หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 632-641
บทที่ 632 แรกเห็น!
ทั่วทั้งสำนักตกอยู่ในความโกลาหล ความกลัวและความกระวนกระวายใจถาโถมเข้าใส่ทุกชีวิต ในตอนที่ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามจากไป
พิธีแต่งงานของหลี่อู๋เฉินและโจวเหมยสิ้นสุดลงในตอนนั้น ขณะที่ทั้งสำนักกำลังจมดิ่งอยู่ในความกังวลและความกลัว หวังเป่าเล่อก็เรียกเจ้าเยี่ยเหมิง ประมุขสำนักสวี และต้นไม้ยักษ์มา เพื่อหารือสิ่งที่เกิดขึ้น
ทั้งสี่สรุปกันว่าประมุขสำนักสวีและต้นไม้ยักษ์จะเป็นผู้เตรียมการรับมือสถานการณ์ร้ายแรงสูงสุด โดยหากจำเป็นจริงๆ จะต้องอพยพทุกคนผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายลับ ที่ประมุขสำนักแอบสร้างขึ้นมา
ทั้งสองต้องเตรียมการอย่างไม่ให้ใครจับได้ พร้อมกับเตรียมตัวรับการอพยพไปด้วย ประมุขสำนักสวี รวมถึงต้นไม้ยักษ์และเจ้าเยี่ยเหมิงที่เพิ่งรับรู้การมีอยู่ของวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายที่สองเป็นครั้งแรก ต่างตั้งใจตระเตรียมเรื่องนี้ด้วยความระมัดระวังสูงสุด
ทั้งสามจากไปด้วยหัวใจหนักอึ้ง จิตใจมืดมิดด้วยความกังวล หวังเป่าเล่อยืนอยู่เพียงคนเดียวในหอคอยที่สูงที่สุดของตำหนักประจำตัว สายตามองไปยังท้องฟ้าไกลและทะเลเพลิง ชายหนุ่มก็เป็นกังวลมากเช่นกัน
เสียงนั้นอาจเป็นเพียงเสียงเรียกขอความช่วยเหลือธรรมดา แต่เขาแน่ใจว่าทุกคนรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ปกติ รวมถึงตัวเฟิ่งชิวหรันเองด้วย กระนั้นในบางสถานการณ์อารมณ์ก็อยู่เหนือเหตุผล ด้วยเหตุนี้นางจึงเลือกมุ่งหน้าไปยังต้นเสียงเพื่อสืบดูให้รู้ความ
หวังเป่าเล่อเข้าใจดีว่าเหตุใดนางจึงทำเช่นนั้น และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกได้ถึงความไม่ชอบมาพากล ลางสังหรณ์นี้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ลมแรงเริ่มพัดโหมให้เสื้อผ้าของเขาปลิวสะบัด ขณะที่ชายหนุ่มหลับตาลง
“พายุกำลังจะมา…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเอง เขามองลงไปยังหุบเขาเบื้องล่าง เห็นผู้ฝึกตนมากมายเดินขวักไขว่อยู่ในสำนักรอบกายเขา หลังจากผ่านไปนานหวังเป่าเล่อก็นั่งลงและเริ่มฝึกปราณ
อัตชีวประวัติของเจ้าพนักงานระดับสูงกล่าวเอาไว้ว่า ไม่ว่าอนาคตจะมีสิ่งใดรออยู่ สิ่งเดียวที่ทำได้คือการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
เวลาเดินหน้าผ่านไปเรื่อยๆ หวังเป่าเล่อยังคงฝึกปราณรอ และทั้งสำนักก็ยังคงพูดคุยเรื่องนี้ไม่หยุดหย่อน ห้าวันผ่านไปในรูปการณ์นี้
ในวันที่ห้า เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มเคลื่อนคล้อย สิ่งที่ทำให้หวังเป่าเล่อกังวลใจที่สุดไม่ได้เกิดขึ้นแต่อย่างใด เฟิ่งชิวหรันและผู้อาวุโสอีกสองคนกลับมาถึงเรียบร้อย ทั้งสามดูอมทุกข์ สีหน้าแสดงความรู้สึกมากมายที่ผสมปนเป
หวังเป่าเล่อได้รับเชิญให้เข้าหารือทันทีที่ทั้งสามกลับมา เขาจึงไปที่ตำหนักของเฟิ่งชิวหรันตามคำเชิญ ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามรออยู่แล้วข้างใน ท่ามกลางความเงียบงัน
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยิ้มและพยักหน้าให้หวังเป่าเล่อ เมี่ยเลี่ยจื่อที่โดยปกติมักจะทักทายเขาด้วยไอเย็นและพยายามไม่มีปฏิสัมพันธ์กับเขาโดยสิ้นเชิง ในตอนนี้มีแววตาลำบากใจชัดเจน ความดุร้ายอันเป็นวิสัยปกติของเขาหายไป
เฟิ่งชิวหรันมีสีหน้าจับต้นชนปลายไม่ถูก ไม่มีใครทราบว่านางคิดสิ่งใดอยู่
หวังเป่าเล่อสังเกตสีหน้าของทั้งสาม ฟันเฟืองในสมองเริ่มเดินหน้าอย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแต่นั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่สี่ในโถงเท่านั้น ดวงตาจับจ้องอยู่ที่เฟิ่งชิวหรัน
หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ สตรีนางเดียวในโถงนั้นก็หลับตาลง ทั้งโถงตกอยู่ในความเงียบงัน เวลาผ่านไปนานแสนนานท่ามกลางความเงียบนี้…เฟิ่งชิวหรันลืมตาขึ้นในที่สุด ดวงตาทั้งสองของนางบัดนี้เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นแน่วแน่ ในตอนนั้นเองที่เมียเลี่ยจื่อเอ่ยปากขึ้น
“เราต้องช่วยเขา!
“ต่อให้เป็นกับดักก็ไม่สำคัญ ตราบใดที่ยังมีความเป็นไปได้ว่าท่านอาจารย์ลุงยังมีชีวิตอยู่ จะเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ไม่ได้เป็นอันขาด เราต้องทำอะไรสักอย่าง!”
หวังเป่าเล่อยังคงเงียบขณะฟังคำของเมี่ยเลี่ยจื่อ เฟิ่งชิวหรันตัวสั่นก่อนเอ่ยปากขึ้นเช่นกัน คำพูดของนางเจือไปด้วยความขมขื่น
“เราตรวจสอบที่มาของเสียงเรียบร้อยแล้ว เป็นเรือรบของตระกูลไม่รู้สิ้น เราไม่ได้เข้าไปใกล้แต่ตรวจสอบดูจากระยะไกล แต่ก็รู้อยู่เป็นทุนเดิมจากสงครามเมื่อครั้งก่อนว่ามีเรือรบลักษณะนี้อยู่ไม่ถึงสิบลำ เราไม่ทราบว่ามีสิ่งใดรออยู่ในเรือ เหตุใดมันจึงปรากฏขึ้นอีกครั้ง และอะไรกันที่เป็นแผนการของพวกตระกูลไม่รู้สิ้นที่หลงเหลืออยู่…หากเราเข้าไปในเรือรบนั้น ทั้งสำนักอาจเป็นอันตรายได้!” เฟิ่งชิวหรันส่ายหน้าขณะพูด หัวใจของนางเจ็บปวดนัก นางต้องการช่วยบิดาของตนแต่ก็ไม่อยากนำทั้งสำนักมาเสี่ยง ด้วยเหตุนี้นางจึงตั้งใจว่าจะเข้าไปในเรือรบนั้นคนเดียว
“สำนักวังเต๋าไพศาลล่มสลายลงจนถึงจุดที่ว่าเราไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว หากเราช่วยผู้อาวุโสของตนเองไม่ได้ แล้วจะยังมีอยู่ไปเพื่อสิ่งใดกันเล่า ความหวังลมๆ แล้งๆ เช่นนั้นหรือ”
“หากเป็นเช่นนั้น ข้า เมี่ยเลี่ยจื่อคนนี้ ขอต่อสู้จนถึงที่สุดเสียยังดีกว่า!” เมี่ยเลี่ยจื่อทัดทาน ดวงตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ เมื่อเห็นเฟิ่งชิวหรันเลือกล่าถอย เขาจึงหันไปหาโยวหรันและหวังเป่าเล่อแทน
“พวกเจ้าคิดเห็นอย่างไร”
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันไตร่ตรองอยู่สักพักก่อนพยักหน้า
“ข้าเห็นด้วยกับเมี่ยเลี่ยจื่อ การปรากฏตัวของเรือรบนั้นน่าสงสัย แต่หากยังมีผู้ฝึกตนจากตระกูลไม่รู้สิ้นหลงเหลืออยู่จากสงครามเมื่อครั้งนั้น พลังปราณของพวกมันคงไม่สูงมาก มิเช่นนั้นคงไม่เลือกเผยตัวในตอนนี้ ข้าว่าพวกเราควรเดินหน้าโจมตี!”
เมื่อได้ยินคำพูดของศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน เมี่ยเลี่ยจื่อก็หันมาหาหวังเป่าเล่อต่อ เฟิ่งชิวหรันเองก็เช่นกัน ทั้งสองต่างรอคำตอบของเขา
หวังเป่าเล่อคิดโดยยังไม่เอ่ยสิ่งใด ทั้งเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันเห็นพ้องต้องกันเรียบร้อย เฟิ่งชิวหรันอาจพูดอีกอย่าง แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับบิดาของนาง ความคิดที่แท้จริงของนางไม่ต้องเอื้อนเอ่ยก็รู้ดีว่าคือสิ่งใด
แม้ทั้งสามจะให้เขาเป็นคนเลือก แต่หวังเป่าเล่อก็รู้ว่าตนเองมีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น
เมื่อชายหนุ่มคงความเงียบ มติที่ประชุมก็เป็นเอกฉันท์ในที่สุด ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณทุกคนและผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในส่วนมากจากสำนักวังเต๋าไพศาลจะเข้าร่วมปฏิบัติการนี้ โดยจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มใหญ่ แต่ละกลุ่มนำโดยผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามคน เป้าหมายของภารกิจก็คือการแทรกซึมเข้าไปในเรือรบ เพื่อทำการสำรวจพื้นที่!
ขนาดของเรือรบนั้นใหญ่มากเสียจนต้องการคนจำนวนมากในการสำรวจ ซึ่งจะทำให้ปฏิบัติการช่วยเหลือเป็นไปอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับเสียงร้องให้ช่วย รวมถึงพิกัดระหว่างตัวดาบและด้ามดาบที่เรือรบตั้งอยู่ ให้ทั้งสำนักได้รับทราบ ข่าวนี้ทำให้ทั้งสำนักตกอยู่ในความโกลาหลอีกครั้ง
สำนักวังเต๋าไพศาลเริ่มเตรียมการปฏิบัติภารกิจอย่างรวดเร็ว พวกเขาปลุกวงแหวนปราณเพื่อนำเอาสมบัติที่เก็บรักษาไว้ออกมา ซึ่งก็คือยันต์ระเบิดเคลื่อนย้าย นอกจากนี้ทุกคนยังได้รับยันต์เคลื่อนย้ายส่วนตัว ที่เอาไว้ใช้เพื่อนำตัวเองออกมาจากสถานการณ์อันตราย
ราคาสมบัติเวทและโอสถบางชนิดก็ถูกปรับลดลงเช่นกัน เพื่อให้ผู้ปฏิบัติภารกิจซื้อมาตุนได้ง่ายขึ้น
ท้ายที่สุด เมี่ยเลี่ยจื่อก็ประกาศว่าทุกคนจะออกเดินทางในเวลาเจ็ดวัน ผู้เข้าร่วมภารกิจต่างแยกตัวกันไปถือสันโดษ เพื่อรักษาสภาพร่างกายให้สมบูรณ์ที่สุดก่อนเริ่มงานจริง
เจ็ดวันผ่านไป ทั่วสำนักวังเต๋าไพศาลเต็มไปด้วยกิจกรรมมากมาย วงแหวนปราณเริ่มทำงาน ผู้ฝึกตนหลายร้อยคนเหาะขึ้นไปในอากาศ เปลี่ยนสภาพเป็นสายรุ้งที่ทะยานไปข้างหน้า สู่เรือรบด้วยความน่ายำเกรง!
ในนั้นมีศิษย์เองของเฟิ่งชิวหรันและโยวหรันอยู่ด้วย แต่ก็ยังมีใบหน้าที่คุ้นเคยที่หายไปเช่นกัน อันได้แก่ ตู้กูหลิน จั่วอี้ฟาน ต้นไม้ยักษ์ และประมุขสำนักสวี ประมุขสำนักคือผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณคนเดียวที่ไม่ได้เข้าร่วมภารกิจ อันเป็นผลมาจากความสำเร็จของการต่อสู้อย่างหนักของหวังเป่าเล่อ ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่เข้าร่วมมีเพียงหวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋าเท่านั้น
ทั้งสามต้องเข้าร่วมเนื่องจากได้รับตำแหน่งศิษย์ของสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นที่เรียบร้อย และมีชื่อสลักอยู่บนแท่นสลักเต๋า ทำให้มีอำนาจควบคุมวงแหวนปราณบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ทั้งสามจะทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมระหว่างผู้ที่อยู่ข้างในและข้างนอกเรือรบ ขณะที่ผู้ฝึกตนแต่ละกลุ่มเริ่มเข้าพื้นที่
หากหวังเป่าเล่อและคนอื่นต้องการเดินทางไปยังบริเวณตัวดาบ พวกเขาจะต้องทำการเคลื่อนย้ายหลายรอบกว่าจะไปถึง แต่ด้วยความที่นี่เป็นภารกิจใหญ่ ทั้งสำนักจึงปลุกวงแหวนปราณทั้งหมดเพื่อทำให้การเดินทางง่ายขึ้น ความเร็วของทุกคนเพิ่มขึ้นสูงมากจนไม่น่าเชื่อ จนใช้เวลาเพียงสองวันเท่านั้น…ภาพของเรือรบขนาดยักษ์ที่ติดอยู่ตรงกลางระหว่างกำแพงกัน ก็ปรากฏขึ้นในสายตา!
ภาพนั้นทำให้หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านไปทั้งกายใจ จนต้องอุทานเมื่อได้เห็น เรือนั้นใหญ่มหึมาเกินบรรยาย แผ่นวงแหวนทั้งสามที่เป็นตัวเรือเปรียบเสมือนดาวหนึ่งดวง แต่ละวงแหวนเปรียบเสมือนโลกของตนเอง
พลังที่เรือรบปล่อยออกมาทำให้ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดแก่นในสะท้าน ความกลัวผุดขึ้นในจิตใจ
เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าเองก็มีปฏิกิริยาเดียวกัน กระนั้นพวกเขาก็ยังได้รับการปกป้องจากสถานะศิษย์ของสำนัก ด้วยพลังของวงแหวนปราณบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ จึงทำให้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแรงกดดันได้เร็วกว่าคนอื่น แต่ถึงจะมีตัวช่วย ใบหน้าของพวกเขาก็ยังดูซีดเซียวอยู่
แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับจุติวิญญาณก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก มีเพียงผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากทรงพลังมากพอจนแทบจะบรรลุไปเป็นขั้นจิตวิญญาณอมตะแล้ว ส่วนหวังเป่าเล่อมีตำแหน่งของศิษย์อุปถัมภ์คอยช่วยเหลืออยู่ จึงทำให้ต่อสู้กับแรงกดดันได้ ด้วยพลังปราณที่แก่กล้าขึ้นจากอำนาจของวงแหวนปราณบนกระบี่
“ตามที่วางแผนกันไว้ เราจะแบ่งออกเป็นสามกลุ่มเพื่อแทรกซึมเข้าไปในเรือรบ ภารกิจหลักของเราคือปฏิบัติการช่วยเหลือ แต่หากสถานการณ์ย่ำแย่ลง จงปลุกพลังของยันต์เคลื่อนย้ายของตนเองทันที และรีบหนีออกมาให้เร็วที่สุด!” เฟิ่งชิวหรันหายใจเข้าลึกมองใบหน้าทุกคนในที่แห่งนั้น นางอธิบายรายละเอียดของภารกิจอย่างเคร่งขรึมจริงจัง หวังเป่าเล่อพยักหน้ารับ ผู้ฝึกตนทั้งหมดแยกตัวออกเป็นกลุ่มตามคำสั่ง
ทุกคนเข้ากลุ่มตามฝ่ายที่ตนเองสังกัด ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐทั้งสามคนเข้ากลุ่มของเฟิ่งชิวหรัน เมื่อแบ่งกลุ่มเรียบร้อย ทุกคนก็พร้อมเดินหน้าต่อ ก่อนที่จะแยกย้ายไปตามทางของตนเอง ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็พูดเตือนด้วยสีหน้าจริงจัง
“ทุกคนจงเตรียมใจให้พร้อมเสมอ แม้ว่ายันต์จะถูกออกแบบมาเพื่อใช้เคลื่อนย้ายพวกเจ้าออกจากเรือรบ แต่ก็อาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดที่ทำให้ใช้ไม่ได้ผลก็เป็นได้ ข้อมูลที่รวบรวมมาได้จากการสำรวจเรือรบเมื่อหลายวันก่อน บ่งชี้ว่าการเข้าไปยังอาณาเขตเรือรบของตระกูลไม่รู้สิ้นนั้นยากลำบากมาก มีผู้เคยพยายามเข้าไปได้สำเร็จ แต่ก็ถูกเคลื่อนย้ายออกมาอีกครั้ง
“นี่เป็นระบบป้องกันตนเองของเรือรบตระกูลไม่รู้สิ้น ด้วยเหตุนี้ หากพวกเจ้าคนใดเข้าไปไม่ได้และถูกดีดออกจากเรือ จงมารวมตัวกันที่นี่ เราจะมาคุยกันใหม่ว่าจะทำสิ่งใดเป็นการต่อไป”
บทที่ 633 เข้าไม่ได้!
ทุกคนพยักหน้าหลังจากได้ยินคำสั่งของสหายแห่งเต๋าโยวหรันและแยกย้ายกันออกไป หวังเป่าเล่อ เจ้าเยี่ยเหมิง และกงเต๋าตามเฟิ่งชิวหรันไปยังแผ่นวงแหวนหนึ่งจากอีกสามวงแหวน
หวังเป่าเล่อชะลอความเร็วลงเล็กน้อยเพื่อให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าตามได้ทัน สำหรับเขาแล้วที่มาปฏิบัติภารกิจครั้งนี้ก็เพื่อตอบแทนทางสำนักและเฟิ่งชิวหรัน จริงๆ ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องมาก็ได้ แต่ก็เป็นห่วงเจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋า
“เยี่ยเหมิง กงเต๋า อยู่ใกล้ๆ ข้าไว้ ถ้ามีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น…เราจะกลับทันที!” ชายหนุ่มรู้ว่าควรให้ความสำคัญกับอะไรที่สุด เขาส่งข้อความไปบอกผ่านแหวนสื่อสารในช่องทางเฉพาะของสหพันธรัฐจึงไม่ต้องกังวลว่าใครจะมาได้ยิน
เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าเองก็คิดเช่นนั้น ทั้งสามหันมองกัน ไม่ได้พูดอะไร แต่ก็ชัดเจนว่าพวกเขาจะคอยเกาะกลุ่มกันและกลับออกไปพร้อมกัน
ทั้งสามมุ่งหน้าเข้าไปใกล้แผ่นวงแหวนด้วยความเป็นกังวล มองไกลๆ ว่าดูน่าตื่นตาตื่นใจแล้ว เมื่อเข้าใกล้ก็พบกับความกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต มองไม่เห็นเลยว่าขอบสุดอยู่ตรงไหน เป็นไปไม่ได้เลยที่จะมองได้ทั่วด้วยดวงตาเพียงคู่เดียว
แผ่นวงแหวนเริ่มเด่นชัดในสายตาขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาไม่สามารถระบุภูมิทัศน์ของมันได้ ผิวด้านบนมีลักษณะเป็นของเหลว คลื่นที่กระเพื่อมอยู่ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังมุ่งหน้าเข้าไปยังมหาสมุทรกว้างใหญ่
พลังกดดันจากแผ่นวงแหวนรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเข้าใกล้ เหล่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในเริ่มเวียนหัวแม้จะมีวงแหวนปราณป้องกันและพลังปราณจากเฟิ่งชิวหรันช่วยคุ้มกัน มีเพียงผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่ยังมีสติแจ่มชัด พลังปราณแกร่งกล้าและสถานะไม่ธรรมดาของหวังเป่าเล่อช่วยให้เขาปลอดภัยเช่นกัน ถึงกระนั้นก็ยังหายใจถี่รัว หัวใจเต้นระส่ำอย่างควบคุมไม่ได้
โชคดีที่พวกเขาไม่ต้องทนทรมานนานเท่าใดนัก ไม่นานกลุ่มผู้ฝึกตนที่มีเฟิ่งชิวหรันคอยคุ้มกันก็เคลื่อนทัพเข้าไปอยู่ห่างจากผิวน้ำของวงแหวนปราณประมาณสามร้อยเมตร แสงสว่างวาบในตาเฟิ่งชิวหรันขณะเหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเริ่มปลดปล่อยพลังปราณ ทุกคนมารวมตัวและรวมพลังกัน แปรเปลี่ยนเป็นดวงหางพุ่งตรงไปยังแผ่นวงแหวน
พวกเขาถึงจุดหมายในทันใด ขณะที่กำลังจะปะทะกับผิวน้ำของแผ่นวงแหวน เฟิ่งชิวหรันก็หยิบเอายันต์โบราณแผ่นหนึ่งออกมาโดยไม่ลังเล แผ่นยันต์ดังกล่าวสร้างขึ้นโดยสำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริง ใช้เพื่อเปิดชั้นด้านนอกของเรือบินรบเพื่อเข้าไปด้านใน มีชื่อเรียกว่า ยันต์ระเบิดเคลื่อนย้าย!
เสียงกัมปนาทดังสนั่นเมื่อยันต์ระเบิดออก ผิวน้ำของแผ่นวงแหวนกระเพื่อมรุนแรง เผยให้เห็นปากทางเข้าแคบๆ เฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ ปลดปล่อยพลังปราณพร้อมกันและพุ่งตรงไปยังปากทางเข้าด้วยความเร็วเต็มพิกัด!
พริบตาเดียวพวกเขาก็มาถึงหน้าปากทางเข้า ขณะที่กำลังจะเคลื่อนตัวเข้าไปก็มีคลื่นพลังเคลื่อนย้ายระเบิดออกจากโลกภายใน กระจายไปรอบด้าน ส่งให้ทุกคนหัวหมุน
หวังเป่าเล่อเองก็ได้รับผลกระทบ เขาอยู่ห่างจากโลกด้านในแผ่นวงแหวนเพียงแค่ก้าวเดียวจึงได้กลิ่นดอกไม้ลอยออกมา ถึงกระนั้น ภารกิจครั้งนี้ก็รุดหน้าต่อไปได้ไม่สำเร็จ ทุกคนเริ่มหายวับไปในพายุพลังเคลื่อนย้าย ก่อนจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง…บนฟากฟ้าถัดจากเรือบินรบไปสามหมื่นเมตร
“เกิดอะไรขึ้น”
“นึกว่าเข้าไปได้แล้วเสียอีก!”
“เรือบินรบมีกลไกเคลื่อนย้ายผู้บุกรุกออกไปจริงๆ ด้วย!”
เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋ามีสีหน้าเคร่งเครียด ผู้ฝึกตนรอบกายเริ่มกระซิบคุยกันอย่างดุเดือด เฟิ่งชิวหรันทำหน้านิ่วขณะจ้องมองเรือบินรบ ความรู้สึกมากมายลุกโชนในแววตา ส่วนหวังเป่าเล่อนั้นกลับแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ชายหนุ่มไม่เห็นด้วยกับการนำกลุ่มคนมากมายมายังเรือบินรบ แต่เมี่ยเลี่ยจื่อกับสหายแห่งเต๋าโยวหรันกลับเห็นดีเห็นงามกับแผนนี้ เฟิ่งชิวหรันเองก็เห็นชอบ หวังเป่าเล่อจึงไม่สามารถโต้แย้งอะไรออกไปได้
ก็ดีเหมือนกัน ผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรันน่าจะรู้อยู่แก่ใจดีว่าบิดาของนางน่าจะตายไปแล้ว แต่ก็ทำได้แค่หวัง เขาถอนหายใจ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองสำรวจเรือบินรบ ชายหนุ่มเห็นแสงจากการเคลื่อนย้ายสว่างขึ้นถัดออกไปไม่ไกล พวกเมี่ยเลี่ยจื่อกับสหายแห่งเต๋าโยวหรันก็น่าจะโดนเคลื่อนย้ายออกมาเช่นกัน
ทุกคนหน้าคร่ำเคร่ง หลังจากสี่ผู้อาวุโสถกกันเสร็จ พวกเขาก็ตัดสินใจลองเข้าไปอีกครั้ง แต่ก็จบที่ถูกเคลื่อนย้ายกลับออกมาเหมือนเดิม ไม่สามารถเข้าไปด้านในได้ ทันใดนั้น เมี่ยเลี่ยจื่อก็เสนอความคิดขึ้น
“เราต้องใช้พลังจากวงแหวนปราณของกระบี่สำริดเขียวโบราณเพื่อขัดขวางการเคลื่อนย้ายจึงจะสามารถเข้าไปด้านในเรือบินรบได้ ข้าเสนอให้เรากลับสำนักก่อนและรวมพลังกันทั้งสามฝ่าย เราต้องเตรียมการเผื่อมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นครั้งหน้า!”
หวังเป่าเล่อเห็นด้วยกับข้อเสนอของเมี่ยเลี่ยจื่อ หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง สหายแห่งเต๋าโยวหรันก็พยักหน้ายินยอม เฟิ่งชิวหรันถอนหายใจ แม้จะหดหู่ใจแต่นางก็ยอมรับการตัดสินใจครั้งนี้ กลุ่มผู้ฝึกตนหลายร้อยคนที่มุ่งหน้ามาอย่างดุดันตัดสินใจกลับสำนักมือเปล่า
เหล่าศิษย์ที่อยู่คุ้มกันสำนักและผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐต่างแปลกใจเมื่อได้เห็นพวกเขากลับมา สำนักวังเต๋าไพศาลยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน มีเพียงรูปลักษณ์เรือบินรบที่เปลี่ยน รวมถึงความกดดันจากการปฏิบัติภารกิจล้มเหลวที่ยังติดอยู่ในใจ
อย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป เรือบินรบที่เปลี่ยนโฉมไม่น่าจะส่งผลต่อชีวิตผู้คนในวังเต๋าไพศาลในเร็ววัน สองสามวันต่อมา ทางสำนักก็พบว่าเรือบินรบนั้นได้กลับสู่ตัวดาบ ไม่ได้หนีออกไปไหน หวังเป่าเล่อกับเฟิ่งชิวหรันถกกันด้วยความสงสัยระคนความไม่สบายใจ ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลหลายคนถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ทราบข่าว
การควบรวมระหว่างสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐดำเนินต่อ วันคืนอันแสนสงบสุขผ่านไป หวังเป่าเล่อฝึกวิชาได้ไม่นาน จินตั้วหมิงก็มาหาในคืนหนึ่ง
เขายิ้มกรุ้มกริ่มพร้อมกับยกมือขึ้นคำนับทักทายหวังเป่าเล่อ
“เป่าเล่อ ข้ารู้ว่าก่อนหน้ามีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น อีกทั้งยังสัมผัสได้ว่าเราสองคนเริ่มจะห่างเหินกันไป ข้าจึงมาที่นี่เพื่อคุยเปิดอกกับเจ้า
“จินตั้วหมิงผู้นี้ไม่ได้ต้องการจะแย่งชิงตำแหน่งผู้นำสหพันธรัฐกับเจ้า ถึงจะเป็นภารกิจที่ต้วนมู่ฉีมอบหมายมา ข้าก็ไม่สน ข้ารู้ว่าตัวเองต้องการอะไร ข้าอยากมีส่วนร่วมในการควบรวมสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐ ข้าอยากจัดตั้งกลุ่มไตรจันทราที่ไม่ขึ้นตรงต่อตระกูลของตัวเอง!”
“เป่าเล่อ เจ้าช่วยข้าได้ไหม” จินตั้วหมิงเอ่ยถามอย่างจริงใจ ดวงตาที่จ้องมองมาดูซื่อสัตย์ ไม่มีอะไรแอบซ่อน
หวังเป่าเล่อนวดหน้าผาก หลังจากเรือบินรบเปลี่ยนโฉมไป เขาก็เอาแต่ครุ่นคิดไม่หยุด จริงๆ แล้วตนกับจินตั้วหมิงก็ไม่ได้ห่างเหินกันสักเท่าไหร่ พวกเขายังติดต่อหากันตลอดหลายปีที่ผ่านมา ชายหนุ่มพิจารณาอยู่พักหนึ่งก่อนจะถามขึ้น
“ข้าจะช่วยเท่าที่ทำได้แล้วกัน เจ้าติดปัญหาเรื่องอะไร”
“ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย เป่าเล่อ ข้ารู้ว่าเรื่องที่จะขออาจทำให้เข้าใจผิดได้ แต่…ข้าก็จะพูด ข้าอยากแลกหุ้นส่วนเครือข่ายวิญญาณของข้ากับหุ้นส่วนเกมของเจ้า” จินตั้วหมิงเบือนหน้าหลบด้วยความขัดเขินเมื่อเอ่ยขอขึ้น
ชายหนุ่มนวดหน้าผากตนเองอีกครั้ง ส่วนตัวแล้วก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรเลย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะตัดสินใจได้ฝ่ายเดียว หลังจากครุ่นคิดสักพัก หวังเป่าเล่อก็ถามขึ้นอย่างมีชั้นเชิง “ตั้วหมิง เจ้าควรไปปรึกษาเรื่องนี้กับเซี่ยไห่หยาง”
“เป่าเล่อ ข้าตามหาเซี่ยไห่หยางดูแล้ว แต่ไปถ้ำที่พักก็ไม่เห็นใคร ภายในก็ว่างเปล่า เห็นว่าเขาหายตัวไปวันเดียวกับที่เรือบินรบปรากฏ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา…” จินตั้วหมิงถอนใจพร้อมกับเอ่ยบอกด้วยความหงุดหงิด
“ไม่เจอ ถ้ำที่พักก็ว่างเปล่า เขาหายตัวไปอีกแล้วอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อตัวแข็งทื่อ รีบหยิบแหวนสื่อสารขึ้นมาส่งข้อความหาเซี่ยไห่หยาง แต่ก็เหมือนดังโยนหินลงไปในมหาสมุทร ไม่มีการตอบกลับใดๆ
ดวงตาของจินตั้วหมิงฉายแสงวาบเมื่อเห็นดังนั้น เขาก้มหัวลงพร้อมกับถอนใจ
“ใช่ เขาชอบหายตัวไปไหนไม่รู้ นี่ก็ครั้งที่สองแล้ว”
หวังเป่าเล่อปวดหัวตุบๆ อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเซี่ยไห่หยางถึงมาหายตัวไปในเวลาเช่นนี้ เขาต้องตรวจสอบเรื่องนี้ คิดดังนั้นก็หันไปตอบจินตั้วหมิง
“ตั้วหมิง ไม่ต้องเป็นกังวลไป เซี่ยไห่หยางเป็นชายผู้เต็มไปด้วยปริศนา อาจจะมีธุระจำเป็นต้องไปสะสาง เดี๋ยวข้าไปตามหาเขาเอง จากนั้นจะรีบให้คำตอบเจ้า เอาตามนี้ได้ไหม”
จินตั้วหมิงยิ้มและพยักหน้าให้ เขาพูดคุยกับหวังเป่าเล่อต่ออีกพักใหญ่ก่อนจะกลับออกไป
ส่งจินตั้วหมิงกลับไปเสร็จ หวังเป่าเล่อก็กลับมานั่งหน้านิ่วคิ้วขมวด ขณะกำลังคิดเรื่องการหายตัวไปของเซี่ยไห่หยาง ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้นมองไปด้านนอกตรงทางที่จินตั้วหมิงเดินจากไป ความสงสัยเริ่มฉายขึ้นในดวงตา หลังจากใคร่ครวญสักพักก็พบว่าสิ่งที่จินตั้วหมิงพูดถึงเซี่ยไห่หยางเป็นจุดที่ทำให้เขานึกสงสัย
“ไม่เจอ ถ้ำที่พักก็ว่างเปล่า เขาหายตัวไปอีกแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ใช่ เขาชอบหายตัวไปไหนไม่รู้ นี่ก็ครั้งที่สองแล้ว”
บทสนทนาเล่นซ้ำในหัวชายหนุ่มอีกครั้ง หน้าผากเริ่มขมวดเป็นรอยย่นลึก ถ้าจินตั้วหมิงไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เซี่ยไห่หยางเคยหายตัวไป เขาน่าจะสงสัยเมื่อได้ยินตนพูดไปเช่นนั้น น่าจะถามถึงพฤติกรรมชอบหายตัวไปของเซี่ยไห่หยางกลับมา
แต่จากคำตอบก็ทำให้ตระหนักว่าอีกฝ่ายน่าจะรู้ว่าเซี่ยไห่หยางเคยหายตัวไป
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง จินตั้วหมิงไม่น่าจะรู้ว่าเซี่ยไห่หยางเคยอยู่ในสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ เขาเคยถามเรื่องเซี่ยไห่หยาง แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่ได้บอกอะไรไปมาก ถึงจะไปค้นข้อมูลเพิ่มก็ไม่น่าจะพบอะไรเพราะตอนนี้พวกเขาอยู่บนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ไม่ใช่สหพันธรัฐ
นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังเคยเตือนจินตั้วหมิงว่าอย่าเข้าไปยุ่มย่ามเรื่องเซี่ยไห่หยาง เขาจำสีหน้าของจินตั้วหมิงหลังจากนั้นได้ขึ้นใจ จินตั้วหมิงน่าจะเชื่อฟังคำแนะนำตามนิสัย อีกทั้งยังน่าจะฉลาดพอที่จะไม่แอบไปค้นเรื่องเซี่ยไห่หยางเอง อาจจะคิดไปว่าเซี่ยไห่หยางเป็นศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลด้วยซ้ำ
หวังเป่าเล่อเริ่มนึกสงสัย แต่อีกฝ่ายอาจจะไปไล่ถามคนอื่นมาก็ได้ ผู้ฝึกตนจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้มีเพียงแค่ตนคนเดียว
ข้าอาจจะคิดมากไปเอง ชายหนุ่มนวดหน้าผาก ตัดสินใจเลิกคิดเรื่องนี้ไป กลับมาสนใจเรื่องการหายตัวไปของเซี่ยไห่หยาง ความหงุดหงิดใจเริ่มคุกรุ่นขึ้นภายใน เขาเรียกหาแม่นางน้อย แต่ก็ไร้ซึ่งการตอบกลับ
หลับอีกแล้วหรือ หวังเป่าเล่อลุกยืน ท้องฟ้ามืดลงแล้ว แต่ความหงุดหงิดในใจยังลุกโชนไม่ดับหาย เขาหยิบเอาแผ่นหยกเกมเทพจุติออกมา กะจะเข้าไปเล่นเกมให้หายหงุดหงิดเสียหน่อย
แต่แม้ว่าจะพยายามเชื่อมต่ออยู่หลายครั้ง ก็เหมือนว่าระบบเกมจะล่ม เพราะเขา…ไม่สามารถเข้าเกมได้!
บทที่ 634 กลิ่นดอกไม้!
ทำไมเข้าไม่ได้ หวังเป่าเล่อส่ายหัว หยุดหายใจไปเมื่อความคิดหนึ่งแล่นเข้าในหัว
หรือว่าเจ้าเซี่ยไห่หยางจะฮุบเอาทุกอย่างหนีไปแล้ว หวังเป่าเล่อเริ่มหวั่นใจ เขาพยายามติดต่อหาเซี่ยไห่หยางผ่านแหวนสื่อสารแต่ก็ไร้ซึ่งการตอบกลับ ชายหนุ่มนั่งลงด้วยความหงุดหงิด จากนั้นก็เริ่มครุ่นคิด
เซี่ยไห่หยางไม่เหมือนคนที่จะใช้แผนสกปรกเช่นนั้น… เขาคิด ก่อนจะถอนใจและกดแหวนสื่อสารเปลี่ยนไปช่องการสื่อสารของสหพันธรัฐ กลุ่มผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐกำลังถกกันเรื่องเรือบินรบ ผ่านไปครู่ใหญ่ ชายหนุ่มก็ส่ายหัว ผลักความกังวลเรื่องเซี่ยไห่หยางทิ้งไป จากนั้นก็หลับตา เริ่มทำสมาธิ
ทำสมาธิได้ไม่นาน หวังเป่าเล่อก็ลืมตาขึ้น นัยน์ตาของชายหนุ่มฉายแสงผิดแปลกไป แม้จะตัดสินใจโยนเรื่องเซี่ยไห่หยางทิ้งไป แต่ลึกๆ ภายในมีเสียงหนึ่งคอยย้ำกับตนว่า…มีบางอย่างผิดแปลกไปมาก!
“จู่ๆ จินตั้วหมิงก็มาหาถึงที่พัก เซี่ยไห่หยางขาดการติดต่อไป ส่วนข้าก็เข้าเกมไม่ได้…” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำ สามเหตุการณ์นี้เหมือนจะมีจุดเชื่อมโยงกันอยู่ แต่เขาก็ไม่รู้ว่าปัญหาคืออะไร ชายหนุ่มไม่มีอารมณ์ฝึกวิชาต่อ รู้แค่ว่า…ตนคงวางใจไม่ได้ถ้าหาต้นตอของเรื่องทั้งหมดไม่ได้
เขาตรึกตรองถึงบทสนทนาระหว่างตนกับจินตั้วหมิงและเซี่ยไห่หยาง ทันใดนั้นชายหนุ่มก็หายใจถี่รัว ดวงตาเบิกกว้างเมื่อนึกถึงตอนที่ถามไปว่าจู่ๆ เกมจะล่มได้หรือเปล่า แล้วเซี่ยไห่หยางก็ตอบกลับมาว่า
“เกมไม่มีทางล่มเว้นเสียแต่จะอยู่ในฝัน!”
ประโยคนี้เป็นเหมือนดั่งสายฟ้าฟาดอยู่ในหัวหวังเป่าเล่อ ตัวของเขาสั่นเทิ้ม ความรู้สึกมากมายโถมเข้าใส่
ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววหวาดหวั่น เขาเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนจะเอื้อมมือเข้าไปค้นในเสื้อ หยิบเอาหน้ากากที่แม่นางน้อยอาศัยอยู่ออกมา
เขารู้สึกถึงหน้ากากในมือ แต่กลับไม่สามารถมองเห็นได้ หวังเป่าเล่อหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันใด ในอากาศเหมือนจะมีกลิ่นอ่อนๆ ของดอกไม้
กลิ่นดอกไม้นี่อีกแล้ว… หวังเป่าเล่อหรี่ตา จำได้ว่าครั้งแรกที่ได้กลิ่นนี้เป็นตอนที่ถูกเคลื่อนย้ายออกจากเรือบินรบ
เขานั่งเงียบ แผ่นหยกสื่อสารในกระเป๋าคลังเวทสั่นเตือนขึ้น ชายหนุ่มก้มหน้า หรี่ตามมอง ก่อนจะหยิบเอาแผ่นหยกสื่อสารออกมา ทันใดที่ปราณวิญญาณหลั่งไหลเข้าไปในแผ่นหยก เสียงเหนื่อยหน่ายของเฟิ่งชิวหรันก็ดังขึ้น
“เป่าเล่อ มาที่ถ้ำที่พัก ข้ามีเรื่องสำคัญจะบอกเจ้า”
หวังเป่าเล่อหลับตาลง ใบหน้าไม่แสดงความรู้สึกใดๆ ผ่านไปครู่ใหญ่ค่อยลืมตาขึ้น บัดนี้สีหน้าไม่ได้แสดงท่าทีผิดแปลกอะไร เขาลุกยืน เดินออกจากตำหนัก มุ่งหน้าไปทางถ้ำที่พักของเฟิ่งชิวหรัน คอยตรวจสอบสิ่งรอบตัวระหว่างทาง ศิษย์สำหนักวังเต๋าไพศาลและผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐเดินขวักไขว่ไปมา ทุกคนไม่ว่าจะเป็นประมุขสำนักสวี ต้นไม้ยักษ์ และคนอื่นๆ ต่างทำตัวตามปกติ ไม่มีอะไรผิดแปลกไปแม้แต่น้อย
ไม่มีช่องโหว่เลย…
นัยน์ตาของชายหนุ่มแฝงแววสับสน ในที่สุดเขาก็มาถึงหน้าทางเข้าถ้ำที่พักของเฟิ่งชิวหรัน ก่อนจะหยุดเท้าและจ้องเขม็งไปทางประตู
“เป่าเล่อ เข้ามาสิ” ประตูแง้มเปิดออกช้าๆ ทันทีที่หวังเป่าเล่อไปถึง เสียงแหบของเฟิ่งชิวหรันดังขึ้นตามมา นางดูเหนื่อยอ่อน ทั้งร่างกายและจิตใจ น้ำเสียงของนางดูอ่อนแรงระทมทุกข์ ราวกับได้สิ้นหวังกับทุกสิ่งอย่างไปแล้ว
“ก็ยังไม่มีช่องโหว่…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองเมื่อสัมผัสได้ถึงความทุกข์จากน้ำเสียงของเฟิ่งชิวหรัน เขาไม่ได้เข้าไปในถ้ำที่พักในทันที ชายหนุ่มยืนรออยู่ด้านนอก ดึงเอาหน้ากากออกมา แต่ก็ยังไม่สามารถมองเห็นได้เหมือนเดิม หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก จำได้ว่าหน้ากากเป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้ตัวว่ากำลังอยู่ในมิติมายาระหว่างการสอบเข้าสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ ที่ไม่สามารถมองเห็นหน้ากากได้ในตอนนี้เป็นเพราะมิติมายาไม่สามารถสร้างภาพมันขึ้นมาได้
ข้าอยู่ในมิติมายาหรือ… หวังเป่าเล่อหันมองสองข้าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นฟ้าและก้มมองพื้นดิน ตรวจดูทุกสิ่งรอบกาย ความสมจริงของสิ่งรอบกายทำให้เขาเงียบไป แต่หน้ากากที่มองไม่เห็นบ่งบอกแน่ชัดว่าทุกสิ่งคือภาพมายา
หากเป็นเช่นนั้น ชายหนุ่มก็พอจะทราบเหตุผลที่จินตั้วหมิงมาเยี่ยมถึงที่และการหายตัวไปของเซี่ยไห่หยาง
ถ้าที่นี่คือมิติมายา ก็หมายความว่ามิติมายาไม่สามารถสร้างเซี่ยไห่หยางขึ้นมาได้ จินตั้วหมิงเลยมาหาเพื่อจะขอเป็นหุ้นส่วน แต่จริงๆ แล้วเป้าหมายคืออยากให้ข้ารู้ว่าเซี่ยไห่หยางได้หายตัวไป ถ้าข้าเชื่อตามนั้นก็จะกลบช่องโหว่สุดท้ายไปได้ หวังเป่าเล่อถอนหายใจ หากมีแค่เหตุการณ์เดียวคงจะมองเป็นเรื่องบังเอิญได้ แต่นี่กลับมีทั้งท่าทีแปลกๆ ของจินตั้วหมิง ตามมาด้วยเซี่ยไห่หยางหายตัวไป เกมเข้าไม่ได้ หน้ากากก็มองไม่เห็น
แววตาของชายหนุ่มฉายแววเด็ดเดี่ยวเมื่อคิดพิจารณาเหตุการณ์ทั้งหมด
“จะเป็นฝันหรือมิติมายา ข้าก็ต้องแค่หาทางทำลายทิ้งเพียงเท่านั้น!” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำกับตนเองขณะเงยหน้าขึ้นมองถ้ำที่พักเบื้องหน้า เฟิ่งชิวหรันเอ่ยถามอย่างสงสัย ทันใดนั้น ชายหนุ่มก็ยกมือขวาขึ้นปลดปล่อยพลังปราณเต็มสูบ เกราะจักรพรรดิพลันปรากฏ พลังรัศมีพวยพุ่งขึ้นทะลุฟากฟ้าขณะหมัดขวาพุ่งทะยานไปด้านหน้า!
หมัดที่ผสานไปด้วยพลังเต็มขั้นของเกราะจักรพรรดิลักอัคคีและจิตตั้งมั่นของหวังเป่าเล่อพุ่งทะลุชั้นป้องกันทั้งหมด พายุพลันบังเกิด พัดโหมกระหน่ำไปทางถ้ำที่พักเบื้องหน้า ถ้ำที่พักของเฟิ่งชิวหรันสั่นไหวและเริ่มปริแตก เฟิ่งชิวหรันรีบหนีออกจากที่พัก ขาของนางสั่นระริกราวกับยังไม่ฟื้นจากอาการบาดเจ็บรุนแรง นางหวีดเสียงใส่ชายหนุ่มทันทีด้วยใบหน้าโกรธเกรี้ยวและตื่นตกใจ
“หวังเป่าเล่อ เจ้าทำอะไร โดนตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าครอบงำเหมือนเมี่ยเลี่ยจื่อไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
เข้าครอบงำหรือ หวังเป่าเล่อหน้าเคร่งเครียดขึ้น เขากำหมัดขวา พุ่งตรงไปทางเฟิ่งชิวหรัน พลังอาวุธเทพพวยพุ่งออกมาจากเกราะแขนขวาที่ได้ผสานกับแขนของศิษย์แห่งเต๋า พลังแกร่งกล้าขนาดเจ้าตัวยังหวาดหวั่นปะทุขึ้น ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแขนกระดูกมายาที่แฝงกลิ่นอายของหายนะและความตาย สามารถทำลายทุกสิ่งที่ขวางอยู่ตรงหน้าได้ แขนกระดูกพุ่งเข้าไปจับเฟิ่งชิวหรันในทันใด!
เฟิ่งชิวหรันหน้าตื่น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเดือดดาลและความไม่เข้าใจ นางยกมือขวาขึ้น พลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณพวยพุ่งขึ้นฟ้า ฉาบทั่วบริเวณไปด้วยพลังกล้าแกร่ง พลังอันเหนือชั้นตรงเข้ากดดันหวังเป่าเล่อ แต่ด้วยอาการบาดเจ็บรุนแรงทำให้นางไม่สามารถคุมพลังได้เต็มที่ อีกทั้งยังไม่มีเจตนาอยากปลิดชีพชายหนุ่ม นางตะโกนขึ้นอีกครั้ง
“หวังเป่าเล่อ สู้กับการครอบงำของตระกูลไม่รู้สิ้น! ตาสว่างได้แล้ว!”
หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มเมื่อได้เห็นพลังของเฟิ่งชิวหรันและได้ยินที่นางพูด เส้นผมของเขาปลิวไหว เสื้อผ้าฉีกขาดจากลมกรรโชก ทั่วร่างรู้สึกเจ็บระบบ ทุกอย่างดูสมจริงไปหมด ความไม่มั่นใจโถมเข้าภายใน แต่หน้ากากที่มองไม่เห็น รวมถึงพฤติกรรมประหลาดของจินตั้วหมิงและเซี่ยไห่หยางทำให้ดวงตาของเขาฉายแสงเย็นเยียบ ชายหนุ่มร้องคำราม แขนกระดูกมายาฟาดเข้าใส่เฟิ่งชิวหรันในทันใด!
เสียงกัมปนาทดังก้อง เฟิ่งชิวหรันผุดยิ้มอย่างเจ็บปวด นางบาดเจ็บหนักอยู่แล้ว ประกอบกับการปลดปล่อยพลังปราณเมื่อครู่ทำให้อาการแย่กว่าเก่า พลังปราณพลันเลือนหาย ร่างของนางกระเด็นไปเหมือนกับกระดาษเมื่อโดนอาวุธเทพของหวังเป่าเล่อฟาดเข้าใส่ เฟิ่งชิวหรันตัวสั่นเทิ้ม กระอักเลือดสดกองใหญ่ นางมองหวังเป่าเล่อด้วยแววตาขมขื่นขณะทรุดลงพื้น ก่อนจะพึมพำขึ้นด้วยเสียงอ่อนแรง
“เมี่ยเลี่ยจื่อโดนครอบงำไปแล้ว เจ้าก็เช่นกัน…หวังเป่าเล่อ ได้สติทีเถิด นี่คือความจริง ไม่ใช่มิติมายา!”
“โดนครอบงำหรือ…” ชายหนุ่มเงียบไปขณะมองร่างเฟิ่งชิวหรันร่วงลงพื้น นางบาดเจ็บหนักอยู่ก่อนแล้วจึงสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย นางพยายามเรียกสติเขา ทุกอย่างดูเป็นเหตุเป็นผล
นางพูดถึงเหตุผลที่ได้รับบาดเจ็บ นั่นก็เพราะ…เมี่ยเลี่ยจื่อก็โดนตระกูลไม่รู้สิ้นเข้าครอบงำ กำลังสงสัยว่าทุกอย่างคือภาพมายาเหมือนกันกับเขา
“นี่คือคาถาสะกดจิตของตระกูลไม่รู้สิ้น เจ้าได้กลิ่นดอกไม้แปลกๆ หรือเปล่า นั่นคือตัวบ่งบอกว่าเจ้าโดนครอบงำก่อนการเคลื่อนย้าย!” เฟิ่งชิวหรันหายใจติดขัด ดวงตาของนางเต็มไปด้วนความกังวล พยายามทุกวิถีทางที่จะทำให้หวังเป่าเล่อเชื่อว่าที่นี่ไม่ใช่มิติมายา
บทที่ 635 แหวกม่านบดบัง!
ผู้ฝึกตนหลายคนในสำนักวังเต๋าไพศาลรีบวิ่งมาเมื่อเห็นเหตุจลาจล แม้จะอยู่ห่างออกไป แต่หวังเป่าเล่อก็สังเกตเห็นอาการตื่นตะลึงที่ฉายชัดบนใบหน้า ได้ยินกระทั่งเสียงหายใจถี่หนักของพวกเขา
“เป่าเล่อ เจ้า…”
“หวังเป่าเล่อ เจ้าทำอะไรของเจ้า”
หวังเป่าเล่อไม่ได้หันไปมองทางฝูงชนที่กำลังส่งเสียงฮือฮาด้วยความตื่นตกใจ เขาได้ยินเสียงฝีเท้าของประมุขสำนักสวี เจ้าเยี่ยเหมิง และคนอื่นๆ สายตายังจับจ้องไปทางเฟิ่งชิวหรันที่กำลังอ่อนแรง ชายหนุ่มค่อยๆ หรี่ตาลง ก่อนจะยกมือขวาขึ้นชี้อย่างรวดเร็ว ทันใดกระสุนลมก็พุ่งเจาะทะลุหน้าผากของเฟิ่งชิวหรันไป
เฟิ่งชิวหรันตัวแข็งทื่อ ดวงตาแฝงแววขมขื่นของนางเบิกกว้าง ความรู้สึกมากมายฉายชัดขึ้นในแววตา นางจ้องหวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบก่อนจะสิ้นลมไป!
“คาถาคลายหรือยังนะ…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตัวเองขณะจ้องมองศพตรงหน้า เขาหันไปมองเหล่าศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลและผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่กำลังทำหน้าตื่นตะลึง แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง
“หวังเป่าเล่อ เจ้าบ้าไปแล้ว!”
“เป่าเล่อ!”
“เจ้านั่นฆ่าผู้อาวุโสเฟิ่งชิวหรัน!”
ฝูงชนระเบิดเสียงตื่นตกใจ บางคนนิ่งอึ้งไป บางคนสั่นกลัว อีกส่วนหนึ่งกำลังคลุ้มคลั่ง เหตุการณ์กำลังจะปะทุเดือดจนยากเกินควบคุม ทันใดนั้นประมุขสำนักสวีก็ปลดปล่อยพลังปราณพร้อมกับร้องคำรามขึ้น
“เหล่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ ข้าขอสั่งให้พวกเจ้าปกป้องผู้อาวุโสหวังเป่าเล่อ พวกเราจะออกจากที่แห่งนี้กัน!”
เหล่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่กำลังตื่นตกใจตัวสั่นเทิ้มเมื่อได้ยินเสียงคำสั่ง แม้ใบหน้าแสดงชัดเจนถึงอารมณ์สับสนปนเป แต่พวกเขาก็รีบพุ่งเข้าไปหาหวังเป่าเล่อเพื่อล้อมเป็นวงคุ้มกันตามคำสั่งของประมุขสำนักสวี
ผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลตกอยู่ในความคลุ้มคลั่ง ไม่มีทางที่จะปล่อยให้ทำเช่นนั้นได้ พวกเขารีบเข้าไปหยุดกลุ่มผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ ศึกระหว่างสองฝั่งพลันบังเกิด ความตายแผ่กระจายไปทั่วราวกับไฟลามป่า เสียงผู้คนปะทะกันดังก้องฟ้า ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณหลายคนรีบทะยานเข้ามาเสริมทัพ นัยน์ตาของพวกเขาฉายแววกราดเกรี้ยว
“เป่าเล่อ ข้าเชื่อว่าเจ้ามีเหตุผลบางอย่างถึงทำเช่นนั้นไป แต่ตอนนี้ไม่มีเวลาให้คิดอะไรแล้ว รีบไปที่วงแหวนปราณเคลื่อนย้าย เขาต้องรีบออกจากที่นี่และกลับไปยังสหพันธรัฐ!” ประมุขสำนักสวีตะโกนใส่หวังเป่าเล่อด้วยความลนลาน เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าหน้าซีดเผือด รีบวิ่งไปหาชายหนุ่ม
ทั้งสองพุ่งเข้าไปขนาบข้าง หิ้วปีกหวังเป่าเล่อที่กำลังจ้องศพเฟิ่งชิวหรันด้วยความงุนงงคนละฝั่ง จากนั้นก็ลากชายหนุ่มทะยานตรงไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย
สำนักวังเต๋าไพศาล ณ ตอนนี้ เต็มไปด้วยเสียงต่อสู้ เสียงร้องคำราม เสียงระเบิดรุนแรง และแสงคาถา หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบตลอดทางขณะเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าพาตัวไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ขณะที่กำลังจะถึง หวังเป่าเล่อก็หยุดยืนนิ่งและพูดพึมพำกับตนเอง
“ข้าเชื่อ…”
“พึมพำอะไรของเจ้า เป่าเล่อ เร็วเข้า รีบเข้าไปในวงแหวนเคลื่อนย้าย!” เจ้าเยี่ยเหมิงพูดขึ้นด้วยความกระวนกระวาย รีบฉุดหวังเป่าเล่อเข้าไปในวงแหวนเคลื่อนย้าย แต่ชายหนุ่มกลับไม่ไหวติงแม้แต่นิด นางหันกลับมามอง ไม่ได้เห็นแววตางุนงงของชายหนุ่มเหมือนเมื่อครู่ เพราะบัดนี้ถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่นอันแรงกล้า!
“ข้าบอกว่าข้าเชื่อในตัวแม่นางน้อย ข้าเชื่อในการตัดสินใจและสัญชาตญาณของข้า!” หวังเป่าเล่อพูดเสียงเบา จากประสบการณ์ในมิติมืดทำให้เขารู้เรื่องมิติมายามากขึ้น หากตอนนี้ติดอยู่ในห้วงความฝันหรือมิติมายาจริง ที่เขาต้องทำก็คือตามหาและกำจัดต้นตอทิ้ง
เพียงตามหาและกำจัดต้นตอทิ้งก็จะสามารถทำลายมิติมายาลงได้ มิติมืดสอนให้เขารู้ว่าต้นตอมักจะซ่อนอยู่ในสิ่งมีชีวิต
คนแรกที่หวังเป่าเล่อนึกถึงคือเฟิ่งชิวหรัน นางเป็นคนที่คุ้นเคยกันดีและมีระดับการฝึกตนสูงจึงมีโอกาสสูงที่จะเป็นต้นตอของมิติมายา แต่ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหลังจากนางตาย
ข้าคิดถูก…เพียงแค่ยังหาต้นตอไม่เจอ! ทุกอย่างดูสมจริงมาก การจะสร้างให้สมจริงเช่นนี้ต้องอาศัย…ความทรงจำของทุกคนถึงจะสามารถกลบช่องโหว่ทั้งหมดที่อาจเกิดขึ้นตอนที่ข้าสนทนากับคนอื่นๆ!
เช่นนั้นแล้ว ความทรงจำของทุกคนรวมถึงตัวข้าคือรากฐานของมิติมายานี้ แต่…ก็มีเพียงแค่ความทรงจำ ไม่ใช่คนจริงๆ ถึงจะได้ความทรงจำมา แต่ก็ไม่มีทางสร้างหลักการให้เหตุผลและสัญชาตญาณของพวกเขาขึ้นได้ หวังเป่าเล่อหันมามองเจ้าเยี่ยเหมิงที่กำลังจ้องตนด้วยสายตาเป็นกังวล
“เยี่ยเหมิง เจ้าเชี่ยวชาญเรื่องวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย ช่วยข้าคำนวณที สมมติว่าต้องส่งผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐกลับจำนวนมาก หากนำความสามารถของผู้ฝึกตนแต่ละคนและโดยภาพรวม รวมถึงการที่ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลมุ่งมั่นหยุดเราไว้มาใช้เป็นตัวแปร จะต้องทำการเคลื่อนย้ายกี่ครั้งและต้องแบ่งผู้ฝึกตนออกเป็นกลุ่มละกี่คนถึงจะสามารถส่งผู้ฝึกตนกลับไปได้มากที่สุด มีทางไหนที่จะช่วยส่งผู้ฝึกตนกลับไปได้เพิ่มไหม แล้วจำนวนที่มากที่สุดที่เจ้าคาดการณ์ไว้คือเท่าไหร่”
เจ้าเยี่ยเหมิงงุนงงกับคำถามกะทันหันของหวังเป่าเล่อ ดวงตาของนางฉายแววเป็นกังวลขณะตอบกลับอย่างรวดเร็ว
“นี่ไม่ใช่เวลามามัวพูดอะไรไร้สาระ เป่าเล่อ เจ้ามัวทำอะไรอยู่ รีบเข้าไปในวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย!”
“เยี่ยเหมิง ได้โปรดช่วยข้าคิดทีเถิด” หวังเป่าเล่อจ้องเจ้าเยี่ยเหมิงพร้อมกับเอ่ยเว้าวอน
“เป่าเล่อ เรื่องสำคัญที่สุดในตอนนี้คือการกลับ…” กงเต๋ารีบเสริมขึ้น ก่อนจะทันได้พูดจบ หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจ แววความหวาดหวั่นในสายตาของเจ้าเยี่ยเหมิงทำให้เขาได้คำตอบ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้น เจ้าเยี่ยเหมิงตัวสั่นเทิ้มขณะรอยกรีดเปื้อนเลือดปรากฏขึ้นบนลำคอ เลือดสดพลันพวยพุ่งออกมา นางจ้องหวังเป่าเล่อด้วยแววตาสับสน ก่อนจะล้มลงพื้นไป
กงเต๋าตะลึงงันกับภาพเหตุการณ์เบื้องหน้า เขาหายใจถี่รัวขณะเซถอยหลังไป ชายหนุ่มจ้องหวังเป่าเล่อด้วยแววตางุนงงสับสน ราวกับกำลังมองคนแปลกหน้า ไม่เคยรู้จักอยู่
“กงเต๋า ข้าเรียกเจ้าว่ากงเต๋าไปก่อนแล้วกัน เจ้าช่วยอะไรข้าได้ไหม ไปซุ่มโจมตีชายผู้นั้นที” หวังเป่าเล่อเอ่ยขอพร้อมกับชี้มือไปทางผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่กำลังต่อสู้อยู่ไกลออกไป
“ข้า…” กงเต๋าสะดุดถอยหลัง เริ่มหายใจติดขัด เขาอาจจะไม่รู้ แต่ตอนนี้ดวงตาทั้งสองกำลังฉายแววลนลาน หวังเป่าเล่อถอนหายใจด้วยความโล่งอก
โชคดีที่ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องจริง เขาถอนใจ ยกมือขวาขึ้นโบก พลันคมกระบี่ก็ฉายวาบขึ้น ทิ้งรอยโหว่ไว้ตรงทรวงอกของกงเต๋า ร่างไร้วิญญาณของคนตรงหน้าร่วงลงพื้น ชายหนุ่มพูดพึมพำขึ้น
“ยังไม่คลายอีกหรือ ต้นตอของมิติมายา…ไม่ใช่เฟิ่งชิวหรันหรือคนใกล้ชิดของข้า แล้ว…จะไปอยู่ที่ไหนกัน” หวังเป่าเล่อยืนอยู่ข้างวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย รู้สึกได้ถึงความหงุดหงิดเกินบรรยายและภัยอันตรายที่เข้าเกาะกุมหัวใจ เขารู้ว่าถ้าไม่ทำลายมิติมายาให้ได้โดยเร็ว ตนอาจจะ…ไม่มีโอกาสอีกต่อไป
ชายหนุ่มหันมองฝูงชนที่กำลังต่อสู้กัน เห็นจั่วอี้ฟาน หลี่อี้ และจินตั้วหมิง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปหยุดตรง…ต้นไฮยาซินที่อยู่บนยอดเขา!
หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มทันทีที่เห็นต้นไฮยาซิน เขาได้กลิ่นดอกไม้แปลกจมูกอีกครั้ง สัญชาตญาณภายในร้องบอก จริงๆ แล้วมีเสียงหนึ่งในใจพยายามตะโกนบอกว่าต้นตอของเหตุการณ์ทั้งหมด…คือต้นไม้ต้นนั้น!
เขาไม่ลังเลใจ รีบพุ่งตรงไปยังต้นไฮยาซิน ผู้คนรอบกาย ไม่ว่าจะเป็น ประมุขสำนักสวี จั่วอี้ฟาน กลุ่มผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ หรือเล่าศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลต่างหันไปจ้องชายหนุ่มตาไม่กะพริบ พวกเขารีบพุ่งตามไป พยายามจะหยุดเขาไว้!
แต่ก็สายเกินไป!
ชายหนุ่มปลดปล่อยเกราะจักรพรรดิลักอัคคี พลังปราณคุกรุ่นอยู่ภายในขณะพลังอาวุธเทพเข้าห้อมล้อมแขน พลังแกร่งกล้ากว่าครั้งไหนๆ พวยพุ่งขึ้นฟ้า หวังเป่าเล่อที่ลอยอยู่กลางอากาศผสานกับอาวุธเทพได้สมบูรณ์ เป็นดั่งดาวหางพุ่งผ่าสรวงสวรรค์ตรงไปบดขยี้ต้นไฮยาซิน
หมัดดวงหางพุ่งปะทะเป้าหมาย เสียงกรีดร้องดังขึ้น ต้นไฮยาซินสั่นไหวรุนแรงก่อนจะโค่นตัวลง อัสนีบาทคำรามบนฟากฟ้า โลกทั้งใบพลันเปลี่ยนผัน เหล่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลกลายเป็นเงาดำก่อนจะจางหายไป ทะเลเพลิงรอบสำนักวังเต๋าไพศาลปะทุเดือดก่อนจะยุบหาย ราวกับมีลมแรงพัดม่านบดบังทิ้งไป เผยให้เห็นศพนับไม่ถ้วนกองอยู่รอบตัวเขา!
ไกลออกไป สายโลหิตได้มารวมตัวกันกลายเป็นแม่น้ำขนาดใหญ่ไหลหลากไปไกลสุดขอบฟ้า มองไม่เห็นปลายสาย เกาะรอบกายเผยตัวตนที่แท้จริงหลังจากม่านถูกเปิดออก!
แท้จริงแล้วคือซากศพมากมายมากองรวมเป็นภูเขา!
กองซากศพกระจัดกระจายไกลสุดลูกหูลูกตา มีดอกไม้สีแดงงอกอยู่บนศพเหล่านั้น บางดอกบานสะพรั่ง บางดอกยังตูมอยู่ ส่งกลิ่นคุ้นเคยลอยคลุ้งทั่วบริเวณ
ฟากฟ้าได้แปรเปลี่ยน บัดนี้ไม่ใช่ผืนนภาของสำนักวังเต๋าไพศาลอีกต่อไป ดวงอาทิตย์ขนาดมหึมาฉายแสงอยู่กลางอากาศ หากมองดูให้ชัดจะเห็นว่าดวงอาทิตย์ดวงนี้แท้จริงแล้วคือศพอสูรขนาดยักษ์ แสงที่สาดส่องให้ความอบอุ่นอันแสนประหลาด ทันใดที่ต้องกับสิ่งเบื้องล่างก็กลายเป็นดวงแสงแห่งความตาย
ที่นี่ไม่ใช่สำนักวังเต๋าไพศาล!
ที่นี่คือเรือบินรบของตระกูลไม่รู้สิ้น!
บทที่ 636 ดอกปีศาจราเขียว!
การทำลายต้นไฮยาซินได้เผยให้เห็นสิ่งที่โลกมายาบดบังเอาไว้ แม้หวังเป่าเล่อจะเตรียมใจไว้พร้อม แต่ก็ยังต้องตกตะลึงไปเมื่อได้เห็นภาพเบื้องหน้า
เขาคิดเอาไว้แล้วว่าอาจจะเป็นเช่นนี้ แต่ก็ไม่สามารถสงบใจลงได้!
“แสดงว่า…ข้าไม่ได้กลับไปที่สำนักวังเต๋าไพศาล แต่ได้เข้ามาในเรือบินรบ!” หวังเป่าเล่อพูดพึมพำ ถัดจากเขาไปสิบก้าว…มีดอกไม้สีแดงขนาดมหึมาอยู่!
ดอกไม้เบื้องหน้าสูงราวสามสิบเมตร มีตนอ่อนแตกหน่อสูงฉลูดฟ้า กลีบของมันส่องแสงประหลาด ดูน่าหวาดหวั่น กลิ่นที่โชยออกมานั้น…เป็นกลิ่นที่หวังเป่าเล่อคุ้นเคย เขาได้กลิ่นนี้ตอนที่ขึ้นไปบนเรือบินรบและตอนติดอยู่ในนิมิตมายา
กลิ่นนี้เองที่เป็นตัวนำพาเขาเข้าสู่นิมิตมายา มีผลมากมายขนาดเท่าตัวคนห้อยอยู่ใต้ดอกไม้ยักษ์สีแดง รอยปริแตกพลันปรากฏขึ้น ใต้รอยแตกมากมายเห็นเขี้ยวแหลมคม ช่างเป็นภาพแสนน่าสะพรึงกลัว
ของเหลวเหนียวหนืดจากรอยแตกหยดย้อยลงพื้นเกิดเป็นเสียงดังซู่ ผลที่ใกล้ตัวหวังเป่าเล่อที่สุดแห้งเหี่ยวและตายลง
ยังไม่จบเพียงแค่นั้น ขณะที่หวังเป่าเล่อเงยหน้าขึ้นมองดอกไม้รอบตัว เขาก็สังเกตเห็นแสงปีศาจจางๆ ฉายย้อมผืนฟ้าและผืนดินที่เต็มไปด้วยศพและดอกไม้ ร่างคุ้นเคยยืนอยู่เบื้องหน้าดอกไม้รอบตัวชายหนุ่ม
เขาเห็นเฟิ่งชิวหรัน เจ้าเยี่ยหรัน กงเต๋า และคนอื่นๆ ที่เข้ามาในเรือบินรบพร้อมกัน บ้างยืนอยู่หน้าผลที่ห้อยอยู่ใต้ดอกไม้ บ้างกำลังเดินเข้าไปหาดอกไม้ ที่เหลือกำลังคลานเข้าไปในผล
มีคนส่วนหนึ่งหายไป หวังเป่าเล่อรู้ว่าคนพวกนั้นหายไปไหนทันทีที่เห็นผลที่ห้อยจากดอกไม้บางดอกสุกเต็มที่ พวกเขาคงจะโดนผลกลืนกินไปหมดแล้ว
เฟิ่งชิวหรันและคนอื่นๆ มีสีหน้าแตกต่างกันไป ส่วนหนึ่งยิ้มราวกับคนบ้า อีกส่วนดูสับสน บางคนดูตื่นตกใจ บางคนดูโกรธเกรี้ยว มีบ้างที่ดูกำลังทุกข์ทรมาน…มีคนกลุ่มหนึ่งจ้วงเอาเครื่องในจากศพที่กองอยู่ตรงพื้นมายัดใส่ปาก พวกนั้นทำหน้าราวกับได้ขึ้นสวรรค์เมื่อได้ลิ้มรสอาหารอันแสนโอชะ
สวรรค์เบื้องบนถูกฉาบสีด้วยแสงปีศาจ ผืนพิภพเต็มไปด้วยดอกไม้สีแดงบานสะพรั่ง ภาพเบื้องหน้าทำหวังเป่าเล่อสั่นกลัวไปถึงขั้นหัวใจ ลมหายใจถี่รัวขึ้นขณะออกวิ่งไปหาเจ้าเยี่ยเหมิง!
เจ้าเยี่ยเหมิงหน้าแดง ตาหวานเยิ้ม นางกำลังถูกผลดอกไม้กลืนกิน บัดนี้แขนข้างหนึ่งได้จมหายไปกว่าครึ่ง ราวกับว่ามีใครอยู่ในนั้นที่หวังเป่าเล่อมองไม่เห็นกำลังฉุดมือนางลงไปอยู่ในอ้อมกอดของตน!
นางกำลังจะก้าวเข้าไปในผลดอกไม้ตอนที่หวังเป่าเล่อไปถึง เขารีบคว้าแขนอีกข้างพร้อมกับดึงสุดแรง เสียงกรีดร้องดังมาจากในผลเมื่อวิญญาณโดนแย่งไป น้ำเสียงของมันฟังดูโกรธแค้นเพราะไม่ยินดีที่โดนแย่งเหยื่อไป พลังพลันปะทุจากด้านในผลผสานเข้ากับความกระหายอันแรงกล้า ผลตรงหน้าบวมเป่งขึ้น พยายามจะกลืนกินหวังเป่าเล่อ!
หวังเป่าเล่อต้านพลังด้วยหมัดเสริมแรงจากเกราะจักรพรรดิลักอัคคี ผลดอกไม้สั่นรุนแรง ส่งเสียงกรีดร้องดังออกมาจากภายใน ก่อนจะระเบิดออกส่งของเหลวหนืดกระจายไปทั่ว ชายหนุ่มดึงเจ้าเยี่ยเหมิงออกมา แต่เหมือนว่านางยังไม่ตื่นจากโลกมายา เขาเริ่มลนลาน รีบยกมือขวาชี้ไปที่หน้าผากของนาง
“ตื่นสิ!”
เสียงของชายหนุ่มดังก้องอากาศราวกับสายฟ้า เหมือนเสียงจะส่งถึงนาง เจ้าเยี่ยเหมิงตัวสั่งเทิ้ม ดวงตากลับมาแจ่มชัดดั่งเดิม นางพึมพำขึ้นเมื่อเห็นหวังเป่าเล่อ
“เป่าเล่อ ข้าฝัน ฝันว่าเรา…” ประโยคค่อยๆ เงียบไปเมื่อเจ้าเยี่ยเหมิงได้สติกลับมาครบและหันมองรอบตัว นางหรี่ตา อาการตื่นตกใจฉายชัดบนใบหน้า
เห็นเจ้าเยี่ยเหมิงได้สติ หวังเป่าเล่อก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ก็ไม่มีเวลามาคอยห่วงนาง เขารีบพุ่งไปหาคนอื่นๆ ทันใดนั้น ดอกไม้ยักษ์เบื้องหน้าเฟิ่งชิวหรันก็สั่นไหว ไม่นานก็โค่นลง กลีบหลุดร่วง ก้านและผลระเบิดออก ปราณวิญญาณขั้นเชื่อมวิญญาณพลันพวยพุ่งออกมาจากร่างเฟิ่งชิวหรัน
“นิมิตมายาราเขียว!” เฟิ่งชิวหรันมีสีหน้าเคร่งเครียด นางค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นหวังเป่าเล่อและเจ้าเยี่ยเหมิงที่อ่อนแรงไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะหลุดพ้นจากนิมิตมายา ส่วนชายหนุ่มตรงหน้านั้น…ทำให้เฟิ่งชิวหรันต้องแปลกใจ นางรู้ว่าหวังเป่าเล่อเป็นคนที่ไม่ควรไปแหย่หนวดเสือเข้า แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนแรกที่หลุดจากนิมิตมายา
หวังเป่าเล่อโล่งใจเมื่อเห็นเฟิ่งชิวหรันหลุดจากนิมิตมายา พวกเขามองหน้ากัน ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรให้มากความ ทั้งสองก็พุ่งออกไปช่วยคนอื่นๆ มีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณบางส่วนยังติดอยู่ในนิมิตมายา แต่พวกเขาก็เริ่มรู้สึกได้ว่ามีอะไรผิดแปลกไปและพยายามดิ้นรนซึ่งเห็นได้ชัดผ่านทางสีหน้า
หลายคนหลุดออกมาได้โดยไม่ต้องเข้าไปช่วย แต่บางส่วนก็อาจตายได้ถ้าไม่ได้รับการช่วยเหลือ พวกเขาหลุดจากนิมิตมายาได้เร็วขึ้นด้วยความช่วยเหลือจากเฟิ่งชิวหรันและหวังเป่าเล่อ
ไม่นานทั้งคู่และคนที่ช่วยออกมาได้ก็ช่วยผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ที่ยังไม่โดนกลืนไปหมดได้สำเร็จ แต่คนติดอยู่ในนิมิตมายาที่แตกต่างกันออกไป ทุกคนต่างตื่นตกใจไปเมื่อหลุดจากนิมิตมายา ก่อนจะหันมองกันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์หลากหลาย ไม่มีใครอยากพูดถึงความฝันของตัวเอง ความหนักอึ้งในใจและความหวาดกลัวก่อตัวขึ้นจากสถานที่แปลกประหลาดยังคงไม่จางหายไปไหนแม้จะหลุดพ้นจากนิมิตมายา
พวกเขาเห็นเพื่อนบางส่วนถูกผลกลืนเข้าไปทั้งเป็น มีบ้างที่ได้เห็นซากกระดูกที่หลงเหลือหลังจากฟันผลดอกไม้ทิ้ง ภาพที่เห็นทำให้ทุกคนตกอยู่ในความเงียบงัน
หวังเป่าเล่อรู้สึกหดหู่ ขึ้นมาบนเรือบินก็ได้พบกับประสบการณ์สุดแปลกประหลาดและอันตรายในทันใด ทุกคนต่างเป็นกังวลกับสถานการณ์ของพวกตนในปัจจุบัน
“เป่าเล่อ คุ้มกันคนพวกนี้ให้ข้าที ข้าจะไปทำลายดอกปีศาจราเขียวบริเวณนี้ทิ้ง!” เฟิ่งชิวหรันหน้าตาคร่ำเคร่ง แค่เพียงเข้ามาในเรือบินรบก็ต้องเผชิญหน้ากับภัยอันตราย นางไม่สามารถสงบใจได้เมื่อคิดถึงบิดา นางเตรียมทะยานขึ้นฟ้าสำรวจรอบพื้นที่
แต่ทันที่ที่เฟิ่งชิวหรันพูดจบและหวังเป่าเล่อพยักหน้ารับคำ ดอกไม้ปีศาจสิบสองดอกที่อยู่รอบๆ ก็สั่นไหวรุนแรงก่อนจะระเบิดออกเสียงดัง เหมือนว่าพวกมันได้ใช้พลังชีวิตทั้งหมดเพื่อปล่อยกลิ่นดอกไม้ไปห้อมล้อมเหล่าผู้ฝึกตน!
หากมองอยู่ไกลๆ จะเห็นกลิ่นดอกไม้กระจายออกไปในสภาพแก๊ส แต่เมื่ออยู่ใกล้ๆ จะเห็นละอองเกสรสีแดงชาดเกาะกลุ่มกันเป็นหมอกสีโลหิตเข้าปกคลุมพื้นที่เป็นวงกว้างหลายพันเมตร
เหล่าดอกไม้แห้งตายไปทันทีที่ปล่อยละอองเกสรออกมา พริบตาเดียวก็ร่วงลงพื้นไป หมอกละอองเกสรกระจายตัวไปไกลส่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน!
ละอองเกสรร่วงหล่นลงบนศพที่กองอยู่ทั่วพื้นที่หลายพันเมตร เหล่าศพพลันบิดงอ ส่งเสียงครวญคราญไร้สติดังก้องในอากาศขณะพยายามหยัดยืนขึ้น บางส่วนมีลักษณะเป็นคน อีกส่วนเป็นอสูร มีอยู่หลายสายพันธุ์ที่หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นมาก่อน พวกมันลุกยืน เตรียมพุ่งไปทางชายหนุ่มและเหล่าผู้ฝึกตนที่เหลือรอด!
พลังรัศมีแห่งความตายพวยพุ่งออกจากร่างเหล่าศพ ส่งกลิ่นเหม็นลอยคละคลุ้งในอากาศ สีสันบนฟากฟ้าพลันเลือนหาย ลมแรงพัดโหม เมฆาบิดหมุน โชคดีที่แม้จะมีศพจำนวนมาก แต่ส่วนใหญ่ก็ตายไปตั้งแต่นานนม ที่หลงเหลือติดอยู่มีเพียงสัญชาตญาณล้วนๆ ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอาจจะรับมือได้ยาก แต่สำหรับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณนั้นไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะกำจัดหรือหลบเลี่ยง
ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณอาจมองว่าเป็นคู่ต่อสู้แสนกระจอก ขณะที่เหล่าศพกรูกันเข้ามา ดวงตาเป็นกังวลของเฟิ่งชิวหรันก็ฉายแสงวาบขึ้น ก่อนนางจะยกมือขวาฟาดลงพื้นอย่างหนักหน่วง!
ฟ้าดินสั่นสะเทือนเมื่อหัตถ์มายาขนาดกว้างหลายพันเมตรปรากฏขึ้นเหนือหัว ก่อนจะฟาดลงบนพื้น ลมพัดโหมกระหน่ำส่งเส้นผมและเสื้อผ้าของทุกคนพัดปลิว ขณะที่ทุกคนกำลังยืนอึ้งอยู่นั้น หัตถ์ยักษ์ก็ฟาดผ่านร่างกายพวกเขาลงพื้นโดยไม่สร้างความเสียหายใดๆ ให้!
เสียงกัมปนาทดังกึกก้อง ฟ้าดินร้องคำรามเมื่อฝ่ามือฟาดลงพื้น ศพที่ดาหน้าเข้ามาถูกบดขยี้เป็นเถ้าธุลีในทันใด!
หัตถ์มายาเลือนหายไป ทั่วพื้นที่กลับสู่ความสงบอีกครั้ง หวังเป่าเล่อถึงกับหยุดหายใจไปแวบหนึ่ง เขาจ้องมองเฟิ่งชิวหรันด้วยแววตาตื่นตะลึง นางไม่เคยแสดงพลังกล้าแกร่งขนาดนี้ให้ใครได้เห็นมาก่อนทำให้หลายคนมองว่านางด้อยพลังกว่าเมี่ยเลี่ยจื่อ
แต่ตอนนี้ นางก็ได้แสดงพลังอันเหมาะสมกับตำแหน่งให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว!
“ดอกไม้สีแดงเหล่านี้มีชื่อเรียกขานว่าดอกปีศาจราเขียว กลิ่นของมันจะทำให้คนติดอยู่ในนิมิตมายา” เฟิ่งชิวหรันเอ่ยขึ้น นางยกมือขวาคว้าอากาศ เด็ดเอาเกสรตัวเมียออกมาจากเหล่าดอกไม้ที่แห้งเหี่ยวและวางลงตรงหน้าทุกคน
“เก็บสิ่งนี้ไว้ มันจะช่วยเจ้าทานพลังนิมิตมายาของพวกดอกปีศาจได้”
บทที่ 637 ลากท่อนไม้!
หวังเป่าเล่อหยิบเอาเกสรตัวเมียมาเงียบๆ เขารู้ว่าเฟิ่งชิวหรันอยากช่วยบิดาตนใจจะขาดและรู้ว่าเมี่ยเลี่ยจื่อคอยอุทิศตนเพื่อสำนัก ทั้งสองยอมเสี่ยงทุกอย่างเพื่อช่วยผู้อาวุโสของสำนัก ชายหนุ่มเข้าใจดีถึงความจงรักภักดีของสหายแห่งเต๋าโยวหรันที่มีต่อสำนัก แต่หวังเป่าเล่อก็อดระแวงเขาไม่ได้ สหายแห่งเต๋าโยวหรันเป็นคนพูดถึงกลไกการป้องกันตัวของเรือบินรบซึ่งเป็นเหตุให้ทุกคนถูกนิมิตมายาเข้าครอบงำได้อย่างง่ายดาย
แม้จะทราบแรงจูงใจของพวกเขา แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่เห็นด้วยกับภารกิจนี้ สถานการณ์อาจจะไม่แย่ขนาดนี้หากมีคนร่วมภารกิจไม่มาก แต่คณะมาปฏิบัติภารกิจนี้ประกอบด้วยผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทุกคนและผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกจำนวนมาก ผู้ฝึกตนหลายร้อยคนนี้คือกำลังรบสำคัญของสำนักวังเต๋าไพศาล
หากมีอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขาจะส่งผลกระทบร้ายแรงต่อสำนักวังเต๋าไพศาลจนยากเกินจะเยียวยาได้ ทางสหพันธรัฐอาจจะไม่ได้รับผลกระทบในทันที แต่จะต้องเผชิญกับปัญหาที่ตามมาในระยะยาว
ถึงกระนั้น เขาก็ถือว่าเป็นคนนอก จึงไม่มีสิทธิ์ห้ามการตัดสินใจของพวกเขา ทำได้เพียงลดทอนจำนวนผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่จะมาเข้าร่วมในภารกิจ เจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋านั้นมีสถานะในสำนักไม่เหมือนคนอื่นจึงต้องเข้าร่วมภารกิจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เพราะเหตุนี้ หน้าที่หลักของหวังเป่าเล่อจึงเป็นการดูแลความปลอดภัยของพวกเขา ส่วนการตามหาบิดาของเฟิ่งชิวหรันนั้นเป็นเรื่องรอง เขาแอบถอนใจและเดินไปหากงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิง ทั้งสองไม่ได้รับบาดเจ็บอะไร แต่ภัยอันตรายที่เพิ่งพบเจอทำให้พวกเขาสั่นกลัว ถึงกระนั้น กงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ พวกเขารีบปัดความกลัวทิ้งไป ดวงตาของทั้งคู่ฉายแววดุดันขึ้นในทันใด
“กงเต๋า ลองเปิดใช้ยันต์เคลื่อนย้ายของเจ้าดู” หวังเป่าเล่อกระซิบบอกหลังจากเดินไปใกล้ทั้งสอง
กงเต๋าส่ายหัว
“ข้าลองดูแล้ว…ไม่ได้”
หวังเป่าเล่อไม่ใช่เพียงคนเดียวที่คิดอยากกลับออกจากที่แห่งนี้ มีหลายๆ คนในหมู่พวกเขาที่คิดเหมือนกัน แม้แต่เฟิ่งชิวหรันยังคิดเช่นนั้น พวกเขาแอบลองเปิดใช้ยันต์เคลื่อนย้ายดูก่อนแล้วแต่ก็ไม่สำเร็จเป็นผลให้พวกเขารู้สึกหดหู่ใจ
เฟิ่งชิวหรันแอบถอนใจด้วยความขมขื่นเมื่อรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น จากนั้นก็ก้มหัวให้ทุกคนด้วยสีหน้าจริงจัง
“ครั้งนี้ข้าอาจจะตัดสินใจพลาดไป…แต่โปรดเชื่อในตัวข้า ข้าจะพายามทุกวิถีทางเพื่อพาทุกคนออกจากที่นี่!”
เฟิ่งชิวหรันไม่ได้แข็งขันดุดันเหมือนเมี่ยเลี่ยจื่อ แต่ความใจเย็นและการปรับตัวต่อสถานการณ์ได้ไวในแบบฉบับผู้หญิงของนางก็ถือเป็นข้อดี
ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดขณะที่นางก้มหัวและเอ่ยยืนยันรับปากกับทุกคน ทุกคนก้มหัวตอบอย่างเงียบเชียบ เลือกแล้วว่าจะเชื่อคำสัญญาของนาง ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะลักษณะนิสัยของนาง พวกเขารู้ดีว่าเฟิ่งชิวหรัน…ไม่ใช่คนที่จะปล่อยให้พวกตนตายในยามอันตราย
“ผู้อาวุโสเฟิ่งไม่จำเป็นต้องขอโทษ ในฐานะผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล พวกเราต้องคอยปกป้องผู้อาวุโสของเรา นอกจากนี้ พวกเราได้เลือกเดินเส้นทางการฝึกตนแล้ว ถ้ามากลัวตายเอาเสียตอนนี้ พวกเราก็ไม่ควรเลือกเดินทางนี้ตั้งแต่ต้น!” ชี่หลินกล่าวเสียงแหบห้าวท่ามกลางฝูงชน เขาหันมองผู้คนรอบๆ ด้วยแววตาดุดัน
“เราไม่สามารถทำการเคลื่อนย้ายได้ ดังนั้นก็เหลือเพียงแค่ทางเดียวคือเดินหน้าต่อไป!”
“ผู้อาวุโสเฟิ่ง พวกเราไม่มีสิทธิ์เข้าถึงบันทึกเกี่ยวกับตระกูลไม่รู้สิ้นมากเท่าใดนัก ท่านทราบเกี่ยวกับดอกปีศาจราเขียว แล้วมีสิ่งประหลาดอย่างอื่นบนเรือบินรบนี้อีกไหมที่เราต้องระวัง” ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณถามขึ้น พวกผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในค่อยๆ เงียบเสียงไป หวังเป่าเล่อเงยหน้ามองเฟิ่งชิวหรัน
เฟิ่งชิวหรันสูดหายใจลึก ข่มความกังวลในใจ นางรู้ดีว่าตนจะตกใจกลัวไปไม่ได้ มิเช่นนั้น นางอาจนำทางทุกคนไปตายและกลายเป็นคนบาปของสำนักวังเต๋าไพศาล
“ข้า เมี่ยเลี่ยจื่อ และโยวหรันได้ตัดสินใจผิดพลาดไป พอข้าได้เห็นกองศพและฝูงดอกปีศาจราเขียว ข้าก็นึกถึงเรื่องที่เคยได้ยินมา นั่นก็คือ…เรือบินรบพิเศษของตระกูลไม่สิ้น!
“เรือบินรบพิเศษลำนี้มีรูปลักษณ์ไม่ต่างจากเรือบินรบลำอื่นๆ ของตระกูลไม่รู้สิ้น แต่มีกลไกการทำงานแตกต่างกัน รู้จักกันในชื่อวังสังเวย!
“วังสังเวยโดยพื้นฐานแล้วคือแท่นบูชาสำหรับสังเวย ทุกครั้งที่ตระกูลไม่รู้สิ้นครองดาราจักรแห่งหนึ่งได้ พวกนั้นจะสังหารผู้ฝึกตนมากมายมาและโยนศพเข้าวังสังเวย เลือดเนื้อพลังชีวิตของเหล่าผู้ฝึกตนจะกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับกองเรือบินรบเพื่อใช้ในการฟื้นฟูร่างกายของพวกตระกูลไม่รู้สิ้น!
“ข้าคิดว่าเรือบินรบลำนี้คือวังสังเวย ศพที่กองอยู่คือผู้ฝึกตนจากอารายธรรมที่เรือบินรบลำนี้เคยไปถล่ม!
“ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว ที่นี่จะต้องมีแท่นสังเวยเล็กอยู่ในโลกแต่ละแห่งในแผ่นวงแหวน แท่นสังเวยเล็กทั้งสามนั้นเชื่อมโยงกันกับแท่นสังเวยหลักที่อยู่ด้านใต้!”
“ถ้าอยากออกจากที่นี่ พวกเราต้องเข้าไปในแท่นสังเวยหลัก…ก็จะพบกับทางออกให้เราใช้หนีไป!” เฟิ่งชิวหรันอธิบายให้ฟังอย่างจริงใจ ฝูงชนเงียบไป
หวังเป่าเล่อแอบถอนใจ ก่อนจะหยิบเอาสมบัติเวท โอสถ และหุ่นเชิดจำนวนหนึ่งออกมาจากกระเป๋าคลังเวท จากนั้นก็ยื่นให้เจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า
เขารู้ว่าสิ่งที่จะต้องพบเจอต่อไปนั้น…น่าจะยากหนักหนาเลยทีเดียว
เฟิ่งชิวหรันไม่ได้มองเหล่าผู้ฝึกตน แต่เลือกหันมองสิ่งแวดล้อมรอบตัว ในบริเวณหลายพันเมตรรอบๆ ปราศจากดอกปีศาจราเขียวแล้ว แต่นอกบริเวณนี้ออกไปยังมีกองซากศพและดอกปีศาจอีกนับไม่ถ้วน
โชคดีที่ส่วนใหญ่ยังตูมอยู่ ไม่เหมือนฝูงดอกที่บานสะพรั่งก่อนหน้า
“พวกเราพักกันก่อน อีกครึ่งชั่วโมงค่อยเคลื่อนทัพ!” ผ่านไปครู่ใหญ่ เฟิ่งชิวหรันก็หันกลับมาพร้อมกับเอ่ยขึ้นเสียงเบา ชี่หลินและคนอื่นๆ นั่งลง เริ่มปลดปล่อยพลังปราณกันเงียบๆ พยายามกระตุ้นตนเองให้อยู่ในสภาพพร้อมรบตลอด แต่ละคนนั้นหยิบเอาเกสรตัวเมียของดอกปีศาจราเขียวไปไว้ติดตัว
เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ส่วนใหญ่ฟื้นพลังกันเรียบร้อย พร้อมออกปฏิบัติภารกิจต่อ ทันใดนั้น ผืนดินก็เริ่มสั่นไหว!
แม้จะไม่ได้ไหวแรงมาก แต่ใบหน้าทุกคนกลับฉายชัดถึงความหวาดระแวง พวกเขารีบลุกยืน หันมองกันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ผืนพสุธาเริ่มสั่นไหวแรงขึ้นเรื่อยๆ ขณะเสียงกระทืบพื้นดังขึ้นจากไกลๆ ราวกับมียักษากำลังเคลื่อนกายเข้ามาหา!
เสียงหอบหายใจหนักดังตามมาดั่งเสียงหวีดของลมกรรโชก ก่อนเสียงโลหะกระทบกันจะดังขึ้นขัด หวังเป่าเล่อ เฟิ่งชิวหรัน และเหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณมีสีหน้าระแวดระวัง ไม่ต้องให้ใครหันบอก ผู้ฝึกตนส่วนใหญ่ก็หันมองบนฟ้าตรงทิศต้นทางของเสียง
พวกเขาจ้องเขม็งอยู่อย่างนั้น ทันใด ดวงตาก็พลันเบิกกว้าง หลายคนถึงกับหลุดพูดออกมาเสียงดัง
“นั่น…”
“นั่นมันอะไรกัน”
เสียงจากไกลห่างออกไปเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ ลมพัดหวีดแรง ร่างสูงชะลูดเฉียดฟ้า…เริ่มปรากฏให้เห็นในสายตา!
ตอนแรกได้ยินเพียงแค่เสียง จากนั้นก็เริ่มเห็นเป็นเงา ร่างเงาเริ่มเด่นชัดขึ้นจนหวังเป่าเล่อและผู้ฝึกตนคนอื่นๆ สามารถมองเห็นได้ชัดว่ามันคืออสูรชั่วร้ายขนาดใหญ่ยักษ์เกินคำบรรยาย!
รูปลักษณ์ของมันคล้ายคลึงกับวานรเพชร เพียงแต่ตัวใหญ่กว่าหลายเท่า ทั่วร่างมีขนหนารุนรัง เว้าแหว่งเผยให้เห็นกระดูกสีดำเป็นหย่อมๆ ส่งกลิ่นเหม็นเน่าลอยคลุ้งอยู่รอบกาย
ร่างของมันถูกโซ่หนาเจาะผ่านล่ามไว้กับท่อนไม้ขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่เบื้องหลัง!
ท่อนไม้ที่ว่า…กว้างหลายหมื่นเมตร หากเอาผู้ฝึกตนไปยืนเทียบคงดูราวกับเป็นมด แต่เมื่อเทียบกับอสูรตนนี้แล้ว ท่อนไม้กลับดูเล็กลงไปมาก!
ที่น่าตกใจไม่ใช่ความกว้างของท่อนไม้แต่เป็นความยาว…ที่ไกลออกไปไม่มีที่สิ้นสุด อสูรเบื้องหน้าถูกล่ามไว้กับปลายด้านหนึ่งของท่อนไม้ ส่วนปลายอีกด้านนั้นอยู่ไกลออกไปจนมองได้ไม่เห็น ท่อนไม้ใหญ่ยักษ์ยืดยาวออกไปสุดลูกหูลูกตา เหมือนว่าเชื่อมกับสุดขอบโลกเอาไว้!
อสูรยักษ์ตนนี้เป็นเหมือนลาที่กำลังลากท่อนไม้ไปข้างหน้าทีละก้าวด้วยความยากลำบาก!
หากชะลอฝีเท้าลงแม้แต่นิด โซ่ล่ามจะเปล่งแสงเป็นตัวอักขระ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นแส้หนาฟาดใส่อสูรจนต้องร้องลั่น บังคับให้มันก้าวเดินต่อไปไม่หยุด
มันดูจะไม่ได้สนใจหวังเป่าเล่อและเหล่าผู้ฝึกตน เสียงเหล็กกระทบและเสียงฝีเท้าดังกึกก้อง เริ่มได้ยินเสียงหอบหายใจใกล้เข้ามา ห่างออกไปหลายหมื่นเมตร อสูรร่างยักษ์กำลังเดินลากท่อนไม้ไปข้างหน้าทีละก้าว ค่อยๆ ถอยห่างออกไปไกล!
ทุกก้าวที่ลงเหยียบพื้นทำให้ผืนพสุธาสั่นไหว ทุกก้าวที่ยกกลับคืนสร้างลมปั่นป่วน ฟากฟ้าร้องคำราม ลมพัดกรรโชกเมื่อมันเคลื่อนตัวผ่านไป!
บทที่ 638 การโจมตีครั้งใหญ่!
“เมื่อครู่นี้คืออะไรกัน!” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตนเองขณะผู้คนรอบๆ กำลังส่งเสียงฮือฮา เฟิ่งชิวหรันเองก็สั่นกลัว พลังแกร่งกล้าที่แผ่ออกมาจากตัวอสูรตนเมื่อครู่เข้าปกคลุ่มโลกนี้ทั้งใบ
ที่น่าตื่นตะลึงก็คือการที่อสูรทรงอำนาจถูกล่ามไว้เหมือนทาสและโดนใช้ให้ลากท่อนไม้เหมือนกับลา!
ภาพเบื้องหน้าทำให้ทุกคนสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ พวกเขาจ้องไปยังปลายอีกด้านของท่อนไม้ที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา ในใจอดเดาไม่ได้ว่าปลายสุดอีกด้านมีอะไรอยู่
“ปลายอีกด้านของท่อนไม้ต้องเป็นทางไป…แท่นสังเวยของโลกนี้แน่!” เฟิ่งชิวหรันโพล่งขึ้น สีหน้าของนางพลันแปรเปลี่ยน ทุกคนเริ่มเคร่งเครียด
ที่พวกเขาหน้าดำคร่ำเคร่งก็เพราะได้เห็นอสูรร่างยักษ์ลากท่อนไม้ผ่านไป ก้าวย่างหนักแน่นของมันทำให้ผืนดินสั่นไหว ดงดอกไม้สีแดงที่ยังตูมอยู่ก็สั่นไปด้วย บางดอกเริ่มส่งสัญญาณเหมือนจะผลิบาน!
ภาพเบื้องหน้าทำให้ทุกคนตื่นตกใจ ดอกปีศาจราเขียวมากมายที่ผลิบานในทันใดอาจปลุกกองทัพศพให้ลุกจากพื้นได้!
“เราต้องรีบไปแล้ว!” เฟิ่งชิวหรันเงยหน้า โบกมือขวาด้วยสีหน้าตื่นหลัว พลังพลันปะทุนำทุกคนเหาะขึ้นจากพื้นและผลักทุกคนหนีออกจากบริเวณ
นางไม่ต้องบอกอะไร เหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณก็รีบพุ่งไปอย่างลนลาน หวังเป่าเล่อเองก็เช่นกัน เขาใช้แรงผลักจากพลังของเฟิ่งชิวหรันลากเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าพุ่งออกไป
แต่ก็สายไป!
พูดให้ถูกคือพวกเขาสูญเสียโอกาสออกจากบริเวณนี้ไปตั้งแต่วินาทีที่อสูรปรากฏตัว ผืนดินหยุดสั่นไหว เสียงระเบิดมากมายดังลั่นขึ้น!
เสียงระเบิดแต่ละครั้งเกิดจากดอกปีศาจราเขียวผลิบานเต็มขั้น แต่ละดอกมีขนาดเท่ากำปั้น ก่อนจะระเบิดออกเหมือนแบมือ ภาพเบื้องหน้าช่างน่าสะพรึงกลัว มองจากไกลห่างเห็นเหมือนมีมือมากมายนับไม่ถ้วนกำลังโบกเรียก!
ดอกปีศาจราเขียวมากมายที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าบานสะพรั่งในทันใด ละอองเกสรกระจายคลุ้งในอากาศ เกิดเป็นหมอกสีแดงชาด…บดบังฟากฟ้าจนมิด!
กองศพใต้หมอกสีแดงเริ่มกระตุกดิ้น เสียงโหยหวยดังก้องเมื่อเหล่าศพเริ่มลุกยืน ดวงตาของพวกมันลุกโชนด้วยเปลวไฟสีแดงขณะร้องคำรามลั่นและพุ่งไปหาเหล่าผู้ฝึกตน
กองทัพศพเบื้องหน้ามีทั้งอสูรไร้ท่อนล่างและมนุษย์แขนหรือขาด้วน อีกทั้งยังมีโครงกระดูกไร้เลือดเนื้อกับศพสภาพสมบูรณ์ที่พลังรัศมีสีดำแสนชั่วร้ายเปล่งออกมา!
นอกจากนี้ยังมีแมลงขนาดเท่ามนุษย์มากมายมารวมตัวกันเห็นเป็นฝูงเงาดำกำลังพุ่งมาหาพร้อมกับร้องคำรามลั่น!
แม้เฟิ่งชิวหรันจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณ แต่ถ้าถูกห้อมล้อมไว้ด้วยกองทัพศพมีชีวิตนี้แล้วละก็ นางอาจจะต้องสู้หาทางออกจนเหนื่อยอ่อนถึงขั้นตายลงก็เป็นได้!
อย่างไรเสีย นางก็เป็นมนุษย์ที่ยังหายใจอยู่ ในขณะที่กองทัพเบื้องหน้าคือซากศพไร้ชีวิต เสียงร้องคำรามของพวกมันกู่ก้องในอากาศขณะที่หมอกสีแดงเข้าปกคลุมท้องฟ้าปั่นป่วน ไม่มีเวลาให้ใครได้คิดหาแผนการอะไรอีกเพราะศพตนหนึ่งได้เคลื่อนเข้ามาประชิดพวกเขาแล้ว
เสียงปะทะกันดังขึ้น เฟิ่งชิวหรันตั้งผนึกมือท่วงท่าต่างๆ เรียกพายุออกมาเบื้องหน้า พวกที่เหลือตระหนักถึงความอันตรายดีจึงเข้ามารวมกลุ่มกัน จากนั้นก็พุ่งไปด้านหน้าพร้อมกับออกท่าโจมตีโดยมีเฟิ่งชิวหรันนำทัพ!
หวังเป่าเล่อคอยคุ้มกันอยู่ปีกขวา มีเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าอยู่เคียงข้าง ชายหนุ่มไม่จำเป็นต้องคอยปกป้องทั้งคู่ โดยเฉพาะเจ้าเยี่ยเหมิงที่สามารถใช้วงแหวนปราณช่วยหนุนทัพได้มาก นางตั้งผนึกมือปล่อยวงแหวนปราณชุดแล้วชุดเล่าออกไป โดยทุกๆ เก้าวงแหวนปราณจะเกิดการระเบิดของวงแหวนปราณที่ปล่อยไปก่อนหน้ากวาดล้างศพไปกองใหญ่ อีกทั้งยังส่งแรงปะทะสร้างความเสียหายกับศัตรูอีกมากมาย
กงเต๋าเองก็ดุดันไม่แพ้กัน สัญชาตญาณสัตว์ป่าของเขาถูกปลดปล่อยเต็มขั้นในการรบ ฝีมืออันร้ายกาจที่ซ่อนอยู่ลึกภายในเผยให้เห็นเมื่อเขาหลบการโจมตีรุนแรงได้อย่างสบายๆ ก่อนจะโต้กลับอย่างโหดเหี้ยมไม่แพ้กัน
หวังเป่าเล่อเลิกเป็นกังวลเมื่อได้เห็นการต่อสู้ของเพื่อนๆ เขาตั้งผนึกมือเรียกทะเลอัสนี สายฟ้ามากมายปะทะกันระเบิดเป็นคลื่นอัสนีหลายระลอกสาดเข้าใส่กองทัพศพ
เกราะจักรพรรดิลักอัคคีนั้นเป็นอาวุธที่เหมาะกับการสู้แบบตัวต่อตัว เมื่อพวกกับศัตรูจำนวนมากเช่นนี้ ชายหนุ่มก็นึกถึงวิชาแห่งศาสตร์มืดเป็นอันดับแรก แต่ไม่นานก็ตระหนักว่าวิชาแห่งศาสตร์มืดนั้นไร้ประโยชน์ในศึกครั้งนี้เพราะเหล่าศัตรูนั้นปราศจากวิญญาณ กองทัพศพเบื้องหน้าในตอนนี้เป็นเหมือนกับหุ่นเชิดที่มีเลือดเนื้อ!
สายฟ้าของเขาจึงเป็นอาวุธในครอบครองที่มีประสิทธิภาพที่สุด นอกจากนี้เขายังเรียกกองทัพกระบี่บินจากกำไลคลังเวทพุ่งขึ้นฟ้า ก่อนจะปล่อยให้พุ่งลงมาเป็นฝนคมกระบี่
คนอื่นๆ ก่อนปล่อยเคล็ดวิชาและคาถาทรงพลังเช่นกัน เฟิ่งชิวหรันคอยแหวกทางให้พวกเขาพร้อมกับรุดไปด้านหน้า แต่ก็มีอสูรและซากศพมากเกินไป เหล่าผู้ฝึกตนเคลื่อนทัพไปเรื่อยๆ แม้มองไม่เห็นปลายทาง อสูรบินได้พลันปรากฏขึ้นกลางอากาศ ไกลออกไปยังมีฝูงผีดิบในชุดคลุมสีดำ!
แม้จะบอกได้ว่าฝูงผีดิบชุดดำเป็นเพียงฝูงเล็กๆ แต่ก็มีอยู่หลายร้อยตัว! แต่ละตัวมีหมอกสีดำเปล่งแสงอักขระชั่วร้ายปกคลุม ทันใดนั้นหมอกสีดำก็พุ่งตรงไปหาเหล่าผู้ฝึกตนพร้อมกับหวีดร้อง!
ไม่มีการระเบิดใดๆ เมื่อหมอกเข้าปะทะ แต่ความเสียหายที่ได้รับนั้นรุนแรงเหมือนโดนผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณต่อย!
แต่นั่นก็ไม่ใช่ภัยอันตรายที่สุดในตอนนี้ ภัยอันตรายร้ายแรงที่แท้จริงคือการติดอยู่ในศึกซึ่งไร้ทางหนี หากละอองเกสรกระจายออกไปไกลอาจปลุกเหล่าศพแสนอันตรายหรือดึงทัพศพมาเสริมกำลังเพิ่มได้!
เฟิ่งชิวหรันเริ่มตื่นตระหนก นางดึงไม้วัดออกมาโบกพร้อมกับร้องเสียงดัง
“สามร้อยเมตร!”
สิ้นคำ ผืนแผ่นดินในระยะสามร้อยเมตรก็เริ่มสั่นไหว พลังที่มองไม่เห็นก่อตัวขึ้นและเข้าบดขยี้กองทัพศพที่อยู่ในระยะสามร้อยเมตร เหล่าศพกลายเป็นเถ้าธุลีในพริบตา!
แม้จะเป็นพลังอันร้ายกาจแต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากเพราะกองทัพศพมีจำนวนมากเกินไป พื้นที่ระยะสามร้อยเมตรที่เพิ่งจัดการจนโล่งไปถูกศพตนใหม่กรูเข้ามาแทนที่ในทันที หมอกสีดำเริ่มเข้าปกคลุม
ชี่หลินและคนอื่นๆ ร่วมโจมตีด้วยเช่นกัน ช่วยให้เฟิ่งชิวหรันมีเวลาเตรียมตัวออกท่าโจมตีครั้งต่อไป ผ่านไปชั่วครู่ ดวงตาของนางก็ฉายแววเย็ยเยียบก่อนจะร้องคำรามลั่น
“สามพันเมตร!”
ดวงตาของเจ้าเยี่ยเหมิงฉายแสงวาบเมื่อเฟิ่งชิวหรันปลดปล่อยการโจมตี นางรีบตั้งผนึกมือปล่อยวงแหวนปราณเก้าสิบเก้าวงทับซ้อนกันเป็นวงแหวนปราณกว้างสามพันเมตรเข้าล้อมรอบบริเวณ
การโจมตีจากไม้วัดของเฟิ่งชิวหรันระเบิดออกจังหวะเดียวกับที่วงแหวนปราณปรากฏขึ้น
ตูม ตูม ตูม!
ผืนพสุธาสั่นไหว สรวงสวรรค์สีสันเลือนหายเมื่อทุกสิ่งอย่างในขอบเขตสามพันเมตรกลายเป็นฝุ่นผง พลังจากไม้วัดเหมือนจะได้แหล่งพลังอื่นช่วยเสริม พลังกระจายวงกว้างออกไป ส่งแรงปะทะไกลออกไปอีกหกพันเมตร!
แม้แรงปะทะอาจจะไม่ได้รุนแรงเท่าพลังต้น อีกทั้งยังอ่อนพลังลงตามระยะทางที่กระจายออกไป แต่ก็เพียงพอที่จะกำจัดเหล่ากองทัพศพ!
สนามรบพลันโล่งจากศัตรู แต่พวกเขาก็รุดหน้าไปได้ไม่ไกลก่อนศพอีกกองทัพจะปรากฏขึ้นตรงสุดขอบฟ้า!
การโจมตีเมื่อครู่ทำให้ทุกตนตระหนักถึงพลังวงแหวนปราณของเจ้าเยี่ยเหมิง หวังเป่าเล่อเองก็ตื่นตะลึงไป เขารู้ว่าวงแหวนปราณของเจ้าเยี่ยเหมิงนั้นไร้เทียมทาน แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะสามารถช่วยเสริมพลังผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณได้!
เฟิ่งชิวหรันตระหนักถึงความแข็งแกร่งของวงแหวนปราณที่เจ้าเยี่ยเหมิงสร้างขึ้น ดวงตาของนางฉายแสงวาบ ก่อนจะพลันหายวับไปปรากฏตัวข้างๆ เจ้าเยี่ยเหมิงกะจะให้นางมาร่วมสู้เคียงข้าง หวังเป่าเล่อปรากฏตัวขึ้นข้างเจ้าเยี่ยเหมิงพร้อมๆ กัน เขายืนจ้องเฟิ่งชิวหรันอยู่อีกข้าง
“เป่าเล่อ ข้าขอสาบานด้วยชีวิตว่าจะไม่ให้เจ้าเยี่ยเหมิงได้รับอันตรายใดๆ!”
นางโพล่งออกมาทันใด หวังเป่าเล่อจ้องเจ้าเยี่ยเหมิงเงียบๆ เขาไม่มีสิทธิ์ไปตัดสินใจแทนนาง เจ้าเยี่ยเหมิงหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยกยิ้มแสนอ่อนโยนให้ชายหนุ่ม จากนั้นก็หันไปพยักหน้าให้กับเฟิ่งชิวหรันและติดตามนางไป ทั้งคู่ทะยานขึ้นฟ้า ตั้งใจจะปล่อยการโจมตีเมื่อครู่อีกครั้งกลางอากาศ
ความกังวลเกินบรรยายคุกรุ่นขึ้นในใจหวังเป่าเล่อขณะมองทั้งสองทะยานขึ้นฟ้า เข้าอยากจะพูดอะไรบางอย่างออกไป ทันใดนั้น…พื้นดินก็เริ่มสั่นไหวรุนแรง!
ผืนดินเบื้องหน้าถล่มลง งูเหลือมยาวสามสิบเมตร ร่างเน่าเปื่อยเป็นหย่อมๆ พุ่งทะลุขึ้นมาจากใต้ดินส่งเศษหินกระจายไปทั่ว มันตรงเข้าไปปะทะกับกลุ่มผู้ฝึกตน!
หวังเป่าเล่อไม่มีเวลามัวกังวลใจเมื่อได้ยินเสียงปะทะกันดังสนั่น เขาพุ่งหลบการโจมตีพร้อมกับคนอื่นๆ ผืนดินเบื้องหลังถล่มลงอีกครั้งพร้อมกับการปรากฏตัวขึ้นของงูเหลือยักษ์ตัวที่สอง!
ผืนพสุธารอบตัวเริ่มถล่มลงหลุมแล้วหลุมเล่า งูเหลือมตัวที่สาม สี่ ห้า โผล่พ้นดินขึ้นมาเรื่อยๆ…ฝูงงูเหลือมสี่สิบตัวร้องคำรามลั่นพร้อมกับพุ่งเข้าหาเหล่าผู้ฝึกตน เปลวไฟสีดำพลันพวยพุ่งออกจากปากของพวกมัน!
บทที่ 639 กระจัดกระจาย!
ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในไม่สามารถหลบฝูงงูเหลือมได้ทันจึงถูกเขมือบทั้งเป็น เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดจมหายไปท่ามกลางเสียงร้องคำรามลั่นของกองทัพศพ เหล่าผู้ฝึกตนไม่มีทางเลือกอื่น ต้องกระจายตัวกันออกไปเพื่อหลบการโจมตีของฝูงงูเหลือมยักษ์
หวังเป่าเล่อเองก็รีบถอยหนี งูเหลือมยักษ์พุ่งเข้ามาหาเขาจากทางขวาพร้อมกับร้องคำราม พยายามจะเขมือบชายหนุ่มทั้งเป็น แต่พลังของหวังเป่าเล่อนั้นทัดเทียมกับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ เกราะจักรพรรดิลักอัคคีปรากฏชึ้นทันใด ดวงตาของเขาฉายแสงเย็นเยียบขณะพุ่งไปข้างหน้า ไม่คิดถอยหนี ตรงเข้าไปประจันหน้ากับงูเหลือมยักษ์!
เสียงกัมปนาทดังกึกก้องทันใดที่แขนอาวุธเทพของชายหนุ่มเจาะทลวงร่างของงูเหลือมยักษ์ เขาถลาไปรอบๆ ก่อนจะพุ่งขึ้นฟ้า ส่งศีรษะงูเหลือมยักษ์ร่วงลงพื้นเสียงดัง
ร่างของงูเหลือมยังดิ้นไปมา พยายามฟาดตัวใส่หวังเป่าเล่อแม้จะถูกตัดหัวไป ชายหนุ่มตั้งผนึกมือท่วงท่าต่างๆ เรียกกระบี่บินสามสีพุ่งขึ้นฟ้า ตรงเข้าไปหั่นงูเหลือมเป็นชิ้นๆ ก่อนจะพุ่งกลับมาฟาดฟันรอบตัวหวังเป่าเล่อ หั่นเหล่าศพที่ดาหน้าเข้ามาทิ้ง
ชายหนุ่มไม่สนใจกองทัพศพรอบตัว เขาหันมองรอบด้านด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ฝูงงูเหลือมยักษ์กองทัพผู้ฝึกตนออกเป็นกลุ่มย่อย เสียงปะทะกันดังกึกก้อง งูเหลือมหลายตัวโดนผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณสังหารเรียบร้อย แต่หายนะบนสนามรบก็ยังไม่หมดสิ้น ผู้ฝึกตนมากกว่าสิบคนถูกปลิดชีพไป
เกราะลักษณะคล้ายเกล็ดปลาปรากฏขึ้นบนตัวกงเต๋า เหมือนจะช่วยเสริมความเร็วและทำให้ร่างกายโปร่งใสไปเล็กน้อย เขาพุ่งไปช่วยผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนหนึ่งล้มงูเหลือมยักษ์ลงอีกตัว!
ปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ได้ ถ้าพวกเราไม่ทำอะไรสักอย่างต้องได้ตายกันหมดแน่! หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัว เขาพุ่งไปหากลุ่มผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน ก่อนจะสังหารงูเหลือมยักษ์ทิ้งเพียงแค่ยกมือขึ้นโบก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมองฟ้า
เฟิ่งชิวหรันและเจ้าเยี่ยเหมิงที่อยู่กลางอากาศกำลังถูกอสูรบินได้เข้าล้อม ทั้งสองเปล่งแสงเป็นประกายก่อนแสงจะสว่างแสบตาขึ้นเรื่อยๆ เฟิ่งชิวหรันยกไม้วัดในมือขึ้น ดวงตาของนางฉายแสงวาบขณะตะโกนลั่น “สามหมื่นเมตร!”
นางฟาดไม้วัดในมือลงอย่างรุนแรง เจ้าเยี่ยเหมิงตั้งผนึกมือสร้างวงแหวนปราณเก้าร้อยเก้าสิบเก้าวงที่สะสมไว้ขึ้นพร้อมๆ กัน!
สรวงสวรรค์สั่นคลอน ผืนดินสั่นไหว ลมพัดกรรโชก เมฆาหมุนวน ศพและอสูรทุกตน รวมถึงฝูงงูเหลือมและกลุ่มผีดิบชุดดำในระยะสามหมื่นเมตรสั่นเทิ้ม ราวกับมีพลังไร้เทียมทานส่งตรงลงมาบดขยี้จากเบื้องบน!
เกิดการระเบิดสนั่นหวั่นไหวทำลายทุกสิ่งในเขตสามหมื่นเมตรเป็นเถ้าธุลี เหล่าศัตรูถูกกวาดล้างจนเกลี้ยง วงแหวนปราณของเจ้าเยี่ยเหมิงเสริมแรงให้กับการโจมตีพร้อมกับส่งคลื่นปะทะกระจายออกไปอีกหนึ่งหมื่นเมตรเหมือนดั่งมีหัตถ์ขนาดมหึมาโผล่พ้นดินมากวาดทุกสิ่งทิ้งไป!
อสูรบนฟ้าคือเป้าหมายหลักของเฟิ่งชิวหรันและเจ้าเยี่ยเหมิง พื้นที่บนฟ้าถูกกวาดล้างไปไกลกว่าบนดิน!
“เร็วเข้า!” ผืนดินสั่นไหว ทุกอย่างกลายเป็นเศษธุลี เฟิ่งชิวหรันคว้าเจ้าเยี่ยเหมิงพุ่งหายไปไกลขณะร้องบอกเสียงดัง
ไม่ต้องให้เฟิ่งชิวหรันบอกอีกครั้ง เหล่าผู้ฝึกตนที่เหลือเมื่อได้เห็นการโจมตีเมื่อครู่ก็ตื่นตัวพร้อมวิ่งหนี เมื่อหนทางเบื้องหน้าเปิดออกพร้อมกับการปรากฏตัวของทัพศัตรูชุดใหม่ถัดไปไกลกว่าหมื่นเมตร พวกเขาก็รีบพุ่งตัวออกไปในทันที
หวังเป่าเล่อคว้ากงเต๋าและทะยานขึ้นฟ้า กลุ่มผู้ฝึกตนกำลังจะใช้โอกาสที่มีหนีไปได้ ทันใดนั้น เสียงหอนก็หวีดขึ้นจากหลุมที่ฝูงงูเหลือมยักษ์โผล่ขึ้นมา
ผืนดินจมลึกลง ก่อนจะเกิดรอยปริแตกขนาดใหญ่ ตามมาด้วยเสียงร้องเห่าหอนดุดันสั่นคลอนจิตใจทุกคนที่ดังขึ้นจากใต้ดิน
เสียงร้องโหยหวนดังสอดประสานกับเสียงโซ่กระทบกัน หมาล่าเนื้อสีดำขนาดใหญ่ ตัวเน่าเปื่อยเป็นบางส่วน พลันกระโจนขึ้นไปบนอากาศจากรอยแตก พริบตาต่อมาก็อ้าปากเขมือบเอาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนหนึ่งและผู้ฝึกฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอีกสามคนเข้าปาก!
ความหวาดกลัวฉายชัดบนใบหน้าทุกคน ฝันร้ายของพวกเขาเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น รอยแตกคล้ายๆ กันเริ่มปรากฏขึ้นเพิ่ม หมาล่าเนื้อสีดำหลายตัวกระโจนขึ้นฟ้าพร้อมกับเห่าหอนเสียงดัง!
โชคดีที่พวกมันถูกล่ามไว้กับพื้นทำให้ไม่สามารถไปไหนได้ไกล ถึงกระนั้นหมาล่าเนื้อจำนวนหลายสิบตัวก็ถือเป็นภัยอันตรายร้ายแรง นอกจากนี้…ด้วยร่างกายพิเศษเฉพาะตัวของพวกมันทำให้ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากคาถา เป็นเหมือนดั่งโยนหินลงมหาสมุทรกว้างใหญ่ มีเพียงการโจมตีกายภาพโดยตรงเท่านั้นถึงจะสร้างความเสียหายกับพวกมันได้!
“เหล่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ กระจายตัวกันออกไป พวกขั้นกำเนิดแก่นในมารวมตัวกันรอบๆ ข้า เราจะหนีไปเจอกันที่ปลายท่อนไม้!” เฟิ่งชิวหรันหน้าซีดเผือดขณะร้องออกคำสั่งอย่างรีบร้อน นางอยากจะต่อสู้แต่ก็สัมผัสได้ถึงพลังร้ายกาจลึกลงไปเบื้องใต้กำลังมุ่งหน้าตรงมาหาอย่างรวดเร็ว!
พวกเขามีเวลาเพียงสามสิบวินาทีก่อนมันจะโผล่พ้นดิน!
นางไม่มีเวลาวางแผนอย่างละเอียดเพราะภัยอันตรายกำลังรุดหน้าเข้ามาใกล้ นางโยกมือขวาขึ้นโบก นำผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในจำนวนหนึ่งมารวมตัวรอบๆ จากนั้นก็นำเจ้าเยี่ยเหมิงและคนอื่นๆ มุ่งหน้าหนีไปไกล!
ชี่หลินและผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ ก็กระจายตัวออกไปพร้อมกับใบหน้าซีดเผือด หวังเป่าเล่อก็เช่นกัน เขาตั้งใจจะตามเฟิ่งชิวหรันไป แต่ก่อนจะทันได้ทำเช่นนั้น ผืนดินด้านล่างก็สั่นไหว หมาล่าเนื้อสีดำตัวหนึ่งกระโจนเข้ามาขวางทาง หมายจะเขมือบเขาทั้งเป็น!
ดวงตาของชายหนุ่มฉายแสงดุดัน เกราะจักรพรรดิลักอัคคีปรากฏขึ้นทันใด พลังไร้เทียมทานไหลมารวมกันที่แขนอาวุธเทพ เขาปล่อยหมัดตรงไปยังหมาล่าเนื้อเบื้องหน้า!
หมัดหนักก่อให้เกิดพายุโหมเข้าใส่หัวของหมาล่าเนื้อจนเกิดเสียงดังกึกก้อง หมาล่าเนื้อกรีดร้องกระเด็นถอยหลัง หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้มจากแรงสะท้อนกลับ เกราะส่งเสียงปริแตก ร่างของชายหนุ่มกระเด็นถอยไปไกลจากแรงปะทะจากหมัดเหมือนดั่งหุ่นเชิดถูกตัดออกจากสาย
ฟากฟ้าเต็มไปด้วยซากศพกลุ่มใหม่อีกครั้ง ฝูงอสูรร้ายโดนกระบี่บินเชือดทิ้งก่อนจะทันใดเข้าใกล้ หวังเป่าเล่อหายใจถี่หนักขณะพยายามทรงตัว เขาหันมองรอบๆ เห็นเพียงร่างไม่สมประกอบและเศษแขนขาของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาลจำนวนหนึ่ง ชี่หลินและคนอื่นๆ กระจายตัวออกไปสักพักแล้ว
กองทัพศพแยกกันตามเหล่าผู้ฝึกตนไป
เราไม่น่ามาเรือเฮงซวยนี่เลย! หวังเป่าเล่อกัดฟันแน่น เขาถอยหนีอย่างไม่ลังเลใจ ก่อนจะออกวิ่งไปตามทางที่เลือกมั่วๆ ขณะที่กำลังจะก้าวเท้า พื้นดินห่างออกไปสามหมื่นเมตรก็เริ่มสั่นไหว ปลาคุนนกเผิงขนาดใหญ่ยักษ์ ลำตัวเน่าเปื่อยเป็นบางส่วนก็โผล่ขึ้นมาจากใต้ดินทะยานขึ้นฟ้าเหมือนดังปลาโผล่พ้นมหาสมุทร!
ปราณมืดแผ่พุ่งออกมาจากอสูรที่เพิ่งโผล่พ้นดิน คลื่นพลังจากร่างเน่าเปื่อยแผ่กระจายสร้างความกลัวให้กับชายหนุ่ม พลังปราณในกายเริ่มสั่นคลอน เป็นความรู้สึกเดียวกับตอนที่เขาได้เผชิญหน้ากับอสูรเขี้ยวดารา หวังเป่าเล่อรู้ว่าอสูรเบื้องหน้ามีขั้นการฝึกตน…อยู่ในระดับดาวพระเคราะห์!
ระดับดาวพระเคราะห์! ชายหนุ่มตัวชาไปถึงหนังศีรษะ สังเกตเห็นว่าปลานกคุนเผิงก็ถูกโซ่ล่ามไว้เหมือนเหล่าหมาล่าเนื้อเพียงแต่โซ่ที่มันอยู่มีมากกว่า แต่ก็ไม่มีเวลามาใคร่ครวญอะไรมาก เขารีบวิ่งหนีโดยไม่หันกลับมามอง
หวังเป่าเล่อปลดปล่อยพลังทุกอย่างที่มี ระฆังอาวุธเวทเข้าห้องล้อมเกราะจักรพรรดิ กระบี่บินสามสี่บินหมุนรอบตัวคอยคุ้มกัน หลังจากเสริมพลังป้องกันแล้ว ชายหนุ่มก็ปลดปล่อยความเร็วเต็มพิกัด แปรเปลี่ยนเป็นดาวหางทะยานแหวกท้องนภา พุ่งเข้าชนเหล่าอสูรบินได้ที่อาจดีมาขวางทาง!
ชายหนุ่มพุ่งตรงไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ทิ้งเถ้าธุลีและความตายไว้ตามเส้นทางที่เคลื่อนผ่าน จิตสัมผัสของหวังเป่าเล่อขยายเต็มพิกัด เขารีบเปลี่ยนทิศทางทันทีที่สัมผัสได้ถึงอะไรไม่ชอบมาพากล ส่งให้ตนรอดจากภัยอันตรายที่ซ่อนตัวอยู่ ละอองเกสรน่าจะหมดฤทธิ์ไปแล้วเนื่องจากเหล่าศพเริ่มตัวขัดแข็ง ก่อนจะค่อยๆ เคลื่อนตัวช้าลงจนหยุดนิ่งไป หวังเป่าเล่อหลบหนีออกมาจากหมอกสีแดงและดินแดนแห่งซากศพได้สำเร็จ!
ชายหนุ่มหอบหายใจถี่ ชุดคลุมโชกไปด้วยเหงื่อ เขารีบหยิบเอาโอสถจำนวนหนึ่งมากลืนลงท้อง จากนั้นก็หันกลับไปมองสนามรบเบื้องหลัง ความหวาดหวั่นยังคงไม่หายไปจากสายตา
ปลาคุนนกเผิงโดนล่ามไว้ หนีมาไกลขนาดนี้คงจะตามมาไม่ได้แน่ เจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋าอยู่กับเฟิ่งชิวหรัน น่าจะไม่เป็นไร หวังเป่าเล่อใจเต้นถี่รัว แต่ลึกๆ ก็รู้ว่ามัวแต่ตื่นกลัวไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ชายหนุ่มสูดหายใจเฮือกใหญ่หลายครั้งเพื่อกลบฝังความไม่สบายใจที่คุกรุ่นอยู่ภายใน จากนั้นก็หันมองรอบตัวด้วยสีหน้าเอาจริงเอาจัง สายตาของเขาเลื่อนไปหยุดตรงทิศทางหนึ่ง ดินแดนเบื้องหน้าเหมือนจะไร้ซึ่งภัยอันตรายใดๆ หวังเป่าเล่อจึงออกวิ่งไปยังทิศทางนั้น
บทที่ 640 เพรียกหา!
ฟากฟ้ามืดสี แม้ศพอสูรขนาดยักษ์ที่ลอยอยู่บนท้องนภาจะส่องสว่างเหมือนกับดวงอาทิตย์ แต่ก็ไม่สามารถมอบแสงสว่างให้กับดินแดนแห่งนี้ได้ หวังเป่าเล่อเห็นทางเบื้องหน้าส่องแสนเลือนรางขณะที่เส้นทางอื่นๆ มืดสนิท
แต่ถ้าเป็นผู้ฝึกตนก็สามารถมองได้ชัดหากมีพลังวิญญาณไหลผ่านดวงตา ดงดอกปีศาจราเขียวที่กระจายอยู่ทั่วดินแดนก็ช่วยส่องทางให้อีกแรง เหล่าดอกไม้ส่องแสงสีแดงจางๆ ให้พื้นที่รอบตัวสว่างขึ้นมาหน่อย
ทัศนียภาพเบื้องหน้าคงจะต่างออกไปมากหากไม่มีศพมากมายนับไม่ถ้วนนอนกองอยู่ การมีอยู่ของมันทำให้โลกใบนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย
แม้หวังเป่าเล่อจะเป็นบุตรแห่งความมืด แต่เขาก็ยังไม่คุ้นชินกับภาพความตายสักเท่าไหร่ สำนักแห่งความมืดนั้นมีอำนาจจัดการความตาย แต่หน้าที่ที่แท้จริงคือการนำทางเหล่าดวงวิญญาณ เหล่าศพบนโลกใบนี้ได้ตายไปนานโข ตัวตนของพวกมันจึงไม่ต่างกับหุ่นเชิดที่มีเลือดเนื้อ
พลังที่คอยควบคุมหุ่นเชิดเหล่านี้เป็นพลังที่หวังเป่าเล่อไม่รู้จัก เขารู้สึกสับสน ขณะเดียวกันก็รู้สึกตื่นตะลึงกับสิ่งที่ได้พบเจอบนโลกใบนี้
“ตระกูลไม่รู้สิ้นเป็นภัยคุกคามกับหลายจักรพิภพ ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าพวกเขาเป็นตัวตนแกร่งกล้า เพราะเหตุนี้พวกนั้นเลยนึกทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ ไม่ยอมฟังคำใคร!” ชายหนุ่มพูดพึมพำกับตนเอง เขาพุ่งแหวกท้องนภาต่อไปไม่หยุด ในมือถือเกสรตัวเมียของดอกปีศาจราเขียวแนบไว้กับอก เกสรของมันมีพลังประหลาดช่วยให้เขาไม่ตกเป็นเหยื่อนิมิตมายาระหว่างการเดินทาง
ฝูงดอกปีศาจไม่มีวี่แววจะบานออกกระทันหัน การเดินทางของหวังเป่าเล่อหลังออกจากหมอกสีแดงมาได้เป็นไปอย่างราบรื่น ปราศจากอันตรายใดๆ
แต่สิ่งที่พบระหว่างทางก็ทำให้เขาต้องตกตะลึงพรึงเพริดยกใหญ่ ศพตามทางนั้นมีหลากหลายสายพันธุ์ ส่วนใหญ่แล้วเป็นสิ่งมีชีวิตที่หวังเป่าเล่อไม่เคยเห็นหรือได้ยินมาก่อน
เขาเห็นกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่มีลำตัวเป็นสัตว์แต่ส่วนหัวเป็นมนุษย์ กองซากศพที่มีลักษณะเหมือนหิน ร่างยักษ์ที่มีหนามแหลมห่อหุ้ม และศพรูปลักษณ์แปลกประหลาดอีกมากมาย บางส่วนมีสองหัว บางตัวมีร่างกายเหมือนนิ้วมือทั้งห้าแต่ไม่มีลูกตา
นอกจากนี้ยังมีกองศพที่มีลักษณะเหมือนลูกบาศก์ขนาดยักษ์ดั่งว่าถูกนำมาวางต่อกัน ดูแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่ตัวตนเหล่านี้จะเคยมีชีวิตอยู่ในอดีต แต่ที่รู้ตอนนี้มีเพียงแค่พวกมันได้กลายเป็นซากศพไปแล้ว
ภาพเบื้องหน้าทำให้หวังเป่าเล่อสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ เขาพบศพรูปร่างคุ้นเคยอีกมากมาย เช่น คนแคระตัวดำเท้าใหญ่จากดาวเคราะห์วายุทมิฬ
ยังมีพลังรัศมีน่าสะพรึงกลัวเปล่งออกกมาแม้เหล่าศพจะตายไปแล้ว สัญชาตญาณบอกหวังเป่าเล่อว่าไม่ควรย่างกรายเข้าไปใกล้ มิเช่นนั้นอาจเกิดแรงปะทะโดยไม่ได้ตั้งใจเมื่อสัมผัสกับพวกมัน!
หวังเป่าเล่อพุ่งผ่านกองศพของชาวดาวเคราะห์วายุทมิฬ ครึ่งชั่วโมงผ่านไปเขาก็หยุดอยู่กลางอากาศและก้มมองด้านล่าง เขาทำหน้าแปลกใจเมื่อมองไปเห็นศพตนหนึ่งที่กองอยู่เหลือศพตนอื่นๆ
ศพตนนั้นมีรูปร่างผอมบาง หูยื่นยาวเล็กน้อย ดูคล้ายคลึงกับมนุษย์ ความตายไม่สามารถพรากเอาความงดงามจากศพตนนี้ไปได้ ชายหนุ่มเคยพบกับชนเผ่านี้ในเกมเทพจุติ
“เกมนั่น…” เขาพึมพำ อาจจะเพราะจ้องอยู่นานเกินไปจึงเห็นนิ้วมือของศพร่างเพรียวงามที่กองอยู่บนภูเขาซากศพเริ่มขยับ หวังเป่าเล่อตื่นตระหนก รีบพุ่งทะยานหนีไปอย่างไม่ลังเลใจ
เมื่อชายหนุ่มหายลับไปไกล นิ้วมือก็หยุดเคลื่อนไหว ดินแดนกลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง
ข้าจะมัวอ้อยอิงไม่ได้ ทุกสิ่งอย่างในที่แห่งนี้ช่างแปลกประหลาดเหลือเกิน! หวังเป่าเล่อสูดหายใจลึก หันมองรอบตัวขณะพุ่งไปด้านหน้า พยายามพิจารณาว่าจะเลือกไปทางใดดี เขารู้ว่าทางที่ง่ายและรวดเร็วที่สุดที่จะระบุตำแหน่งแท่นสังเวยคือหาอสูรยักษ์ที่พบก่อนหน้าให้เจอ
จากนั้นจึงจะสามารถตามอสูรตนนั้นไปยังแท่นบูชาได้
เวลาผ่านไปหลายวัน ชายหนุ่มยังคงทะยานข้ามผ่านดินแดนซากศพไม่หยุดพัก ที่หาเจอมีเพียงแค่ซากศพ ตามหาอสูรยักษ์ไม่พบแม้แต่เงา วันหนึ่ง ขณะหวังเป่าเล่อท่องนภาด้วยความเป็นกังวล ทันใด ดวงตาเขาก็หรี่เล็กลง!
ความรู้สึกประหลาดคุกรุ่นอยู่ภายใน เปลวไฟสีดำลุกโชนขึ้นอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนจะพวยพุ่งออกมานอกร่างและแปรเปลี่ยนกลายเป็นเปลวเพลิงเย็นเยียบสีดำ!
“หืม” ดวงตาฉายหนุ่มฉายแสงวาบ สัมผัสได้ถึงพลังบางอย่างเข้ากระตุ้นตนเองและเปลวไฟสีดำที่อยู่ภายใน พลังดังกล่าวร้องสอดประสานกับเปลวไฟสีดำของเขา!
ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นเคย สิ่งนั้นคือ…พลังรัศมีของสำนักแห่งความมืด!
หรือจะมีคนของสำนักแห่งความมืดซ่อนกายอยู่แถวนี้ หวังเป่าเล่อหายใจถี่รัวขึ้นเล็กน้อย เขาขยายขอบเขตสัมผัสวิญญาณตรวจค้นทั่วบริเวณอย่างละเอียด ชายหนุ่มหันไปด้านขวา พลังรัศมีของสำนักแห่งความมืดอันคุ้นเคยแผ่พุ่งมาจากทางนั้น!
เขาหยุดคิด จากนั้นก็หยิบเอาหน้าการของแม่นางน้อยออกมา แม้แม่นางน้อยจะไม่ขานตอบเขาเลยตั้งแต่เข้ามายังที่แห่งนี้ แต่หน้ากากก็ถือเป็นของสำคัญที่ทำให้ชายหนุ่มแยกความจริงและนิมิตมายาออกจากกันได้!
หน้ากากยังคงปรากฏชัดเจน หวังเป่าเล่อตรวจดูละอองตัวเมียในมือและมองไปรอบๆ รู้สึกโล่งใจที่ไม่ได้เข้าไปติดอยู่ในนิมิตมายาอีกครั้ง เขาครุ่นคิดอยู่สักพัก จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทาง มุ่งหน้าตรงไปทางที่สัมผัสพลังรัศมีของสำนักมืดได้!
เขามุ่งหน้าไปด้วยความเร็วตามปกติพร้อมกับคอยระวังสิ่งรอบตัว ครึ่งชั่วโมงผ่านไป สัมผัสอันคุ้นเคยเริ่มเด่นชัดขึ้น เปลวไฟสีดำภายในลุกโชติช่วงในกายด้วยความหิวกระหาย หากมองดูจากไกลห่างจะมองไม่เห็นร่างของหวังเป่าเล่อ แต่จะเห็นเพียงแค่ลูกไฟสีดำ ทันใดนั้น…หวังเป่าเล่อก็มาถึงจุดกำเนิดพลังรัศมีของสำนักแห่งความมืด!
ที่แห่งนี้คือ…เมืองที่ตั้งอยู่ตีนเขาแห่งหนึ่ง!
นี่เป็นเมืองแห่งแรกที่หวังเป่าเล่อพบบนโลกใบนี้ เมืองแห่งนี้ไม่ได้เป็นเมืองใหญ่ มีขนาดประมาณนครศักดิ์สิทธิ์ แต่ก็ยังเป็นทัศนียภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจในดินแดนซึ่งเต็มไปด้วยซากศพ
ตลอดทางเขาพบเจอเพียงแค่กองซากศพและดงดอกปีศาจ ไม่เห็นสิ่งปลูกสร้างใดๆ เมืองแห่งนี้จึงเป็นดั่งสิ่งสุดแสนสำคัญ ชายหนุ่มเริ่มหายใจติดขัดเมื่อความคิดดังกล่าวผุดขึ้นในหัว
หวังเป่าเล่อมั่นใจว่า…เมืองแห่งนี้เป็นตัวบ่งบอกว่ามีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ที่นี่!
ไม่สำคัญเลยว่าเมืองตรงหน้าจะเป็นแค่ซากปรักหักพัง สิ่งปลูกสร้างต่างๆ ในเมืองชำรุดทรุดโทรม บางส่วนพังทลายสิ้น ชายหนุ่มใจชื้นขึ้นเมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ดวงตาเริ่มเบิกกว้างขึ้นเรื่อยขณะเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้ เขาเหาะไปหยุดอยู่เหนือซากเมือง ในหัวอื้ออึงเมื่อก้มลงมอง เหมือนกับว่าเกิดการระเบิดขึ้นในหัว
ที่นี่มัน… หวังเป่าเล่อตัวสั่นเทิ้ม คลื่นความรู้สึกถาโถมเข้าภายใน เปลวไฟสีดำนอกร่างลุกโชนดุดัน
จากจุดที่เขาอยู่…ไม่ได้มีเพียงแค่ซากเมืองมองเห็น…แต่ยังมีอย่างอื่นอยู่อีก!
เมืองแห่งนี้ไม่ได้สร้างอยู่บนผืนดิน แต่สร้างอยู่บนกะโหลกขนาดใหญ่ คงจะสามารถจินตนาการกันได้ว่าหัวกะโหลกนี้ใหญ่เพียงใด กะโหลกเบื้องล่างไม่ได้ตั้งอยู่บนยอดเขา แต่เชื่อมติดกับแขนข้างหนึ่ง!
คงจะชัดเจนมากกว่าหากเรียกมันว่ากระดูกต้นแขนที่หักออกครึ่งหนึ่ง เหมือนดังว่าในอดีตมียักษาได้มานั่งสมาธิอยู่ จากนั้นก็โดนปาดเป็นแนวทะแยงจากหัวไหล่ด้านหนึ่งลงไป แบ่งร่างยักษาออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งได้กลายเป็นเถ้าธุลีไป เหลือทิ้งไว้เพียงอีกครึ่งที่เหลือ!
หวังเป่าเล่อหยุดหายใจไปขณะจ้องทัศนียภาพเบื้องหน้าอย่างเงียบเชียบ เขาสัมผัสได้ถึงพลังรัศมีของสำนักแห่งความมืดที่เปล่งออกมาจากซากกระดูก มีคลื่นพลังคล้ายกันพวยพุ่งออกมาจากเมืองที่ตั้งอยู่บนซากกระดูกด้วยเช่นกัน
ภาพเบื้องหน้าทำให้ชายหนุ่มเงียบไปครู่ใหญ่ เขาค่อยๆ ร่อนตัวลงไปบนหัวกะโหลก ลงเหยียบในเมืองและหันมองไปรอบๆ พลันความคิดหนึ่งก็แล่นเข้าหัว ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาติดไว่ก่อนหน้าที่ว่ามีใครได้สร้างเมืองแห่งนี้ขึ้น
แท้จริงแล้ว…เมืองแห่งนี้คือส่วนหนึ่งของยักษา อาจจะตั้งอยู่บนหัวของมันตั้งแต่ครั้งยังมีชีวิตอยู่!
สถาปัตยกรรมของเมืองแห่งนี้ทำให้หวังเป่าเล่อนึกถึงนิมิตมืด เขาคิดว่าน่าจะเป็นสถาปัตยกรรมช่วงเดียวกันกับที่พบในนิมิตมืด
“เหล่าผู้รอดชีวิตคนอื่นที่เหลือรอดหลังจากสำนักแห่งความมืดล่มสลายก็คงจะ…” ชายหนุ่มพึมพำกับตนเอง อารมณ์มากมายฉายขึ้นในแววตา
บทที่ 641 ดวงจิตเทพ!
หวังเป่าเล่อข่มอารมณ์สับสนอลม่านภายในไว้และออกตรวจดูรอบๆ เขาโยกมือขวาขึ้นโบก ส่งหุ่นเชิดสิบสองตัวกระจายออกไปตรวจรอบๆ ชายหนุ่มเริ่มเดินไปทั่วเมือง มองสิ่งปลูกสร้างตามทาง ก่อนจะไปเดินตรงไปยังทิศทางที่สัมผัสได้ถึงพลังรัศมีของสำนักแห่งความมืดได้รุนแรงที่สุด
มองดูก็รู้ว่าเมืองแห่งนี้เคยมีประชากรอยู่มากเลยทีเดียว จากร่องรอยที่เหลืออยู่บ่งบอกว่าชาวเมืองมีการเตรียมพร้อมรับมือหายนะครั้งนี้ แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะรอดจากโศกนาฏกรรมไปได้ ทุกคนโดนกำจัดสิ้น แม้แต่ยักษายังโดนฟันขาดเป็นสองส่วน
ความอาลัยเข้าเกาะกุมในใจหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มส่ายหัวและเดินตรงไปยังใจกลางซากเมือง เขาสูดหายใจลึก ก้าวเดินต่อไปได้ไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดชะงัก ดวงตาฉายแววเคร่งเครียด
หุ่นเชิดตัวหนึ่งจากอีกสิบสองตัวที่ปล่อยไปก่อนหน้าขาดการติดต่อไปโดยไม่ส่งสัญญาณเตือนใดๆ
หวังเป่าเล่อตื่นตัวทันใด รีบมุ่งหน้าไปยังจุดสุดท้ายที่หุ่นเชิดตนนั้นอยู่ก่อนจะขาดการติดต่อ เมื่อเดินไปถึงก็พบกับหุ่นเชิดนอนนิ่งอยู่ตรงหัวมุม
ชายหนุ่มไม่ได้เข้าไปหาหุ่นเชิดในทันที เขาหรี่ตาเล็กและยกมือขวาขึ้นโบก ส่งกระบี่บินพุ่งตรงไปทางหุ่นเชิด เป้าหมายพลันกระตุกและพลิกตัวกลับเมื่อกระบี่บินพุ่งเข้าไปใกล้ แสงสีแดงปรากฏขึ้นด้านใต้หุ่นเชิด มันหลบกระบี่บินและพุ่งตรงไปหาใส่หวังเป่าเล่อ
เหมือนมันจะสัมผัสได้ถึงเปลวไฟสีแดงที่ปรากฏอยู่นอกกายชายหนุ่มเมื่อเข้าใกล้ แสงสีแดงรีบเปลี่ยนทิศ พยายามจะหนีไป
แม้จะเร็วเพียงใด แต่หวังเป่าเล่อก็มีเกราะจักรพรรดิลักอัคคีอยู่ เขายกมือขวาเอื้อมไปคว้าแสงตรงหน้า
แสงสีแดงแท้จริงแล้วเป็นหนอนชนิดหนึ่ง ไม่ใช่ศพ แต่เป็นสิ่งมีชีวิต มันดิ้นอยู่ในมือชายหนุ่ม บนหัวมีปากขนาดใหญ่ ส่งของเหลวไหลออกมาไม่หยุด ด้านในมีฟันสีดำเรียงรายอยู่ มันร้องคำรามพร้อมกับยิงเขี้ยวใส่หวังเป่าเล่อ พยายามดิ้นตัวอย่างรุนแรงเพื่อหนีไปจากมือของเขา
แต่ร่างสั่นเทาของมันก็บ่งบอกถึงความหวั่นกลัว เมื่อครู่ก็พยายามหลบเลี่ยงหวังเป่าเล่อ เห็นได้ชัดว่ามันกลัวเปลวไฟ!
หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ก่อนจะเหลือบไปเห็นรอยบนหลังของหุ่นเชิด คงจะโดนหนอนตัวนี้โจมตีตอนกำลังสำรวจรอบๆ มันเจาะทะลุร่างหุ่นเชิดพังไปถึงด้านใน
ดูไม่เห็นเก่งเท่าไหร่ เขาคิด ก่อนจะบีบมือที่สวมเกราะแน่น หนอนกรีดร้อง แต่กลับไม่ถูกขยี้ในทันที ชายหนุ่มหรี่ตามอง ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัว เปลวไฟสีดำพลันเคลื่อนเข้าหาหนอนในมือ มันร้องดังลั่น ก่อนจะโดนเปลวไฟเผาเป็นเถ้าถ่านคามือ
เสียงกรีดร้องครั้งสุดท้ายก่อนตายดังก้องไปทั่ว ผืนดินสั่นไหวเล็กน้อยเมื่อมันกลายเป็นเถ้าธุลี สิ่งปลูกสร้างรอบกายก็สั่นคลอนเช่นกัน ทันใดนั้น ทุกซอกมุมของสิ่งปลูกสร้างทุกหลัง ตั้งแต่พื้นพสุธาไปถึงยอดกระดูกแขนที่ตั้งตระหง่านเหมืองดังภูเขา จู่ๆ ก็มีฝูงหนอนสีแดงหลั่งไหลออกมา!
บางส่วนตัวเล็กเท่าๆ กับตัวที่ตายไป ขณะที่บางตัวมีขนาดใหญ่เกือบร้อยเมตร ตัวที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดโผล่พ้นดินขึ้นมาจากภูเขาที่อยู่ไกลออกไป ก่อนจะมุ่งหน้าตรงไปหาหวังเป่าเล่อ ลำตัวของมันยาวประมาณสามร้อยเมตร
ซากเมืองและกองศพถูกบดบังโดยกองทัพหนอนจำนวนนับไม่ถ้วน พวกมันเป็นดั่งเส้นขนที่งอกออกมาจากตัวยักษา ดิ้นไปดิ้นมาไม่หยุดอยู่ทั่วบริเวณ
หวังเป่าเล่อหรี่ตามองหนอนแดงมากมายรอบตัว หุ่นเชิดเริ่มขาดการเชื่อมต่อไปทีละตัว
“หนอนสีแดงพวกนี้เป็นเหมือน…เส้นขน” ชายหนุ่มส่ายหน้า แม้จะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหนอนพวกนี้เลยแต่ก็ไม่คิดเป็นกังวลเพราะได้เห็นผลกระทบของเปลวไฟสีดำที่มีต่อหนอนแดงมาก่อนแล้ว เขาสูดหายใจลึก ปล่อยให้เปลวไฟสีดำลุกลามกระจายออกไป เปลวไฟสั่นไหวขณะโหมกระจายตัวไปรอบๆ ปล่อยพลังเย็นเยียบเปลี่ยนพื้นดินให้กลายเป็นเยือกแข็ง
ฝูงหนอนแพ้ทางเปลวไฟสีดำ พวกมันรีบถอยหนี แม้แต่หนอนตัวใหญ่ที่สุดบนแขนของยักษาก็ยังตัวสั่นเทิ้มและล่าถอยไป
เมื่อได้เห็นว่าเปลวไฟสีดำใช้ได้ผลดี หวังเป่าเล่อก็ออกเดินไปด้านหน้า ไม่มีหนอนตัวไหนกล้าเข้าใกล้ พวกมันรีบถอยห่างเปิดทางให้กับชายหนุ่มอย่างว่าง่าย
ตรงกลางเมืองนั้น…มีลานกว้างที่จมลึกลงไปอยู่!
อาจจะไม่เหมาะนักที่จะเรียกว่าลานกว้างเพราะมันมีลักษณะคล้ายกับแท่นสังเวย รอบๆ มีรูปปั้นหันพังประมาณสิบตัว กะดูแล้ว ตรงใจกลางของแท่นสังเวยนี้น่าจะอยู่กึ่งกลางศีรษะของกะโหลกยักษาพอดี!
จุดนี้เองที่มีพลังรัศมีสำนักแห่งความมืดเปล่งออกมารุนแรงที่สุด
หวังเป่าเล่อหันมองซากรูปปั้นรอบๆ ถึงจะมองไม่ออกว่ามีลักษณะอย่างไรเพราะส่วนใหญ่เสียหายไปมากทีเดียว แต่ชายหนุ่มก็มีความรู้สึกว่ารูปปั้นเหล่านี้น่าจะเป็นรูปปั้นของเหล่าบุคคลทรงอำนาจของสำนักแห่งความมืดในอดีต พวกเขาคือเสาหลักของสำนัก เหล่าผู้นำทางวิญญาณที่บรรดาสานุศิษย์แห่งสำนักแห่งความมืดต่างเคารพยำเกรง!
แต่ละตนเป็นตัวแทนของยุคสมัยอันรุ่งเรือง!
ชายหนุ่มหยุดมองรูปปั้นตนหนึ่ง ร่างของเขาสั่นเทิ้มขณะเยื้องย่างเข้าไปใกล้
เขาจ้องมองอยู่เนิ่นนาน รูปปั้นเบื้องหน้านั้นส่วนหัวขาดหายไป แต่ชุดคลุมแสนคุ้นเคยที่เห็นทำให้ชายหนุ่มหายใจถี่รัว หวังเป่าเล่อรู้ว่านี่เป็นรูปปั้นของใคร
“ท่านอาจารย์…” ชายหนุ่มพึมพำขึ้นหลังจากไม่ได้ปริปากพูดอะไรเป็นเวลานาน ความอาลัยอัดแน่นเต็มหัวใจ เขาก้มหัวให้กับรูปปั้นอยู่นานก่อนจะเงยหน้าขึ้น จากนั้นก็เก็บเอารูปปั้นใส่กระเป๋าคลังเวทไว้
เขาหันไปมองกึ่งกลางของลานที่จมลึก หลังจากหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เดินไปหยุดอยู่ตรงกึ่งกลางกะโหลกยักษา รู้สึกได้ถึงพลังของสำนักแห่งความมืดและเปลวไฟสีดำที่ลุกโชติช่วง
มีบางอย่างแปลกๆ ชายหนุ่มก้าวออกไปสองสามก้าวก่อนจะหยุดมองตรงเท้า จากนั้นก็ถอยกลับไปยังจุดเดิม
ไม่ผิดแน่ เปลวไฟสีดำลุกโชติช่วงที่สุดถ้ายืนตรงนี้! หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็สว่างวาบ ยกมือขึ้นประสานเป็นผนึกมือท่วงท่าต่างๆ เปลวไฟสีดำภายในลุกโชนรุนแรงอีกครั้ง ชายหนุ่มนั่งลง จากนั้นก็หลับตา ปล่อยจิตให้ผสานเป็นหนึ่งเดียวกับเปลวไฟสีดำ พยายามจะเชื่อมจิตกับหัวกะโหลก
ทันใดที่เขาผสานเป็นหนึ่งกับเปลวไฟสีดำและมุดลงไปยังกะโหลกเบื้องล่าง ร่างของชายหนุ่มก็สั่นเทิ้ม ได้ยินเสียงโบราณดังขึ้นในหัว สั่นคลอนจิตไปถึงจิตวิญญาณ
“หัตถ์สื่อวิญญาณ ฝันหมุนวน พรากจุติเกิด หมื่นภัยพิบัติ พันชีวิต ห้าโทษทัณฑ์!”
เสียงที่ดังขึ้นส่งตรงมาจากหลายพันปีก่อน ฟังดูแล้วเหมือนจะมาจากโลกแห่งความตาย ส่งผ่านมาดังก้องอยู่ในโลกแห่งคนเป็น สะท้องดังอยู่ในหัวของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มเห็นแสงไฟจางๆ หกดวงปรากฏขึ้น
นี่มัน…
หวังเป่าเล่อตัวสั่นระริก ก่อนจะลืมตาขึ้นพร้อมกับก้มหัวหอบหายใจ เขาจ้องกะโหลกเบื้องล่างขณะที่เสียงโบราณยังคงดังก้องอยู่ภายใน หมู่ดวงไฟยังเปล่งแสงรางๆ อยู่ในหัว ทันใดนั้น ดวงตาของเขาก็ฉายแสงวาบ!
“ดวงไฟทั้งหัวดูคล้ายกันกับ…ดวงจิตเทพที่ข้าเคยเจอ เป็นดวงจิตเทพที่จำเป็นในการหลอมอาวุธเวท!” เขากระซิบ ในฐานะบุตรแห่งความมืดและผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธเวท หวังเป่าเล่อมั่นใจว่ามีดวงจิตหกดวงที่กำลังอ่อนแรงและเกือบจะสลายหายไปอยู่ด้านใต้กะโหลก!
ดวงไฟทั้งหกมีลักษณะเหมือนดวงจิตเทพที่จำเป็นในการหลอมอาวุธเวท!
ชายหนุ่มตาเป็นประกาย รีบผสานจิตเป็นหนึ่งกับเปลวไฟสีดำซ้ำๆ การพยายามซ้ๆ ของเขาทำให้มั่นใจมากขึ้นว่ามีดวงจิตเทพอ่อนแรงหกดวงอยู่ใต้กะโหลกจริง หากปล่อยทิ้งไปเช่นนี้ หลายสิบปีผ่านไป เหล่าดวงจิตอาจจะต้องหายวับไป ไม่สามารถฟื้นฟูกลับคืน
มีอยู่หลายทางที่จะต่อชีวิตดวงจิตเหล่านี้ให้เป็นนิรันดร์ แต่ทางเดียวที่หวังเป่าเล่อสามารถทำได้คือ…หลอมจิตเทพทั้งหกเข้ากับอาวุธเวทเพื่อแปลงพวกมันเป็นวิญญาณวุธ!
นี่คือทางเดียวที่จะช่วจิตเทพทั้งหกดวงได้!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น