หมอดูยอดอัจฉริยะ 638-647

 ตอนที่ 638 แบ่งผลประโยชน์ (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

สีหน้าของเยี่ยเทียนเต็มไปด้วยความสงสัย ตอนที่เห็นขอบตาดำเหมือนหมีแพนด้าของจู้เหวยเฟิง


“ไม่ได้นอนทั้งคืนใช่มั้ย?”


“อย่าเพิ่งพูดอะไรมาก กลับห้องนายกัน!”


จู้เหวยเฟิงมองซ้ายมองขวาเหมือนโจรและลากเยี่ยเทียนกลับไปห้องของเขา สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงคือต่งเซิงไห่รออยู่ในนั้นแล้วด้วย สีหน้าของเขาพอๆกับจู้เหวยเฟิงเต็มไปด้วยความเหน็ดเหนื่อยแต่มีความตื่นเต้นแฝงอยู่


“มีอะไรก็พูดได้แล้วมั้ง!”


เยี่ยเทียนเปิดประตูห้องและพาสองคนนั้นเข้าไป “คืนนี้มีแข่งอีก ไม่มีเวลามาพูดไร้สาระกับพวกคุณหรอกนะ พูดให้กระชับ พูดเสร็จก็ไปได้แล้ว!”


อย่ามองว่าเยี่ยเทียนดูใจเย็น แต่การแข่งขันในค่ำคืนนี้เขาก็รู้สึกกดดันเหมือนกัน


การแข่งขันหลายวันที่ผ่านมา ทำให้เห็นเต็มตาเกี่ยวกับความโหดเหี้ยมและการนองเลือดของมวยใต้ดิน อัตราการตายของทุก ๆ รอบการแข่งขันอยู่ที่ 100% เต็ม ๆ แม้ใจของเยี่ยเทียนจะนิ่งก็ตาม แต่มันก็ไม่อาจรับประกันได้ว่าเขาสามารถลงจากเวทีได้โดยไม่เป็นอะไรเลย


“เห้ เราสองคนเอาเงินมาให้นาย นายไม่รับน้ำใจกันหน่อยหรอ?”


จู้เหวยเฟิงได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนทั้งโกรธทั้งขำ พวกเขาเพิ่งพูดคุยกับฟรุสเสร็จ ยังไม่ทันเข้านอนก็รีบมาหาเยี่ยเทียน และไม่คิดว่าจะเจอสีหน้าเย็นชาของเขา


“ว่ามาเลย ฟรุสทำข้อตกลงกับพวกคุณยังไงบ้าง?” เยี่ยเทียนพูดด้วยความขี้เกียจ “อย่างอื่นผมไม่สน แต่อย่าลากผมเข้าไปในข้อแลกเปลี่ยนก็พอ ไม่เช่นนั้นอย่าหาผมไม่เตือน!”


พอพูดถึงตรงนี้ สองตาเยี่ยเทียนไม่จ้องแต่กลับหรี่ตาลง ตาที่หรี่ลงทำให้จู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่ยิ่งรู้สึกเย็นไปทั้งตัว เหมือนกับถูกสัตว์ป่าจ้องไว้ปานนั้น


เยี่ยเทียนเริ่มสะสมพลังจิตสังหารตั้งแต่เริ่มดูการแข่งขันมวยใต้ดิน จนถึงวันนี้พลังจิตสังหารมันพุ่งถึงจุดสูงสุดแล้ว แม้จะระบายออกมาแล้วเล็กน้อย แต่ก็ใช่ว่าจู้กับต่งสองคนนั้นจะรับได้


“พวกเรากล้าทำที่ไหนกัน เรื่องมันเป็นแบบนี้…..”


จู้เหวยเฟิงขนลุก และเล่าผลการเจรจาของพวกเขากับฟรุสทั้งหมด โดยเฉพาะตอนที่พูดถึงรายละเอียดเขาต้องหันกลับไปถามต่งเซิงไห่ เพราะกลัวว่าจะเล่าไม่ครบ


หลังจากฟรุสเชิญจู้เหวยเฟิงพบปะหน้า ประโยคแรกที่เสนอออกมา เขายอมมอบสนามมวยใต้ดินของประเทศไทยให้กับจู้เหวยเฟิง ซึ่งรวมถึงรายชื่อแขกพิเศษที่ชื่นชอบการดูมวยใต้ดินอีกด้วย


ฟรุสยังพูดถึงปัญหาของสนามมวยในประเทศไทยอีกว่า มวยใต้ดินของประเทศไทยเป็นกีฬาชนิดหนึ่งที่มีประชาชนร่วมพนันด้วย ฉะนั้นผลประโยชน์มหาศาลที่เกิดขึ้น 80% มาจากประชาชนทั่วไป เมื่อเทียบกับญี่ปุ่นที่มีเพียงพวกมหาเศรษฐีแล้ว ไม่มีความหมายอะไรเลย


และแทบจะเป็นไปไม่ได้ ถ้าจู้เหวยเฟิงอยากจัดการแข่งขันในประเทศไทยเหมือนกับฟรุส


จู้เหวยเฟิงไม่เพียงแต่ไม่มีเครือข่ายในประเทศไทยเหมือนกับฟรุส แม้แต่การจัดตั้งมวยใต้ดินที่ต้องใช้กำลังคน จะพึ่งพาแค่สนามมวยใต้ดินที่ไม่สมบูรณ์ของประเทศจีนก็ไม่สามารถดึงคนมาช่วยได้


หลังจากสอบถามต่งเซิงไห่เกี่ยวกับข้อเท็จจริง และทราบว่าสิ่งที่ฟรุสพูดเป็นความจริง จู้เหวยเฟิงก็อึ้งไปทีเดียว


แม้ว่าการรับสนามมวยของญี่ปุ่นมาดูแลจะง่ายกว่า แต่จู้เหวยเฟิงยังขาดคนดูแลจำนวนมาก ถ้าไม่มีบุคลากรระดับล่างที่มีประสบการณ์ ไม่ว่าเขาอยากจะรับสนามมวยแห่งไหนมาดูแลก็คงเป็นได้แค่การฝันกลางวัน


ต่งเซิงไห่มีประสบการณ์มวยใต้ดินมาหลายปี และมีบุคลากรที่มีประสบกาณ์มากมาย แต่ถ้าอยากจะรับช่วงต่อสนามมวยทั้งสองแห่ง เขามีใจช่วยแต่ว่ากำลังแรงมีไม่พอ และถ้าเยี่ยเทียนชนะแอนโทนี มาร์คัสอีกเขาก็ต้องส่งคนไปรับช่วงต่อเหมือนกัน ฉะนั้นเขาไม่สามารถให้ความช่วยเหลือกับจู้เหวยเฟิงได้จริง ๆ


ในสถานการณ์เช่นนี้ ฟรุสได้ชี้แจงเงื่อนไขของเขา นั่นก็คือเขาจะส่งมอบสนามมวยใต้ดินของประเทศไทยให้กับจู้เหวยเฟิงก่อน เพราะเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ผู้รับรองฝั่งเรือควีนอลิซาเบธรับทราบ และเป็นขั้นตอนที่ต้องทำตามอยู่แล้ว


หลังจากส่งมอบเสร็จสิ้น ฟรุสจะใช้เงิน 1000 ล้านซื้อหุ้นส่วน 80% ของสนามมวยประเทศไทยจากจู้เหวยเฟิง หุ้นส่วนอีก 20% เหลือไว้ให้จู้เหวยเฟิง แต่อำนาจการบริหารของสนามมวยใต้ดินต้องให้ฟรุสเป็นคนจัดการทั้งหมด


หลังจากพิจารณาข้อแลกเปลี่ยนเสร็จ จู้เหวยเฟิงเป็นอันว่าตกลงตามเงื่อนไขนั้น ถึงแม้ตลาดของไทยจะดีแต่สิ่งที่เขามีนั้นยังไม่เพียงพอต่อการบริหารจัดการ หากขายหุ้นได้พันล้านดอลล่าร์ แล้วยังมีหุ้นเหลืออีก 20% จู้เหวยเฟิงรู้สึกพึงพอใจแล้ว


หลังจากทำข้อตกลงสนามมวยของประเทศไทยเสร็จ ฟรุสได้เปลี่ยนหัวข้อการสนทนาไปที่สนามมวยญี่ปุ่น เขายื่นข้อเสนอ 600ล้านดอลล่าร์เงินสดซื้อหุ่นส่วน 40% ขณะเดียวกันเขาจะส่งผู้ช่วยที่เก่งที่สุดให้กับจู้เหวยเฟิงเพื่อดูแลจัดการเกี่ยวกับองค์กรสนามมวยใต้ดินในประเทศญี่ปุ่นให้


ตลาดมวยใต้ดินในญี่ปุ่นไม่ได้รับความนิยมเท่าประเทศไทย แต่ญี่ปุ่นมีคนรวยระดับสูงจำนวนมากมีส่วนแบ่งมหาศาลในแต่ละปีเมื่อเทียบกับประเทศไทย เมื่อเจอจู้เหวยเฟิงที่เป็นมือใหม่ ฟรุสจึงสนใจตลาดญี่ปุ่นมากเป็นพิเศษ


หลังจากได้ยินแผนการซื้อควบของฟรุสเสร็จ ต่งเซิงไห่ก็อดใจไม่ไหว ถ้าจะบอกว่าประเทศไทยมีฟรุสเป็นเจ้าถิ่น มันยากเกินกว่าที่เขาจะแทรกเข้าไป แต่เนื้อก้อนใหญ่อย่างญี่ปุ่น ยังไงแล้วต่งเซิงไห่ก็อยากจะขอมีส่วนร่วมด้วย


เขาจึงเสนอเงิน 600ล้าน เพื่อซื้อหุ้นส่วน 40%เหมือนกัน ส่วนบุคลากรชั้นดูแลจัดการ เขาส่งคนไปได้เช่นกัน


ท่าทีของสองคนนั้นทำให้จู้เหวยเฟิงทำอะไรไม่ถูก ของประเทศไทยเขาสามารถปล่อยไปได้ แต่ถ้าเป็นญี่ปุ่น จู้เหวยเฟิงคิดว่ายังไงก็ต้องอยู่ในกำมือของเขา เพราะไม่มีสิ่งไหนสามารถบรรเทาความเกลียดคนญี่ปุ่นได้นอกจากการหากำไรจากพวกนั้นแล้ว


หลังปรึกษาหารือกันเสร็จ จู้เหวยเฟิงยอมให้ฟรุสและต่งเซิงไห่เอาเงินออกมาคนละ 400ล้านดอลล่าร์ ถือหุ้นส่วนของสนามมวยญี่ปุ่นคนละ 24% และคนดูแลจะมีทั้งคนของต่งเซิงไห่ และ ฟรุส


ส่วนจู้เหวยเฟิงไม่ต้องออกเงินเลย หลังจากที่ขายหุ้นไปได้ 48% เขายังมีหุ้นส่วนในสนามมวยญี่ปุ่นอีก 52% ถือว่ามีสิทธิ์ตัดสินเด็ดขาดในสนามมวยใต้ดินญี่ปุ่น


หลังจากตกลงรายละเอียดต่าง ๆ เสร็จเรียบร้อย สุดท้ายจู้เหวยเฟิง ฟรุสและต่งเซิงไห่ก็ลงนามพร้อมกันในเอกสารสัญญาฉบับร่าง เห็นได้ว่าเป็นเป็นการกระจายผลประโยชน์โดยที่ทั้งสามฝ่ายเป็นผู้ชนะ


แม้ว่าฟรุสจะจ่ายเงิน 1400 ล้านดอลล่าร์ออกไป แต่เขาได้สนามมวยใต้ดินของประเทศไทยกลับมา นอกจากนี้ยังเป็นหุ้นส่วนในองค์กรสนามมวยใต้ดินของญี่ปุ่นด้วย พันกว่าล้านที่เสียไปเขาใช้เวลาเพียงสองปีก็เอากลับมาได้แล้ว ซึ่งคุ้มค่ากว่าการมอบสนามมวยของไทยให้กับจู้เหวยเฟิง


สำหรับต่งเซิงไห่เป็นแค่ผลพลอยได้ เขาใช้เงิน 400ล้าน ซื้อสนามมวยที่มีชื่อเสียงมากในเอเชียอย่างญี่ปุ่นมาได้ ไม่ต้องคิดเลยว่ามันคุ้มค่าแค่ไหน


ถ้าเยี่ยเทียนชนะแอนโทนี มาร์คัสอีก ต่งเซิงไห่ยังสามารถรวบรวมองค์กรมวยใต้ดินประเทศมาลาเซียกับอินโดนีเซียมาได้อีก และเขาจะกลายเป็นผู้บริหารมวยใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในแถบเอเชีย ถึงแม้จะเทียบกับฟรุสไม่ได้แต่ก็ไม่ได้ดูด้อยกว่า


จู้เหวยเฟิงต่างหากที่เป็นผู้ชนะที่ใหญ่ที่สุดในครั้งนี้ ยังไม่รวม 1800 ล้านที่กำลังจะจ่ายโดยฟรุสกับต่งเซิงไห่ เท่ากับว่าเขาใช้วิธีแบ่งหุ้นส่วนของมวยใต้ดินในประเทศไทยออกมา เพื่อให้องค์กรมวยใต้ดินญี่ปุ่นอยู่ในกำมือ


จะรู้ว่าชาวจีนรู้มีวิธีการสร้างสมดุลที่ดีที่สุด ส่วนญี่ปุ่นเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์โดยบุคคลที่สาม ฉะนั้นต่งเซิงไห่และ ฟรุสไม่ต้องคิดเลยว่าจะมีสิทธิมีเสียงในองค์กรมวยใต้ดินญี่ปุ่น ถึงเวลานั้นจู้เหวยเฟิงในฐานะผู้ถือหุ้นรายใหญ่จะทำได้โดยธรรมชาติ


และยังสามารถใช้องค์กรมวยใต้ดินในประเทศไทยและญี่ปุ่นขับเคลื่อนสนามมวยใต้ดินที่ด้อยพัฒนาในประเทศจีนอีก ตราบใดที่มีเวลาในการพัฒนาสี่ถึงห้าปี จู้เหวยเฟิงเชื่อว่าเขาจะทำให้มวยใต้ดินของจีนมีตำแหน่งในองค์กรมวยใต้ดินของโลกได้อย่างแน่นอน


“ตกลงกันเรียบร้อยก็ดีแล้ว แล้วมาหาผมทำไม เอาเถอะ จะทำอะไรก็ไปทำเถอะ!”


เยี่ยเทียนไม่สนใจการแบ่งผลประโยชน์ของจู้เหวยเฟิงและคนอื่น ๆ เท่าไหร่ ตอนนี้เขามุ่งมั่นอย่างเต็มที่กับการแข่งขันที่จะจัดขึ้นในคืนนี้ สำหรับเยี่ยเทียนหากเขาสามารถเข้าใจการต่อสู้แห่งความเป็นและความตายจากการแข่งขันครั้งนี้ได้ กำไรที่เขาได้มันมากกว่าผู้ชายสองคนที่มีแต่เรื่องเงินในสมอง


“อย่าทำแบบนี้สิเยี่ยเทียน ฉันรู้ว่านายไม่ชอบเรื่องพวกนี้ แต่อะไรที่เป็นของนาย มันก็ต้องเป็นของนาย!”


จู้เหวยเฟิงหยิบข้อตกลงฉบับร่างที่พวกเขาเซ็นด้วยกันเมื่อคืนจากกระเป๋าออกมา “เยี่ยเทียน ของพวกนี้เก็บไว้ที่นายเมื่อเงินของพวกเขาเข้าแล้วรวมถึงเงินสด 1800 ล้านดอลลาร์ที่ฉันได้รับทั้งหมดจะเป็นของนาย!”


“ตกลง งั้นก็เอาไว้ที่ผมเลย”


เยี่ยเทียนตอบอย่างเหม่อลอย ทันใดนั้นสายตาของเขาก็นิ่งขึ้นและเขาก็เงยหน้าขึ้นและถามว่า “พูดว่าอะไรนะ เงินสดทั้งหมดในข้อตกลงของพวกคุณและเงินเดิมพันทั้งหมด ให้ผมหมดเลยงั้นเหรอ?“


เงินที่ได้จากการแลกเปลี่ยนสัญญาไตรภาคีของจู้เหวยเฟิงเพียงอย่างเดียวสูงถึง 1800 ล้านดอลลาร์และเดิมพันที่ได้รับจากเรือสำราญควีนอลิซาเบธอีก 1800 ล้านดอลลาร์ รวมกันแล้วเป็นเงินก้อนใหญ่ที่มากถึง 3600 ล้านดอลลาร์


และเงิน 50 ล้านดอลลาร์ที่เยี่ยเทียนเดิมพันกับอันเดรวิช กลายเป็น 900 ล้านในพริบตา ตามกฎของเรือสำราญควีน อลิซาเบธแล้ว เงินจำนวนนี้สามารถโอนเข้าบัญชีของเยี่ยเทียนตามที่กำหนดภายในเช้าวันนี้เลย


หรือพูดอีกอย่างหนึ่ง ขณะนี้เยี่ยเทียนมีเงินมูลค่าสุทธิ 4500ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งเป็นเงินจำนวนมหาศาล แม้ว่าจะอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลกที่เป็นชาวจีนก็ตาม แต่ว่าคนอย่างถังเหวินหย่วนเองตอนนี้ก็ด้อยกว่าเยี่ยเทียนแล้ว


สิ่งนี้ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกตื่นเต้นเหมือนกัน เมื่อก่อนเขาต้องเงยหน้าชื่นชมผู้ร่ำรวยบนเกาะฮ่องกง แต่ตอนนี้เขาก็มีความเท่าเทียมกับคนเหล่านั้นในด้านทรัพย์สินแล้ว


“เรื่องพวกนี้ รอผมแข่งเสร็จค่อยว่ากันอีกที ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นเหมือนมีชีวิตหาเงินแต่ไม่มีชีวิตใช้เงิน!”


คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้จู้เหวยเฟิงอึ้งไปทีเดียว พวกเขาลืมไปได้ยังไงว่าเยี่ยเทียนมีการแข่งขันที่มีความเป็นความตายในค่ำคืนนี้!


ตอนที่ 639 ปีศาจนรก

โดย

Ink Stone_Fantasy

ถ้าเยี่ยเทียนชนะ ทุกอย่างจะง่ายขึ้น และข้อตกลงที่สามคนนี้เซ็นต์มาก็สามารถดำเนินต่อไปได้


แต่ถ้าเยี่ยเทียนแพ้ จู้เหวยเฟิงต้องมอบอำนาจการบริหารสนามมวยใต้ดินในประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่นให้กับ    ต่งเซิงไห่ ถือเป็นค่าตอบแทนที่ให้อันเดรวิชขึ้นต่อสู้ และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมาก ถ้าหากเยี่ยเทียนแพ้ชีวิตของพวกเขาก็จบลงด้วยเช่นกัน


สำหรับจู้เหวยเฟิงนี่คือภัยพิบัติอย่างหนึ่ง อย่าว่าแต่คนในตระกูลซ่งจะไม่วางมือ แม้แต่ซ่งเหวยหลันเองเขาก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายให้เธอฟังยังไง เพราะเวลาที่ผู้หญิงระแวงขึ้นมันน่ากลัวมาก


ถ้าเยี่ยเทียนตายระหว่างการแข่งขันจริง ๆ ชีวิตต่อจากนี้ของต่งเซิงไห่ก็ไม่คงไม่ดีเหมือนกัน เพราะว่าเยี่ยเทียนมีลำดับอาวุโสเป็นหัวหน้าใหญ่ในสมาคมหงเหมิน ถ้าเขาตายจากการมาช่วยเขาจริง ๆ หัวหน้าคนต่อไปอย่างตู้เฟยที่มีความสัมพันธ์อันดีกับเยี่ยเทียน ก็คงไม่ปล่อยเขาไปแน่ ๆ


“ท่านเยี่ย คุณอย่าล้อเล่นสิ อย่างอื่นค่อยว่ากัน ขอแค่คุณมีพลังเหมือนอันเดรวิชตอนนั้น อย่าว่าแต่แอนโทนี มาร์คัสเลย ถังหลงและเวยเหลียนหวังกลับชาติมาเกิดและร่วมมือกันก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคุณอยู่ดี คุณว่าจริงมั้ยล่ะ?”


คำที่เยี่ยเทียนพูดออกมาทั้งหมดทำให้จู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่สูญเสียรอยยิ้มไปหมดแล้ว จนถึงเวลานี้พวกเขาเพิ่งตระหนักได้ว่า คนหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเป็นผู้ที่ตัดสินชนะและแพ้ต่างหาก สิ่งที่พวกเขาทำเอาไว้ก่อนหน้านี้ อาจจะเร็วเกินไปด้วยซ้ำ


เวยเหลียนหวังที่ต่งเซิงไห่พูดถึงเป็นคนจีน เขาเป็นหนึ่งในสามคนของวงการมวยใต้ดินที่สามารถออกจากวงการด้วยสถิติและสภาพที่สมบูรณ์ที่สุด และเสียชีวิตในปี1995 มีอายุถึง 60 ปี ถือว่าเป็นนักชกที่จากไปด้วยดีคนหนึ่ง


เวยเหลียนหวังเคยขึ้นต่อสู้มาแล้ว 433 ครั้ง สถิติชนะทั้ง 433 ครั้ง ใน 352 ครั้งเขาฆ่าคู่ต่อสู้กลางสนาม ไม่ว่าจะเป็นสถิติหรือจำนวนครั้งเขาก็เป็นนักชกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มวยใต้ดินได้อย่างไม่ต้องสงสัย และสิ่งที่ต่งเซิงไห่พูดออกมา มันคือการเยินยอเยี่ยเทียน


 “แบบอันเดรวิช? พวกคุณมีใครใช้วิชาเข็มทองทะลุจุดเลือดลมเป็นบ้างล่ะ? ”


เยี่ยเทียนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะออกมา และหัวเราะอย่างไม่เกรงใจ ถ้าศิษย์พี่ใหญ่อยู่ตรงนี้บางทีอาจจะใช้วิธีนั้นช่วยเขาได้ แต่ตอนนี้เยี่ยเทียนไม่กล้าทำอะไรกับท้ายทอยของตัวเองหรอก เพราะถ้าผิดพลาดนิดเดียวเขาอาจตายได้ในทันที


“ท่านเยี่ย งั้น…. งั้นทำยังไงกันดี? แอนโทนี มาร์คัสไม่ใช่คู่ต่อที่จัดการได้ง่ายเลยนะ!”


เดิมทีคิดว่าเยี่ยเทียนสามารถใช้วิธีแบบอันเดรวิชได้ ดังนั้นต่งเซิงไห่มั่นใจว่าเทียนจะเอาชนะแอนโทนี มาร์คัสได้ แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดออกมา ในสมองของเขาก็มีแต่ภาพอันโหดเหี้ยมของแอนโทนี มาร์คัสลอยขึ้นมา


ในฐานะนักชกอินโดนีเซียที่ผงาดขึ้นมาในช่วงสิบปีที่ผ่านมา แอนโทนี มาร์คัสแสดงให้เห็นถึงการมีอำนาจเหนือกว่าแม้ว่าเขาจะเข้าร่วมการแข่งขันอย่างเป็นทางการเพียง 167 ครั้ง แต่เป็นสถิติการชนะที่สมบูรณ์ทั้งหมด และ 166 ครั้งคู่ต่อสู้ของเขาเสียชีวิตในสนามทันที


ในทศวรรษที่ผ่านมาแอนโทนี มาร์คัสยังเข้าร่วมการแข่งขันชกมวยในสนามมวยใต้ดินที่ไม่เป็นทางการมากกว่า 300 ครั้ง ในหลาย ๆ รอบการแข่งขันเขาต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ทีเดียวหลายคน มากที่สุดหกคนซึ่งทุกคนถือแท่งเหล็กเอาไว้ ในเกมนั้นแอนโทนี มาร์คัสจัดการทั้งหกคนจนตายในสนาม และได้รับสมญานามว่า “ปีศาจนรก” และ “ปีศาจสังหาร” รวมทั้งชื่ออื่น ๆ อีกมากมาย!


พูดได้ว่าในเวทีมวยใต้ดินปัจจุบัน เมื่อใดที่แอนโทนี มาร์คัสปรากฏตัว นักชกที่เป็นคู่ต่อสู้ทุกคนจะต้องรู้สึกสั่นสะทาน แม้กระทั่งผู้ที่ร่ำรวยมหาศาลที่เคยเห็นการแข่งขันของแอนโทนี มาร์คัส เวลาเห็นด้านหลังของเขาก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น


“เหล่าต่ง รู้ก็ดีแล้วล่ะ อย่าเอาเรื่องพวกนั้นมารบกวนผมอีกเลยนะ”


เยี่ยเทียนเห็นสภาพของต่งเซิงไห่ จึงทำได้เพียงส่ายหัวและพูดกับเขาว่า “พวกคุณออกไปเถอะ มาเรียกผมอีกทีมื้อเย็น ผมต้องการอยู่อย่างสงบสักครู่!”


พลังการโจมตีในมวยใต้ดินเกินความคาดหมายของเยี่ยเทียนไปเยอะ ถึงแม้เขาเป็นผู้ฝึกฝน แต่ถ้าจุดสำคัญของเขาโดนเตะจากขาที่มีกำลังเป็นพันกิโล ตอนจบก็คงตายคาที่เช่นกัน  ฉะนั้นเยี่ยเทียนไม่กล้าละเลยแม้แต่น้อย เขาจะต้องปรับสภาพจิตของเขาให้อยู่ในสภาพที่ดีที่สุด เพื่อต้อนรับการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้นในค่ำคืนนี้


จู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่รับรู้ถึงความสำคัญในค่ำคืนนี้แล้วเหมือนกัน จึงไม่กล้าพูดอะไรต่อ เดินออกจากห้องของเยี่ยเทียนไปทันที


จนถึงเวลาหนึ่งทุ่ม เยี่ยเทียนเดินออกจากห้องนอน และเจอกับจู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่ที่เฝ้าอยู่หน้าห้องมาหลายชั่วโมง ทั้งสามคนลงไปที่ร้านอาหารและหาอะไรกินด้วยกัน


เยี่ยเทียนกินไม่เยอะแค่ผลไม้และอาหารที่พลังงานสูงเพื่อเสริมสร้างกำลังภายในร่างกาย ก่อนจะเริ่มการแข่งขัน ถ้ากินอิ่มเกินไปมีผลทำให้การเคลื่อนไหวของร่างกายนั้นช้าลงได้ ฉะนั้นนักชกต่าง ๆ นอกจากฉีดอาหารเสริมเข้าร่างกายกับดื่มน้ำแล้ว ในหนึ่งวันนั้นพวกเขาจะไม่กินอาหารใด ๆ เลย


จนถึงเวลาสองทุ่ม เยี่ยเทียนกับจู้เหวยเฟิงและคนอื่น ๆ ต่างก็เข้าไปยังสนามมวยใต้ดินของเรือสำราญควีนอลิซาเบธ สนามที่ใช้ในวันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อวันก่อน สนามแห่งนี้ตั้งอยู่ที่ชั้นใต้ดินชั้นที่ 4 ของเรือสำราญ เป็นสนามที่มีพื้นที่ไม่ใหญ่แต่ปิดล้อมไว้ดีมาก


ส่วนเวทีมวยไม่ได้ถูกล้อมด้วยเชือก แต่ได้กลายเป็นรั้วเหล็กที่มีขนาดเท่ากับเวทีมาตรฐานทั่วไป และสิ่งที่เวทีแห่งนี้จะสื่อก็คือถ้าไม่ตายก็ไม่มีวันจบ มีเพียงหนึ่งคนเท่านั้นที่จะมีชีวิตรอดออกมาได้


นี่เป็นลูกเล่นที่คลีเมตสันคิดขึ้นมา ในวันนี้จะมีคนที่ฐานะเหมือนเขาขึ้นมาสู้กันภายในรั้วเหล็กแห่งนี้ การถูกแทนที่ที่หวาดเสียวถึงที่สุดเช่นนี้ เชื่อว่าเลือดของพวกเศรษฐีที่อยู่ในสนามต้องพลุ่งพล่านขึ้นอย่างแน่นอน


คลีเมตสันมีจุดประสงค์อย่างอื่นด้วย นั่นก็คือป้องกันไม่ให้คนในสนามหยาบคายต่อเยี่ยเทียน จะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากสำหรับเรือสำราญควีนอลิซาเบธพอสมควร หากเยี่ยเทียนจัดการพวกเขา แม้พวกเขาจะเซ็นสัญญาแห่งความตายแล้วก็ตาม


เมื่อมีรั้วเหล็กเพื่อชะลอการเกิดเรื่อง ถึงเวลานั้นเพื่อป้องกันไม่ให้แขกพิเศษได้รับผลกระทบใด ๆ บนเรือสำราญ พวกเขาสามารถใช้เวลาที่สั้นที่สุดและสั่งให้แขกที่ต่อว่าผู้อื่นออกไปได้


หลังจากเยี่ยเทียนและคนอื่น ๆ นั่งลง แขกอื่น ๆ ก็เริ่มเข้าสู่สนาม รวมถึงห้องพิเศษแล้วสามารถบรรจุคนได้ถึง 280 คน และในเวลาสั้น ๆ เพียง 10 นาที ที่นั่งก็เต็มหมด


“คนที่ไม่กลัวตายมีเยอะจริง ๆ ?”


การที่เยี่ยเทียนมีสถานะเป็นแขกพิเศษและนักชกคู่กัน จึงไม่จำเป็นต้องนั่งอยู่ในห้องเก็บตัว


เมื่อมองดูชายหญิงที่เข้ามาในสนาม เยี่ยเทียนมีสีหน้าเยาะเย้ยออกมา คิดว่ารั้วเหล็กนั่นสามารถกั้นเขาไว้ได้จริง ๆ เหรอ ? ถ้าคนในสนามกล้าพูดจาดูถูกเขาจริง ๆ เยี่ยเทียนจะทำให้คลีเมตสันอึ้งจนพูดไม่ออก


บนโลกนี้ ไม่ว่าผู้ประสบความสำเร็จจะอยู่ในอาชีพอะไร ทุกคนล้วนต้องมีความหวาดระแวงและความบ้าคลั่งอยู่ในตัว ในเวลานี้เยี่ยเทียนกำลังจะเป็นแบบนั้น และเพื่อให้ตัวเองสามารถอยู่ในลัทธิเต๋าได้ยาวนานขึ้น เขาจึงยอมใช้ชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน


ในเมื่อชีวิตของตนยังสามารถทิ้งได้ แล้วนับประสาอะไรกับชีวิตของผู้อื่นล่ะ เวลานี้เขาไม่ต่างจากนักชกคนอื่น ๆ ภายในใจมีแต่สัญชาตญาณเหมือนสัตว์ป่า และความต้องการฉีกเหยื่อออกเป็นชิ้น ๆ เท่านั้น


“แขกผู้มีเกียรติทุกท่าน ผมเชื่อว่าทุกคนอาจจะกลัวอยู่บ้างใช่มั้ย?”


ในเวลาสามทุ่ม คลีเมตสันปรากฏตัวในรั้วเหล็กนั้นอย่างตรงเวลา  และใช้น้ำเสียงเยาะเย้ยพูดว่า “กล้าเซ็นสัญญาแห่งความตาย เพื่อชมการแข่งขันของปีศาจนรกแอนโทนี มาร์คัส ผมนับถือความกล้าของทุกคนจริง ๆ เอาล่ะครับ ขอให้พวกเราเข้าใจข้อมูลและอัตราต่อรองของทั้งสองฝ่ายก่อน”


แม้สิบสองชั่วโมงก่อนหน้านี้ คลีเมตสันรู้ชื่อทั้งสองฝ่ายอยู่แล้ว แต่ต้องประกาศต่อหน้าผู้ชมในเวลานี้เท่านั้น


เมื่อจอฉายภาพขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงกลางสนามสว่างขึ้น บุคคลที่มีความสูงประมาณ 1.8 เมตรผิวสีเข้มและใบหน้าผสมเอเชียและยุโรปก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เป็นนักมวยที่สูงกว่าเขา


ภาพบนหน้าจอเล่นผ่านไปเพียงสิบวินาทีเท่านั้น นักมวยร่างสูงที่อยู่ข้างหน้าแอนโทนี มาร์คัส ก็ล้มลงต่อหน้าและไม่ลุกขึ้นอีกเลย


ทันทีที่ภาพหมุน แอนโทนี มาร์คัสกำลังเตะหัวคู่ต่อสู้ของเขาอย่างเมามันจนสมองหลุดออกมา ภาพดังกล่าวปรากฏขึ้นหลายสิบครั้งติดต่อกัน เทคนิคการโจมตีที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพของแอนโทนี มาร์คัสแสดงให้เห็นความงามของความรุนแรงขั้นสูงสุดออกมา


แม้ว่าคนร่ำรวยระดับสูงในปัจจุบันจะรู้ว่านี่เป็นเพียงข้อมูลวิดีโอ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะส่งเสียงโห่ร้องออกมา แอนโทนี มาร์คัส ยกระดับการสังหารขึ้นมาเป็นเทคนิคชนิดหนึ่ง แค่เปลี่ยนจากหมีสีน้ำตาลที่ถูกฆ่าด้วยมือเปล่า เปลี่ยนเป็นคนเป็น ๆ ก็เท่านั้นเอง


ประสบการณ์รุนแรงแบบนี้เป็นสิ่งที่หลาย ๆ คนไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต เมื่อมองไปที่ฉากการฆ่าเหล่านี้ผู้ชมจำนวนมากรู้สึกเพียงว่าฮอร์โมนถูกหลั่งเร็วขึ้น แต่ละคนก็เหมือนคนคอแห้งกระหายน้ำ ที่ต้องการให้การแข่งขันเริ่มทันที


“นี่คือนักมวยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกในช่วงสิบปีที่ผ่านมา … แอนโทนี มาร์คัส ใช่ มันยิ่งใหญ่ที่สุด ไม่มีใครเทียบกับเขาได้ ไทสัน โฮลีฟิลด์เมื่อเทียบกับเขาก็เป็นแค่ขยะ มาร์คัสสามารถเตะน้ำในสมองของพวกเขาออกมาได้ทั้งหมด!”


ภาพของแอนโทนี มาร์คัสเล่นเป็นเวลาห้าหกนาที เมื่อโปรเจ็กเตอร์ถูกปิดลง คลีเมตสันก็ปรากฏตัวตรงกลางของรั้วเหล็กอีกครั้ง และใช้คำพูดยั่วยุทุกคนอยู่ตลอดเวลา


“คลีเมตสัน อย่าพูดไร้สาระอีกเลยดีกว่า นักมวยอีกคนคือใครกัน พวกเราต้องการดูข้อมูลของเขา แล้วก็อยากรู้อัตราต่อรองด้วย!”


ก่อนที่เสียงของคลีเมตสันจะสิ้นสุดลง เขาก็ถูกขัดจังหวะโดยคนในสนาม ตอนนี้พวกเขาอยากรู้ว่าใครกล้าท้าทาย แอนโทนี มาร์คัส และบุคคลนี้ไม่ได้เป็นนักสู้ในตลาดมวยใต้ดินอีกด้วย แต่เป็นคนชั้นสูงเฉกเช่นพวกเขา


ในสายตาของคนเหล่านี้ คนที่กำลังจะขึ้นต่อสู้ คงเป็นเพียงคนป่วยทางจิตที่มาฆ่าตัวตายบนเวทีมวยใต้ดินเท่านั้น


ตอนที่ 640 สงครามแห่งศตวรรษ (1)

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในโลกนี้มีคนรวยที่มีนิสัยใจคอแปลก ๆ อยู่ไม่น้อย บางทีเศรษฐีจากประเทศจีนที่คลีเมตสันกล่าวถึง อาจกำลังมองหาวิธีการตายที่แตกต่างจากคนทั่วไปก็เป็นได้


แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้วพวกเขาอยากรู้ตัวตนของเยี่ยเทียนมาก ฉะนั้นพวกเขาจึงเร่งคลีเมตสันเพื่อจะได้เห็นหน้าชายผู้กล้าต่อกรกับ “ปีศาจนรก” เร็ว ๆ


“ตกลง ลำดับต่อไปผมขอแนะนำนักชกคนต่อไป!”


ครั้งนี้คลีเมตสันไม่ลีลาอีกต่อไป มองไปที่เยี่ยเทียนและพูดว่า “เขานั่งข้าง ๆ พวกคุณนั่นแหละ ชื่อของเขาก็คือเยี่ยเทียนผู้มาจากประเทศจีนที่ลึกลับ


ตระกูลของเยี่ยเทียนเป็นตระกูลใหญ่ที่สืบทอดกันมาหลายร้อยปีในประเทศจีน และแม่ของเขาก็เป็นนักธุรกิจชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง ผมเชื่อว่าหลายคนเคยได้ยินชื่อคุณผู้หญิงซ่ง ดังนั้น คุณเยี่ย จึงเป็นลูกหลานเศรษฐีที่แท้จริง ! “


เหตุผลที่คลีเมตสันเน้นย้ำตัวตนของเยี่ยเทียน เป็นเพราะชาวต่างชาติยอมรับในสิ่งนี้ คนรวยในต่างประเทศมีมากมาย มีเงินก็จริงแต่ก็ต้องมีตำแหน่งด้วย เพราะนี่เป็นวิธีเดียวที่จะแสดงความแตกต่างออกมาอย่างชัดเจน และมันก็เป็นเหตุผลหลักว่าทำไมตำแหน่งของเศรษฐีในประเทศต่าง ๆ จึงมีค่ามาก


“ที่แท้เป็นลูกชายของคุณผู้หญิงซ่งนั่นเอง อายุยังไม่เยอะเท่าไหร่ใช่มั้ย?”


“พระเจ้า คุณผู้หญิงคนสวยซ่งมีลูกชายแล้วเหรอ? ใจสลาย”


“ลูกชายของคุณซ่งป่วยหรือเปล่า ทำไมมาฆ่าตัวตายที่นี่?”


ถ้าจะพูดถึงชื่อเสียงของซ่งเวยหลันในแวดวงธุรกิจอเมริกันแล้วนั้น เธอมีชื่อเสียงมาก ในบรรดาคนร่ำรวยระดับสูงจากทั่วทุกมุมโลกที่มาในวันนี้ มีจำนวนมากกว่าครึ่งที่เคยได้ยินชื่อของเธอและรู้จักเธอ แถมยังเคยทำธุรกิจร่วมกันด้วย


หากไม่ใช่เพราะในสนามปิดกั้นสัญญาณโทรศัพท์มือถือ ไม่แน่ อาจมีหลายคนที่เป็นเพื่อนกับซ่งเวยหลันจะหยิบโทรศัพท์ออกมาเพื่อแจ้งแม่ของเยี่ยเทียน เพราะพวกเขาไม่อยากให้ลูกของเพื่อนฆ่าตัวตายที่นี่โดยไม่ทำอะไรหรอกมั้ง?


ตามเสียงของคลีเมตสัน ลำแสงที่สว่างจ้าพุ่งตรงไปยังที่นั่งวีไอพี ที่เยี่ยเทียนที่สวมชุดฝึกออกกำลังผ่ากลางสีขาวค่อยๆลุกขึ้นจากที่นั่ง แสงที่ส่องมาเต็ม ๆ ทำให้เขาต้องหลับตาเล็กน้อย


“คนนี้ไม่เหมือนคนบ้านี่?”


“นั่นสิ เหมือนคนหนุ่มที่มีสติดีมาก ทำไมถึงคิดฆ่าตัวตายล่ะ?”


“พวกคุณเดาว่าเขาเป็นถังหลงคนที่สองไม่ได้เหรอ? ต้องรู้นะว่าปีที่ผมเจอถังหลง เขาอายุมากกว่าคนหนุ่มคนนี้ไม่เท่าไหร่!”


หลังจากได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเยี่ยเทียน เวทีชกมวยก็เดือดพล่านขึ้นมาทันที ความหนุ่มของเยี่ยเทียนเกินความคาดหมายของหลาย ๆ คน และรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาของเขาก็ไม่เหมือนคนเป็นโรคประสาท พวกมหาเศรษฐีเหล่านี้จึงรู้สึกสับสนไปหมด


แสงสว่างส่องไปที่เยี่ยเทียนเพียงครู่เดียวแล้วดัลลงไป จากนั้นเสียงก็ดังขึ้นในความมืด “คลีเมตสัน ในเมื่อเป็นมวยพนันพวกเราอยากรู้ว่าอัตราการต่อรองครั้งนี้เป็นอย่างไร?”


คนที่พูดอยู่คือราชายางรถยนตร์ ยักษ์ใหญ่ของทวีปอเมริกา เขาเสียเงินไป 1800 ล้านเหรียญสหรัฐในการแข่งขันระหว่าง อันเดรวิชกับครากุลเมื่อวานนี้ วันนี้เขาอดกลั้นเอาไว้และต้องการที่จะชนะให้ได้ ฉะนั้นเขาไม่สนใจว่าเยี่ยเทียนคือใคร


“เยี่ยเทียนชนะ อัตราต่อรอง 1 ต่อ 5 แอนโทนี มาร์คัสชนะ อันตราต่อรอง 1 ต่อ 0.8 ตามข้อตกลงทุกท่านในสนาม เงินเดิมพันขั้นต่ำอยู่ที่ 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯครับ ทุกคนเข้าใจกฎของเรือสำราญควีนอลิซาเบธดีอยู่แล้ว ทุก ๆ คนสามารถเดิมพันได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ถึงเวลาของพวกคุณแล้วครับ!”


การพนันบนเรือสำราญควีนอลิซาเบธไม่เหมือนกับการพนันที่อื่น ทุกคนสามารถพนันนักมวยหนึ่งคนตามวิจารณญาณของตัวเองได้เพียงหนึ่งคนเท่านั้น ซึ่งวิธีนี้จะช่วยลดการเล่นตุกติกอัตราต่อรองของเหล่าเศรษฐีลงได้


ไม่เช่นนั้นจะเป็นเหมือนเมื่อวานที่อัตราต่อรองของอันเดรวิชกลายเป็น 1 ต่อ 18 พวกเขาสามารถซื้อได้ทั้งสองฝ่าย ถ้าเป็นแบบนั้นพวกเขามีแต่ได้และไม่มีเสีย และเรือสำราญควีนอลิซาเบธจะไม่ให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่นอน


“คลีเมตสัน ในฐานะที่เยี่ยเทียนเป็นผู้รับคำท้า คุณควรให้ดูข้อมูลสถิติของเขาหน่อย?” มีคนตะโกนจากข้างล่างเวที “ถ้าไม่มีสถิติของเขา พวกเราจะพิจารณาจากอะไรล่ะ?”


การแข่งขันเมื่อวานที่อีกฝ่ายชนะโดยที่ทุกคนคาดไม่ถึง ทำให้ทุกคนระมัดระวังมากขึ้น


แม้จะไม่เชื่อมั่นในตัวเยี่ยเทียนเท่าไหร่ แต่พอถึงเวลาต้องลงเดิมพันทุกคนก็เริ่มจริงจังขึ้นมา ไม่มีใครมีปัญหากับเงิน เพราะมันเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของพวกเขาที่สามารถสร้างเงินมหาศาลนี้ได้


หลังจากได้ยินคำถามของคนนั้น คลีเมตสันพูดว่า “คุณเยี่ยเคยใช้อาวุธฟันแขนขาของคาโต้ ทาคุมิขาดบนเวทีมวยใต้ดินในประเทศจีนมาแล้ว นี่เป็นข้อมูลชิ้นเดียวที่มี ไม่มีข้อมูลมากกว่านี้แล้วครับ ข้อมูลที่ผมให้ทุกคนได้มีเท่านั้นครับ! ”


“มวยปล้ำอาวุธโบราณเหรอ? ไม่เหมือนกับมวยปล้ำที่ไร้กฎน่ะสิ!”


“นั่นนะสิ ถ้าใช้อาวุธดี มือเปล่าก็ใช่ว่าจะเจ๋งนะ คนหนุ่มคนนี้อาจไม่รอด”


“ไม่แน่หรอก ดูท่าทางหล่อเหลาของเขาสิ กล้าตัดแขนขาของคนทิ้ง ก็น่าจะโหดไม่เบา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่กล้าสู้กับแอนโทนี มาร์คัสหรอก”


หลังจากเสียงของคลีเมตสันจบลง ในสนามเริ่มมีเสียงต่าง ๆ ดังขึ้น


ข้อมูลที่คลีเมตสันเอามาให้ดูแม้จะไม่เยอะเท่าไหร่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ทุกคนเข้าใจ นั่นก็คือเยี่ยเทียนไม่ใช่คนบ้า อย่างน้อยเขาเคยเข้าร่วมการแข่งขันมวยใต้ดินมาก่อน และยังชนะคู่ต่อสู้ที่เป็นคนญี่ปุ่นอีกด้วย


“เอาล่ะ ขอให้ทุกคนลงเดิมพันครับ การแข่งขันจะเริ่มขึ้นในอีก 10 นาทีหลังจากนี้!” หลังจากคลีเมตสันพูดคำนี้จบลง เขาก็เดินออกจากกรงบนเวที สำหรับการแข่งขันในวันนี้เขาก็เต็มไปด้วยความคาดหวังเช่นกัน


แต่ไม่รู้ทำไม คลีเมตสันรู้สึกได้ว่าเยี่ยเทียนจะอยู่รอดจนถึงตอนสุดท้าย ฉะนั้นตอนที่เขาเดินลงจากเวที หน้าจอเริ่มฉายฉากที่แอนโทนี มาร์คัสจัดการคู่ต่อสู้อีกครั้ง ไม่รู้ว่าคลีเมตสันพยายามชี้นำความคิดของผู้ชมอยู่หรือเปล่า


“บ้าเอ้ย คลีเมตสันทำแบบนี้แปลว่าอะไร นี่สร้างความกดดันให้กับเยี่ยเทียนชัดๆ!”


เมื่อต่งเซิงไห่มองไปที่หน้าจอ เขาก็อดไม่ได้ที่จะด่าออกมา เพราะว่าทุกคนกำลังจะได้พบกับบุคคลที่จัดการคู่ต่อสู้คาเวทีที่กำลังจะออกมามันต้องมีเงาอยู่ในใจของทุกคนแน่นอน


“ไม่เป็นไร เขาสร้างแรงกระตุ้นให้ผมเหมือนกัน!”


จู่ ๆ เยี่ยเทียนก็ส่ายหัวและยิ้ม ฟันที่เรียงตรงคู่นั้นมองเห็นชัดมากขึ้นเมื่ออยู่ในที่มืด จู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่รู้สึกเย็นยะเยือกทันที เหมือนรู้สึกว่าคนที่อยู่ข้างๆไม่ใช่เยี่ยเทียน  แต่กลับเป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ปานนั้น


“เยี่ยเทียน พวกเราพนันด้วยเป็นยังไง?”


เมื่อมองเห็นคนรอบตัวต่างก็พากันลงเดิมพนัน จู้เหวยเฟิงเองก็รู้สึกอดใจไม่ไหว เมื่อเห็นว่าเยี่ยเทียนเตรียมตัวมาดีมากถ้าเขาไม่พนันเยี่ยเทียนชนะ งั้นก็ต้องรู้สึกผิดต่อการเดิมพัน 1 ต่อ 5 ครั้งนี้มากเลย?


“บ้าเอ้ย เอาผมมาเป็นเดิมพัน เงินที่ชนะต้องแบ่งผมครึ่งนึงนะ!”


เยี่ยเทียนจ้องจู้เหวยเฟิง และสายตาที่จ้องนั้นเต็มไปด้วยความอยากฆ่าแบบบ้าคลั่ง เมื่อมองเห็นจู้เหวยเฟิงหัวหด “อย่าว่าแต่ครึ่งนึงเลย ถ้าชนะฉันให้นายทั้งหมดเลยก็ได้!”


“ใช่ เยี่ยเทียน ครั้งนี้ผมจะซื้อ 200 ล้านเหมือนกัน!” การแข่งขันรอบก่อนต่งเซิงไห่ไม่ได้เดิมพันอันเดรวิช เมื่อมองเห็นจู้เหวยเฟิงได้กำไรมา 1800 ล้านเหรียญดอลล่าร์ เขารู้สึกเสียใจมาก และจะไม่ยอมเสียโอกาสครั้งนี้แน่ๆ


“เป็นของผมครึ่งนึงทุกคน!”


เยี่ยเทียนผู้ซึ่งสุภาพมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงกลายเป็นคนเอาแต่ใจแบบนี้ ดวงตาคู่นั้นกวาดไปที่ตงเซิ่งไห่แม้ว่าพลังจิตสังหารจะไม่ได้พุ่งไปที่เขา แต่ตงเซิ่งไห่ก็รู้สึกขนลุกไปหมด ราวกับว่าสามเศียรหกกรของเยี่ยเทียนกลายเป็นสัตว์ประหลาดไปแล้ว


เวลา 10 นาที จะว่านานก็ไม่นาน จะว่าสั้นก็ไม่สั้น ผลรวมเงินเดิมพันถูกรวบรวมผ่านคอมพิวเตอร์ และคลีเมตสันที่เพิ่งกลับมาเห็นตัวเลขนี้ ใบหน้าของเขาก็ตกใจเช่นกัน


“3.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ!”


จำนวนเงินกว่า 3.2 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ นั่นหมายถึง คนจำนวน  200 กว่าคนในสนาม ลงเงินเดิมพันเกือบทุกคน บางคนลงเดิมพันไม่ต่ำกว่า 100 ล้านแน่นอน


เมื่อวานเงินเดิมพันรอบการแข่งของอันเดรวิชประมาณหนึ่งหมื่นล้านเหรียญสหรัฐฯ ถือว่าเป็นสถิติสูงสุดของมวยใต้ดินแล้ว และตัวเลข 3.2แสนล้านเหรียญสหรัฐฯทะลุสถิติเดิมแล้วด้วย และหลังจากนี้ก็คงยากที่จะทะลุสถิตินี้อีก


ด้วยความตื่นเต้นที่อยู่ในใจ คลีเมตนสันใช้หูฟังออกคำสั่งให้พิธีกรในสนามเริ่มเกมได้ ทันใดนั้นแสงไฟก็ส่องมาที่เวทีมวยรั้วเหล็กนั้น


“คุณผู้ชายและคุณผู้หญิง จากนี้ขอเชิญแอนโทนี มาร์คัสนักมวยผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในสิบปีที่ผ่านมาของพวกเรา และได้รับสมญานามว่า “นักฆ่าหุ่นยนต์” “ ปีศาจนรก”


ตอนที่พิธีกรประกาศชื่อของแอนโทนี มาร์คัสออกมา เขาลากเสียงคำสุดท้ายยาวมาก และแสงไฟก็ส่องไปที่ทางหนีไฟ มีคนรูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีเข้ม ผมม้วนขึ้นเล็กน้อยยืนอยู่ ในที่สุด แอนโทนี มาร์คัสก็ปรากฏตัวขึ้นมา


แอนโทนี มาร์คัส มีรูปร่างหน้าตาเหมือนคนอินโดนีเซียทั่วไป ร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่าและกล้ามเนื้อหน้าอกทั้งสองข้างของเขามีการพัฒนาอย่างผิดปกติ ให้ความรู้สึกแน่นจนไม่มีกล้ามเนื้อส่วนเกินเลยแม้แต่น้อย


ต้นขาทั้งสองของเขาหนามาก ตั้งแต่ช่วงหลังเท้าเป็นต้นไปมองไม่เห็นเส้นขนแม้แต่เส้นเดียว น่องสีเข้มราวกับโลหะ ล้วนเป็นผลจากการเตะเสาโลหะทุกวัน


แอนโทนี มาร์คัสวิ่งเข้าไปในรั้วเหล็กอย่างช้าๆ หลับตาลงเพื่อให้สายตาเข้ากับแสงในรั้วเหล็กนั่น สำหรับนักสู้ที่มีประสบการณ์อย่างเขา การละเลยรายละเอียดเพียงเล็กน้อยอาจส่งผลร้ายแรงมากถึงชีวิต


“ลำดับต่อไป ขอเชิญนักมวยผู้ลึกลับจากจีน คุณเยี่ย!”


หลังจากที่แอนโทนี มาร์คัสเข้ามาในเวที เสียงของพิธีกรก็ดังขึ้นอีกครั้ง เยี่ยเทียนลุกขึ้นจากโซฟาโดยไม่ได้วิ่ง แต่เขาก้าวไปทีละก้าวและค่อย ๆ เดินเข้าไปในรั้วเหล็กอย่างช้า ๆ


อย่างไรก็ตามเมื่อเท้าข้างหนึ่งของเยี่ยเทียนก้าวเข้าไปในรั้วเหล็กเสร็จ แอนโทนี มาร์คัสที่หลับตาอยู่ ก็ลืมตาขึ้นทันที


ตอนที่ 641 สงครามแห่งศตวรรษ (2)

โดย

Ink Stone_Fantasy

แอนโทนี มาร์คัสเป็นนักเรียนที่ประสบความสำเร็จที่สุดในค่ายฝึกไซบีเรีย ไม่มีใครรู้ประสบการณ์เดิมของเขา แต่การแสดงของเขาในค่ายฝึกไซบีเรียและหลังจากนั้นกลับเป็นที่น่าตะลึงมาก


ตอนที่อยู่ในค่ายฝึก แอนโทนี มาร์คัส สามารถฆ่าหมีสีน้ำตาลด้วยมือเปล่าได้ ในเมืองไซบีเรียที่เต็มไปด้วยหิมะ เขาก็เป็นผู้ชนะในหมู่นักเรียน ราวกับมีสัญชาตญาณนักล่าอยู่ในตัว


ตอนที่เยี่ยเทียนเข้าไปในเวที แอนโทนี มาร์คัส รู้สึกเสียวที่หลังเหมือนถูกหมาป่าล้อมตอนอยู่ในไซบีเรีย


ตอนนั้นแอนโทนี มาร์คัสอายุสิบสามปี เขาถูกเนรเทศไปอยู่ในบริเวณที่มีหิมะและน้ำแข็งปกคลุมไปทั่วและได้พบกับหมาป่าไซบีเรีย 5 ตัว เหตุการณ์ในวันนั้นเป็นครั้งเดียวที่แอนโทนี มาร์คัส อยู่ใกล้ความตายมากที่สุด


หลังจากใช้พลังงานทั้งหมดและกัดหมาป่าตัวสุดท้ายจนตาย สุดท้ายแอนโทนี มาร์คัสก็รอดชีวิต แต่ก็กำลังใกล้จะตายแล้วเช่นกัน


ในค่ายฝึกไซบีเรียไม่เลี้ยงคนไม่มีประโยชน์ ดังนั้นแอนโทนี มาร์คัส ที่บาดเจ็บไปทั้งตัวจึงไม่มีคนสนใจ แต่สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือหลังจากนั้นเพียงสามวันเขาก็หายเป็นปลิดทิ้ง


ประสบการณ์เฉียดความตายครั้งนี้ดูเหมือนจะทำให้แอนโทนี มาร์คัสตาสว่าง จู่ ๆ เขาก็พรวดพราดเข้ามาในค่ายฝึกและกลายเป็นคนที่โหดเหี้ยมมาก ห้าปีหลังจากนั้นเขาก็กวาดค่ายฝึกไซบีเรียจนหมดสิ้น


ดวงตาที่เบิกกว้างของแอนโทนี มาร์คัสหรี่ลงเล็กน้อย มองไปที่เยี่ยเทียนที่ใส่ชุดขาวอยู่ตรงหน้า


ไม่เหมือนกับคนอื่น แอนโทนี มาร์คัสเชื่อในความรู้สึกของตัวเองมาก เขาไม่ได้ดูถูกเยี่ยเทียน ตอนที่เขาเริ่มเข้าสู่วงการเขาอายุมากกว่าเยี่ยเทียนไม่กี่ปีเท่านั้น


ความรู้สึกอันตรายในตัวของเยี่ยเทียนไม่น้อยไปกว่าประสบการณ์ที่เขามีเมื่อตอนอายุสิบสามปี สิ่งนี้ทำให้แอนโทนีมาร์คัสซึ่งแข่งมวยใต้ดินมาสิบปีได้สัมผัสอีกครั้งถึงสิ่งที่เรียกว่าความกลัว


แอนโทนี มาร์คัส ผู้อยู่ใกล้ขอบความตายมาโดยตลอด ใจของเขาตายด้านหมดแล้ว ในที่สุดเขาก็พบคนที่สามารถคุกคามเขาได้อีกครั้งซึ่งมันทำให้อกของเขากำลังจะติดไฟและพลุ่งพล่าน


เยี่ยเทียนยืนอยู่บนเวทีมวยที่เหมือนกรงและมองไปที่แอนโทนี มาร์คัส เมื่อคู่ต่อสู้จ้องมองมาที่ตัวเอง เยี่ยเทียนก็รู้สึกว่าหนังศีรษะของเขาชาราวกับว่ามีงูตัวหนึ่งกำลังเลียที่คอของเขา


“ยอดฝีมือ!” เยี่ยเทียนมีความคิดแบบนั้นขึ้นมาในหัว และสีหน้าของเขาก็จริงจังขึ้นมาทันที


หลายปีที่ผ่านมาเยี่ยเทียนเคยเห็นพ่อมดไม่เต็มตัวที่มาจากเหมียวเจียง เคยสู้กับฤาษีของประเทศไทย แต่ไม่เคยมีใครสร้างความกดดันให้เขาเท่าแอนโทนี มาร์คัส


แอนโทนี มาร์คัสที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่มีจุดอ่อนเลยแม้แต่จุดเดียว เลือดลมที่พลุ่งพล่านในร่างกายของเขาเมื่อเทียบกับตัวเองแล้วก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ มันจึงทำให้เยี่ยเทียนตกใจและตื่นเต้นอยู่เล็กน้อย


สุภาษิตกล่าวไว้ว่าเพชรสามารถตัดเพชร ปัจจุบันคนที่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเยี่ยเทียนได้ก็คงมีแค่โก่วซินเจีย หนานไหวจิ่นเป็นต้น


แต่พวกเขาแก่แล้ว ถ้าสู้กันเยี่ยเทียนก็ชนะเห็น ๆ แต่ด้วยความสัมพันธ์ที่เป็นพี่เป็นน้อง จึงไม่มีวันให้เกิดการสู้แบบเอาเป็นเอาตายแน่นอน


แต่แอนโทนี มาร์คัสที่อยู่ตรงหน้าเขาจะต่างออกไป เขาเกิดมาฆ่าเพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป และยังต้องมาสู้กับเยี่ยเทียนอีก ทำให้เลือดในตัวของเยี่ยเทียนก็เริ่มพลุ่งพล่านขึ้นมาเหมือนกัน


หลังจากเยี่ยเทียนเข้าไปในเวที มีรั้วเหล็กหนึ่งเส้นหล่นลงมาจากเพดาน จากนั้นเสียงระฆังก็ดังขึ้นการแข่งขันเริ่มขึ้นแล้ว


แต่ท่าที่ของทั้งสองคนทำให้ผู้ชมที่อยู่รอบ ๆ ไม่เข้าใจสถานการณ์ เพราะการต่อสู้ที่น่าจะดุเดือดไม่ได้เป็นอย่างที่คิด เยี่ยเทียนกับแอนโทนี มาร์คัสมองหน้ากันอยู่อย่างนั้น


“บ้าเอ๊ย ทำไมยังไม่เริ่ม…..”


“ดาวนี่ หุบปากไปเถอะ ก่อนเข้ามาคุณเซ็นสัญญาความตายแล้วนะ!”


ในสนามเริ่มมีคนใจร้อนอดไม่ไหวจนพ่นคำด่าออกมา แต่พูดออกมาได้ไม่ทันไรก็ถูกคนข้าง ๆ ใช้มืออุดปากเอาไว้


เจ้าพ่อมาเฟียอิตาลีคนนั้นถูกเตือน แต่ก็ยอมปิดปากทั้ง ๆ ที่ยังโกรธ ถ้าตัวเขาถูกฆ่าที่นี่เพราะความปากพล่อยของตัวเอง เชื่อว่าหลายคนในโลกนี้จะปรบมือให้แน่ ๆ


มองดูเยี่ยเทียนที่ห่างออกปิ7-8 เมตร เสียงของแอนโทนี มาร์คัสก็ดังขึ้น “คุณเก่งมาก เก่งมาก ๆ !”


นี่เป็นครั้งแรกที่แอนโทนี มาร์คัสไม่เริ่มบุกก่อนตั้งแต่เริ่มแข่งขันมวยใต้ดิน เพราะเมื่อก่อนเขาไม่เคยพูดกับคู่ต่อสู้เลยแม้แค่คำเดียว เขาจะจัดการคู่ต่อสู้ดุจพายุกวาดใบไม้ในครั้งเดียว


แต่ในเวลานี้ แอนโทนี มาร์คัสไม่กล้า เพราะเขาเข้าใจดีว่าคู่ต่อสู้ที่ตรงหน้าเขาในตอนนี้ ไม่ว่าใครก็ตามที่บุกโดยไม่ระวัง ชีวิตอาจจบได้ในทันที


“คุณก็เก่งเหมือนกัน!” ขาของเยี่ยเทียนอยู่ข้างหน้าและข้างหลังอย่างละข้าง ทั้งตัวของเขาเหมือนจะสบาย แต่ความเป็นจริงเขาได้เตรียมพร้อมป้องกันตนเองแล้ว


เยี่ยเทียนสัมผัสได้ว่าฝ่ายตรงข้ามเหมือนเสือที่รอเขมือบเขา ถ้าช่องโหว่ของเขาหลุดออกไปเขาจะถูกฝ่ายตรงข้ามบุกอย่างกระหน่ำ ดังนั้นถ้าพลาดแค่ครั้งเดียว ชีวิตของเขาก็อาจจบลงตรงนี้


ขณะที่ตั้งรับ เยี่ยเทียนถามออกไปว่า “ผมไม่เข้าใจจริง ๆ คุณฝึกลมปราณให้แข็งแกร่งแบบนี้ได้ยังไง? คุณเคยฝึกโยคะแบบอินเดียเหรอ?”


“ลมปราณ? ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด”


แอนโทนี มาร์คัสส่ายหัว พูดว่า“ผมไม่เคยฝึกโยคะ ในมวยใต้ดินไม่ต้องฝึกพลังแบบนั้น ที่นี่…….ชื่นชมการบุกเท่านั้น!”


ไม่รู้ทำไม ตอนที่แอนโทนี มาร์คัสเผชิญหน้ากับเยี่ยเทียน เขาอยากพูดด้วยมาก


“ผมเคยถูกหมาป่าล้อม เคยไปรบกวนหมีจำศีลฤดูหนาว และเคยฆ่าเสือไซบีเรียด้วยมือเปล่า บางทีนี่คงเป็นเหตุผลที่ทำให้คุณรู้สึกว่าผมแข็งแกร่ง!”


เสียงของแอนโทนี มาร์คัสกดต่ำลง เหมือนกับกำลังคิดถึงเรื่องเก่า ๆ ของตัวเอง มีความสับสนในดวงตาของเขาเผยออกมา เขาไม่รู้ว่าเขากลายเป็นคนมีชื่อเสียงแล้วแต่ทำไมถึงไม่ยอมถอนตัวจากเวทีมวยใต้ดิน


“นักสู้ ต้องตายในสนาม!”


เยี่ยเทียนดูออกว่าคู่ต่อสู้เริ่มเบลอ แต่เขาไม่มีโอกาสบุกแอนโทนี มาร์คัสเลย กลับพูดเตือนออกไปหนึ่งประโยค


“ตกลง นักสู้ ต้องตายในสนาม!”


แอนโทนี มาร์คัสฆ่าคนมาแล้วนับไม่ถ้วน มีคนเสียชีวิตหลายร้อยคนด้วยมือของเขา หลังจากถูกกระตุ้นด้วยคำพูดของเยี่ยเทียน ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกตื่นทันที


“มา!”


แอนโทนี มาร์คัสรู้สึกถึงความอ่อนแอในใจ จึงส่งเสียงคำรามออกมา และเท้าของเขาก็ไถลไปข้างหน้าราวกับผีเสื้อที่บินผ่านดอกไม้ การเดินเท้าแบบนี้แม้แต่ อาลี ที่เป็นแชมป์ก็ยังต้องยอม


“บัดซบ เร็วขนาดนี้เลยเหรอ?”


แม้จะระวังอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เยี่ยเทียนคิดไม่ถึงคือการบุกของแอนโทนี มาร์คัสที่ดุเดือดมาก ดวงตาเริ่มพร่ามัว รู้สึกแค่ว่าขมับด้านขวาจู่ ๆ ก็กระตุกไม่หยุด และอันตรายที่ไม่ได้รู้สึกตั้งแต่แรกกำลังก่อขึ้นภายในใจ


ไม่มีเวลาคิดอย่างรอบคอบเลย แม้แต่ท่าของคู่ต่อสู้เป็นยังไงก็มองไม่ทัน เยี่ยเทียนจึงถอยเท้าไปข้างหลังจนเหมือนตัวเตี้ยลง หัวหงายไปข้างหลังอย่างรุนแรงจนผมตั้งขึ้นเป็นเส้นๆ


ใช้ขาข้างซ้ายเป็นจุดรับแรง ขาข้างขวาที่ถอยหลังหมุนเป็นวงในทันใด ตัวของเยี่ยเทียนก็แนบไปกับพื้นและเตะออกไปที่ขาของแอนโทนีเต็ม ๆ เมื่อเขาเสนอตามมารยาทแล้วก็ต้องสนองกลับ เยี่ยเทียนไม่ใช่คนที่ยอมถูกตีแน่นอน


กำลังของแอนโทนี มาร์คัสอยู่ที่ขา เขาก็ไม่ยอมให้เยี่ยเทียนเตะโดนแน่ ๆ  จึงรีบยกขาหลบและจ้องไปที่เยี่ยเทียน


การบุกของเขาเมื่อครู่ เตะออกไปถึงสี่ครั้งในหนึ่งวินาที นี่เป็นจุดสูงที่สุดของแอนโทนี มาร์คัส เดิมทีนึกว่าจะบีบบังคับให้เยี่ยเทียนใช้มือบัง แต่คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะใช้วิธีการหลบแทน


“มา!”


ความรู้สึกของความเป็นความตายที่ผ่านมาเมื่อครู่ ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกหวาดเสียวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน


เนื่องจากคู่ต่อสู้เก่งพอ ๆ กับเขา ทำให้ความสามารถในการรับรู้ทิศทางการเคลื่อนที่ของพลังลมปราณจางลงไปด้วย วิธีที่เยี่ยเทียนใช้เมื่อเจอศัตรูกลับไม่มีประโยชน์ใด ๆ ในการต่อสู้ครั้งนี้


จู่ ๆ เยี่ยเทียนก็คิดได้ เขารู้ว่าถ้าอยากเดินออกจากเวทีนี้โดยยังมีชีวิตอยู่ จะต้องเอาความเป็นและความตายออกจากหัว ไม่เช่นนั้นเขาต้องตายในน้ำมือของคู่ต่อสู้อย่างแน่นอน


ครั้งนี้เยี่ยเทียนไม่รอให้แอนโทนี มาร์คัสเริ่มก่อน หากแต่ใช้ท่าเดียวกับคู่ต่อสู้เมื่อสักครู่ ก้าวข้างพุ่งไปทางด้านขวาของแอนโทนี มาร์คัส และขาขวาก็เตะออกไปอย่างรุนแรง


แม้จะไม่เคยฝึกฝนอย่างหนักเหมือนแอนโทนี มาร์คัส แต่แรงที่เตะไปครั้งนี้ เยี่ยเทียนเพิ่มพลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมเข้าไป ทำให้เกิดเสียงราวกับแส้ที่ฟาดไปในอากาศ


เป็นการบุกที่แตกต่างจากการหลบแอนโทนี มาร์คัสก่อนหน้านี้ ปีศาจนรกชื่นชมการบุกแบบตาต่อตาฟันต่อฟัน แม้การบุกของเยี่ยเทียนจะดุเดือดรุนแรง แต่แอนโทนียกขาขวาขึ้นตามสัญชาตญาณ ทำให้ประทะกับเยี่ยเทียนเข้าเต็มๆ


สองขาปะทะกันอย่างรุนแรงจนมีเสียง “ปั้ง” ออกมาดังมาก สะเทือนไปถึงรั้วเหล็กของเวที ร่างของทั้งสองประชิดกันแล้วก็แยกออกจากกันในทันที ถอยออกไปคนละมุมอย่างรวดเร็ว


การต่อสู้จริงก็ได้เริ่มขึ้นนับจากนี้ สองคนที่แยกจากกันไม่ทันไรก็พุ่งเข้าหากันอีกครั้ง แอนโทนีเตะจากด้านข้างเข้าไปที่ใต้ซี่โครงของเยี่ยเทียนอย่างรุนแรง


ครั้งนี้เยี่ยเทียนไม่หลบ แต่เตะกลับ สองคนประทะกันเต็ม ๆ อีกครั้ง แม้หน้าจอมองไม่เห็นสีหน้าของทั้งสองคน แต่ทั้งคู่รู้ดีว่ากำลังของพวกเขาต่างกันไม่มาก


“มาสิ!”


แอนโทนีเริ่มเผยนิสัยออกมา การลองเชิงคู่ต่อสู้โดยเตะออกไปสองครั้ง ตอนนี้รู้แล้วว่าตนเองสามารถรับแรงของเยี่ยเทียนได้ แอนโทนี จึงตัดสินใจใช้วิธีการบุกเพื่อจัดการคู่ต่อสู้


สลับขาเตะเยี่ยเทียนราวกับพายุเฮอริเคน และความแรงเพิ่มขึ้นทุก ๆ ครั้งที่เตะออกไป ส่วนเยี่ยเทียนที่ร่างกายผอมแห้งเหมือนเรือโดดเดี่ยวกลางทะเล อาจถูกคลื่นยักษ์เขมือบทุกเมื่อ


“แคร่ก!”


เสียงกระดูกหักดังขึ้น เป็นเสียงดังจากแขนขวาของเยี่ยเทียนที่ยกขึ้นบังขาของคู่ต่อสู้ แต่หลบไม่ทัน


ตอนที่ 642 สงครามแห่งศตวรรษ (3)

โดย

Ink Stone_Fantasy

แอนโทนี มาร์คัสเตะเสาเหล็ก 27 นิ้วหักในครั้งเดียว เตะหมียักษ์ตายในสามครั้ง กำลังขาของเขาที่มากขนาดนี้ถือว่าเป็นศักยภาพสูงสุดของมนุษย์ที่ได้ถูกพัฒนาแล้ว


แม้ว่าแขนซ้ายของเยี่ยเทียนที่มีพลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมจะสั่นไม่หยุด อยากใช้พลังลมปราณหลอมปราณสู่จิตสลายพลังอันแข็งแกร่งที่พุ่งเข้าใส่เขา แต่ก็มีเสียง “แคร่ก” ดังขึ้น ข้อไหล่เจ็บจี๊ดขึ้นมาและน่าจะหลุดออกไปแล้ว


ร่างของเยี่ยเทียนโซเซถอยไปข้างหลัง ขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกเจ็บแปล๊บที่ชายโครงขวา เยี่ยเทียนหายใจเข้าลึก ๆ ส่วนเท้าใช้ท่าร่างเพื่อทรงตัวให้อยู่


การทำแบบนี้ทำให้แขนซ้ายของเยี่ยเทียนต้องรับแรงมากกว่าเดิม ไม่น่าจะใช่ข้อไหล่หลุดอย่างเดียว เหมือนกระดูกจะร้าวแล้วด้วย


เยี่ยเทียนส่งเสียงงึมงำออกมา ตัวของเขาก้มลงไปกับพื้น ทันใดนั้นเสียงลมอันแข็งแกร่งกวาดผ่านบริเวณหัว มันเป็นเสียงจากการลอยตัวเตะของมาร์คัสที่ตั้งใจเตะชายโครงขวาของเขาแต่ไม่โดน


ในการแข่งขันมวยใต้ดิน คนสองคนที่มีความสามารถเสมอกัน เวลาที่สู้กันจะทรงพลังมาก ไม่ใช่ลมบูรพาสยบลมประจิมก็คือลมประจิมสยบลมบูรพา เยี่ยเทียนรู้ดีว่าคนที่มากประสบการณ์อย่างแอนโทนี มาร์คัสไม่ยอมให้โอกาสนี้เสียไปแน่ ๆ


ฉะนั้นตอนที่ก้มตัวลง ขาข้างขวาของเยี่ยเทียนก็สะบัดออกเหมือนหางแมลงป่อง เหมาะเจาะกับตอนที่แอนโทนี เตะชายโครงขวาไม่โดน ทำให้หลบได้ทัน


แอนโทนี มาร์คัสเองก็คิดไม่ถึง กระดูกของเยี่ยเทียนที่ร้าวไปแล้วยังสามารถรับมือได้อย่างฉลาดแหลมคม


ร่างของแอนโทนี มาร์คัสเสียศูนย์ไปแล้ว เขารู้สึกชาไปทั้งหัว เพราะปลายเท้าของเยี่ยเทียนเตะเข้าชายโครงซ้ายของแอนโทนี มาร์คัส


“แคร่ก!”


แรงเตะที่ดูไม่แรง แต่ลำโพงของเวทีกลับส่งเสียงกระดูกร้าวออกมาอีกครั้ง จากนั้นร่างที่ใหญ่ราวรถถังของแอนโทนี มาร์คัสปลิวไปด้านหลังเหมือนถูกไฟฟ้าช็อต


ฉากสุดระทึกที่เกิดขึ้นบนเวที ทำให้ผู้ชมรอบทิศถึงกับต้องกลั้นหายใจ ไม่มีใครคิดว่าเยี่ยเทียนที่ดูเหมือนใกล้แพ้แล้วจะสู้สุดใจจนบาดเจ็บหนักทั้งคู่


“เจ๋งมาก เพราะแบบนี้สินะถึงกล้ารับคำท้าของแอนโทนี มาร์คัส!”


“เราพนันคนจีนชนะ พวกเขามักสร้างสิ่งมหัศจรรย์ออกมา!”


“คนจีนน่ากลัวมากจริง ๆ เขาเป็นถังหลงอีกคนเหรอ?”


หลังจากที่ร่างของทั้งสองแยกออกจากกัน ข้างล่างเวทีเกิดเสียงโห่ร้องขึ้นมาไม่หยุดหย่อน การต่อสู้ของเยี่ยเทียนที่แสดงออกมาเปลี่ยนความคิดของพวกเขาทั้งหมด ถึงขั้นคิดว่าหนุ่มคนนี้ถือว่าสมน้ำสมเนื้อกับแอนโทนี มาร์คัสจริง ๆ


แม้แต่คนที่อยู่ในยุคของถังหลง ยังเอาเยี่ยเทียนไปเชื่อมต่อกับนักชกทรราชผู้นั้น ถังหลงกับเยี่ยเทียนเป็นคนจีนทั้งคู่ รูปร่างหน้าตาก็คล้ายคลึงกัน และยังมีพลังอันแข็งแกร่งที่สามารถทำให้คู่ต่อสู้ยอมแพ้เหมือนกันอีก


ถังหลงเคยทำให้มวยใต้ดินในยุคนั้นกลายเป็นยุคมืด ซึ่งทุกคนไม่รู้ว่าการปรากฏตัวของเยี่ยเทียนจะเป็นรุ่นต่อของถังหลงและคนจีนจะพลุ่งพล่านนองเลือดอีกครั้งหรือเปล่า?


“นี่แหละคือสิ่งที่ผมอยากได้ เวลาที่คนเราอยู่ใกล้ความตายมากที่สุด ความรู้สึกนั้นมหัศจรรย์จริง!”


มุมปากของเยี่ยเทียนมีรอยยิ้มออกมา เขาโตจนปานนี้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ใกล้ความตายมากที่สุด


ถ้าไม่ใช่เพราะการรับรู้พลังลมปราณชีวิตที่สัมผัสได้ถึงการเตะกวาดของแอนโทนี มาร์คัส ตอนนี้สมองของเขาคงแหลกและหล่นไปกลางเวทีแล้ว


ความเป็นกับความตายทำให้เยี่ยเทียนตื่นตัวอีกครั้งเพราะเขาเหมือนจะเห็นมือที่กุมชะตาชีวิตข้างนั้นได้ลาง ๆ แต่ในตอนนี้เขาไม่สามารถสัมผัสมันได้อย่างละเอียด


จึงใช้มือขวาจับแขนซ้ายไว้และดันขึ้นเพื่อให้กระดูกที่หลุดต่อเข้าไหล่อีกครั้ง เยี่ยเทียนแค่อยากสัมผัสความเป็นกับความตายจากการแข่งขันอันโหดเหี้ยมนี้เท่านั้น แต่ไม่ได้แปลว่าเขาอยากตาย


แม้จะอดกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้ ก็ไม่อยากให้มีผลกระทบต่อสภาพของเขา เพราะการปะลองระดับนี้ ถ้าพลาดแค่นิดเดียว ผลที่ตามมาอาจเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้


“เอาอีก!”


เยี่ยเทียนสะบัดแขนข้างซ้ายหนึ่งครั้งและยิ้มที่มุมปาก ส่วนร่างกายขยับไปด้านหน้าซึ่งอยู่ห่างจากแอนโทนี มาร์คัสแค่ 1 เมตรเท่านั้น จากนั้นเตะเข้าไปที่ขาของเขาอย่างแรง


ที่จริงเยี่ยเทียนไม่ถนัดใช้ขาโจมตีคู่ต่อสู้ แต่การต่อสู้ที่ดุเดือดแบบนี้ การใช้ขาเป็นอาวุธถือเป็นความคิดที่ดีที่สุด เพราะตอนที่หมัดของต่อยไม่โดนคู่ต่อสู้ แต่ขาสามารถเตะโดนตัวได้


ในการแข่งขันมวยใต้ดิน 90%ของคนที่ตายคาเวทีล้วน เกิดจากขาทั้งนั้น ถ้าอยากชนะการแข่งขัน เยี่ยเทียนต้องบุกโดยใช้ขาให้ชิน


โชคดีที่การฝึกฝนของเขาถึงระดับหลอมปราณสู่จิตแล้ว การส่งพลังลมปราณชีวิตดั้งเดิมทั้งหมดไปที่ขาทำให้แรงขาของเขาไม่ด้อยไปกว่าแอนโทนี มาร์คัส


แม้แต่จำนวนครั้งก็ยังพอ ๆ กัน ถ้าไม่ใช่เพราะต้องทำให้ชินกับการใช้ขาโจมตีแบบนี้ บวกกับความเร็วที่ช้ากว่าแอนโทนี มาร์คัสอยู่แล้ว เยี่ยเทียนคงไม่ต้องสู้อย่างลำบากขนาดนี้


แต่หลังจากที่บาดเจ็บทั้งคู่ ดูเหมือนสถานการณ์จะเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย แอนโทนี มาร์คัสไม่บุกเข้าหาเยี่ยเทียนตรง ๆ แต่กลับหลบไปข้างหลัง ผู้ชมที่อยู่ข้างล่างก็เสียววาบไปตามกัน


“แอนโทนี มาร์คัสจะแพ้แล้วเหรอ? เขาเป็นหุ่นยนต์นักฆ่าเลยนะ!”


“ปีศาจนรกใกล้จะจบสิ้นแล้วล่ะ หนุ่มคนนี้กำลังจะปกครองโลกของมวยใต้ดิน!”


แอนโทนี มาร์คัสก็เหมือนกับถังหลง ใช้กำลังที่แข็งแกร่งจัดการคู่ต่อสู้จนตาย และไม่เคยมีครั้งไหนที่ยอมอ่อนข้อ สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้พวกที่พนันแอนโทนี มาร์คัสเริ่มกลัว


ส่วนเถ้าแก่ที่มีประสบการณ์มากล้นในสนามมวยใต้ดินกลับมองเห็นสิ่งอื่นแทน พวกเขามองว่ากำลังที่แข็งแกร่งของเยี่ยเทียนกับความนิ่งในความเป็นกับความตายนั้น เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของผู้ที่จะครองโลกมวยใต้ดิน


“อ๊าก!”


ไม่รู้ว่าเป็นเสียงจากชายโครงซ้ายหรือเสียงโห่ร้องด้านล่างเวที จู่ ๆ ดวงตาสองข้างของแอนโทนี มาร์คัสก็เต็มไปด้วยเส้นเลือด ความกดดันที่เยี่ยเทียนสร้างให้เขา ทำให้เขายิ่งบ้าคลั่ง


ฉายาราชาแห่งมวยใต้ดินอันยาวนาน ทำให้แอนโทนี มาร์คัสติดนิสัยความหลงตัวเองมาก เมื่ออยู่บนเวที เขาจะเป็นราชา เป็นผู้ตัดสิน และห้ามใครเหยียบย่ำศักดิ์ศรีเด็ดขาด


แม้เยี่ยเทียนจะเตะชายโครงทั้งสองข้างจนหัก และอาจจะลามไปถึงภายใน แต่บาดแผลที่มากกว่านี้แอนโทนี มาร์คัสก็เคยเจอมาแล้ว สุดท้ายก็จัดการคู่ต่อสู้ได้อยู่ดี


นั่นเป็นเรื่องเมื่อปี 1992 สงครามกับ “ปลาปิรันย่า” เทเกอร์ โฮเกน ทั้งคู่เป็นมวยปล้ำที่มีเอกลักษณ์ ใช้เทคนิคที่เรียบง่ายแต่พรั่งพรูดุเดือดที่สุด


ทั้งสองคนจัดการคู่ต่อสู้ได้อย่างรวดเร็ว แต่เพราะฝีมือเสมอกัน ทำให้ใช้เวลาไปกว่า 15 นาที 38 วินาที ตลอดการแข่งขันเต็มไปด้วยความดุเดือด สองแขนของโฮเกนกับซี่โครงถูกเตะจนหักตามลำดับ สุดท้ายสูญเสียการป้องกัน ถูกมาร์คัสเตะจนเสียชีวิต


แต่แขนขวากับซี่โครงสามซี่ของมาร์คัสก็หักเช่นกัน หลังจากจบการแข่งขัน แอนโทนี มาร์คัสก็เกือบไม่ไหว และการแข่งในครั้งนั้นเป็นครั้งที่ทำให้เขาขึ้นไปอยู่จุดสูงสุดของชีวิตนักมวย แถมยังได้ฉายาปีศาจนรกมาด้วย


ในเวลานี้แอนโทนี มาร์คัสรู้สึกกดดันมากกว่าตอนที่สู้กับโฮเกนเสียอีก แต่มันก็ได้กระตุ้นความโหดร้ายของเขาออกมา หลังจากเปล่งเสียงคำรามเสร็จ เขาบุกไปที่เยี่ยเทียนทันที


สองคนที่เพิ่งห่างกัน ก็ประชิดกันอีกครั้งอย่างรวดเร็ว เร็วจนเวียนหัว ผู้ชมด้านล่างเวทีเพิ่งสัมผัสได้ถึงความโหดเหี้ยมของการต่อสู้ผ่านหน้าจอใหญ่กับฟังเสียงจากลำโพง


“ปัง!”


สองขาปะทะกันอีกครั้ง เยี่ยเทียนไม่รู้เหมือนกันว่าสองขาปะทะกันรวมแล้วเกิดขึ้นกี่ครั้ง แต่น่องขาขวาของเขาเริ่มเจ็บ กระดูกตรงน่องน่าจะร้าวแล้วเช่นกัน


เยี่ยเทียนยอมรับ ความแกร่งของแอนโทนี มาร์คัสเกินความคาดหมายของเขา เพิ่งสู้กันไปแค่สี่ห้านาที แต่เยี่ยเทียนกลับเผชิญความตายมาแล้วถึงสามครั้ง


และสามครั้งนี้เป็นจุดสูงสุดของความเป็นความตายเลยก็ว่าได้ แม้กระทั่งจมูกยังได้กลิ่นเหม็นเน่าของความตายเลย เขาไม่สงสัยเลยว่าถ้าความเร็วของเขาช้าลงเพียงนิดเดียว ตอนนี้เขาคงกลายเป็นศพที่นอนอยู่กลางเวทีแล้วก็ได้


ถึงจะเป็นแบบนั้น เยี่ยเทียนก็ได้รับบาดเจ็บอยู่ไม่น้อย ไหล่ซ้ายเพิ่งต่อเข้าที่ ไม่นานก็ถูกแอนโทนี มาร์คัสเตะจนหลุดอีก


ชายโครงขวาถูกหมัดหนักของคู่ต่อสู้ต่อยเข้าอย่างจัง แม้โครงกระดูกไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่ภายในได้รับการสั่นเสือน อย่างแรงจนมีเลือดไหลออกจากปาก


ส่วนแอนโทนี มาร์คัสก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันเท่าไหร่ แก้มซ้ายถูกหมัดของเยี่ยเทียนเต็ม ๆ ใบหน้ามีแต่เลือดจนไม่เห็นเนื้อหนัง ฟันหลุดออกมาถึง 5 ซี่


นอกจากนี้ขาที่ถูกปลายเท้าของเยี่ยเทียนเตะเข้าจังๆ บวกกับซี่โครงซ้ายที่หักไปแล้ว ทำให้การเคลื่อนไหวของเขาไม่เร็วเท่าเมื่อครู่ แรงของขาก็อ่อนลงไปมาก


ทั้งแอนโทนี มาร์คัสและเยี่ยเทียนต่างก็ไวต่อกลิ่นของความตาย แม้จะเจ็บหนักทั้งคู่ แต่ทั้งคู่ก็หลบทัน จู่ ๆ ทั้งคู่ก็รู้สึกทำอะไรซึ่งกันและกันไม่ได้ สถานการณ์จึงเริ่มตึงเครียดขึ้นมา


ผู้ชมที่อยู่ข้างล่างอึ้งจนพูดไม่ออกตั้งนานแล้ว พวกเขาเชื่อว่าถ้าเปลี่ยนคนแข่งหนึ่งคน การแข่งขันรอบนี้คงจะจบลงตั้งนานแล้ว


หรือพูดได้ว่า ไม่ว่าการแข่งในครั้งนี้ใครแพ้หรือชนะ สุดท้ายคนที่รอดชีวิตลงจากเวทีได้ จะถูกเพิ่มชื่อเข้าไปในศตวรรษที่ 21 และไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ทุกคนจะพูดขึ้นมาซ้ำ ๆ !


“หืม? เกิดอะไรขึ้น?”


หลังจากประทะกันรอบสุดท้าย ร่างของทั้งคู่ก็แยกจากกัน จู่ ๆ เยี่ยเทียนพบว่าลมหายใจของคู่ต่อสู้วุ่นวายมาก ร่างของแอนโทนี มาร์คัสที่แข็งแกร่ง ดูเหมือนกำลังจะมีปัญหา


แม้แอนโทนี มาร์คัสจะไม่เคยฝึกกำลังภายใน แต่พลังลมปราณที่พลุ่งพล่านก็ไม่ด้อยไปกว่าตัวเขาเอง ตอนนี้เยี่ยเทียนรู้สึกว่าพลังลมปราณของคู่ต่อสู้กำลังถดถอยลงเรื่อย ๆ


ตอนที่ 643 จุดจบของราชามวย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ความจริงแล้ว การโจมตีของแอนโทนี มาร์คัสเป็นวิธีการธรรมดา ใช้แค่ขาทั้งสองเตะด้านข้าง


จากการฝึกซ้อมมาเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง ลูกเตะลูกถีบของเขาถือว่าขึ้นชั้นเซียนทีเดียว เพียงแค่การเตะด้านข้างธรรมดา ก็มีอย่างน้อยสามครั้งขึ้นไปที่เกือบทำให้เยี่ยเทียนเป็นอันตรายถึงชีวิต


หลังจากสู้กันได้เจ็ดแปดนาที แอนโทนี มาร์คัสบางครั้งก็ดูเหมือนเสือร้ายแห่งไซบีเรีย ต่อสู้ด้วยพละกำลังอย่างดุเดือด บางครั้งกลับดูเหมือนจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่หลบหลีกการโจมตีที่ถึงชีวิตของเยี่ยเทียน


แม้ว่าแอนโทนีจะทำให้เกิดบาดแผลบ้าง แต่จนถึงตอนนี้เยี่ยเทียนยังหาโอกาสโจมตีถึงชีวิตไม่ได้เลย สภาพการณ์แบบนี้กลับทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก


แอนโทนี มาร์คัสไม่เหมือนกับถังหลง โดยเฉพาะตอนที่ต่อสู้กับ โฮเกน เป็นเวลาสิบห้านาทีครั้งนั้น เขารู้ดีว่าพละกำลังเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการแข่งมวย


นอกจากจะต้องฝึกกระบวนท่าการโจมตีแล้ว แอนโทนียังให้ความสำคัญกับการฝึกความอดทน ตามการคาดเดาของเยี่ยเทียน แอนโทนีต่อสู้ในสิบนาที แรงไม่มีตกเลย


ด้วยสัญชาตญาณของเยี่ยเทียนที่แม่นยำไม่มีผิดเพี้ยนบอกว่าพละกำลังของฝ่ายตรงข้ามกำลังค่อยๆถดถอยลง ตรงท่อนขาของแอนโทนีที่เคยได้รับบาดเจ็บ กำลังเริ่มสั่นคลอนแล้ว


“หรือว่าจะเป็นการหลอก?” เยี่ยเทียนเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา


เยี่ยเทียนเดาไม่ผิด ตอนนี้แอนโทนี มาร์คัสกำลังปิดบังอาการบาดเจ็บของตัวเองอยู่


วิธีการฝึกซ้อมมวยปล้ำนั้นถ้าเทียบกับการฝึกวิชานอกรีตต่างๆแล้วเป็นที่เอน็จอนาถกว่ามาก พวกเขาอาศัยแรงโจมตีจากภายนอกเพื่อฝึกความอดทนอดกลั้นของตัวเอง ดึงเอาศักยภาพของร่างกายที่ซ่อนอยู่ออกมา


ศักยภาพของร่างกายมนุษย์นั้นไม่มีประมาณ ยกตัวอย่างเช่น มารดาที่ร่างกายบอบบางสามารถใช้มือยกรถทั้งคันที่กำลังทับตัวบุตรของเธออยู่ขึ้นได้


แต่ศักยภาพแบบนี้หาได้น้อยนัก เช่นเดียวกับการกระตุ้นสมองของมนุษย์ ปกติแล้วสมองของคนเราจะใช้ความสามารถที่แท้จริงอยู่เพียงยี่สิบเปอร์เซ็นต์  ต่อให้เป็นอัจฉริยะอย่างไอน์สไตน์ยังใช้ความสามารถของสมองได้ไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์เลย


ส่วนนักมวยใต้ดินเหล่านี้เคยผ่านการฝึกซ้อมตามหลักวิทยาศาสตร์ สามารถกระตุ้นศักยภาพของตัวเองออกมา กดดันให้เซลล์ในร่างกายแตกสลาย เพื่อให้กล้ามเนื้อสร้างเซลล์ใหม่ที่แข็งแกร่งกว่าเดิม ทั้งยั้งทนทานต่อแรงกระทำภายนอกได้นานขึ้นด้วย


แต่สภาพร่างกายที่ถูกกระตุ้นด้วยวิธีนี้มีอันตรายมาก ในขณะที่ใช้แรงจากภายนอกกระตุ้นนั้น ร่างกายมนุษย์จะได้รับความเสียหายอย่างรุนแรง เป็นอันตรายถึงชีวิตได้


นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมนักมวยอย่าง คิงวิลเลียมและคนอื่น ๆ จึงถอนตัวออกจากสังเวียนด้วยสถิติไร้พ่ายในประวัติศาสตร์ของกีฬามวย  แต่มีชีวิตอยู่ถึงแค่อายุหกสิบต้น ๆ เท่านั้น ส่วนผู้ที่ฝึกวิชากำลังภายในจนถึงขั้นสูงต่างอายุยืนอย่างน้อยถึงหนึ่งร้อยปี ซึ่งนี่คือความแตกต่างของนักสู้ทั้งสองคน


แอนโทนี มาร์คัส สามารถป้องกันแชมป์ได้ถึงสิบปีถือเป็นจุดสูงสุดในชีวิตของเขาแล้ว ในสิบปีนี้เขาอยู่ในวงการมวยปล้ำอย่างคงกระพัน มีชื่อเสียงเลื่องลือ แต่สิ่งที่ป้องกันไม่ได้คือ ตอนนี้เขากำลังเสื่อมลง


โดยเฉพาะเมื่อเยี่ยเทียนโจมตีโดยใช้ความอ่อนในความแข็ง ทุกครั้งที่โจมตีโดนคู่ต่อสู้ เป็นแรงกระทบที่เข้าไปทำลายอวัยวะภายในของแอนโทนี


แรงกระทบแบบนี้ถ้าโดนแค่ครั้งสองครั้งไม่เป็นไร แต่ถ้าโดนมากๆเข้า ก็จะทำให้อาการบาดเจ็บของแอนโทนีกำเริบขึ้นมา


แอนโทนีเริ่มรู้สึกว่าร่างกายเกิดความผิดปกติบางอย่าง สองขาที่เขาใช้โจมตีกำราบคู่ต่อสู้มานับไม่ถ้วน ตอนนี้กลับเริ่มสั่นอย่างควบคุมไม่ได้


หมัดเหล็กทั้งสองข้างก็ดูจะอ่อนแรงลงเช่นกัน แม้แต่ความเจ็บปวดตามร่างกายยังเริ่มทวีคูณขึ้น ความเจ็บปวดเหล่านี้ทำให้แอนโทนีกัดฟันทนเอาไว้


มองดูเยี่ยเทียนที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ได้ยินเสียงโห่ร้องตะโกนมาจากผู้ชม แอนโทนีเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมาว่าดูท่าคืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายในชีวิตของเขาแล้ว


แอนโทนี มาร์คัสไม่ถึงขนาดสูญเสียความมั่นใจไปเสียทีเดียว  ตอนนี้ในใจของเขาไม่สนเรื่องการแพ้ชนะอีกแล้ว เพราะในการต่อสู้ มีแพ้มีชนะเป็นเรื่องธรรมดา ตำแหน่งแชมป์จะอยู่หรือไม่ก็ไม่สำคัญ


แอนโทนีมองเห็นภาพในอดีตอย่างชัดเจน ชีวิตที่อัตคัดในวัยเด็ก สิบกว่าปีในสังเวียนมวยปล้ำที่มีชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้าย ทำให้ไม่เกรงกลัวความตาย ชีวิตนี้เขาต่อสู้ก็เพื่อการแข่งขัน!


เมื่อรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเริ่มอ่อนแอลงเรื่อยๆ แอนโทนีจ้องมองเยี่ยเทียนพูดว่า “ผมต่อสู้เพื่อมีชีวิตรอด ผมยินดีมากที่การต่อสู้ครั้งสุดท้ายของผมได้พบกับคุณ!”


เยี่ยเทียนรับฟังน้ำเสียงทุ้มต่ำของแอนโทนีแล้วส่ายหัวตอบกลับว่า “คุณเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ายกย่อง ถ้าหากคุณอายุน้อยกว่านี้สักห้าปี ผมคงไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของคุณได้!”


เยี่ยเทียนไม่ได้พูดหว่านล้อมและก็ไม่ได้ปลอบใจแอนโทนี เขาพูดตามความรู้สึกของตัวเอง


แม้ว่าสภาพร่างกายพละกำลังของเยี่ยเทียนจะแข็งแรงกว่าแอนโทนีเพียงเล็กน้อย แต่เรื่องการฆ่าคน เขาต่างจากแอนโทนีหลายขุม อันตรายที่เกิดขึ้นในหลายๆครั้งนี้เป็นเพราะเขาไม่มีประสบการณ์มากพอ


แอนโทนีเองเรื่องสัญชาตญาณเตือนภัยอันตรายแม้จะรวดเร็วกว่าคนทั่วไปหลายเท่าตัว แต่เขามีอาการบาดเจ็บที่หลบซ่อนอยู่ การแข่งขันครั้งนี้ใครจะเป็นผู้รอดชีวิตลงจากเวทีนั้นยังไม่อาจตัดสินได้


กับคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อเช่นนี้ เยี่ยเทียนให้ความนับถือ แอนโทนีเป็นคนที่มีชีวิตอยู่เพื่อมวยใต้ดิน ชีวิตและความเชื่อต่างยกให้กับมวยใต้ดินจนหมดสิ้นและแอนโทนี มาร์คัสก็ได้ขึ้นถึงจุดสูงสุดแล้ว


“ผมจะสู้จนวาระสุดท้าย ถึงจะไม่มีกำลังแล้ว ผมยังคงเป็นเครื่องมือฆ่าคนในตำนาน!”


แอนโทนีไม่พอใจกับคำตอบของเยี่ยเทียน การแข่งขันยังไม่สิ้นสุด เขาไม่มีทางยอมแพ้ง่ายๆ นี่ไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นความตาย แต่เพื่อชัยชนะ กับเกียรติศักดิ์ศรีแห่งเจ้าสังเวียน


“เข้ามาเลย!” เยี่ยเทียนผงกหัว พูดว่า “คุณจะต้องได้รับผลของการเป็นเจ้าแห่งสังเวียนมวย!”


“พวกคุณอยากตายก็รีบเข้า ให้ตายเถอะ เร็วๆหน่อย รีบๆจัดการปิดเกมส์ลงเสียที!”


บทสนทนาของเยี่ยเทียนกับแอนโทนีทำให้ผู้ชมทุกคนต่างจับจ้อง แต่บางคนรำคาญ อย่างเช่น โทนี่พ่อทูนหัวของแก๊งค์มาเฟียอิตาลีที่ก่นด่าอย่างรำคาญใจ


เสียงตะโกนอย่างห่านตัวผู้ของนายโทนี่ทำให้ผู้ชมแสบแก้วหู เยี่ยเทียนมองแอนโทนีด้วยสายตาที่เปลี่ยนเป็นเย็นชาลงทันที


ไม่ว่าเจ้าสังเวียนหลายสมัยอย่างแอนโทนี มาร์คัสหรือคนที่หยิ่งทระนงอย่างเยี่ยเทียนต่างไม่ชอบใจกับการสบประมาทแบบนี้ เยี่ยเทียนเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “เขาจะได้ตายก่อนคุณแน่นอน!”


“ใครๆก็ต้องตายทั้งนั้น!”


แอนโทนีไม่เข้าใจความหมายของเยี่ยเทียน แต่รู้สึกว่ากำลังของตนถดถอยลงไม่หยุด การถ่วงเวลาให้นานเข้าไม่เป็นผลดีกับตัวเองเลย


พร้อมกันนั้นแอนโทนีคำรามเสียงดังราวสัตว์ป่าแล้วพุ่งตัวเข้าหาเยี่ยเทียน ตอนนี้การเคลื่อนไหวของเขาไม่มีการป้องกันใดๆ แขนทั้งสองอ้ากว้าง เป็นครั้งแรกที่เขาไม่ได้ใช้ท่อนขาโจมตี


สายตาของเยี่ยเทียนเฝ้าจับตาสังเกตการเคลื่อนไหวของแอนโทนี แล้วตาก็ลุกวาวขึ้นมา เขารู้ว่าฝ่ายตรงข้ามกำลังคิดอะไรอยู่ เขาอยากจะเป็นผู้ชนะที่สังหารคู่ต่อสู้แล้วได้เป็นเจ้าสังเวียน


ทำดีได้ดี หากคนๆหนึ่งได้ตายไปพร้อมกับหลักการและความปรารถนานั้น ก็ถือว่าบรรลุถึงความสุขของชีวิตแล้ว


เยี่ยเทียนไม่มีความลังเลใด เขาพุ่งตัวออกไปรวดเร็วดั่งลูกธนู


ในระยะห่างจากตัวแอนโทนีประมาณสามเมตร เยี่ยเทียนใช้เท้าซ้ายถีบยันกับพื้น ออกแรงจากเอวและท้อง ตีลังการ้อยแปดสิบองศา ใช้แรงถีบจากเท้าขวาซัดเข้าที่ยอดอกของแอนโทนีเต็มๆ


“ผลั่ก!”


เสียงดังหนักๆดังลั่น ลูกถีบของเยี่ยเทียนมีแรงมหาศาล จนทำให้หน้าอกของแอนโทนีเป็นรอยบุ๋มลงไป


แรงสะท้อนที่รุนแรงซัดเอาร่างของแอนโทนีกระเด็นลอยออกไปทางรั้วเหล็กขอบเวที


รั้วเหล็กก็ไม่อาจหยุดยั้งแรงกระแทกอย่างมหาศาลนั้นลงได้ “ปัง” เสียงร่างกายแอนโทนีกระแทกกับรั้วเหล็กท่อนหนาขนาดเท่าสองท่อนแขนให้หักเป็นสองท่อน ร่างของเขายังถลาไปด้านหลังอีกไกล


ระยะห่างระหว่างแถวที่นั่งคนดูแถวแรกห่างจากเวทีประมาณห้าหกเมตร เยี่ยเทียนถีบแอนโทนีให้ลอยไปไกลถึงแถวที่นั่งของผู้ชม จะว่าบังเอิญหรือตั้งใจ ร่างของแอนโทนีลอยไปตกใกล้กับที่นั่งของนายโทนี่ที่พูดจาสบประมาทพวกเขาคนนั้น


ตอนที่ร่างของแอนโทนีลอยอยู่กลางอากาศ เขาได้กระอักเลือดสดๆออกมา อวัยวะภายในแหลกเหลว แต่ด้วยความเข้มแข็งซึ่งไม่ผิดจากที่เยี่ยเทียนคาดการณ์ไว้


“ขอบคุณมาก ผมอยากจะ เด็ดหัวเจ้านั่นมานานแล้ว!”


เรี่ยวแรงสุดท้ายของชีวิตกำลังเหือดหาย แต่สมองของแอนโทนีกลับรับรู้อย่างชัดเจน เมื่อเห็นว่าโทนี่นั่งอยู่ตรงหน้า แอนโทนีแสยะยิ้มออกมา


การเป็นนักมวยปล้ำมืออาชีพนั้น แอนโทนีเคยได้ยินเสียงตะโกนก่นด่าจากผู้ชมมามาก แต่คนเหล่านั้นเขาไม่สามารถทำความเดือดอะไรให้ได้ ตอนนี้ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีกแล้ว


แอนโทนีรวบรวมพละกำลังที่เหลืออยู่ยื่นมือซ้ายออกไป ค่อยๆบีบคอโทนี่ ผู้อาวุโสของแก๊งค์มาเฟียอิตาลีดูราวกับตกใจจนตัวแข็งค้าง ไม่กล้าขยับร่างกายหนีแม้แต่น้อย!


“แกร๊ก!” เสียงหักดังสะท้อนออกมา ลำคอของโทนี่อ่อนปวกเปียกลง ใบหน้ายังแสดงถึงความสับสนงุนงง ราวกับว่าประหลาดใจที่จู่ๆแอนโทนีมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าตน


“ขอบคุณมาก!”


แอนโทนีกระจ่างในความหมายของเยี่ยเทียนแล้ว เมื่อหักคอโทนี่เสร็จ ใบหน้าของแอนโทนียิ้มแย้มอย่างอิ่มเอม เส้นทางบนสังเวียนมวยปล้ำของเขาเริ่มด้วยการฆ่าคน ไม่คิดว่าจะจบลงด้วยการฆ่าคนเช่นกัน แอนโทนีรู้สึกพึงพอใจแล้ว


“ลากเขาออกมา รีบลากเขาออกมา!” ถึงคลีเมตสันจะรับปากในคำขอของเยี่ยเทียน ให้คนในสนามแข่งทั้งหมดลงนามยอมรับความเป็นความตาย


แต่เหตุผลที่เลือกสถานที่นี้เป็นสนามแข่ง ก็เพื่อจะหลีกเลี่ยงสถานการณ์ตรงหน้า แต่ลูกถีบของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ เห็นได้ชัดว่าอยู่นอกเหนือการควบคุมของคลีเมตสัน เขาจึงรีบตะโกนเรียกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเข้ามาจัดการในสนามแข่ง


แต่ตอนที่พวกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยใช้ไม้กระบองหนังทุบตีแยกมือของแอนโทนีออกจากลำคอของโทนี่นั้น เขาได้สิ้นลมไปแล้ว แอนโทนีก็จากไปอย่างสงบด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มเช่นกัน


ตอนที่ 644 ศักดิ์ศรี

โดย

Ink Stone_Fantasy

“บ้าเอ๊ย ไอ้ขี้หมา ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?”


เมื่อคลีเมตสันมาถึงที่เกิดเหตุ มองดูร่างไร้วิญญาณของทั้งสองคน แล้วก็ทำเอาคนภูมิฐานสง่ามงามอย่างเขาร้องสบถคำหยาบออกมา


แน่นอนว่าคลีเมตสันไม่ได้โกรธเคืองที่แอนโทนี มาร์คัสจบชีวิตลง เขาได้เห็นมาตั้งแต่สมัยรุ่นถังหลง นักมวยผู้ยิ่งใหญ่หลายคนที่ถูกล้มมวย เขาไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับความเป็นความตายของเหล่านักมวยอยู่แล้ว


แต่การตายของโทนี่ กลับทำให้คลีเมตสันยุ่งยากใจ


แม้โทนี่จะเซ็นสัญญาความเป็นความตายไปแล้ว แต่ด้วยตำแหน่งพ่อทูนหัวของแก๊งค์มาเฟียอิตาลีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนั้น ทำให้ผลจากการตายของโทนี่ยิ่งร้ายแรงเข้าไปใหญ่


อย่างน้อยขบวนการใต้ดินในหลายๆเมืองของอเมริกาและอิตาลี จะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง ตระกูลของโทนี่จะได้รับการโจมตีจากอิทธิพลอื่น ไม่แน่ว่าเรื่องราวในภาพยนตร์เรื่อง “ก๊อดฟาเธอร์” ยุค 60-70  จะเกิดซ้ำรอยอีกครั้ง


สีหน้าของคลีเมตสันหมองคล้ำ ชี้นิ้วสั่นๆไปที่ร่างไร้วิญญาณใบหน้าเปื้อนยิ้มของแอนโทนี มาร์คัส แล้วตะโกนสั่งว่า “เอาศพของเขาลากออกไป มอบให้รูดอล์ฟ….”


คลีเมตสันไตร่ตรองแล้วว่าเรื่องนี้ เรือสำราญควีนอลิซาเบธจะต้องออกหน้าจัดการ แต่โทนี่กลับตายด้วยฝีมือของนักมวยในสังกัดของรูดอล์ฟ แน่นอนว่าต้องให้รูดอล์ฟเป็นฝ่ายรับผิดชอบ


“คลีเมตสัน คุณหมายความว่าอย่างไร?”


รูดอล์ฟผู้กำลังตกตะลึงที่แอนโทนีถูกเยี่ยเทียนโจมตีจนเสียชีวิต ดึงสติกลับมาได้ยังไม่ทันคิดคำนวณถึงค่าความเสียหายที่จะตามมาเลย พอได้ยินคำประกาศของคลีเมตสันแล้ว


ทำให้รูดอล์ฟไม่พอใจเป็นอย่างมาก เขาไม่เกรงกลัวอิทธิพลเบื้องหลังของคลีเมตสันแม้แต่น้อย ระเบิดโทสะความอัดอั้นเข้าใส่คลีเมตสันเต็มที่


ตอนที่ทั้งสองกำลังมีปากเสียงกัน  มีเสียงเยียบเย็นเสียงหนึ่งขัดขึ้น  “พอแล้ว  พวกคุณไม่ต้องเถียงกัน เรื่องนี้ เรือ    ควีนอลิซาเบธจะต้องเป็นคนจัดการ รูดอล์ฟ คุณไม่ต้องกังวล!”


ผู้พูดคือบุรุษวัยกลางคนสวมชุดสูทสีขาวบริสุทธิ์ เขามองดูร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของแอนโทนี มาร์คัส บนพื้นด้วยสายตาขยะแขยง แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปิดปากแล้วเอ่ยต่อว่า “รูดอล์ฟ คิดว่าคุณคงไม่อยากจะนำร่างนี้กลับไปด้วยหรอก? เอาโยนลงทะเลไปเลยดีไหม?”


ร่างของนักมวยที่สิ้นชีวิต แม้ตอนมีลมหายใจอยู่เขาได้เป็นถึงราชามวยเจ้าสังเวียนระดับโลก แต่เมื่อตายไปแล้วก็เป็นแค่ศพๆหนึ่งเท่านั้น ในสายตาของผู้มีอำนาจทั้งหลาย ร่างนี้ไม่ต่างอะไรกับร่างของสัตว์เลี้ยงที่ตายไป


ชายในชุดสูทสีขาวแสดงออกถึงสถานะของตนอย่างชัดเจน พอเอ่ยออกไปอย่างนี้ ทำให้เหล่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยลงมือโดยที่ไม่รอความเห็นจากรูดอล์ฟ จัดการนำถุงใส่ศพออกมาแล้วยัดร่างของแอนโทนี มาร์คัสลงไป


“เดี๋ยวก่อน!”


เสียงของเยี่ยเทียนดังขึ้น ไม่รู้ว่าเขาเดินผ่านรั้วเหล็กนั่นเข้ามาจนถึงจุดเกิดเหตุตั้งแต่เมื่อไหร่


สิ้นเสียงของเยี่ยเทียน สีหน้าของเหล่าบรรดามหาเศรษฐีก็เปลี่ยนไปทันที ต่างถอยหลังไปกันคนละหลายก้าว ความสามารถและความดุดันของเยี่ยเทียนที่แสดงออกตอนต่อสู้ ทำให้คนอื่นรู้สึกหวาดเกรง


แม้แต่เจ้าหน้ที่รักษาความปลอดภัยที่ถือถุงใส่ศพอยู่ยังโยนถุงในมือทิ้ง แล้วยืนเท้าสะเอวกำบังเพื่อปกป้องชายสวมสูทขาวคนนั้น


“คุณเยี่ยเทียน คุณมีข้อข้องใจกับการจัดการศพแอนโทนีของผมอย่างนั้นหรือ?”


ชายวัยกลางคนเลิกคิ้วถาม ดวงตาดูสงบราบเรียบ แต่ด้วยคำพูดที่ต้องการหาเรื่องเยี่ยเทียน ด้วยสถานภาพอย่างเขา แม้แต่ตอนที่เข้าพบกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษ เขายังใช้ท่าทางแบบนี้เลย


เยี่ยเทียนส่ายหัว ตอบว่า “เขาตายอย่างมีเกียรติ พิธีศพนั้นช่างมันเถอะ ใช้ไฟเผาร่างแล้วเอาเถ้ากระดูกโยนลงทะเลแล้วกัน!”


จะว่ากันตามจริงแล้ว หลังจากเอาชีวิตแอนโทนีได้แล้ว เยี่ยเทียนไม่ได้รู้สึกยินดีเลย กลับรู้สึกหดหู่ใจมากกว่า


เขาไม่รู้ว่าอนาคตตนจะได้พบกับคู้ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อแบบนี้อีกไหม แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่าแอนโทนีชนะใจเยี่ยเทียนไปเต็มๆ เขาไม่อยากให้คนอื่นทำการลบหลู่ร่างของแอนโทนี


“คุณเยี่ยเทียน นี่บนเรือสำราญควีนอลิซาเบธ คุณควรเคารพกฎบนเรือบ้าง”


ชายวัยกลางคนไม่สะทกสะท้านกับคำพูดของเยี่ยเทียน จึงตอบด้วยน้ำเสียงเฉยชาว่า “บนเรือควีนอลิซาเบธลำนี้ สิ่งที่ผมพูดนั้นก็คือกฎเสมอ”


ดูภายนอกแม้จะไม่ได้โอ้อวดใหญ่โต แต่คำพูดกลับแสดงถึงอำนาจยิ่งใหญ่ แต่สิ่งที่ทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกแปลกใจคือ คนที่อยู่โดยรอบไม่มีใครแสดงท่าทีไม่พอใจในคำพูดของชายคนนี้เลย


“การแข่งมวยยังไม่จบ ผมสงสัยว่าแอนโทนี มาร์คัส ยังมีชีวิตอยู่  ผมว่า…การแข่งขันควรดำเนินต่อไปได้?”


เยี่ยเทียนไม่สนใจว่าชายตรงหน้าเป็นใคร มองเขาด้วยสายตาเย็นชา พูดว่า “พวกคุณเซ็นสัญญาความเป็นความตายแล้ว จะมีคนตายไปบ้างคงจะไม่เป็นไรใช่ไหม?”


การต่อสู้ที่ดุเดือดเพิ่งผ่านพ้นไป จิตสังหารรุนแรงในตัวเยี่ยเทียนยังไม่ทันเจือจาง คำพูดที่เปล่งออกไปทำให้อากาศโดยรอบเย็นลงหลายองศา


พลังจิตสังหารที่มีอานุภาพรุนแรงทำให้ภายในสถานที่นั้นรู้สึกราวกับมีลมหนาวยะเยือกพัดผ่าน ทุกคนต่างขนหัวลุกไปตามๆกัน ราวกับว่าไม่ได้เกิดจากเยี่ยเทียนเพียงคนเดียว แต่มีซาตานที่ขึ้นมาจากขุมนรกกำลังจะปรากฎตัวออกมา


เหล่ามหาเศรษฐีทั้งหลายถอยกรูดไปอีกคนละหลายก้าว แม้แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ยืนกำบังชายวัยกลางคนนั้นอยู่ยังควักเอาปืนพกออกมาเล็งไปที่เยี่ยเทียน


“ผมไม่ชอบอะไรแบบนี้ ยิ่งไม่ชอบให้ใครเอาปืนมาจ่อที่ตัวผม!”


เยี่ยเทียนส่ายหน้า เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วโดยไม่รอให้คนเหล่านั้นได้ทันตั้งตัว เข้าไปเสียบตรงกลางระหว่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองคน ทันใดนั้นปืนในมือของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยคนหนึ่งก็ตกมาอยู่ในมือของเยี่ยเทียนอย่างง่ายดาย


เยี่ยเทียนจับที่ด้ามปืน มือขวาค่อยๆออกแรง ปืนสีเงินกระบอกนั้นงอลงทันที


ผ่านไปสิบกว่าวินาที ปืนกระบอกนั้นถูกบิดดัดเป็นวงกลม ทำเอาผู้คนที่ยืนอยู่ตื่นตกใจจนหัวใจแทบหยุดเต้น ถ้ามือของเยี่ยเทียนมาอยู่บนร่างกายใครก็แล้วแต่ จะไม่ถูกบิดเนื้อให้เละเป็นเนื้อบดเลยหรือ?


“เก็บปืนให้หมด คุณเยี่ยเทียนเป็นแขกของเรา ใครให้พวกแกทำแบบนี้?”


เห็นการเคลื่อนไหวของเยี่ยเทียนแล้ว ในที่สุดชายวัยกลางคนได้เอ่ยออกมา แม้รอบข้างตัวเขาจะมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรายล้อมไว้ แต่เขารู้สึกได้ว่า สายตาที่เยี่ยเทียนมองเขานั้น ราวกับว่าตัวเขาเป็นแพะที่กำลังจะถูกสังเวย


ถึงจะไม่พอใจนัก แต่เขาไม่อาจเอาชีวิตของตัวเองไปล้อเล่น ในสายตาของคนฉลาด ชีวิตนั้นสำคัญกว่าหน้าตาเป็นไหนๆ


อีกอย่างชายวัยกลางคนๆนี้แม้อายุดูราวประมาณสี่สิบต้นๆ แต่ความจริงแล้วเขาอายุเกินหกสิบปีแล้ว แน่นอนว่าไม่จำเป็นต้องไปถือสาหาความเด็กหนุ่มอย่างเยี่ยเทียน จึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “คุณเยี่ย ผมสามารถทำตามความต้องการของคุณได้ นำศพของแอนโทนี มาร์คัสไปเผา แล้วนำเถ้ากระดูกโปรยลงทะเล!”


“อย่างนี้สิถึงจะถูก ผลการประลอง คุณสามารถประกาศได้แล้วในตอนนี้!”


ในที่สุดเยี่ยเทียนก็ยิ้มออกมา พลังจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากตัวเขาสูญสลายหายไปทันที ความเปลี่ยนแปลงฉับพลันนี้ทำให้ผู้ที่อยู่รอบข้างจับความรู้สึกไม่ทัน


และทำให้มุมมองของผู้ชมคนๆอื่นที่มีต่อเยี่ยเทียนนั้นเปลี่ยนไป ความองอาจอาจหาญนั้นไม่สำคัญ พวกเขามีวิธีเป็นร้อยๆวิธีที่จะทำให้เยี่ยเทียนสูญหายไป


แต่เมื่อเยี่ยเทีนเปลี่ยนสีหน้าฉับพลัน กลับเป็นสิ่งพื้นฐานที่ผู้ชนะพึงมี ในสมัยนี้ ใบหน้ายิ้มแย้มแต่วาจาบาดลึกนั้นถึงจะเป็นสิ่งที่น่าเกรงกลัว


รูดอล์ฟจากตอนแรกที่ใช้สายตาโกรธแค้นอาฆาตมองเยี่ยเทียน พอเห็นดังนี้อดรู้สึกสะท้อนใจไม่ได้ จึงรีบขับไล่ความคิดชั่วร้ายทั้งหลายออกไปจากสมอง


รูดอล์ฟเข้าใจดีว่าถ้าตนเองเกิดไปกระทำการเป็นปฏิปักษ์กับเยี่ยเทียน คนที่ตายคงจะเป็นตนเองเสียมากกว่า รูดอล์ฟไม่อาจรับผลที่จะตามมาได้


เยี่ยเทียนรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ตึงเครียดคลี่คลายลงแล้ว จึงยิ้มแย้มแล้วทักท้วงว่า  “ผลการตัดสินล่ะ คุณคงไม่อยากทนเห็นผมที่กำลังบาดเจ็บหนักอยู่ เฝ้ารอให้คุณประกาศผลอยู่อย่างนี้ใช่ไหม?”


คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้ดึงดูดสายตาหมั่นไส้หลายคู่ อย่าว่าแต่บาดเจ็บสาหัสเลย แม้แต่รอยขีดข่วนสักเล็กน้อยยังไม่มี พวกเขาไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนใช้มือบิดกระบอกปืนที่ทำจากเหล็กกล้าให้กลายเป็นวงกลมได้


“อ้า มาแล้ว มาแล้ว!”


เยี่ยเทียนออกปากเตือนถึงสองครั้ง ในที่สุดกรรมการที่ยืนตะลึงอยู่ในกลุ่มคนถึงรู้สึกตัว รีบแหวกกลุ่มคนเข้ามา ยื่นมือขวารองที่ใต้จมูกของแอนโทนี มาร์คัสเพื่อตรวจสอบลมหายใจ แล้วตะโกนออกมาว่า “แอนโทนี มาร์คัสตายแล้ว การแข่งขันครั้งนี้ นักมวยที่มาจากประเทศจีน….คุณเยี่ย เป็นผู้ชนะ!”


กรรมการมองดูเยี่ยเทียนอย่างลังเล อย่างไรก็ไม่กล้าเดินเข้าใกล้เยี่ยเทียนเพื่อชูมือขึ้นตามธรรมเนียม เพราะตัวกรรมการเองก็ได้เซ็นสัญญาความเป็นความตายไว้เหมือนกัน หากเยี่ยเทียนเกิดไม่พอใจขึ้นมา เขามิได้ตายเปล่าหรอกหรือ


“ผมกลับได้แล้วใช่ไหม?”


จนถึงตอนนี้ ใบหน้าของเยี่ยเทียนแสดงออกถึงความอ่อนล้า เขาโบกมือแล้วพูดว่า “เหล่าต่ง คุณกับรูดอล์ฟไปคุยกันเถอะ พี่จู้ คุณกลับห้องพักไปกับผม!”


ต่งเซิงไห่ผู้ยินดีปรีดารีบผงกหัวรับคำ “ได้ครับ ท่านเยี่ย วางใจเถอะ คำสัญญาที่ผมเคยให้ไว้ผมจะทำตามนั้นแน่นอน!”


การแข่งขันมวยธรรมดา อย่างน้อยยังต้องใช้เวลาแข่งเกินกว่าห้านาที แต่เยี่ยเทียนกับแอนโทนี มาร์คัสใช้เวลาต่อสู้กันนานถึงสิบนาที


แม้สิบนาทีจะเป็นเวลาไม่นาน แต่กลับทำให้ต่งเซิงไห่ใจเต้นตุ้มตุ้มต่อมต่อม จนลูกถีบสุดท้ายของเยี่ยเทียนนั่นเอง จึงทำให้ต่งเซิงไห่สามารถหายใจได้ทั่วท้องอีกครั้ง


“ไปเถอะ!”


เยี่ยเทียนกวาดตามองทางผู้ชมโดยรอบอีกครั้ง กลุ่มชนที่ตอนแรกห้อมล้อมเขาไว้อย่างแน่นหนานั้น ค่อยแหวกทางเปิดออกเป็นทางเดินให้เยี่ยเทียนผ่านออกไป


ตอนที่กรรมการประกาศให้เยี่ยเทียนชนะนั้น ทุกคนถึงเข้าใจว่า โลกของมวยใต้ดินตอนนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว ซาตานที่ขึ้นมาจากนรกนั้นต่อไปในอนาคตจะเปลี่ยนจากแอนโทนี มาร์คัสเป็นเจ้าหนุ่มคนจีนคนนี้แล้ว


อีกทั้งสถานะของเยี่ยเทียนยิ่งสำคัญมาก เขาจะไม่ถูกควบคุมให้เข้าสังกัดใครง่ายๆแน่นอน เยี่ยเทียนเป็นคนในชนชั้นสูงเป็นมหาเศรษฐีเช่นเดียวกันกับพวกเขา


หรือจะกล่าวได้อีกอย่างว่า ขอเพียงต้องการ เยี่ยเทียนจะลงแข่งขันในการต่อสู้ครั้งไหนก็ได้ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงฐานอำนาจในพื้นที่นั้นๆได้ทันที  และนี่ส่งผลอย่างมากต่อกลุ่มมวยใต้ดินทั่วโลกเลยทีเดียว


ตอนที่ 645 ดวงจิต

โดย

Ink Stone_Fantasy

“นี่…นี่มันสุดยอดไปเลย เก่งกาจที่สุด!”


จู้เหวยเฟิงเดินตามหลังเยี่ยเทียน รับรู้ความรู้สึกของการเป็นผู้ถูกเหล่ามหาเศรษฐีทั้งหลายจับจ้องเป็นตาเดียว ราวกับอยู่ในฝันก็ไม่ปาน จนเมื่อบริกรเดินนำเข้าไปในลิฟต์ เขาถึงร้องออกมา


แม้ในประเทศจีนเขาเป็นคนที่มีพื้นฐานครอบครัวดีมาก แต่คุณชายจู้เมื่ออยู่นอกประเทศบ้านเกิดกลับไม่ได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดี นี่ถึงทำให้เขารู้สึกคึกคักฮึกเหิม ปากบ่นสบถคำหยาบออกมา


“ความเคารพน่ะพวกเขาให้ผม เกี่ยวอะไรกับคุณด้วยเล่า?”


เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว ชำเลืองมองดูจู้เหวยเฟิง ตอบกลับอย่างเนือยๆว่า “ครั้งนี้ผมไม่ได้ช่วยพวกคุณนะ แต่ผมกำลังช่วยตัวเองต่างหาก ค่ายมวยเหล่านั้นจะรักษาไว้ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับพวกคุณแล้ว!”


เป้าหมายที่ทั้งจู้เหวยเฟิงและต่งเซิงไห่ได้มอบเงินจำนวนหลายพันล้านดอลลาร์ให้แก่ตนนั้น เยี่ยเทียนเข้าใจดี


หากวันหน้าพวกเขามีเรื่องเดือดร้อนอะไรก็หวังให้เยี่ยเทียนช่วยออกหน้า แต่เยี่ยเทียนจะไม่ก้าวก่ายในกิจการมวยใต้ดินอีก เพราะเขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการแล้ว


ยิ่งกว่านั้น การปรากฏตัวของเยี่ยเทียนทำให้เหล่าบรรดาเถ้าแก่ทั้งหลายในวงการมวยปล้ำแต่ละประเทศนั่งกันไม่ติด ไม่แน่ว่าบางคนที่มีตาแต่ไร้แวว วางแผนลอบทำร้ายเขา เยี่ยเทียนต้องป้องกันไว้ก่อน


“เยี่ยเทียน ท่านเยี่ย นาย…นายทำแบบนี้ไม่ได้นะ ฉัน…ฉันคนเดียวดูแลค่ายมวยทั้งสองแห่งไหวที่ไหน?”


ได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้ว จู้เหวยเฟิงอึ้งไป ค่ายมวยในประเทศไทยมีฟรุสเป็นผู้ดูแล เขาไม่ต้องกังวล


แต่ค่ายมวยทั้งในจีนและญี่ปุ่น กลับต้องให้จู้เหวยเฟิงเป็นผู้จัดการ ถ้าไม่มีคนมีฝีมือคอยดูแลควบคุม ไม่แน่ว่าการแข่งมวยใต้ดินปีหน้า พื้นที่ทั้งสองแห่งอาจจะถูกชิงไปก็ได้


เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตอบว่า “วางใจเถอะ ภายในปีสองปีนี้ ไม่มีใครกล้าออกมาท้าทายคุณหรอก หลังจากสองปีไปแล้ว ถ้าค่ายมวยของคุณยังพัฒนาไม่ขึ้น ฝืนทำต่อไปคงไม่มีประโยชน์แล้ว น่าจะต้องเปลี่ยนคนดูแลใหม่เสียที”


ศึกครั้งนี้ของเยี่ยเทียนเป็นการตัดสินตำแหน่งฐานะของเขาในวงการมวยใต้ดิน ถ้ามีคนกล้าท้าทายค่ายมวยของจู้เหวยเฟิง ควรจะต้องพิจารณาถึงเยี่ยเทียนด้วย ดังนั้นในระยะเวลาอันใกล้นี้ จู้เหวยเฟิงถึงไม่ควรกังวล


แต่ถ้าในสองปีนี้เยี่ยเทียนไม่ปรากฏตัวในวงการมวยปล้ำเลย เกรงว่าคนอื่นอาจจะสงสัย แน่นอนว่าเยี่ยเทียนไม่ต้องออกมาลงสนามแข่งอีกครั้ง เพียงแต่อาศัยจู้เหวยเฟิงตัวคนเดียวแล้ว


จู้เหวยเฟิงเป็นคนฉลาด เข้าใจความหมายที่เยี่ยเทียนต้องการจะบอก จึงตอบรับอย่างยอมรับชะตากรรมว่า “เอาเถอะ ฉันจะพยายามก็แล้วกัน!”


บริกรเดินนำทั้งสองกลับถึงห้องพัก เมื่อเดินพ้นประตูห้อง ร่างกายของเยี่ยเทียนโคลงเคลง พูดเสียงต่ำสั่งว่า “ปิดประตูเดี๋ยวนี้!”


เห็นใบหน้าที่เคยเป็นสีชมพูระเรื่อตอนนี้เปลี่ยนเป็นขาวซีด จู้เหวยเฟิงรีบเข้าไปประคอง ถามอย่างร้อนรน “เป็นอะไรไป นายได้รับบาดเจ็บหรือ? เมื่อกี้ทำไมไม่ให้ตามหมอเล่า?”


เยี่ยเทียนโบกมือ ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ไม่เป็นไร คุณเข้าไปในห้องน้ำเปิดน้ำลงไปในอ่างอาบน้ำให้เต็ม ต้องน้ำร้อนนะ ยิ่งร้อนยิ่งดี!”


ตอนที่ต่อสู้กับแอนโทนี มาร์คัส เยี่ยเทียนไม่ได้ดูสบายๆเหมือนท่าทีที่แสดงออกมา ภายในเวลาสิบนาที เขาได้รับการโจมตีอย่างหนักหน่วงจนเกือบถึงชีวิตหลายครั้ง ร่างกายบอบช้ำสาหัส


ไหล่ซ้ายของเยี่ยเทียนผิดรูปอย่างรุนแรง กระดูกน่องที่ขาซ้ายหัก ซี่โครงด้านขวาหักไปหนึ่งท่อน อวัยวะภายในบอบช้ำ อวัยวะสำคัญเกือบจะเคลื่อนตำแหน่ง เขาสามารถเดินกลับมาถึงห้องพักด้วยตัวเองได้ต้องใช้พลังชีวิตเพื่อพยุงไว้


อาการบาดเจ็บเก่าของแอนโทนี มาร์คัสถูกกระตุ้นให้แสดงออกมา พลังชีวิตของเยี่ยเทียนสูญเสียไปถึงเจ็ดแปดส่วน สติเริ่มจะหลุดลอย ร่างทั้งร่างแทบล้มทั้งยืน


รอจนจู้เหวยเฟิงเปิดน้ำเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนเดินกลับเข้าห้องนอนของตน หยิบเอายาสูตรลับของสำนักออกมา เขาเคยคิดจะพกยาขึ้นไปต่อสู้ด้วย แต่ในใจกลัวพะวักพะวง สุดท้ายจึงไม่ได้นำติดตัวไป วางทิ้งไว้ในห้อง


“เยี่ยเทียน เสร็จแล้ว!” ผ่านไปไม่กี่นาที จู้เหวยเฟิงเดินออกมาพยุงเยี่ยเทียนเข้าไปในห้องอาบน้ำ


เปิดขวดยาออก เยี่ยเทียนหยิบยาเม็ดแรกโยนเข้าปาก แล้วเทยาออกมาอีกเม็ดบดให้แตกแล้วโรยลงในอ่างอาบน้ำ ทำให้ทั้งห้องอาบน้ำอบอวลไปด้วยกลิ่นฉุนๆของยา


เยี่ยเทียนใช้มือกวนคนน้ำในอ่างเพื่อให้ฤทธิ์ยากระจาย แล้วถอดชุดฝึกวิชาที่ขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดีออก จู้เหวยเฟิงมองดูเยี่ยเทียนถอดเสื้อผ้าเหมือนปกติ แล้วจู่ๆก็ตะลึงตาค้าง เพราะตามผิวขาวๆของเยี่ยเทียนมีร่องรอยบาดเจ็บเต็มตัวไปหมด


ไหล่ซ้ายของเยี่ยเทียนบวมนูนออกมามาก แขนซ้ายเกือบจะบิดผิดรูป ที่กระดูกซี่โครงตรงหน้าอกมีรอยเขียวช้ำดวงโต น่องด้านซ้ายยิ่งบวมใหญ่ขนาดเท่าต้นขา ผิวหนังเกือบจะเปลี่ยนเป็นสีดำ แค่เพียงดีดเบาๆก็แตกได้


“ออกไป ถ้าผมไม่เรียกไม่ต้องเข้ามา!”


เมื่อไม่มีพลังชีวิตควบคุมบาดแผล หน้าผากของเยี่ยเทียนมีเหงื่อเม็ดเล็กเม็ดใหญ่ผุดออกมา เขายกขาซ้ายขึ้นอย่างยากลำบาก ค่อยๆวางลงในอ่างอาบน้ำ


“ซี้ด….”


เมื่อขาข้างซ้ายเข้าไปในอ่างอาบน้ำได้แล้ว ความเจ็บปวดที่ถูกกระดูกแทงโลดแล่น ทำเอาเยี่ยเทียนหน้าเปลี่ยนสี เขาสูดลมหายใจเข้า สีหน้าที่เคยซีดขาวเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เหงื่อเหนียวๆผุดขึ้นมาบนใบหน้าไหลหยดลงเป็นทาง


“ให้ตายเถอะ ครั้งนี้เล่นเอาบาดเจ็บถึงเอ็นถึงกระดูกเลย!”


เยี่ยเทียนกัดฟัน ค่อย ๆ ย้ายร่างกายลงไปอยู่ในอ่างอาบน้ำ ทุกครั้งที่ส่วนที่บาดเจ็บถูกน้ำ ทำให้เขาเจ็บปวดจนต้องกัดริมฝีปากไว้แน่นจนมุมปากมีเลือดไหลออกมา


“ฮู่….”


ในที่สุดก็นำร่างทั้งตัวลงมาอยู่ในอ่างได้แล้ว เยี่ยเทียนผ่อนลมหายใจออกยาว การกระทำง่ายๆแค่นี้ยังกินเวลาตั้งห้านาที


ร่างทั้งร่างที่แช่อยู่ในน้ำร้อนจัด เยี่ยเทียนรู้สึกถึงฤทธิ์ของยา ที่กำลังซึมซาบเข้าสู่ผิวหนัง แม้จะทั้งชาทั้งคันเหลือทน แต่อาการบาดเจ็บกำลังค่อยๆดีขึ้น


สูดลมหายใจเข้าลึก เยี่ยเทียนดึงพลังขึ้นมาจากจุดตันเถียน หมุนเวียนลมปราณในร่างกาย ครบหนึ่งรอบแล้ว จิตของเยี่ยเทียนดิ่งลึกลงสู่ฌาน ความเจ็บปวดบนร่างกายไม่อาจรบกวนเขาได้อีก


ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง บนศีรษะของเยี่ยเทียนมีไอร้อนพุ่งออกมา ผิวหนังที่อยู่เหนือน้ำเปลี่ยนเป็นสีแดง รูขุมขนตามผิวหนังมีเลือดคั่งซึมออกมา น้ำยาในอ่างเกิดเป็นกลิ่นคาวคลุ้ง


“ดูท่าจะไม่เหลืออาการบาดเจ็บภายใน ให้ตายเถอะ ลูกเตะของแอนโทนี มาร์คัส ร้ายกาจจริงๆ!”


เยี่ยเทียนฟื้นขึ้นจากฌาน ถูกกลิ่นคาวเลือดของน้ำยาที่ตัวเองแช่อยู่สะดุ้งโหยงกระโดดออกมาจากอ่าง เปิดพัดลมระบายอากาศแล้วดึงเอาจุกยางใต้พื้นอ่างออกปล่อยน้ำเสียลงท่อ


แม้จะรู้สึกอ่อนเพลียเต็มกำลัง แต่ดวงตาของเยี่ยเทียนกลับเห็นชัดขึ้นมาก ยิ่งกว่านั้นยังรู้สึกถึงประกายบางอย่างในดวงตาที่บอกไม่ถูก ทำให้คนอื่นไม่กล้าสบตาด้วย


อาการบาดเจ็บดีขึ้นมาก รอยช้ำเลือดที่น่องจางลงจนเกือบหายสนิท แต่ในเมื่อบาดเจ็บถึงกระดูกก็ต้องพักรักษาตัวสักระยะ


ส่วนรอยช้ำที่กระดูกซี่โครงตรงหน้าอกก็จางลงเช่นกัน เหลือเพียงความยุ่งยากอีกอย่างนั่นคือหัวไหล่ซ้าย นอกจากกระดูกข้อไหล่ที่ถูกเตะจนข้อแตกแล้ว กระดูกท่อนแขนยังหักเป็นสองท่อน


ใช้น้ำร้อนจากฝักบัวชะล้างคราบเลือดคั่งออกแล้ว เยี่ยเทียนเปิดน้ำร้อนลงในอ่างอาบน้ำอีกครั้ง น้ำร้อนจะสามารถกระตุ้นผิวหนังของเขา ช่วยให้พลังชีวิตที่มีอยู่ไปขับเอาเลือดคั่งที่ค้างอยู่ตามเส้นลมปราณออกไป


จนถึงตอนนี้ เยี่ยเทียนพอมีเวลาคิดใคร่ครวญถึงผลได้ผลเสียจากการต่อสู้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายในวันนี้ เขาค่อยๆหลับตาลง ภาพการต่อสู้กับแอนโทนี มาร์คัสปรากฎขึ้นเป็นฉากๆในสมอง


“วัฏจักรชีวิตมนุษย์ กล่าวคือชาติที่แล้วชาตินี้และชาติหน้า หนีไม่พ้นอารมณ์กิเลสและห้วงทุกข์ทั้งปวง”


ในหัวของเยี่ยเทียนคิดถึงคำสอนในตำรา 《เปิ่นอวี้เซิงจิง》 ที่ได้กล่าวไว้ เมื่อเขาได้เผชิญกับศึกแห่งความเป็นความตาย จึงได้เข้าใจความหมายของคำสอนประโยคนี้อย่างลึกซึ้ง


เยี่ยเทียนนึกทบทวนความรู้สึกของชีวิตในจุดวิกฤตชนิดเส้นยาแดงผ่าแปดนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ลมหายใจผ่อนคลายลึกยาว น้ำร้อนที่โอบอุ้มร่างกายเขาเอาไว้ ราวกับเป็นครรภ์ของมารดาที่ปกป้องเลี้ยงดูบุตร


จู่ๆก็เกิดความเจ็บปวดแทรกขึ้นมาในห้วงความคิด แต่ความเจ็บปวดนั้นก็สลายไปอย่างรวดเร็วเหมือนตอนมา ตามด้วยความรู้สึกราวกับตัวเองลอยอยู่ในความมืด ความสุขสบายค่อยแผ่ซ่านปกคลุมตัวเขาอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน


อยู่ในความมืดมิดที่เป็นอนันต์ เมื่ออยู่ในนี้ เยี่ยเทียนปราศจากความรู้สึกและอารมณ์ใดๆ จิตใจสงบสุขเหนือคำบรรยาย


ทันใดนั้นเองเยี่ยเทียนรู้สึกถึงแสงสว่างจากเบื้องบน ตัวของเขาพุ่งสูงขึ้น ล่องลอยอยู่กลางอากาศ แต่เมื่อเยี่ยเทียนมองลงดูด้านล่างกลับพบว่า ร่างกายยังคงนอนแช่อยู่ในอ่างอาบน้ำ


“ถอดจิต?”


ในสมองเยี่ยเทียนผุดคำๆนี้ขึ้นมา แล้วคิดพิจารณาอีกครั้ง พบว่าเขาจิตของเขาอยู่ในอีกดินแดนหนึ่ง ไม่ได้รวมเป็นหนึ่งกับร่างกาย


“หรือว่าเราบรรลุถึงขั้นเปลี่ยนจิตให้ว่างได้แล้ว?”


เยี่ยเทียนไม่ได้เกิดความหวาดกลัว แต่กลับปิติลิงโลด แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้ซึมซาบความสุขนั้น ด้านล่างเกิดมีแรงดึงดูดมหาศาลที่รั้งให้ดวงจิตของเขากลับเข้าสู่ร่างกาย


“บ้าเอ๊ย จะให้ฉันอยู่ต่ออีกนิดไม่ได้หรือไง?”


เมื่อเห็นว่าตัวเองถูกดึงกลับเข้าสู่ความมืดมิดนั้นอีกครั้ง เยี่ยเทียนอดไม่ได้ตะโกนด่าออกมา เขาเกือบจะแน่ใจแล้วว่า เมื่อครู่ตนได้ถอดจิตออกจากร่าง ได้สัมผัสกับภาวะการเปลี่ยนจิตให้เป็นความว่างเปล่าได้แล้ว


การฝึกจิตให้ว่างนั้นเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าด่านเก้าปี เมื่อฝึกกำลังภายไปจนถึงขั้นสูง สามารถเปลี่ยนพลังให้เป็นจิต แล้วฝึกให้ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้นได้


ขั้นตอนการฝึกนี้คือการฝึกฝนกฎแห่งความว่างเพื่อเข้าสู่สมาธิอันยิ่งใหญ่ ใช้การทำสมาธิเพื่อหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและให้ความอบอุ่นแก่พลังหยางที่บริสุทธิ์


หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งคือ การอาศัยร่างกายฝึกจิต เปลี่ยนจิตให้เป็นเต๋า อาศัยการหล่อเลี้ยงจิตใจของตนเองเพื่อได้บรรลุขั้นถอดจิตออกจากกาย


ในตำราของลัทธิเต๋า เมื่อได้เข้าสู่ภาวะปล่อยจิตให้ว่างได้แล้ว นั่นคือเส้นทางแห่งความสำเร็จและบรรลุธรรมชั้นเซียนได้เลย


ในตำนานพวกเก๋อหงและลวี่ต้งปิงได้ฝ่าด่านนี้ได้ในที่สุดแล้วทะยานขึ้นบนฟ้ากลายเป็นเทพเทวา เหลือทิ้งไว้เพียงกายเนื้อ ส่วนจิตวิญญาณได้ล่องลอยไปสู่ดินแดนอีกแห่ง


เยี่ยเทียนไม่เคยเชื่อตำนานนี้มาก่อน แต่ตอนนี้เมื่อดวงจิตออกจากร่าง กลับทำให้เขาเห็นโลกที่แตกต่างออกไป  ความรู้สึกในการปล่อยวางอิสระจากร่างกายนั้นยอดเยี่ยมมาก จนตัวเบาเหมือนเทวดาที่ลอยได้


ตอนที่ 646 ห่วงโซ่อาหาร

Ink Stone_Fantasy

ในลักษณะเช่นนี้ เยี่ยเทียนรู้สึกว่าการมองเห็นและการได้ยินของเขาคมชัดขึ้นกว่าแต่ก่อน เขาไม่เคยมองโลกอย่างทะลุปรุโปร่งเท่าตอนนี้เลย การมองเห็นพัฒนาขึ้นอย่างคาดไม่ถึง แม้แต่อากาศที่ไหลเวียนอยู่เบื้องหน้าเขายังสามารถมองเห็นได้


แม้จะเป็นเวลาเพียงครู่เดียว แต่ความรู้สึกพิเศษนี้ เป็นสิ่งที่เยี่ยเทียนสัมผัสได้ และยังอยู่ในความทรงจำของเขาไปอีกนาน เขาอยากจะสัมผัสความรู้สึกที่ดวงจิตแยกจากร่างอีกครั้ง แต่ทำอย่างไรก็ทำไม่ได้เสียที


“ทำไมไม่ให้ฉันอยู่ต่ออีกหน่อยนะ?”


เยี่ยเทียนลืมตา นัยน์ตามีแววโกรธเคือง ตำราที่ตกทอดของสำนักไม่มีการอธิบายถึงการเข้าสู่ภาวะแห่งความว่าง หรือแม้แต่คำสอนในความทรงจำของเขายังไม่มี เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าอนาคตเขาควรจะฝึกวิชาอย่างไรต่อไปดี


“ช่างเถอะ ได้สัมผัสกับความลับของวิชาลำนักแล้ว ถือว่ายังมีวาสนาอยู่ เรื่องพวกนี้บังคับไปก็ไม่มีประโยชน์!”


คิดไตร่ตรองอยู่นาน เยี่ยเทียนหลุดหัวเราะออกมา ตัวเขาเป็นเพียงคนหนุ่มอายุ 23-24 ปีเท่านั้น จะเปรียบเทียบกับเหล่านักพรตผู้แก่วิชาในบรรพกาลได้อย่างไร ถ้าได้ขนาดนี้ยังไม่พอใจก็ถือว่าเยี่ยเทียนมีจิตใจละโมบโลภมาก


“เอ๋ น้ำเย็นหมดแล้ว?”


เมื่อรู้สึกว่าน้ำในอ่างอาบน้ำเย็นราวน้ำแข็ง เยี่ยเทียนลุกขึ้นยืน หยิบผ้าขนหนูมาเช็ดตัว แล้วพันรอบเอวเดินออกไปจากห้องอาบน้ำ


“เยี่ยเทียน นายออกมาสักที ฉันกับเหล่าต่งร้อนใจจะแย่แล้ว!”


พอเปิดประตูห้องน้ำออก จู้เหวยเฟิงรีบพุ่งเข้ามาหาจนเกือบดึงผ้าขนหนูที่คาดเอวของเยี่ยเทียนไว้หลุดออก


“ผมรักษาตัวอยู่ข้างในน่ะ พวกคุณร้อนใจอะไรนักหนา?”


เยี่ยเทียนตอบส่งๆมองเห็นแสงอาทิตย์ที่สาดผ่านระเบียงเข้ามาในห้อง แล้วชะงักถามว่า “ตอนนี้กี่โมงแล้ว? ผมจำได้ว่าเมื่อวานตอนกลับมาถึงห้องไม่ใช่ตอนเที่ยงคืนหรอกหรือ?”


เมื่อคืนการแข่งขันเริ่มขึ้นตอนประมาณสามทุ่มครึ่ง และสิ้นสุดลงตอนสี่ทุ่ม ตอนนี้พระอาทิตย์ชี้โด่งบนท้องฟ้า แสดงว่าเป็นตอนกลางวัน


“ตอนนี้สิบเอ็ดโมงเช้าแล้ว นายเข้าไปอยู่ในนั้นสิบสองชั่วโมงเต็มๆ!”


ต่งเซิงไห่เดินเข้ามาใกล้ ใช้สายตาประเมินดูเยี่ยเทียน เอ่ยว่า “ท่านเยี่ย ผมได้ยินว่าคุณบาดเจ็บสาหัส แต่…แต่นี่ดูไม่เห็นเป็นอะไรเลย?”


ต่งเซิงไห่ส่งสายตาไม่พอใจไปให้จู้เหวยเฟิง เมื่อคืนตอนที่เขามาถึงห้องนี้ จู้เหวยเฟิงเล่าอาการของเยี่ยเทียนที่ฟังดูใกล้สิ้นลมให้เขาฟัง แต่เยี่ยเทียนตอนนี้กลับดูสบายดี


“ท่านไห่ คุณอย่ามองผมอย่างนั้น ใครจะไปรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น?”


จู้เหวยเฟิงหัวเราะแก้เก้อ เยี่ยเทียนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาตอนนี้ช่างต่างกับสภาพเมื่อวานราวฟ้ากับเหว ไม่เพียงแต่สีหน้าอมชมพู รวยฟกช้ำตามตัวได้หายเป็นปลิดทิ้ง


“เหล่าต่ง ให้คนส่งเฝือกดามแขนมาให้ผมหน่อย อาการบาดเจ็บบางแห่งยังต้องรักษาต่อ!”


แม้จะรู้สึกว่าอาการบอบช้ำของอวัยวะภายในทุเลาลงมาก แต่แขนซ้ายตำแหน่งที่กระดูกหักยังต้องดามเฝือกเอาไว้ โบราณกล่าวว่า บาดเจ็บถึงเอ็นถึงกระดูกต้องรักษาหนึ่งร้อยวัน เยี่ยเทียนไม่กล้าประมาท


ต่งเซิงไห่พยักหน้า ยังรู้สึกกังวลอยู่จึงถามต่อว่า  “ได้ แล้วจะให้ตามหมอมาด้วยไหม?”


“ไม่ต้อง ใช้เฝือกดามเอาไว้ พักผ่อนสักสองเดือนก็หายแล้ว”


เยี่ยเทียนส่ายหัว มียาสูตรลับที่ศิษย์พี่ปรุงขึ้นใช้ทั้งกินและประคบภายนอก อาการบาดเจ็บของเอ็นและกระดูกไม่เป็นไรแน่นอน แต่ภายในสองเดือนนี้เขาไม่มีทางไปต่อสู้กับคนอื่นได้


ต่งเซิงไห่โทรศัพท์กริ๊งเดียว ก็มีคนนำเฝือกดามแขนมาให้ถึงที่ เยี่ยเทียนใช้มันพันไว้ที่ท่อนแขน ไม่ต้องใช้สายห้อยคอเลย วางมือในแนวดิ่งลงไปได้ตรงๆ ไม่มีผลกับการเคลื่อนไหว


จัดการบาดแผลเสร็จแล้ว เยี่ยเทียนถามว่า “เหล่าต่ง เมื่อวานรูดอล์ฟไม่ได้หาเรื่องคุณอีกใช่ไหม?”


ต่งเซิงไห่ถลึงตา ตอบว่า “เขากล้าที่ไหน เขาจะได้รู้ว่ารังแกผมไม่ได้ง่ายๆ คิดว่าสมาคมหงเหมินของเราเป็นลูกพลับนิ่มๆหรืออย่างไร?”


ต่งเซิงไห่ได้ครอบครองค่ายมวยใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในมอสโค แน่นอนว่าเบื้องหลังต้องมีอิทธิพลของกลุ่มสมาคม        หงเหมินหนุนหลัง รูดอล์ฟเป็นถึงเจ้าพ่อคาสิโนแห่งลาสเวกัสกลับไม่มีทางทำอะไรต่งเซิงไห่ได้


ต่งเซิงไห่เหมือนนึกบางอย่างออก หันมาหาเยี่ยเทียนแล้วยกนิ้วโป้งให้ “ใช่แล้ว ท่านเยี่ย เมื่อวานคุณสุดยอดมาก ที่ทำให้เบอร์นี่ย์ รอตซ์ชาลด์อึ้งไปได้ และยอมก้มหัวให้คุณ!”


“เบอร์นี่ย์ รอตซ์ชาลด์เขาเป็นใคร?” เยี่ยเทียนงุนงง ชื่อเมื่อครู่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน


ต่งเซิงไห่มองเยี่ยเทียนอย่างแปลกใจ “ก็คือคนที่จะนำร่างของแอนโทนี่ มาคัส โยนลงทะเลไง เขาเป็นถึงประมุขตระกูลรอตซ์ชาลด์เชียวนะ เรือสำราญลำนี้เป็นของเขาเอง!”


แม้ว่าตระกูลรอตซ์ชาลด์มักจะถ่อมตนมาโดยตลอด แต่ถ้าเป็นคนวงในถึงจะรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของเบอร์นี่ย์ รอตซ์ชาลด์ เพราะเขาได้ควบคุมอาณาจักรธุรกิจมหาศาล จนเกือบจะแทรกซึมไปทั่วทุกมุมโลก


เยี่ยเทียนส่ายหน้า ตอบว่า “ไม่รู้จัก ผมไปยุ่งอะไรกับเขาเยอะแยะ?”


ต่งเซิงไห่มีหรือจะไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนไม่สนใจเรื่องธุรกิจเลยแม้แต่น้อย แม้แต่เศรษฐีชาวจีนเองเขาก็ยังรู้จักไม่ครบ แล้วนับประสาอะไรกับตระกูลรอตซ์ชาลด์


“ได้ ผมพูดไปอย่างนั้นเอง คุณไม่เกี่ยวอะไรกับเขาหรอก”


ดูท่าทางเยี่ยเทียนไม่ได้แอบอ้าง ต่งเซิงไห่หัวเราะแก้เก้อ บนโลกนี้คงจะมีแต่เยี่ยเทียนเท่านั้นที่ได้ยินชื่อของประมุขตระกูลรอตซ์ชาลด์แล้วไม่หวั่นไหว


“เหล่าต่ง คนๆนั้นกับผมไม่เกี่ยวกัน แล้วเมื่อไหร่ผมถึงจะได้ออกจากเรือลำนี้?”


ไม่รู้ทำไม หลังจากได้ลิ้มรสการถอดจิตแล้ว เยี่ยเทียนรู้สึกกระสับกระส่ายอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่ากำลังจะเกิดเหตุการณ์บางอย่างขึ้นที่จะส่งผลถึงคนในครอบครัวของเขา


เยี่ยเทียนผูกดวงทำนายในใจ กลับไม่ได้ผลที่ชัดเจน แต่ตำแหน่งชี้ไปทางตะวันตก มหานครนิวยอร์คตั้งอยู่ทางทิศนั้น มารดาของเยี่ยเทียน ซ่งเวยหลัน ตอนนี้อยู่ที่เมืองนั้นพอดี


สิ่งนี้ทำให้เยี่ยเทียรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย ยังจะไปสนใจประมุขตระกูลรอตซ์ชาลด์อะไรนั่นอีกหรือ หากว่านายกรัฐมนตรีประเทศอังกฤษมาปรากฎตัวอยู่ตรงหน้า เยี่ยเทียนก็จะผลักออกอย่างไม่แยแส


“ตอนเที่ยงมีงานเลี้ยง หลังจากจบงานเลี้ยงเราถึงจะไปได้ มีเครื่องบิน บินตรงไปส่งเรากลับซานฟรานซิสโก!”


ดูท่าทางของเยี่ยเทียน ต่งเซิงไห่อดถามไม่ได้ว่า “ท่านเยี่ย คุณมีธุระด่วนหรือ? ซานฟรานซิสโกเป็นถิ่นของเรา มีเรื่องอะไรสั่งให้คนไปทำก็ได้”


แม้ในใจจะรู้สึกถึงความไม่สงบ แต่ไม่ถึงกับร้อนรุ่มอยู่ไม่สุข เยี่ยเทียนคิดเล็กน้อยก่อนพูดออกไป “คุณช่วยติดต่อให้หน่อย คืนนี้พอกลับถึงซานฟรานซิสโกแล้ว ผมจะบินไปนิวยอร์คทันที!”


“ได้สิ เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ เดี๋ยวผมจะจัดการให้”


ต่งเซิงไห่พยักหน้ารับปาก หยิบบัตรธนาคารออกมาจากกระเป๋า บอกว่า “ท่านเยี่ย นี่เป็นเงินที่คุณควรจะได้รับ ส่วนของผมกับประธานจู้อยู่ข้างในแล้ว ส่วนรหัสผ่านอยู่บนกระดาษ”


การแข่งขันมวยใต้ดินครั้งนี้ ต่งเซิงไห่กับจู้เหวยเฟิงได้เงินจำนวนมหาศาล ยังไม่รวมเงินที่ชนะพนันคู่เอเชียอีกหลายนัด แม้แต่การแข่งขันนัดสุดท้าย ทั้งสองยังได้เงินอีกจำนวนมาก


เรือสำราญควีนอลิซาเบธต้อนรับแขกที่เป็นมหาเศรษฐีจากทุกทวีป แน่นอนว่าการบริการต้องดีเลิศ วันนี้ตอนเช้า เงินแพ้ชนะพนันมวยต่างถูกจัดแบ่งให้ทุกคนเรียบร้อย อีกทั้งเงินทั้งหมดถูกใส่ลงในบัตรธนาคารสวิสที่ไม่มีการระบุชื่อ


จู้เหวยเฟิงและต่งเซิงไห่ปรึกษากัน ทั้งสองตกลงกันว่าจะทำบัตรธนาคารให้เยี่ยเทียนใบหนึ่ง คือใบที่ยื่นให้เยี่ยเทียนอยู่ตอนนี้


เยี่ยเทียนรับบัตรไป เล่นบัตรในมือไปมา ถามเรื่อยเปื่อยว่า “ในนี้มีเงินเท่าไหร่?”


“ท่านเยี่ย ทั้งหมด ห้าพันสามร้อยล้านดอลลาร์!”


“ห้าพันสามร้อยล้านดอลลาร์!”


มือข้างที่ถือบัตรของเยี่ยเทียนทรุดลง จำนวนตัวเลขทำให้เขาตกใจ “ไม่ใช่สามพันหกร้อยล้านดอลลาร์หรอกหรือ? ทำไมถึงเพิ่มขึ้นตั้งพันเจ็ดร้อยล้าน?”


เป็นเงินสิบแปดล้านดอลลาร์ที่จู้เหวยเฟิงใช้ลงพนันให้เยี่ยเทียนชนะ ยังมีกำไรหุ้นจากค่ายมวยใต้ดินในญี่ปุ่นของต่งเซิงไห่อีกสี่ร้อยล้าน อีกทั้งเงินของฟรุสอีกหนึ่งพันสี่ร้อยล้านดอลลาร์ ทั้งหมดสามพันหกร้อยล้านดอลลาร์


แต่จำนวนที่ห้าพันสามร้อยล้านดอลลาร์ที่ต่งเซิงไห่เอ่ยออกมานั้น เยี่ยเทียนไม่รู้ว่าพันเจ็ดร้อยล้านนั้นเพิ่มมาจากไหน


เห็นท่าทางตกตะลึงของเยี่ยเทียนแล้ว ต่งเซิงไห่หัวเราะคิกคัก เฉลยว่า “ท่านเยี่ย ในนี้มีเงินส่วนของคุณอีกเก้าร้อยล้าน แล้วพวกเราได้ปรึกษากัน เพิ่มเงินให้คุณอีกคนละสามร้อยล้าน ทั้งหมดรวมเป็นห้าพันสามร้อยล้าน”


ในการแข่งขันนัดสุดท้าย ต่งเซิงไห่ได้ลงพนันให้เยี่ยเทียนชนะ โดยเฉพาะต่งเซิงไห่ที่ลงเงินถึงสองร้อยล้านดอลลาร์ อัตราส่วนเงินรางวัลหนึ่งต่อห้า ทำให้เขาได้เงินคืนกลับมาถึงพันล้านดอลลาร์ เขาแบ่งออกมาแค่สามร้อยล้านเพื่อแสดงความขอบคุณแก่เยี่ยเทียน


“ให้ตายเถอะ ถ้าอยากรวยก็ไปต่อยมวยเอา ยังจะต้องทำธุรกิจอะไรให้เหนื่อยอีกทำไม?”


ฟังต่งเซิงไห่อธิบายจบ เยี่ยเทียนอุทานคำหยาบออกมา เขากับบิดาทำการค้าด้วยความยากลำบากมาเป็นสิบปี แม้แต่สมบัติสักสิบล้านหยวนยังมีไม่ถึงเลย แค่เขาลงแข่งมวยแค่นี้ กลับได้เงินมากมายจนกลายเป็นมหาเศรษฐีภายในพริบตา


ต่งเซิงไห่หัวเราะเอ่ยว่า “ท่านเยี่ย จะพูดแบบนั้นก็ไม่ได้ พวกนักมวยน่ะหาเงินไม่ได้มากเท่านี้หรอก พวกเขาได้เงินมากสุดจากการแข่งขันหนึ่งนัดเพียงไม่กี่แสนดอลลาร์ก็ถือว่าเยอะมากแล้ว!”


อย่ามองว่าการลงพนันมวยนั้นลงเงินกันถึงหลักพันล้าน แต่เงินพวกนี้มีแต่เหล่าอภิมหาเศรษฐีเท่านั้นที่ทำได้ ส่วนพวกนักมวยนั้นเป็นแค่เครื่องมือในการแทงพนันเท่านั้นเอง


บนโลกนี้เป็นไปตามกฎธรรมชาติที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก โดยเฉพาะในสังคมมนุษย์ วัฏจักรห่วงโซ่อาหารแบบนี้ยิ่งเห็นชัด แน่นอนว่าคนธรรมดาไม่สามารถเข้าถึงเรื่องราวแบบนี้ได้


ยังไม่ทันรอให้เยี่ยเทียนแสดงความขอบคุณ ต่งเซิงไห่มองดูเวลาแล้วลุกขึ้นยืน “ท่านเยี่ย ใกล้ได้เวลาแล้ว คุณเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเราลงไปร่วมงานเลี้ยงกัน ตอนบ่ายผมจะจัดการให้คุณบินไปนิวยอร์ค”


จู้เหวยเฟิงกับต่งเซิงไห่เป็นผู้ชนะพนันที่ได้เงินมากที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้ ขณะเดียวกันก็ก่อศัตรูไปด้วย พื้นที่ๆพวกเขาเข้าครอบครองค่ายมวยใต้ดินในแต่ละประเทศนั้น ต่างเป็นแหล่งรายได้ทำเงินได้เป็นกอบเป็นกำ


ดังนั้นเขาทั้งสองตอนนี้อาศัยเยี่ยเทียนเป็นยันต์หนังเสือ อย่างน้อยภายในสองปีพวกเจ้าของค่ายมวยใต้ดินประเทศอื่นไม่กล้ามาระรานพวกเขาแน่นอน


“ได้ ผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้า”


เยี่ยเทียนตอบรับ เขารู้ดีว่าต่งเซิงไห่คิดอะไร แล้วก็ไม่รังเกียจที่จะให้ความร่วมมือกับพวกเขา ตนเพิ่งได้เงินมาสูงถึงห้าพันสามร้อยล้านดอลลาร์ จะให้ปฏิเสธหักหน้าฝ่ายนั้นได้อย่างไร


ตอนที่ 647 กลุ่มก่อการร้าย

Ink Stone_Fantasy

เมื่อเดินเข้าไปในงานเลี้ยงอันหรูหรา เยี่ยเทียนไม่ค่อยอยากเชื่อตัวเองว่าภายในเวลาไม่กี่วัน เขาได้กลายเป็นเศรษฐีพันล้านไปแล้ว?


ความรู้สึกของการรวยอย่างไม่รู้ตัวนั้นเป็นเพียงความรู้สึกที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน เขาอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น มิน่าเล่า เหล่าคนมีเงินมักจะชอบอยู่รวมกลุ่มกัน ไม่คิดว่าการหาเงินจะง่ายดายเช่นนี้?


“คนจีนคนนั้นมาแล้ว!”


“สุดยอด พักผ่อนแค่คืนเดียวก็ไม่เป็นไรแล้ว?”


“วงการมวยปล้ำต้องเปลี่ยนแปลงไป ต่อไปคงไม่มีใครกล้าหาเรื่องพวกคนเอเชียอีก!”


เมื่อเยี่ยเทียนก้าวเข้ามาในงาน สายตาทุกคู่ต่างจับจ้องมาที่เขา


เมื่อคืนเป็นการแข่งขันนัดใหญ่แห่งศตวรรษ พลิกโฉมหน้าวงการมวยใต้ดินทั้งหมดภายในคืนเดียว


เจ้าสังเวียนอันดับหนึ่งอย่างแอนโทนี มาร์คัส และอันดับสองอย่างครากุลต่างถูกสยบลง เมื่อหมดยุคของแอนโทนี มาร์คัสแล้วทำให้ทั้งวงการต้องสั่นคลอน


ทุกคนในที่นี้ได้เห็นความโหดเหี้ยมของเยี่ยเทียนแล้วเชื่อว่าภายในสิบปีข้างหน้านี้ชายชาวจีนจะเป็นผู้เปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่แห่งวงการมวยใต้ดิน


“คุณเยี่ย ยินดีที่ได้พบคุณ คุณเป็นผู้ริเริ่มยุคที่ยิ่งใหญ่ของเรา!”


เดินเข้ามาในงานเลี้ยงไม่นาน เบอร์นี่ย์ รอตซ์ชาลด์เข้ามาทักทายด้วยรอยยิ้ม ตระกูลใหญ่ที่รุ่งเรืองมาตลอดหนึ่งร้อยปีนั้น เบื้องหลังของตระกูลนนี้ไม่มีใครสามารถเข้าถึงได้


“ยุคที่ยิ่งใหญ่? คุณเบอร์นี่ย์ ผมไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร?”


อยู่ต่างประเทศมานานขนาดนี้ ภาษาอังกฤษของเยี่ยเทียนยิ่งพัฒนาขึ้น เขาสามารถเอ่ยถึงความไม่เข้าใจในความหมายของเบอร์นี่ย์ได้อย่างตรงไปตรงมา


“ตามกฎของมวยใต้ดิน เมื่อชนะแอนโทนี่ มาคัสแล้ว คุณจะได้เป็นอันดับหนึ่ง พ่อหนุ่ม ต่อไปอีกสิบปีข้างหน้า วงการมวยใต้ดินนี้เป็นของคุณแล้ว!”


ในสังกัดของเบอร์นี่ย์ มีสำนักงานหนึ่งที่ตั้งขึ้นเพื่อประเมินฝีมือและค้นหานักมวยปล้ำหน้าใหม่โดยเฉพาะ การทำงานที่เข้มข้นของพวกเขาเมื่อคืน สามารถวิเคราะห์ออกมาได้ว่า เยี่ยเทียนสามารถครองแชมป์ได้อีกสิบปี


เบอร์นี่ย์มีเหตุผลที่เชื่อว่า ด้วยสถานภาพของเยี่ยเทียน การแข่งขันของเขาแต่ละนัด จะทำให้เกิดความสนใจมวยใต้ดินจากเหล่ามหาเศรษฐีทั่วโลก แค่เพียงเพิ่มการเข้าถึงข่าวสาร เยี่ยเทียนก็จะกลายเป็นบุคคลที่น่าจับตามองอันดับหนึ่งของวงการ


“เป็นของผม?”


เยี่ยเทียนยิ้มเยาะ ตอบว่า “คุณเบอร์นี่ย์ คุณคิดว่าคนอย่างผม จะต่อยมวยใต้ดินต่อไปอีกหรือ? เมื่อวานนั้นเป็นแค่การเล่นสนุกเฉยๆ!”


เยี่ยเทียรรู้ว่าถ้าเขาไม่แสดงจุดยืนให้ชัดเจนเสียแต่เนิ่นๆ คงทำให้ใครหลายๆนั่งไม่ติดที่ จึงอาศัยโอกาสนี้ประกาศถอนตัวออกจากวงการ


คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้คนที่นั้นฮือฮากันใหญ่ พวกเจ้าของค่ายมวยที่คาดเดากันในตอนแรก กลัวว่าเยี่ยเทียนจะมาท้าประลองในถิ่นพื้นที่ของตน พวกเขาแสดงท่าทีตื่นเต้นดีใจ


โดยเฉพาะรูดอล์ฟที่กราดตามองต่งเซิงไห่และจู้เหวยเฟิงด้วยสายตาไม่เป็นมิตร เขาทั้งสองเป็นผู้ควบคุมค่ายมวยใต้ดินที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย ใครๆก็อยากได้ส่วนแบ่งเนื้อชิ้นใหญ่นี้ทั้งนั้น


“ท่านเยี่ย คุณ?”


ต่งเซิงไห่ไม่คิดว่าเยี่ยเทียนจะประกาศออกมาแบบนี้ เขาหน้ามุ่ยลงทันที อันเดรวิชออกจากวงการไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีนักมวยในสังกัดสักคนที่สามารถออกโรงสู้ได้


เยี่ยเทียนโบกมือใส่ต่งเซิงไห่ หันไปเอ่ยกับเบอร์นี่ย์ยิ้มๆว่า “คุณเบอร์นี่ย์ ผมยังมีหุ้นอยู่ในค่ายมวยใต้ดินของญี่ปุ่น จีน และมอสโค หลังจากนี้สามปี ผมจะนำหุ้นของผมถ่ายโอนออก ก่อนจะถึงตอนนั้นหวังว่าผมจะได้อยู่อย่างสงบสุขนะครับ!”


เยี่ยเทียนพูดอย่างไม่อ้อมค้อม เป็นคำประกาศที่ดับความหวังของพวกจู้เหวยเฟิงที่คิดจะไปท้าประลองกับชาติอื่น ถ้ายังมีเยี่ยเทียนผู้เป็นเทพแห่งนักฆ่าอยู่ทั้งคน


เมื่อได้ยินที่เยี่ยเทียนพูดแล้ว ต่งเซิงไห่กับจู้เหวยเฟิงพอคลายใจลงบ้าง มีเวลาถึงสามปีถ้าพวกเขาไม่สามารถทำให้วงการมวยใต้ดินพัฒนาขึ้นได้ ก็ไม่ควรโทษเยี่ยเทียนแล้ว


อีกทั้งสามปีนี้เป็นช่วงเวลาเพื่อให้ผู้อาวุโสในวงการยอมรับ คำพูดประโยคเดียวของเยี่ยเทียน สามารถทำให้วงการมวยใต้ดินทั่วโลกสงบสุขไปอีกสามปี เริ่มยุคแห่งการไม่มีแชมป์เจ้าสังเวียนและนี่เป็นสิ่งกำลังจะเกิดขึ้น


เยี่ยเทียนปฏิบัติตามสัญญา ทำให้บรรยากาศในที่นั้นราบรื่นขึ้น พวกรูดอล์ฟที่ส่งสายตาชิงชังให้ต่งเซิงไห่ยังต้องแสร้งทำหัวเราะพูดล้อเล่น


ในสายตาของพวกเขา ความแค้นล้วนเกิดจากการเสียผลประโยชน์เท่านั้น เมื่อผลประโยชน์สมดุล ความแค้นก็ย่อมจางหายไป


เยี่ยเทียนมักจะหลบหนีจากงานเลี้ยงในสถานที่แบบนี้ เขาอยู่รับแขกผู้อัธยาศัยดีได้ไม่นานก็หลบมุมไปอยู่คนเดียวรองานเลี้ยงเลิก


“คุณเยี่ย ว่างไหม? ผมขอแนะนำเพื่อนคนหนึ่งให้รู้จัก…” ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังนั่งย่อยอาหารอยู่นั้น เสียงของเบอร์นี่ย์ก็ดังขึ้น


เยี่ยเทียนพิจารณาดูคนที่ยืนอยู่ข้างเบอร์นี่ย์อย่างแปลกใจ ถามว่า “คุณเบอร์นี่ย์ คุณคนนี้คือ?”


ชายที่ยืนข้างเบอร์นี่ย์เป็นคนรูปร่างสันทัด ไว้หนวดเคราเต็มหน้า ส่วนบนศีรษะของเขามีผ้าสีขาวโพกอยู่ ดูจากการแต่งตัวแล้วน่าจะเป็นคนอาหรับ


“อ๋อ เขาชื่ออุซามะห์ อับดุลลาห์ มาจากประเทศซาอุดิอารเบีย คุณเยี่ย อับดุลลาห์มีเรื่องขอคุยกับคุณหน่อย”


ท่าทางของเบอร์นี่ย์ดูผิดปกติ พอแนะนำผู้มาใหม่จบแล้ว ก็รีบขอตัว “พวกคุณค่อยๆคุยกันนะครับ ผมขอตัวไปรับแขกคนอื่นก่อน!”


“คุณอับดุลลาห์ เชิญนั่ง ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรกับผมหรือ?”


เยี่ยเทียนมองเบอร์นี่ย์ด้วยความแปลกใจ แล้วเรียกอับดุลลาห์เข้ามานั่งใกล้ๆ เขามองออกว่า การให้เบอร์นี่ย์พาเขาเข้ามาแนะนำตัว อับดุลลาห์คนนี้ต้องไม่ใช่คนธรรมดา


ในโลกสมัยใหม่เมื่อเข้าสู่ยุคโลกาภิวัตน์ ประเทศอาหรับกลางทะเลทรายตั้งแต่หลังยุคสงครามครูเสดได้กลายเป็นประเทศมหาอำนาจขึ้นบนโลกได้ก็เพราะใต้พื้นดินของพวกเขามีบ่อน้ำมันจำนวนมหาศาล


น้ำมันดิบพวกนี้ทำให้เหล่าประเทศที่ครอบครองเป็นประเทศที่ร่ำรวยที่สุดในโลก อีกทั้งราชวงศ์ที่ควบคุมอำนาจในดินแดนท้องทะเลทรายได้กลายเป็นกลุ่มคนที่มีเงินมากที่สุดในโลก


ตั้งแต่ยุคปี 70-80 คนอาหรับได้รับฉายาว่ามหาเศรษฐีเป็นผู้ที่มีทั้งเงินและทองมากที่สุด คนอย่างเบอร์นี่ย์ ไม่กล้ามีเรื่องกับพวกเขาแน่นอน


“คุณเยี่ย พูดตามตรง ผมไม่ใช่คนซาอุดิอาระเบีย สัญชาติของผมคืออัฟกานิสถาน!”


มองออกว่าอับดุลลาห์ได้รับการอบรมเรื่องมารยาทมาเป็นอย่างดี นอกจากผ้าโพกหัวที่แสดงถึงศาสนาที่เขานับถือแล้ว อากัปกิริยายังบอกว่าเป็นผู้ดีมีสกุล


“อ่อ ไม่ทราบว่าคุณอับดุลลาห์ต้องการบอกอะไรกับผมหรือครับ?”


เยี่ยเทียนเลิกคิ้ว สิ่งที่เขาสัมผัสได้จากฝ่ายตรงข้ามคือความเป็นหนุ่มบ้าคลั่ง ภายใต้ใบหน้าที่สงบเสงี่ยมของอับดุลลาราวกับเหมือนมีภูเขาไฟที่เตรียมจะระเบิดซ่อนอยู่


สิ่งที่เยี่ยเทียนแปลกใจคือ นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าการเผชิญหน้ากับใครคนหนึ่ง ในใจราวกับมีหนามทิ่มแทง


อับดุลลาห์ฟังคำถามของเยี่ยเทียนแล้ว หันไปมองรอบข้าง ลดเสียงลงกระซิบว่า “ผมเป็นตัวแทนกลุ่มกองกำลังจากอัฟกานิสถาน อยากเชิญคุณเยี่ยเข้าร่วมในกองกำลังท้องถิ่นของเรา ช่วยพวกเราฝึกซ้อมพลทหาร ไม่ทราบว่าคุณเยี่ยจะเห็นด้วยไหม?”


“กองกำลังท้องถิ่น เป็นกลุ่มอะไรกัน?” เยี่ยเทียนรู้สึกไม่แน่ใจนัก เขาไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน


“คุณเยี่ยไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของกลุ่มเราหรือ?”


อับดุลลาห์ไม่พึงพอใจที่เยี่ยเทียนบอกว่าไม่เคยได้ยินชื่อกลุ่มของเขามาก่อน อธิบายต่อว่า “กองกำลังท้องถิ่นดั้งเดิมมีชื่อเรียกว่ากองกำลังกลุ่มอิสลาม จีฮาด  เพื่อช่วยเหลืออัฟกานิสถานในการต่อต้านสหภาพโซเวียต


ในปี 1988 บิดาของผมก่อตั้งกองกำลังนี้ขึ้นมา พวกเราสาบานว่าเราจะสู้เพื่อต่อต้านอำนาจแทรกแซงอันโสมมจากอเมริกา คุณเยี่ย เมื่อวานผมได้ดูการแข่งขันของคุณแล้ว ได้โปรดรับคำขอไปช่วยฝึกกองกำลังทหารของเราด้วยเถอะ!”


เมื่อเอ่ยถึงจุดมุ่งหมายของกลุ่มกองกำลังท้องถิ่นนั้น ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยของอับดุลลาห์หลุดความบ้าคลั่งออกมา ยิ่งกว่านั้นเขายกแขนขึ้นราวกับจะร่ายรำเพื่อช่วยส่งเสริมคำพูดให้หนักแน่น


“เดี๋ยวก่อน คุณอับดุลลาห์ ผมควรจะต้องรู้ก่อน พวกคุณทำเรื่องอะไรที่เป็นการต่อต้านอำนาจอเมริกาอย่างนั้นหรือ?”


เยี่ยเทียนรู้สึกสนใจมากขึ้น แม้ว่าที่นี่จะเป็นน่านน้ำสากล แต่ระยะห่างจากอเมริกานั้นใกล้มาก  ไม่คิดว่าชายคนนี้จะกล้าเหิมเกริมแสดงการต่อต้านอเมริกาออกมา


อับดุลลาห์ได้ฟังเยี่ยเทียนเทียนถามดังนั้นแล้วก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย ตอบว่า “คุณเยี่ย ตอนปี 98 กองกำลังของเราเคยฝึกหัดคนอเมริกาที่ประเทศเคนย่า แล้วสถานทูตของพวกเขาก็ถูกทำลายย่อยยับ ไม่ทราบว่าคุณเคยได้ยินข่าวไหม?”


“โจมตีสถานทูต?” เยี่ยเทียนตกตะลึง “โอ้โห นี่มันไม่ใช่เรื่องที่พวกผู้ก่อการร้ายทำกันหรอกหรือ?”


เยี่ยเทียนกระจ่างในทันที คนที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้ เกรงว่าจะเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้ายที่มาเชิญเขาไปฝึกทหารเพื่อไปกระทำเหตุวินาศกรรม


ดวงตาของอับดุลลาฉายแววบ้าคลั่งขึ้นอีกครั้ง ตอบว่า “ใช่แล้ว พวกเราต้องทำให้คนอเมริกาได้สูญเสีย คุณเยี่ย ขอเชิญคุณเข้าร่วมกับเราเถอะ!”


“อ่อ ไม่ คุณอับดุลลาห์ ผมเป็นพลเมืองที่ปฏิบัติตามกฎหมาย ผมมีครอบครัวที่ผาสุข สำหรับปณิธานและความเชื่อของพวกคุณนั้นผมเข้าใจ แต่ขออภัยด้วยจริงๆ ผมไม่ได้มีความสนใจในเรื่องแบบนี้”


ยังไม่ทันรอให้อับดุลลาพูดจนจบ เยี่ยเทียนชิงขัดขึ้นก่อน ล้อเล่นหรือเปล่า? มีชีวิตดีๆไม่ชอบ อยากจะไปใช้ชีวิตเสี่ยงตายทำไม? เยี่ยเทียนยังอยากใช้ชีวิตอยู่จนแก่เฒ่า


อีกอย่าง เยี่ยเทียนฝึกลัทธิเต๋ามา ซึ่งมักมุ่งเน้นเรื่องความสงบสุข แล้วจะยอมรับเงื่อนไขบ้าบอพวกนั้นได้อย่างไร?


“คุณเยี่ย ผมรู้ว่าคุณมีอคติกับกลุ่มของเรา รอดูต่อไปก็แล้วกันอีกไม่นานคุณจะรู้ถึงการตัดสินใจที่เด็ดขาดของพวกเรา!”


ผู้ที่นับถือศาสนาอิสลาม มักมีนิสัยดื้อรั้นหัวแข็ง เมื่อถูกเยี่ยเทียนปฏิเสธอย่างละม่อมแล้ว ท่าทีของอับดุลลาห์ต่อเยี่ยเทียนก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)