ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 638-661
บทที่ 638 เผยความยุติธรรม
คำพูดของเหมยเหมยกระตุ้นเสียงจากผู้เข้าแข่งขันได้อีกครั้ง พวกเขาต่างตะโกนตามด้วยเสียงอันดัง เพื่อให้ทางผู้จัดออกมาอธิบาย ผู้เข้าแข่งขันต่างเป็นเยาวชนที่มีอายุเพียงสิบสี่สิบห้าปี ถือเป็นช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่มีอารมณ์รุนแรงเลือดร้อนในตัว เมื่อมีเหมยเหมยเป็นแม่ทัพอยู่ด้านหน้า มีหรือที่พวกเขาจะยอมถอย
ผู้เข้าแข่งขันมากมายมีความกล้าออกมาตะโกนพูดจาปลุกปั้น แย่งบทพูดที่เหมยเหมยอยากพูดไปหมด สถานการณ์ไปไกลกว่าที่เธอคาดไว้เสียอีก เพียงแต่เธอไม่ได้ส่งไมโครโฟนให้กับนักเรียนคนอื่น
ใช่ว่าไม่อยากให้พวกเขาเผยโฉมหน้าออกมา เพียงแต่ไม่ได้ต้องการจะทำร้ายพวกเขา!
เธอกล้าพูดจาแบบนี้ออกมา เป็นเพราะเธอยังมีตระกูลจ้าวที่คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง หวงอวี้เหลียนและหร่วนหวาไฉ่ต่างก็ทำอะไรเธอไม่ได้ แต่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นก็ไม่แน่ หวงอวี้เหลียนและหร่วนหวาไฉ่ต้องตามไประบายอารมณ์กับผู้เข้าแข่งขันพวกนี้เป็นแน่!
เหมยเหมยตะโกนเสียงดังขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าเหตุใดถึงจัดการแข่งขันนี้ขึ้น ? หรือคิดว่าพวกเราว่างกันนักเหรอ ? จงใจให้พวกเรามาถึงเมืองหลวงที่ไกลแสนไกลเพื่อเที่ยวเล่นงั้นเหรอ?”
นักข่าวจากสำนักอื่นต่างทยอยพากันห้อมล้อมเข้ามา ท่าทางของแต่ละคนดูตื่นเต้นไม่น้อย สัญชาตญาณของอาชีพทำให้พวกเขาตระหนักได้ว่าวันนี้มาไม่เสียเที่ยว ต้องเป็นข่าวใหญ่แน่นอน!
หร่วนหวาไฉ่หน้าบึ้งตึงพร้อมกับเดินเข้ามาตวาดด้วยเสียงอันดังว่า “เธอพูดจาเหลวไหลอะไรอยู่ เอาเรื่องการตัดสินภายในนั่นมาจากไหน? ไร้สาระสิ้นดี แยกย้ายกันซะ ยังอยากจะเข้าร่วมแข่งขันอยู่ไหม!”
นักข่าวสาวจำหร่วนหวาไฉ่ขึ้นได้ พลันขมวดคิ้วออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ จากคำบอกเล่าของเด็กสาวเลขาหร่วนเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น คนจิตใจคับแคบ ขี้เหนียว เธอควรเอาไมโครโฟนกลับมาก่อนเป็นดีที่สุด เพื่อเลี่ยงไม่ให้สาวน้อยถูกคาดโทษ
เหมยเหมยหลบห่างจากนักข่าวสาวอย่างคล่องตัว พลางขยิบตาส่งสัญญาณให้เธอวางใจได้
นักข่าวสาวที่เห็นท่าทีผ่อนคลาย อารมณ์นิ่งสงบของเหมยเหมยและพี่ชายทั้งสาม ก็เข้าใจในทันทีว่าที่แท้ครอบครัวของสาวน้อยคนนี้ก็ไม่ได้หาเรื่องได้ง่ายๆนี่เอง!
หากว่าสาวน้อยไม่รู้ความ แต่พี่ชายของเธอก็โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ทำไมถึงไม่ห้ามปรามเธอล่ะ บ่งชี้ได้ชัดว่าต้องมีคนหนุนหลังอยู่แน่ !
เหมยเหมยมองหร่วนหวาไฉ่อย่างเย็นชาและจงใจพูดว่า “คุณเป็นใคร? ในรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ว่าสามารถพูดคุยออกความคิดเห็นกันได้อย่างเสรี คุณมีสิทธิ์อะไรมาห้ามไม่ให้พวกเราคุยกัน?”
จ้าวเสวียกงตะโกนเสริมขึ้นตามว่า “เกรงว่าจะเป็นวัวสันหลังหวะ ยิ่งห้ามไม่ให้พวกเราพูด ยิ่งชี้ให้เห็นว่าการแข่งขันครั้งนี้มีลับลมคมใน เหอะ การแข่งขันแบบนี้เข้าร่วมแล้วจะมีความหมายอะไร พวกเรามาจากที่ไกลๆ เพื่อมาเล่นสนุกกับคนอื่นงั้นเหรอ!”
หร่วนหวาไฉ่อดกลั้นความโกรธไว้ พูดด้วยเสียงเรียบว่า “พวกเธอเป็นผู้เข้าแข่งจากที่ไหน? แล้วครูที่นำทีมพวกเธออยู่ไหนกัน ? ทำไมถึงไม่ดูแลนักเรียนของตัวเองให้ดี ปล่อยออกมาพูดจาซี้ซั้วอย่างนี้ได้!”
เหมยเหมยจึงตะโกนสวนถามกลับไปว่า “คุณเป็นใครล่ะ? มีสิทธิ์อะไรมาห้ามไม่ให้พวกเราพูด?”
สีหน้าของหร่วนหวาไฉ่เปลี่ยนเป็นเขียวซีดด้วยความโกรธ เพิ่มระดับเสียงตะโกนขึ้นว่า “ฉันเป็นผู้ดูแลการแข่งขันครั้งนี้ รีบแยกย้ายกันได้แล้ว ทำตัวไม่เข้าท่าเอาเสียเลย!”
จ้าวเสวียไห่แค่นเสียงแปลกออกมาพลางยิ้มเยาะพูดขึ้นว่า “โถ่วๆ ที่แท้ก็เป็นผู้ดูแลการแข่งขันนี่เอง คงไม่ใช่อาจารย์ของสาวน้อยผู้เข้าแข่งขันที่ฝีมือการวาดภาพไม่ต่างไปจากเด็กอนุบาลนั่นหรอกใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นคุณก็พูดต่อหน้าสาธารณชน อธิบายให้พวกเราฟังสิว่าการตัดสินภายในของรางวัลที่สองเป็นอย่างไร!”
หร่วนหวาไฉ่คาดไม่ถึงว่าพวกจ้าวเสวียไห่จะกล้าได้มากขนาดนี้ กล้าพูดแบบนี้ต่อหน้าผู้สื่อข่าวและสถานีโทรทัศน์ แม้จะเป็นวัวสันหลังหวะ แต่การทำเรื่องชั่วช้าทำลายผู้อื่นนั้นถือเป็นงานถนัดที่สุดของเขา โดยทำให้เป็นที่กล่าวขานไปทั่วแต่ยังสามารถตีหน้านิ่งไม่หวั่นเกรงใดใด
“ครูของพวกเธอล่ะ? พวกเขาสั่งสอนให้พวกเธอพูดจาแบบนี้งั้นหรือ? ฉันขอประกาศไว้ ณ ที่นี้เลย การแข่งขันในครั้งนี้เป็นไปอย่างยุติธรรม ไม่มีการเล่นเส้นสายภายในอย่างแน่นอน หากยังมีคนกล้าสร้างเรื่องโกหกอีก อย่าโทษว่าฉันเอาวิธีทางกฏหมายเข้ามาจัดการล่ะ!”
หร่วนหวาไฉ่พูดขึ้นอย่างสง่าผ่าเผย สีหน้าเคร่งขรึมดูภูมิฐาน คนส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องภายในที่ชัดเจน เมื่อเห็นผู้ดูแลการแข่งขันออกมาประกาศกร้าวให้เกิดความเชื่อมั่นจึงต่างเชื่อกันไปโดยปริยาย
เหมยเหมยหัวเราะเยาะ ยื่นมือชี้ไปยังโอหยางซานซานที่อยู่ห่างออกไกล “ปากคุณเอาแต่พูดถึงความยุติธรรม ถ้าอย่างนั้นขอถามหน่อยว่ากรณีของโอหยางซานซานหมายความว่าอย่างไร? เธอมีสิทธิ์อะไรถึงมาเข้าร่วมแข่งขัน?”
………………………………………………………
บทที่ 639 พูดชื่อขึ้นโดยตรง
ทุกคนต่างเบนสายตามองไปยังพื้นที่ไกลลับที่มีหวงอวี้เหลียนสองแม่ลูกยืนอยู่ มีบางคนจำโอหยางซานซานได้ จึงจงใจแอบซ่อนตัวในหมู่คน จากนั้นตะโกนขึ้นว่า “โอหยางซานซานคือเด็กเส้นที่ฝีมือการวาดภาพของเธอเทียบเท่าระดับเด็กอนุบาล!”
หร่วนหวาไฉ่จากที่มีสีหน้าซีดเขียวเปลี่ยนเป็นสีดำอารมณ์โกรธพุ่งขึ้นปรี๊ด เขาจ้องเหมยเหมยอย่างเคร่งขรึม หันไปยิ้มเยาะส่งให้เหยียนโฮ่วเต๋อที่มีสีหน้าบึ้งตึง “ครูผู้ดูแลจากทุกพื้นที่ช่วยดูแลนักเรียนของตนให้ดีด้วย หากยังพูดจาซี้ซั้วต่อไปจะถูกตัดสิทธิ์การแข่งขันเอาได้!”
เหยียนโฮ่วเต๋อแสร้งทำเป็นคนตาย ก้มหน้าไม่ปริปากส่งเสียงใดออกมา ลูกสาวของท่านรองผู้ว่าทำให้เรื่องพุ่งขึ้นไปถึงเบื้องบนแล้ว เขาไม่มีความสามารถมากพอที่จะตามเช็ดก้นให้แล้ว ให้ท่านรองผู้ว่ามาตามเช็ดเองก็แล้วกัน
เหมยเหมยพูดขึ้นเสียงดัง “ทำไมคุณเลขาหร่วนถึงไม่กล้าตอบคำถามฉันล่ะคะ? หรือว่าฉันพูดแทงใจดำ? รางวัลที่สองเป็นการตัดสินภายในที่มอบให้โอหยางซานซานลูกศิษย์ของคุณงั้นเหรอ?”
เหยียนโฮ่วเต๋อใจเต้นไม่รู้กี่ครั้ง เขาเซถอยหลังไปหลายก้าวอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้ ถอยออกให้ห่างจะดีที่สุด เจ้าเด็กแสบกล้าที่จะเอ่ยชื่อเขาแล้ว เขาแหย่ไม่ได้แต่ก็ยังพอจะหลบได้!
เธอเป็นถึงเจ้าหญิงของตระกูลจ้าว ต่อให้เธอเป็นคนวางระเบิดปรมาณูคงจะไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร แต่เขานี่สิไม่มีคนหนุนหลังให้พึ่งพิง งั้นก็คงต้องทำตัวจงรักภักดีต่อไป!
หากเกิดเรื่องขึ้นจริง ตระกูลจ้าวอาจไม่สามารถปกป้องเขาด้วย ถือว่าตัวเขาเองยังเข้าใจสถานการณ์ของตนเองดี!
หร่วนหวาไฉ่โกรธจนแทบจะกระอักเลือด นักข่าวห้อมล้อมเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งยังมีผู้หวังดีออกปากถามเขาว่ามีเหตุการณ์เบื้องลึกด้านมืดหรือไม่ แน่นอนว่านี่เป็นความกล้าส่วนตน ส่วนนักข่าวคนอื่นพอได้ยินชื่อโอหยางซานซาน ก็พากันปิดปากเงียบไป
ไม่มีใครโง่ถึงขั้นทำตัวเป็นปฏิปักษ์กับหัวหน้าเบื้องบนของตนเองหรอก!
“คุณมาจากสำนักไหน? เด็กคนหนึ่งพูดจาไร้สาระก็เชื่องั้นเหรอ? รีบตัดท่อนนี้ทิ้งไปซะ อย่าให้ผมรู้ว่าพวกคุณเผยแพร่ออกไป ไม่เช่นนั้นผมจะไปตามเอากับหัวหน้าพวกคุณ!”
หร่วนหวาไฉ่โกรธเดือดดาลพร้อมกับชี้หน้าด่าชายวัยรุ่นที่กล้าถามคำถามสิ้นคิดพวกนี้กับเขา หากไม่เป็นเพราะต้องรักษาภาพลักษณ์เอาไว้ เขาคงพุ่งเข้าไปชกเด็กคนนั้นสักหมัด นักข่าวคนอื่นปิดปากเงียบอย่างว่าง่าย มีแต่ไอ้บ้านี่กล้าถามขึ้นมา คงอยากตายสินะ!
เหมยเหมยหัวเราะเยาะพลางตะโกนขึ้นว่า “นี่คุณเลขาหร่วนต้องการจะปิดปากเหรอคะ? ผู้เข้าร่วมแข่งขันที่นี่มีจำนวนมากกว่าพันคน ถ้าคุณเจ๋งจริงก็ช่วยปิดปากพวกเราให้ได้ทุกคนสิคะ มิเช่นนั้นคุณก็ไม่มีทางปิดปากใครได้ตลอดชีวิต ความยุติธรรมมันอยู่ที่ใจ โครงสร้างการแข่งขันระดับประเทศไม่ใช่ตลาดให้คุณใช้ซื้อขายศักดิ์ศรีกัน!”
ทุกคนต่างสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอความเยือกเย็น และมองเหมยเหมยด้วยความตกใจ นึกไม่ถึงเลยว่าสาวน้อยผู้งดงามคนนี้จะมีความกล้าได้มากถึงขนาดนี้ กล้าที่จะต่อปากต่อคำกับเลขานุการของสมาคมวาดภาพระดับประเทศแบบนี้!
ไม่กลัวว่าเลขาหร่วนจะตัดแข้งตัดขาหรือไง?
ชายวัยรุ่นผู้กล้าหาญคนนั้นยืนมองเหมยเหมยด้วยความชื่นชม ช่างเป็นแบบอย่างที่ดี น่าเสียดายที่เรียนวาดภาพ เธอเหมาะสมกับอาชีพนักข่าวเสียหาที่ติไม่ได้แล้ว!
“เธอชื่ออะไร? ครูนำทีมจากเมืองจินอยู่ไหน? ออกมารับเด็กของคุณกลับไป ผมว่าเด็กนักเรียนในเมืองจินของคุณนี่เก่งกันดีนัก อยากมาแต่ก็ไม่เห็นค่าการแข่งขันครั้งนี้เลย ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเข้าร่วมแข่งขันไปเลยยังง่ายกว่า!”
หร่วนหวาไฉ่โกรธจนเกินจะควบคุมได้ บางคำพูดออกมาโดยไม่ผ่านการกลั่นกรอง ทั้งยังกล้าพูดออกมาเต็มปากว่ายกเลิกสิทธิ์ของผู้เข้าแข่งขันจากเมืองจินทุกคน ทีมนักเรียนของเหมยเหมยต่างพากันตัวสั่นขวัญผวา บางคนจ้องเหมยเหมยอย่างไม่พอใจ โกรธเธอที่ชอบยุ่งวุ่นวายเรื่องไร้สาระจนทำให้พวกเขาต้องติดบ่วงไปด้วย
“ช่างมันเถอะ พวกเราเถียงสู้พวกคนใหญ่คนโตไม่ได้หรอก รางวัลที่สองถูกตัดสินไปก็เท่านั้น ยังเหลือรางวัลที่หนึ่งและรางวัลที่สามอีก พวกเรายังถือว่ามีโอกาส เธออย่าสร้างเรื่องอีกเลย!”
มีเด็กคนหนึ่งเข้ามาเกลี้ยกล่อมเหมยเหมย อยากให้เธอกล่าวขอโทษหร่วนหวาไฉ่ เพื่อไม่ให้คนอื่นต้องติดแห่ไปด้วย!
เหมยเหมยจ้องคนที่เข้ามาเกลี้ยกล่อมเธอแล้วตวาดเสียงดังว่า “เธอรู้ได้ยังไงว่ารางวัลที่หนึ่งและรางวัลที่สองจะไม่มีการโกงกันภายใน? มีหนึ่งต้องมีสอง มีสองก็ต้องมีสาม รางวัลที่สองยังถูกขายศักดิ์ศรีทิ้งไปแล้ว รางวัลอื่นก็ทำได้เหมือนกัน ไม่แน่ว่าพวกเราก็แค่เข้ามาเล่นเป็นเพื่อนพวกที่มีเส้นสายกันเท่านั้น!”
…………………………………………………….
บทที่ 640 จงใจจุดประกายความโกรธแค้นต่อสาธารณชน
เมื่อเหมยเหมยพูดออกมาแบบนั้น ผู้เข้าแข่งขันคนอื่น ๆ ต่างเริ่มเกิดความระแวงสงสัยขึ้น อีกทั้งสิ่งที่เหมยเหมยพูดไม่ได้แปลว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากว่ารางวัลทั้งหมดถูกตัดสินไว้แล้ว พวกเขาที่เข้าร่วมแข่งขันต่อไปก็คงเป็นได้แค่ตัวตลก!
จ้าวเสวียเอร่อมองน้องสาวของตนที่ก่อเรื่องวุ่นวายด้วยความนิ่งเฉย มันเป็นเพียงการแข่งวาดภาพสนามหนึ่งเท่านั้นเอง น้องสาวเขาอยากจะก่อเรื่องยังไงก็ปล่อยไปก่อน หากเรื่องแค่นี้ตระกูลจ้าวยังเอาไม่อยู่ก็อย่าอยู่ในเมืองหลวงอีกต่อไปเลย!
อีกอย่างการแข่งขันครั้งนี้ก็มีลับลมคมในอยู่แล้ว น้องสาวก่อเรื่องเพียงเพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้ความรู้สึกเหมือนอัศวินขี่ม้าขาวก็เท่านั้น ไม่ได้มีผลกระทบต่อชื่อเสียงตระกูลจ้าวแต่อย่างใด
อีกทั้งยังสามารถปั่นหัวสองแม่ลูกอย่างหวงอวี้เหลียนได้ เหตุใดเขาจะไม่มีความสุขล่ะ!
จ้าวเสวียเอร่อไม่อาจพูดจาใดๆได้ เขาเป็นถึงผู้ใหญ่ เข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของเด็กคงจะไม่เหมาะสักเท่าไหร่ แต่ตำแหน่งที่ปรึกษาทางการรบล่ะก็เขาเป็นได้นะ !
เขากระซิบข้างหูจ้าวเสวียไห่ไม่กี่ประโยค จ้าวเสวียไห่จึงพยักหน้ารับไม่หยุด ในตาประกายความเจ้าเล่ห์ออกมา
“พวกนายอย่าทำตัวเป็นดั่งสุนัขกัดหลี่ต้งปินที่ไม่แยกแยะคนดี[1]หน่อยเลย น้องสาวของฉันแฉเบื้องลึกด้านมืดของการแข่งขัน พวกคุณยังหน้ามืดตามัวหลวมตัวเข้าร่วมการแข่งขัน พอไม่ได้รับรางวัลอะไรเลยสุดท้ายก็คิดว่าเป็นเพราะตัวเองวาดได้ไม่ดีพอ โดยไม่รู้เลยสักนิดว่าเป็นเพราะสู้เส้นสายของเขาไม่ได้ พวกคุณไม่คิดว่ามันไม่ยุติธรรมเหรอ?”
จ้าวเสวียไห่กระแอมเสียงดัง ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต่างพากันสะดุ้ง!
ทำไมจะไม่รู้ถึงความอยุติธรรมล่ะ?
พวกเขาตั้งใจเรียนวาดภาพ แต่ไม่ได้เรียนเพื่อมาเป็นเพื่อนเล่นกับเจ้าชายเจ้าหญิง!
จ้าวเสวียกงพูดเสริมตามมาว่า “เพราะงั้นพวกเราไม่ควรจะก้มหัวให้การกระทำชั่วช้านี้ คนที่เรียนวาดภาพต่างก็มีความภูมิใจในตัวเอง ให้ตายสิพวกเรามาจากที่ไกลแสนไกลเพื่อมาเป็นเพื่อนเล่นของพวกเด็กเส้นงั้นเหรอ? แบบนี้เป็นการตบหน้าพวกเราอยู่เหรอ? แล้วยังใช้เท้าถีบส่งพวกเราอีกด้วย!”
พัดที่โหมไฟให้ลุกโชน ถือว่าปลุกปั้นอารมณ์โกรธของพวกเด็กวัยรุ่นเลือดร้อนจำนวนพันกว่าชีวิตปะทุขึ้นมาได้ พวกเขาต่างเป็นเด็กหัวกะทิในพื้นที่ที่ได้รับเลือกจากหนึ่งในสิบ โดยปกติต่างมีแต่คนคอยตามติดเทิดทูนบูชา แต่ตอนนี้มาถึงเมืองหลวงพวกเขาทำได้แค่เป็นเพื่อนเล่นของคนอื่นเท่านั้น
ศักดิ์ศรีของพวกเขาจะทำรับไหวได้ที่ไหนกันล่ะ?
“ใช่ ไม่ควรจะก้มหัวให้การกระทำชั่วช้านี่เด็ดขาด!” คนมากมายทยอยโอนอ่อนตาม สถานการณ์เริ่มควบคุมไม่อยู่ใบหน้าของผู้เข้าแข่งขันทุกคนมีแต่ความโกรธไม่พอใจ แม้แต่ครูของพวกเขาก็ไม่อาจจัดการได้
ได้รับการสนับสนุนจากบรรดาพี่ชาย ความกล้าของเหมยเหมยเต็มเปี่ยมขึ้นกว่าเดิม เธอพูดขึ้นด้วยเสียงดังอีกครั้งว่า “เลขาหร่วนยังไม่ตอบคำถามฉันเลยนะคะว่ารางวัลที่สองถูกตัดสินภายในยกให้โอหยางซานซานลูกศิษย์ของคุณไว้แล้วใช่ไหมคะ?”
“พูดจาสามหาว ใครพูดซี้ซั้วส่งเดช ? ไม่ว่าจะเป็นที่หนึ่งหรือที่สอง ล้วนต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถเท่านั้นถึงจะได้ คณะกรรมการทุกท่านต่างเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณธรรมจริยะธรรมสูง พวกท่านต้องเลือกผลงานเข้าแข่งขันที่มีความโดดเด่นอยู่แล้ว จะเกิดจากการตัดสินภายในได้อย่างไร?”
หร่วนหวาไฉ่พูดจามีมารยาทด้วยท่าทีสง่าผ่าเผย มีผู้เข้าแข่งขันที่ไร้เดียงสาบางรายเชื่อ แต่คนส่วนใหญ่กลับไม่มีใครเชื่อ คำพูดลื่นหูใครต่างก็พูดได้ หร่วนหวาไฉ่ไม่กล้าตอบประเด็นที่เหมยเหมยเอ่ยถามซึ่งหน้า นั่นยิ่งชัดเจนว่าต้องมีเรื่องลับลมคมในเกิดขึ้นภายในแน่นอน
“คุณเลขาหร่วนพูดได้ดีมาก แต่ฉันรู้สึกตงิดใจแล้วสิ ในเมื่อการแข่งขันมีความยุติธรรมขนาดนี้ แล้วลูกศิษย์ของคุณอย่างโอหยางซานซานทำไมถึงแฝงเข้ามาแข่งในระดับประเทศได้ล่ะ? หรือว่าผู้เข้าแข่งขันในเมืองหลวงมีฝีมือแค่ระดับอนุบาลเองเหรอ ? ถ้าเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ถือเป็นเรื่องปกติมากเลยค่ะ!” เหมยเหมยจงใจพูด
“จะเป็นไปได้ยังไง? ระดับความสามารถของผู้เข้าแข่งขันในเมืองหลวงไม่พูดถึงที่หนึ่งแล้วกัน แต่รางวัลสามอันดับแรกต้องมีแน่นอนอยู่แล้ว นี่เธออย่าเหมารวมหมดสิ มันเป็นการดูถูกผู้เข้าแข่งขันทั้งเมืองหลวง!”
เหล่าผู้เข้าแข่งขันจากเมืองหลวงต่างพากันไม่ชอบใจ มีคนออกมาพูดเรียกร้องความชอบธรรมและตำหนิเหมยเหมยที่วิพากย์วิจารณ์พวกเขาแบบผิดๆ
……………………………………………………
บทที่ 641 เธอต่างหากที่เป็นของจริง
เหมยเหมยหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “นี่เพื่อนอย่าเพิ่งโกรธสิ ฉันก็แค่เห็นว่ามีผู้เข้าแข่งขันจากเมืองหลวงมีฝีมือการวาดภาพระดับอนุบาล จึงคิดว่าทุกคนคงจะมีฝีมือพอๆกัน ไม่อย่างนั้นผู้เข้าแข่งขันฝีมืออนุบาลแบบนี้จะเข้าร่วมแข่งระดับประเทศได้ยังไง !”
ตัวแทนผู้เข้าแข่งขันจากเมืองหลวงต่างไม่กล้าพูดความในใจออกมา พวกเขาไม่มีความกล้ามากเท่าเหมยเหมย ไม่กล้าพูดถึงโอหยางซานซานในด้านลบ จึงฝืนใจพูดขึ้นว่า “ถึงยังไงฝีมือระดับเด็กอนุบาลที่เธอพูดถึงมันก็แค่คน ๆ เดียว เธออย่าเหมารวมพวกเราทุกคนเข้าไปด้วย !”
“เข้าใจแล้วล่ะ ข้อยกเว้นที่ว่าใช้เส้นสายน่ะ ฉันรู้ทุกอย่าง ช่างทำให้พวกเธอลำบากใจจริงๆ !”
คำพูดของเหมยเหมยทำให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนรู้สึกถึงขอบตาที่ร้อนผ่าว อีกนิดเดียวอาจทำให้พวกเขาหลั่งน้ำตาแห่งความทุกข์ทนออกมาได้!
เมื่อถูกพูดเปรียบเทียบกับคนที่มีฝีมือระดับเด็กอนุบาล พวกเขาต่างทุกข์ระทมขมขื่นเสียยิ่งกว่าหวงเหลียน[2]อีก !
หร่วนหวาไฉ่เกลียดเหมยเหมยเข้ากระดูกดำ เขาตัดสินใจอย่างเด็ดขาดว่าหลังจากการแข่งขันสิ้นสุดลง จะต้องทำให้แม่สาวน้อยผู้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไม่มีแม้แต่ที่จะยืนอยู่ในวงการวาดภาพนี้
อีกทั้งครูของเธอก็อย่าหวังว่าจะมีวันได้เห็นเดือนเห็นตะวัน !
กล้าเป็นศัตรูกับคนอย่างหร่วนหวาไฉ่ ช่างน่าหงุดหงิดเสียจริง !
“นักเรียนของฉันอย่างโอหยางซานซานได้เข้าร่วมแข่งขัน เป็นเพราะความสามารถแท้จริงของตัวเธอเอง ยัยเด็กนี่ถ้ายังไม่หยุดสร้างข่าวเท็จ ฉันจำเป็นจะต้องตัดสิทธ์การแข่งขันของเธอ” หร่วนหวาไฉ่พูดข่มขู่
“คุณนี่ช่างน่าเกรงขามจริงๆ จู่ ๆ จะตัดสิทธิ์ก็ตัดสิทธิ์ คิดว่าตัวเองเป็นใครงั้นเหรอ การแข่งขันระดับประเทศตระกูลของคุณเป็นคนจัดขึ้นหรอ? คุณมีอำนาจอะไรในการตัดสิทธิ์การแข่งขันของฉัน ?”
เหมยเหมยยิ้มเยาะและจ้องหน้าหร่วนหวาไฉ่ แข่งหรือไม่แข่งสำหรับเธอไม่ได้สำคัญนัก แต่เพื่อจัดการหร่วนหวาไฉ่และโอหยางซานซานแล้วนั้น เธอจำเป็นต้องแข่ง !
“คุณเลขาหร่วนเอาแต่พูดว่าลูกศิษย์ของคุณเข้าร่วมการแข่งขันได้เพราะความสามารถที่แท้จริงของเธอ ถ้างั้นก็ให้โอหยางซานซานวาดรูปโชว์ต่อหน้าทุกคนในตอนนี้เลยสิคะ ซึ่งทุกคนในที่นี้มีความสามารถในการประเมินที่ดีมาก จะเป็นฝีมือระดับอนุบาลหรือไม่แค่มองก็รู้ได้ คุณเลขาหร่วนคิดว่าข้อเสนอของฉันเป็นยังไง ?”
เหมยเหมยจงใจพูดขึ้นเสียงดังและหันไปมองโอหยางซานซานที่กำลังโมโหอย่างเดือดดาล ที่ยืนอยู่ยังจุดที่ห่างไกลออกไป ยัยโอหยางซานซานนี่มีปณิธานที่สูงเสียยิ่งกว่าหลินเม่ยเม่ย อีกทั้งยังคิดว่าตัวเองดีเพียบพร้อม คงจะทนไม่ได้กับกลอุบายที่กระทบกระทั่งแบบนี้!
เป็นอย่างที่คิด…
หร่วนหวาไฉ่ยังไม่ทันจะได้พูด โอหยางซานซานที่ถูกเหมยเหมยเหน็บแนมว่าฝีมือการวาดรูประดับอนุบาลและทั้งยังเป็นพวกใช้เส้นสาย จนทำให้ไฟโทสะปะทุขึ้นมา ใครจะสะกดอารมณ์ไว้ได้ เธอเดินตึงตังเข้ามา แม้แต่หวงอวี้เหลียนยังไม่สามารถรั้งไว้ได้
“จ้าวเหมยช่างต่ำทรามนัก กล้าใส่ร้ายป้ายสีฉันต่อหน้าทุกคน ไม่ใช่เพราะเธออิจฉาฉันหรอกเหรอ ?” โอหยางซานซานตะโกนด้วยไฟโทสะที่ลุกโชน ใบหน้าเกลี้ยวกราดอย่าไม่อาจสงบนิ่งได้
เหมยเหมยยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ แต่กลับจุดไฟเพิ่มให้เธอ ”ฉันหน้าตาดีกว่าเธอ ฉลาดกว่าเธอ อายุน้อยกว่าเธอ คะแนนก็ดีกว่าเธอ ผู้คนต่างชื่นชอบฉันมากกว่าเธอ วาดภาพยังเก่งกว่าเธอร้อยเท่า คนเก่งแบบฉัน ทำไมต้องอิจฉาเด็กอนุบาลอย่างเธอด้วยล่ะ ?”
ผู้คนต่างทำมุมปากขยิบขยิบ กลั้นขำแทบไม่อยู่ สาวน้อยคนนี้มีความมั่นใจในตัวเองไม่น้อยเลย!
แต่ความเป็นจริงสาวน้อยคนนี้ก็หน้าตาดีกว่าโอหยางซานซานมากจริงๆ !
หวงอวี้เหลียนเห็นท่าไม่ดี จึงเดินตามเข้ามา และพูดด้วยความอ่อนโยน “เหมยเหมยทำไมถึงได้ทะเลาะกับพี่ซานซานซะแล้วล่ะ ? พวกเธอเป็นพี่น้องกันนะ มีปัญหาอะไรเรากลับไปเคลียร์กันที่บ้านดีไหม ?”
เหมยเหมยไม่ได้สนใจเธอ หันหน้ากลับมาถามจ้าวเสวียกง “พี่ห้า บ้านเรามีลูกสาวเพิ่มตั้งแต่เมื่อไหร่ ? เมื่อวานคุณปู่บอกว่าฉันเป็นเจ้าหญิงเพียงคนเดียวของตระกูลไม่ใช่หรอ ? ทำไมถึงมีอีกคนเพิ่มมาได้ ?”
จ้าวเสวียกงกลั้นขำและพยายามกระแอมเสียงเพื่อตะโกนตอบ “เหมยเมหยอย่าฟังคนอื่นพูดมั่วๆ เธอต่างหากที่เป็นของจริง คนนอกนั่นเป็นแค่ของปลอม แค่สินค้าปลอมแปลงคุณภาพต่ำ รู้ไหม !”
………………………………………………………
บทที่ 642 เกลียดความเป็นพี่สาวน้องสาว
หวงอวี้เหลียนทั้งสองแม่ลูกโกรธจนหน้าเขียว นึกไม่ถึงว่าเหมยเหมยและพวกพี่น้องของเธอจะกล้าทำให้เธอไม่อาจลงจากเวทีต่อหน้าทุกคนแบบนี้ได้ !
“เหมยเหมยกำลังไม่พอใจต่อพี่ซานซานใช่ไหม พี่ซานซานไม่รู้ภาษา ไม่รู้ว่าควรจะยอมให้น้องบ้าง กลับไปฉันจะจัดการให้เธอเอง !”
ไม่แปลกเลยที่หวงอวี้เหลียนจะเป็นดั่งดอกบัวขาวที่บำเพ็ญฌานจนบรรลุ แม้ว่าเธอจะโกรธจนร้อนใจ แต่ยังคงรักษาภาพลักษณ์อันมีสง่าราศีของความเป็นผู้รากมากดี น้ำเสียงสายตาแค่เห็นก็เหมือนกับเด็กแก่แดดที่ไม่เชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้าน มีเพียงความอภัยไม่ผูกอาฆาตและความสนิทชิดเชื้อ
ผู้เข้าแข่งขันทุกคนจากที่เคยถูกเหมยเหมยจุดประกายโทสะขึ้น เมื่อเห็นท่าทีของหวงอวี้เหลียนรวมถึงคำพูดของเธอ จึงตระหนักได้ทันที ที่แท้พวกเขาคือครอบครัวเดียวกัน !
ก็แค่พี่สาวน้องสาวทะเลาะเบาะแว้งกันเท่านั้น แต่กลับต้องให้พวกเขามาร่วมเล่นละครฉากใหญ่กับคนบ้านนี้!
ท้ายสุดพวกเธอกลับบ้านไปก็ยังคงเป็นพี่น้อง แต่พวกเขากลับไปคงต้องซวย และความเป็นไปได้อีกอย่างคืออาจจะหมดสิทธิ์ในการแข่งขัน!
เหมยเหมยเห็นท่าทีบึ้งตึงขุ่นเคืองของเหล่าบรรดาเด็กนักเรียน จึงรู้ถึงสถานการณ์ที่ไม่ดีนัก หวงอวี้เหลียนฝีมือสูงกว่าเหอปี้อวิ๋นหลายร้อยเท่า คำพูดนุ่มนวลเพียงแค่ประโยคเดียวก็ทำให้ทุกคนเริ่มถอดใจไปได้ แท้จริงก็คือปีศาจดอกบัวขาว!
“คุณหญิงโอหยางอย่าได้นับญาติไปทั่วสิคะ ลูกสาวคุณแซ่โอหยาง ฉันแซ่จ้าว เมื่อห้าร้อยปีก่อนพวกเราไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันพี่น้องใดๆเลย ห้าร้อยปีหลังก็ยิ่งไม่ใช่ญาติพี่น้องกัน!”
เหมยเหมยพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ แต่คำพูดที่ออกมาไม่ได้มีความเกรงใจเลยสักนิด ไม่ทันรอให้หวงอวี้เหลียนเปิดปากพูด เธอจึงตัดบทขึ้นก่อน “คุณหญิงโอหยางก็อย่าเอาแต่พูดว่าพี่ซานซานอะไรนั่นเลย ฉันเกลียดที่สุดคือการเป็นพี่สาวน้องสาว โชคดีที่ฉันมีพี่ชายหลายคน”
จ้าวเสวียกงและจ้าวเสวียไห่กระโดดเข้ามายืนอยู่ข้างๆ เพื่อปกป้องเหมยเหมย เชิดแผงอกยืดขึ้นสูง ท่าทางลำพองจองหองราวกับไก่หนุ่มตัวผู้
โอหยางซานซานที่ถูกเลี้ยงดูมาอย่างตามใจ จะทนรับคำสบประมาทเช่นนี้ได้เช่นไรกัน ตะโกนเสียงแหลมปรี๊ดด้วยความโมโห “ฉันก็เกลียดที่ต้องเป็นพี่ของคนอื่น!”
“งั้นเธอก็บอกกับแม่ของเธอไป วันวันอย่าเอาแต่บอกว่าพี่ซานซานอย่างนั้นพี่ซานซานอย่างนี้ ฉันไม่อยากฟัง!”
เหมยเหมยเงยหน้าเชิดคางขึ้น สายตามองขึ้นฟ้า แสดงท่าทีข่มใส่!
ท่าทีรังเกียจใครบ้างล่ะที่ทำไม่ได้ เมื่อชาติก่อนดูละครเกาหลีฉากน้ำเน่า รับบทนางร้ายใจแคบทะนงตน แค่หลับตาก็สามารถลอกเลียนแบบได้ ยัยโอหยางซานซานช่างรังเกียจนัก !
อาจารย์ท่านอื่นมีไม่เลือกไหว้ แต่กลับไหว้วางตัวเป็นศิษย์ไอ้ชั่วช้าหร่วนหวาไฉ่นี่ ทั้งยังมีแม่ที่เป็นดั่งปีศาจดอกบัวขาว !
โอหยางซานซานโมโหจนน้ำตาเอ่อคลอ ทอดสายตามองแม่ของตนอย่างอึดอัดใจ หวงอวี้เหลียนเจ็บปวดเสียยิ่งกระไร เธอโกรธเกลียดเหมยเหมยจนต้องกัดฟันแน่น แต่เธอจะต้องคอยเกลี้ยกล่อมแม่สาวน้อยคนนี้ไว้ และไม่ควรแสดงอาการใดๆออกมาทางสีหน้า
“เหมยเหมยเธอหวงพี่ซานซานหรือไง ? ตรงจุดนี้เธอควรจะทำความเข้าใจไว้ ถึงอย่างไรพี่ซานซานก็อยู่ข้างๆคุณย่ามาตั้งแต่เล็กๆ ความสนิทสนมนับสิบปีก็ต้องผูกพันกันมากเป็นธรรมดา คงไม่แปลกอะไรที่คุณย่าของเธอจะชอบซานซาน เธอ…”
แม้ว่าคำพูดของหวงอวี้เหลียนจะนุ่มนวล แต่น้ำเสียงของเธอมีความหมายว่าอย่างไรคนอื่นต่างรับรู้ได้ หากว่าเหมยเหมยเป็นเด็กอายุสิบสามจริงๆ เธอคงเข้าใจว่าคุณย่าลำเอียง ปัญหายิ่งลึกยิ่งแก้ยาก กระทั่งอาจทำให้เกิดปัญหาทะเลาะกันบานปลายกับคุณปู่คุณย่าจนต้องแตกหักกัน
ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนชอบหลานสาวที่ชอบทำตัวหาเรื่องคนอื่นไปทั่วได้หรอก!
ต่อให้ผูกพันลึกซึ้งมากแค่ไหนก็ไม่อาจทนรับการทำร้ายทีละนิดๆ ได้แน่!
เจตนาของหวงอวี้เหลียนช่างน่ากลัวยิ่งนัก แต่เธออาจคาดการณ์ผิดไปเล็กน้อย เหมยเหมยไม่ใช่เด็กจริงๆ และเธอก็ไม่ได้โอนเอนง่ายๆเมื่อถูกใครชักจูง
“คุณพูดช่างน่าขัน ทำไมฉันต้องหวง ? คุณย่ารักชื่นชมฉันเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด ลูกสาวของคุณเป็นแค่แขกเท่านั้น คุณย่าก็แค่รักษามารยาทด้วยและคอยเอาใส่ใจตามมารยาท แต่กลับมีคนบางคนคิดเองเออเอง ช่างน่าตลกนัก!”
เหมยเหมยไม่มีความเกรงอกเกรงใจสักนิดเดียว การต่อกรกับคนอย่างหวงอวี้เหลียน เธอไม่จำเป็นต้องเกรงใจเลยแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นมันอาจจะทำให้ผู้หญิงคนนี้ปีนจมูกขึ้นมาได้!
…………………………………………………………………………………………..
บทที่ 643 อย่างเข้าข้างตัวเองหน่อยเลย
จ้าวเสวียกงมองสองแม่ลูกตรงหน้าอย่างเกลียดชัง พลางพูดถากถางขึ้นว่า “นั่นสินะ มีคนชอบพูดเองเออเอง คุณย่าของเราท่านเป็นคนจิตใจดีมีเมตตา เห็นหมาแมวที่ตายตามข้างถนนยังน้ำตาไหลพรากได้ ใครจะกล้าปฏิเสธพวกคนหน้าหนาไร้ยางอายไม่ให้เข้าบ้านล่ะ ?”
จ้าวเสวียไห่ฉวยโอกาสตอนที่น้องชายหยุดพัก พูดเสริมขึ้นว่า “หนังหน้าของคนบางคนก็หนาแบบนี้แหละ หน้าหนาไร้ยางอายแบบนั้นมาตลอดสิบปี คุณย่าของเราจะกล้าหักหน้าได้อย่างไร นิ่งเพื่อให้คนหน้าหนาพวกนี้หลงเหลือหน้าตาและเป็นเกียรติมาเป็นสิบๆปี เป็นคนดีนี่มันยากจริงๆ !”
สองพี่น้องพลัดกันต่อปากต่อคำ ต่อให้หวงอวี้เหลียนได้รับการเลี้ยงดูที่ดีมามากแค่ไหนก็ไม่มีทางทนได้ รอยยิ้มสง่าผ่าเผยบนใบหน้าจางหายไปอย่างไม่เหลือให้ได้เห็น เธอทำหน้าเคร่งขรึมพร้อมพูดตักเตือน “ฉันจะดีจะเลวก็เป็นผู้อาวุโสของพวกเธอ หรือว่าตระกูลจ้าวอบรมสั่งสอนมาแบบนี้? ฉันต้องหาเวลาไปถามอาสะใภ้ให้รู้ความ”
“คุณหญิงโอหยางก็พูดเกินไป ตระกูลจ้าวของเราน่ะเป็นคนตรงไปตรงมา เกลียดที่สุดคือพวกที่มักใช้อำนาจบาตรใหญ่ เพราะงั้นน้องสาวคนเล็กของเรา อายุน้อยแค่นี้แต่เธอก็กล้าที่จะเปิดโปงความไม่เป็นธรรม และนี่ก็เป็นคำสอนของบรรพบุรุษฝั่งพ่อฝั่งแม่ของตระกูล”
จ้าวเสวียเอร่อที่นิ่งมาตลอดยอมปรากฏตัว เรื่องของพวกเด็กๆเขาจะไม่เข้าไปยุ่ง แต่หวงอวี้เหลียนถือเอาความเป็นผู้อาวุโสมาบังหน้า เพราะงั้นเขาต้องออกมาพูดอะไรสักหน่อย
ใครจะยอมให้ผู้หญิงน่ารังเกียจถือเอาความเป็นผู้ใหญ่มารังแกเด็กล่ะ!
หวงอวี้เหลียนใจเต้นระส่ำ เธอรู้ดีว่าเรื่องราวในวันนี้เกินที่จะรับมือได้แล้ว ตระกูลจ้าวทั้งสามรุ่นรวมกัน จ้าวเสวียเอร่อถือว่าเป็นคนฉลาดแกมโกงที่สุด ฝีปากร้ายราวกับลิ้นติดสปริง คนสิบคนรวมกันยังเถียงสู้เขาไม่ได้เลย
“เสวียเอ่อร์พูดถูก ฉันก็คิดเหมือนกันกับอาสะใภ้นั่นแหละ ไม่ใช่เพราะตอนนี้ซานซานและเหมยเหมยทะเลาะกันหรอกเหรอ? ฉันจึงต้องคอยช่วยพูดให้พวกเธอสองพี่น้องคืนดีกัน”
หวงอวี้เหลียนพูดเบี่ยงประเด็น พยายามเอาเรื่องอื่นมาผสมเพื่อเอาเรื่องการตัดสินภายในของรางวัลเหรียญเงินให้ผ่านไป แต่มีหรอที่เหมยเหมยจะยอมปล่อยโอหยางซานซานไป?
วันนี้เธอจะกัดยัยแม่หมีสีน้ำตาลนี่ไม่ปล่อย!
“คุณหญิงโอหยางคุณมีปัญหาทางหูหรือเปล่า? ฉันพูดไปกี่รอบแล้ว โอหยางซานซานก็คือโอหยางซานซาน ฉันก็คือฉัน หยุดคิดเองเออเองได้แล้ว น่ารำคาญชะมัด ?”
เหมยเหมยสวมบทเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยที่ถูกผู้ใหญ่เอาใจจนเคยตัว คะแนนการแสดงคงต้องยกให้เธอเก้าเต็มสิบ !
เธอเหลือบมองหวงอวี้เหลียนที่มีสีหน้าเคร่งขรึมแค่แวบเดียว และเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ”และตอนนี้พูดถึงการตัดสินรางวัลเหรียญเงินให้โอหยางซานซาน คุณอย่าเอาแต่เปลี่ยนเรื่อง เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าโอหยางซานซานไม่ได้ใช้เส้นสาย ก็ยอมให้เธอวาดภาพต่อหน้าทุกคนสิ ดีหรือไม่สายตาของทุกคนก็ดูออก !”
“ใช่ วาดโชว์ตอนนี้เลย หรือไม่ก็วาดภาพเหมือนง่ายๆ สิ วาดภาพที่เป็นพื้นฐาน หากว่ายังวาดได้ไม่ดี ฝีมือก็คงจะไม่ต่างไปจากเด็กอนุบาลแล้วล่ะ!”
จ้าวเสวียกงตะโกนเสียงดัง คนอื่นๆ ต่างพยักหน้าเห็นด้วย ยิ่งภาพง่ายแค่ไหน ก็ยิ่งทำให้เห็นถึงฝีมือความสามารถมากน้อยได้ชัดเจน!
โอหยางซานซานมักคิดว่าตัวเองวาดได้ดีไม่น้อย เมื่อได้ยินว่าวาดสดต่อหน้าทุกคน เธอจึงตอบตกลงในทันที หวงอวี้เหลียนจึงรีบฉุดดึงลูกสาวไว้ เธอรู้และเข้าใจความเป็นจริงดีเสียยิ่งกว่าโอหยางซานซานมาก รู้ดีว่าฝีมือของลูกสาวเธอนั้นไม่ได้ดีเสียเท่าไหร่ หากวาดต่อหน้าทุกคนจริง มีหวังได้เผยธาตุแท้ออกมาหมดเปลือกแน่
“ใกล้จะถึงเวลาแข่งขันแล้ว ฉันว่าแข่งเสร็จค่อยพูดเรื่องนี้ต่อจะดีกว่านะ อย่าทำให้ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นเสียงเวลาเลย เลขาหร่วน ควรจะเรียกตัวผู้เข้าแข่งขันเข้าสนามแข่งแล้วไม่ใช่หรือ?”
หร่วนหวาไฉ่ที่มีท่าทีแปลกไปพยักหน้ารับคำอย่างขอไปที เรียกสตาฟงานให้พาตัวนักเรียนเข้าไปในสนามแข่ง เมื่อเผชิญหน้ากับเหมยเหมยจึงมีท่าทีเกรงใจมากขึ้น
เขาไม่ได้โง่นัก เด็กตัวเล็กๆ ที่แม้แต่หวงอวี้เหลียนยังไม่กล้ามีเรื่องด้วย แล้วคนอย่างเขาจะเอาความกล้าจากไหนไปหาเรื่องเธอ?
………………………………………………….
บทที่ 644 งานราชการควรให้รัฐจัดการ
มีนักเรียนบางคนเมื่อได้ยินสตาฟเรียกเข้าไป แม้จะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ แต่ก็ไม่อาจจะคัดค้านได้ ดูจากลักษณะคงต้องปล่อยตามน้ำไป
สีหน้าของหวงอวี้เหลียนแสดงออกถึงความพึงพอใจ เธอรู้ดีว่าเด็กๆ พวกนี้ไม่กล้าทำอะไร รอให้การแข่งขันสิ้นสุดลง เธอค่อยหาวิธีจัดการกับจ้าวเหมย!
อย่าคิดว่าเป็นเจ้าหญิงของตระกูลจ้าว แล้วเธอจะไม่กล้าจัดการ!
จัดการซื่อๆตรงๆต่อหน้าในที่แจ้งไม่ได้ เธอก็ทำในที่ลับได้ เธอมีวิธีที่จะจัดการยัยเด็กชั่วช้าคนนี้!
เหมยเมหยมองเห็นสีหน้าพึงพอใจของหวงอวี้เหลียนได้อย่างชัดเจน เธอโกรธแค้นในใจ ถือไมโครโฟนแล้วตะโกนใส่ “ทุกคนอย่าเข้าไป เรื่องราวทุกอย่างถ้ายังไม่เคลียร์ให้ชัดเจนก็ไม่ต้องแข่ง พวกเธอลองคิดดูดีๆสิ เรียนวาดรูปมาอย่างยากเย็นแสนเข็ญ แต่จะเข้าแข่งขันกับคนฝีมือระดับอนุบาล พวกเธอไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องอับอายขายขี้หน้าเหรอ?”
มีนักเรียนบางคนหยุดฝีเท้าที่ก้าวเดินลง เกิดความคิดสองจิตสองใจ เหมยเหมยพูดถูก เป็นเรื่องอับอายขายขี้หน้า!
แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ถ้าไม่เข้าร่วมแข่งจะทำอะไรอีก?
เหมยเหมยจึงพูดขึ้นเสียงดังอีกครั้ง “เลขาหร่วน เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าลูกศิษย์ของคุณไม่ได้ใช้เส้นสาย ตอนนี้ขอให้เธอวาดภาพเหมือนเป็นคุณเลขาหร่วนต่อหน้าพวกเราทุกคน ฉันเชื่อว่าการวาดภาพอาจารย์ตัวเอง คงไม่ใช่เรื่องยากนักใช่ไหม?”
“ใช่ หากว่าภาพอาจารย์ตัวเองยังวาดไม่ดี มีสิทธิ์อะไรที่จะเข้าแข่งขันระดับประเทศ? กลับไปวาดข้างกำแพงบ้านตัวเองไป!” จ้าวเสวียกงตะโกนขึ้น
หร่วนหวาไฉ่เองก็สองจิตสองใจ เพราะเขามองออกว่าเหมยเหมยและพวกไม่ได้มีฐานะที่ธรรมดา คงไม่ดีที่จะโต้กลับ จึงทำทีหูหนวกตาบอด อีกทั้งยังได้ออกคำสั่งกับสตาฟคนข้างๆ ให้เข้าไปเรียกตัวหัวหน้าที่ดูแลการแข่งขันออกมา
ตอนนี้กลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต เขาไม่อาจรับมือได้ ให้คนอื่นออกมาช่วยเช็ดก้นก็แล้วกัน !
สำหรับเรื่องที่โอหยางซานซานใช้เส้นสาย หร่วนหวาไฉ่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจสักเท่าไหร่ การใช้เส้นสายให้ลูกศิษย์ของตัวเองไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่โตอะไร และจากที่เขารู้มา การแข่งขันครั้งนี้รางวัลใหญ่ๆ ครึ่งหนึ่งถูกตัดสินไปแล้ว ครึ่งหนึ่งเหลือไว้สำหรับผู้เข้าแข่งขันที่เป็นคนนอก
นี่เป็นการแข่งขันที่ไม่มีกฏเกณฑ์ที่เป็นลายลักษณ์อักษร ซึ่งทุกคนต่างทราบดี ไม่มีใครโง่พอที่จะกล้าเปิดโปง!
แต่เป็นเพราะการแข่งขันในครั้งนี้โชคไม่ดีนัก นึกไม่ถึงว่าจะเจอเด็กที่เอาจริงเอาจังแบบนี้ ทั้งยังเป็นเด็กที่มีภูมิหลังไม่ธรรมดาอีกด้วย ให้ตายเถอะ!
ผู้ดูแลหลักคือข้าราชการแซ่จู ทุกคนต่างเรียกเขาว่าผู้อำนวยการจู หากพูดตามความจริงก็คือเพื่อนร่วมงานของสามีหวงอวี้เหลียน ถือว่ามีพื้นฐานทางบ้านที่ดี เพราะงั้นเขาไม่ค่อยจะสนใจต่อหวงอวี้เหลียนเท่าไหร่นัก
ครั้นผู้อำนวยการที่ได้ฟังคนที่ด้านล่างพูดถึงเรื่องก่อนหน้าที่เกิดขึ้น จึงแสดงสีหน้าไม่สบอารมณ์เท่าที่ควร และจ้องมองหร่วนหวาไฉ่อย่างตำหนิ
ช่างเป็นพวกไร้ประโยชน์นัก!
เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ยังจัดการไม่ได้ หากว่ามีนักข่าวเผยแพร่ไปยังช่องสถานีหรือบนหนังสือพิมพ์ เขาเองก็คงจะติดร่างแหไปด้วย!
สำหรับเรื่องเส้นสายภายในเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อำนวยการจูจะไม่ทราบเรื่องนี้ แต่เขาทำทีหลับหูหลับตาไปบ้างก็เท่านั้น เรื่องเล็กน้อยที่ไม่ได้รับผลกระทบกระเทือนมากมาย เหตุใดจึงต้องเอาจริงเอาจังด้วยล่ะ!
แต่ตอนนี้เรื่องราวบานปลายจนอาจมีผลกระทบกับระดับผลประโยชน์ของเขาได้ แบบนั้นเขาก็ไม่อาจหลับหูหลับตาต่อไปได้!
“วัตถุประสงค์ของการแข่งขันในครั้งนี้มีแต่ความยุติธรรม ในเมื่อมีผู้เข้าแข่งขันยื่นเสนอออกมา ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามที่ผู้เข้าแข่งขันคนนี้เสนอแล้วกัน เชิญโอหยางซานซานวาดภาพโชว์ต่อหน้าทุกคน เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ใจ”
ผู้อำนวยการจูถือว่าเป็นคนที่มีความน่าเชื่อถือ เมื่อได้ฟังที่ลูกน้องพูดถึงเหตุการณ์ต่างๆก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จึงตัดสินใจในทันที
หวงอวี้เหลียนมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาก ในใจคิดอยากจะเข้าไปพูดกับผู้อำนวยการจูให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่มี แต่เมื่อเห็นท่าทีเอาจริงเอาจังขนาดนี้ ทั้งยังแสดงออกว่าไม่รู้จักเธอ จึงทำให้เธอไม่มีแม้แต่คำพูดที่จะยกขึ้นมาพูดได้
………………………………………………….
บทที่ 645 เปรียบเทียบกัน
หวงอวี้เหลียนไม่สามารถทำอะไรได้ จึงพูดกำชับที่ข้างหูของลูกสาวไปเพียงไม่กี่ประโยค โอหยางซานซานจึงตะโกนขึ้นเสียงดัง “จ้าวเหมยเธอเอาแต่พูดว่าฉันใช้เส้นสาย พ่อของเธอเป็นถึงรองผู้ว่าประจำเมืองจิน ใครจะรู้ว่าเธอเองก็ไม่ได้ใช้เส้นสาย?”
ผู้อำนวยการจูหันมองเหมยเหมยครู่หนึ่งจึงทำให้เข้าใจได้ ที่แท้ก็เป็นเจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลจ้าว ไม่แปลกที่จะอาจหาญได้ถึงเพียงนี้ !
เริ่มมีเสียงฮือฮาดังขึ้นมาจากผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ พวกเขาต่างรู้สึกอิจฉาริษยาเหมยเหมย และเริ่มมีบางคนเกิดความสงสัยเช่นเดียวกับโอหยางซานซาน ที่คิดว่าเหมยเหมยเองก็เป็นเด็กเส้น
จ้าวเสวียกงตะโกนด่าอย่างโกรธจัด “เธอคิดว่าทุกคนต้องเป็นเหมือนเธอเหรอ ที่วันๆ เอาแต่พึ่งพาเส้นสายเพื่อทำมาหากิน เหมยเหมยของพวกเราใช้ความสามารถแท้จริงที่มีอยู่!”
โอหยางซานซานจึงตะโกนร้องเสียงหลง “ใช้ความสามารถที่แท้จริงหรือไม่ก็ต้องวาดออกมาให้เห็นสิ แคคำพูดใครก็พูดได้!”
หวงอวี้เหลียนมองลูกสาวด้วยความพึงพอใจ ในสายตาเธอเหมยเหมยไม่น่าจะมีความสามารถและฝีมือที่ดีเท่าไหร่นัก เมื่อก่อนครอบครัวสามัญชนคนธรรมดาชุบเลี้ยงเธอให้เติบโตมา พวกเขาจะยอมเสียเงินเพื่อนส่งเธอเรียนวาดภาพได้อย่างไร ?
จ้าวเหมยต้องสู้ซานซานของเธอไม่ได้แน่!
เหมยเหมยหัวเราะเยาะไปทีหนึ่ง “มีคนบางคนมักจะถือเอาความคิดของตัวเองมาตีค่าในตัวอื่น คิดว่าคนอื่นๆ ก็หน้าไม่อายเหมือนกับตัวเอง เหอะ ในเมื่อเธอสงสัยว่าฉันใช้เส้นสาย งั้นเรามาวาดรูปแข่งกัน แล้วก็มาดูกันว่าใครกันแน่ที่ใช้เส้นสาย!”
โอหยางซานซานพูดขึ้นอย่างทะนง “แข่งก็แข่ง เธอจะวาดอะไร?”
เหมยเหมยลูบจมูกตัวเองไปมา และจงใจพูดขึ้น “ฉันจะยอมเสียเปรียบให้หน่อย วาดเหมือนกับเธอก็ได้ แต่นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาแข่งแล้ว เราจะทำให้ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ เสียเวลาไม่ได้ งั้นก็กำหนดเวลาแค่ห้านาทีละกัน เธอกล้าที่จะแข่งกับฉันไหม?”
หร่วนหวาไฉ่เตรียมจะพูดห้าม แต่โอหยางซานซานกลับตกปากรับคำในทันที “ห้านาทีก็ห้านาที มีอะไรถึงจะไม่กล้าล่ะ!”
“ดีเลย ง่ายดี คุณเลขาหร่วนคะ ช่วยหาโต๊ะให้พวกเราสักตัวสิคะ!”
เหมยเหมยมองหร่วนหวาไฉ่เหมือนกับยิ้มให้แต่ก็ไม่เชิง กำจัดลูกศิษย์ให้ได้ก่อน จากนั้นค่อยจัดการกับไอ้แก่ชาติชั่วนี่ และยังเหลือไอ้พวกชาติชั่วอีกสองคน ต้องเผาทิ้งไม่ให้เหลือแม้แต่คนเดียว!
หร่วนหวาไฉ่รีบสั่งให้คนไปหาโต๊ะพร้อมกับกระดาษและดินสอมา ผู้อำนวยการจูจะเป็นกรรมการให้เอง เหมยเหมยจดจำรูปลักษณ์หน้าตาของหร่วนหวาไฉ่ได้อย่างแม่นยำ เมื่อผู้อำนวยการจูสั่งเริ่ม เธอก็วาดลงไปอย่างรวดเร็ว
โอหยางซานซานก็ไม่ได้ช้าไปกว่ากันนัก เพียงแต่เธอวาดได้ไม่กี่เส้นจำต้องได้เงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ของตน หันกลับมามองเหมยเหมยที่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาวาดอย่างตั้งใจ ต่อให้เป็นคนนอกก็รับรู้ได้ว่าเป็นคนที่มีฝีมือจริงๆ
เรียนกับอาจารย์มาตั้งสามปี วาดภาพเหมือนง่ายๆ ยังต้องมองตัวแบบตั้งหลายครั้งหลายครา ฝีมือการวาดก็ยังคงย่ำแย่เช่นเคย!
“ฉันวาดเสร็จแล้ว!”
ยังไม่ถึงสามนาทีด้วยซ้ำ เหมยเหมยทิ้งดินสอลงด้วยใบหน้าที่มีแต่ความมั่นใจ
แต่โอหยางซานซานกลับวาดต่อไป แม้แต่ดวงตาเธอยังวาดมันไม่เสร็จ บนหน้าผากเริ่มมีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นมา การที่เหมยเหมยส่งก่อนเวลายิ่งทำให้เธอเริ่มกังวล พร้อมทั้งวาดผิดไปหลายถึงหลายจุด จนเอาแต่หายางลบมาลบแก้ ในขณะเดียวกันก็เหลือบมองทุกคนก็เห็นว่าเอาแต่ส่ายหน้าไปมา จึงทำให้เธอรู้สึกโมโห
ผู้แข่งขันฝีมือแค่นี้ นึกไม่ถึงว่าจะกล้าเข้าแข่งสนามเดียวกับพวกเขาได้ ช่างเป็นอะไรที่น่ารังเกียจนัก!
“หมดเวลา!”
ใบหน้าของผู้อำนวยการจูไร้ซึ่งความปรานี แม้แต่นาทีเดียวเขาก็ไม่คิดจะเผื่อให้โอหยางซานซานเลย ยิ่งตอนนี้ต้องอยู่ต่อหน้าทุกคนแบบนี้ เขาจะต้องรักษาภาพพจน์ที่ดีของความเป็นข้าราชการ
“ให้เวลาหนูอีกหนึ่งนาที หนูวาดใกล้จะเสร็จแล้ว!”
โอหยางซานซานใบหน้าเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ มือโบกปัดป่ายไปมาไม่หยุด ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ไม่ยอมส่งกระดาษผู้อำนวยการจูจึงแย่งกระดาษไปเองกับมือ ถ้าความเร็วในการวาดมีแค่นี้ ลูกสาวของผู้อำนวยการโอหยางก็แพ้แล้ว!
ผู้อำนวยการจูดูภาพวาดของเหมยเหมยก่อน มุมปากกระตุกยกยิ้มไม่หยุด เจ้าหญิงน้อยของตระกูลจ้าวมีวิธีการวาดที่น่าสนใจนัก ช่างมีความเป็นเอกลักษณ์ยิ่ง!
…………………………………………………
บทที่ 646 เต่าแก่ที่มีรอยยิ้มบางเหมือนโมนาลิซ่า
เหมยเหมยวาดภาพได้เหมือนกับรูปลักษณ์ภายนอกของหร่วนหวาไฉ่อยู่สามส่วน อีกเจ็ดส่วนที่เหมือนคือสีหน้าท่าทาง เป็นเพราะหร่วนหวาไฉ่มีรูปร่างอวบท้วม และค่อนข้างเตี้ย ความยาวช่วงลำคอก็ไม่ได้ยาวนัก ภาพรวมทั้งตัวดูอิ่มเอิบวิธีการวาดของเหมยเหมยดูเกินคาดกว่าแต่ก่อนไปมาก เธอวาดช่วงตัวของหร่วนหวาไฉ่ให้ดูกลมเล็กน้อย ทำไมมองดีๆกลับมีลักษณะคล้ายกับเต่าแก่ที่ยิ้มบางเหมือนโมนาลิซ่า เขาไม่คิดว่ามันเป็นการละเมิดแต่อย่างใด แต่กลับดูตลกมากกว่า
ผู้อำนวยการจูเหลือบมองหร่วนหวาไฉ่ที่พยายามรักษารอยยิ้มอยู่แค่แวบเดียว จากนั้นมองภาพวาดในมือ ตรงมุมปากหยักยิ้มเพิ่มขึ้น มองเห็นการวาดของเหมยเหมยสูงขึ้นไปอีกขั้น
เขาวางภาพวาดของเหมยเหมยลง หยิบภาพวาดของโอหยางซานซานขึ้นมาดู แต่อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว แม้ว่าเขาจะไม่ใช่อาจารย์หรือนักวาดมือชีพ แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นผู้นำที่ดูแลในแผนกนี้ ซึ่งถือว่าเขามีความสามารถในการมองงานศิลปะพอสมควร
โอหยางซานซานวาดหร่วนหวาไฉ่อย่าพูดถึงสีหน้าท่าทางเลย แม้แต่รูปลักษณ์ก็เปลี่ยนไปหมด โหงวเฮ้งหรือรูปใบหน้ามีเค้าโครงที่พร่ามัวมาก ไหนจะเค้าโครงภาพวาดอีก จริงๆฝีมือการวาดเป็นเพียงนักวาดระดับต้นที่พึ่งเข้าวงการ ซึ่งไม่อาจเปรียบเทียบกับภาพวาดของเหมยเหมยได้เลย
ของผู้อำนวยการจูเริ่มขมวดคิ้วแน่นขึ้น หร่วนหวาไฉ่ช่างกล้ายิ่งนัก ฝีมือแค่นี้ยังกล้าที่จะใช้เส้นสายตัดสินให้รางวัลที่สอง ?
คิดว่าทุกคนตาบอดและโง่หรือไง ?
คนอื่นๆที่ใช้เส้นสายภายในตัดสิน อย่างไรเสียก็มีพื้นฐานความสามารถทั้งนั้น แท้จริงแล้วผู้เข้าแข่งขันที่มีศักยภาพต่ำมักจะรู้ตัวเองดี และไม่คิดจะเข้ามาปะปนในวงการนี้
แต่โอหยางซานซานก็ดี ไม่ต่างอะไรกับมูลวัวเน่าเลย ทั้งยังกล้าจะหน้าหนาถึงขั้นให้หร่วนหวาไฉ่ตัดสินรางวัลที่สอง ?
ไม่แปลกที่ไม่อาจผ่านตาเจ้าหญิงตัวน้อยของตระกูลจ้าวได้จนเกิดความวุ่นวาย !
เจ้าหญิงน้อยพูดถูก ลงแข่งในสนามเดียวกับคนอย่างโอหยางซานซาน ขายขี้หน้านัก !
ผู้อำนวยการจูวางภาพวาดทั้งสองแผ่นลงบนโต๊ะ เพื่อให้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนเดินเข้ามาดู เป็นการประหยัดเวลา และเพื่อแสดงออกถึงกฎเกณฑ์ที่ยุติธรรม เขาจึงยกอำนาจกรรมการตัดสินให้กับผู้เข้าแข่งขันทุกคน
“เห็นด้วยที่จะให้โอหยางซานซานเข้าร่วมแข่งขันยกมือ!” ผู้อำนวยการจูถามขึ้นเสียงดัง
ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต่างยืนนิ่งเงียบ ในสายตามีแต่ความเหยียดหยาม ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่จะยกมือ
หวงอวี้เหลียนสองแม่ลูกไม่อาจเชื่อได้ ไม่ว่ายังไงก็ไม่นึกไม่ฝันมาก่อนว่าคนยกมือแม้แต่คนเดียวก็ไม่มี มันเกินไปแล้วจริงๆ !
“เห็นด้วยที่จะให้จ้าวเหมยเข้าร่วมแข่งขันยกมือ!” ผู้อำนวยการจูถามขึ้นอีก
ทุกคนเงียบไปราวสามวินาที มีคนหนึ่งที่ยกมือขึ้นเป็นคนแรก ตามด้วยคนอื่นๆที่เริ่มยกตาม ทยอยยกขึ้นเป็นระเบียบ ราวกับเสาที่วางเรียงรายกัน !
แม้ว่าพวกเขาจะริษยาที่ฐานะของเหมยเหมยคือลูกสาวของท่านรองผู้ว่า แต่พวกเขาไม่ได้ตาบอด ภาพวาดของเหมยเหมยพวกเขาก็ดูมาแล้ว ระดับฝีมืออยู่ตรงจุดไหน ซึ่งคนละระดับกับโอหยางซานซาน !
บ่งชี้ได้ว่าแม้ลูกสาวของรองผู้ว่าจะใช้เส้นสาย แต่ก็เป็นเส้นสายที่ได้มาด้วยความสามารถที่แท้จริง !
ทำให้คนที่มีความสามารถต่างยอมรับจากใจจริง !
สำหรับผลลัพธ์เช่นนี้ ผู้อำนวยการจูเองก็พอจะคาดเดาได้ตั้งแต่แรก เขาพูดขึ้นเสียงดัง “การแข่งขันของเราเป็นการแข่งที่มีความยุติธรรมและเปิดเผย ผมเห็นด้วยกับข้อเสนอของผู้เข้าแข่งขันทุกคน ต่อไปนี้ผมขอประกาศ ตัดสิทธิ์ในการแข่งขันของโอหยางซานซานในครั้งนี้ !”
ในสถานการณ์คับขันเช่นนี้การรักษาภาพพจน์ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเขา ส่วนเรื่องที่จะผิดใจกับผู้อำนวยการโอหยางหรือไม่ เขาไม่อาจคิดไตร่ตรองได้ !
จะว่าไปคนที่ต่อกรกับตระกูลโอหยางคือตระกูลจ้าว เขาไม่ใช่คนโง่ที่ต้องปล่อยทิ้งตระกูลจ้าวอย่างไม่แยแส แล้วไปประจบสอพลอกับตระกูลโอหยาง !
ผู้เข้าแข่งขันทุกคนต่างส่งเสียงร้องโห่ด้วยความปิติ พวกเขานึกไม่ถึงว่าผู้อำนวยการจูจะตัดสิทธิ์การแข่งขันของโอหยางซานซาน และนั่นทำให้พวกเขารู้สึกขอบคุณและเคารพต่อผู้อำนวยการจูมากขึ้น รู้สึกว่าผู้นำคนนี้มีความยุติธรรมเสียยิ่งกว่าหร่วนหวาไฉ่ !
แต่พวกเขากลับไม่รู้เลย คนที่สามารถเข้ามาอยู่ในตำแหน่งที่สูงได้นั้น จะมีสักกี่คนที่จะมีความเป็นธรรมเที่ยงตรงโดยไม่เห็นแก่ตัวหรือลำเอียง ?
……………………………………………………….
บทที่ 647 ตัดสิทธิ์
ปฏิกิริยาของผู้เข้าแข่งทำให้ผู้อำนวยการจูเกิดความพึงพอใจ เขากลับเกิดความรู้สึกพอใจที่เหมยเหมยก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น หากว่าทุกอย่างราบรื่นไปเสียหมด จะแสดงให้เห็นถึงความเป็นเลิศในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของเขาได้หรือ !
เขาให้กลุ่มสตาฟนำผู้เข้าแข่งขันเข้าไปยังสนามแข่ง สถานการณ์กลับมาเป็นระเบียบเรียบร้อยอีกครั้ง พวกนักข่าวถ่ายเก็บภาพเหตุการณ์ไว้ นั่นยิ่งทำให้ผู้อำนวยการจูพอใจมากขึ้น
โอหยางซานซานไม่อาจรับได้กับผลลัพธ์เช่นนี้ เธอเอาแต่ร้องไห้โหวกเหวกโวยวายจะเข้าร่วมแข่งขันเสียให้ได้ ไม่ว่าหวงอวี้เหลียนจะเกลี้ยกล่อมยังไงก็ไม่เป็นผล
“ผู้อำนวยการจู คุณจัดการแบบนี้จะเป็นการสุกเอาเผากินไปหรือเปล่า? ซานซานของฉันเป็นถึงรองชนะเลิศจากเมืองหลวง เธอมีสิทธิ์เข้าร่วมแข่งขัน คุณแค่ใช้การประเมินของเด็กพวกนี้มาตัดสิทธิ์การแข่งขันของซานซาน แบบนี้ถือว่าคุณกำลังบกพร่องต่อหน้าที่ !”
หวงอวี้เหลียนพูดออกมาอย่างไร้ความเกรงใจ เธอไม่พอใจต่อการปฏิบัติที่เที่ยงธรรมของผู้อำนวยการจู อยู่ต่อหน้ายังต้องแสร้งทำตัวเป็นดั่งเปาชิงเทียน[1] ใครต่างก็รู้ดี !
ผู้อำนวยการจูไม่อยากพูดไร้สาระกับผู้หญิงคนนี้ จึงนำภาพวาดทั้งสองที่วางอยู่บนโต๊ะยกขึ้นให้หวงอวี้เหลียนดู และหัวเราะเยาะ “นี่คือภาพวาดของลูกสาวคุณ ส่วนนี่คือภาพวาดของจ้าวเหมย หากว่าคุณหญิงโอหยางไม่เข้าใจพวกภาพวาด สามารถให้เลขาหร่วนอธิบายให้ได้ ตอนนี้ผมมีเรื่องด่วนที่ต้องทำ ขอตัวก่อนครับ !”
เขาส่งยิ้มให้อย่างมีมารยาท จากนั้นปลีกตัวออกไปยังสนามแข่ง ตัวเขาเป็นถึงผู้ดูแลหลักของการแข่งขันในครั้งนี้ เขาจะไม่อยู่ในสนามแข่งได้อย่างไร ?
หร่วนหวาไฉ่เดินเข้ามาด้วยความประหลาดใจ พลันที่สายตาของเขาได้เห็นภาพวาดของเหมยเหมยก็ต้องตกตะลึงนิ่งงัน
ภาพวาดของเจ้าหญิงน้อยแห่งตระกูลจ้าวทำไมถึงได้มีลักษณะเช่นนี้ ?
ครูของเธอเป็นใครกัน ?
หร่วนหวาไฉ่ที่เกิดความสงสัยขึ้นภายในใจ จึงไม่ได้สนใจจะรับมือกับหวงอวี้เหลียนนัก เขาแค่รับคำมาไม่กี่ประโยค และหาข้ออ้างที่ต้องเข้าร่วมการแข่งขันขอปลีกตัวออกมา
บริเวณสนามในตอนนี้มีแต่ความเงียบเชียบ มีเพียงแค่ครูผู้นำทีมและผู้ปกครองบางท่านที่รออยู่ด้านนอก พวกเขามีแต่ท่าทีตื่นเต้น ไม่มีอารมณ์มาให้ความสนใจต่อหวงอวี้เหลียนสองแม่ลูก
แสงแดดที่หลบซ่อนนานเป็นเวลาครึ่งค่อนช่วงเช้า ในที่สุดก็โผล่พ้นเมฆหนาออกมา ทอประกายสาดแสงไปทั่วทุกพื้นที่ เช่นเดียวกันที่สาดส่องไปบนตัวของหวงอวี้เหลียนสองแม่ลูก
“เหม็นจัง กลิ่นเหม็นมาจากไหน ?”
ทุกคนเริ่มทยอยปิดจมูก มองไปทั่วทุกทิศทางเพื่อตามกลิ่นเหม็น จมูกของจ้าวเสวียกงไวเป็นที่สุด แค่ครู่เดียวก็สังเกตได้ว่ากลิ่นมาจากตัวของหวงอวี้เหลียน แต่ผู้หญิงคนนั้นกลับไม่รู้ตัว แต่ยังคงทำท่าทีสง่าดั่งผู้รากมากดี
จ้าวเสวียกงยิ้มเยาะอย่างชั่วร้าย และไม่ได้เตือนหวงอวี้เหลียนถึงกลิ่นเหม็นบนตัวเธอ ให้ยัยผู้หญิงคนนี้พากลิ่นเหม็นออกไปข้างนอกให้ขายขี้หน้าถึงจะดี !
เมื่อถึงเวลานั้นอยาก รู้ว่าเธอจะเสแสร้งยังไง !
ผู้เข้าแข่งขันจำนวนกว่าพันคนถูกแบ่งให้เข้าห้องเรียนไปในจำนวนไม่กี่ห้อง ไม่มีหัวข้อหรือขอบเขตที่จำกัด แต่ให้ผู้เข้าแข่งขันวาดตามความชอบและความสามารถของตน อยากวาดอะไรก็วาด สุดท้ายให้กรรมการลงคะแนนเลือกผู้ที่โดดเด่นที่สุดออกมาเป็นผู้ชนะ
เหมยเหมยแค่คิดไตร่ตรองเพียงครู่เดียวก็รู้ว่าจะวาดอะไร เธอตั้งใจจะวาดฉิวฉิว ในป่าสนร่วงโรยโปรยปรายเต็มไปด้วยใบไม้แห้ง เห็นถึงความอ้างว้างวังเวง ทำให้เรารู้สึกถึงฤดูหนาวที่มีแต่ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว
ราวกับกระรอกสีขาวตัวหนึ่งที่ร่วงหล่นมาจากบนฟ้า มันหมอบตามหาเมล็ดสนอยู่บนพื้นดิน สองเท้าหน้าของมันจับยึดเมล็ดสนลูกใหญ่ไว้ มันไม่ได้รีบร้อนที่จะกัดกินเสบียง แต่มันหันหน้ากลับมา ดวงตาดำกลมตื่นตกใจมองสอดส่องไปทั่วทุกทิศ คงจะเป็นการระแวดระวังต่อศัตรู !
ภาพวาดของเหมยเหมยได้รับคำชี้แนะมาจากภาพวาดของคุณตาเหยียนตานชิง เหยียนซินหย่าได้นำเอาภาพวาดของเหยียนตานชิงกลับมาไม่กี่ภาพเพื่อเรียนรู้ หนึ่งในภาพวาดนั้นคือภาพกระรอก เพียงแต่ภาพที่ท่านอาจารย์เหยียนวาดเป็นฝูงกระรอก ส่วนเหมยเหมยเลือกวาดง่ายๆเพียงหนึ่งตัว
หร่วนหวาไฉ่ในใจเต็มไปด้วยความสงสัย เขาเดินเข้ามายังสนามแข่งของเหมยเหมย เขาเอามือไขว้หลังไว้แสร้งทำเป็นเหมือนสอดส่องดูลาดเลา จากนั้นค่อยๆเข้ามายืนอยู่ข้างๆเหมยเหมย หร่วนหวาไฉ่ที่ได้เห็นภาพวาดกระรอกที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์ เขามีสีหน้าท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
……………………………………………………….
[1] ในภาษาจีนฮกเกี้ยนเรียก เปาบุ้นจิ้น หมายถึงผู้ที่ทำให้ฟ้าสว่าง จากการช่วยเหลือสามัยชนคนธรรมดาให้รอดพ้นจากการฉ้อราษฏ์บังหลวง
บทที่ 648 ข่าวคราวที่ถูกปิดกั้น
หร่วนหวาไฉ่ได้เห็นภาพกระรอกก็พลันนึกถึงคนคนนั้น !
เขาคนนั้นต่างจากคนอื่นที่ชอบวาดนก วาดดอกไม้ วาดวัว วาดไก่ วาดม้า แต่สิ่งที่เขาชอบวาดกลับเป็นกระรอก วาดกระรอกทุกประเภททุกสายพันธ์ คนคนนี้ต่อให้ทำอะไรก็มักจะแตกต่างไปจากคนอื่นเสมอ
คนอื่นชอบอะไรเขากลับไม่ชอบ คนอื่นๆไม่ชอบแต่ตัวเขาเองกลับชื่นชอบ มักจะทำตัวดั่งคนทั้งโลกมัวเมา แต่เขาเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่มีสติ !
สุดท้ายก็ไม่เหลือผลลัพธ์อะไรดีๆเลย !
เหมยเหมยรู้สึกได้ว่าหร่วนหวาไฉ่ยืนอยู่ด้านหลังและกำลังจ้องเธอวาดรูป และจ้องมองเป็นเวลาเนิ่นนาน
“ทำไมเธอถึงอยากวาดกระรอกล่ะ ?” หร่วนหวาไฉ่อดไม่ได้ที่จะถาม
“ชอบก็วาดสิ ทำไมต้องมีเหตุผลอะไรมากมาย !”
เหมยเหมยตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ และเลือกที่จะไม่ใส่ใจเขาต่อ เธอทำการตรวจสอบภาพที่วาดเสร็จอย่างละเอียด
หร่วนหวาไฉ่ยืนจ้องอยู่พักใหญ่ถึงจะออกไป นั่นทำให้เหมยเหมยโล่งใจ เธอไม่ได้กังวลว่าหร่วนหวาไฉ่จะดูอะไรออก เพียงแค่รู้สึกรังเกียจคนคนนี้ก็เท่านั้น
ก่อนจะมาที่นี่เธอคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตอนนี้ตัวเธอยังไม่แข็งแรงพอ ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้กับทั้งสามคนนั้นได้ เพราะฉะนั้นตอนนี้คงต้องนอนหลับจำศีลไปก่อน จะให้หร่วนหวาไฉ่และพวกเขาทั้งสามคนรู้ไม่ได้เด็ดขาดว่าคุณตาของเธอเป็นใคร
โชคดีที่อาจารย์ที่ถ่ายทอดความรู้ให้เธอไม่ใช่สำนักเหยียน แม้นว่าจะเป็นดั่งเรื่องบังเอิญ ที่เธอชื่นชอบการวาดสไตล์การ์ตูนและมีลักษณะการวาดที่คล้ายคลึงกับคุณตา แต่จริงๆแล้วเธอไม่ได้เรียนการวาดสไตล์เหยียนมา ต่อให้หร่วนหวาไฉ่จะสงสัยก็ไม่ใช่ปัญหา แค่เธอไม่พูด หร่วนหวาไฉ่ก็จะไม่มีทางรู้ว่าเหยียนตานชิงคือคุณตาของเธอ
เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลงต้องรออีกสามวันถึงจะทราบผลการแข่งขัน ผู้เข้าแข่งขันทุกคนไม่ได้รีบร้อนที่จะกลับไป แต่ต่างพร้อมใจเข้าร่วมพิธีประกาศรางวัล เพราะงั้นสามวันนี้จะเป็นเวลาแห่งการท่องเที่ยว
โดยมีครูนำทีมเป็นคนดูแลพาเที่ยว ซึ่งพาไปยังสถานที่สำคัญในเมืองหลวง
เหมยเหมยไม่ได้เข้าร่วมด้วย เมื่อการแข่งขันสิ้นสุดลงเธอจึงกลับบ้าน หวงอวี้เหลียนไม่มีทางวางมือแน่ เธอจะคอยดูว่าผู้หญิงคนนี้จะทำเรื่องชั่วช้าไร้ยางอายอะไรอีก !
สิ่งที่ทำให้เธอไม่พอใจที่สุดคือ วันแข่งขันมีนักข่าวจำนวนมาก แต่กลับไม่มีนักข่าวจากสำนักไหนกล้าเผยแพร่ข่าว วันต่อมาเงียบสนิท มีเพียงแค่คืนนั้นที่หน้ากล้องโฟกัสเพียงแค่ห้าวินาที ผู้สัมภาษณ์ถามเพียงแค่ไม่กี่ประโยค ภาพที่ถ่ายทอดออกมามีเพียงแค่บรรยากาศในการแข่งขันที่ผู้เข้าแข่งตั้งใจวาดภาพกันอยู่
เรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนการแข่งขัน ราวกับความฝัน ข้ามคืนไปก็ไม่มีหลงเหลืออยู่ !
พ่อของโอหยางซานซานดูแลเรื่องพวกนี้อยู่ จะต้องเป็นพ่อของเธอใช้อำนาจจัดการแน่ พวกชาติชั่ว !
จ้าวเสวียกงโมโหอย่างสุดทน จากตอนแรกตั้งใจจะรอดูตัวเองโดนพาดหัวข่าวที่แสดงอิทธิฤทธิ์ออกไป ใครจะรู้ล่ะว่าแค่ก้นก็ไม่โผล่ให้เห็น !
แม้ว่าเหมยเหมยเองก็ไม่ได้ดีใจ แต่แค่นี้เธอก็รู้สึกพึงพอใจแล้ว
“ไม่ว่ายังไง พวกเราก็ถือเป็นฝ่ายชนะ โอหยางซานซานก็ไม่ได้แข่งขัน อีกอย่างเรื่องเมื่อวานต่อให้สำนักพิมพ์ไม่เผยแพร่ แต่คนอื่นๆจะไม่รู้หรือไง ไม่แน่ว่าตอนนี้ทั้งวงการวาดภาพคงจะรู้เรื่อราวฉาวโฉ่ของโอหยางซานซานไปทั่วแล้ว !”
เหมยเหมยปลอบใจพี่ชายตน ข้าวยังต้องทานทีละคำ แน่นอนว่าการแก้แค้นก็ต้องค่อยๆเดินไปทีละก้าว !
พบเจอกับเหตุการณ์เมื่อวาน โอหยางซานซานไม่อาจปะปนอยู่ในวงการวาดภาพได้อีกต่อไป ต่อให้เธอเป็นลูกศิษย์ของหร่วนหวาไฉ่ก็ไม่ได้ อีกอย่างคือพรสวรรค์ของเธอมีแค่นั้นจะอยู่ต่อยังไง ?
อาจารย์รับเข้าเป็นศิษย์ แต่พัฒนาการอยู่ที่ตัวบุคคล !
คนอย่างโอหยางซานซานเป็นได้แค่ขี้วัวเน่า ต่อให้จะได้อาจารย์ที่เก่งกาจแค่ไหนมา ก็ไม่มีทางเก่งขึ้นมาได้ สู้รีบกลับบ้านไปทาสีกำแพงบ้านเล่นตั้งแต่เนิ่นๆเสียดีกว่า !
คุณปู่และคุณย่าต่างไม่รับรู้ถึงเรื่องราวที่พวกเหมยเหมยก่อไว้ หวงอวี้เหลียนก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นเวลาสามวันติดต่อกันที่เธอไม่เข้ามาฟ้องเรื่องแย่ๆนั่น ซึ่งแน่นอนว่าพวกเหมยเหมยไม่มีทางบอกออกไปก่อนด้วยตัวเอง
สิ่งที่พวกเขาไม่รู้เลยคือ ไม่ใช่ว่าหวงอวี้เหลียนไม่อยากจะมาฟ้องอะไร เพียงแต่เธอไม่สามารถออกจากบ้านได้ !
………………………………………………….
บทที่ 649 ฤดูใบไม้ผลิที่แสนน่ากลัว
หวงอวี้เหลียนไม่ได้ออกบ้านมาเป็นเวลาสามวันติด ตั้งแต่วันที่เธอกลับมาจากสนานแข่งก็ไม่ได้ก้าวขาออกจากบ้านแม้แต่ก้าวเดียว อีกทั้งในหนึ่งวันต้องอาบน้ำถึงหกครั้ง แต่ยังคงช่วยอะไรไม่ได้เหมือนเดิม กลิ่นหอมบนร่างกายยังคงอยู่เนิ่นนานไม่มีเปลี่ยน
ฉิวฉิวที่เปิดผนึกกำลังแล้วไม่เพียงแค่กระเป๋าหน้าท้องของมันที่ขยายใหญ่ขึ้น พลังน้ำหอมธัญพืชทั้งห้าก็ทวีความรุนแรงขึ้นไม่น้อย
ที่อู่เยวี่ยได้รับนั่น เพียงแค่หนึ่งวันหนึ่งคืนก็จางหายไป แต่ตอนนี้กลับทวีขึ้นถึงสามวันสามคืนซึ่งยังไม่แน่ว่าจะจางหายไปหรือไม่ ต้องลุ้นเอาว่าจะโชคดีหรือโชคร้ายแล้วล่ะ !
ดูจากตอนนี้แล้ว หวงอวี้เหลียนโชคไม่ค่อยจะดีสักเท่าไหร่ ตอนนี้ผ่านไปแล้วสามวัน แต่กลิ่นเหม็นบนตัวเธอยังคงอยู่ แม้แต่สามีของเธอโอหยางเซี่ยงหมิงยังต้องแยกเตียงนอนกับเธอ เขารับไม่ได้กับกลิ่นเหม็นกระชากวิญญาณนั่นจริงๆ !
ด้วยความช่วยเหลือจากฉี่ที่ฉิวฉิวสร้างขึ้น กลับช่วยให้ลดความวุ่นวายของเหมยเหมยไปไม่น้อย ช่วงไม่กี่วันมานี้เหมยเหมยไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหน เอาแต่คอยดูแลคุณปู่คุณย่าอยู่ที่บ้าน แม้ว่าฤดูใบไม้ผลิจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่ดอกไม้เบ่งบาน แต่คุณปู่จ้าวและคุณย่ากลับหวาดกลัวต่อฤดูกาลนี้เป็นที่สุด
เป็นเพราะบรรยากาศในช่วงฤดูใบไม้ผลิไม่มีความแน่นอน บางครั้งฟ้ามืดครึ้มฝนตกติดต่อกันหลายวัน บาดแผลเก่าของผู้เฒ่าทั้งสองมักจะกำเริบขึ้นมา เจ็บปวดจนแทบพูดไม่ออก ช่างน่าเวทนาอย่างยิ่ง !
โดยปกติจะเห็นท่าทางของผู้เฒ่าผู้แก่ดูกระปรี้กระเปร่า แต่ในตอนนี้กลับนอนอยู่บนเตียงส่งเสียงโอดครวญ ความรู้สึกของทุกคนในตระกูลจ้าวก็ย่ำแย่ จ้าวอิงสยงและจ้าวอิงหย่งทั้งสองครอบครัวจะผลัดเปลี่ยนกันมาดูแลสองผู้เฒ่า
แพทย์ผู้ดูแลสองผู้เฒ่าเห็นว่าพวกเขาเจ็บปวดเจียนจะทนไหว จึงแนะนำให้ฉีดยาแก้ปวด แต่กลับถูกปฏิเสธ
“ยาแก้ปวดจะทำให้ร่างกายต้องพึ่งพามัน ข้าจะไม่ยอมให้ตัวเองกลายเป็นคนอ่อนแอเด็ดขาด ยานี้ข้าไม่ฉีดเด็ดขาด ข้าต้องทนให้ผ่านไปได้”
คุณปู่จ้าวแม้ว่าจะเจ็บจนต้องซีดปากรับไอเย็น แต่ยังคงหัวแข็งดื้อรั้น
คุณย่าเองก็คิดเหมือนกัน เธอก็เห็นด้วยไม่ยินยอมพึ่งพายา เจ็บปวดจนต้องกัดฟันแน่น ไม่มีแม้แต่เสียงเล็ดรอด ให้เห็นถึงความอ่อนแอ
“คุณย่า หนูนวดให้นะคะ ?”
เหมยเหมยที่เห็นท่าทีกลับไม่ได้รู้สึกดีอะไรเลย หวังว่าจะสามารถเจ็บปวดทรมานแทนผู้เฒ่าทั้งสองได้ เธอออกแรงบีบนวดให้กับคุณย่าตรงช่วงหัวเข่า อยากช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้คุณย่าบ้าง
“เหมยเหมยเก่งมาก ยายไม่ปวดแล้ว !” คุณย่าพูดชื่นชมและส่งยิ้มให้ อาการเจ็บปวดคลายลงไปเล็กน้อย
เหมยเมหยที่ได้รับคำชมยกใหญ่ จึงรีบออกแรงบีบนวดให้ทั้งคุณปู่และคุณย่า อาจเป็นเพราะการบีบนวดของเธอได้ผลจริงๆ หรืออาจเป็นเพราะในใจของสองผู้เฒ่าเกิดความสบายใจ การนวดที่ไม่เป็นมืออาชีพของเหมยเหมยได้ทำให้สองผู้เฒ่าหลับไปเสียสนิท !
เท่าที่รู้คือทั้งสองผู้เฒ่าเจ็บปวดมาเป็นเวลาสองวันติด จนไม่อาจข่มตาหลับได้ !
แต่นี่เป็นเพียงอาการแค่ชั่วคราว หากว่าฤดูใบไม้ผลิยังไม่ข้ามผ่านไป อาการเจ็บปวดของสองผู้เฒ่าก็จะยังคงอยู่ เมื่อฤดูร้อนมาถึง อาการของพวกเขาถึงจะดีขึ้น
ปีแล้วปีเล่า ทุกๆปีพวกเขาจะต้องเผชิญกับความเจ็บปวดทรมานเช่นนี้ปีละหน แม้แต่หมอก็ไม่มีวิธีรักษา ใครใช้ให้บาดแผลบนตัวพวกเขาทั้งสองคนมีมากขนาดนี้ล่ะ !
แทบจะพูดได้ว่าเป็นร่างกายที่มีแต่รูพรุน สามารถอดทนมาได้จนถึงตอนนี้ก็นับว่ามหัศจรรย์มากแล้ว !
เมื่อจัดการกับสองผู้เฒ่าเรียบร้อย เหมยเหมยจึงพาตัวเองพร้อมกับแขนที่ปวดร้าวกลับห้องเพื่อนอนเช่นกัน สภาพจิตใจของเธอไม่ดีนัก เมื่อครู่เธอได้ยินที่คุณอาสองพูดกับคุณหมอหมดแล้ว
คุณหมอบอกว่าสุขภาพร่างกายของคุณปู่คุณย่าย่ำแย่มาก ไม่แน่ว่าอาจจะล้มลงได้ในสักวัน เพราะงั้นจึงบอกให้อาสองเตรียมใจไว้ดีๆ พยายามทำให้สองผู้เฒ่าอารมณ์ดีเข้าไว้ แบบนั้นจะช่วยให้สุขภาพดีขึ้นมาหน่อย !
“ฉิวฉิว ฉันทำใจเรื่องคุณปู่คุณย่าไม่ได้ ฉันพึ่งจะได้พวกเขามาเอง ยังไม่ทันได้สนิทชิดเชื้อเลย”
เหมยเหมยกอดฉิวฉิวไว้ และพูดความรู้สึกของตนกับมันเสียงเบาอย่างพรั่งพรู ฉิวฉิวที่กินช็อกโกแลตอย่างออกรสออกชาติ ดวงตากลมดำของมันหมุนกลอกไปมา
เจ้านายทำใจไม่ได้ที่คุณปู่คุณย่าจะตาย เรื่องนี้จัดการได้ไม่ยากนัก เพียงแต่มันจะต้องค้นหาของดี แต่ใครใช้ให้กระเป๋าหน้าท้องของมันรกรุงรังแบบนี้เล่า !
…………………………………………………
บทที่ 650 น้ำที่ดีรักษาโรคให้หายได้
ฉิวฉิวยัดช็อกโกแลตทั้งถุงนั้นเข้าปากเพียงสองสามคำก็กินหมด จากนั้นเริ่มค้นหาสิ่งของจากกระเป๋าหน้าท้องตัวเอง มันจำได้ว่าเมื่อก่อนเคยเก็บพวกยาสมุนไพรไว้ หนึ่งในนั้นเป็นของล้ำค่าของโลกอย่างยาอายุวัฒนะ
เหมยเหมยมองอย่างสงสัยเห็นฉิวฉิวหมอบอยู่บนเตียงทำตัวกุกๆกักๆอยู่นานสองนาน ราวกับมีอาการท้องผูก เธอเข้าใจว่าช่วงนี้เจ้ากระรอกน้อยกินเมล็ดสนมากจนเกิดลมภายใน จึงตำหนิขึ้น “บอกแล้วว่ากินเมล็ดสนให้น้อยๆ กินผักให้มากๆ แต่แกก็ไม่ฟัง ตอนนี้ท้องผูกแล้วไม่สบายตัวใช่ไหมล่ะ ? ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปต้องกินผักสดติดต่อกันสามวัน !”
ฉิวฉิวกลอกตาดำมองเจ้านายมันโดยไม่ลังเล เธอน่ะสิท้องผูก ทั้งตระกูลเธอเลยที่ท้องผูก !
ผีเท่านั้นแหละที่จะยอมกินผักสดรสชาติแย่แบบนั้น !
ต่อให้เป็นกระรอกตัวเมียสวยๆป้อนผักให้มันกิน คุณชายฉิวอย่างมันยังต้องไตร่ตรองเสียก่อนเลย !
ฉิวฉิวที่ตอนนี้โกรธอยู่ แต่ว่ามันก็สามารถหายาอายุวัฒนะจนเจอ เพียงแค่สะบัดเท้า เศษหญ้าเหี่ยวๆก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือของเหมยเหมย มันทำให้เหมยเหมยตกใจ พลางลอบมองฉิวฉิวด้วยความสงสัย
ฉิวฉิวยกเท้าชี้เข้าไปในปาก พลันชี้ไปยังด้านล่างตึก เหมยเหยที่ได้เห็นจึงเกิดความเข้าใจ และถามขึ้นอย่างแปลกใจปนดีใจ “นี่เอาให้คุณปู่คุณย่าทานเหรอ ?”
ฉิวฉิวสะบัดหางพวงใหญ่ยักษ์ของมัน พอยื่นขาออกไปก็แกะเปลือกกระดาษที่ห่อหุ้มช็อกโกแลตออก ส่งเข้าปากเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อย
เหมยเหมยสำรวจพิจารณาหญ้าแห้งในมืออยู่หลายรอบ แต่ก็ไม่อาจเข้าใจได้ว่ามันคือของเล่นอะไร แล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าผลลัพธ์เป็นยังไง
“ฉิวฉิว หญ้านี่ทำให้คุณปู่คุณย่าหายได้เหรอ ?”
ฉิวฉิวพยักหน้ารับ ไร้สาระเสียจริง หากกินแล้วไม่ดีขึ้นมันจะเอาออกมาเพื่ออะไรล่ะ ?
แน่นอนว่าดีขึ้นมากอาจจะเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้พลังวิเศษหลงเหลืออยู่น้อยมาก สรรพคุณของยาอาจจะช่วยรักษาประคับประคองได้สักสามถึงสี่ส่วน อย่างมากก็อาจทำให้สองผู้เฒ่ามีอายุต่อได้อีกยี่สิบสามสิบปี !
อายุยืนร้อยกว่าปี บนโลกนี้อาจจะมีไม่น้อย ตามหลักแล้วเรียกว่าผู้มีคุณธรรมสูงส่ง !
จึๆ คนบนโลกใบนี้ความต้องการช่างน้อยนิดเหลือเกิน ช่วงที่มันอายุได้หนึ่งร้อยปียังอยู่ในกระเป๋าหน้าท้องกินนมแม่อยู่เลย !
เหมยเหมยรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก กอดฉิวฉิวแล้วหอมซ้ายหอมขวา “เป่าเป้ย แกเป็นดวงดาวแห่งความโชคดีของฉันจริงๆ มีแกไว้เรื่องราววุ่นวายของฉันก็หายไปจนหมด”
ฉิวฉิวกระพริบตาปริบๆด้วยความพึงพอใจ มีคุณชายฉิวอย่างมันอยู่ เรื่องวุ่นวายทุกอย่างก็จะหมดไป !
เหมยเหมยถามฉิวฉิวอีกครั้งถึงการใช้หญ้าวิเศษอย่างละเอียด แต่ก็ไม่กล้าใช้สุ่มสี่สุ่มห้า ฉิวฉิวจึงให้เหมยเหมยใช้วิธีการเดียวกับการวางยาถ่ายครั้งก่อนก็พอ ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ไม่ทำให้คนตายหรอก
ช่วงเช้าตรู่วันต่อมา เหมยเหมยไม่ได้เอาน้ำที่ชงจากหญ้าวิเศษออกมาให้ทั้งสองเฒ่าดื่มในทันที ฉิวฉิวบอกไว้แล้วว่าในหนึ่งครั้งไม่ควรใช้มากเกินไป อย่างมากใช้เพียงสามวันจึงค่อยผ่อนปรนลง รอให้ถึงปีหน้าค่อยกลับมาใช้ใหม่ แบบนี้ถึงจะทำให้ร่างกายของคนธรรมดาทนรับได้
เพราะงั้นเธอควรจะหาคำแก้ตัวดีๆให้ได้ มิเช่นนั้นผู้เฒ่าทั้งสองอาการดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา จะยิ่งทำให้เป็นที่ต้องสงสัย !
คุณปู่และคุณย่ามีเหล่าทีมแพทย์ที่เป็นมืออาชีพอยู่ ยิ่งไม่สามารถทำอะไรได้ง่ายๆ หากว่าอาการของทั้งสองผู้เฒ่าเกิดการเปลี่ยนแปลง คนพวกนี้จะต้องตรวจหาเป็นแน่ ในตอนนี้เธอจะต้องหาเหตุผลที่เหมาะสมที่สุดที่จะทำให้สุขภาพของสองผู้เฒ่ามีอาการดีขึ้น เพื่อจะได้ไม่เป็นที่ต้องสงสัยต่อใคร
“ลุงสอง ป้าสองคะ หนูอ่านเจอในหนังสือว่าน้ำแร่บนภูเขาสามารถกำจัดชำระล้างสิ่งสกปรกในร่างกายได้ คุณปู่คุณย่าร่างกายไม่แข็งแรงต้องเป็นเพราะภายในร่างกายมีสิ่งสกปรกมากเกินไป หนูจะไปหาน้ำแร่ดีๆบนภูเขา และนำมาต้มโจ๊กให้คุณปู่คุณย่าทาน แบบนั้นท่านทั้งสองก็จะอาการดีขึ้น !”
ช่วงที่ทานมื้อเช้า เหมยเหมยจึงประกาศแผนการของตนให้ทุกคนได้รับรู้ เธอตัดสินใจที่จะไปยังภูเขาใกล้ๆกับเมืองหลวงเพื่อตามหาน้ำแร่ ถึงอย่างไรตั้งแต่อดีตกาลมาต่างมีคำกล่าวที่ว่าน้ำที่ดีช่วยรักษาโรคให้หายได้
เมื่อถึงเวลานั้นสุขภาพของทั้งสองผู้เฒ่าดีขึ้น เหตุผลนี้ก็สามารถเอามาแอบอ้างพลาง ๆ ก่อนได้ ที่เหลือเธอแค่ทำเป็นสับสนมึนงง ต่อให้ทีมแพทย์จะสงสัยแค่ไหน ก็คงคิดไม่ออกว่าเกิดจากสาเหตุอะไร !
………………………………………………………
บทที่ 651 ขึ้นเขาตามหาน้ำ
จ้าวอิงหัวและภรรยาต่างตกใจต่อคำพูดอันหนักแน่นจากปากของหลานสาว ทั้งดูตลกและดูซาบซึ้ง เด็กน้อยก็คือเด็กน้อย ถึงกับเชื่อถือคำพูดที่เขียนขึ้นในหนังสือ
แพทย์หลายๆคนต่างก็ไม่อาจหาวิธีรักษาพ่อแม่ของเขาได้ น้ำแร่ที่มาจากภูเขาจะช่วยทำอะไรได้ ?
คิดว่าเป็นน้ำยาวิเศษจริง ๆ หรือ ?
กระนั้นความคิดของหลานสาวหนักแน่นเสียยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด จนเขาไม่อาจจะหักหาญน้ำใจของเธอได้ !
ไม่ว่าพวกเขาจะพูดเกลี้ยกล่อมเช่นไร ขนาดหานซู่ฉินที่ปกติทำงานด้านอุดมการณ์ทางทหารยังไม่เปลืองน้ำลายมากขนาดนี้ แต่ใจเหมยเหมยเหมือนได้กินตาชั่งเหล็กเข้าไป ไม่ว่าจะพูดยังไงก็รั้นจะขึ้นเขาไปตามหาน้ำแร่ให้ได้
“คุณปู่คุณย่าได้ดื่มน้ำที่ดีจะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน หนูจะต้องหาน้ำแร่ภูเขามาให้ได้ ลุงสอง ป้าสองคะ อย่ารั้งหนูไว้เลย !”
ในตอนนี้เหมยเหมยเริ่มรู้สึกถึงความโชคดีในฐานะเด็กแล้วล่ะ ถึงอย่างไรเด็กน้อยจะงอแงเอาแต่ใจอย่างไรก็มักจะได้รับการให้อภัยเสมอนี่นา !
ไฟโทสะของจ้าวอิงสยงเริ่มปะทุขึ้น เขาจึงพูดออกไปอย่างไม่สบอารมณ์นัก “เธอเป็นแค่เด็กตัวเล็กๆ จะไปตามหาน้ำจากที่ไหน? เธอคิดว่าจะหาจากน้ำประปางั้นหรือ ?”
แต่ก่อนเขามองหลานสาวของตระกูลเป็นเพียงเด็กขี้อ้อน แต่ในตอนนี้ในบรรดาหลานทุกคนเธอถือว่าเป็นคนที่กล้ามากที่สุด !
อย่าคิดว่าเขาจะไม่รู้ว่าการแข่งขันเมื่อสองวันก่อนเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้น เด็กตัวเล็กแค่นี้กล้าที่จะยั่วยุอำนาจของประเทศต่อหน้าผู้สื่อข่าวมากมายขนาดนี้ อีกทั้งเธอยังทำมันได้สำเร็จด้วย !
แน่นอนว่าความสำเร็จในครั้งนี้เป็นเพราะผู้อำนวยการจูเห็นแก่หน้าของตระกูลจ้าว แต่ความกล้าหาญของหลานสาวคนนี้กลับทำให้จ้าวอิงสยงตกใจอยู่ไม่น้อย ในจังหวะที่ลูกน้องแจ้งข่าวคราวให้ทราบ เขาคิดว่าต้องเป็นจ้าวเสวียกงและจ้าวเสวียไห่ที่พาหลานสาวไปเสียคน
แต่พอได้ฟังเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิด เขาถึงได้รู้ว่าคนต้นเรื่องคือเหมยเหมย จ้าวเสวียและคนอื่นๆอย่างมากเป็นเพียงผู้ช่วยสบทบ !
หลานสาวคนนี้ช่างทำให้เขาต้องมองเธอในอีกมุมจริงๆ !
พวกเด็กๆคิดว่าแค่ไม่พูดเขาก็จะไม่รู้ เหอะ เพียงแต่ในตอนนี้เขายังไม่มีอารมณ์ที่จะจัดการกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้เท่านั้นเอง รอให้สุขภาพของพ่อแม่ดีขึ้นมาหน่อย เขาค่อยหาโอกาสจัดการกับยัยเด็กแสบที่มีความอาจหาญคนนี้ !
เหตุผลอีกอย่างก็คือ จ้าวอิงสยงค่อนข้างจะไม่ชอบกับการใช้อำนาจบาตรใหญ่อย่างเหตุการณ์นั้น โดยเฉพาะคู่กรณีอย่างหวงอวี้เหลียนสองแม่ลูกนั่น แค่เห็นพวกเขาทั้งตระกูลก็ทำให้รู้สึกเจ็บปวดแล้ว
ชายชาตรีไม่อาจทะเลาะกับสตรีได้ พวกตัวแสบทั้งหลายจัดการกับสองแม่ลูกนั่นก็ไม่เลว !
เพียงแต่ยังไงก็จะต้องลงโทษ มิเช่นนั้นพวกตัวแสบคงได้ใจจนเหลิงได้ !
ตอนนี้หลานสาวตัวแสบยังคิดจะขึ้นเขาไปตามหาน้ำแร่อีก คิดอะไรได้ก็จะทำ หากเป็นพวกพี่น้องอย่างจ้าวเสวียไห่ เขาคงได้ออกคำสั่งให้ออกไปยืนย่อตัวราวกับท่าสควอช แต่คู่กรณีกลับเป็นหลานสาวตัวน้อย จ้าวอิงสยงจึงต้องพยายามส่งรอยยิ้มที่ตนคิดว่าอ่อนโยนที่สุดให้
“เหมยเหมยอย่าดื้อเลย ตอนนี้ลุงสองยุ่งมาก ไม่มีเวลาขึ้นเขาไปเล่นเป็นเพื่อนเธอได้ วันหลังเราค่อยไปนะ ลุงสองสัญญากับหนูเลย !”
เหมยเหมยถอนหายใจอย่างทำอะไรไม่ได้ อายุน้อยก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ไม่ว่าจะพูดอะไรก็มักจะไม่ได้รับความเชื่อถือจากพวกผู้ใหญ่
“อาสองไม่ต้องมาเป็นเพื่อนหนูหรอก คุณอาก็จัดการธุระของตัวเองเถอะค่ะ มีพี่สี่พี่ห้าไปกับหนูก็พอแล้ว!” เหมยเหมยได้เลือกคิงคองตัวใหญ่ทั้งสอง จึงทำให้พวกพี่น้องอย่างจ้าวเสวียกงแอบดีใจจนเนื้อเต้น
น้องสาวของเขาช่างรู้ใจ เข้าใจว่าพวกเขาไม่อยากเข้าเรียน จึงตั้งใจเลือกสรรวิธีการโดดเรียนที่เป็นเหตุเป็นผลให้กับพวกเขา !
ความยึดเหนี่ยวหนักแน่นของเหมยเหมย ทำให้จ้าวอิงสยงจำต้องตอบรับคำขอของเธอที่จะขึ้นเขาตามหาน้ำแร่ เพียงแต่พวกพี่น้องอย่างจ้าวเสวียกงกลับถูกเขามองข้ามไป เลือกใหม่โดยให้จ้าวเสวียเอร่อไปแทน ให้ผู้ใหญ่ไปด้วยเขาถึงจะวางใจได้บ้าง
สองพี่น้องอย่างจ้าวเสวียกงยังถือว่ายังไม่มีประสบการณ์ เขาไม่อาจวางใจที่จะปล่อยให้หลานสาวตัวน้อยไปกับเจ้าสองแสบนั่น
เหมยเหมยเร่งรีบทานมื้อเช้าให้เสร็จ จากนั้นเร่งให้จ้าวเสวียเอร่อออกเดินทาง สำหรับพี่ชายอย่างจ้าวเสวียกงเธอไม่มีเวลามากพอที่จะปลอบหัวใจที่เปราะบางของเขา ตามหาน้ำสำคัญกว่า เธอไม่มีเวลามากนัก
………………………………………………….
บทที่ 652 หนทางบนสันเขาที่แสนคดเคี้ยว
“เหมยเหมยจะไปตามหาน้ำที่ไหน ?”
จ้าวเสวียเอร่อไม่ได้เร่งรีบหรือชักช้าที่ปั่นไป สีหน้าท่าทางดูสงบและผ่อนคลาย ราวกับไม่มีความร้อนใจแต่อย่างใด
“ไปภูเขาซีซานค่ะ ฉันหาข้อมูลมาแล้ว ที่นั่นมีน้ำที่ดี สมัยก่อนฮ่องเต้มักจะให้คนไปเก็บน้ำจากภูเขาแห่งนั้นด้วย !” ถือว่าเหมยเหมยได้เตรียมตัวมาก่อน
จ้าวเสวียเอร่อยิ้มร่า แต่กลับไม่ได้บอกน้องสาว ว่าความจริงน้ำในภูเขาซีซานถูกผู้คนนับถือเป็นพระเจ้าไปแล้ว ไม่มีนักวิจัยด้านคุณภาพน้ำเข้าไปศึกษามานานแล้ว นอกจากพวกแร่ธาตุและจุลินทรีย์ที่มีมากนั้น ความจริงไม่ได้แตกต่างไปจากน้ำประปาเลย อีกทั้งยังมีความกระด้างกว่ามาก
แต่น้องสาวเขาเป็นเด็กกตัญญู เขาไม่ควรทำลายความตั้งใจของเธอ !
ยอมให้น้องสาวได้แสดงความกตัญญู !
ภูเขาซีซานไม่ได้เป็นภูเขาลูกใหญ่อะไร ควรจะพูดว่าภูเขาในเมืองหลวงไม่มีภูเขาสูงแต่อย่างใด มากสุดเป็นเพียงเนินเขา และภูเขาซีซานถือเป็นเนินเขาที่ใหญ่ที่สุดแล้ว ในตอนนี้ถูกสร้างให้เป็นสวนสาธารณะเขตภูเขาซีซาน ทุกๆวันในช่วงเช้าตรู่มักจะมีคุณลุงคุณป้ามาที่นี่เพื่อออกกำลังกาย และยังมีบางคนที่พกขวดพลาสติกมาตักน้ำ
มีบางคนที่เหมือนกับเหมยเหมย ต่างคิดว่าน้ำแร่จากธรรมชาติเป็นดั่งยาอายุวัฒนะ และเข้ามากักเก็บน้ำแทบทุกวัน ไม่ว่าจะฝนตกพายุกระหน่ำก็ไม่เคยหยุด
“เหมยเหมย พวกเราไปตักน้ำกันเถอะ !”
จ้าวเสวียเอร่อถือขวดน้ำพลาสติกเตรียมตัวที่จะไปยังบ่อน้ำแร่เพื่อตักน้ำ ที่นี่มีบ่อน้ำแร่สำหรับตักน้ำโดยเฉพาะ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทุกคนที่มาตักน้ำ
เหมยเหมยกลับดึงรั้งจ้าวเสวียเอร่อไว้ ส่ายหัวและพูดขึ้น “พี่สาม น้ำตรงนั้นไม่ดี เราเข้าไปหาด้านในกันเถอะ”
ในเมื่อต้องแสดงละครแล้ว จะต้องแสดงให้ครบครัน จะเอาน้ำธรรมดาๆมาหลอกคนให้ตายใจได้อย่างไร เมื่อครู่ฉิวฉิวบอกเธอไว้แล้ว น้ำในบ่อที่คนต่อคิวยาวไปถึงครึ่งสระ ไม่ได้เป็นน้ำที่ดีอะไรเลย อีกทั้งยังไม่มีประโยชน์อะไรด้วย
จ้าวเสวียเอร่อเกิดอาการตกตะลึงอย่างเห็นได้ยาก มองน้องสาวด้วยความสงสัย พลางพูดเตือน “เหมยเหมย ภูเขาซีซานมีแหล่งน้ำเพียงเท่านี้ !”
“พี่สาม ต้องมีอีกแน่ พี่ไปกับฉันหน่อยสิ ?”
เหมยเหมยฉุดดึงจ้าวเสวียเอร่ออย่างออดอ้อน เธอไม่สามารถบอกให้เขาเข้าใจได้ ฉิวฉิวบอกกับเธอว่าภูเขาด้านหลังสุดมีแหล่งน้ำที่ดีอยู่ คุณภาพของน้ำดีกว่าด้านนอกเป็นร้อยเท่า หากดื่มบ่อยๆจะเป็นดั่งยาอายุวัฒนะ เพียงแต่…
หนทางบนภูเขานั้นขรุขระเป็นทางลูกรัง !
“เหมยเหมย พวกเรากลับกันดีไหม ? พี่เลี้ยงเป็ดย่างน้องเอง หรือน้องอยากกินอะไรก็เลือกได้เลย !”
เพื่อทำให้น้องสาวเขาเปลี่ยนความคิดแล้วกลับบ้าน จ้าวเสวียเอร่อพูดดีก็แล้วพูดร้ายก็แล้ว กระทั่งยังแสดงความใจกว้างที่หาได้ยากเพื่อจะเลี้ยงข้าวเธอ
ช่วยไม่ได้ เขาหกล้มมานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เสื้อผ้าถูกกิ่งไม่เกี่ยวจนขาดวิ่น เนื้อผ้าที่ฉีกขาดรับลมที่ลอดผ่าน บนใบหน้าเป็นรอยเลือดจากการถูกขีดข่วน ทรงผมที่ถูกจัดทรงกลับกระเซอะกระเซิงราวกับรังนก แถมยังมีเศษหญ้าและขี้โคลน ท่าทีสง่าผ่าเผยที่เคยมีกลับหายไปพร้อมกับสายลม หลงเหลือเพียงความอึดอัดใจเท่านั้น
หันกลับมามองเหมยเหมย เป็นเพราะตัวเล็กและดูคล่องตัว ไม่เป็นอะไรสักอย่าง ร่างกายสะอาดสะอ้านไร้บาดแผล เมื่อเทียบกับจ้าวเสวียเอร่อเกิดความแตกต่างอย่างชัดเจน
“ฉันไม่กินอะไรทั้งนั้น พี่สามต้องออกกำลังกายแล้วล่ะ แรงกำลังของพี่อ่อนแอมาก พ่อของหนูแข็งแรงกว่าเยอะ !”
เหมยเหมยพูดขึ้นอย่างดูถูก ถ้ารู้ว่าจ้าวเสวียเอร่อไร้ประโยชน์ขนาดนี้ ให้พี่สี่พี่ห้ามาไม่ดีกว่าอีกรึ !
จ้าวเสวียเอร่อมีท่าทีราวกับจะร้องไห้ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าน้องสาวตนจะปีนเขาสูงขนาดนี้ ตีให้ตายเขาก็ไม่ยอมมา ให้ตายเถอะพระเจ้า สิ่งที่เขาเกลียดที่สุดในชีวิตคือการออกกำลังกาย !
“เหมยเหมย ที่นี่มีแต่ต้นไม้ จะเอาแหล่งน้ำแร่มาจากไหน กลับบ้านกันเถอะ หากเราหาทางออกไม่เจอจะทำยังไง !”
มองเข้าไปลึกเท่าไหร่ก็เห็นเพียงแค่ต้นไม้ จ้าวเสวียเอร่อจึงเกิดความกังวล ดูท่าเหมือนจะออกนอกเขตเมืองหลวงไปแล้ว หากเกิดเรื่องอะไรกับน้องสาวขึ้นมา คุณปู่คุณย่าคงจะหักกระดูกเขาให้ละเอียดเป็นพันท่อน !
“ใกล้ถึงแล้ว พี่สามอดทนอีกนิดนะคะ ฉันรับรู้ได้ถึงบ่อน้ำแร่บนเขาที่กำลังร้องเรียกหาเราอยู่ !”
…………………………………………………
บทที่ 653 ในที่สุดก็มาถึง
ในแววตาของเหมยเหมยเปี่ยมล้นด้วยความตื่นเต้น เมื่อครู่ฉิวฉิวบอกใบ้ให้กับเธอ นั่นหมายความว่าใกล้ถึงแหล่งน้ำดีๆแล้ว
จ้าวเสวียเอร่อกรอกตาไปมาอย่างจนใจ เห็นท่าทีตื่นเต้นดีใจของเหมยเหมย เขาจำต้องกัดฟันปีนขึ้นไปต่อ ในตอนนี้น้องสาวของตนหมกมุ่นจนสูญเสียความเป็นตัวเองไปแล้ว เขาจะทำอะไรได้ ?
ทำได้แค่ตามไปติดๆ หวังว่าจะไม่เกิดอุบัติเหตุอะไรขึ้น น่าเสียดายที่ความถนัดของเขาไม่ใช่เรื่องการใช้พละกำลัง !
“เฮ้ย งู !”
เหมยเหมยที่เดินนำอยู่ด้านหน้า ตะโกนร้องเสียงหลงด้วยความตกใจ จ้าวเสวียเอร่อเองก็ตกใจไม่น้อย รีบวิ่งไปด้านหน้าเพื่อปกป้องน้องสาวตน แต่บนถนนกลับมีงูตัวใหญ่ตัวหนึ่งที่ทำให้รู้สึกเสียววาบไปทั่วแผ่นหลัง ซึ่งมันกำลังแผ่แม่เบี้ยจ้องมองพวกเขาอยู่ อีกทั้ง…
หัวของงูเป็นรูปสามเหลี่ยม !
จ้าวเสวียเอร่อแข้งขาอ่อนแรงไปหมด เหงื่อเม็ดโตผุดขึ้นและไหลโซมลงมา เพราะเจ้าแม่ท่านตาบอดหรือไงกัน ไม่อยากได้อะไรกลับได้อันนั้น ส่งกระต่ายขาวตัวเล็กๆมาทักทายพวกเขาไม่ได้หรือไง ?
“เหมยเหมยไม่ต้องกลัวนะ หนัง…หนัง…สือบอกไว้ ถ้าเราไม่ขยับ งูมันก็จะไม่ขยับ พวกเราแค่ยืนอยู่เฉยๆห้ามขยับ งูก็จะไม่จู่โจมอะไรพวกเรา ไม่…ไม่เป็นไรนะ !”
จ้าวเสวียเอร่อพยายามที่จะทำให้ลิ้นนิ่ง แต่คำพูดที่พ่นออกมากลับติดๆขัดๆ ต่างไปจากแต่ก่อนที่เคยพูดจาฉะฉาน
ในหนังสือพูดไว้ถือว่ามีเหตุผล เป็นจริงดั่งที่ว่าถ้าคนไม่ขยับงูก็จะไม่ขยับ ทั้งสองพี่น้องและงูเสียเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง แม้แต่หนังตายังไม่ขยับ
ปัญหาอยู่ที่ว่าเจ้างูยักษ์ก็ไม่ยอมขยับ รูปทรงบนหัวของมันก็ไม่เปลี่ยนไปเลย มันอาจจะกำลังคิดว่าเจ้าสองคนนี้คิดจะทำอะไร !
“พี่สาม เราจะมัวเสียเวลาแบบนี้ไม่ได้นะ ฉันยังต้องไปตามหาแหล่งน้ำ !” เหมยเหมยพูดเสียงเบา
จ้าวเสวียเอร่อทำหน้ายู่ราวกับผิวมะระ แน่นอนว่าเขารู้ดีว่าจะเสียเวลาแบบนี้ไม่ได้ แข้งขาเขาอ่อนไปหมด หากไม่เป็นเพราะกลัวเสียหน้าต่อหน้าน้องสาวตน เขาคงลงไปนอนกองอยู่ที่พื้นนานแล้ว
แต่ปัญหาอยู่ที่ว่างูไม่รู้จักเงิน !
ไม่เช่นนั้นเขาจะควักเอาเงินปึกหนึ่งออกมาฟาดงูที่สมควรตายตัวนี้ให้ตายซะ !
“พวกเรารออีกสักพักนะ ไม่แน่ว่าอีกครู่เดียวงูอาจจะยอมออกไปก็ได้ !” จ้าวเสวียเอร่อปลอบใจน้องสาว และปลอบใจตัวเขาเองด้วย
เพียงแต่…
ผ่านไปแล้วครึ่งชั่วโมง หัวของงูยังคงรักษามุมเงยอยู่ที่สามสิบองศาดังเดิม และมองพวกเหมยเหมยอย่างแปลกใจ
คุณชายฉิวที่อยู่ในกระเป๋า กัดกินช็อกโกแลตก้อนใหญ่ไปเรียบร้อย มองเหยียดจ้าวเสวียเอร่อแค่แวบเดียว ช่างเป็นดั่งไก่อ่อน แม้แต่ครึ่งหนึ่งของนิ้วมือเจ้านายชายคนเก่าของมัน เขายังเทียบไม่ได้เลย !
ตอนนั้นเจ้านายของมันใช้เพียงแค่นิ้วมือเล็กๆนิ้วเดียว ก็สามารถสยบงูยักษ์ที่ดูดุร้ายกว่าตัวนี้เป็นร้อยเท่าได้ คุณชายฉิวที่ดูละครฉากนี้จนเกิดความอึดอัด มันจึงลุกขึ้นยืดเอวอย่างขี้เกียจ ถีบขาหลังไปมา จากนั้นกระโดดออกมายืนอยู่ตรงหน้างูตัวนั้น
“ต๊อก ต๊อก”
ฉิวฉิวแยกเขี้ยวยิงฟันซี่เล็กๆของมัน ส่งเสียงร้องที่บาดไปถึงแก้วหู นั่นกลับทำให้งูยักษ์หดถอยหลังไป
เหมยเหมยเป็นห่วงว่าฉิวฉิวจะได้รับบาดเจ็บ ไม่ได้นึกถึงความกลัวแต่อย่างใด จึงรีบคว้าเอาก้อนหินที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วขว้างไปทางงูยักษ์ นั่นทำให้จ้าวเสวียเอร่อตกใจเป็นอย่างมาก นึกด่ายัยลูกหมี จากนั้นจึงจำใจคว้าก้อนหินที่มีบนพื้นขึ้นมาแล้ววิ่งไปอยู่ด้านหน้าน้องสาว ขาและน่องเอาแต่สั่นไม่หยุด
เพียงแต่ว่า…
ยังไม่ทันที่ก้อนหินในมือของเหมยเหมยจะได้โดนตัว งูยักษ์ก็ถอยออกไปอย่างเชื่อฟัง เลื้อยซิกแซ็กไปมา ไม่นานก็หายลับเข้าไปในโพรงหญ้า
ฉิวฉิวสะบัดหางใหญ่ๆของมันด้วยความพึงพอใจ จากนั้นกระโดดกลับเข้าไปในอ้อมอกของเหมยเหมยอีกครั้ง มันเริ่มกัดแทะเมล็ดสนที่อยู่ในกระเป๋าของมัน ในเวลานี้เหมยเหมยเองก็เพิ่งนึกได้ ครั้งแรกที่เธอเจอกับฉิวฉิว มันก็กล้าที่จะต่อสู้กับงูจมูกแหลม[1]แล้ว !
“ฉิวฉิวแกเก่งมาก !”
เหมยเหมยก้มจูบฉิวฉิวอย่างตื่นเต้นดีใจ จากนั้นจึงเดินหน้าต่อไป จ้าวเสวียเอร่อที่ตามอยู่ด้านหลังเกิดอาการสับสนมึนงง กระรอกเก่งกาจได้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?
เดินมาได้ราวๆหนึ่งชั่วโมง ยิ่งเดินไปหนทางยิ่งชันมากขึ้น จ้าวเสวียเอร่อหกล้มจนไม่มีแม้แต่อารมณ์ พวกเขาปีนขึ้นไปยังยอดเขาอีกลูก บนหน้าผามีต้นชาโบราณแข็งแรงทอดยาวออกมา ไม่รู้ว่ามันเติบโตมานานเท่าไหร่กัน !
………………………………………………………….
[1] เป็นงูพิษดุร้ายมีเขี้ยวยาวเป็นบานพับ พิษของมันทำลายล้างระบบเลือดจนเกิดอาการบวมอย่างรุนแรง ลำตัวมีความยาว 1-1.5เมตร และมีหน้าตาใกล้เคียงกับงูกะปะ มีถิ่นกระจายอยู่ทาตอนใต้ของประเทศจีน ไต้หวันและทางตอนเหนือของเวียดนาม
บทที่ 654 ปีนขึ้นไปบนหน้าผาเพื่อตักน้ำ
ต้นชาโบราณมีขนาดใหญ่ ราวกับร่มสีเขียวคันใหญ่คันหนึ่งที่ถูกกางออก มีขนาดใหญ่ราวสองเมตรกว่าๆ เจริญงอกงามเขียวชอุ่ม ยอดใบชาสดที่ผลิใบเขียวขจียังมีหยาดน้ำค้างสีใสคล้ายจะหยดร่วงลงมา ราวกับมรกตกลิ้งวนอยู่บนใบชา
“โอ้โหว ชาป่าต้นนี้ได้ราคาดีมาก วันนี้ล้มไม่เสียเที่ยวจริงๆ !”
จ้าวเสวียเอร่อที่เหนื่อยแทบตาย เมื่อได้เห็นต้นชาโบราณเขียวขจีต้นนี้ ความเหนื่อยทั้งปวงมลายหายไปจนหมด มองเห็นต้นชาราวกับได้เห็นธนบัตรก็มิปาน
ต้นชาป่าที่ดูดซับสรรพสารของฟ้าดินแบบนี้ ไม่รู้ว่าว่ามีคนจำนวนเท่าไหร่ที่จะรับซื้อในราคาที่สูง
จ้าวเสวียเอร่อใช้รอยหยักในสมองของตน คิดคำนวณออกมาอย่างรวดเร็ว คำนวณได้จำนวนตัวเลขที่ทำให้เขาพึงพอใจมาก
หากว่าเขาเก็บใบชาของชาต้นนี้ไป เขาจะได้ไม่ต้องกังวลกับเงินทุนในการประกอบการแล้ว !
เพียงแต่ผาสูงชันแห่งนี้กลับไม่มีแม้แต่จุดให้ออกแรงได้เลย เขาจึงไม่มีวิธีเก็บธนบัตรนั้นกลับมา !
จ้าวเสวียเอร่อเดินเข้าไปใกล้หน้าผา ก้มลงไปมองด้านล่างแค่แวบเดียวก็ทำให้เกิดอาการขาอ่อน เขาจึงรีบกลับเข้าไปและไม่กล้ามองอีก เขาน่ะเป็นโรคกลัวความสูง
อีกอย่างหน้าผานี้ลึกจนมองไม่เห็นด้านล่าง หากไม่ระวังแล้วพลัดตกลงไป แม้แต่เศษซากศพก็เกรงว่าจะไม่หลงเหลือ!
จ้าวเสวียเอร่อมองไปยังธนบัตรต้นใหญ่นั้นอย่างนึกเสียดาย ถอนหายใจออกมายาวๆ แม้ว่าธนบัตรจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่า !
ปล่อยให้เติบโตต่ออีกไม่กี่ปีก็แล้วกัน !
“พี่สามมัวเหม่ออะไรอยู่ รีบมาช่วยกันหน่อยสิคะ !” เสียงเรียกของเหมยเหมยได้ทำลายความคิดเพ้อฝันของเขาลง
จ้าวเสวียเอร่อจ้องมองต้นชาโบราณด้วยสายตาละห้อย จากนั้นวิ่งไปทางที่น้องสาวอยู่ แต่กลับเห็นเธอกำลังใช้ก้อนหินตัดเถาวัลย์ต้นอวบ ใบหน้าเธอฝืนทนจนขึ้นสีแดงระเรื่อ
“เหมยเหมยเอาเถาวัลย์พวกนี้ไปทำอะไร ? พวกนี้เป็นเพียงแค่เถาวัลย์ภูเขาธรรมดา ไม่สามารถทำเป็นตัวยาได้” จ้าวเสวียเอร่อเข้าใจว่าน้องสาวตนหาน้ำไม่เจอ แล้วได้รับสิ่งกระทบกระเทือนใจ จึงคิดจะเอาพวกของป่าและเถาวัลย์เหล่านี้กลับไปต้มซุปให้คุณปู่คุณย่าดื่ม !
เหมยเหมยจ้องเขาตาเขม่นอย่างโมโห การปีนเขาครั้งนี้ ในใจเหมยเหมยที่เคยเคารพรักต่อพี่สาม ตอนนี้ไม่หลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย
ไก่อ่อน ขวัญอ่อน ขี้บ่น โลภมาก…
ทั้งตัวของเขาเหลือเพียงแค่เปลือกผิวแล้วล่ะ !
“ฉันจะเอาเถาวัลย์นี่ไปทำเชือก พี่รีบมาช่วยฉันตัดหน่อย เถาวัลย์พวกนี้เหนียวมาก” ไม่ง่ายเลยกว่าที่เหมยเหมยจะตัดเถาวัลย์ออกมาได้สักเส้นหนึ่ง มือชาไปหมด
“เธอเอาเชือกไปทำอะไร ?” จ้าวเสวียเอร่อคาดการณ์ได้ถึงสิ่งที่ไม่เข้าท่านัก หวังเพียงแค่ว่าอย่าเป็นอย่างที่เขาคิดไว้เลย เพียงแต่…
“ฉันหาแหล่งน้ำแร่เจอแล้ว อยู่ด้านล่างต้นชาโบราณยักษ์นั่น พวกเราต้องทำเป็นเชือกผูกไว้ แบบนั้นก็สามารถข้ามไปได้แล้ว !”
เหมยเหมยดีใจเป็นอย่างมาก เพราะเมื่อครู่ฉิวฉิวได้ไปสำรวจน้ำแร่ภูเขาเป็นที่เรียบร้อย บอกกับเธอว่าคุณภาพน้ำดีมากๆ อีกทั้งต้นชาโบราณนั่นก็เป็นของล้ำค่า ดูดซึมเอาสรรพสารจากฟ้าดินมาแล้วหลายพันปี ตัวมันเองก็ไม่ธรรมดาอยู่แล้ว ยิ่งได้ความชุ่มชื่นจากแหล่งน้ำดีๆอีก ยิ่งเป็นของหายากและมีค่าที่ได้เห็นในรอบร้อยปี
จ้าวเสวียเอร่อตกใจจนไม่เหลือแม้แต่ดวงวิญญาณ น้ำเสียงเหือดหายไปราวกับถูกคนแทงคอหอยเอาไว้ ถามเสียงอยู่ในลำคอ “เหมยเหมยจะปีนไปที่หน้าผาเพื่อตักน้ำ ?”
“ใช่ค่ะ ถ้าไม่ปีนแล้วจะตักน้ำกลับมายังไง ?” เหมยเหมยมองจ้าวเสวียเอร่อราวกับคนปัญญาอ่อน ทำไมถึงได้โง่เขลาขนาดนี้
“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด พี่ไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน หากตกลงไปเราสองคนก็จบเลยนะ ตอนนี้เรากลับบ้านกัน ไม่ต้องตามหาน้ำแล้ว คุณปู่คุณย่ามีหมอดูแลอยู่ น้ำของเธอใช้ไม่ได้แม้แต่นิดเดียว”
ราวกับจ้าวเสวียเอร่อกลายเป็นคนละคนกัน ดึงแขนเหมยเหมยเพื่อจะลงจากภูเขา ปีนขึ้นหน้าผาเพื่อตามหาน้ำหรอ ?
สมองของน้องสาวถูกกระทบเทือนจนโง่ไปแล้ว แต่เขาไม่ !
ก็แค่น้ำแร่จากภูเขาเท่านั้นเอง คิดว่าเป็นเหล้ารสชาติดีหรือไง ?
ดื่มแล้วจะเป็นอมตะหรือกลายเป็นเทพเซียน ?
เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่มีทางสร้างเรื่องวุ่นวายตามน้องสาว !
……………………………………………….
บทที่ 655 ขึ้นไปด้วยตัวเองจะดีกว่า
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป จ้าวเสวียเอร่อยอมจำนนต่อเสียงร้องไห้ที่ดังก้องดั่งคนพาลของเหมยเหมย โดยปกติน้ำเสียงของน้องสาวตนหวานเยิ้มยิ่งกว่าเสียงของเติ้งลี่จวิน [1]แต่ตอนนี้ราวกับเสียงเวทมนต์แทรกซึมเข้าไปในสมอง ส่งเสียงเรียกจนทำให้เขาปวดไปทั้งกบาล
เห็นน้องสาวเช็ดน้ำตาอยู่ที่พื้น จ้าวเสวียเอร่อปวดหัวตุบ ๆ
พระเจ้า ทั้งๆที่วันนี้เขาต้องซ้อมละครกับดาวมหาลัย อีกทั่งยังมีฉากกอดแสนหวาน ช่างเป็นวันที่ดีอะไรแบบนี้ แต่ทำไมเขาจะต้องพาตัวเองมาทรมานกับยัยหมีน้อยที่นี่ด้วย ?
“ไม่ต้องร้องแล้ว พี่จะไปตักน้ำ ถ้าหากว่าพี่สามมีอันเป็นไปอย่านึกเสียใจภายหลังล่ะ !” จ้าวเสวียเอร่อกัดฟันพูด ทั้งยังขอพรในใจเพื่อให้พระเจ้ามีตา อย่าได้ปล่อยให้เขาตายเลยต่อให้เขาต้องกลายเป็นคนพิการก็ยังดี!
การมีชีวิตอยู่ย่อมดีกว่าการตาย !
เหมยเหมยหยุดร้องไห้ในทันที ปาดน้ำตาอย่างลวก ๆ และส่งยิ้มให้จ้าวเสวียเอร่อในทันที แต่กลับได้มาเพียงแค่ท่าทีเมินเฉย และกลอกตาขาวใส่ !
ยัยเด็กบ้านี่ทำให้เขาต้องมาทรมานถึงจุดนี้ ต่อจากนี้ไปเขาสัญญาว่าจะอยู่ให้ห่างจากยัยเด็กบ้านี่ ยิ่งห่างได้มากแค่ไหนยิ่งดี !
จ้าวเสวียเอร่อและเหมยเหมยช่วยกันตัดกิ่งเถาวัลย์ได้มาหลายเถา พร้อมทั้งนำต่อมามัดต่อกันเป็นเชือกเส้นใหญ่ จ้าวเสวียเอร่อทดลองดูครั้งหนึ่ง เส้นเถาวัลย์ถือว่าแข็งแรงมาก ขอเพียงแค่พระเจ้าไม่ตาบอด เขาอาจจะโชคดีรอดชีวิตมาได้
พวกเขานำเอาเชือกเส้นใหญ่มัดผูกติดกับต้นไม้ใหญ่ นำอีกด้านหนึ่งของเส้นเชือกมัดกับเอวของตนเอาไว้ มองลงไปด้านล่างหน้าผาด้วยความสลดใจ แล้วใช้ฝีเท้าความเร็วเช่นเดียวกับจิงเคอที่ลอบสังหารจิ่นซีฮ่องเต้ เพียงแต่…
จ้าวเสวียเอร่อยืนอยู่ตรงขอบหน้าผาเป็นเวลาสิบห้านาทีเต็ม ขาทั้งสองข้างยิ่งยืนยิ่งอ่อนแรงลง ความกล้าก็เริ่มลดน้อยลง เขาไม่กล้าจะลืมตาขึ้น พอแค่เปิดเปลือกตาก็จะเป็นลม แต่ก็ไม่อาจหลับตาได้ หลับตาแล้วไม่รับรู้ยิ่งทำให้เกิดความกลัว
“พี่สาม ตกลงว่าพี่จะไปหรือไม่ไป ? เหมยเหมยที่เห็นท่าทีของเขาจึงรู้สึกรำคาญ พูดเร่งเขาเสียงดัง”
“เร่งอะไรนักเล่า ก่อนทำการใดต้องสำรวจพื้นที่ก่อนไม่ใช่หรือ ? หากไม่สำรวจให้ดีจะขึ้นมายังไง ?” จ้าวเสวียเอร่อสวนคำกลับอย่างอารมณ์ไม่ดีนัก ยัยเด็กบ้าพูดง่ายกว่าทำ หน้าผาสูงชันขนาดนี้ คิดว่าเป็นขั้นบันไดในบ้านหรือไง ?
เหมยเหมยจ้องพี่ชายที่ใช้การไม่ได้อย่างไม่ชอบใจ คิดว่าเธอมองไม่ออกว่าจ้าวเสวียเอร่อกำลังเกิดอาการกลัว ?
ยังจะพูดอย่างสง่าผ่าเผยว่าสำรวจพื้นที่อีก เหอะ พื้นที่ตรงนี้เกรงว่าสำรวจเป็นปีๆ ก็สำรวจไม่เสร็จ ที่แท้…
จ้าวเสวียเอร่อทำการสำรวจเป็นเวลาเกือบสิบห้านาที เหมยเหมยที่เร่งเร้าเป็นครั้งที่สอง จ้าวเสวียเอร่อก็รู้ตัวว่าตนใช้เวลาสำรวจนานไปหน่อย เขากัดฟันแน่นพร้อมกับยื่นขาออกไปข้างหนึ่ง จะเป็นหรือตายขึ้นอยู่ก้าวนี้แล้ว เพียงแต่หินผาที่แตกหักได้เป็นตัวถีบส่งเขาให้ตกลงไปยังด้านล่าง จากนั้นก็ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆอีก จ้าวเสวียเอร่อที่เพิ่งรวบรวมความกล้าอย่างน่าเวทนาเช่นนั้น กลับต้องมาตกใจกับเศษหินก้อนนี้ จึงเดินถอยหลังหลายก้าวตามสัญชาตญาณ
เหมยเหมยปิดหน้าปิดตาอย่างไม่อาจทนดูต่อได้ อับอายขายขี้หน้าเสียจริง !
แสงสายัณห์สุดขอบฟ้าทอประกายให้แสงสีแดงที่เข้มมากขึ้น ดวงอาทิตย์ใกล้เคลื่อนตัวออกมา ฉิวฉิวส่งเสียงร้องหาเหมยเหมย พร้อมกับชี้ไปยังดวงอาทิตย์บนฟากฟ้าด้วยท่าทีร้อนรน
ก่อนที่ดวงอาทิตย์จะโผล่มานั่นคือน้ำที่ดีที่สุด หลังจากที่ดวงอาทิตย์โผล่มานั้น คุณภาพของน้ำจะลดประสิทธิภาพลงไป แต่จะเสียเวลาต่อไปไม่ได้แล้ว
เหมยเหมยเข้าใจความหมายของฉิวฉิว ดูท่าจะพึ่งพาจ้าวเสวียเอร่อไม่ได้เสียแล้ว คงต้องเป็นเธอที่ลงไปเอง !
“เหมยเหมยจะทำอะไร ? อย่าสร้างเรื่องอีกน่า เอาเชือกมาให้พี่ พี่จะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ !”
จ้าวเสวียเอร่อมีท่าทีร้อนรนจนทำอะไรไม่ถูก น้องสาวตนช่างกล้าเกินไปแล้ว ลูกผู้ชายอย่างเขายังไม่กล้าลงไปเลย น้องสาวของเขาที่เป็นผู้หญิงตัวเล็กคงจะตกใจจนร้องไห้ฟูมฟาย ?
แต่ความเป็นจริงนั้น…
เหมยเหมยไม่ได้สนใจจ้าวเสวียเอร่อเลย เธอผูกเชือกให้แน่น จากนั้นจึงเริ่มปีนหน้าผาอย่างระมัดระวัง ด้านล่างมองเห็นเมฆหมอกขาวโพน ในใจของเธอจึงเกิดอาการหวาดกลัว แต่พอเธอก้าวเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กลับไม่ได้มีรู้สึกหวาดกลัวอะไรอีก
หลายครั้ง มองจากที่ไกลๆมักจะรู้สึกกลัว แต่พอเข้าใกล้หรือตัวเราเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมนั้นเอง พอกลับมาคิดจะรู้สึกว่ามันก็แค่นั้นเอง !
……………………………………………………..
[1] นักร้องเพลงจีนสากลชาวไต้หวัน เสียงและเพลงของเธอเป็นที่จดจำทั่วทั้งเอเชียตะวันออกและในหมู่ชาวจีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวันและชาวจีนโพ้นทะเลทั่วโลก
บทที่ 656 สิ่งของเล็กๆที่งดงาม
จ้าวเสวียเอร่อสายตาจับจ้องเหมยเหมยราวกับยืนอยู่บนพื้นราบ เดินลัดเลาะบนหน้าผาชัน ไม่นานก็มาเดินถึงข้างต้นชาโบราณใหญ่ยักษ์นั่น ในที่สุดใจที่แบกรับเอาไว้ก็สามารถผ่อนคลายลงได้ เพียงแต่…
น้องสาววัยสิบสามปียังมีความกล้าและไหวพริบมากกว่าลูกผู้ชายอย่างเขา …
ทำไมในใจของเขาถึงรู้สึกไม่ดีเอาซะเลยล่ะ !
“เหมยเหมยกลัวไหม ? ให้พี่ดึงเธอขึ้นมาไหม ?” จ้าวเสวียเอร่อกระแอมเรียกอย่างไม่ยินดีนัก ในใจหวังเป็นร้อยเท่าว่าจะได้เห็นท่าทีหวาดกลัวปรากฏบนใบหน้าของน้องสาว
เหมยเหมยที่เจอจุดหยุดพัก หันกลับขึ้นไปแล้วตะโกนอย่างติดรำคาญ “พี่สามอย่าส่งเสียงดังโวยวายสิ ฉันกำลังยุ่งอยู่ !”
จ้าวเสวียเอร่อปิดปากเงียบในทันที ถึงยังไงเขาก็ไม่อาจวางใจต่อเหมยเหมย ยืนด้วยท่าทีน่าเวทนามองเหมยเหมยโค้งเอวก้มตักน้ำอยู่ข้างต้นชาโบราณใหญ่ยักษ์ ช่างน่าอับอายจนเหงื่อตก !
หรือหลังจากกลับไปทุกวันเขาต้องวิ่งด้วยระยะทางหนึ่งกิโล ?
หรือไม่ดีกว่า ทำท่าแพลงก์ไม่กี่ครั้งบนเตียงคงจะดีหน่อย ออกไปก็ดูน่าเบื่อ เสียเวลาอีกด้วย !
ใต้ต้นชาใหญ่ยักษ์นี้ นึกไม่ถึงว่าจะมีน้ำใสสะอาดจนสามารถมองทะลุเห็นด้านล่างได้แบบนี้ ปากทางมีขนาดเล็กเท่ากับใบหน้าของคนสองคน ซึ่งภายใต้กิ่งลำของต้นชาปรากฏลักษณะหลุมเว้าเข้าไป แต่มีระดับความลึกมากเท่าไหร่เธอไม่อาจรู้ได้ แต่คงจะไม่ตื้นนัก
เพราะน้ำเหล่านี้หยดไหลลงมาจากก้อนหินก้อนหนึ่งทางด้านบน หยดติงๆปีแล้วปีเล่า วันแล้ววันเล่าแต่แหล่งน้ำแห่งนี้กลับไม่เคยเอ่อล้นออกมา
เหมยเหมยเตรียมที่จะตักน้ำ แต่ทันใดนั้นฉิวฉิวที่อยู่บนไหล่ขนตั้งชูชัน และมุดออกไปข้างธารน้ำแร่ ส่งเสียงต๊อกๆร้องไม่หยุด เหมยเหมยปรับโฟกัสสายตา ด้านล่างของต้นชาใหญ่นั่น มองเห็นงูตัวเล็กสีเขียว มันทำเสียงขู่ฟ่อแลบลิ้นมาหาเธอและฉิวฉิว
งูน้อยมีความยาวราวๆหนึ่งฟุต เล็กเท่ากับขนาดนิ้วมือ สีของมันเหมือนกับสีของใบชา หากไม่ได้ฉิวฉิวเตือน เธอคงไม่มีทางมองเห็นมัน
อาจจะเป็นเพราะเจ้างูน้อยงดงามมาก เหมเหมยจึงไม่เกิดความรู้สึกกลัวแต่อย่างใด แต่ยังไม่กล้าจะวางใจ กระทั่งทำให้ฉิวฉิวขนตั้งชูชันได้ แสดงว่างูตัวนี้ไม่อาจรับมือได้ง่ายๆ !
และในชาติก่อนเธอเคยอ่านเจอในหนังสือ ของวิเศษบนโลกใบนี้มักจะมีสัตว์วิเศษคอยปกป้องคุ้มครองอยู่ ดูท่าแล้วเจ้างูน้อยต้องเป็นสัตว์เทพที่ปกป้องคุ้มครองที่แห่งนี้อยู่ แต่ไม่รู้ว่ามันคุ้มครองแหล่งน้ำแร่หรือว่าต้นชา หรืออาจจะเป็นได้ทั้งคู่ !
เหมยเหมยกลับยิ่งดีใจ บ่งบอกได้ว่าน้ำแร่แห่งนี้เป็นของดี แบบนี้เธอก็สามารถตบตาหมอพวกนั้นได้แล้ว !
ฉิวฉิวเองก็ไม่รู้ว่าตัวมันได้ร่วมทำสัญญาอะไรกับเจ้างูน้อยไว้ เจ้างูน้อยไม่ได้ทำอะไรให้เหมยเหมยลำบากใจ มันเลื้อยกลับขึ้นไปบนต้นชาอีกครั้ง มองเหมยเหมยตักน้ำอย่างประหลาดใจ
ฉิวฉิวไม่ได้ให้เธอตักน้ำเยอะ แต่ให้ตักไปเพียงครึ่งขวด น้ำหนึ่งลิตรก็ไม่ถึง นี่เป็นสัญญาที่มันทำร่วมกับเจ้างูน้อย สิ่งสำคัญคือเมื่อน้ำเหล่านี้ถูกนำออกไปจากที่แห่งนี้ หลังจากนั้นสองชั่วโมงประสิทธิภาพก็จะหมดไป กลับกลายเป็นดั่งน้ำแร่ทั่วไป
“ฉิวฉิวแกลองถามท่านงูให้หน่อย ฉันเก็บใบชาไปสักหน่อยได้ไหม ?” เหมยเหมยถามเสียงเบา ฉิวฉิวขี้เกียจที่จะถามจึงยอมให้เหมยเหมยเด็ดไป ความเป็นจริงแล้วต้นชาโบราณใหญ่ยักษ์นี่เป็นแหล่งอาหารของเจ้างูน้อย ตั้งแต่เล็กๆมันกินใบชาดื่มน้ำค้างจากใบชา วันคืนดูดซับสรรพสารต่างๆจนกลายเป็นสัตว์ที่มีปฏิภาณอัศจรรย์
แต่เจ้างูน้อยตัวนี้ก็น่าเวทนานัก มีอายุขัยกว่าร้อยปีแต่ไม่เคยออกไปจากผาสูงแห่งนี้เลย
หัวไม่มีความฉลาดเฉลียวเอาเสียเลย โง่ดักดานยิ่งกว่าอะไร
“อยากออกไปเที่ยวเล่นไหม?”
ฉิวฉิวหันไปหาเจ้างูน้อยและส่งเสียงร้อง เจ้างูน้อยดวงตาเปล่งประกาย ผงกหัวรับด้วยความดีใจ
มันอยู่บ้านจนเบื่อหน่าย วันๆเอาแต่กัดกินใบชาและดื่มน้ำค้าง ปากลิ้นแทบไม่รับรู้รสชาติใดๆแล้ว !
ฉิวฉิวส่ายหน้าไปมา ช่างโง่เขลานัก ไม่รู้ว่าพ่อแม่ของมันอบรมสั่งสอนมายังไง แม้แต่การที่ไม่ควรจะพูดคุยกับคนแปลกหน้ายังไม่รู้เลย จึๆ น่าสงสารนัก ต่อไปนี้คงต้องให้คุณชายฉิวอย่างมันสั่งสอนน้องชายคนนี้ให้มากหน่อย !
……………………………………………………….
บทที่ 657 ได้เพื่อนเล่นเพิ่มหนึ่งตัว
ฉิวฉิวส่งเนื้อวัวอบแห้งให้เจ้างูน้อยหนึ่งชิ้น เจ้างูน้อยกินอย่างเอร็ดอร่อย อย่ามองว่ามันตัวเล็ก เพราะกระเพาะมันไม่ได้เล็กอย่างที่คิด ผ่านไปแค่ครู่ก็กินเข้าไปหลายชิ้น ยังกินได้ไม่จุใจจึงมองฉิวฉิวตาละห้อย
คุณชายฉิวถูกสายตาเล็กๆนั่นจ้องมองจนมันต้องกร่นด่าในใจ จำใจต้องล้วงเอาของที่มันกักตุนไว้ในกล่องด้านล่างออกมาทั้งหมด จากนั้นหันหน้าหนีเพราะเบื่อที่จะเห็นกับสิ่งที่มันไม่เต็มใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ !
เหมยเหมยรับรู้ว่าเจ้างูน้อยจอมซื่อบื้อตัวนี้จะออกไปด้วย เธอดีใจอยู่ไม่น้อย แม้ว่าเธอจะกลัวสัตว์เลื้อยคลาน แต่เจ้างูตัวนี้มีความงดงามและน่ารัก เธอไม่กลัวเลยสักนิด !
เธอเก็บยอดชาอ่อนจากต้นชาโบราณต้นใหญ่ ใช้เวลาไปไม่น้อย ใบชาจำนวนเกินครึ่งถูกยัดใส่กระเป๋าหน้าท้องของฉิวฉิว อีกส่วนหนึ่งยัดใส่กระเป๋าเป้ น้ำแร่ก็ตักใหม่อีกครึ่งค่อนขวด พร้อมกับส่งสัญญาณบอกให้จ้าวเสวียเอร่อดึงเธอขึ้นไป
กลับขึ้นมาสู่พื้นดินด้วยความตื่นเต้นแต่ไร้ซึงอันตรายใดๆ จ้าวเสวียเอร่อจับตัวเหมยเหมยหันซ้ายหันขวา และสำรวจไปทั่วทั้งตัว เมื่อเห็นว่าน้องสาวตนไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ในที่สุดใจของเขาที่ล่องลอยอยู่กลางอากาศก็สามารถล่วงลงมายังพื้นได้ปกติ
“เหมยเหมยใบชาที่เธอเก็บล่ะ ขอพี่ดูหน่อย !”
จ้าวเสวียที่รู้สึกวางใจ กลับเริ่มคิดคำนวณอีกครั้ง พิจารณาว่าจะใช้ช็อกโกแลตหรือใช้เป็ดย่างเพื่อหลอกล่อเอาใบชาจากมือน้องสาวมาไว้ในมือตน หรือไม่งั้นสินสอดทองหมั้นในอนาคตของน้องสาวเขารับผิดชอบให้เอง !
เหมยเหมยไม่ได้คิดอะไรมาก เธอเปิดกระเป๋าออก ปรากฏให้เห็นใบชาสีเขียวราวมรกตครึ่งค่อนกระเป๋า
“ทำไมถึงมีแค่นี้ล่ะ ?” จ้าวเสวียอดไม่ได้ที่จะถามออกไป เมื่อครู่เขาคิดคำนวณดูแล้ว ต้นชาที่มีขนาดใหญ่ต้นนี้ ไม่ว่ายังไงก็สามารถเก็บใบชาได้มากถึงเจ็ดแปดจิน !
“เก็บมาเยอะแล้วจะเอาใส่ไว้ที่ไหน ? หรือพี่จะลงไปเก็บเอง ?”
เหมยเหมยตอบกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน เธอรวบเส้นเถาวัลย์ที่ถูกทำเป็นเชือกเส้นใหญ่ม้วนเสร็จแล้ววางลงกับพื้น พรุ่งนี้ยังใช้ต่อได้ เธอตะโกนเรียกจ้าวเสวียเอร่อที่ยืนเหม่อลอย “พี่สาม คืนนี้พี่จะนอนบนต้นไม้เหรอ?”
จ้าวเสวียเอร่อมองต้นเงินทองที่เติบโตอยู่บนผาสูงด้วยความเจ็บปวด ธนบัตรอยู่ตรงหน้าแค่เอื้อมมือ แต่เขากลับคว้าไว้ไม่ได้ เจ็บปวดทรมานใจเหลือเกิน !
เหมยเหมยเดินกลับอย่างว่องไว จ้าวเสวียเอร่อล้มลุกคลุกคลานไปหลายครั้ง เสื้อผ้าที่สวมบนร่างกายขาดวิ่นราวกับขอทาน แต่เหมยเหมยกลับนิ่งมาก สามารถพูดได้ว่าตั้งแต่ที่กลับชาติมาเกิด ความสมดุล ความยืดหยุ่นและความคล่องตัวของร่างกายเธอดีมากถึงมากที่สุด จะล้มสักครั้งยังยาก
“เหมยเหมยเดินช้าๆหน่อย ให้พี่สามได้พักหายใจบ้าง !”
จ้าวเสวียเอร่อทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เขานั่งหอบหายใจราวกับเป็นอัมพาตอยู่ที่พื้น สมองอันชาญฉลาดกลับเริ่มสับสนมึนงง ไม่ได้ใส่ใจว่าเหตุใดเหมยเหมยถึงไม่จำทางผิดเลย แม้แต่เขาเองยังจำได้ไม่แน่ชัด !
“พี่สามฉันไปก่อนนะ ถ้าเกินสามชั่วโมงไปแล้วน้ำนี่จะไม่มีประสิทธิภาพ ฉันต้องรีบนำกลับไปต้มให้คุณปู่คุณย่าดื่ม !”
อันที่จริงเหมยเหมยเองก็เหนื่อย ขาทั้งสองข้างชาไปหมด แต่เธอจะต้องอดทน จะไม่ยอมให้น้ำนี้หมดประสิทธิภาพก่อนแน่ !
จ้าวเสวียเอร่อกลอกตาดำอย่างจนใจ น้องสาวตนช่างลุ่มหลงจนไม่เป็นตัวของตัวเองจริงๆ เป็นเพียงแค่น้ำแร่จากภูเขาเท่านั้น กลับคิดว่าเป็นยาวิเศษไปแล้วสินะ !
แม้จะไม่เห็นด้วยกับการที่เหมยเหมยเห็นน้ำแร่เป็นดั่งของล้ำค่า แต่จ้าวเสวียเอร่อก็เดินโซซัดโซเซตามหลังมา อย่างแรกคือเป็นห่วงความปลอดภัยของน้องสาว อีกอย่างเหตุผลที่สำคัญที่สุดคือ…
เขาไม่กล้าอยู่บนภูเขาด้วยตัวคนเดียว !
ลงไปพร้อมกับน้องสาว ยังถือว่ามีความปลอดภัยบ้าง !
ภูเขาด้านล่างยังคงมีผู้เฒ่าผู้แก่จำนวนไม่น้อยที่นั่งพูดคุยเล่นไพ่กัน เมื่อเห็นท่าทางน่าเวทนาสงสารของจ้าวเสวียเอร่อ ต่างพากันตกใจกันยกใหญ่ ทั้งยังคิดว่าพวกเขาถูกปล้น คุณตาคุณยายที่จิตใจดีต่างกระตือรือร้นจะเข้าไปแจ้งความให้ จ้าวเสวียเอร่อจำต้องอธิบายให้พวกเขาฟังว่าตนนั้นหกล้ม แต่กลับไม่มีใครเชื่อ กลับคิดว่าเขาเกรงกลัวว่าพวกโจรจะกลับมาแก้แค้น จึงไม่กล้าแจ้งความ !
เหมยเหมยเฝ้ารออย่างร้อนรน จึงตัดสินใจปั่นกลับเอง ก่อนจะทิ้งท้ายประโยคไว้ “พี่สาม ฉันไปก่อนนะ พี่นั่งรถเมล์กลับเองก็แล้วกัน !”
………………………………………………….
บทที่ 658 แต่งตัวหลากสีให้บุพการีบันเทิงใจ
โชคดีที่จักรยานของจ้าวเสวียเอร่อมีขนาดไม่ใหญ่ขนาดนั้น เพราะเขาไม่ชอบใจที่มันใหญ่เกินไป มันทำให้บดบังความสง่างามของบุรุษอย่างตน จึงตั้งใจซื้อขนาดที่เล็กลงมาหนึ่งไซน์ เหมยเหมยฝืนปั่นอย่างสุดความสามารถ จนเกินแรงไปบ้าง
ปั่นจนรู้สึกปวดขา เธอกลับมาถึงยังพื้นที่ลานบ้าน ตอนนี้ใกล้จะถึงเวลาบ่ายสามโมง หานซู่ฉินรออยู่ที่บ้านคนเดียว เธอกังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับพวกเหมยเหมย
เหมยเหมยปั่นจัการยานหอบแฮกๆมาถึงประตูใหญ่หน้าบ้าน ยังไม่ทันได้เบรกจอด กลับพลัดตกจากจักรยาน เจ็บจนเขาต้องกัดฟัน เสียงโครมครามที่ดังขึ้นบริเวณสวนทำให้หวงอวี้เหลียนตกใจไม่น้อย พอวิ่งออกไปจึงได้เห็นสภาพของหลานสาวถูกทับอยู่ใต้จักรยาน เธอจึงเข้าไปยกจักรยานขึ้นในทันที
“เหมยเหมยล้มเจ็บตรงไหนบ้าง ? ขอฉันดูหน่อยเร็ว !”
เหมยเหมยจะเอาเวลาที่ไหนมาพูดไร้สาระกับหวงอวี้เหลียน และก็ไม่ได้ใส่ใจต่อแผลที่เกิดอาการเจ็บเมื่อลุกขึ้นมาได้วิ่งตรงเข้าไปยังห้องครัว “ป้าสองคะ หนูหาน้ำดีๆเจอแล้ว หนูจะไปต้มน้ำเพื่อชงชาให้คุณปู่คุณย่าดื่ม !”
หวงอวี้เหลียนมองท่าทีร้อนรนของหลานสาวตะลึงงัน ผ่านไปพักใหญ่กว่าจะรู้สึกตัว แล้วจ้าวเสวียเอร่อล่ะ ?
“เหมยเหมยพี่สามล่ะ ? ทำไมถึงไมได้กลับมาพร้อมกันกับเธอ ?”
หานซู่ฉินที่เดินตามหลังถามขึ้น พลางคิดไตร่ตรองว่าเสวียเอร่อหนักแน่นมาตลอด แต่เหตุใดครั้งนี้ถึงทำเหมือนพึ่งพาไม่ได้เอาเสียได้ ปล่อยให้ผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเหมยเหมยกลับมาเอง ทั้งยังต้องขี่จักรยานคันสูงแบบนี้อีก โชคดีแค่ไหนที่ไม่ถูกรถชน กลับมาจะต้องต่อว่าจ้าวเสวียเอร่อสักหน่อย ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย !
จ้าวเสวียเอร่อไม่พอใจต่อเหตุการณ์ตรงหน้าแต่ทำอะไรไม่ได้ ไม่ง่ายนักที่เขาจะอธิบายให้คุณตาคุณยายผู้หวังดีได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เขาอยากตามเหมยเมหยไป ขาของน้องสาวตนสั้นขนาดนั้น จะเหยียบจักรยานเขาได้เสียที่ไหน ?
เพียงแต่ขาสั้นๆของเหมยกลับปั่นจักรยานได้อย่างรวดเร็ว แค่แวบเดียวก็ไม่เห็นแม้แต่เงา จ้าวเสวียเอร่อวิ่งหอบเหมือนหมาก็ไม่อาจตามเหมยเหมยทัน จึงทำได้เพียงหอบสังขารพร้อมด้วยเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นราวขอทาน ผ่านหน้าผู้คนจำนวนมากที่มองเขาอย่างจับผิดนินทาด้วยสายตาที่ต่างออกไป ต้องต่อรถถึงสามครั้ง และเดินต่ออีกหนึ่งกิโลกว่าจะกลับมาถึงบ้านได้ด้วยความทุกข์ทน
จ้าวเสวียเอร่อที่เห็นจักรยานจอดทิ้งไว้บริเวณลานบ้าน จ้าวเสวียเอร่อที่ใจตกลงไปสู่พื้นดินด้วยความหวาดหวั่น แต่ไฟโทสะกลับปะทุขึ้นมาสุมหัว
น้องสาวตนทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง เขาจะต้องสั่งสอนเธอสักหน่อย ทำให้เขาต้องเสียค่ารถไปตั้งสองเจี่ยวกับอีกห้าเฟิน เจ็บปวดใจยิ่งนัก !
“เหมยเหมยอยู่ไหน ออกมาหาพี่เดี๋ยวนี้ ! ใครให้เธอแอบขโมยรถพี่มา ? เธอยังเคารพกฎหมายอะไรอีกไหม ?”
จ้าวเสวียเอร่อสะกดกลั้นอารมณ์ตั้งแต่บนตึกลงมาล่างตึก ไม่เห็นแม้แต่เงาของเหมยเหมย ทำให้เขาโมโหจนต้องตะโกนขึ้นเสียงดังภายในห้องรับแขก ท่าทีภาพลักษณ์ต่างๆเลือนหายไปจนหมด !
แบกเอาหัวฟูๆราวรังนกและเสื้อผ้าที่ยับเยินขาดวิ่นอวดเผยโฉมไปทั่วทั้งเมืองหลวง จ้าวเสวียเอร่อคนนี้จะเหลือภาพลักษณ์อะไรอีก !
หวงอวี้เหลียนที่กำลังจะอ้าปากถามเหมยเหมยที่อยู่ในห้องครัว กลับได้ยินเสียงตะโกนแหกปากของจ้าวเสวียเอร่อขึ้นเสียก่อน จึงนึกแปลกใจไม่น้อย เสวียเอร่อถูกยั่วยุอะไรมาล่ะ ?
แต่ก่อนเขาเป็นคนเนิบนาบใจเย็นไม่ใช่เหรอ ?
หานซู่ฉินเดินออกมาด้วยความแปลกใจ จ้องจ้าวเสวียเอร่อที่เหมือนสภาพขอทานยืนเท้าสะเอวอยู่ในห้องรับแขก ขยี้ตาด้วยความตกใจ จากนั้นเดินเข้าไปได้เพียงไม่กี่ก้าวถึงได้มั่นใจว่าขอทานคนนั้นคือบุคคลที่ใส่ใจเรื่องภาพลักษณ์เป็นที่สุดอย่างองค์ชายสามของตระกูลจ้าว เธอหลุดเราะร่าอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้
“เสวียเอร่อ นี่ลูกไปทำอะไรมา ? ถูกปล้นมารึ ?”
หานซู่ฉินหัวเราะจนน้ำตาเล็ด คุณปู่และคุณย่าที่นอนงีบพักสายตาอยู่บนเตียงรับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวจากภายนอกมาพักใหญ่ๆ จึงเร่งให้จ้าวเสวียเอร่อเข้ามาให้พวกเขาเห็นสักหน่อย
จ้าวเสวียเอร่อจะขัดได้ที่ไหนกันล่ะ แม้เขาจะไม่ค่อยเต็มใจนัก แต่ต้องฝืนใจเข้าไปหา จึงทำทีเหมือนว่ากำลังแต่งตัวหลากสีให้บุพการีบันเทิงใจ[1]ก็เท่านั้น !
เป็นอย่างที่คิด ทั้งสองผู้เฒ่าหัวเราะจนตัวโก่งตัวงอ นั่นกลับทำให้อาการเจ็บปวดทรมานลงไปได้ไม่น้อย นับว่าเป็นเรื่องดีที่เกิดจากเรื่องร้ายๆ
เหมยเหมยถือโอกาสที่หานซู่ฉินออกไปจากห้องครัว นำเอายาวิเศษที่เธอต้มเก็บไว้ทั้งคืนหยดใส่ในหม้อที่กำลังต้มน้ำชาอยู่จำนวนสามหยด เธอใช้น้ำแร่จากภูเขาทั้งหมดที่ได้มานั้นต้มน้ำชา ใบชาที่ใช้นั้นเป็นใบชาจากต้นชาโบราณใหญ่ยักษ์ต้นนั้น น้ำชามีสีเขียวสด ให้กลิ่นหอมละมุนปะทะเข้ากับจมูก ให้ความรู้สึกผ่อนคลายสบายใจ
………………………………………..
บทที่ 659 ชาที่ดี
เหมยเหมยยกโถน้ำชาเข้าไปยังห้องของสองผู้เฒ่า ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด ต้องให้ผู้เฒ่าทั้งสองดื่มตอนร้อนๆ และนั่นจะทำให้ประสิทธิภาพของยาออกฤทธิ์ได้อย่างเต็มที่
เมื่อคุณปู่และคุณย่าหัวเราะอย่างหนำใจ จึงหันมาถามจ้าวเสวียเอร่อว่าเกิดอะไรขึ้น จ้าวเสวียเอร่อเกิดความสับสนขึ้นภายในใจ เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบไปว่าอย่างไร เป็นจังหวะเดียวกับที่เหมยเหมยเดินเข้าห้องมา
“คุณปู่ คุณย่าหนูต้มชามาให้ทั้งคู่เลยค่ะ ต้องรีบดื่มตอนร้อนๆนะคะ”
เหมยเหมยเลือกเดินไปยังด้านหน้าของคุณปู่ เปิดฝาเคลือบของโถน้ำชาออก กลิ่นชาที่ปะทะจมูกได้ส่งกลิ่นหอมละมุนโชยไปทั่วทั้งห้อง ดับเอากลิ่นของยาที่เคยมีในห้องให้หายไปจนหมด
“นี่คือชาอะไร ? หอมมาก !”
คุณปู่รักในการดื่มชา แค่ได้ดมกลิ่นชาก็รู้ได้ว่าชาที่อยู่ในมือของหลานสาวตนต้องไม่ใช่ของธรรมดา เมื่อไม่กี่วันมานี้มีพ่อค้ารายใหญ่ให้ชาต้าหงเผา[2]กับเขามา กลิ่นที่ได้ยังไม่หอมเท่าชานี้เลย !
“คุณปู่ดื่มก่อนสิคะ ดื่มเสร็จหนูจะบอก !”
เหมยเหมยรินน้ำชาใส่จอกใบเล็ก สีเขียวสดของน้ำชาอยู่ในถ้วยเคลือบสีขาว เป็นดั่งหยกมรกตแท้ สีสันสดใส นอกจากจะทำให้รู้สึกผ่อนคลายสบายใจแล้ว ยังทำให้เจริญสายตา
“ชาที่ดี !”
คุณปู่สูดดมกลิ่นหอมอ่อนๆของชา แม้แต่ความเจ็บปวดบนร่างกายยังสามารถจางหายลดลงไปได้ไม่น้อย เขาคิดว่าสาเหตุเกิดจากการที่เขาได้เห็นชาดีๆ แต่เขาไม่รู้เลยว่านั่นเป็นเพราะประสิทธิภาพของยาสามหยดที่เหมยเหมยหยดลงไปเริ่มสำแดงฤทธิ์
รวมทั้งได้ชาป่าพันปีและน้ำแร่จากภูเขา ซึ่งนั่นทำให้ชำระล้างสิ่งสกปรกในร่างกายได้ สามสิ่งรวมกัน ทำให้เกิดประสิทธิภาพที่สมบูรณ์แบบ
คุณปู่ดื่มเข้าไปอึกเดียวจนหมดจอก ลิ้นฟันสัมผัสถึงความหอมละมุนของกลิ่นชาไม่จางหาย จอกเดียวไม่เพียงพอสำหรับเขา สายตาจับจ้องโถน้ำชาในมือเหมยเหมยด้วยสายตาเว้าวอน
“คุณปู่รอก่อนนะคะ หนูรินให้คุณย่าก่อนจอกหนึ่ง”
เหมยเหมยมุ่ยปากยิ้มขำ รินชาอีกจอกแล้วเดินไปอยู่ตรงหน้าคุณย่า เพียงแต่คุณย่าไม่ได้ชื่นชอบการดื่มชา และชาหอมๆที่หลานสาวต้มมาให้ กลับไม่สามารถดึงดูดรสสัมผัสของเธอได้เลย
“ทั้งหมดนี่ให้คุณปู่เถอะ ย่าไม่ชอบดื่มชา” คุณย่าส่ายหน้าปฏิเสธ
“คุณย่าดื่มเถอะค่ะ ชานี่หนูกับพี่สามออกแรงไปนานเป็นครึ่งวันกว่าจะได้มันมา และหนูก็ต้มมันเองกับมือด้วย คุณย่าดื่มเถอะนะ !”
พอเหมยเหมยออดอ้อน คุณย่าก็ไม่อาจจะปฏิเสธได้ จำต้องทนดื่มชานั่นเข้าไป แต่ก็ทำให้สัมผัสได้ถึงรสของชา
“ชาที่หลานสาวปู่ต้มมาให้ช่างหอมจริงๆ หวานละมุน ร่างกายปู่แทบไม่เจ็บปวดเลย ให้ย่าดื่มอีกสักจอกสิ !”
คุณย่าเองก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย อาการเจ็บปวดที่กระดูกไขข้อต่างๆลดลงไปไม่น้อย ไม่เหมือนแต่ก่อนที่เจ็บปวดจนแทบไม่อาจจะหายใจได้ แต่เธอก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพียงคิดเหมือนคุณปู่ ที่ว่าดื่มชาที่หลานสาวต้มให้เองกับมือ จึงเป็นเหตุให้อาการดีขึ้น
ทั้งสองผู้เฒ่าแบ่งปัน ปู่จอกหนึ่ง ย่าจอกหนึ่ง ผลัดกันดื่มจนชาหมดไปทั้งโถเคลือบนั่น และยังรู้สึกได้ชัดถึงความมีชีวิตชีวา แม้แต่คำพูดน้ำเสียงที่เปล่งออกมายังดีขึ้นมาก พยาบาลที่คอยดูแลสองผู้เฒ่าอยู่ประจำต่างนึกแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก
ทุกคนต่างคิดตรงกัน ว่าอาการของสองผู้เฒ่าดีขึ้นเป็นเพราะความกตัญญูของเหมยเหมย เมื่อกำลังใจดีร่างกายก็ดีขึ้นตามธรรมชาติ
“คุณปู่คุณย่าคะ ชาที่หนูต้มรสชาติดีใช่ไหม พรุ่งนี้หนูจะต้มให้ทั้งสองคนอีกนะคะ !”
เหมยเหมยยิ้มอย่างหวานเยิ้ม ดื่มต่ออีกแค่สองวัน ร่างกายของสองผู้เฒ่าก็จะดีขึ้นเอง ในปีต่อ ๆ ไป หากอยากมีอายุสั้นลงคงเป็นการยากเสียแล้ว !
“รสชาติดีมาก ชาที่เหมยเหมยต้มคือชาอะไรรึ ? ทำไมปู่ดื่มแล้วรู้สึกไม่เหมือนกับชาที่บ้านเลย !” คุณปู่ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เป็นชาที่หนูเก็บมาจากบนเขาค่ะ หนูคิดว่าชาต้นนั้นต้องมีฤทธิ์แน่ คุณปู่คุณย่าดื่มชาพวกนี้เข้าไป ร่างกายต้องดีขึ้นแน่นอน”
เหมยเหมยพูดไปพร้อมกับเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบเอาใบชาส่งให้กับคุณปู่ดู ใบชาเขียวสดราวมรกตวางอยู่บนฝ่ามือขาวๆของหลานสาว ช่างน่ามองยิ่งนัก
…………………………………………………….
[1] หมายถึงการกตัญญูรู้คุณต่อบุพการี ยุควสันตสารทมีชายแก่วัย70ปีผู้มีความกตัญญู เขาต้องการให้เหย้าหยอกให้บิดามารดายิ้มหัวเราะอย่างมีความสุข จึงได้สวมใส่เสื้อผ้าหลากหลายสีสันด้วยวัยที่ไม่เหมาะสมนัก
[2] หรือเรียกตั่วอั่งเพ้า มีถิ่นกำเนิดมาจากภูเขาอู่ซาน มณฑลฮกเกี๊ยน งอกเงยขึ้นตามผาชันราบเรียบที่มีเหลี่ยมผายื่นออกมาดุจขวาน
บทที่ 660 เกิดมาเสียชาติเกิด
คุณปู่บิดชาใบหนึ่งวางไว้ส่วนล่างตรงรูจมูกแล้วสูดดม ถามด้วยความตื่นเต้น “เหมยเหมยเก็บใบชานี้มาจากที่ไหน ?”
จากประสบการณ์การดื่มชามาครึ่งค่อนชีวิตของเขา รู้ได้ในทันทีว่าใบชาที่หลานสาวตนเก็บมานั้นเป็นชาที่มีคุณภาพสูง ไม่แปลกเลยที่เป็นเพียงแค่ใบชาสดแต่ต้มออกมาก็ให้รสกลิ่นที่ไม่อาจลืมเลือน !
เหมยเหมยพูดออกมาอย่างสบายใจ “ก็ที่ภูเขาซีซานไงคะ หนูกับพี่สามไปหาแหล่งน้ำดีๆที่นั่น ถือว่าโชคดีมากที่เจอกับชาต้นนี้ หนูเก็บมาเต็มกระเป๋าเลยล่ะ พร้อมทั้งตักน้ำมาอีกหนึ่งกระบอก ซึ่งคือน้ำนี่ คุณปู่ น้ำรสชาติดีใช่ไหมค่ะ ?”
คุณปู่ขมวดคิ้วแน่น ภูเขาซีซานมีชาดีๆ แบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน ?
อีกอย่างน้ำนี่ก็ดูเหมือนจะไม่ใช่น้ำที่มาจากภูเขาซีซานด้วย น้ำจากภูเขาซีซานจะมีความกระด้างเล็กน้อย รสชาติดีกว่าน้ำประปาอยู่บ้าง แต่ต่างจากน้ำที่หลานสาวใช้ต้มชาให้มาก
จากความคิดของเขาแล้ว ชาคุณภาพสูงแบบนี้ส่วนใหญ่มักจะเติบโตขึ้นในที่ที่พบเห็นได้น้อยตามภูเขาสูง อีกทั้งยังเป็นหน้าผาสูงชันที่แม้แต่สัตว์ป่าก็เข้าไปไม่ถึง มิเช่นนั้นใบชาคงไม่มีขนาดใหญ่เฉกเช่นนี้ และคงถูกสัตว์ป่าทำลายไปนานแล้ว
คุณปู่เหลือบมองสภาพน่าสงสารเวทนาของจ้าวเสวียเอร่อ ใจกระตุกในทันที จึงถามขึ้น “พวกเธอไปที่สันเขาเสือมาใช่หรือไม่ ?”
จ้าวเสวียเอร่อและเหมยเหมยส่ายหน้าพร้อมกัน “ไม่ค่ะ ไปที่ภูเขาซีซานมา สันเขาเสืออยู่ที่ไหนพวกเรายังไม่รู้เลย”
คุณปู่พูดขึ้นด้วยความโมโห “จากภูเขาซีซานทะลุเข้าไปก็เป็นสันเขาเสือแล้ว ตามตำนานเล่าว่าที่นั่นเคยมีเสืออยู่ด้วย แต่หลายปีมานี้ไม่พบเห็นแล้ว พวกเธอยอมรับมาซะดีๆ ว่าทะลุเข้าไปที่สันเขาเสือใช่ไหม ? ภูเขาซีซานไม่มีทางมีชาคุณภาพดีเช่นนี้แน่ !”
เหมยเหมยขยิบตาแล้วหันไปมองยังจ้าวเสวียเอร่อ “พี่สาม ทำไมพี่ไม่บอกว่าที่นั่นคือสันเขาเสือล่ะ !”
“ฉันเพิ่งรู้เป็นครั้งแรกว่าที่นั่นเรียกว่าสันเขาเสือ จะให้ฉันพูดอะไรกับเธอได้ล่ะ !”
จ้าวเสวียเอร่อที่ตกใจจนเหงื่อตก กลับจ้องเหมยเหมยอย่างไม่สบอารมณ์อีกครั้ง วันนี้ถือว่าเขาดวงดี ดีแค่ไหนที่ไม่เจอกับเสือ ไม่ได้การแล้ว ต่อไปต้องอยู่ให้ห่างจากน้องสาวไว้ ยัยเด็กบ้านี่ทั้งกล้าทั้งบ้าบิ่น เขาจะไม่ยอมช่วยยัยเด็กนี่ก่อเรื่องวุ่นวายอีก !
หานซู่ฉินนึกได้ในทันทีและถามขึ้น “เสวียเอร่อ เป็นเพราะลูกไปที่สันเขาเสือเลยมีสภาพน่าเวทนาเช่นนี้รึ ? ”
“ก็ใช่ไง !” จ้าวเสวียเอร่อกัดฟันแน่น
คุณย่าที่เห็นสภาพหลานสาวดูสะอาดสะอ้าน มีเพียงแค่ผมเผ้ายุ่งเหยิงเล็กน้อย จึงยกยิ้มอย่างชื่นชม “ลำบากเสวียเอร่อแล้ว แบกเหมยเหมยมาตลอดทางคงจะเหนื่อยไม่น้อยเลย รีบไปอาบน้ำอุ่นๆแล้วเข้านอนก็จะดีขึ้นเอง !”
คุณปู่เองก็มองหลานชายคนที่สามอย่างชื่นชม ชายชาตรีจะต้องเป็นเช่นนี้ จะลำบากหรือเหนื่อยหนาสาหัสเพียงไหน จำต้องปกป้องผู้หญิงในบ้าน มิเช่นนั้นก็ถือเป็นชายที่ไร้ซึ่งประโยชน์
เลือดใต้ฝ่าเท้าไหลเวียนทะลุไปยังหัว หวังแค่ให้ใต้ฝ่าเท้าจะมีรอยแตกแยก เขาจะได้มุดเข้าไปแล้วไม่ออกมาอีกเลย
หานซู่ฉินยกยิ้มและพูดขึ้น “ปกติแล้วเสวียเอร่อไม่ค่อยจะออกกำลังกายสักเท่าไหร่ ร่างกายถือว่าไม่แย่เลยนี่ สมกับที่เป็นลูกหลานในตระกูลจ้าวของเราเสียจริง !”
จ้าวเสวียเอร่อจากที่หน้าขึ้นสีแดงเปลี่ยนเป็นสีม่วง จากสีม่วงกลายเป็นซีดเขียว ก้มหัวงุดไปจนถึงหน้าท้อง ช่วงเอวก็ไม่อาจยืดตรงได้
เหมยเหมยได้ฟังกลับนึกขบขัน แต่กลับไม่ได้ทำลายความเข้าใจผิดของทุกคน มิเช่นนั้นพี่สามคงได้มุดหัวเข้าไปในกางเกง
คุณปู่มองเห็นความผิดปกติของจ้าวเสวียเอร่อ ถามขึ้นด้วยความสงสัย “เสวียเอร่อเป็นอะไร ?”
จ้าวเสวียเอร่อเงยหน้าขึ้นมองด้วยความอัปยศ พูดขึ้น “ผมไม่ได้แบกเหมยเหมย ขึ้นเขาลงเขาเธอเดินด้วยตัวเอง”
“แล้วสภาพแกตั้งแต่หัวจรดเท้าไปทำอิท่าไหน ?” คุณปู่ชี้ไปยังเสื้อผ้าตัวยาวที่ขาดหลุดลุ่ยของจ้าวเสวียเอร่อ
“ล้มครับ !” จ้าวเสวียเอร่อตอบตามความจริง
“ใบชานี้ใครเป็นคนเก็บ ?”
“เหมยเหมยเก็บ น้ำก็เป็นเหมเหมยที่ตัก”
คุณปู่ถอนหายใจฟิดฟัดไม่กี่ครั้ง เจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กได้[1] จึงตะโกนด่า “แกนี่มันใช้ไม่ได้จริงๆ แค่น้องสาวคนเดียวยังปกป้องไม่ได้ เกิดมาเสียชาติเกิดนัก !”
……………………………………………………
บทที่ 661 สงสัย
คุณปู่ต่อว่าจ้าวเสวียเอร่ออย่างเจ็บปวด ยิ่งด่าไฟโทสะยิ่งปะทุขึ้น นั่นยิ่งทำให้รู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น แต่อารมณ์โกรธกลับไม่ได้หายไป เขาลุกลงจากเตียงอย่างเคยชิน เดินตึงตังไปหยุดอยู่ตรงหน้าของจ้าวเสวียเอร่อ อยากจะลงมือสั่งสอนคนไร้ประโยชน์คนนี้ด้วยตัวเอง
จ้าวเสวียเอร่อตกใจจนต้องหลับตาปี๋ ตั้งแต่เล็กเขาไม่เคยถูกคุณปู่ตีมาก่อน เพราะเขาเรียนเก่งที่สุด ไม่เหมือนกับคนอื่นๆที่ถูกตีตั้งแต่เล็กยันโต นึกไม่ถึงเลยว่าโตขนาดนี้แล้วยังหนีไม่พ้น
แค่ชั่วขณะที่เขาลืมตาขึ้น กลับพูดอย่างดีใจ “คุณปู่ คุณปู่ลงจากเตียงได้แล้ว ?”
ในขณะนั้นฝ่ามือของคุณปู่อยู่ห่างจากใบหน้าของเขาไปเพียงแค่สามเซนติเมตร !
หานซู่ฉินก็ตะโกนขึ้นอย่างตกใจ “นั่นสิ พ่อคะ ขาของพ่อไม่เจ็บแล้ว ?”
คุณปู่ออกแรงสะบัดขา พร้อมกับยื่นแขนออกไป บ่นพึมพำกับตัวเอง “ไม่เจ็บเท่าก่อนหน้านั้นแล้ว แปลกมาก ทำไมจู่ๆถึงหายได้ล่ะ !”
คุณย่าที่อยู่บนเตียงก็ลองลุกลงจากเตียงบ้าง สะบัดแขนดูพลางๆ ยิ้มร่าพูดขึ้น “ฉันก็ไม่ปวดมากแล้ว ครั้งนี้อาการกำเริบเป็นระยะสั้นมากนะ”
ทั้งสองผู้เฒ่ารู้สึกเบิกบานใจกับสุขภาพดีขึ้น จนลืมที่จะให้บทเรียนกับหลานชาย จ้าวเสวียเอร่อถอนหายใจยาว ความละอายใจเมื่อครู่ก็มลายหายไปจนหมด
ทุกคนต่างมีข้อดีของตัวเอง อุดมคติของเขาคือการหาเงินให้มากพอถึงขั้นสิบปีก็ใช้ไม่หมด เขาไม่ใช่ทหาร จะเอาแรงกำลังไปใช้ทำอะไร !
แค่สมองใช้การได้ก็เพียงพอแล้ว !
คุณปู่รู้ดีว่าร่างกายมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่แค่อาการปวดที่ลดน้อยลง แต่ร่างกายยังเบาลงไปมาก แต่ในตอนนี้กลับรู้สึกปวดที่ช่วงท้องส่วนล่าง คุณย่าเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน ทั้งคู่จึงพากันตรงไปยังห้องน้ำ
ผ่านไปไม่นานทั้งคู่จึงเดินออกมา เห็นได้ชัดถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย นั่นเลยทำให้พวกเขาเกิดความสงสัย
“ที่บอกว่าชาช่วยล้างลำไส้ เป็นจริงไม่มีผิด แค่ดื่มชาเข้าไปไม่นานก็เกิดปฏิกิริยาให้เห็น ร่างกายก็รู้สึกเบาลงไปไม่น้อย หลานสาวปู่ช่างมีความกตัญญูรู้คุณนัก !”
คุณปู่พูดขึ้นอย่างชอบใจ ชื่นชมถึงความกตัญญูของเหมยเหมยไม่หยุด
หานซู่ฉินจึงถามขึ้นอย่างขำขัน “ความกตัญญูรู้คุณของเหมยเหมยเทียบได้กับยาวิเศษเสียแล้ว !”
“ก็ใช่ไง ชาที่เหมยเหมยต้มให้มีอิทธิฤทธิ์เสียยิ่งกว่ายาวิเศษ !” คุณย่าพูดเสริม
ตกเย็นจ้าวอิงสยงกลับมาถึงบ้าน เห็นพ่อแม่กลับมามีชีวิตชีวาเหมือนเมื่อก่อน รู้สึกดีใจไม่น้อย แต่เขาก็อดแปลกใจไม่ได้ ช่วงเช้าก่อนที่เขาจะออกบ้าน ท่าทีของทั้งสองผู้เฒ่าราวกับคนที่ใกล้จะหมดลมไปทุกที แต่เพียงชั่วข้ามคืนกลับดูมีชีวิตชีวาและดูกระฉับกระเฉงมาก !
ก่อนทานมื้อเย็นคุณตาได้ให้พยาบาลประจำตัวกลับไป เมื่อในบ้านไม่มีคนนอกอยู่แล้ว คุณปู่ถึงได้เริ่มพูด “เสวียเอร่อ เอ็งพูดเรื่องเหตุการณ์วันนี้ที่เกิดขึ้นบนภูเขาอีกครั้ง”
จ้าวเสวียเอร่อที่กลับมาอยู่ในท่าทีสง่าผ่าเผยดั่งบุรุษผู้สง่างาม ได้เริ่มบรรยายตั้งแต่เหตุการณ์ที่เจอแหล่งน้ำแร่และใบชาอย่างละเอียดอีกครั้ง และแน่นอนว่าเขาได้เล่าถึงความลำบากใจของตนที่เกิดขึ้น แต่กลับได้รับสายตาดูถูกเหยียดหยามจากทุกคนในครอบครัว
คุณย่าที่ได้รู้ว่าต้นชาโบราณเติบโตที่หน้าผาสูงชัน ตกใจจนต้องดึงเหมยเหมยเข้ามาโอบกอดไว้
“ยัยตัวแสบทำไมถึงได้ใจกล้าถึงเพียงนี้ ? หากพลัดตกลงไปจะทำเช่นไร ?”
“หนูไม่กลัวหรอก มีเชือกผูกไว้อยู่นี่คะ !” เหมยเหมยหัวเราะและพูดขึ้น
เธอไม่ได้นึกกลัวจริงๆ ต่อให้ต้องมองลงไปยังด้านล่างก็ไม่ได้รู้สึกเวียนหัว ไม่เหมือนกับจ้าวเสวียเอร่อที่เป็นโรคกลัวความสูง แม้แต่มองยังไม่กล้าลืมตามอง
เป็นอีกครั้งที่คุณปู่จ้องมองจ้าวเสวียเอร่ออย่างดูแคลน แม้แต่ความกล้าของเด็กสาวตัวน้อยๆยังเทียบไม่ได้ ช่างน่าอับอายเสียจริง ต่อไปนี้ต้องจัดทำแผนฝึกอบรมให้กับคนไม่เอาไหนซะแล้ว
จ้าวอิงสยงถามด้วยความสงสัย “หรือจะเป็นเพราะอิทธิฤทธิ์ของน้ำแร่จริง ? เหมยเหมยรู้ได้ไงว่าที่นั่นมีแหล่งน้ำดีๆ ?”
ทุกคนต่างหันมามองเหมยเหมยเป็นตาเดียว ด้วยความสงสัยที่ตรงกัน หากเป็นเพราะอิทธฺฤทธิ์ของน้ำจริง แล้วเหมยเหมยรู้ได้อย่างไรว่าใต้ภูเขาซีซานมีแหล่งน้ำนี่อยู่ อีกทั้งยังอยู่บนผาสูงชัน ?
เหมยเหมยยิ้มแย้ม พูดด้วยสีหน้าที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลง “หนูก็ไม่รู้ค่ะ ถึงอย่างไรก็ต้องเดินตรงไป พอเดินไปเรื่อยๆก็เจอกับแหล่งน้ำแล้ว”
………………………………………………..
[1] อุปมาถึงการไม่สบอารมณ์ต่อความไม่เอาถ่านของผู้ที่ตนหวังไว้
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น