐานแล้วก็เพื่อจะมุ่งมาเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยอนุสรณ์นิวฟันด์แลนด์


มหาวิทยาลัยอนุสรณ์นิวฟันด์แลนด์เป็นมหาวิทยาลัยสหสาขาของรัฐเพียงที่เดียวในนิวฟันด์แลนด์ เป็นหนึ่งในระดับบนสุดของแคนาดา และมีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก


เหมือนกับมหาลัยแห่งอื่นในอเมริกาเหนือ มหาวิทยาลัยอนุสรณ์นิวฟันด์แลนด์ค่อนข้างเข้าง่าย แต่จบยาก ที่นี่ไม่ได้เรียนจบง่ายขนาดนั้น ทางมหาลัยมีข้อกำหนดทางวิชาการสำหรับนักศึกษาที่เข้มงวดมาก อีกทั้งยังไม่เหมือนกับมหาวิทยาลัยในอเมริกาด้วย ถ้ามีนักศึกษาของพวกเขาสอบตกวิชาหนึ่งในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนก็ต้องเรียนซ้ำอีกครั้งทั้งยังต้องสอบผ่านก่อนถึงจะสามารถเข้าเรียนในเทอมการศึกษาต่อไปได้


ถ้าเรียนซ้ำช่วงปิดเทอมฤดูร้อนยังไม่ได้มาตรฐาน แบบนั้นก็ยังต้องเรียนซ้ำชั้นต่อไป


ดังนั้นนักศึกษาบางส่วนที่เห็นว่าตัวเองสอบตกหลายวิชาเกินไปหรือรู้สึกว่าถึงเรียนซ้ำก็คงสอบไม่ผ่านอยู่ดีจึงอาจจะเลือกลาออก ทว่าครอบครัวที่ส่งลูกมาเรียนต่างประเทศมักจะเป็นคนมีอิทธิพลมีหน้ามีตา คนที่บ้านอดทนต่อความลำบากเพื่อส่งลูกเรียน ดังนั้นการถูกคัดออกจนไม่ได้ใบปริญญากลับบ้านจึงน่าอับอายเกินไป จากสถานการณ์แบบนี้นักศึกษาต่างชาติซ้ำชั้นจึงเริ่มปรากฏขึ้น


เดือนพฤษภาคมของทุกๆ ปีหลังจากนักศึกษาประเภทนี้สอบเสร็จแล้วแต่เห็นว่าตัวเองไม่มีหวังจะได้เลื่อนชั้น พวกเขาก็จะพากันโอนย้ายไปที่มหาวิทยาลัยทั่วไปหรือวิทยาลัยวิชาชีพที่ค่อนข้างจบง่ายกว่า ถึงยังไงก็ได้ใบปริญญาบัตรกลับบ้านเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?


เมื่อเป็นเช่นนี้หวังเหล่ยกับเหยาลี่ลี่จึงน่าจะโอนย้ายมาเรียนที่วิทยาลัยวิชาชีพ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ต้องไปเข้าเรียนตามหลักสูตรการศึกษาของวิทยาลัยวิชาชีพในเดือนมิถุนายน แค่เตรียมตัวรอเข้าเรียนอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนก็พอ


แล้วก็เป็นเช่นนั้น พอพูดคุยกันฉินสือโอวก็ถามถึงสถานการณ์การศึกษาของพวกเขา ทั้งสองคนยอมรับอย่างไม่ค่อยสู้ดีนักว่าพวกเขามาเรียนที่มหาวิทยาลัยอนุสรณ์นิวฟันด์แลนด์แล้วหนึ่งปี แต่ปรากฏว่าสอบตกวิชาเอกอีกทั้งยังสอบผ่านได้ยาก จึงปิดบังครอบครัวและทำเรื่องโอนย้ายไปที่วิทยาลัยเพลสตันเองเสียเลย


เพราะรู้สึกผิดกับที่บ้าน ดังนั้นทั้งสองคนจึงรู้สึกไม่ดีที่จะขอเงินจากครอบครัวอีก ดังนั้นพวกเขาจึงคิดที่จะใช้เวลาช่วงปิดเทอมฤดูร้อนเพื่อทำงานหาเงิน


ตัวเลือกอันดับหนึ่งของการทำงานในนครเซนต์จอห์นก็คือฟาร์มปลา พวกเขาได้ยินมาว่าที่เกาะแฟร์เวลมีเจ้าของฟาร์มปลาคนจีนที่เก่งมากๆ จึงอยากมาขอความช่วยเหลือจากเขา


ฉินสือโอวลองคิดๆ ดู ฤดูร้อนฟาร์มปลามีกิจกรรมอยู่หลายอย่าง สองคนนี้คงจะทำงานหนักในทะเลไม่ไหวแน่ๆ ถ้าอย่างนั้นให้พวกเขาดูแลสนามหญ้าของฟาร์มปลาก็ได้ ช่วยเขาตัดเล็มสนามหญ้า จัดการสวนผักกับสวนผลไม้ เดิมทีเขาต้องหาคนมาทำงานพวกนี้อยู่แล้ว ก็ให้สองคนนี้ทำไปเลยแล้วกัน


ทว่าฉินสือโอวกลับเลือกที่จะใช้คำพูดไม่น่าฟังออกไปก่อน “ทำงานฟาร์มปลามันไม่ง่าย ฉันจะให้เงินคนละแปดร้อยดอลลาร์แคนาดาต่อสัปดาห์ แต่ถ้าพวกเธอสองคนทำไม่ไหว ฉันก็คงทำได้แค่เลิกจ้าง”


พอได้รับคำสัญญาจากฉินสือโอว หวังเหล่ยก็พยักหน้าอย่างแรงแล้วพูดกับเขา “ว่ามาเลยครับ พี่ฉิน พวกเราทั้งสองคนมาจากครอบครัวคนงาน พวกเราทนความลำบากได้ ถ้ามีงานอะไรให้ทำพี่ก็สามารถสั่งพวกเราได้หมดเลยครับ พวกเราจะทำงานให้พี่อย่างขยันขันแข็งเลยครับ”


ฉินสือโอวเห็นทั้งสองคนถือกระเป๋ามาจึงบอกให้ชาร์คไปจัดการอพาร์ตเมนต์ชาวประมงให้สองห้อง แต่หวังเหล่ยบอกว่าขอแค่ห้องเดียวก็พอแล้ว พวกเขาสองคนเป็นแฟนกัน


ฉินสือโอวลองจัดหางานให้ทั้งสองคนทำ เขาให้เวลาพักเพื่อให้พวกนั้นได้ปรับตัวเป็นเวลาสั้นๆ วันนี้กับพรุ่งนี้ไม่ต้องทำงานแต่ยังได้ค่าแรงอยู่ ให้พวกเขาลองเดินดูรอบฟาร์มปลาสักหน่อย ทำความคุ้นเคยกับสิ่งแวดล้อมในบริเวณรอบๆ แบบนี้ต่อไปจะได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ


หลังจากจัดการเรื่องหวังเหล่ยกับเหยาลี่ลี่แล้ว ฉินสือโอวก็ลากเก้าอี้นอนออกไปตากอากาศใต้ร่มไม้ ดื่มด่ำความสุขจากลมทะเลฤดูร้อน


แต่ปรากฏว่าวันนี้มีธุระเยอะเกินไป ซึ่งกำหนดไว้แล้วว่าวันนี้เขาไม่มีทางได้ตากลมทะเลอย่างสบายใจเฉิบแน่นอน


หลังจากเขานั่งลงได้ไม่นาน โทรศัพท์สายหนึ่งก็โทรเข้ามา มันเป็นเบอร์แปลกที่โทรมาจากออตตาวา


ฉินสือโอวรับโทรศัพท์ด้วยความมึนงง เขาถาม “ฉินสือโอวฟาร์มปลาต้าฉิน สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าใครโทรมาเหรอครับ? ถ้าหากคุณอยากจะแนะนำการขายอะไร ผมว่าคุณวางสายไปน่าจะดีกว่า ที่บ้านผมไม่มีอะไรขาดเหลือแล้ว”


เสียงนุ่มนวลของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น “มิสเตอร์ฉิน สวัสดีค่ะ ขอโทษนะคะ เดือนที่แล้วคุณได้ไปเข้าร่วมกิจกรรมการประท้วงฟาร์มปลานครเซนต์จอห์นหรือเปล่าคะ?”


ได้ยินคำนี้ในใจของฉินสือโอวก็เกิดความระแวงขึ้น ให้ตาย คงจะไม่ซวยขนาดนั้นหรอกใช่ไหม? รัฐบาลแคนาดาเล่นวิธีรอจังหวะเพื่อแก้แค้นหรือยังไง? ทว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีอะไรน่ากลัว เขาจึงยอมรับไปแบบเท่ๆ


รอจนเขายืนยันอย่างแน่ชัด ในสายโทรศัพท์จึงพูดขึ้นมา “ฉันจูเลียต โจแอนท์ผู้รับผิดชอบการติดต่อประสานงานภายนอกของกระทรวงการประมงและมหาสมุทรแคนาดาค่ะ มิสเตอร์ฉินคืออย่างนี้นะคะ ตั้งแต่พวกคุณจัดกิจกรรมการประท้วง พวกเราก็คิดหาวิธีเพื่อแก้ปัญหาความสับสนของพวกคุณมาโดยตลอด เพื่อคลี่คลายความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของฟาร์มปลา ด้วยเหตุนี้พวกเราจึงตัดสินใจจัดการทัศนศึกษาระยะสั้นขึ้นในช่วงปลายเดือนมิถุนายน ไม่ทราบว่าคุณพอจะมีเวลามาเข้าร่วมไหมคะ?”


ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว นี่คือผลลัพธ์ที่เกิดจากกิจกรรมการประท้วง คาดว่ากรมประมงคงอยากจะจัดกิจกรรมเชื่อมสัมพันธไมตรีอะไรประมาณนั้นให้บรรดาเจ้าของฟาร์มปลาแบบดั้งเดิมกับเจ้าของรีสอร์ตฟาร์มปลามารวมตัวแล้วให้ทุกคนกินดื่มทักทายปราศรัยกัน


พอคิดได้อย่างนี้ ฉินสือโอวกลับรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา ไม่มีอีกาตัวไหนขาวไปกว่ากันหรอกนะ รัฐบาลแคนาดาได้รับทักษะยอดวิชามาจากชนชั้นผู้นำของประเทศเขามากเกินไป ความสามารถในการไกล่เกลี่ยจึงไม่เลวเลย


เขาไม่อยากยอมรับผลลัพธ์แบบนี้จึงปฏิเสธอย่างเด็ดขาดตรงไปตรงมา โดยการบอกไปว่าเขาไม่มีเวลา


หลังจากวางสายโทรศัพท์เขาก็นอนเอนหลังอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ขณะที่กำลังงัวเงียเพราะความง่วง เสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง


ฉินสือโอวขมวดคิ้วมองเลขโทรศัพท์ ยังคงเป็นเบอร์ที่โทรมาจากออตตาวา เขาจึงรับโทรศัพท์ด้วยความฉุนเฉียวแล้วพูดออกไปว่า “ผมบอกว่าผมไม่ไป โอเค? ผมมีธุระด่วน ยุ่งมากๆ ที่ฟาร์มปลาของผมงานเยอะมาก!”


บทที่ 643 ชื่อเสียงดังเกินคาด

โดย

Ink Stone_Fantasy

“งานของนายเยอะมาก? งานที่ฟาร์มปลายุ่งมาก? เป็นแบบนี้จริงๆ เหรอ?” เสียงดังกังวานเสียงหนึ่งถามขึ้นมาด้วยความสงสัย


พอได้ยินเสียงนี้ชัดๆ ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าท่าไม่ค่อยดีแล้ว นี่เหมือน–เหมือนเสียงของแมทธิว จิน คนที่ไม่ไว้หน้า ไม่มีใครอยู่ในสายตาคนนั้นชัดๆ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการประมงและมหาสมุทรแคนาดาที่จัดการจนอัลเบิร์ตยังฟื้นกำลังไม่ได้จนกระทั่งทุกวันนี้!


คำพูดต่อจากนั้นก็พิสูจน์การคาดเดาของเขาได้แล้ว “เจ้าหนุ่ม ก่อนหน้านี้ฉันโทรไปหาอาจารย์เออร์บัก เขาบอกว่านายไปเที่ยวพักผ่อนที่แฮมิลตันกับเพื่อน ต่อจากนั้นตอนนี้นายก็บอกฉันว่านายยุ่งมาก? ยุ่งจนไม่มีเวลาไปเที่ยวพักผ่อน?”


ฉินสือโอวรีบอธิบาย “ไม่ครับ ท่านรัฐมนตรี ผมไม่ได้ไปเที่ยว ผมไปช่วยพวกเพื่อนๆ ของผมวางแผนเรื่องฟาร์ม เขาอยากจะเปิดฟาร์มที่แฮมิลตันน่ะครับ”


“แล้วนายรู้เรื่องการทำฟาร์มเหรอ? จะว่าไป ทำไมนายไม่โน้มน้าวให้เขาทำฟาร์มปลาล่ะ? ทำฟาร์มมันมีอะไรน่าสนใจ?” แมทธิว จินพูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างไม่สบอารมณ์


ต้องยอมรับเลยว่านักการเมืองรุ่นใหญ่พวกนี้ล้วนแต่มีเล่ห์เหลี่ยมกันทั้งนั้น แมทธิว จินพูดด้วยน้ำเสียงแบบนี้ ทำให้ฉินสือโอวมีความรู้สึกว่าเขาเป็นคนกันเองกับนักการเมืองรุ่นใหญ่อยู่ชั่วขณะหนึ่ง ถ้าเป็นไอ้คนขี้แพ้ฉินที่ไม่ได้มีหัวใจโพไซดอน คิดว่าด้วยน้ำเสียงแบบนี้ของนักการเมืองรุ่นใหญ่ เขาอาจจะประหลาดใจเพราะได้รับความเมตตามากเกินไปก็ได้


น่าเสียดายมากๆ ตอนนี้ฉินสือโอวกลายเป็นท่านฉินคนใหญ่คนโตแล้ว ไม่ใช่ไอ้ฉินขี้แพ้อีกต่อไป ดังนั้นถึงแม้ว่านักการเมืองรุ่นเก๋าจะมีอุบายเหนือชั้น ทว่าฉินสือโอวก็ไม่ติดกับหรอก


“ถึงยังไม่ผมก็ไม่ได้สนใจที่จะเข้าร่วมการทัศนศึกษาของเจ้าของฟาร์มปลาอะไรพวกนั้นอยู่แล้ว อีกอย่างนะครับท่านรัฐมนตรีจิน เจ้าของฟาร์มปลามากมายขนาดนั้น ทำไมถึงต้องเจาะจงเชิญผมให้ไปเข้าร่วม?” ฉินสือโอวไม่อยากเป็นสุนัขรับใช้ของรัฐบาล


แมทธิว จินเห็นว่าใช้คำพูดดีๆ แล้วไม่ได้ผล จึงใช้ไม้แข็งกับเขาแทน “เด็กน้อย นายฟังให้ดี คำถามไม่ได้อยู่ที่นายอยากหรือไม่อยาก แต่อยู่ที่นายอยากมาคนเดียวหรืออยากพาเพื่อนมาด้วยกันสักสองสามคน…”


“ไม่ครับ ท่านรัฐมนตรีจิน ที่ผมมาแคนาดาก็เพราะประเทศนี้ไม่มีการกดขี่ ไม่มีการใช้อำนาจบาตรใหญ่ เพราะประชาธิปไตยกับสิทธิมนุษยชนของประเทศนี้ ดังนั้นถ้าคุณจะทำกับผมแบบนี้ ผมคงต้องไตร่ตรองดูว่าผมควรอพยพไปที่อื่นไหม” ฉินสือโอวพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความฮึกเหิม เขาถึงขั้นวางมาดไม่เกรงกลัวอำนาจเพื่อทำสิ่งที่ถูกต้องเลยทีเดียว


หู่จือกับเป้าจือที่นอนหมอบอยู่ข้างๆ ต่างรับรู้ถึงอารมณ์ของเขาจนเกิดความรู้สึกเดียวกัน พวกมันพากันกระโดดแล้วเห่าออกมา จากนั้นก็ดึงใบหูขนาดใหญ่ไปไว้ด้านหลังหัวพร้อมกับท่าทางภาคภูมิใจและหยิ่งยโส


แมทธิว จินเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดอย่างสบายๆ “ได้ยินมาว่าอุตสาหกรรมต่อเรือโพไซดอนนครเซนต์จอห์นได้รับการสั่งซื้อหนึ่งรายการ ต้องการที่จะติดตั้งเทอร์โบเจ็ทอะไรสักอย่างเพื่อรวมเข้ากับเรือลาดตระเวนความเร็วสูง? ฉันกลัวว่านี่น่าจะไม่ถูกต้องตามข้อกำหนดของกฎหมายนะ ฉันคิดว่าเมืองของพวกนายคงซื้อรถดับเพลิงมาเพื่อป้องกันไฟป่าสินะ? แต่ปรับแต่งรถดับเพลิงให้กลายเป็นเรือเทอร์โบเจ็ท แล้วจะไปเกี่ยวกับไฟป่าตรงไหนกันล่ะ?”


ในใจของฉินสือโอวสบถด่าออกมาทันที นักการเมืองพวกนี้มีฝีมืออยู่ไม่กี่อย่าง บีบบังคับขู่เข็ญหรือหลอกล่อด้วยผลประโยชน์ ไม่ก็โน้มน้าวชักชวน เขาจึงพูดอย่างไม่พอใจ “ท่านรัฐมนตรีจิน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงต้องจับตามองผม ทำไมถึงต้องเจาะจงให้ผมไปเข้าร่วมสิ่งที่เรียกว่าการทัศนศึกษาของเจ้าของฟาร์มปลาอะไรนี่ด้วย?”


แมทธิว จินกล่าว “ก็เพราะตอนนี้ชื่อเสียงของนายโด่งดังเกินไปในนิวฟันด์แลนด์ นายกลายเป็นผู้นำแห่งจิตวิญญาณของฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์ไปแล้ว”


เวร ฉินสือโอวอดที่จะสบถออกมาอีกครั้งไม่ได้ เขาที่ทั้งขี้เกียจทั้งตะกละขนาดนี้ กลายเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ? นี่ไม่ได้แหย่กันเล่นใช่ไหม?


แมทธิว จินพูดอีก “ฉันไม่รู้ว่าทำไมนายถึงได้ขัดกิจกรรมที่รัฐบาลจัดขนาดนี้ ครั้งนี้พวกเราจัดการรวบรวมให้พวกนายไปชมฟาร์มปลาบางแห่งที่เคยรุ่งเรืองแต่ทุกวันนี้กลับล้มเหลวทรุดโทรม ให้เจ้าของฟาร์มปลาอย่างพวกนายรู้ถึงความสำคัญของภาระที่ตัวเองต้องแบกรับ จุดมุ่งหมายที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็เพื่อเตือนเศรษฐีเจ้าของฟาร์มปลาพวกนั้น ให้พวกเขารู้ว่าถ้าฟาร์มปลาต้องพบกับความล้มเหลวมันจะน่าเวทนาขนาดไหน!”


พอฉินสือโอวได้ยินแบบนี้ เขาก็รู้สึกว่าค่อนข้างน่าสนใจขึ้นมาแล้ว เขานึกว่ารัฐบาลต้องการจะไกล่เกลี่ยให้พวกเขามากินดื่มเที่ยวเล่นอยู่ด้วยกันเสียอีก กินดื่มเที่ยวเล่นกับเพื่อนของตัวเองยังจะน่าสนใจกว่า ทำไมต้องไปนั่งกับคนกลุ่มหนึ่งที่มองแล้วขัดหูขัดตาด้วยล่ะ? ดังนั้นก่อนหน้านี้เขาจึงต่อต้านและคัดค้านไปแบบนั้น


เมื่อเข้าใจวัตถุประสงค์ของแมทธิว จินแล้ว ฉินสือโอวจึงตอบรับเขาไป แน่นอนว่าก็ต้องมีผลประโยชน์บ้างเล็กน้อย


อยู่แคนาดามานานแล้ว ฉินสือโอวจึงเปลี่ยนเป็นคนตรงๆ เขาพูดออกไปอย่างใจกว้าง “ถ้าคุณคิดหาวิธีช่วยจัดการให้ผมมีเรือประมงติดอาวุธป้องกันอย่างชอบธรรมได้ ผมก็จะเข้าร่วม!”


เรือประมงติดอาวุธป้องกันไม่ใช่เรือรบ แต่เป็นเรือประมงที่มีพลังการโจมตีแบบทั่วๆ ไป อย่างเช่นการติดตั้งของจำพวกปืนใหญ่น้ำหรืออาวุธป้องกันระยะประชิดให้กับเรือประมง


เหมือนกันกับใบอนุญาตครอบครองปืนรุ่นคุณปู่ เรือประมงติดอาวุธป้องกันจะมีใบอนุญาตเหมือนกัน เมื่อก่อนเนื่องจากฟาร์มปลานิวฟันด์แลนด์มีผลการเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ เรือประมงจากทุกๆ ประเทศล้วนแต่มาจับปลาที่นี่ ยากที่จะเลี่ยงไม่ให้เกิดการขัดแย้งกันเรื่องผลประโยชน์จากการจับปลา


เพื่อที่จะปกป้องผลประโยชน์ของเรือประมงของตัวเอง แคนาดาจึงอนุญาตให้บรรดาชาวประมงปรับแต่งเรือประมงเพื่อให้มีความสามารถในการโจมตีโดยเฉพาะได้ การปรับแต่งเรือแบบนี้ต้องมีใบอนุญาต มิฉะนั้นจะมีการตรวจสอบความรับผิดชอบตามกฎหมาย


ฉินสือโอวเคยคิดที่จะซื้อ แต่ก็ซื้อไม่ได้ เนื่องจากหลังจากเรือประมงถูกแจ้งว่าเป็นของชำรุดแล้วจะถูกนำไปปรับใช้ใหม่ จากนั้นใบอนุญาตดัดแปลงของเรือชนิดนี้จะถูกริบกลับไปพร้อมกับเรือประมง


แมทธิว จินลังเลไปสักครู่ หลังจากนั้นเขาก็ทำการตัดสินใจอย่างเด็ดขาด “ได้ แต่นายต้องให้ความร่วมมือกับงานโฆษณาของรัฐบาล เรียกร้องให้เจ้าของฟาร์มปลาไปเข้าร่วมกิจกรรมทัศนศึกษาครั้งนี้ให้เยอะขึ้น”


“ไม่มีปัญหาครับ”


“ถ้าอย่างนั้นก็โอเค”


พอวางสายโทรศัพท์แล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกตื่นเต้นอยู่ชั่วขณะ เขาอดคิดที่จะผิวปากออกมาไม่ได้ เมื่อกี้นี้เขาจัดการได้สวยสุดๆ เจรจาต่อรองกับรัฐมนตรีกระทรวงเลยนะ เหลือเชื่อ ตอนนี้ตัวเองไม่ใช่ไอ้ขี้แพ้อีกต่อไปแล้วจริงๆ


ในความเป็นจริง นี่เป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปที่พบได้บ่อยในแคนาดาและอเมริกา นักธุรกิจผู้มีอิทธิพลที่มีเงินทุนหนาจะสามารถต่อรองกับผู้นำประเทศได้เลยด้วยซ้ำ


ช่วงบ่าย เรดาห์ตรวจพบเรือประมงหนึ่งลำที่เข้ามาใกล้กับฟาร์มปลาต้าฉิน ฉินสือโอวจึงขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปพร้อมกับเบิร์ดเพื่อเตือนพวกเขาให้ระวัง


สำหรับเฮลิคอปเตอร์ที่ใช้ในบ้านรุ่นนี้ นับวันฉินสือโอวก็ยิ่งไม่พอใจ เขาจึงวางแผนไว้ว่าจะหาเวลาไปเปลี่ยนเป็นรุ่นอื่น โดยไม่ต้องซื้อเครื่องบินน้ำแล้ว


ด้านบนลูกบอลที่ลอยอยู่ตรงเส้นแบ่งเขตพื้นที่ฟาร์มปลาต้าฉินเขียนตัวหนังสือไว้ว่า ‘ด้านในมีอาวุธโจมตี’ เพื่อให้เรือประมงหยุดชะงักเล็กน้อย ทำให้เรือประมงที่เข้ามาประชิดเส้นแบ่งน่านน้ำเกิดความลังเล


ตอนนี้เป็นช่วงงดจับปลา เรือประมงใกล้ชายฝั่งแบบนี้ถ้าไม่เข้าไปจับปลาในฟาร์มปลาส่วนบุคคล ก็ต้องกลับบ้านไปมือเปล่า เพราะเหตุผลเรื่องการสิ้นเปลืองน้ำมัน ไม่เพียงแต่หาเงินไม่ได้ แต่ยังต้องชดใช้ค่าเสียหายอีกด้วย พวกชาวประมงต้องไม่ยอมแน่ๆ


ฉินสือโอวคิดว่าเจ้าของเรือประมงลำนี้คงไม่ใช่คนโง่เง่าขนาดนั้น เขาจึงให้เบิร์ดขับเฮลิคอปเตอร์เข้าไปเตือนพวกเขาสักหน่อย จากนั้นก็โชว์จรวดดับเพลิงขู่ลูกเรือเพื่อให้พวกเขารีบหนีออกจากฟาร์มปลาส่วนบุคคลไป


พอรับวิทยุสื่อสารจากบนเรือประมงก็ปรากฏว่าคนที่พูดสายอยู่กลับใช้ภาษาจีนพูดขึ้นมา “คนบ้านเดียวกัน ช่วยอะไรหน่อยได้ไหม? ตอนนี้พวกเราใช้ชีวิตกันค่อนข้างลำบาก ฟาร์มปลาของประเทศไม่มีปลาแล้ว”


เรื่องนี้ฉินสือโอวก็อยากจะช่วย แต่ไม่อาจช่วยได้ จริงอยู่ เขายินดีที่จะช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ พูดตรงๆ ในต่างแดนถ้าคนบ้านเดียวกันไม่ช่วยเหลือกันแล้วจะยังมีใครมาช่วยคุณได้อีก? ทว่าการช่วยเหลือแบบนี้มีขอบเขตจำกัด ฉินสือโอวช่วยให้งานกับพวกหวังเหล่ยทำได้ แต่จะไม่มีทางเอ่ยปากบอกให้คนอื่นๆ เข้ามาจับปลาในฟาร์มปลาของเขาเด็ดขาด!


นี่มันเป็นคนละเรื่องกันเลย!


ฉินสือโอวปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ฟาร์มปลาในประเทศไม่มีปลาแล้วมันเกี่ยวอะไรกับเขา? ยังไงเขาก็ไม่อนุญาตให้เข้ามาในฟาร์มปลาของเขาเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นเขาจะถือว่าเป็นการบุกรุก!


ได้ยินคำพูดที่แข็งกร้าวของเขา เรือประมงลำนั้นเลยทำได้แค่ขับออกไปด้วยความแค้นใจ ครั้งนี้พวกเขาคงต้องขาดทุนแน่แล้ว


พอนึกถึงคำพูดของแมทธิว จิน ฉินสือโอวก็คิดทบทวนอยู่เงียบๆ หรือว่าเขาจะทำตัวเด่นเกินไปกันนะ? ดูเหมือนว่าตอนนี้คนทั้งนิวฟันด์แลนด์คงรู้กันหมดแล้วว่าที่เกาะแฟร์เวลมีเจ้าของฟาร์มปลาชาวจีนที่เยี่ยมยอดมากๆ อย่างเขาอยู่


บทที่ 644 ช่องทีวีภาษาจีน

โดย

Ink Stone_Fantasy

ขณะที่กำลังทานมื้อเย็น ฉินสือโอวกับวินนี่ก็พูดคุยกันถึงของเรื่องวันนี้ หลายเรื่องเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นติดต่อกัน พวกหวังเหล่ยมาของานทำ แมทธิว จินให้เขาเป็นคนนำทีมรวบรวมเจ้าของฟาร์มปลาไปทำกิจกรรม ชาวประมงคนจีนมาขอความช่วยเหลือ ช่วงเวลาสั้นๆ นี้ทำให้เขารู้สึกถึงความกดดันอย่างหนัก


เออร์บักนำหนังสือพิมพ์ฉบับเย็นที่พับไว้วางไว้ข้างๆ เขาประสานนิ้วมือทั้งสิบเข้าด้วยกันตามความเคยชินแล้วมองตรงไปที่ฉินสือโอวก่อนพูดขึ้นมา “นายคิดยังไงล่ะ?”


“ผมไม่ได้คิดอะไร ผมแค่รู้สึกว่าแบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร นี่ไม่ใช่ชีวิตที่ผมต้องการ ผมแค่อยากอยู่ที่ฟาร์มปลาของผมอย่างมั่นคงและปลอดภัย เลี้ยงปลา เลี้ยงหมา เลี้ยงลูก…” ฉินสือโอวกล่าว


วินนี่จับมือของเขาไว้ เธอแย้มรอยยิ้มน้อยๆ แล้วพูดกับเขา “เลี้ยงลูกตอนไหนคะ?”


ฉินสือโอวแพ้ให้เธอแล้วจริงๆ เขาตอบเธอกลับไป “ไม่ใช่ว่ากำลังพยายามอยู่เหรอครับ? คุณดูสิ ทุกคืนผมพยายามต่อสู้สุดชีวิต…”


“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะพูดเรื่องพวกนี้หรอกนะ?” เออร์บักกระแอมไอแล้วเอ่ยออกมา


วินนี่ทำท่าทางเหมือนเขินอายมาก แต่จริงๆ แล้วเธอกลับถอดรองเท้าออก แล้วใช้ปลายเท้ายั่วยุฉินสือโอว


ฉินสือโอวแทบจะคุกเข่าแล้ว ตอนนี้เขาปวดหัวมากๆ เลยโอเคไหม? ทว่าแอบคนคร่ำครึอย่างเออร์บักหยอกกันเล่นแบบนี้ก็ดูเหมือนจะสนุกดีอยู่เหมือนกัน


เออร์บักวิเคราะห์ให้เขาฟัง “นี่เป็นเรื่องธรรมดามาก ฉิน ตั้งแต่นายตัดสินใจรวมฟาร์มปลาของเกาะแฟร์เวลเข้าด้วยกัน ฉันก็รู้แล้วว่าจะเกิดเรื่องอย่างวันนี้ นายครอบครองพื้นที่ฟาร์มปลาที่ใหญ่ที่สุดเอาไว้ พวกชาวประมงต้องตามทิศทางลมมาหานายอยู่แล้ว”


ฉินสือโอวไม่ได้คิดอย่างนั้น “ผมไม่อยากแบกรับภาระหน้าที่มากมายขนาดนี้ แล้วก็ไม่อยากเป็นผู้นำหรือบุคคลในสังคมชั้นสูงอะไรแบบนั้นด้วย”


ถ้าเขาอยากเข้าสู่วงสังคมชั้นสูง เขาคงเข้าไปนานแล้ว มีโอกาสอยู่เยอะแยะ เอี๋ยนตงเหล่ย ตระกูลสเตราส์ที่เคยเจอเมื่อก่อน จิม วอลตันที่ได้รู้จักกันตอนบริจาคเงินให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ที่มาของคนเหล่านี้ดีพอดูเลยทีเดียว


นอกจากนี้ถ้าเขาไม่อยากจะใช้ประโยชน์จากคนที่ไม่ได้คุ้นเคยกันมาก เขาก็ยังมีพวกบิลลี่ แบรนดอนกับเบลคอยู่ ความสามารถของคนเหล่านี้ไม่ใช่ว่าจะดูถูกได้เช่นกัน


แต่นี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากได้ นอกจากช่วงเวลาตอนที่ค้นพบว่าฟาร์มปลาสามารถผลิตไข่มุกสีดำได้ เขาก็ไม่ได้มีความมุ่งมั่นทะเยอทะยานกับตำแหน่งทางสังคมเลย ชีวิตของคนลองคิดๆ ดูแล้วก็ไม่มีความน่าสนใจอะไรเลยจริงๆ ดิ้นรนไปดิ้นรนมาจนน่าเหน็ดเหนื่อยเกินไป แท้ที่จริงแล้วคนเราจะดิ้นรนไปเพื่ออะไรกัน? ไม่ใช่เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกพึงพอใจกับชีวิตหรอกเหรอ?


ฉินสือโอวรู้สึกว่าเขาพึงพอใจกับชีวิตในตอนนี้มากๆ แล้ว ฤดูใบไม้ผลิมีดอกไม้แดง ฤดูหนาวมีหิมะขาว ฤดูร้อนมีลมทะเล ส่วนฤดูใบไม้ร่วงมีพระจันทร์สวย มีเงินไม่ขาดสุขภาพก็แข็งแรง แถมยังมีครอบครัว มีภรรยาสาวสวยกับสัตว์เลี้ยงที่น่ารัก ข้างกายมีเพื่อนที่รู้ใจอยู่หลายคน แบบนี้ยังไม่พออีกเหรอ?


ก่อนจะได้รับหัวใจโพไซดอนมา ชีวิตแบบนี้ฉินสือโอวไม่กล้าคิดฝันถึงมันเลยแม้แต่นิดเดียว!


หลังจากเออร์บักเข้าใจถึงความคิดของเขา ก็โน้มน้าวให้เขาปล่อยมันไปตามธรรมชาติ การดื่มด่ำกับความสุขของชีวิตไม่ได้หมายความว่าจะต้องหลีกหนีความเป็นไปของโลก บางเรื่องที่เป็นความรับผิดชอบของเขา เขาต้องเป็นคนแบกรับมันไว้


ฉินสือโอวได้ฟังแล้วคิดว่ามันถูกต้อง เรื่องพวกนี้คงทำได้แค่ปล่อยให้มันเป็นไป


หลังจากทานอาหารเสร็จ หวังเหล่ยกับเหยาลี่ลี่ก็เข้ามาใช้อินเทอร์เน็ตด้วยท่าทางระมัดระวัง ที่อพาร์ตเมนต์ชาวประมงก็มีอินเทอร์เน็ต ทว่าเป็นอินเทอร์เน็ตแบบใช้สายไม่มีเราท์เตอร์ไวฟายให้ ดังนั้นถ้าพวกเขาจะให้อินเทอร์เน็ตเลยต้องมาใช้ที่วิลล่า


เห็นท่าทางท่าทางหวาดกลัวของคนทั้งคู่ วินนี่ก็ยกยิ้มขึ้น เธอต้มกาแฟให้ทั้งสองคนมาหนึ่งกาแล้วพูดกับพวกเขาอย่างเป็นมิตร “พวกเธอเข้ามาเล่นที่นี่ได้ตามสบายเลยนะ บางครั้งพวกเราก็ไม่ปิดไฟห้องรับแขกตอนกลางคืน แต่ยังไงพวกเธอก็ต้องระวังเรื่องสุขภาพด้วยนะ แล้วก็ พวกเธอจะดูทีวีก็ได้ จ้องหน้าจอมือถือทำร้ายดวงตามากๆ เลยไม่ใช่เหรอ?”


ฉินสือโอวยักไหล่น้อยๆ แล้วกล่าวว่า “สู้เล่นมือถือไม่ได้หรอก ทีวีมีอะไรดีตรงไหน? ไม่มีช่องทีวีภาษาจีนด้วย”


พอพูดจบเขาก็เปิดทีวีขึ้น เลือกช่องไปมามีรายการทีวีอยู่ไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่เป็นรายการทีวีของแคนาดากับอเมริกา รายการภาษาจีนไม่ว่าจะเป็นแหล่งสารสนเทศหรือการถ่ายทอดสดกลับมีอยู่น้อยนิดเท่านั้น


ตอนอยู่ที่จีน ฉินสือโอวขี้เกียจดูทีวี ถ้ามีเวลาก็เอาไปเล่นอินเทอร์เน็ตดีกว่า แต่เช่นเดียวกับที่ว่ากันว่าสูญเสียไปแล้วจึงรู้คุณค่า พอมาถึงแคนาดาเขาดันไม่อยากเล่นอินเทอร์เน็ต แต่กลับสนใจรายการทีวีภาษาจีนมากกว่า


คนจีนส่วนมากก็เป็นแบบนี้ ที่จริงการดูรายการทีวีภาษาจีนที่แคนาดาไม่ใช่เพราะอยากดูว่ารายการนั้นสนุกแค่ไหน แต่เพื่อฟังเสียงภาษาจีนกลางมากกว่า กระทั่งการฟังเสียงนี้ยังแตกต่างกับการเล่นมือถือเลย


เกาะแฟร์เวลมียอดเขาที่ยิ่งใหญ่ มีมหาสมุทรกว้างไกล มีท้องฟ้าสีคราม มีผู้คนที่สุภาพอ่อนโยน มีลมเย็นสบายผะแผ่ว มีป่าไม้สีเขียวขจี มีเสียงแมลงและนกร้อง แต่ที่ไม่มีคือเสียงเจี๊ยวจ๊าวของคนจีน


นี่เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ฉินสือโอวพยายามผลักดันการท่องเที่ยวของเกาะแฟร์เวลกับประเทศจีน ตอนนั้นเขาไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมตัวเองถึงได้อยากจัดการเรื่องการท่องเที่ยวขนาดนั้น ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจแล้ว ตอนนั้นในใจลึกๆ ของเขารู้สึกไม่สบายใจนักที่มีเขาแค่คนเดียวที่เป็นคนจีนบนเกาะแฟร์เวล และตอนนี้ความรู้สึกแบบนั้นก็เริ่มเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ


ได้ยินที่ฉินสือโอวบ่น หวังเหล่ยก็มองเขาด้วยความประหลาดใจแล้วถามออกมา “พี่ฉิน พี่อยากดูรายการทีวีภาษาจีนเหรอครับ?”


ฉินสือโอวพยักหน้า ของหายากจึงมีคุณค่า แคนาดาเป็นประเทศของผู้อพยพ ถึงแม้ว่าจะมีรายการทีวีภาษาจีนแต่ก็มีอยู่น้อยเกินไป ขึ้นอยู่กับการจัดการ เนื่องจากกำลังสำคัญคือรายการภาษาอังกฤษกับภาษาฝรั่งเศส ต่อจากนั้นก็มีรายการภาษาสเปน ภาษาเยอรมัน ภาษารัสเซีย ภาษาญี่ปุ่น และภาษาเกาหลีให้ดู


หวังเหล่ยดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เขาพูดด้วยรอยยิ้ม “ได้ พี่ฉิน เรื่องนี้ปล่อยให้ผมจัดการเถอะ แค่รายการภาษาจีนใช่ไหมครับ? เรื่องกล้วยๆ ! ก็แค่เวลาของพวกเราต่างกับที่จีนอยู่ เลยดูรายการดีๆ ของช่วงไพร์มไทม์ไม่ได้”


เรื่องนี้ไม่สำคัญอะไร ได้ฟังเสียงภาษาจีนก็พอแล้ว ตอนนี้ฉินสือโอวชอบฟังละครสั้นตลกๆ มาก เขาไม่ค่อยสนใจศิลปะชั้นสูงอย่างภาพสีน้ำมัน รูปปั้นหรือคอนเสิร์ตอะไรพวกนั้นเท่าไรนัก เขาชอบความสนุกอย่างง่ายๆ มากกว่า


หวังเหล่ยกลับไปหยิบของที่คล้ายๆ กันกับยูเอสบีแฟลชไดรฟ์มาอันหนึ่ง เขาเสียบมันเข้าไปกับคอมพิวเตอร์แล้วเริ่มติดตั้งโปรแกรมลงไป ต่อจากนั้นจึงเสียบมันเข้ากับช่องเสียบยูเอสบีของทีวีติดผนังซูเปอร์แอลซีดีที่มีขนาดใหญ่กว่าร้อยนิ้วในห้องรับแขกแล้วพูดขึ้นมา “ตอนนี้สามารถรับรายการทีวีได้บางส่วนแล้ว แต่ถ้าอยากได้ความชัดสูงต้องซื้อจานมาหนึ่งอัน เดี๋ยวผมจะช่วยพี่รวมสัญญาณเอง ถึงตอนนั้นแม้กระทั่งช่องทีวีมณฑลก็รับได้”


“จาน?” วินนี่ถามขึ้นมาด้วยความสนอกสนใจ


ฉินสือโอวเข้าใจที่หวังเหล่ยพูด จึงบอกกับเธอว่า “มันคือเครื่องรับสัญญาณดาวเทียมนั่นล่ะครับ มันเหมือนกับจานเลยใช่ไหมล่ะ? นั่นเป็นชื่อเล่นของมันน่ะ”


เป็นอย่างนั้นจริงๆ เขาเปิดทีวีขึ้น หวังเหล่ยช่วยเขาปรับดูแล้ว ช่องที่ได้มีช่องแมงโก้ทีวี กำลังฉายรายการบันเทิงที่ไม่ตลกเลยแม้แต่นิดเดียว ทว่าฉินสือโอวดูไปสักพักก็หัวเราะออกมา น่าสนใจจริงๆ แหละ


หลังจากนั้นฉินสือโอวก็ปรับเสียงให้พอดีแล้วหยิบไอแพดออกมาเริ่มเล่นเกม อืม ฟังภาษาจีนไปพร้อมกับเล่นเกมก็ได้อารมณ์เหมือนกัน


หวังเหล่ยรู้สึกดีใจมากที่ได้ช่วยฉินสือโอวได้ เขารู้สึกกระตือรือร้นมากๆ วันต่อมาเขากับเหยาลี่ลี่จึงไปที่นครเซนต์จอห์นเพื่อซื้อเครื่องรับสัญญาณดาวเทียมมาหนึ่งอัน พอเอากลับมาแล้วก็ใช้เวลาปรับอีกครึ่งชั่วโมงกว่าๆ ก็สามารถรับสัญญาณช่องทีวีจีนได้เยี่ยมยอดมากๆ แล้ว ภาพก็มีความชัดสูงด้วย


ชาร์คกับคนอื่นๆ ที่เห็นภาพเหตุการณ์นี้ต่างพากันส่ายหัวทันที “นี่ผิดกฎหมายนะ แอบเข้าถึงสถานีโทรทัศน์ต่างประเทศแถมไม่ได้จ่ายตังค์ นี่เรียกว่าละเมิดสิทธิกับผลประโยชน์ของช่องทีวีเลย”


หวังเหล่ยเกาะหัวแกรกๆ ด้วยความรู้สึกผิด ฉินสือโอวบอกเขาว่าไม่ต้องไปฟังที่หมอนี่พูดไร้สาระ เขาพอใจจะทำแบบนี้ไง? นี่คืออาการคิดถึงบ้าน ไม่เกี่ยวอะไรกับเงินทอง ดังนั้นจึงไม่เกี่ยวข้องอะไรกันกับเรื่องผลประโยชน์


หลังจากฉินสือโอวเดินออกไปแล้ว ชาร์คกับคนอื่นๆ ก็เข้ามาล้อมหวังเหล่ยไว้ นักศึกษานึกว่าการกระทำของตัวเองไปยั่วยุชาวประมงที่รู้กฎหมายพวกนี้เข้า แต่ชาวประมงพวกนี้กลับถามเขาเสียงเบาว่า “ช่องทีวีเที่ยงคืน ช่องทีวีเที่ยงคืนของอเมริกานายทำได้ไหม?”


บทที่ 645 วันครอบครัว

โดย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อมีช่องทีวีภาษาจีนมาเติมเต็มชีวิต ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าชีวิตครอบครัวเล็กๆ ของเขาราบรื่นยิ่งกว่าเดิม บัตเลอร์ขนอาหารทะเลอีกล็อตไปแล้ว บัตเลอร์บอกว่าเลือกห้องแช่เย็นในไมอามีไว้บ้างแล้ว ถ้ามีเวลาก็ให้ลองไปดู แล้วพิจารณาว่าจะซื้ออันไหน


ฉินสือโอวยังไม่ได้ไปดู เสาร์อาทิตย์ของสัปดาห์แรกในเดือนมิถุนายนเป็นวันครอบครัวของนิวฟันด์แลนด์ ปีที่แล้วเขาอยู่ตัวคนเดียวเลยฉลองไม่ได้ ปีนี้เขาจึงพาวินนี่ไปที่โบสถ์เพื่อรับพร


ถึงแม้ว่าจะมีผู้อพยพเยอะขนาดนี้ ทว่าวัฒนธรรมของศาสนาคริสต์ในประเทศแคนาดาที่มีพื้นที่กว้างใหญ่กลับมีเสถียรภาพมาก และไม่ได้ทำให้เกิดผลกระทบเลยแม้แต่นิดเดียว ต้องมาที่อเมริกาเหนือถึงจะสามารถสัมผัสได้ว่าประเทศนี้มีความผูกพันกับวัฒนธรรมศาสนาคริสต์ที่สมบูรณ์แบบขนาดไหน วัฒนธรรมแบบนี้ได้แทรกซึมเข้าสู่ทุกแง่มุมในชีวิตของพวกเขาไปแล้ว


ศาสนามีพละกำลังที่เข้มแข็งมาก ไม่ว่าจะเป็นชาวอินเดียหรือชาวจีนหรือชาวแอฟริกา หลังจากมาถึงแคนาดาก็ใช้เวลาไม่นาน ส่วนใหญ่จะติดตามเหล่าทูตของพระยโฮวาห์มานับถือพระเจ้า ชาวตะวันออกกลางเป็นข้อยกเว้น ความบ้าคลั่งของอิสลามทำให้ชาวคริสต์ต้องทำตัวดีๆ พวกเขาจะไม่ไปเผยแพร่คำสอนให้พวกอาบังไว้หนวด ถ้าทำคงเอาชีวิตไม่รอด!


วันครอบครัวมีความเกี่ยวข้องกับศาสนาคริสต์ ดังนั้นจึงต้องจัดในโบสถ์ ส่วนใหญ่จะมาเข้าร่วมกันทุกครอบครัว แต่จะไม่ได้มาพร้อมกันทั้งหมดและทยอยมากันเป็นกลุ่มๆ


เมื่อฉินสือโอวกับวินนี่มาถึงโบสถ์แล้วนั่งลงไป สองสามีภรรยาฮิวจ์ก็ยกขนมหวานกับเครื่องดื่มมานั่งข้างๆ พวกเขา ฮิวจ์วางพระคัมภีร์ลงหนึ่งเล่มเพื่อให้ฉินสือโอวลองอ่านดู


ฉินสือโอวเป็นคนนอกศาสนาในเมืองนี้ เขาไม่สนใจเรื่องเกี่ยวกับพระเจ้า ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนให้ทุนซ่อมโบสถ์ก็ตามที


นี่ไม่ได้หมายความว่าฉินสือโอวไม่มีความเชื่อ ความเชื่อของเขามีความเป็นจริงมากกว่า นั่นคือเทพโพไซดอน เพราะเขามีหัวใจโพไซดอน…


ฮิวจ์ดื่มกาแฟพร้อมกับพูดขึ้นมา “พระยโฮวาห์กล่าวไว้ว่าผู้ที่มีความชอบธรรมจะดำเนินในความซื่อสัตย์ บุตรของท่านจะได้รับการอวยพร ลูกชายที่โง่เขลา คือความหายนะของบิดา การโต้เถียงของภรรยา เป็นดั่งฝนที่ไหลลงอย่างต่อเนื่อง”


ฉินสือโอวพยักหน้าอย่างตั้งใจรับฟัง เขาไม่ได้นับถือศาสนาคริสต์ แต่เขาเคารพความเชื่อของฮิวจ์ ดังนั้นทุกครั้งที่มีคนเอ่ยถึงพระคัมภีร์ให้เขาฟัง เขาก็จะรับฟังอย่างตั้งใจ


วินนี่เป็นจุดรวมสายตาของผู้หญิงในเมืองนี้ หลังจากที่เธอมาถึงแล้วก็มีผู้หญิงบางส่วนที่เข้ามาหาเธอดื่มชาไปพร้อมๆ กับพูดคุยสอบถามกันเรื่องช่วยเหลือสามีและดูแลลูก กับรักษาความกลมเกลียวกันของครอบครัวอย่างไร


เวลาต่อมาบาทหลวงทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินพิธี นำทุกคนพูดคุยสนทนาหลากหลายหัวข้อ อย่างเช่นว่าจะปกป้องคุ้มครองครอบครัวและคู่ชีวิตอย่างไร จะรักคนในครอบครัวอย่างไร จะจัดการความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านอย่างไร เป็นต้น


การรวมตัวกันของแต่ละครอบครัวแบบนี้เป็นโอกาสที่ดีที่ทุกๆ คนจะได้พูดคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ที่จริงแล้วเวลาผู้หญิงอยู่ด้วยกันก็ไม่ได้พูดคุยกันแค่ว่าจะรักสามี อบรมสั่งสอนลูกชายลูกสาวหรือเคารพผู้อาวุโสยังไง แต่ยังพูดคุยกันถึงเคล็ดลับการทำงานบ้านและสอบถามทักษะการทำอาหารจากกันและกันด้วย


วินนี่ทานขนมไปพร้อมๆ กับแนะนำเคล็ดลับการจัดการห้องครัวของเธอ “ปกติแล้วฉันจะเริ่มทำจากรายละเอียดเล็กๆ อย่างเช่นฉินสือโอวชอบทานอาหารจำพวกของทอด ดังนั้นปกติแล้วก่อนทำอาหารฉันจะติดฟิล์มถนอมอาหารไว้บนผนังข้างกระทะทอดก่อนหนึ่งชั้น พอทำอาหารเสร็จแล้วถึงแกะมันออก แบบนี้จะทำให้จัดการกับคราบน้ำมันที่กระเด็นไปรอบๆ ได้อย่างง่ายๆ แล้วล่ะค่ะ”


“นี่เป็นความคิดที่ไม่เลวเลยนะ” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดกับเธอด้วยรอยยิ้ม “ฉันก็มีเคล็ดลับการทำความสะอาดห้องครัวมาแบ่งปันเหมือนกัน เป็นเรื่องที่ง่ายมาก…”


ผู้ชายมารวมตัวกัน ในสถานการณ์อย่างนี้คงไม่พูดคุยเรื่องสาวสวย รถรุ่นดัง หรือเรือยอชต์อะไรพวกนั้น เรื่องที่คุยกันคือการตกปลาและปัญหาของฟาร์มปลา ปีนี้มีเรื่องการท่องเที่ยวที่เพิ่มเข้ามาเป็นพิเศษ ทุกคนกำลังปรึกษาหารือกันว่าอยากจะพัฒนารายการท่องเที่ยวสักรายการ


ท้ายที่สุด บาทหลวงได้บรรยายปัญหาบางส่วนที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวที่อยู่ในพระคัมภีร์ “การสร้างครอบครัวหนึ่งขึ้นมา เริ่มต้นจากการแต่งงาน ช่วงเวลาของคนสองคนที่มีความรักต่อกัน จับมือกันเข้าไปในพิธีแต่งงานราวกับว่ามีปุ่มที่ปรากฏขึ้นในวงจรของชีวิตแล้ว…”


สำหรับปัญหาเรื่องครอบครัว ฉินสือโอวฟังจนจำขึ้นใจ ชาวแคนาดาให้ความสำคัญกับครอบครัวมากๆ เนื่องจากสาเหตุเรื่องผู้อพยพ เกือบทุกครอบครัวคือประเทศเล็กๆ หนึ่งประเทศ ดังนั้นชาวแคนาดาจึงทำทุกวิถีทางที่จะทะนุถนอมและปกป้องครอบครัวของตัวเอง ถ้าไม่อย่างนั้นหากไม่มีครอบครัวแล้ว การอยู่อาศัยในประเทศที่ไม่คุ้นเคยอย่างนี้ก็นับว่าเป็นการอยู่อย่างโดดเดี่ยวลำพังในต่างแดนอย่างแท้จริง


ข้อนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนที่สุดในการใช้ชีวิตช่วงฤดูใบไม้ผลิกับฤดูร้อน ทุกครั้งที่ฉินสือโอวเข้าไปในเมือง ล้วนมีภาพเหตุการณ์พ่อพาลูกซ่อมบ้านหรือไม่ก็พาลูกดูแลสวน ส่วนแม่กำลังทำอาหารว่าง คั้นพวกน้ำผลไม้เพื่อเป็นเครื่องดื่มอยู่ในห้องครัว รอสามีกับลูกทำงานเสร็จ จากนั้นพวกเขาก็จะมาทานอาหารมื้อเล็กๆ ด้วยกัน


ฉินสือโอวคิดว่าชีวิตแบบนี้ไม่เลวเลยจริงๆ เรียบๆ ง่ายๆ เต็มไปด้วยความอบอุ่น


หลังจากกลับมาถึงบ้านแล้ว ฉินสือโอวก็ไปตัดแต่งสนามหญ้าเช่นกัน พอดีกับที่เขาต้องพาหวังเหล่ยใช้เครื่องตัดหญ้าให้เกิดความคุ้นเคยด้วย


การขับเครื่องตัดหญ้าก็เหมือนกับรถคันเล็กๆ ฉินสือโอวแนะนำเขา “หน้าที่หลักของนายคือการสร้างสนามหญ้า ถ้าเห็นหญ้ารกๆ พงใหญ่ตรงไหน ตรงนั้นต้องใช้พลั่วเหล็กขุดมันทิ้ง ความรับผิดชอบหนักใช้ได้เลยเพราะพื้นที่ในฟาร์มปลาของฉันค่อนข้างเยอะ”


หวังเหล่ยพูดกับเขาด้วยความฮึกเหิมในการทำงานอย่างเต็มเปี่ยม “วางใจเถอะครับ พี่ฉิน เรื่องนี้ผมรู้ดี แต่ฟาร์มปลาของพี่ใหญ่มากจริงๆ ถ้าเป็นที่ประเทศจีนของเรา พี่เป็นมหาเศรษฐีที่ดินไปแล้ว”


ฉินสือโอวยิ้ม เจ้าเด็กนี่ไม่รู้ว่าเขามีพื้นที่ในทะเลของฟาร์มปลาอยู่เยอะแค่ไหน แบบนั้นคงไม่ใช่แค่เศรษฐีที่ดินแล้วล่ะนะ


ช่วงนี้พวกห่านขาวพากันฟักไข่อยู่ในอาณาเขตของตัวเองอย่างสบายใจ ฉินสือโอวเผลอมองข้ามพวกมันไป เขาลืมเตือนหวังเหล่ยไม่ให้ไปยุแหย่ฝูงห่าน ปรากฏว่าตอนที่หวังเหล่ยกำลังทำงานอยู่ไม่ทันได้ระวังจึงรุกเข้าไปในทุ่งหญ้าแห่งใหม่ของพวกห่านไท่หู


ทุ่งหญ้าผืนนั้นปลูกหญ้าชั้นดีเอาไว้ พวกมันเติบโตได้รวดเร็วมาก เวลาในการเพาะปลูกยังไม่นาน ทว่าใบหญ้าก็พากันโตขึ้นจนหมดแล้ว เนื่องจากก่อนหน้านี้ไม่ได้ตัดแต่งมาก่อน หวังเหล่ยจึงคิดจะเล็มพวกมันให้ได้ระดับ


แต่นี่ทำให้ห่านไท่หูตกใจกลัวมาก พวกมันนึกว่าจะมีหัวขโมยมาขโมยไข่ห่านอีกแล้ว พอเริ่มมองเห็นเครื่องตัดหญ้าที่กำลังส่งเสียงดังขับผ่านเข้ามา พวกมันก็ตกใจจนกระพือปีกวิ่งหนีอุตลุดไปหมด หลังจากนั้นพอเริ่มชินกับเสียงดังครืนๆ ของเครื่องตัดหญ้าแล้ว พวกมันก็เริ่มแสดงอำนาจของพวกมันออกมา


หลังจากเครื่องตัดหญ้าทำงานไปได้สักพักก็เกิดปัญหาเรื่องใบหญ้ากองสุมกันขึ้นมา หวังเหล่ยหยุดรถ เขาอยากจะลงไปปัดกวาดสักหน่อย แต่ปรากฏว่าพอเขาลงรถไป ห่านขาวสองตัวที่กำลังจ้องเขาตาเป็นมันอยู่ด้านข้างดันยื่นหัวออกมาแล้วกัดเขาเข้าไปเต็มแรง


หวังเหล่ยเจ็บจนร้องครวญครางออกมา เขากระโดดขึ้นมาเหมือนโดนไฟจี้ ห่านไท่หูตัวอื่นเห็นว่าเขารังแกได้ง่ายต่างพากันร้องแควกๆ ล้อมกันเข้ามา


โชคดีที่หวังเหล่ยมีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว พอเห็นท่าทางที่ดูรุนแรงของห่านพวกนี้เขาก็รู้แล้วว่าคงรับมือได้ไม่ง่ายๆ เขาจึงหมุนตัวแล้วรีบวิ่งหนีไป


ฉินสือโอวที่อยู่ตรงประตูวิลล่าเห็นฝูงห่านพากันทำตัวกำแหง พอดีกับที่วันนี้นิมิตส์กับบุชกลับมาเร็ว เขาจึงผิวปากออกมาด้วยเสียงดังกังวานพร้อมกับชี้ไปที่ฝูงห่าน


นิมิตส์ไม่มีความสนใจที่จะกำราบฝูงห่าน มีเพียงบุชที่กำลังอยู่ในช่วงกระหายการต่อสู้ มันจึงกางปีกทั้งสองข้างออกแล้วบินขึ้นไปในอากาศ หลังจากส่งเสียงร้องดังกังวานของอินทรีออกมา มันก็บินดิ่งบุกเข้าไปเหมือนเครื่องบินเล็กหนึ่งลำ


ฝูงห่านแค่มองเห็นบุชก็เกิดความกลัว ความเผด็จการของอินทรีหัวขาวไม่ได้มาเพราะขี้โม้ แต่มาจากการฝึกฝนสู้รบจริงๆ ในหลายๆ ครั้ง


บุชเริ่มเรียนรู้การต่อสู้จากการลงมือกับฝูงห่าน ก่อนหน้านี้สักระยะหนึ่งมันจัดการกำราบจนฝูงห่านดูน่าเวทนานัก จนทิ้งเงามืดในจิตใจที่ไม่อาจลบเลือนได้ให้แก่พวกมัน


เมื่อรอดพ้นจากการไล่โจมตีของฝูงห่าน หวังเหล่ยก็ดึงเสื้อผ้าที่ขาดรุ่งริ่งขึ้นและเผยให้เห็นรอยสีเขียวช้ำหลายรอยที่อยู่บนเอวด้านหลังของเขา เหยาลี่ลี่จึงรีบนวดให้เขาด้วยความเป็นห่วง


พอเริ่มนวดหวังเหล่ยก็แทบจะน้ำตาตก “อย่าลงแรงสิที่รัก เธอช่วยเป่าให้ฉันดีกว่านะ”


ฉินสือโอวหยิบสเปรย์มาให้เขาใช้ พร้อมทั้งพูดกับเขาด้วยความรู้สึกผิดอย่างเต็มเปี่ยม “ลืมบอกนายไปเลย ว่าอย่าไปใกล้ฝูงห่าน ไม่ต้องไปดูแลสนามหญ้าของพวกมันที่อยู่ตรงนั้น เอาอย่างนี้เย็นวันนี้พวกเรากินห่านขาวตุ๋นกัน พวกนายก็มากินด้วยกันเถอะนะ ถือซะว่าเป็นการขอโทษ”


บทที่ 646 ห่านตุ๋นกระทะเหล็ก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฉินสือโอวพูดได้ทำได้ ตอนเย็นเขาก็ให้เบิร์ดจัดการห่านมาหนึ่งตัวเพื่อเอามาทำเป็นห่านตุ๋นกระทะเหล็ก


เดิมทีเขาคุ้นชินกับการตุ๋นห่านทาน ห่านของฟาร์มปลาล้วนแต่ถูกเลี้ยงแบบปล่อยไม่เคยป้อนหัวอาหารให้กินมาก่อน รสชาติของมันจึงไม่ธรรมดา เนื้อห่านละเอียดเกลี้ยงเกลาไม่แห้งเลยแม้แต่นิดเดียว ฉินสือโอวทานแล้วก็รู้สึกว่ารสชาติดียิ่งกว่าเนื้อของไก่งวงเสียอีก


เพราะเลี้ยงห่านขาวฝูงนี้ไว้ ฉินสือโอวจึงทิ้งไก่ง่วงไปทันที ไก่งวงป่าสองสามตัวที่เอาลงมาจากภูเขาพวกนั้นก็ยังมีชีวิตอยู่อย่างอิ่มหนำสำราญมาจนทุกวันนี้ พวกมันมีแต่ตัวที่อ้วนท้วนแข็งแรงแน่นอน


สิ่งที่สำคัญกว่าห่านตุ๋นก็คือน้ำซุป เหมือนที่ว่ากันว่า ‘อยากสุขภาพดี ต้องดื่มซุปห่าน’ รสชาติของซุปจากห่านของฟาร์มปลาที่ตุ๋นออกมาทั้งหอมทั้งอุดมไปด้วยสารอาหาร ช่วงก่อนหน้านี้ไม่นานตอนที่วินนี่ให้หลัวปอหย่านม เธอก็ป้อนน้ำซุปให้มันกินเพื่อเสริมสารอาหารบำรุงร่างกายจนเธอสามารถเลี้ยงหลัวปอให้อ้วนพีได้


ทำห่านตุ๋นกระทะเหล็กครั้งนี้ถือเป็นเมนูที่ฉินสือโอวทำตามรายการทำอาหารภาษาจีนที่เขาเพิ่งดูมา ว่ากันว่าเป็นอาหารชื่อดังของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เขาอยากลองทำชิมดูจึงโทรศัพท์ไปหาเจี้ยนผานโฮ่วบอกให้เขามาช่วยหลังจากเลิกงานแล้ว


พอได้ยินว่าจะทำห่านตุ๋นกระทะเหล็ก เจี้ยนผานโฮ่วก็หัวเราะฮ่าๆ ออกมา “พี่ครับ พี่ฆ่าห่านไว้ให้ผมก็พอแล้วครับ รอผมไปทำให้พี่ ของพวกนี้ผมถนัดมาก”


เจี้ยนผานโฮ่วก็คือเจี้ยนผานโฮ่ว เขาทำงานอยู่ที่ร้านผลิตภัณฑ์อาวุธและเครื่องใช้กลางแจ้งได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซาโกรให้ความสำคัญกับเขามาก เห็นว่าเขามีความรับผิดชอบดี ตอนนี้งานหลายอย่างก็มอบหมายให้เขาเป็นคนควบคุมเองแล้ว


ไม่ต่างกับเมื่อก่อนเท่าไรนัก โหวจื่อเซวียนก็ยังดูสูงๆ ผอมๆ อยู่เหมือนเดิม ทว่าบนร่างกายก็เริ่มมีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นมาไม่น้อย ถึงยังไงตอนนี้เขาก็ขัดปืนเล่นมีดอยู่ทุกวัน พอซาโกรไม่มีอะไรทำก็จะพาเขาไปออกกำลังกายด้วยกัน สภาพร่างกายจึงแข็งแรงกำยำกว่าเดิมเยอะ


เพียงแต่สิวบนหน้าของโหวจื่อเซวียนกลับเยอะยิ่งกว่าเดิม ฉินสือโอวเห็นหลายครั้งแล้วก็รู้สึกเป็นห่วง จึงถามเขาว่ารู้สึกอึดอัดไหม มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้ บนเกาะแฟร์เวลลมดีน้ำดีมีอากาศบริสุทธิ์ ผิวของเขาควรจะดีขึ้นกว่าเดิมสิถึงจะถูก


พลบค่ำโหวจื่อเซวียนปิดร้านแล้วขับรถมาที่ฟาร์มปลาของฉินสือโอว เขาสวมเครื่องแบบทหารผ้าหยาบสีน้ำเงินเข้มที่เป็นสัญลักษณ์ของกองทัพแดงในช่วงเดินทางทัพไกล บนหน้าแข้งก็ยังมีผ้าพันไว้ บนหัวสวมหมวกทหารดาวห้าแฉก ดูแล้วค่อนข้างประหลาด แต่เขาร่าเริงดูมีชีวิตชีวา ดังนั้นจึงให้ความรู้สึกที่ไม่เลวเลย


ฉินสือโอวให้โหวจื่อเซวียนกับหวังเหล่ยแนะนำตัวซึ่งกันและกัน เหยาลี่ลี่ก็พูดขึ้นมา “พี่โฮ่วชอบเล่นคอสเพลย์เหรอคะ? เมื่อก่อนตอนอยู่จีนฉันก็เคยเล่นเหมือนกัน แต่ไม่ได้เชี่ยวชาญเท่าพี่”


โหวจื่อเซวียนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เขาจึงอธิบายออกไป “ไม่ใช่ๆ นี่เป็นชุดทำงานของฉัน พี่ฉินไม่ได้เล่าให้ฟังเหรอว่าฉันทำงานอยู่ที่ร้านปืน เลยแต่งตัวแบบนี้เพื่อดึงดูดลูกค้าน่ะ”


พอพูดจบเขาก็หันไปมองฉินสือโอวหน้าบานด้วยความปีติยินดี “พี่ฉิน พี่ไม่รู้เหรอ ตอนนี้ในประเทศผมดังในเวยป๋อแล้วนะ นักท่องเที่ยวจีนที่มาที่นี่ก็จะมาขอถ่ายรูปคู่กับผม ฟัค ผมรู้สึกเหมือนตัวเองจะกลายเป็นดาราแล้วเลย”


ฉินสือโอวไม่เล่นเวยป๋อ ดังนั้นตอบรับกันไปไม่กี่ประโยคเขาก็หมดความสนใจแล้ว


แต่โหวจื่อเซวียนกลับดูเหมือนว่าจะสนใจเวยป๋อ เขาจึงชวนฉินสือโอวเล่นอยู่เรื่อยๆ “ลองเล่นดูเถอะพี่ฉิน เพิ่มช่องทางการสื่อสารที่จีนหน่อยน่า ให้พวกเขาได้ทำความรู้จักกับเกาะแฟร์เวลของพวกเราหน่อย มีประโยชน์กับการขยายธุรกิจของพวกเรานะ”


ฉินสือโอวเบะปากแล้วพูดออกมา “พอเถอะ ตอนนี้ธุรกิจการท่องเที่ยวของพวกเราก็ดีพอแล้วล่ะ ฉันอ่านรายงานหนึ่งไตรมาสของบริษัททัวร์ ตอนนี้ช่วงเวลาที่นักท่องเที่ยวจากจีนสมัครเข้ามากับกรุปทัวร์ก็ใกล้ถึงฤดูหนาวของปีนี้แล้วหรือเปล่า?”


การท่องเที่ยวของเกาะแฟร์เวลมีการจำกัดขอบเขต จะทำลายสิ่งแวดล้อมเพียงเพื่อการหาเงินไม่ได้ แฮมเล็ตพูดถึงอันตรายจากการฆ่าช้างเอางาไว้อย่างชัดเจน


ดังนั้นทางเทศบาลเมืองกับบริษัททัวร์จึงปรึกษาหารือกันดีแล้วว่าทุกสัปดาห์จะมีนักท่องเที่ยวมาสองกลุ่ม ทุกกลุ่มจะมีจำนวนคนมากที่สุด 100 คน ดังนั้นโดยทั่วไปแล้วภายในหนึ่งเดือนจะสามารถรับอัตราการไหลเวียนของนักท่องเที่ยวได้ 800 คน สำหรับเมืองนี้แล้วถือว่าความกดดันยังอยู่ในเกณฑ์ที่พอดี


เห็นว่าฉินสือโอวไม่สนใจ โหวจื่อเซวียนก็เม้มปากไปมาโดยไม่ได้พูดอะไรมากมายอีก จากนั้นเขาก็สวมปลอกแขนเพื่อเตรียมตัวทำงาน


ฉินสือโอวเคยเห็นจากในทีวี ห่านตุ๋นกระทะเหล็กต้องหั่นเนื้อห่านให้เล็กสักหน่อย แบบนั้นถึงจะมีรสชาติ หลังจากที่เขาให้เบิร์ดฆ่าห่านเรียบร้อยแล้วก็หั่นเนื้อห่านให้ได้ขนาดประมาณหัวนิ้วโป้ง จากนั้นก็ใส่ลงไปในหม้อต้มก่อนแล้วค่อยตักน้ำมันที่อยู่ด้านบนทิ้ง หลังจากนั้นก็ตักเนื้อห่านขึ้นมาใช้พัดลมเป่าให้แห้ง


ทำอาหารจีนต้องอาศัยเครื่องปรุงรส ตอนนี้ฉินสือโอวมักจะเตรียมสมุนไพรชนิดต่างๆ ไว้ให้พร้อมอยู่ตลอด โหวจื่อเซวียนลองถามดูก็เห็นว่ามีครบทุกอย่างจึงเริ่มลงมือทำ


เขาเทน้ำมันถั่วลิสงลงไปในกระทะที่เปิดไฟจนเดือด ฉินสือโอวเทอบเชยกับมะแข่น ใช้ไฟอ่อนๆ ผัดจนส่งกลิ่นหอม หลังจากนั้นก็ใส่เปลือกส้มเก่า ใบเบย์ ต้นหอมจีนหั่นท่อนกับแผ่นขิงลงไปผัดต่อ พอเห็นว่าระดับความร้อนของไฟได้ที่แล้วก็ใส่เนื้อห่านกองใหญ่ลงไปผัดในกระทะแรงๆ


รอจนเนื้อห่านมีรสชาติแล้ว ภายใต้การชี้นำของโหวจื่อเซวียน ฉินสือโอวก็ใส่เหล้าทำอาหารกับซอสอาหารทะเลลงไปในกระทะ จากนั้นก็ผัดต่อ ในตอนสุดท้ายก็ใส่เกลือกับน้ำตาลทรายแดงลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติให้กับเนื้อห่าน จากนั้นพอใส่น้ำลงไปก็เป็นอันเสร็จสิ้นแล้ว


กระทะไม่มีฝาครอบ แค่แป๊บเดียวกลิ่นหอมก็กระจายออกไปทันที หู่จือกับเป้าจือสูดจมูกวิ่งเข้ามาเชื่องๆ แล้วนั่งน้ำลายไหลมองไปที่เตาข้างๆ ฉินสือโอว


ฉินสือโอวเขกหัวพวกมันทั้งสองตัวให้ไปรออยู่ด้านข้าง ตรงนี้มีคนอื่นอยู่ด้วย จะยอมให้มันมากไม่ได้


หลัวปอสะบัดขนสีขาวบนตัวเข้ามาแหงนหน้าออดอ้อน ฉินสือโอวไม่สนใจมัน มันจึงเอนตัวลงไปกับสนามหญ้าแล้วกลิ้งไปกลิ้งมา ฉินสือโอวจับมันขึ้นมาทำท่าจะโยนมันลงไปในกองฟืนใต้กระทะ พอเป็นแบบนี้มันก็ตกใจกลัวแทบแย่ พอตกถึงพื้นแล้วก็ร้องอ๋าวๆ วิ่งออกไปทันที


ตั๋วตั่วที่ยังอยู่ที่ฟาร์มปลามองเห็นเหตุการณ์นี้ เด็กหญิงตัวน้อยที่ตอนแรกอยากเข้ามาใกล้ๆ ก็แอบอยู่อีกด้านหนึ่งอย่างขลาดกลัว แล้วตะโกนชี้นิ้วชี้มองไปที่กระทะด้วยดวงตาเป็นประกาย


ฉินสือโอวยย่อมไม่ได้ปฏิบัติกับตั๋วตั่วด้วยมาตรฐานเดียวกันกับเหล่าสัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว เขาลองดู พอเห็นว่าเนื้อห่านถูกตุ๋นสุกจนกินได้แล้ว เขาก็หยิบถ้วยใบเล็กมาเลือกเนื้อส่วนท้องที่นุ่มที่สุดใส่ลงไปแล้วส่งมันให้กับตั๋วตั่ว


ตั๋วตั่วให้ฉินสือโอวนั่งยองๆ ลงมา หนูน้อยเขย่งเท้าขึ้นไปแล้ว ‘จุ๊บ’ ลงไปหนึ่งครั้ง หลังจากนั้นก็ถือถ้วยใบเล็กวิ่งออกไป


หลัวปอก็วิ่งตามหลังเธอไปอย่างหน้าไม่อายแล้วใช้หัวที่มีขนนุ่มฟูถูหน้าแข้งของเด็กหญิงตัวน้อยด้วยท่าทีออดอ้อน


เด็กน้อยไม่รู้จักนิสัยของเจ้าพวกตะกละพวกนี้ จึงยอมแบ่งเนื้อให้หลัวปอกับพวกกระรอกดินกินโดยที่ตัวเองก็ยังรู้สึกเสียดาย ปรากฏว่าพอหลัวปอกินเนื้อในชามจนหมดแล้ว มันก็กระดกก้นวิ่งหนีไปทันที…


ในตอนกลางคืนฉินสือโอวกางโต๊ะหนึ่งตัวไว้ที่หน้าวิลล่า ทุกๆ คนก็เข้ามากินมาดื่มกันอยู่ที่นี่ ดื่มเบียร์สดใหม่ตากลมทะเลทำเอาหวังเหล่ย เหยาลี่ลี่กับโหวจื่อเซวียนรู้สึกสบายสุดๆ


หลังทานอาหารเสร็จไม่จำเป็นต้องให้ฉินสือโอวเป็นคนเก็บข้าวของพวกนี้ เขาเข้าไปคุยกับโหวจื่อเซวียนอยู่สักครู่ อีกคนก็อ้ำๆ อึ้งๆ เหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ตอนที่ฉินสือโอวถามเขา เขาก็ยิ้มอิหลักอิเหลื่อไม่ได้พูดอะไรออกมา


ฉินสือโอวเกลียดเวลาที่คนอื่นทำแบบนี้ที่สุด เขาเป็นคนตรงๆ ถ้ามีอะไรก็พูดออกมาเลย ท่าทางกระมิดกระเมี้ยนแบบนี้กลับทำให้เขารู้สึกไม่ดีด้วยซ้ำ


โหวจื่อเซวียนพูดมาจนถึงตอนท้ายแต่ก็ยังไม่มีเรื่องอะไร รอจนเขาไปแล้ว ฉินสือโอวที่ไม่มีอะไรทำก็พาจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปสู่ฟาร์มปลาเพื่อตรวจตราอาณาเขตของตัวเอง


ที่เขารู้สึกเป็นห่วงที่สุดก็คือหอยเป๋าฮื้อบริติชลายสลับสีพวกนั้น เขาจึงตั้งใจย้ายเป๋าฮื้อไปที่บริเวณใจกลางแนวปะการัง และยังออกคำสั่งให้ไอซ์สเกต บอลหิมะกับบีน ไปเฝ้าหอยเป๋าฮื้อไว้ให้ดี ใครหน้าไหนก็ห้ามมาแตะต้อง


บทที่ 647 เลี้ยงลูกยากจัง

โดย

Ink Stone_Fantasy

โชคดีที่พวกไอซ์สเกตก็กำลังว่ายน้ำเล่นอยู่ในน่านน้ำตรงแนวปะการังพอดี เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอน พวกมันก็พากันไหว้น้ำเข้ามาหาด้วยความรวดเร็ว ยิ่งบอลหิมะยิ่งเร็วเป็นพิเศษ มีบีนว่ายตามมาด้านหลังด้วย ส่วนไอซ์สเกตก็ค่อยๆ ว่ายน้ำเข้ามาจากน่านน้ำด้านข้างอย่างเอื่อยๆ


ตอนนี้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนสามารถสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของสิ่งมีชีวิต พอสัตว์ทั้งสามตัวว่ายน้ำเข้ามา เขาก็รับรู้ได้ถึงอารมณ์ของพวกมัน


บอลหิมะเร่งรีบที่สุด มันว่ายน้ำพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว ส่วนบีนก็ว่ายน้ำตามบอลหิมะมาอย่างเบิกบานใจ ปากใหญ่ๆ แสยะไปข้างหลังสมกับฉายา ‘รอยยิ้มทูตสวรรค์’ ของมัน เผยเสน่ห์ของโลมาปากขวดอย่างเต็มที่


ส่วนไอซ์สเกตน่ะเหรอ? เจ้าเด็กนี่เหมือนดูละครอยู่ มันว่ายน้ำมาด้วยความรู้สึกยินดียินร้ายสะใจกับความทุกข์ของคนอื่นอยู่ด้านหลัง


หลังจากสัมผัสได้ถึงอารมณ์ของสัตว์ทั้งสามตัว ฉินสือโอวก็อดที่จะทอดถอนใจออกมาไม่ได้ ถึงยังไงบอลหิมะก็ยังเป็นลูกชายของเขา ดูอารมณ์ความรู้สึกพวกนี้สิ ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งจริงๆ บีนก็ไม่เลวเลย หลังจากเห็นเขามันก็รู้สึกตื่นเต้นดีใจมากเหมือนกัน


แต่ไอ้เจ้าไอซ์สเกตนี่คือยังไงกัน? พวกความรู้สึกยินดีที่คนอื่นโชคร้าย ยืนมองคนอื่นประสบกับความหายนะ ความชื่นชอบที่จะดูชมพวกนี้มันเกิดขึ้นได้ยังไง?


หลังจากบอลหิมะว่ายน้ำมุดเข้ามาในน่านน้ำที่ถูกจิตสำนึกแห่งโพไซดอนควบคุมไว้ มันก็ว่ายวนไปมาด้วยความเร่งรีบ ฉินสือโอวจึงปลอบโยนมัน จิตใจก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้ง มันเป็นเด็กน้อยจริงๆ ด้วย


บีนว่ายน้ำถลันเข้ามา ฉินสือโอวกำลังจะปลอบโยนมันเหมือนกัน แต่ปรากฏว่ามันกลับพุ่งเข้าใส่บอลหิมะ ร่างกายเดี๋ยวงอเดี๋ยวยื่น เหมือนคิดอยากจะขี่ขึ้นไปบนตัวมัน


บอลหิมะพยายามหนีสุดชีวิต ทว่าบีนก็รีบกดติดมันเอาไว้ แล้วถูตัวมันอย่างแรง ในขณะนั้นบริเวณร่างกายส่วนล่างตรงพื้นที่สงวนก็มีผลกล้วยเล็กๆ สีแดงเปลือยเปล่าที่นูนขึ้นจนเผยออกมาข้างนอก…


ฉินสือโอวเหม่อมองภาพนี้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึกและจิตวิญญาณ อยู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่าเหตุการณ์นี้มันค่อนข้างประหลาด


ความรู้สึกของบอลหิมะก็ยิ่งตื่นตระหนกร้อนรนยิ่งกว่าเดิม มันบิดหมุนลำตัวที่เป็นเส้นตรงเรียบลื่นของมันเพื่อจะหนีออกไป แต่ทว่าเมื่อสักครู่นี้ความเร็วของมันลดลง เมื่อเทียบกันเรื่องความยืดหยุ่นของร่างกายแล้ว มันก็เทียบกับโลมาปากขวดไม่ได้ มันจึงต้องถูกบีนขึ้นขี่แล้วถูไปไถมาอยู่อย่างนี้


ส่วนไอซ์สเกตก็ว่ายน้ำลาดตระเวนอยู่รอบๆ ในดวงตาเล็กๆ ของมันมีความสุขทุกรูปแบบจากการรับชมด้วยความครึกครื้นรื่นเริง เดี๋ยวๆ ก็ว่ายเข้าไปใกล้ส่วนอีกเดี๋ยวก็ถอยกลับมา ขาดแค่ลากม้านั่งมาตะโกนเชียร์บอกให้สู้ๆ ก็เท่านั้น


ในที่สุดฉินสือโอวก็เข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับอารมณ์ของสัตว์ทั้งสามตัว ความเป็นจริงพิสูจน์แล้วว่าเขาคิดเข้าข้างตัวเองฝ่ายเดียว บอลหิมะสัมผัสได้ถึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอน จึงว่ายน้ำเข้ามาเพื่อหลบภัย เพราะบีนกำลังไล่ตามมันมาเพื่อที่จะร่วมรักแบบเพศ เดียว กัน!


ใช่แล้ว เพศ! เดียว! กัน!


ตามที่ฉินสือโอวรู้มา ความถี่ของการเกิดพฤติกรรมทางเพศในเพศเดียวกันของโลมาปากขวดเกือบเท่ากันกับการเกิดพฤติกรรมทางเพศของเพศตรงข้าม นี่เป็นเรื่องที่ทำให้ผู้ชายรู้สึกปวดไข่และทำให้ผู้หญิงรู้สึกอยากจะกรีดร้องออกมา


โลมาตัวผู้เป็นสิ่งที่แปลกแยกท่ามกลางธรรมชาติ โดยทั่วไปพวกมันจะมีความสัมพันธ์ได้ทั้งสองเพศ ทว่าในช่วงชีวิตของพวกมันจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่จะรักเพศเดียวกัน นี่เป็นช่วงเวลาพิเศษ ดังนั้นโลมาเพศผู้ต่างก็มีประสบการณ์แบบนี้กันทั้งนั้น นี่ทำให้ฉินสือโอวในตอนนี้รู้สึกตกตะลึงพรึงเพริดไปเล็กน้อย


เมื่อเห็นบีนที่กำลังไล่ตามบอลหิมะมาทางด้านหลังด้วยความรวดเร็ว ฉินสือโอวก็ไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดีเหมือนกัน นี่ก็เหมือนแบบที่ฉินสือโอวรู้มานั่นล่ะ นี่เป็นสัญชาตญาณของโลมาเพศผู้ไง…


ฉินสือโอวมองดูอยู่สักพัก เขารู้สึกเหมือนจะเป็นโรคไข้จับสั่นไปทั้งตัวจึงแอบหนีไปด้วยความเร่งรีบ ภาพเหตุการณ์นี้มันฮาร์ดคอร์เกินไปจริงๆ บีนไล่ตามบอลหิมะหลังจากนั้นก็อยากจะเอาหัวไชเท้าของมันยัดเข้าไปในปากของบอลหิมะ นี่คิดจะทำอะไรกัน เสี่ยฉินงงไปหมดแล้ว!


ทว่าวาฬเบลูกากลับไม่ได้มีความชื่นชอบแบบนี้ ดังนั้นมันจึงบิดหมุนลำตัวเพื่อหลีกหนีอย่างบ้าคลั่ง พอบีนเห็นว่าไม่มีโอกาสให้มันเล่นสนุก จึงพยายามขึ้นไปถูตรงส่วนหลังของบอลหิมะอย่างสุดชีวิต


ในใจของฉินสือโอวรู้สึกสับสนถึงที่สุด แม่เอ๋ย นี่เป็นรสนิยมอะไรของบีนกันนะ บอลหิมะเป็นวาฬเบลูกาไม่ใช่โลมาสักหน่อย ทำไมบีนถึงได้สนอกสนใจมันขนาดนี้?


เขาส่ายหัวไปมาอยู่ในใจ ฉินสือโอวรู้สึกว่าการมองภาพเหตุการณ์พวกนี้ไม่ค่อยดีเท่าไร ถึงยังไงเขาก็เป็นพ่อ ลูกทำแบบนี้ ถ้าเขาไม่ทำอะไรเลยก็คงไม่เหมาะ เรื่องนี้จะโทษบีนก็ไม่ได้ นี่ก็เหมือนกับความอยากอาหาร มันเป็นสัญชาตญาณตามธรรมชาติของโลมาปากขวด


ถ้าปกป้องบอลหิมะ แบบนั้นก็จะทำร้ายบีน ถ้าปกป้องบีน ก็เท่ากับว่าทำร้ายบอลหิมะ คุณพ่อฉินตกอยู่ในความลำบากใจทั้งสองทาง


ทว่าเขาก็ไม่สามารถอยู่เฉยๆ โดยที่ไม่ทำอะไรได้เหมือนกัน ลองคิดๆ ดู ฉินสือโอวก็คิดวิธีการที่โง่เขลาขึ้นมาได้ เขาเพิ่มพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนบางส่วนให้บอลหิมะกับบีน แบบนี้ระดับความเร็วในการว่ายน้ำของพวกมันก็จะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ความอดทนก็จะดียิ่งขึ้น ส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้พวกมันจัดการกันเอง ลองดูว่าบอลหิมะจะหนีไปได้หรือบีนจะเป็นฝ่ายตามทัน…


เมื่อซึมซับพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าไปแล้ว ทันใดนั้นสัตว์ทั้งสองตัวก็เหมือนเพิ่งสูบกัญชามา เรียกได้ว่ากระปรี้กระเปร่าสุดๆ


ร่างกายของวาฬเบลูกาที่กวัดแกว่งอยู่ตรงนี้ บอลหิมะสะบัดหางครั้งเดียวก็พุ่งทะยานออกไป บีนตามไปสักพักแต่ก็ตามไม่ทัน มันจึงทำได้แค่ว่ายกลับมาด้วยความขุ่นเคือง


ต่อมาทันใดนั้นบีนก็ทอดสายตาไปบนตัวของไอซ์สเกตที่ดูละครอยู่อีกฝั่ง


ไอซ์สเกตรู้สึกทะแม่งๆ ขึ้นมาทันที มันมองซ้ายมองขวา ไม่มีอะไรเลยสักอย่าง มีแค่มันตัวเดียว แล้วมันก็หันกลับมามองสายตาคลุมเครือของบีนอีกครั้ง ไอซ์สเกตไม่มัวรีรอรีบหมุนตัวกลับแล้วว่ายหนีไปทันที


ฉินสือโอวไม่ได้เพิ่มพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนให้มัน ดังนั้นบีนจึงไล่ตามไอซ์สเกตได้สำเร็จแล้วขึ้นขี่ไปบนตัวของมัน แค่ครู่เดียวบีนก็กดมันลงไปบนพื้นทรายใต้ทะเลได้สำเร็จ


เรื่องราวต่อจากนั้นฉินสือโอวก็ทนดูต่อไม่ได้แล้วจริงๆ ถ้ายังดูต่อ คืนนี้คงนอนไม่หลับแน่ๆ


เขาควบคุมจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปจากน่านน้ำผืนนี้ บอลหิมะตามเขาเข้ามา ฉินสือโอวลองสังเกตดูมันอย่างละเอียด เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมบอลหิมะถึงได้ไปดึงดูดบีนเข้า ตอนนี้ลูกวาฬเบลูกาสวยเกินไปจริงๆ ผิวของมันวาววับเหมือนกันกับหยก เส้นโค้งเรียบลื่นสวยงาม ผิวเกลี้ยงนุ่มลื่น เสียงร้องก็งดงามน่าประทับใจ งดงามเกินไปจริงๆ


เมื่อมองมาถึงตรงนี้ ฉินสือโอวก็ขนลุกขนชันขึ้นมาทันที เวรเอ๊ยนี่มันอะไรกัน ไม่ใช่ว่าฉันติดมาจากบีนหรอกนะ?


โศกนาฏกรรมของไอซ์สเกตก็ยังคงดำเนินต่อไป ฉินสือโอวทนดูต่อไปไม่ได้ ทั้งยังไม่มีกะจิตกะใจจะลาดตระเวนฟาร์มปลาต่อแล้ว เขาจึงดึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับมา


หลังจากฉินสือโอวตื่นนอนขึ้นในวันต่อมา สภาพจิตใจของเขาก็ไม่ค่อยดีนัก หวังเหล่ยตบแปะเข้าที่หลังของเขาอย่างสนิทสนม พอฉินสือโอวหันกลับไปดูแล้วพบกับหวังเหล่ย เขาก็ตกใจจนตัวสั่นแล้วกระโดดจนตัวโยน


หวังเหล่ยรู้สึกงงงวย “เป็นอะไรไปครับพี่ฉิน? ผมทำให้พี่ตกใจเหรอ?”


ฉินสือโอวยิ้มแล้วหัวเราะฮ่าๆ ออกมา “ไม่เป็นไรๆ ฮ่าๆ นายมาหาฉันมีเรื่องอะไรหรือเปล่า?”


หวังเหล่ยลูบหลังศีรษะของตัวเองไปมา เขาหัวเราะแหะๆ แล้วพูดขึ้น “คืออย่างนี้ครับพี่ฉิน ผมเห็นว่าองุ่นในสวนองุ่นของพี่กำลังแทงหน่อแล้ว ดังนั้นผมเลยจะถามว่าพี่คิดวางแผนไว้ว่าจะทำยังไงครับ ถ้าพี่ไม่ได้วางแผนอะไรไว้เป็นพิเศษ ตอนนี้ก็ควรจะจัดการกับต้นกล้าของต้นองุ่นได้แล้ว”


ในปีที่ปลุกต้นกล้าขององุ่นลงไป ตอนที่มันยังโตได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของระดับมาตรฐาน ในตอนนั้นก็ต้องทำการกำจัดหน่ออ่อน ยึดกิ่งและเด็ดยอด มันเป็นงานหนึ่งระบบ ในระหว่างนั้นขณะที่หน่ออ่อนตรงตาไม้กำลังจะงอก ก็ควรจะกำจัดหน่ออ่อนที่งอกจากตาไม้บนส่วนล่างของต้นกล้าให้ทันเวลา เพื่อหลีกเลี่ยงการเจริญเติบโตในแนวนอนซึ่งจะทำให้สิ้นเปลืองสารอาหารและส่งผลต่อการงอกของยอดตาและการเจริญเติบโตของยอดใหม่


ตลอดเวลาที่ผ่านมาฉินสือโอวไม่ได้ใส่ใจสวนองุ่นเลย เขาลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้ว พอหวังเหล่ยเตือน เขาถึงได้เพิ่งนึกขึ้นได้อย่างฉับพลันแล้วจึงพยักหน้าตอบออกไป “ใช่ๆ ๆ ขอบคุณนะเสี่ยวเหล่ย ถ้านายไม่เตือนฉัน ฉันคงพลาดเรื่องนี้ไปแล้ว”


พอพูดจบ เขาก็รู้สึกงงงวยขึ้นมาจึงถามหวังเหล่ยออกไป “แล้วนายรู้เรื่องนี้ได้ยังไง? นายไม่ได้เรียนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศหรอกเหรอ?”


หวังเหล่ยยิ้มตอบเขา “ที่จริงผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไร แต่ที่บ้านลี่ลี่มีสวนองุ่น เป็นสวนองุ่นเล็กๆ นั่นแหละครับ เมื่อวานนี้เธอลองเข้าไปดูสวนองุ่นของพี่ แล้วพบปัญหานี้เข้าก็เลยเอามาพูดกับผม”


ฉินสือโอวพยักหน้า เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง เพื่อนร่วมชาติทั้งสองคนไม่ได้มาอย่างเสียเปล่าจริงๆ ถ้าพลาดช่วงเวลาที่ต้องเด็ดหน่ออ่อนทิ้ง แบบนั้นต้นกล้าของต้นองุ่นก็คงจะเสียเปล่าแล้ว อย่างน้อยที่สุดหลังจากนั้นก็จะจัดการได้ค่อนข้างวุ่นวาย จะไม่ได้ใช้การเด็ดหน่ออ่อนอย่างง่ายๆ แต่ต้องตัดกิ่งย่อยทิ้งไป


บทที่ 648 ทำความรู้จักนักศึกษาต่างชาติ

โดย

Ink Stone_Fantasy

หลังจากฉินสือโอวยืนยันเรื่องงานแล้ว หวังเหล่ยก็รับปากทำงานนี้ จากนั้นเขาก็พาเหยาลี่ลี่ไปเด็ดหน่ออ่อนของตาไม้องุ่น ฉินสือโอวจะปล่อยให้พวกเขาแค่สองคนจัดการกับสวนองุ่นผืนใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไงกันล่ะ? ตั้งหนึ่งร้อยหมู่เลยนะ ทั้งสองคนต้องทำจนเปิดเทอมเลยนู่นล่ะ ดังนั้นเขาจึงเรียกพวกชาวประมงเข้ามาช่วยกันทำ


ในฐานะที่เป็นเจ้าของฟาร์มปลา ไม่ว่าจะทำอะไรฉินสือโอวก็ชอบที่จะเป็นคนนำ นี่เป็นทัศนคติอย่างหนึ่ง


มีความสุขกับชีวิตก็ไม่ใช่ว่าไม่ต้องทำงาน แต่เป็นการพยายามหลีกเลี่ยงความวุ่นวายในชีวิตที่ไม่มีความจำเป็นต่างหาก ที่จริงแล้วฉินสือโอวเป็นคนที่รักการทำงานมาก


นอกจากชาร์คกับเบิร์ดที่ต้องออกทะเลไปลาดตระเวน คนอื่นๆ ที่เหลือก็ถูกฉินสือโอวพามาที่สวนองุ่นทั้งหมดเพื่อให้พวกเขาพากันเด็ดหน่ออ่อนทิ้ง


เนื่องจากฉินสือโอวถ่ายทอดพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนลงไปในตอนแรกที่เริ่มรดน้ำ ดังนั้นอัตราการรอดตายของต้นกล้าองุ่นที่ถูกปลูกถ่ายจึงสูงมาก สภาพการเจริญเติบโตก็ดีมาก ต้นกล้าองุ่นสีเขียวสดต่างก็โตจนมีความสูงถึงสามสิบเซนติเมตรกว่าๆ แล้ว


มองดูใบสีเขียวของต้นกล้าองุ่นหนึ่งร้อยหมู่ที่ปลิวสะบัดไปพร้อมสายลม เออร์บักก็พูดขึ้นมาอย่างปลื้มอกปลื้มใจ “เป็นภาพที่มีชีวิตชีวามาก ฟาร์มปลายิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ เป็นเรื่องที่น่ามีความสุขจริงๆ ”


ซีมอนสเตอร์ก็พูดขึ้นมาเช่นกัน “คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าต้นกล้าองุ่นของพวกเราจะคุณภาพดีขนาดนี้ อัตราการรอดตายก็สูงมาก พวกเราไม่ใช่แค่ต้องดึงหน่อทิ้ง แต่ยังต้องยึดกิ่งตามความหนาแน่นในการเพาะปลูกด้วย”


ก่อนหน้านี้บิลหาผู้เชี่ยวชาญด้านการเพาะปลูกองุ่นหนึ่งท่านให้ฉินสือโอว อีกฝ่ายให้การอบรมด้านการเพราะปลูกองุ่นแบบทั่วไปโดยไม่คิดค่าตอบแทน ผู้เชี่ยวชาญท่านนั้นเคยบอกกับเขาว่าระยะห่างของต้นกล้าองุ่นตามปฏิกิริยาเคมีของเขา หนึ่งหลุมจะสามารถปลูกได้แค่หนึ่งต้นเท่านั้น มากที่สุดคือสองต้น จะมากกว่านั้นไม่ได้แล้ว เพราะสภาพการเติบโตขององุ่นในช่วงต่อมาจะไม่ดีแน่ๆ


ฉินสือโอวเรียกชาวประมงให้มารวมตัวกันเพื่อหารือกันว่าจะทำงานยังไง หลักการง่ายๆ กำจัดกิ่งที่เป็นส่วนเกินออก เหลือกิ่งที่แข็งแรงเอาไว้ไม่เก็บกิ่งอ่อน กำจัดหน่ออ่อนส่วนเกินออก เก็บหน่อส่วนยอดไม่เหลือหน่อด้านข้างไว้ สารอาหารที่กิ่งก้านและหน่อดีเก็บสะสมเอาไว้จะเป็นผลดีต่อการเจริญเติบโตของเครือองุ่น


ถึงแม้ว่าพวกชาวประมงจะเคยทานองุ่นและเคยดื่มไวน์ แต่พวกเขาไม่เคยดูแลสวนองุ่นมาก่อน การจัดการเครือองุ่นเหล่านี้ทำให้ตาของพวกเขาถึงกับมืดสนิทไปทั้งสองข้าง แต่กลับเป็นเหยาลี่ลี่ที่พอจะมีประสบการณ์อยู่บ้าง


โชคดีที่บิลเป็นคนรับผิดชอบ ก่อนหน้านี้พอเขารู้ว่าฉินสือโอวจะกำจัดหน่ออ่อนให้ต้นกล้าองุ่น เขาก็รีบพาผู้เชี่ยวชาญที่มีความเกี่ยวข้องกับด้านนี้มาที่นี่ทันที


บริษัททางการเกษตรของแคนาดาไม่เหมือนกับที่จีน พวกเขาต่างก็มีศักยภาพอย่างมากมายมหาศาล ซึ่งพวกเขาสามารถรักษาความสัมพันธ์กับผู้เชี่ยวชาญในด้านที่มีความเกี่ยวข้องกันไว้ได้อย่างดี ถึงขั้นที่ว่าบริษัทจะจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรบางส่วนมาคอยทำหน้าที่ประจำตำแหน่งเลยทีเดียว


หลังจากผู้เชี่ยวชาญที่มีเชื้อสายบราซิลมาถึงสวนองุ่น เขาก็ลองตรวจสอบดูอย่างคร่าวๆ จากนั้นก็ลงมือสาธิตให้ทุกๆ คนดู รอจนบรรดาชาวประมงทำเป็นแล้ว เขาก็บอกให้ทุกคนเริ่มทำงานได้


แสงแดดช่วงต้นฤดูร้อนค่อนข้างร้อนระอุ ฉินสือโอวนำหน้าคนอื่นๆ กลับไปขนลังพลาสติกมาที่นี่ ข้างในบรรจุเครื่องดื่มที่ถูกแช่อยู่ในน้ำแข็งจำพวกเบียร์กับน้ำผลไม้เอาไว้เพื่อให้ทุกคนแก้กระหายคลายร้อน


หลังจากนั้นเขาก็เริ่มนำหน้าคนอื่นๆ ต่อ เขาร่วมพูดคุยกับเหล่าชาวประมงและหวังเหล่ยกับคนอื่นๆ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ในฐานะที่เขาเป็นแม่ทัพหลักเขาก็ต้องเพิ่มขวัญกำลังใจให้กับกองกำลัง…


เขามีความสัมพันธ์ที่ดีมากๆ กับบรรดาชาวประมง จึงเข้าไปหาหวังเหล่ยเพื่อทำความเข้าใจสภาพการณ์ของเขา


หวังเหล่ยเกิดหลังปีเก้าห้า สิ่งที่ฉินสือโอวเข้าใจเกี่ยวกับเด็กช่วงอายุเท่านี้ก็คือความเป็นปฏิปักษ์กับความไม่นิยมตามกระแสของพวกเขา


แต่อย่ามองแค่ว่าหวังเหล่ยดูเหมือนจะเรียนไม่ค่อยเก่ง ถึงจะเรียนที่มหาวิทยาลัยอนุสรณ์นิวฟันด์แลนด์ต่อไปไม่ไหวจนต้องมาเรียนที่สถาบันไก่กาอย่างวิทยาลัยเพลสตัน แต่เขาก็มีทัศนคติต่อการใช้ชีวิตที่ดี การทำงานก็สม่ำเสมอมาก การพูดการจาก็สุขุมนุ่มลึก


หวังเหล่ยเห็นฉินสือโอวยืนกอดแขนอยู่ข้างๆ ก็เด็ดเครือองุ่นด้วยความปราดเปรียวไปพร้อมๆ กับถามอีกฝ่าย “พี่ฉิน พี่มีอะไรหรือเปล่าครับ?”


ฉินสือโอวกล่าว “ไม่มีอะไรหรอก หลักๆ แล้วก็แค่เพราะฉันค่อนข้างสนใจการใช้ชีวิตของนักศึกษาต่างชาติอย่างพวกนายน่ะ ตอนยังเป็นวัยรุ่นฉันก็เคยคิดอยากจะไปเรียนต่างประเทศเหมือนกัน น่าเสียดายที่ที่บ้านไม่มีเงิน เลยทำได้แค่หางานทำหลังเรียนจบ”


หวังเหล่ยพูดยิ้มๆ “พี่ฉิน พี่ล้อผมเล่นหรือเปล่า ตอนนี้พี่ยังหนุ่มมากๆ เลยนะ ทำไมต้องมีคำว่า ‘สมัยยังเป็นวัยรุ่น’ ด้วยล่ะครับ? อีกอย่างถ้าบ้านพี่ฉินไม่มีเงิน ครอบครัวของพวกผมก็คงนับว่าไม่มีอันจะกินแล้วหรือเปล่า?”


จากการทำความรู้จักมาหลายวัน หวังเหล่ยก็รู้ขอบเขตของฟาร์มปลาต้าฉินแล้ว ทั้งยังรู้มูลค่ารวมทั้งหมดของฟาร์มปลาเหล่านี้แล้วด้วย


ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีประสบการณ์ชีวิตที่มากมายนัก แต่เขาก็รู้ว่าถ้าอยากครอบครองฟาร์มปลาที่ใหญ่ขนาดนี้ ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการต่อสู้ดิ้นรนของคนหนึ่งคนเลย ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนฝ่าฟันแค่ไหน แต่เด็กจนๆ คนหนึ่งไม่มีทางสามารถครอบครองฟาร์มปลาชั้นดีที่ใหญ่ขนาดนี้ได้ก่อนอายุสามสิบแน่ๆ


นอกจากนี้เขายังได้เห็นรถพอร์ช 918 ฟอร์ดเอฟ 650 กับรถคาดิลแลคสองคันที่จอดอยู่ในสนามบินส่วนตัวแล้วด้วย ถ้าเป็นคนที่เกิดในครอบครัวคนธรรมดาทั่วไปจริงๆ แล้วมีรถซูเปอร์คาร์คันหรูอย่างพอร์ช 918 ไว้ในครอบครอง ก็คงจะขับออกไปอวดชาวบ้านทุกวันแล้ว แต่กับฉินสือโอวน่ะเหรอ? จอดรถไว้ที่นั่นทั้งยังเอาผ้าคลุมรถไว้ เหมือนว่านั่นไม่ใช่รถซูเปอร์คาร์แต่เป็นแค่รถไฟฟ้าหนึ่งคันเท่านั้น


เขากับเหยาลี่ลี่เคยแอบคุยกันเรื่องนี้ พวกเขาคิดว่าฉินสือโอวน่าจะเป็นลูกหลานอภิมหาเศรษฐีที่จีน ที่บ้านกลัวว่าเขาอยู่ในประเทศแล้วจะมีปัญหา เลยส่งเขามาทำฟาร์มปลาเล่นๆ ที่ต่างประเทศ


เมื่อมองดูสายตาที่เต็มไปด้วยความอิจฉาของหวังเหล่ย ฉินสือโอวก็รู้ถึงความคิดของเขาได้ทันที เขาไม่ได้อธิบายให้ฟัง แต่พูดคร่าวๆ ออกมา “ฟาร์มปลาแห่งนี้ไม่ใช่ของของฉันหรอก แต่เป็นมรดกที่รับช่วงต่อจากปู่ นายล่ะ ทำไมถึงเลือกมาเรียนต่อที่ต่างประเทศ?”


หวังเหล่ยยักไหล่ เขาลุกขึ้นยืนแล้วพูดขึ้น “พี่ฉิน พี่อย่ามองแค่ว่าตอนนี้ผมทำได้แค่เอ้อระเหยไปวันๆ ในวิทยาลัยเพลสตันนะ ที่จริงแล้วตอนอยู่ที่จีนคะแนนของผมดีมาก ให้สอบทั้งเล่มก็ไม่มีปัญหา แต่ปีนั้นที่ผมสอบเข้ามหาลัย เพื่อนที่ทำงานของพ่อผมแนะนำเขาเรื่องการมาเรียนต่อต่างประเทศ พ่อผมถามว่าผมอยากไปเรียนเมืองนอกไหม ฐานะที่บ้านผมก็พอใช้ได้อยู่เหมือนกัน”


“ผมลองคิดดูดีๆ ตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่เคยออกไปพ้นมณฑลเลย โลกกว้างใหญ่ขนาดนั้นผมก็อยากจะเห็นมันมากจริงๆ นอกจากนี้เพื่อนสมัยมัธยมปลายของผมก็ไปเรียนต่อที่อเมริกากับออสเตรเลียกันตั้งนานแล้ว ชีวิตที่พวกเขาเล่าให้ฟังก็ทำให้ผมหวังว่าจะได้แบบนั้นบ้าง”


“แล้วยังมีข้อดีของการเรียนต่อเมืองนอกที่เขาชอบเล่าลือกันเยอะๆ นั่นอีก อย่างเช่นไปเรียนต่อในประเทศที่พัฒนาแล้วจะได้รับการศึกษาที่ดีกว่า ได้สัมผัสกับแนวความคิดทางการศึกษาที่ก้าวหน้า ได้เปิดวิสัยทัศน์ให้กว้างและได้สะสมประสบการณ์ เพิ่มความสามารถในการอ่านการเขียนภาษาต่างประเทศ ได้เพิ่มพูนความรู้กับได้พบเห็นวัฒนธรรมต่างชาติอะไรพวกนั้น สุดท้ายหลังจากผมคิดทบทวนดูแล้ว ผมก็ตัดสินใจออกมาเรียนต่อที่ต่างประเทศ”


“แล้วทำไมถึงเลือกแคนาดาล่ะ?” ฉินสือโอวถามอย่างสนใจใคร่รู้ “ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขานิยมไปเรียนต่อที่อเมริกากันหรอกเหรอ?”


หวังเหล่ยยักไหล่แล้วตอบเขากลับไป “เพราะหลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยในแคนาดา จะมีโอกาสเปลี่ยนสัญชาติได้ยังไงล่ะครับ แถมผมยังเคยได้ยินมาว่าเพราะแคนาดามีผู้อพยพเยอะ ดังนั้นความอดกลั้นทางวัฒนธรรมเลยค่อนข้างมาก”


“แล้วยังไงต่อเหรอ?”


“หลังจากผมสอบเกาเข่าที่จีนเสร็จแล้ว ผมก็มาที่นิวฟันด์แลนด์ สำหรับความรู้เกี่ยวกับวิชาเอกผมคิดว่ามันไม่ค่อยยากเท่าไร แต่ภาษาอังกฤษของผมอ่อนเกินไป ดังนั้นที่ผมสอบไม่ผ่านไม่ใช่เพราะผมทำข้อสอบไม่ได้ แต่เป็นเพราะผมฟังเวลาที่อาจารย์จัดสอบผิดไป แม่มันสิ เจ็บใจจริงๆ!”


ท้ายที่สุดหวังเหล่ยจึงอดสบถด่าออกมาไม่ได้


ฉินสือโอวมองดูเขาด้วยความเห็นอกเห็นใจ พร้อมทั้งตบไหล่ปลอบเขา “เดี๋ยวก็หาทางออกได้เองนั่นล่ะ นี่เป็นเรื่องเล็กๆ ทั้งนั้น แต่นายรู้สึกเสียดายนิดหน่อยที่เลือกมาเรียนต่อต่างประเทศใช่ไหมล่ะ?”


หวังเหล่ยถอนหายใจแล้วพูดออกมา “เรื่องนี้มันพูดยากอยู่เหมือนกันครับ คะแนนตอนอยู่ที่จีนของผมถือว่าไม่เลวเลย คะแนนสอบเกาเข่าก็รับประกันได้ว่าผมจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยประจำมณฑลได้แน่ๆ แต่ในตอนนั้นผมตัดสินใจมาเรียนต่อ เพราะคิดว่าจะได้เพิ่มพูนและสะสมความรู้จากประสบการณ์ แน่นอนว่าผมบรรลุเป้าหมายของตัวเองแล้ว ที่นิวฟันด์แลนด์ผมได้พบเห็นและรู้จักหลายสิ่งหลายอย่างเลย”


บทที่ 649 พวกเด็กๆ ต้องแยกกันแล้ว

โดย

Ink Stone_Fantasy

ฉินสือโอวได้ทำความเข้าใจกับความรู้บางส่วนเกี่ยวกับนักศึกษาต่างชาติผ่านทางหวังเหล่ย แท้ที่จริงแล้วที่เขาเข้าสอบเกาเข่าไม่ใช่เพียงเพราะอยากจะแสดงผลของการตรากตรำเล่าเรียนอย่างหนักเป็นระยะเวลายาวนานให้ตัวเองได้เห็น แต่ยังเป็นเพราะมหาวิทยาลัยที่แคนาดาจะใช้ใบรับรองผลคะแนนสอบเกาเข่าของนักเรียนจีนมาเป็นหนึ่งในตัวชี้วัดการเรียนต่อต่างประเทศด้วย


หวังเหล่ยเห็นฉินสือโอวสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับการเรียนต่อของตัวเองอย่างละเอียดขนาดนั้นจึงถามด้วยความรู้สึกประหลาดใจ “พี่ฉิน พี่วางแผนจะเรียนต่อเหรอครับ? พี่ไม่จำเป็นต้องทำก็ได้หรือเปล่า?”


คนเราไม่ได้เรียนหนังสือเพราะจะได้ทำงานหาเงินได้เยอะๆ หรอกเหรอ? หวังเหล่ยคิดว่าเก้าสิบเก้าจุดเก้าเปอร์เซ็นต์ของนักศึกษาทั้งโลก หลังเรียนจบไม่มีใครทำได้ถึงระดับฉินสือโอวแน่นอน


ฉินสือโอวหัวเราะ เขาอธิบายว่าเขาแค่อยากรู้เฉยๆ เพื่อนของเขาที่จีนอาจจะสนใจมาเรียนต่อต่างประเทศ ส่วนเขาไม่จำเป็นต้องทำแล้ว


ตกเย็นตอนที่วินนี่กลับมา ฉินสือโอวก็เล่าเรื่องของหวังเหล่ยให้วินนี่ฟังดู วินนี่หวีขนให้ฉงต้าพร้อมพูดขึ้นมา “ที่รักคะ ฉันคิดว่าคุณเหมาะที่จะไปเรียนปริญญาโทนะคะ อย่างเช่นปริญญาโทสาขาชีววิทยาทางทะเลหรือไม่ก็เรียนเอ็มบีเอ แบบนี้ก็จะช่วยให้คุณบริหารฟาร์มปลาได้สะดวกขึ้นไม่ใช่เหรอคะ?”


ฉินสือโอวรีบส่ายหน้าแล้วบอกเธอทันที “อย่าเลย ผมยุ่งอยู่ทั้งวันแล้ว ไม่มีเวลาว่างไปเข้าเรียนหรอกครับ”


“คุณยุ่ง?” วินนี่มองเขาพร้อมถามด้วยความสับสนงุนงง


ฉินสือโอวจึงบอกกับเธอ “ใช่แล้วครับ อย่างเช่นพรุ่งนี้ไง พรุ่งนี้ผมต้องไปใส่ปุ๋ยให้ต้นกล้าองุ่นด้วย”


ใช่แล้ว ได้เวลาใส่ปุ๋ยให้ต้นกล้าองุ่นในสวนองุ่นแล้ว ตามอัตราการเพาะปลูกองุ่น เมื่อต้นกล้าสูง 40-50 มิลลิเมตรก็เป็นเวลาที่ต้องใส่ปุ๋ยเป็นครั้งแรกแล้ว


ที่จริงแล้วการใส่ปุ๋ยให้ผลิตผลทางการเกษตร ยิ่งเร็วเท่าไรก็จะยิ่งดีเท่านั้น สาเหตุที่ต้องใส่ปุ๋ยให้ต้นองุ่นตอนนี้เป็นเพราะเมื่อก่อนระบบรากของต้นกล้าองุ่นเล็กเกินไป ความสามารถในการดูดซึมสารอาหารสำคัญจึงค่อนข้างแย่ ใส่ปุ๋ยตอนนั้นก็เหมือนกับตาบอดได้แว่น เสียแรงไปเปล่าๆ


บิลส่งปุ๋ยมาที่ฟาร์มปลาตั้งนานแล้ว ขั้นตอนการใส่ปุ๋ยก็ง่ายดายมาก ก็แค่ให้เบิร์ดขับเครื่องบินแทรกเตอร์ผ่านท้องฟ้าบนสวนองุ่นแล้วให้ซีมอนสเตอร์เปิดปากถุงปุ๋ยออกเพื่อโปรยปุ๋ยไนโตรเจนที่ผสมกับฟอสฟอรัสและโพแทสเซียมตามสัดส่วนที่เหมาะสมลงไปบนพื้นดินของสวนองุ่น


แบบนี้อาจจะทำให้โปรยปุ๋ยได้ไม่ทั่วถึง แต่แค่พื้นดินมีความอุดมสมบูรณ์มากพอ การรดน้ำก็จะช่วยกระจายปุ๋ยไปทั่วทุกพื้นที่ในสวนองุ่นแล้ว


เมื่อปล่อยปุ๋ยออกจากตาข่าย ฉินสือโอวก็ยักไหล่ไปมา งานของวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว เขาก็ยุ่งแบบนี้แหละ


ขณะที่กำลังลำพองใจอยู่นั้น ต่อมาฉินสือโอวก็ได้รับสายโทรศัพท์จากเหมาเหว่ยหลง บอกว่าเขาจัดการขั้นตอนที่เกี่ยวข้องเสร็จหมดแล้ว ให้ฉินสือโอวไปรอเขาที่สนามบินแฮมิลตัน พาหลิวซูเหยียนกับตั๋วตั่วไปด้วย เขาจะซื้อฟาร์มมาเธอร์เอิร์ธแล้ว


ฉินสือโอวเกาหัวแกรกๆ ดูท่าว่าครอบครัวของเหมาเหว่ยหลงจะไม่ได้โกรธกันถึงขนาดนั้น แถมครั้งนี้ก็ยังช่วยเขาด้วยเล็กน้อย ไม่อย่างนั้นอาศัยแค่กรีนการ์ดใบเดียว เหมาเหว่ยหลงคงซื้อฟาร์มที่แคนาดาได้ยากมาก


ว่ากันโดยตามปกติแล้ว ฟาร์มที่แคนาดาทั้งฟาร์มเลี้ยงสัตว์และฟาร์มปลาจะขายให้แก่คนที่มีวีซ่าถาวรแคนาดาเท่านั้น อีกทั้งยังซื้อได้ไม่ง่าย นี่เกี่ยวข้องกันกับนโยบายผู้อพยพในตอนนี้นั่นเอง


เป็นเพราะสังคมของแคนาดาค่อนข้างเปิดกว้าง เป็นมิตร มีความหลากหลาย ปลอดภัย รวมกับสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับการอยู่ของคน ดังนั้นจึงทำให้แคนาดาเป็นตัวเลือกอันดับแรกของผู้อพยพมาโดยตลอด ดังนั้นนโยบายผู้อพยพย้ายถิ่นฐานของแคนาดาจึงค่อยๆ เพิ่มมาตรฐานสูงขึ้น เมื่อก่อนเพียงแค่เลือกที่จะอพยพมาแคนาดาก็จะรับไว้ โดยเฉพาะคนมีเงินยิ่งเป็นที่ต้อนรับ


แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว เงินลงทุนสำหรับผู้อพยพไม่ได้ดีเท่าหลายปีก่อนแล้ว แท้ที่จริงแล้วหากสามารถบรรลุระดับเงินทุนได้ก็เท่ากับผ่านเป้าหมายที่ใหญ่ที่สุดของผู้อพยพแล้ว ทว่าตอนนี้รัฐบาลแคนาดายกระดับเป้าหมายเงินทุนของผู้อพยพขึ้นแล้ว แถมยังลดจำนวนคนลงด้วย


ทำไมถึงเป็นแบบนี้น่ะเหรอ? นั่นเป็นเพราะขอบข่ายบัตรเงินทุนแคนาดาเมื่อก่อนไงล่ะ บัตรที่ได้รับการรับรองจากธนาคาร ขอแค่แสดงหลักฐานยืนยันเงินทุนตามที่พวกเขาระบุให้ธนาคารออกให้ รัฐบาลแคนาดาก็จะยอมรับเป็นผู้อพยพ


เมื่อเป็นแบบนี้จึงมีคนจำนวนมากทำตัวหัวหมอ ตอนที่อยู่ในประเทศพวกเขาจะยืมเงิน กู้เงินและพยายามสมทบเงินทุกวิถีทางให้บรรลุถึงมาตรฐานเงินทุนของผู้อพยพที่แคนาดาระบุไว้เพื่อทำการอพยพให้สำเร็จ หลังจากนั้นพอเวลาผ่านไปสักพักก็คืนเงินให้เพื่อน ให้ญาติพี่น้องหรือไม่ก็ธนาคารที่ไปยืมมา


เมื่อเป็นแบบนี้ คนที่แคนาดารับมาก็จะเป็นแค่คนธรรมดาที่เข้ามาแข่งกันหางานทำ แต่คนรวยที่สามารถให้ภาษีและตำแหน่งงานที่พวกเขาต้องการจะไม่ได้มาที่นี่ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงยกระดับมาตรฐานเงินทุนของผู้อพยพเพื่อให้สะดวกต่อการจำกัดจำนวนคน


แต่แบบนี้ก็จะมีปัญหาตามมาอีกหนึ่งอย่าง คือมีคนจำนวนมากที่มีเงินจริงๆ แต่เงินไม่ได้มากจนถึงมาตรฐานที่รัฐบาลแคนาดาปรับเพิ่ม หรืออาจจะไม่ได้รับโควตาเงินทุนผู้อพยพ แบบนั้นพวกเขาก็ไม่สามารถอพยพมาที่แคนาดาได้เช่นกัน


นี่ไม่ใช่สิ่งที่รัฐบาลแคนาดาอยากเห็น ไม่มีประเทศไหนที่จะปฏิเสธการเข้ามาของคนมีเงิน โดยเฉพาะประเทศทุนนิยมที่พัฒนาแล้ว


แต่เมื่อสองปีก่อนก็เกิดรูปแบบการอพยพแบบใหม่ขึ้น นั่นก็คือการอพยพด้วยการลงทุน คุณมีเงินอย่างเดียวไม่ได้ คุณต้องลงทุนทำฟาร์มปลา ฟาร์มเลี้ยงสัตว์หรือไม่ก็ฟาร์มเกษตร ซึ่งเห็นได้ชัดว่าถ้าใช้เงินลงทุนไปแล้ว ก็จะไม่สามารถโอนย้ายเงินได้ในเวลาอันสั้น


วิธีนี้มีประสิทธิภาพมาก มันกลายเป็นการสกัดกั้นวิธีการเอาเปรียบของผู้อพยพ แน่นอนว่ามันยังช่วยขับเคลื่อนการยกระดับมูลค่าของฟาร์มปลา ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และฟาร์มเกษตรในแคนาดาอีกด้วย ก่อนหน้านี้หลัวจื้อเวยกับภรรยาก็เล่าให้ฟังถึงหลายสาเหตุที่ทำให้ฟาร์มเกษตรมีมูลค่าสูงขึ้นแล้ว แต่พวกเขาไม่ได้พูดถึงข้อนี้


เหมาเหว่ยหลงไม่มีวีซ่าถาวรแคนาดา การซื้อฟาร์มปลาจะวุ่นวายมาก เนื่องจากประเทศหนึ่งจะไม่ขายที่ดินให้กับพลเมืองของประเทศอื่นอยู่แล้ว นี่ต้องใช้การโอนที่ไปยังหน่วยงานหนึ่ง ถ้าเหมาเหว่ยหลงจะซื้อฟาร์มเกษตรด้วยสถานะในตอนนี้ ชื่อของฟาร์มเกษตรจะไม่ได้อยู่ภายใต้ชื่อของเขา แต่จะอยู่ภายใต้ชื่อของบริษัทที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางบางส่วน


ขั้นตอนที่เขากลับไปจัดการที่จีนก็คือขั้นตอนการโอนที่ ถ้าซื้อฟาร์มเกษตรแค่อย่างเดียว ก็ขอแค่มีเงินกับบัตรประชาชน ทุกอย่างก็ง่ายดายแล้ว


พอตั๋วตั่วรู้ว่าตัวเองจะต้องไปจากฟาร์มปลาก็รู้สึกค่อนข้างอาลัยอาวรณ์ เธอไม่อยากไปจากพวกพี่ชายพี่สาวอย่างเชอร์ลี่ย์กับพาวลิส ไม่อยากไปจากพวกกระรอกดิน ไม่อยากไปจากคนที่ชอบทำของอร่อยๆ ให้เธอกินอย่างคุณอาฉินสือโอว


ฉินสือโอวก็รู้สึกกับครอบครัวกระรอกดินแบบนั้น เจ้าพวกนี้ไม่เคยได้รับพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนจากเขา เพียงแค่กินผักใบอ่อนกับผลไม้บางส่วนที่มีพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนเข้าไปก็เปลี่ยนพวกมันให้ฉลาดแบบนี้ได้แล้ว


ตั๋วตั่วโบกมือลาพวกกระรอกดินด้วยความอาลัยอาวรณ์ พวกกระรอกดินกะพริบดวงตาดำเล็กของพวกมันปริบๆ แล้วล้มลุกคลุกคลานวิ่งตามเธอไปก่อนจะเข้ามาวิ่งรอบเท้าเล็กๆ ของเธอไว้


พอได้เห็นภาพแบบนี้ เดิมทีฉินสือโอวก็อยากจะยกพวกกระรอกดินให้กับตั๋วตั่ว แต่พอพวกกระรอกดินเห็นตั๋วตั่วขึ้นเฮลิคอปเตอร์ไปแล้ว พวกมันก็พากันกระโดดลงมา ไม่ยอมไปจากฟาร์มปลา คาดว่าพวกมันคงจะกินผักผลไม้ที่มีพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนจนติดเป็นนิสัยแล้ว


ดวงตาตั๋วตั่วเป็นสีแดง เนื่องจากสาเหตุเรื่องความพิการทางร่างกาย หนูน้อยจึงมีเพื่อนอยู่น้อยมาก อุตส่าห์ได้เป็นเพื่อนกับพวกกระรอกดินแล้ว พวกมันก็ยังไม่ยอมจากไปพร้อมกับเธอ เธอเสียใจจังเลย


ฉินสือโอวเกาหัวแกรกๆ เขาไปเด็ดผักผลไม้จำนวนมากมาจากในสวน หลังจากนั้นก็พาครอบครัวกระรอกดินมาเพื่อคิดจะหลอกให้พวกมันไปที่ฟาร์มกับตั๋วตั่ว


แต่ปรากฏว่าคราวนี้พวกเชอร์ลี่ย์ก็ไม่ยอมเช่นกัน แถมกอร์ดอนกับมิเชลก็ยังโวยวายบอกว่าต่อไปนี้จะไม่เล่นกับตั๋วตั่วอีก ใครจะยอมให้หนูน้อยพาเพื่อนรักของพวกเขาไปด้วยล่ะ?


พวกเด็กๆ มีจิตสำนึกต่ออาณาเขตที่แข็งแกร่งมาก ถึงแม้ว่าพวกเข้าจะเล่นกับพวกกระรอกดินไม่บ่อยเท่าไร แต่พวกเขาก็ยังไปเล่นด้วยบ้าง นี่เป็นสัตว์เลี้ยงของพวกเขา เป็นเพื่อนของพวกเขานะ!


อีกทั้งพวกเชอร์ลี่ย์ก็ยังไปลากฝูงสัตว์เลี้ยงน่ารักอย่างหู่เป้าฉงหลัว ปอหลัว บุชกับนิมิตส์มาด้วยความเจ้าเล่ห์ เสี่ยวหมิงที่มีความสัมพันธ์อันดีกับครอบครัวกระรอกดินมาโดยตลอด พอเห็นว่าเพื่อนกำลังจะถูกส่งตัวไป มันก็แทบจะกระโดดต้นเมเปิลเพื่อฆ่าตัวตาย


เมื่อเป็นแบบนี้ฉินสือโอวก็หมดปัญญาแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่เขากลัดกลุ้มใจอย่างถึงที่สุด หลิวซูเหยียนจึงเกลี้ยกล่อมตั๋วตั่วอย่างอ่อนโยน วินนี่ลองคิดๆ ดู หลังจากนั้นเธอก็เข้าไปที่ฟาร์มแล้วนำลูกเจี๊ยบขนสีเหลืองอ่อนทั่วทั้งตัวใส่ไว้ในกรงราวๆ สี่ห้าตัวก่อนส่งมันให้กับตั๋วตั่ว แบบนี้ตั๋วตั่วถึงได้รู้สึกดีใจขึ้นมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)