ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 631-640
ตอนที่ 631 ศพแห้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงลุกขึ้นมา พอคว้ามือข้างหนึ่งไปบนอากาศ เนื้อเหลวที่เปลี่ยนแปลงมาจากศีรษะของราชาโลหิตก็พุ่งขึ้นมา
พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ ยันต์เก็บของที่กลายเป็นแสงสีขาว ก็ม้วนตัวออกมาเก็บเนื้อเหลวเหล่านี้เข้าไป และคืนร่างเป็นยันต์เก็บของอีกครั้งก่อนร่วงลงบนมือของเขา
ด้วยวิธีการของผู้ดำเนินการในหอความเป็นความตายเหล่านั้น อย่าว่าแต่กลายเป็นเนื้อเหลวเลย ต่อให้กลายเป็นขี้เถ้าก็คงมีวิธีคืนรูปศีรษะเดิม และตัดสินได้ว่าเป็นของจริงหรือของปลอม
หลิ่วหมิงเก็บอาวุธจิตวิญญาณของราชาโลหิตที่มีลักษณะคล้ายกำไลข้อมือเข้าไป จากนั้นก็หันมามองค่ายกลผนึกที่แตกร้าวออกมา
“ฟู่!”
หลิ่วหมิงทุบกำปั้นใส่รอยร้าวบนค่ายกลอย่างรุนแรง
หลังจากมีเสียงดังขึ้น เศษหินนับไม่ถ้วนก็กระเด็นไปทั่วทิศ บนพื้นแตกร้าวเป็นรูขนาดครึ่งจั้ง ด้านล่างมืดสนิท มองไม่เป็นสิ่งใด ดูเหมือนจะเป็นถ้ำแห่งหนึ่ง
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อย จากนั้นก็กระโดดลงไป ขณะเดียวกันก็กระตุ้นไอดำที่พวยพุ่งบนตัวให้ม้วนตัวปกคลุมร่างไว้ พอคว้ามือข้างหนึ่งไปบนอากาศ โล่เก้ากะโหลกก็ถูกถืออยู่ในมือเขา
ถ้ำไม่ค่อยลึกมาก ชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ หลิ่วหมิงก็ร่วงไปถึงพื้นด้านล่างแล้ว
ถ้ำมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีพื้นที่ไม่ถึงสิบกว่าจั้ง พื้นด้านล่างเต็มไปด้วยทรายละเอียดสีขาว และมีไอดำจางๆ ปกคลุมอยู่ ทั้งยังมีกลิ่นเน่าผุจางๆ
“เอ๊! นี่คือ…”
พอหลิ่วหมิงกลอกลูกตาไปมา ก็มองทะลุไอดำจางๆ ไปเห็นมุมหนึ่งของถ้ำ มีศพแห้งเหี่ยวนอนอยู่บนพื้น ข้อมือทั้งสองต่างก็สวมกำไลสีดำอยู่ข้างละวง
ขณะที่หลิ่วหมิงเพิ่งจะเดินหน้าไปหนึ่งก้าวนั้น กำไลบนข้อมือก็ดูเหมือนจะเปล่งประกายพร้อมกัน
ขณะเดียวกัน ดูเหมือนเขาจะได้ยินเสียงเบาๆ ในหู จากนั้นก็เกิดเสียงดัง “หวึ่ง!” ในทะเลจิตรับรู้ และดวงตาทั้งคู่ก็มืดลงก่อนล้มลงพื้น
โล่เก้ากะโหลกในมือก็หล่นลงพื้นเสียงดัง “เต๊ง!”
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด หลิ่วหมิงถึงค่อยๆ ได้สติขึ้นมา พอนึกถึงเรื่องในก่อนหน้านั้น เขาก็ลุกขึ้นมาด้วยความตกใจ
“เกิดอะไรขึ้น ข้าหมดสติไปได้อย่างไร หรือว่ามีใครลอบโจมตีข้า?” หลิ่วหมิงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เหงื่อเย็นผุดออกมาบนหน้าผาก
แต่พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา เขาก็ต้องละทิ้งไปทันที หากมีคนคิดไม่ดีกับเขาจริงๆ ไหนเลยจะยอมให้เขาฟื้นขึ้นมาได้
พอกวาดสายตามองดูรอบด้าน ก็ค้นพบว่าก้นถ้ำยังคงเป็นเหมือนเดิม และศพแห้งเหี่ยวก็ยังนอนอยู่ที่เดิม กำไลบนข้อมือก็ยังอยู่ แม้แต่โล่เก้ากะโหลกที่เขาทำร่วงลงพื้น ก็ถูกวางอยู่อย่างเงียบๆ
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่สามารถคิดหาเหตุผลได้ ทันใดนั้น เขาก็คว้ามือข้างหนึ่งเก็บโล่เก้ากะโหลกขึ้นมา และเดินไปด้านหน้าศพแห้งเหี่ยวด้วยตาที่เป็นประกาย
ไม่รู้ว่าศพนี้นอนอยู่ที่นี่มานานเท่าใดแล้ว เลือดเนื้อแห้งเหี่ยวไปหมด เหลือแค่สีที่เหลืองซีด จนมองไม่เห็นใบหน้าที่แท้จริงแล้ว
ทันใดนั้นเขาก็ขยับคิ้ว หากไม่สังเกตดูอย่างละเอียดก็คงมองไม่ออก เมื่อครู่เขารับรู้ถึงกลิ่นไอปีศาจแท้อ่อนๆ บนตัวศพได้อย่างลางๆ แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น
“ไอปีศาจแท้ในผนึกออกมาจากถ้ำแห่งนี้ หรือว่าจะมาจากศพแห้งศพนี้…” ในใจหลิ่วหมิงเต็มไปด้วยความสงสัย เพราะนอกจากศพแห้งเหี่ยวที่อยู่ตรงหน้าแล้ว ภายในถ้ำแห่งนี้ก็ไม่มีสิ่งใดให้น่าสงสัยอีก
จากนั้นสายตาของเขาก็ตกอยู่บนกำไลสีดำคู่นั้น พอหรี่ตาทั้งคู่ลง ก็นึกถึงฉากก่อนที่ตัวเองหมดสติไป สีหน้าของเขาเคร่งครึมขึ้นมาทันที
เขาพลิกฝ่ามือหยิบดาบสั้นสีดำที่เก็บมาได้ในก่อนหน้านั้น และค่อยๆ เขี่ยกำไลวงหนึ่งออกมาไว้ในมือ
กำไลมีเนื้อแข็งแต่กลับเบาเหมือนขนนก มีสัมผัสเย็นผิดปกติในมือ แต่พอใช้จิตกวาดดูกลับไม่รู้สึกถึงคลื่นพลังจิตวิญญาณใดๆ ดูไม่เหมือนอาวุธจิตวิญญาณเลย
“ช่างเถอะ! การต่อสู้กับราชาโลหิตเมื่อครู่ ดึงดูดความสนใจคนจำนวนไม่น้อย รีบไปจากที่นี่ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเช่นนี้ และถอดกำไลอีกวงออกมา จากนั้นก็เก็บศพไว้ในยันต์เก็บของก่อนใส่ลงไปในแหวนย่อส่วน
สุดท้ายก็กวาดสายตามองดูรอบๆ ทีหนึ่ง หลังจากเห็นว่าไม่มีอะไรตกหล่นแล้ว ถึงกระโดดขึ้นไปจากถ้ำ
ไม่นาน แสงสีดำลำหนึ่งก็ห่อหุ้มร่างของเขา และกระพริบหายไปจากห้องโถง และพุ่งไปทางเข้าซากโบราณอย่างรวดเร็ว หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงจากไปไม่นาน ก็มีเงาร่างปรากฏตรงปากทางเข้า จากนั้นเงาร่างของชายชุดคลุมสีเทาก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา หลังจากเขาสังเกตดูร่องรอยการต่อสู้ภายในห้องโถงแล้ว ก็เผยแววตากระสับกระส่าย แต่กลับยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน
ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป แสงสีทองก็พุ่งมาจากที่ไกลๆ และร่วงลงด้านข้างชายชุดคลุมสีเทาที่อยู่ไม่ไกล
พอแสงหลบหลีกดับลง ก็เผยให้เห็นเงาร่างของผู้อาวุโสผู้หนึ่งที่สวมชุดคลุมสีทอง
“อาจารย์ ท่านมาแล้ว!” พอชายชุดคลุมสีเทาเห็นว่ามีคนมา ก็รีบเดินเข้าไปหาทันที
“ซุนถู เจ้าส่งข่าวบอกข้าว่ามีผู้ฝึกฝนระดับผลึกของนิกายอื่นอยู่ที่นี่ ตอนนี้เขาอยู่ที่ใด?” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองสังเกตดูรอบด้านทีหนึ่งแล้วขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“คนผู้นั้นไปแล้ว ก่อนหน้านั้นเขากับคนผู้หนึ่งต่อสู้กันตรงหน้านี้ ดูเหมือนว่าเป็นเพราะไอปีศาจแท้จำนวนหนึ่ง” ชายชุดคลุมสีเทากล่าวด้วยท่าทีหน้าม่อยคอตก
“ไอปีศาจแท้! อยู่ที่ใด มีเท่าไหร่?” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองได้ยินก็รู้สึกตกใจมาก เขาจับไหล่ชายผู้นี้ไว้แน่น และกล่าวด้วยน้ำเสียงเร่าร้อน
ชายชุดคลุมสีเทารู้สึกอึ้งไปทันที ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากนั้น
“เงียบก่อน!” ผู้อาวุโสชุดคลุมท้องสีทองพูดออกมาเบาๆ และคลายมือออก จากนั้นก็หันหน้ากลับไป
จะเห็นว่ามีไอดำพุ่งเข้ามาบริเวณนี้อย่างไร้สุ้มเสียง และร่วงลงมา
“ฮ่าๆ! ข้าก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นผู้อาวุโสไคหยางของนิกายขวานทองคำนั่นเอง เหตุใดถึงมาถึงที่นี่ได้ล่ะ?” พอไอดำหายไป ก็เผยให้เห็นร่างของชายฉกรรจ์ชุดดำรูปร่างกำยำผู้หนึ่ง เขามีปากที่กว้างและตาโต เพียงแต่ว่ามีเขาแหลมสีดำอยู่ตรงหน้าผากอันหนึ่ง เผยให้เห็นสถานะเผ่าปีศาจของเขา
“สหายเก่อมาได้ ข้าจะมาไม่ได้เลยหรือ?” เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองกับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจผู้นี้รู้จักกันดี แต่ว่าความสัมพันธ์ไม่ค่อยจะลงรอยกัน
“เฮ่อๆ! ในเมื่อพวกเราทั้งสองรับตำแหน่งฑูตตรวจสอบทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ การที่ซากโบราณเผ่าปีศาจเยื้องกรายมาถึงในครั้งนี้ มีเรื่องวุ่นวายมากมาย ย่อมต้องตรวจสอบให้ดีๆ สักครา เพื่อไม่ให้มีใครฝ่าฝืนกฎเข้ามา” ชายฉกรรจ์ชุดดำหัวเราะแล้วกล่าวออกมา
ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาได้ยินก็ทำเสียงฮึดฮัด แต่กลับไม่กล่าวอะไร
“ผู้อาวุโสไคหยางมาถึงที่นี่ก่อน ค้นพบอะไรบ้างหรือไม่? เอ๊ะ! ที่นี่มีไอปีศาจหนาแน่นมาก หรือว่าจะมีไอปีศาจแท้ปรากฏออกมา” ชายฉกรรจ์ชุดดำกวาดสายตามองดูรอบๆ และอุทานด้วยตาที่เป็นประกาย
สีหน้าของผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย และปราดสายตามองชายชุดคลุมสีเทาที่อยู่ด้านข้างทีหนึ่ง
ชายชุดคลุมสีเทารับรู้โดยนัย สายตาของเขาเคลื่อนไปด้านหน้าเล็กน้อย
“พวกเจ้าสองคนศิษย์อาจารย์ทำลับๆ ล่อๆ อะไรกัน? หรือว่าในนี้จะมีความลับอะไรที่ไม่สามารถบอกคนอื่นได้?” ชายฉกรรจ์ชุดดำหันมามอง และกล่าวด้วยสีหน้าเยือกเย็น
“สหายเก่อหมายความว่าอย่างไร หรือว่าเรื่องที่พวกเราทำต้องรายงานเจ้าด้วย?” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองกล่าวประชดอย่างไม่เกรงใจ
พอกล่าวจบ ผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองก็ก้าวไปด้านในห้องโถงโดยไม่สนใจชายฉกรรจ์ชุดดำอีก ชายชุดคลุมสีเทาเห็นเช่นนี้ ก็รีบเดินตามไป
ชายฉกรรจ์ชุดดำจ้องมองทั้งสองด้วยรอยยิ้มเยือกเย็น จากนั้นก็หลับตาลงอย่างรวดเร็ว ระลอกคลื่นจางๆ เปล่งออกมาระหว่างทางคิ้ว และค่อยๆ แผ่ออกไปรอบด้าน
“ถูกนำไปแล้วจริงๆ ด้วย เจ้าเด็กหงส์ดำผู้นั้นไม่ได้โกหกข้า เห้อ! ยังคงมาช้าไปก้าวหนึ่ง…” ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ชายฉกรรจ์ก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาอีกครั้ง และพูดพึมพำออกมา
ภายในห้องโถง ผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองเพียงแค่หยุดอยู่ตรงปากทางเข้าเล็กน้อย จากนั้นถึงเดินตรงไปยังแท่นบูชาที่แตกกระจาย พอกวาดสายตามองดูรอบด้าน ก็ค้นพบว่ามีรูขนาดใหญ่บนพื้น เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านั้นไม่นาน สถานที่แห่งนี้เคยเป็นชั้นจำกัดค่ายกลมาก่อน
ผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองมีสีหน้าดูไม่ได้อย่างถึงขีดสุด ดูจากสภาพในตอนนี้ ไอปีศาจแท้ที่อยู่ด้านในกับของล้ำค่าอื่นๆ คงถูกนำออกไปนานแล้ว
“ดูท่าสหายไคหยางจะเสียแรงเปล่าที่มา มีคนแย่งไปก่อนแล้ว” ชายฉกรรจ์ชุดดำส่งเสียงมาจากด้านหลังด้วยความไม่ประสงค์ดี
ผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองทำราวกับไม่ได้ยิน จากนั้นก็ค้นหาบริเวณแท่นบูชาด้วยความไม่พอใจ
ชายฉกรรจ์ชุดดำเห็นเช่นนี้ ก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น และปราดตามองรูขนาดใหญ่บนแท่นบูชาทีหนึ่ง จากนั้นไอดำก็พวยพุ่งออกจากตัว และกลายเป็นแสงหลบหลีกพุ่งจากไป
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองก็ยืนอยู่บนขอบแท่นบูชาด้วยสีหน้าอึมครึม เมื่อครู่เขาค้นหาแม้กระทั่งภายในถ้ำไปหนึ่งรอบ แต่กลับไม่ได้อะไรเลย ทันใดนั้นเขาจึงกระทืบเท้าแล้วเดินออกไปนอกห้องโถง
“อาจารย์ คนผู้นั้นเพิ่งจากไปไม่นาน น่าจะยังตามทันอยู่” ชายชุดคลุมสีเทาเดินตามไปและกล่าวออกมาเบาๆ
“เจ้าเห็นใบหน้าที่ชัดเจนของคนผู้นั้นหรือไม่?” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองเดินนำอยู่ด้านหน้า และถามโดยไม่หันหน้ากลับมา
“เปล่า! คนผู้นั้นมีไอดำปกคลุมตัว เคลื่อนไหวรวดเร็วมาก…” ชายชุดคลุมสีเทาก้มหน้ากล่าวด้วยความรู้สึกละอายใจเล็กน้อย
ผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกโกรธขึ้นมา จากนั้นก็หยุดฝีเท้าลง และหันมาตำหนิด้วยความโมโห
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะตามหาอย่างไร หรือว่าต้องตรวจสอบผู้ฝึกฝนในทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ทั้งหมด?”
“แต่ว่าคนผู้นั้นเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึก คงจะดูออกได้ง่าย” ชายชุดคลุมสีเทากล่าวอย่างไม่ยอมลดละ
“หากมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกเข้ามาในทุ่งหญ้าหญ้าอาชาสวรรค์ ทางนิกายเราจะต้องรู้เป็นอันดับแรกแล้ว คนที่เจ้าพูดถึงคงจะมีการฝึกฝนระดับของเหลว แต่ว่าพลังเข้าถึงระดับผลึกแล้ว ถึงทำให้เจ้าเข้าใจผิด” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองส่ายหน้า และกล่าวออกมาเช่นนี้
“ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวมีพลังระดับผลึก เป็นไปได้อย่างไร?” ชายหนุ่มชุดคลุมสีเทาเผยแววตาเหลือเชื่อออกมา
“ศิษย์แกนนำของสี่ยอดนิกายใหญ่ มีศิษย์ที่มีความสามารถเช่นนี้จำนวนไม่น้อย” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีทองกล่าวอย่างราบเรียบ
“คนผู้นั้นเป็นศิษย์ของสี่ยอดนิกายใหญ่?” ชายชุดคลุมสีเทารู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“นี่คือความเป็นไปได้รูปแบบหนึ่ง…ช่างเถอะ! เรื่องนี้จบแค่นี้เถอะ! ไม่จำเป็นต้องล่วงเกินสี่ยอดนิกายใหญ่เพียงเพราะไอปีศาจแท้จำนวนหนึ่ง” ผู้อาวุโสชุดคลุมสีเทาถอนหายใจออกมา จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปนอกห้องโถง
แม้ว่านิกายขวานทองคำจะเป็นนิกายใหญ่ที่มีประวัติมาหมื่นปี แต่เมื่อเทียบกับสี่ยอดนิกายใหญ่แล้ว ย่อมแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว
ตอนที่ 632 เมืองเจินหยวน
โดย
Ink Stone_Fantasy
พื้นที่เปล่าเปลี่ยวบางแห่งที่อยู่ด้านนอกซากโบราณ เกิดเสียงดัง “ตู๊ม!” บนม่านแสงแวววาวจนกลายเป็นรูขนาดใหญ่ มีแสงกระบี่สีเขียวขนาดหลายจั้งพุ่งออกมา
พอแสงกระบี่ดับลง เผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิง เขานำแผนที่ออกมา และใช้จิตกวาดดู จากนั้นเท้าทั้งคู่ก็หยุดชะงักในทันที
เขายกมือปล่อยเรือหยกออกมา และกระโดดขึ้นไปบนนั้น จากนั้นก็พุ่งออกไป เป้าหมายคือตลาดที่อยู่ใกล้ที่สุด
ผ่านไปไม่นาน เงาร่างอรชรสีดำก็ค่อยๆ โผล่ออกมาจากพุ่มไม้สูงใหญ่นอกซากโบราณ นางก็คือเซียนหงส์ดำนั่นเอง
นางจ้องมองแสงสีดำที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป และขมวดคิ้วเล็กน้อย
“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นคนผู้นี้ที่มีชีวิตรอดออกมา เช่นนี้แล้วมีโอกาสแปดในสิบส่วนว่าราชาโลหิตถูกสังหารไปแล้ว พลังของคนผู้นี้ลึกล้ำจนไม่อาจคาดเดาได้จริงๆ” ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ เซียนหงส์ดำถึงเผยสีหน้าแปลกประหลาด และพูดพึมพำออกมา
แม้ว่าทั้งสองจะนับว่าเป็นยอดฝีมือของผู้ฝึกฝนชั่วร้ายในรุ่นเดียวกัน แต่ใบหน้าของเซียนหงส์ดำในขณะนี้ กลับไม่มีร่องรอยของความเสียใจเลยแม้แต่น้อย
หลังจากนางยิ้มอย่างเยือกเย็นแล้ว ก็กลายเป็นไอดำพุ่งไปอีกทิศทางทันที
……
หลังจากเดินทางไปหนึ่งวันหนึ่งคืน หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวในตลาดขนาดเล็กแห่งหนึ่ง
พอย่างเท้าเข้าไปในตลาด ก็มุ่งไปยังห้องหินที่เป็นที่ตั้งของค่ายกลส่งตัวทันที คนที่ดูแลค่ายกลส่งตัวแห่งนี้ เป็นชายฉกรรจ์วัยกลางคนของนิกายขวานทองคำผู้หนึ่ง
หลังจากผ่านการส่งตัวเช่นนี้ไปสองครั้ง หลิ่วหมิงก็มาถึงตลาดเล็กๆ ที่ดูไม่เตะตาแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์หนึ่งพันกว่าลี้
ตลาดอุดมสมบูรณ์แห่งนี้ตั้งอยู่ท่ามกลางทะเลทรายเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง พอมองออกไปรอบด้านล้วนเป็นทรายสีเหลืองไร้ที่สิ้นสุด และใจกลางของตลาดแห่งนี้ เป็นแหล่งอุดมสมบูรณ์เพียงหนึ่งเดียวในพื้นที่ระยะหลายร้อยลี้ นานวันเข้าก็มีคนมาก่อตั้งตลาดเล็กๆ รอบพื้นที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้
แม้ว่าในตลาดจะมีร้านค้าและโรงเตี๊ยมอยู่หลายแห่ง แต่ผู้คนบนท้องถนนมีอยู่น้อยมาก แต่ทว่านี่เป็นสิ่งที่หลิ่วหมิงต้องการพอดี
เขาหาโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งอย่างไม่ใส่ใจ และเลือกเอาบ้านพักเดี่ยวหลังหนึ่ง จากนั้นก็วางชั้นจำกัดไว้ในห้องก่อนเข้าไปนั่งขัดสมาธิในห้องลับ และแทบรอไม่ไหวที่จะเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับ
ท่ามกลางห้องว่างเปล่าลึกลับสีเทาสลัวๆ หลัวโหวยืนเอามือไขว้หลังอยู่เงียบๆ ซึ่งอยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไปไม่ไกล ราวกับรู้ว่าเขาจะมา
“ผู้อาวุโสหลัวโหว” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกอึ้งไปทันที จากนั้นก็ก้าวเข้าไปประสานมือคารวะ
“ครั้งนี้เจ้าทำได้ไม่เลว ครั้งนี้กรงขังดูดซับไอปีศาจแท้ไปไม่น้อย ผนึกได้รับการซ่อมแซมแล้ว เพียงพอที่จะรักษาการทำงานปกติได้กว่าร้อยปี” หลัวโหวมองลงบนตัวหลิ่วหมิง และกล่าวอย่างราบเรียบ
หลิ่วหมิงได้ยินก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างอดไม่ได้
ที่หลัวโหวกล่าวเช่นนี้ แสดงว่าภายในหนึ่งร้อยปีให้หลัง เขาจะไม่ถูกปีศาจชิงร่างอีก ในที่สุดก็สามารถฝึกฝนได้อย่างสบายใจแล้ว
เชื่อว่ามีเวลาร้อยแล้ว เขาจะต้องมีการยกระดับเป็นอย่างมากแน่นอน ไม่แน่อาจจะหาวิธีควบคุมความคิดปีศาจได้
“เจ้าอย่าเพิ่งรีบดีใจจนเกินไป ผนึกกรงขังหยุดความเสียหายไว้ชั่วคราวเท่านั้น ไอปีศาจแท้จำนวนแค่นี้ ไม่เพียงพอสำหรับซ่อมแซมผนึก” ดูเหมือนหลัวโหวจะเห็นอาการดีใจของหลิ่วหมิง จึงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ” หลิ่วหมิงได้ยินก็ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น และพยักหน้าตอบรับ
“นอกจากนี้ยังต้องเตือนเจ้าอีกประโยค ศพที่เจ้าเจอใต้แท่นบูชานั้น เป็นศพของเผ่าปีศาจบรรพกาล ทั้งยังเป็นผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์ด้วย” หลัวโหวพยักหน้าเล็กน้อย และกล่าวคำพูดที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจออกมา
“อะไรนะ? ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์?” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
เขาเห็นยอดฝีมือระดับแก่นแท้ในนิกายยอดบริสุทธิ์มามากมาย แต่ระดับดาราพยากรณ์นี้กลับไม่เคยพบมาก่อน ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่มีในตำนานแล้ว
แม้แต่ในแผ่นดินจงเทียน ก็เป็นระดับแปลกประหลาดเก่าแก่ เป็นบุคคลที่เป็นเสาเอกของนิกายใหญ่นับหมื่นปี ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนโดยง่าย แต่ตัวเขากลับได้ศพของระดับดาราพยากรณ์มา…
พอคิดมาถึงจุดนี้ หลิ่วหมิงก็รู้สึกใจเต้นตูมตามอย่างอดไม่ได้ และรู้สึกคอแห้งเล็กน้อย
แต่ทว่าเขาไม่ทันได้เอ่ยปาก หลัวโหวตรงหน้าก็สะบัดแขนเสื้อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก พายุบ้าระห่ำพัดเข้ามา
หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่าตรงหน้ามืดลง และตัวเองก็กลับมาในห้องลับภายในโรงเตี๊ยมอีกครั้ง และอดที่จะค่อนแคะในใจไม่ได้
เดิมทีเขาคิดจะสอบถามหลัวโหวเกี่ยวกับเรื่องศพดาราพยากรณ์นี้สองสามประโยค แต่ดูท่าหลัวโหวคงไม่อยากพูดอะไรกับเขามาก
“ผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์……” หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา ใบหน้าของเขาฉายแววตื่นเต้นอย่างอดไม่ได้
ต่อให้จะเป็นแค่ศพ แต่มันยังคงมีมูลค่าที่ยากจะคาดเดาได้
หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองไปหนึ่งรอบแล้ว ก็ตัดสินใจรอกลับไปนิกายยอดบริสุทธิ์ก่อน แล้วค่อยหาโอกาสตรวจสอบอีกรอบ
ขณะนั้นเอง ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงพลิกฝ่ามือหยิบกำไลสีดำทั้งสองออกมาถือไว้ในมือ และตรวจสอบดูอย่างละเอียด
ตอนอยู่ในถ้ำ เขาไม่ได้ตรวจสอบอย่างละเอียด
กำไลคู่นี้เป็นสีดำล้วน นอกจากวางไว้บนมือมันจะเบาดุจขนนก และไม่สามารถรับรู้ถึงน้ำหนักเลยแม้แต่น้อยแล้ว ก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษอีก
หลังจากตรวจสอบอย่างละเอียดอีกรอบ หลิ่วหมิงก็ค้นพบว่าบนกำไลคู่นี้ ไม่มีลวดลายชั้นจำกัดใดๆ สลักอยู่เลย
แต่ว่ากำไลสีดำคู่นี้ได้มาจากตัวของยอดฝีมือระดับดาราพยากรณ์ จะต้องไม่ใช่สิ่งของที่ไร้ประโยชน์ถึงจะถูก
เขาลองปล่อยพลังเวทเข้าไปในกำไลสีดำเล็กน้อย น่าเสียดายที่มันยังคงไม่มีการตอบสนองใดๆ
เขาเปลี่ยนความคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โยนกำไลวงหนึ่งขึ้นมา พอยกแขนเสื้อขึ้น ลูกเปลวไฟ และคมวายุจำนวนมากก็เปล่งประกายออกมา และพากันโจมตีลงบนกำไล
เกิดเสียงดังเปรี๊ยะๆ! อยู่ชั่วขณะหนึ่ง หลังจากแสงไฟและเสียงพายุผ่านพ้นไป กำไลก็ค่อยๆ ร่วงลงพื้น พอกวาดสายตามองดู ก็ไม่ค้นพบรอยสีขาวเลยแม้แต่เส้นเดียว
ต่อมาหลิ่วหมิงลองใช้มุกพลังวารี วิชาขี่กระบี่ ทรายทองคำร่วง และสิ่งของอื่นๆ ทดลองดู แต่ก็ยังไม่สามารถสร้างความเสียหายให้มันได้เลยแม้แต่น้อย หลังจากไม่ได้ผลลัพธ์ใดๆ หลิ่วหมิงก็ได้แต่ละความคิดนี้ไปชั่วคราว และเก็บมันเข้าไป
ต่อมา เขาก็นำกำไลเก็บของของราชาโลหิต และสิ่งของอื่นๆ ออกมาตรวจสอบอย่างละเอียดหนึ่งรอบ
ลำพังแค่ยันต์เก็บของของราชาโลหิต ก็มีหินจิตวิญญาณห้าล้านกว่า อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดสี่ห้าชิ้น และยังมีสิ่งของประเภทโอสถอยู่หลายขวด น่าเสียดายที่ล้วนเป็นสิ่งของสำหรับฝึกฝนสายโลหิต และไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ดูท่าต้องนำไปแลกหินจิตวิญญาณมาจำนวนหนึ่งแล้ว
หลิ่วหมิงจำแนกสิ่งของเหล่านี้โดยคร่าวๆ และเก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วน จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง และเริ่มคิดไตร่ตรองถึงการดำเนินการในขั้นต่อไป
ขณะนี้ อันตรายจากฟองอากาศลึกลับถูกกำจัดไปชั่วคราว สิ่งสำคัญที่ต้องทำในลำดับถัดไปก็คือเตรียมทะลวงระดับผลึกแล้ว
อย่างที่รู้ว่า อีกไม่นานฟองอากาศลึกลับก็จะปรากฏออกมาแล้ว เขาจำเป็นต้องยกระดับพลังเวทให้เพิ่มขึ้นหลายเท่าก่อนถึงจะได้
พลังเวทของตนเองบริสุทธิ์เป็นอย่างยิ่งแล้ว ส่วนสิ่งของช่วยเสริมที่จำเป็นต้องใช้ในการทะลวงระดับผลึกนั้น เขาก็ได้เตรียมไว้แล้วไม่น้อย ตอนนี้เพียงแค่มอบศีรษะของราชาโลหิตให้กับหอความเป็นความตาย ก็สามารถแลกแต้มคุณูปการได้หนึ่งล้านแต้ม สามารถยืมกระจกหยินหยางแยกผสานมาใช้หนึ่งครั้งอย่างไม่มีปัญหา
เมื่อสรุปออกมาเช่นนี้ โอกาสที่ตนเองจะเข้าสู่ระดับผลึกก็มีไม่น้อยแล้ว ดูเหมือนว่าจะมีโอกาสสี่ถึงห้าส่วน
“อัตราความสำเร็จครึ่งหนึ่งยังคงดูน้อยไปหน่อย” หลิ่วหมิงถอนหายใจออกมา เขายังคงรู้สึกไม่วางใจอยู่ดี
แต่อัตราความสำเร็จขนาดนี้ หากผู้ฝึกฝนระดับของเหลวทั่วไปรู้เข้า เกรงว่าคงจะอิจฉาตาร้อนเป็นอย่างยิ่ง
หลิ่วหมิงคิดพิจารณาอีกครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตัดสินใจยังไม่กลับเทือกเขาหมื่นวิญญาณชั่วคราว
ยังคงมีเวลาอีกเล็กน้อย เขาคิดจะไปเสี่ยงโชคภายนอก เพื่อดูว่าจะหาสิ่งของฟ้าดินสองชิ้นที่มีส่วนช่วยในการทะลวงระดับผลึกได้หรือไม่
ในระยะนี้เขาสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายไปไม่น้อย ลำพังแค่หินจิตวิญญาณบนตัวก็เกินสิบล้านแล้ว บนตัวยังมีอาวุธจิตวิญญาณสายปีศาจจำนวนไม่น้อย สิ่งของจำพวกโอสถยังต้องจัดการสักหน่อย
……
เมืองเจินหยวนที่อยู่ในที่ราบตอนกลางของแผ่นดินจงเทียน
เป็นหนึ่งในเมืองใหญ่ของราชวงศ์ต้าเจิน ขณะเดียวกันก็เป็นหนึ่งในแคว้นของมนุษย์ที่ถูกควบคุมโดยนิกายยอดบริสุทธิ์ เป็นสถานที่ที่มีผู้ฝึกฝนไปมาไม่ขาดสาย
ถนนหินขนาดใหญ่ที่ประตูหลักเมือง พอที่จะให้รถม้าขับเคียงข้างกันได้หลายคัน กำแพงเมืองที่สูงหลายสิบจั้ง โอบล้อมพื้นที่ระยะพันลี้ไว้ด้านใน
ด้านนอกกำแพงเมือง สามารถมองเห็นแสงแปลกประหลาดของผู้ฝึกฝนพุ่งไปมากลางอากาศ แต่พออยู่ในอาณาเขตของกำแพงเมืองแล้ว กลับพากันดับแสงลง และเดินเท้าเข้าเมืองด้วยสีหน้านอบน้อม
เพราะว่ามีชั้นจำกัดทางอากาศที่นิกายยอดบริสุทธิ์วางไว้ ทั้งยังมีศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์คอยดูแลอยู่ หากใครไม่รักษากฎ จุดจบคงพบเห็นได้ง่าย
ประชากรในเมืองเจินหยวนมีมากถึงหนึ่งล้านคน แน่นอนว่าส่วนมากเป็นคนธรรมดาที่ไม่มีพลังเวท
แม้จะพูดว่าเป็นเมืองแห่งผู้ฝึกฝน แต่บรรดาผู้ฝึกฝนก็ไม่ทำการคลุกคลีกับคนธรรมดา โดยทั่วไปจะรวมตัวอยู่ในพื้นที่เล็กๆ ที่ล้อมรอบด้วยถนนหลายสายในเมือง
และเขตพื้นที่บริเวณนี้ คนธรรมดาทั่วไปก็ไม่กล้าเหยียบเข้ามา
ถนนเทียนหยวนเป็นถนนที่มีผู้ฝึกฝนมารวมตัวกันมากที่สุด
ขณะนี้ หลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีเขียวกำลังก้าวเดินอยู่บนถนนเทียนหยวนอย่างช้าๆ และกวาดสายตาสังเกตดูร้านค้าสองข้างทาง
ตอนนี้อยู่ห่างจากตอนที่ซากโบราณเผ่าปีศาจปรากฏตัวมาเป็นเวลาหนึ่งปีกว่าแล้ว หลิ่วหมิงไม่ได้รีบร้อนกลับเทือกเขาหมื่นวิญญาณ แต่กลับหาประสบการณ์ตามแคว้นต่างๆ ของมนุษย์ที่ถูกควบคุมโดยนิกายยอดบริสุทธิ์
ทันใดนั้น เขาก็หยุดชะงักฝีเท้าลง และเดินเข้าไปในร้านที่เห็นได้ชัดว่าสูงกว่าร้านค้าทั้งสองฝั่ง
โดยทั่วไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของหรือขายของ ร้านค้าที่มีขนาดใหญ่ล้วนเป็นตัวเลือกที่ค่อนข้างดีกว่า
ร้านนี้เป็นร้านค้าอาวุธจิตวิญญาณที่มีชื่อว่าหอวารีกระจ่าง แลดูค่อนข้างภูมิฐาน ลำพังแค่หน้าร้านก็กว้างสิบกว่าจั้งแล้ว
พอเข้าไปในร้าน จะรู้สึกว่าขอบหน้าต่างรอบๆ ค่อนข้างสะอาด ดูกว้างขวางและสว่างมาก มีชั้นวางของที่ทำจากหยกขาวตั้งวางเป็นแถว มีอาวุธจิตวิญญาณชนิดต่างๆ วางอยู่ไม่น้อย ซึ่งมีมากถึงหนึ่งร้อยกว่าชิ้น
ข้างชั้นวางแต่อัน ต่างก็มีพนักงานชุดเขียวยืนเรียกลูกค้าอยู่
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองออกไป ก็ค้นพบว่าส่วนมากเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลาง ที่ดีที่สุดก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสูงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น
พอพนักงานตาแหลมคนหนึ่งเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็รับรู้ได้ว่ากลิ่นไอของเขาลึกซึ้ง แม้จะดูไม่ออกว่ามีการฝึกฝนระดับใด แต่ก็รู้ว่าเป็นลูกค้ารายใหญ่ จึงรีบเดินเข้าไปต้อนรับอย่างอบอุ่น
ตอนที่ 633 เมืองเจินหยวน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ผู้อาวุโสท่านนี้ ต้องการดูอาวุธจิตวิญญาณแบบใดหรือ? ข้าน้อยสามารถแนะนำให้ท่านได้ ร้านของเรามีอาวุธจิตวิญญาณลากหลายชนิด ซึ่งมีคุณภาพสูง จะต้องทำให้ท่านพอใจอย่างแน่นอน”
“อ้อ! สินค้าแบบใดก็มีหมดหรือ ถ้าอย่างนั้นมีต้นแบบอาวุธเวทขายหรือไม่?” พอได้ยินคำพูดที่ดูใหญ่โตเช่นนี้ หลิ่วหมิงก็ถามด้วยสีหน้าปกติ
“ผู้อาวุโสโปรดอภัย ข้าน้อยปากพล่อยไปหน่อย อาวุธระดับนี้ร้านเราไม่มี” พนักงานชุดเขียวได้ยินก็รู้สึกอึ้งไปทันที จากนั้นถึงกล่าวด้วยสีหน้าเศร้า
“ไม่เป็นไร! เรียกเถ้าแก่ของพวกเจ้าออกมา ข้ามีเรื่องอยากคุยต่อหน้าเขา” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา
“เชิญสหายตามข้าไปรอที่ห้องรับรองชั้นสอง ” พอพนักงานชุดเขียวเห็นว่าหลิ่วหมิงไม่ได้พูดเล่น จึงรีบกล่าวออกมา
ขณะที่พูด พนักงานขุดเขียวก็พาหลิ่วหมิงเดินไปบนชั้นสอง และเข้าไปในห้องเดี่ยวที่ตกแต่งอย่างหรูหราห้องหนึ่ง หลังจากยกชาจิตวิญญาณให้หนึ่งแก้วแล้ว ก็ขอตัวไปเชิญเถ้าแก่
พอหลิ่วหมิงยกแก้วขึ้นมาจิบหนึ่งคำ ก็รู้สึกว่าชามีรสชาติบางและหวานเล็กน้อย นับว่าเป็นชาที่มีคุณภาพไม่เลว
ไม่นาน ชายใบหน้าสี่เหลี่ยมที่มีจอนผมเป็นสีขาวเล็กน้อย ก็ผลักประตูเข้ามาเบาๆ พอเห็นหลิ่วหมิง สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปในทันที จากนั้นก็กุมมือคารวะก่อนกล่าวออกมา
“ข้าน้อยคือจินหยวน เป็นเถ้าแก่ของร้านนี้ สหายมาเยี่ยมเยียนร้านเรา นับว่าเป็นเกียรติแก่ร้านเรายิ่งนัก ร้านเรายินดีต้อนรับจริงๆ”
“สหายจินไม่ต้องเกรงใจเช่นนี้ ข้าน้อยเย่หมิง” หลิ่วหมิงได้ยินคำพูดเยินยอเช่นนี้ ก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่ก็ลุกขึ้นมาคารวะกลับ และบอกชื่อปลอมที่เคยใช้ออกไป
เห็นได้ชัดว่าชายหน้าสี่เหลี่ยมผู้นี้ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวเช่นกัน แต่ดูเหมือนว่าเพิ่งจะเข้าสู่ขั้นต้นได้ไม่นาน
“เชิญสหายเย่นั่ง” ชายหน้าสี่เหลี่ยมรีบเชิญหลิ่วหมิงนั่งลง จากนั้นตนเองก็ไปนั่งฝั่งตรงข้าม
“ได้ยินพนักงานที่อยู่ด้านล่างบอกว่าสหายมีเรื่องสำคัญอยากคุยกับข้า มิทราบว่ามีเรื่องอันใดให้ข้าน้อยรับใช้หรือ?” ดูท่าชายหน้าสี่เหลี่ยมก็เป็นผู้ที่มีความเฉียบขาดเช่นกัน จึงเอ่ยปากถามออกมาตามตรง
“อ๋อ! ที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแต่ว่าบนตัวข้ามีสิ่งของบางอย่างที่ไม่ได้ใช้ คิดจะหาที่ขายออกไปก็เท่านั้นเอง” พอหลิ่วหมิงโบกมือ กล่องไม้ห้าใบก็ร่วงลงบนโต๊ะตรงหน้าทั้งสอง
“ขายสิ่งของ?” ชายหน้าสี่เหลี่ยมรู้สึกตกตะลึง จากนั้นก็พยักหน้าอย่างรวดเร็ว
ร้านขายอาวุธจิตวิญญาณอย่างหอวารีกระจ่างนี้ ไม่เพียงแต่ขายของเท่านั้น ขณะเดียวกันยังรับซื้อสิ่งของชนิดต่างๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็นอาวุธจิตวิญญาณ หินแร่ โอสถ ล้วนรับซื้อทั้งหมด
ชายหน้าสี่เหลี่ยมรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เรื่องการรับซื้อของ ล้วนเป็นเรื่องที่ผู้ดูแลร้านสองสามคนที่อยู่ด้านล่างจัดการ นอกเสียจากว่าจะเป็นสิ่งของที่มีมูลค่าสูงเท่านั้น เขาถึงค่อยออกโรงเอง
แต่พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อเบาๆ เพื่อเปิดกล่องไม้บนโต๊ะ เขาก็มองเห็นสิ่งของในนั้นอย่างชัดเจน จากนั้นสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที และลุกขึ้นมาในฉับพลัน
สิ่งที่วางอยู่ภายในกล่องไม้ สามชิ้นในนั้นเป็นอาวุธจิตวิญญาณ และยังมีขวดหยกขาวอีกสองใบ
ชายหน้าสี่เหลี่ยมจ้องมองธงสีเลือดขนาดใหญ่ด้วยแววตาเร่าร้อน
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อย และยกชาขึ้นมาจิบหนึ่งที สิ่งของเหล่านี้เป็นสิ่งที่เขาได้มาจากราชาโลหิตและคนอื่นๆ ทั้งยังมีของผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่เขาสังหารในตอนแรกอย่างหลวงจีนกระดูกแห้งด้วย
เพื่อไม่ให้เป็นจุดสนใจ หนึ่งปีกว่ามานี้เขาแยกสิ่งของที่ไม่ได้ใช้เหล่านี้ขายตามตลาดต่างๆ เพื่อแลกหินจิตวิญญาณมาจำนวนมาก สิ่งของที่อยู่ตรงหน้านี้เป็นชุดสุดท้ายแล้ว
ธงใหญ่สีเลือดนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่ราชาโลหิตใช้ คุณสมบัติของมันก็ไม่ธรรมดา
“หูว…สหายเย่มีความเด็ดขาดจริงๆ สมบัติล้ำค่าระดับนี้ ก็นำออกมาขายได้” ชายหน้าสี่เหลี่ยมถอนหายใจยาวๆ และระงับอารมณ์ไว้ จากนั้นก็กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยแววตานับถือ
“สหายจินกล่าวเกินไปแล้ว สิ่งของเหล่านี้มีคุณสมบัติไม่เลว แต่น่าเสียดายที่ไม่เหมาะกับพลังของข้า มิเช่นนั้นข้าคงไม่นำออกมาขายอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยจะไม่พูดอะไรให้มากความแล้ว สิ่งของทั้งหมดนี้ร้านเรารับซื้อ ส่วนราคานั้น…” ชายหน้าสี่เหลี่ยมตกปากรับคำในทันที แต่ก็เผยสีหน้าลังเลออกมา
“วางใจเถอะ! ข้าน้อยรีบร้อนใช้หินจิตวิญญาณ ราคาสามารถตกลงกันได้” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
ชายหน้าสี่เหลี่ยมได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก ดังนั้นทั้งสองจึงถกราคากันอยู่พักหนึ่ง
สุดท้ายอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ ก็ถูกขายไปในราคาหนึ่งล้านสองแสนหินจิตวิญญาณ บวกกับอาวุธจิตวิญญาณชิ้นอื่นๆ และโอสถสายปีศาจสองขวดแล้ว รวมทั้งหมดเป็นจำนวนหนึ่งล้านเก้าแสนหินจิตวิญญาณ
หลังจากทั้งสองยื่นสินค้าและหินจิตวิญญาณให้แก่กันแล้ว ย่อมรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
เวลาต่อมา ชายหน้าสี่เหลี่ยมก็สนทนากับหลิ่วหมิงอย่างอบอุ่น และทำเป็นสอบถามที่มาของหลิ่วหมิงอย่างไม่ใส่ใจ
“สหายจิน บอกท่านอย่างไม่ปิดบัง ที่ข้ามาเมืองเจินหยวนในครั้งนี้ ด้านหนึ่งก็เพื่อขายอาวุธจิตวิญญาณเหล่านี้ อีกด้านหนึ่งก็เพื่อต้องการซื้อสิ่งของเสริมสำหรับการฝึกฝน สหายคุ้นเคยกับพื้นที่ ไม่ทราบว่าพอจะชี้แนะข้าน้อยได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงพูดขายผ้าเอาหน้ารอดไปสองสามประโยค จากนั้นก็เอ่ยปากถามอีกครั้ง
“ย่อมได้แน่นอน ไม่ทราบว่าสหายต้องการซื้อสิ่งของอันใด?” ชายหน้าสี่เหลี่ยมได้ยินก็รีบกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“สหาย เชิญดู” หลิ่วหมิงหยิบแผ่นหยกออกมาแล้วยื่นไปให้
ชายหน้าเหลี่ยมใช้มือทั้งสองรับมา และนำไปแปะไว้บนหน้าผาก เขาหลับตาทั้งคู่ลง และนำจิตเข้าไปในนั้น
“สิ่งของเหล่านี้…ดูท่าสหายเย่คงฝึกฝนถึงระดับของเหลวสมบูรณ์แบบแล้ว อีกไม่นานก็จะเข้าสู่ระดับผลึก ช่างเป็นเรื่องน่ายินดียิ่งนัก” หลังจากชายหน้าสี่เหลี่ยมรับรู้ถึงสิ่งที่เขียนไว้ในแผ่นหยก เขาก็ค่อยๆ เผยสีหน้าตกใจออกมา สุดท้ายก็ลืมตาทั้งคู่และกล่าวด้วยความอิจฉา
“สหายพูดล้อเล่นแล้ว การเข้าสู่ระดับผลึกไหนเลยจะเป็นเรื่องง่ายดายเช่นนี้ ข้าน้อยก็แค่เตรียมการเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนจะสำเร็จหรือไม่ ต้องอาศัยโชคชะตาแล้ว” หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ
“สิ่งของที่สหายต้องการคือสิ่งของจิตวิญญาณฟ้าดินอย่างรากโสมหมื่นปี โลหิตบริสุทธิ์ของอาชากายสิทธิ์ ซึ่งล้วนเป็นสิ่งของที่หาได้ยากยิ่ง ข้าน้อยอยู่เมืองเจินหยวนมาหลายสิบปี ยังไม่เคยเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียว” ชายหน้าสี่เหลี่ยมเงียบไปเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด
หนึ่งปีกว่ามานี้ เขาถามร้านค้าต่างๆ มาไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ล้วนได้คำตอบคล้ายเคียงกัน
นี่ก็ไม่แปลก เมื่อมีผู้ฝึกฝนได้รับสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ ย่อมไม่นำออกมาขายอย่างแน่นอน นอกจากไม่มีทางเลือกเท่านั้น ด้วยเหตุนี้หากจะอาศัยช่องทางธรรมดาในการได้มันมา ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“แต่ว่าสหายเย่ก็อย่าได้ท้อใจไป ช่วงนี้ข้าได้รับข่าวมาเรื่องหนึ่ง บางทีอาจจะมีประโยชน์กับสหายก็ได้” ชายหน้าสี่เหลี่ยมเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที
“อ๋อ! ไม่ทราบว่าเป็นข่าวอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยตาที่เป็นประกาย
“มันเป็นเช่นนี้ ในช่วงเวลานี้ของทุกๆ ปี เมืองเจินหยวนจะจัดงานประมูลใหญ่ เมื่องานประมูลดำเนินถึงช่วงสุดท้าย ผู้ฝึกฝนระดับสูงในท้องที่จำนวนหนึ่งจะรวมตัวกันจัดงานแลกเปลี่ยนขนาดเล็กแบบส่วนตัว ให้สหายทุกคนได้รับสิ่งของที่ต้องการ ในนั้นมักจะมีสิ่งของล้ำค่าปรากฏออกมาด้วย” ชายหน้าสี่เหลี่ยมกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ความหมายของสหายคือ?” หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย และค่อยๆ กล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“นับว่าสหายเย่มาได้ประจวบเหมาะพอดี ตามที่ข้าทราบมา เมื่อเร็ว ๆ นี้มีงานแลกเปลี่ยนจัดขึ้นพอดี ได้ยินมาว่ามีของดีๆ ปรากฏออกมาไม่น้อย บางทีในนั้นอาจมีสิ่งของที่สหายต้องการก็ได้” ชายหน้าสี่เหลี่ยมค่อยๆ กล่าวออกมา
“พูดจริงหรือ?” หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย
“เรื่องนี้…ข้าน้อยก็แค่ได้ยินมา แต่งานแลกเปลี่ยนที่ผ่านมามักจะมีสิ่งของล้ำค่าปรากฏออกมา สหายเย่ลองไปเสี่ยงโชคดูได้” ชายหน้าสี่เหลี่ยมกล่าวด้วยสีหน้าลังเลเล็กน้อย
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเต้นแรง และเผยสีหน้าครุ่นคิดเล็กน้อย
“แต่ว่าหากจะเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยน จำเป็นต้องมีคนในพื้นที่แนะนำ ทั้งยังต้องนำสินค้าที่มีมูลค่าสอดคล้องกันไปด้วยถึงจะได้ หากสหายเย่อยากเข้าร่วม ข้าสามารถเป็นตัวแทนแนะนำให้ได้เล็กน้อย” ชายหน้าสี่เหลี่ยมรีบพูดเสริมออกมา
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนสหายจินแล้ว ข้ายังพอนับว่ามีสมบัติอยู่บ้าง” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะด้วยความดีใจ
จากนั้นทั้งสองก็พูดคุยสัพเพเหระอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากตกลงกันในบางเรื่องที่จะพบกันในภายหลังแล้ว หลิ่วหมิงก็กล่าวลา
สามวันต่อมา หลิ่วหมิงก็มาพบชายหน้าสี่เหลี่ยมตามนัดหมาย และเดินตามเขามาถึงถนนจูเชวี่ยในเมืองเจินหยวน
ถนนจูเชวี่ยคือเขตพื้นที่ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยวในเมืองแห่งนี้ มีผู้ฝึกฝนมาถึงที่นี่น้อยมาก สิ่งก่อสร้างทั้งสองข้างทางล้วนมีขนาดสูงใหญ่ ทั้งสะอาดและเป็นระเบียบมาก
ทั้งสองหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าสิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นมาจากหยกขาว แลดูคล้ายกับพระราชวัง จากนั้นชายหน้าสี่เหลี่ยมก็เดินเข้าไปเคาะประตูใหญ่เบาๆ
ไม่นาน หญิงสาวชุดขาวก็เปิดประตูเดินออกมา พอเห็นชายหน้าสี่เหลี่ยม นางก็พลันเม้มริมฝีปากยิ้ม ทันใดนั้น นางก็กล่าวด้วยรอยยิ้มอันงดงาม
“ที่แท้ก็เป็นเถ้าแก่จินจากหอวารีกระจ่าง ผู้ที่งานยุ่งอย่างท่าน วันนี้ทำไมถึงมาที่นี้ได้ล่ะ?”
“สหายหมิงจูล้อข้าเล่นอีกแล้ว หากไม่มีธุระสำคัญข้าจะมาได้อย่างไร ที่ข้ามาในวันนี้ ก็เพื่อจะแนะนำสหายเย่หมิงให้กับเจ้า เพื่อเข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนในวันนี้” ชายหน้าสี่เหลี่ยมกล่าวด้วยรอยยิ้ม และขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้เห็นหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหลัง
“อ๋อ! สหายผู้นี้ดูแปลกหน้ามาก แต่ในเมื่อสหายจินแนะนำมา ก็เชิญเข้ามาก่อนเถอะ! หญิงชุดขาวย่อมเห็นหลิ่วหมิงตั้งแต่แรกแล้ว พอได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มของนางก็หายไปทันที และจ้องมองด้วยสายตาเย็นชาก่อนกล่าวออกมา
ขณะที่พูดนางก็หันตัวเปิดทางให้
“สหายเย่ ข้าน้อยขอส่งท่านเพียงเท่านี้ หวังว่าครั้งนี้สหายจะได้สิ่งที่ต้องการ” ชายหน้าเหลี่ยมไม่คิดจะเข้าไปเลยแม้แต่น้อย แต่กลับประสานมือบอกลาหลิ่วหมิง และสะบัดแขนเสื้อหมุนตัวเดินจากไป
หลิ่วหมิงมองดูเงาร่างของจินหยวนที่หายไปทีหนึ่ง หลังจากพยักหน้าให้หญิงสาวชุดขาวเล็กน้อยแล้ว ก็เอามือไขว้หลังแล้วเดินเข้าไปด้านใน
ช่วงเวลาสามวันมานี้ เขาก็แอบสืบข่าวเกี่ยวกับงานแลกเปลี่ยนมาไม่น้อย ผู้จัดงานเป็นร้านค้าใหญ่หลายแห่งในเมืองเจินหยวนร่วมมือกัน และก็ได้รับคำวิจารณ์ที่ดีในบรรดาผู้ฝึกฝนในพื้นที่
ขณะที่ประตูหยกสีขาวตรงด้านหลังปิดลง แสงด้านในก็มืดลงไปเล็กน้อย แสงสีขาวจางๆ ที่สาดส่องมาจากหินจันทราที่ฝังอยู่บนกำแพง ทำให้พื้นที่เล็กๆ รอบๆ สว่างขึ้นมา
หญิงชุดขาวหันตัวกลับมา ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรบางอย่างนั้น กลับเห็นว่าหลิ่วหมิงเดินนำไปสิบกว่าก้าวแล้ว
“แม้สหายจะเป็นคนที่เถ้าแก่จินแนะนำมา แต่กฎของที่นี่สหายคงรู้ดีนะ” หญิงสาวเห็นเช่นนี้ก็เผยแววตาไม่พอใจ และกล่าวอย่างเยือกเย็น
ตอนที่ 634 งานแลกเปลี่ยน
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยแล้วหยุดฝีเท้าลง จากนั้นก็หยิบขวดออกมาใบหนึ่ง และโยนออกไป
หญิงสาวชุดขาวเลิกคิ้วขึ้นมา ดูเหมือนนางจะไม่พอใจกับการกระทำที่ดูไม่มีมารยาทของหลิ่วหมิง หลังจากทำเสียงฮึดฮัดออกมาแล้ว ก็ยื่นมือรับขวดกระเบื้องมา พอเปิดจุกออกดู ก็มีกลิ่นโอสถหอมเข้มข้นโชยออกมา ทำให้นางตาโตขึ้นมาทันที
ขวดนี้มีเม็ดโอสถสีเขียวขนาดเท่าหัวแม่มือห้าเม็ด มีสีอวบอิ่มแวววาว แผ่กลิ่นหอมเย็น บนเม็ดโอสถแต่ละเม็ด มีลายโอสถสีเงินปรากฏอยู่ห้าเส้น
“นี่คือโอสถผลึกเย็น ทั้งยัง…เป็นโอสถระดับพสุธาด้วย!” หญิงสาวชุดขาวเอามือปิดปากเบาๆ แล้วพูดพึมพำออกมา
นางตระหนักถึงความรู้สึกของตนเองในทันที ใบหน้าแดงขึ้นมา จากนั้นก็รีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ
“เป็นอย่างไรบ้าง ของสิ่งนี้คงเข้าตาสหายอยู่นะ” หลิ่วหมิงยืนเอามือไขว้หลังแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ
“ไม่เลว! โอสถผลึกเย็นระดับพสุธาพบเจอได้น้อยมาก มูลค่าย่อมไม่เบา เข้าถึงเกณฑ์ในงานแลกเปลี่ยนแล้ว เชิญสหายตามข้ามาเถอะ!” แววตาของหญิงชุดขาวที่มองหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที หลังจากเดินไปด้านหน้าสองสามก้าวแล้ว ก็ยื่นขวดคืนกลับไปอย่างอาลัยอาวรณ์ และกล่าวออกมา
พอกล่าวจบ นางก็เดินมาข้างหน้า และพาหลิ่วหมิงเดินไปต่อ หลังจากเลี้ยวไปหนึ่งโค้งแล้ว ก็มาถึงหน้ากำแพงหยกขาวด้านหนึ่ง
พอหญิงสาวชุดขาวยื่นมือกดลงบนกำแพง แสงสีขาวก็กระเพื่อมออกมา ประตูหินที่ปกคลุมไปด้วยอักขระจำนวนมากปรากฏออกมาทันที
“สหายเชิญเข้า” หญิงสาวชุดขาวผลักประตูหินออก และทำท่าทางเชื้อเชิญ หลิ่วหมิงเองก็ก้าวเข้าไปอย่างไม่เกรงใจ
ด้านหลังประตูเป็นระเบียงทางเดินที่ค่อนข้างกว้าง ตรงปลายสุดมีแสงสีขาวเปล่งประกายอยู่รำไร ดูเหมือนจะเป็นห้องโถงแห่งหนึ่ง
ระเบียงทางเดินไม่ยาวมาก ไม่นานทั้งสองก็มาถึงจุดสิ้นสุด และห้องโถงหลักขนาดใหญ่ก็ปรากฏตรงหน้าหลิ่วหมิง
ใจกลางห้องโถงมีโต๊ะทรงกลมขนาดใหญ่จัดวางอยู่ รอบๆ โต๊ะมีเก้าอี้ไม้สีแดงสิบกว่าตัวจัดวางอยู่ห่างๆ บนนั้นปูด้วยเบาะนุ่มที่ปักด้วยไหมสีทอง
มีผู้ฝึกฝนแต่งกายแบบต่างๆ นั่งอยู่บนเก้าอี้จำนวนไม่น้อยแล้ว พอเห็นหลิ่วหมิงเดินเข้ามา ก็มีหลายคนที่มองมาทางนี้ทีหนึ่ง จากนั้นก็ทำเรื่องของตนเองต่อ
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน ผู้ฝึกฝนที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนมีการฝึกฝนระดับของเหลว ทั้งยังมีระดับของเหลวขั้นปลายเป็นหลัก ในนั้นยังมีหนึ่งถึงสองคนที่ดูสงบเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึก
ขณะที่คิดเช่นนี้อยู่ในใจ หลิ่วหมิงก็เดินไปยังเก้าอี้ว่างตัวหนึ่งด้วยสีหน้าปกติ หลังจากจัดการชายเสื้อเรียบร้อยแล้วก็นั่งลงไป ไม่นานก็มีหญิงรับใช้ยกชาจิตวิญญาณมาให้
“สหายเย่ งานแลกเปลี่ยนยังต้องรออีกสักพักนึ่งถึงจะเริ่ม ขอท่านโปรดรอสักครู่” มีเสียงลมพัดผ่านข้างหู หญิงสาวชุดขาวก้มลงมากระซิบข้างหูหลิ่วหมิงเบาๆ
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็พยักหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน และยกชาจิตวิญญาณขึ้นมาจิบ
ความสนิทสนมของทั้งสองตกเป็นเป้าสายตาของคนอื่นๆ ที่อยู่รอบข้าง แขกประจำที่คุ้นเคยกับหญิงสาวชุดขาวรู้สึกตกใจเล็กน้อย จนต้องแอบสังเกตหลิ่วหมิงอย่างอดไม่ได้ และพากันคาดเดาที่มาของเขา
หลิ่วหมิงย่อมสังเกตเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด แต่กลับยังคงมีสีหน้าปกติ และไม่ใส่ใจมากนัก
เวลาต่อมา ก็มีผู้ฝึกฝนระดับของเหลวสองคนเดินเข้ามาในห้องโถง และหาเก้าอี้ที่ว่างนั่งลงไปอย่างคุ้นเคย
และผู้คนทั้งหมดก็ไม่คิดที่จะพูดคุยกันเลยแม้แต่น้อย บ้างก็หลับตาพักผ่อน บ้างก็นั่งสบายๆ รอคอยงานแลกเปลี่ยนเริ่มอย่างเงียบๆ
หลังจากรอคอยไปครึ่งชั่วยาม ถึงมีผู้ฝึกฝนวัยกลางคนสวมชุดสีแดงเดินออกจากด้านในของห้องโถง และเดินไปนั่งบนเก้าอี้อย่างไม่ใส่ใจ
ผู้ฝึกฝนที่อยู่ ณ ที่นั้นพากันกวาดสายตามองดูชายวัยกลางคน
“คิดว่าคนผู้นี้คงเป็นฝูอวิ๋นจื่อแห้งร้านค้าหรูอี้แล้ว ร้านค้าหรูอี้เป็นสาขาย่อยของหอการค้าเชียนเหมิง มีคนผู้นี้ออกหน้าดำเนินการล่ะก็ ดูท่างานในครั้งนี้คงมีสิ่งของดีๆ จำนวนไม่น้อย” ผู้ฝึกฝนสองคนที่นั่งติดกันกระซิบเบาๆ
หลิ่วหมิงหูผึ่งในทันที พอได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา ขณะนั้นเองผู้ฝึกฝนวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หลัก ก็ประกาศเสียงดังออกมา
“ยินดีต้อนรับสหายทุกท่านที่เข้าร่วมงานแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ ข้าฝูอวิ๋นจื่อเป็นผู้ดำเนินรายการที่นี่ รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบเจอกับสหายทุกท่าน ตอนนี้ก็ได้เวลาพอประมาณแล้ว พวกเรามาเริ่มกันเถอะ ตอนนี้สหายทุกท่านนำสิ่งของของตนเองออกมาแนะนำสักเล็กน้อย และแจ้งสิ่งของหรือหินจิตวิญญาณที่ต้องการแลก ผู้ที่สนใจก็สามารถทำการแลกเปลี่ยนได้ทันที”
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นี้ล้วนไม่ได้มางานแลกเปลี่ยนเป็นครั้งแรก ย่อมคุ้นเคยกับกระบวนการนี้แล้ว
ขณะที่ผู้ฝึกฝนวัยกลางคนพูดจบได้ไม่นาน ชายฉกรรจ์ชุดฟ้าผู้หนึ่งก็ลุกขึ้นยืนก่อน คนผู้นี้ก็คือหนึ่งในผู้ฝึกฝนระดับผลึก
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เริ่มที่ข้าเลยก็แล้วกัน” ชายฉกรรจ์ชุดฟ้าเดินไปที่โต๊ะตรงหน้า และพลิกฝ่ามือหยิบยันต์เก็บของออกมา พอสะบัดลงด้านหน้า ก็มีแสงเปล่งประกาย และสิ่งของสองสามอย่างก็ร่วงลงบนโต๊ะ
มีหินแร่ พืชจิตวิญญาณ อาวุธจิตวิญญาณ เป็นต้น ดูเหมือนว่าจะมีพลังจิตวิญญาณลอยวนเวียนอยู่ แลดูไม่ธรรมดา
“หินเหล็กวิญญาณอัคคีหนึ่งก้อน พืชจิตวิญญาณสวรรค์หนึ่งต้น อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดสามสิบสามชั้นจำกัด…”
ชายฉกรรจ์ชุดฟ้าแนะนำสิ่งของบนโต๊ะ ขณะเดียวกันก็ค่อยๆ กวาดสายตามองดูผู้คนที่อยู่ในนี้ไปด้วย จากนั้นก็กระแอมไอก่อนกล่าวออกมา
“ข้าน้อยไม่ละโมบ หินเหล็กวิญญาณอัคคีกับพืชจิตวิญญาณสวรรค์ ต้องการแลกโอสถสองขวดสำหรับยกระดับการฝึกฝนระดับของเหลวเท่านั้น แต่ต้องเป็นโอสถระดับสูง อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดชิ้นนี้ ต้องการแลกไม้พิษอายุห้าร้อยปีต้นหนึ่ง…”
พอชายฉกรรจ์ชุดฟ้ากล่าวจบ ก็หมุนตัวกลับไปนั่งที่เดิม
สิ่งของเหล่านี้ล้วนเป็นของล้ำค่า หินเหล็กวิญญาณอัคคีเป็นวัสดุชั้นยอดในการหลอมอาวุธจิตวิญญาณธาตุไฟระดับสุดยอด และพืชจิตวิญญาณสวรรค์ เป็นวัตถุดิบหลักในการปรุงโอสถเสวียนซิน ส่วนอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด มูลค่าของมันไม่ต้องพูดถึงเลย
ผู้คนในนั้นมีคนไม่น้อยที่ตาเป็นประกายขึ้นมา แม้กระทั่งมีคนกระซิบกระซาบอย่างไม่ปิดบัง
แต่ว่าในขณะนั้น ยังไม่มีการเสนอสิ่งของทำการแลกเปลี่ยนแต่อย่างใด ส่วนเหตุผลนั้นทุกคนต่างก็เข้าใจดี ย่อมเป็นเพราะว่าต้องดูสิ่งของทั้งหมดหนึ่งรอบก่อน ถึงจะสามารถแลกเปลี่ยนได้ มิเช่นนั้นหากพลาดของที่ดีกว่าไป จะต้องเสียใจในภายหลังอย่างแน่นอน
“ข้าน้อยไม่ร่ำรวยเท่าสหายท่านนี้ ครั้งนี้นำมาแค่สุราคุณภาพเยี่ยมขวดเล็กๆ เท่านั้น อยากจะแลกแก่นของคางคกเพลิงหนึ่งเม็ด หรือว่าจะใช้หินจิตวิญญาณแลกเปลี่ยนก็ได้” ด้านข้างของชายฉกรรจ์ชุดฟ้าเป็นผู้ฝึกฝนหญิงผู้หนึ่งที่ปิดหน้าไว้ ขณะนี้นางยืนขึ้นมากล่าวด้วยรอยยิ้ม
ขณะที่กล่าว นางก็สะบัดมือ จากนั้นก็มีแสงเปล่งประกาย มีขวดเล็กใสๆ ปรากฏอยู่บนโต๊ะตรงกลางห้อง จะเห็นว่าด้านในบรรจุของเหลวสีขาวน้ำนมอยู่ครึ่งขวด
ครั้งนี้คนอื่นๆ กลับมีปฏิกิริยาเรียบเฉยมาก มีแค่คนสองคนที่มองดูทีหนึ่ง
หญิงสาวที่ปิดหน้าเผยแววตาผิดหวังเล็กน้อย จากนั้นก็นั่งลงอย่างเงียบๆ
ดวงตาของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหว ตั้งแต่ไข่เทพอสูรใบนั้นฟักออกมาจนถึงตอนนี้ ยังคงอ่อนปวกเปียกไร้ซึ่งความรู้สึก
สุราคุณภาพเยี่ยมนี้ให้ผลลัพธ์คล้ายกับโลหิตบริสุทธิ์ตะพาบน้ำจิตวิญญาณหมื่นปี ซึ่งต่างก็เป็นสิ่งของที่เสริมพลังชีวิต แม้ว่าผลลัพธ์จะสู้โลหิตบริสุทธิ์ของตะพาบน้ำหมื่นปีไม่ได้ แต่สามารถซื้อมาบำรุงเจ้าหมึกแปดขานั้นได้
เวลาต่อมา ขณะที่ผู้ฝึกฝนแต่ละคนลุกขึ้นมานำสิ่งของต่างๆ วางไว้บนโต๊ะนั้น บรรยากาศภายในนั้นก็ค่อยๆ คุกรุ่นขึ้นมา
ตั้งแต่หลิ่วหมิงดูมาทั้งหมด แม้ว่าสิ่งของเหล่านี้จะไม่เลว แต่น่าเสียดายที่ยังไม่เจอสิ่งที่เขาต้องการ จนอดรู้สึกผิดหวังไม่ได้
ไม่นานก็ถึงตาเขา เขาลุกขึ้นมาทันที จากนั้นก็เดินไปวางขวดไว้โต๊ะทรงกลม และกล่าวอย่างราบเรียบ
“โอสถผลึกเย็นระดับพสุธาห้าเม็ด ข้าน้อยอยากจะแลกวัสดุจิตวิญญาณหรือพืชจิตวิญญาณที่มีส่วนช่วยในการเข้าสู่ระดับผลึก”
พอเห็นโอสถผลึกเย็น ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวต่างก็มีสีหน้าตกใจระคนดีใจ แม้แต่ฝูอวิ๋นจื่อที่เป็นผู้ดำเนินรายการงานแลกเปลี่ยนในครั้งนี้ ก็มองมาอย่างอดไม่ได้ แต่ว่าหลังจากฟังข้อเสนอแล้ว ก็เผยสีหน้าซับซ้อนออกมา
แม้ว่าโอสถผลึกเย็นระดับพสุธาก็เป็นโอสถชั้นยอดในการทะลวงคอขวด แต่ว่าสิ่งของจิตวิญญาณฟ้าดินที่สามารถช่วยให้เข้าถึงระดับผลึกนั้น ต่อให้จะมี ก็ใช่ว่าจะนำออกมาแลกเปลี่ยนได้โดยง่าย
หลิ่วหมิงเห็นบรรยากาศเช่นนี้ ก็รู้สึกหนักใจเล็กน้อย
“ในมือข้าน้อยไม่มีสิ่งของที่สหายต้องการ ไม่ทราบว่าสามารถใช้หินจิตวิญญาณแลกได้หรือไม่? ส่วนในเรื่องของราคานั้นจะต้องทำให้สหายพอใจอย่างแน่นอน” มีคนถามออกมาอย่างอดไม่ได้
“ข้าน้อยแลกแค่วัสดุจิตวิญญาณเท่านั้น หากทุกท่านสามารถให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้ ข้าน้อยจะต้องตอบแทนด้วยหินจิตวิญญาณจำนวนมากอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงส่ายหน้ากล่าว
ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้นต่างก็มองหน้ากัน และไม่มีคนพูดอะไรออกมาอีก
หลิ่วหมิงยิ้มในใจอย่างขมขื่น จากนั้นก็หมุนตัวกลับไปนั่ง
“ข้าน้อยมี ‘หลินจือแฝงตะวัน’ อยู่ต้นหนึ่ง ไม่ทราบว่าสอดคล้องกับข้อเสนอของสหายหรือไม่?” ขณะนั้นเอง มีเสียงคนผู้หนึ่งดังขึ้นมา
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจระคนดีใจเป็นอย่างมาก พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็ค้นพบว่าคนที่พูดเป็นผู้อาวุโสผอมสูงผู้หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึก เป็นเพราะว่าค่อนข้างนั่งอยู่ตรงท้าย จึงยังไม่ได้เผยสิ่งของแลกเปลี่ยนออกมา
ขณะที่พูด ผู้อาวุโสผอมสูงก็หยิบกล่องไม้สีแดงเพลิงออกมาใบหนึ่ง พอเปิดฝาออก หมอกสีแดงก็แผ่ออกมา ในนั้นมีต้นหลินจือประหลาดๆ ขนาดครึ่งฉื่อวางอยู่ และยังมีหมอกสีแดงรายล้อมบนพื้นผิว
หลิ่วหมิงจ้องมองตาไม่กระพริบ และพยักหน้าเล็กน้อยอย่างอดไม่ได้ สิ่งนี้เหมือนกับหลินจือแฝงตะวันที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ไม่มีผิด
ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมานั้น ผู้อาวุโสผอมสูงกลับโบกมือเบาๆ และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“แต่หากสหายจะใช้โอสถผลึกเย็นห้าเม็ดแลก ย่อมเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาด ต้องบวกเพิ่มอีกเท่าตัวเป็นสิบเม็ด”
พอคำพูดนี้เปล่งออกมา คนอื่นๆ ที่นั่งอยู่ต่างก็ทำตามองบนอย่างอดไม่ได้ อย่างที่รู้กันว่ามูลค่าของโอสถผลึกเย็นสิบเม็ด พอที่จะแลกอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดสี่ห้าชิ้นที่มีคุณสมบัติไม่เลวได้แล้ว ซึ่งมูลค่าของมันสูงกว่าหลินจือแฝงตะวันมาก
หลิ่วหมิงมีสีหน้าอึมครึมลง จากนั้นก็กล่าวอย่างเยือกเย็นโดยไม่คำนึงถึงสถานะระดับผลึกของฝ่ายตรงข้าม
“ผู้อาวุโสอย่าได้ละโมบจนเกินไป โอสถผลึกเย็นระดับพสุธานี้ แต่ละเม็ดมีมูลค่าห้าแสนหินจิตวิญญาณขึ้นไป แม้ว่าหลินจือแฝงตะวันจะพบเจอได้น้อยมาก แต่ดูจากราคาตามท้องตลาดแล้ว จะต้องไม่เกินสองล้านหินจิตวิญญาณอย่างแน่นอน”
แม้เขาจะต้องการหลินจือแฝงตะวันนี้ แต่จะไม่ยอมให้ใครขู่เข็ญอย่างแน่นอน
“อย่างต่ำก็โอสถผลึกเย็นระดับพสุธาเจ็ดเม็ด หลินจือแฝงตะวันนี้จะเป็นของท่าน มิเช่นนั้นก็ยกเลิกไป” ผู้อาวุโสผอมสูงคิดไตร่ตรองเล็กน้อย และลดมูลค่าลงมาเล็กน้อย
หลิ่วหมิงมีสีหน้าอึมครึมลง เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสผอมสูงผู้นี้ กำลังเล่นลูกไม้กับเขาอยู่ แต่หากจะให้เขาละทิ้งหลินจือแฝงตะวันนี้ ก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน
“บนตัวข้ามีโอสถผลึกเย็นแค่หกเม็ด บวกกับห้าแสนหินจิตวิญญาณ” ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ หลิ่วหมิงก็พลิกฝ่ามือนำโอสถผลึกเย็นหนึ่งเม็ดกับถุงหนังใส่หินจิตวิญญาณออกมาหนึ่งใบ
ตอนที่ 635 วังหลีเหอ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้อาวุโสร่างผอมสูงลังเลอยู่พักใหญ่ๆ ถึงพยักหน้า
ทั้งสองแลกเปลี่ยนกันอย่างรวดเร็ว หลังจากหลิ่วหมิงนำกล่องไม้ที่บรรจุหลินจือแฝงตะวันเข้าไปในแหวนย่อส่วนแล้ว ถึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
แม้ว่าการแลกเปลี่ยนนี้ เขาจะเสียเปรียบไปหน่อย แต่ว่าโอสถผลึกเย็นสามารถปรุงใหม่ได้ตลอดเวลา ได้สิ่งของจิตวิญญาณฟ้าดินมาช่วยทะลวงระดับผลึกหนึ่งชิ้น เขาก็รู้สึกพอใจมากแล้ว
การแลกเปลี่ยนยังคงดำเนินต่อไป การปรากฏตัวของโอสถผลึกเย็นกับหลินจือแฝงตะวัน ทำให้บรรยากาศเร่าร้อนขึ้นมาทันที
แต่สำหรับงานแลกเปลี่ยนในช่วงหลัง หลิ่วหมิงรู้สึกใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวแล้ว สิ่งของอย่างอื่นแม้จะล้ำค่า แต่กลับไม่เข้าตาเขา
ครึ่งชั่วยามผ่านไป งานแลกเปลี่ยนก็ดำเนินมาถึงช่วงท้าย
ผู้ฝึกฝนหญิงที่ปิดบังใบหน้าในก่อนหน้านั้น กำลังจะเก็บขวดที่ไม่มีคนถามหา แต่กลับมีน้ำเสียงดังขึ้นด้านหลัง
“ช้าก่อน! สหายผู้นี้ ข้าเอาสุราคุณภาพเยี่ยมขวดนี้ แต่ว่าข้าไม่มีแก่นอสูรคางคกเพลิง เชิญท่านเสนอราคาเถอะ!” เป็นหลิ่วหมิงที่หยุดหญิงสาวไว้
“หก…….ไม่! ห้าแสนหินจิตวิญญาณก็แล้วกัน” ผู้ฝึกฝนหญิงได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก หลังจากมองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้ว ก็กล่าวด้วยความลังเล
สุราคุณภาพเยี่ยมหนึ่งขวดราคาห้าแสนหินจิตวิญญาณ นับว่าเป็นราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาดเล็กน้อย
หลิ่วหมิงได้ยินก็พลิกฝ่ามือหยิบหินจิตวิญญาณระดับสูงยื่นให้ห้าสิบก้อนโดยไม่พูดอะไรให้มากความ
หลังจากทั้งสองทำการแลกเปลี่ยนอย่างราบรื่น หญิงที่ปิดบังใบหน้าก็พยักหน้าให้หลิ่วหมิงด้วยความซาบซึ้งใจ จากนั้นก็เดินออกไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงถือขวดหยกอยู่ในมือ แต่พอรู้สึกว่ามีไอเย็นแทรกซึมออกมาจากด้านใน เขาก็คิดใคร่ครวญดูเล็กน้อย จากนั้นก็ใส่เข้าไปในแหวนย่อส่วน
“สหายเย่ ช้าก่อน!”
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังจะก้าวเท้าเดินออกไปนั้น น้ำเสียงทุ้มต่ำก็ดังขึ้นข้างหู พอเงยหน้าขึ้นมอง ก็ค้นพบว่าฝูอวิ๋นจื่อผู้นั้นกำลังเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม และหญิงสาวชุดขาวก็ตามติดอยู่ด้านหลัง
“ที่แท้ก็เป็นสหายฝูอวิ๋นจื่อ ไม่ทราบว่าเรียกข้ามีธุระอันใดหรือ?” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย และถามอย่างไม่สะทกสะท้าน
“ที่จริงก็ไม่มีอะไรมาก ก็แค่อยากจะถามอะไรสักเล็กน้อย บนตัวของสหายยังมีโอสถผลึกเย็นอยู่หรือไม่ ข้าน้อยอยากจะแลกสักหน่อย ส่วนเรื่องของราคานั้นท่านวางใจได้เลย จะต้องไม่ทำให้ผิดหวังอย่างแน่นอน” ฝูอวิ๋นจื่อมองดูหลิ่วหมิงด้วยสีหน้านอบน้อมและจริงใจ
หญิงชุดขาวที่อยู่ด้านหลังของเขา ก็จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความหวัง
“คงต้องทำให้ทั้งสองผิดหวังแล้วล่ะ บนตัวข้ามีโอสถผลึกเย็นแค่หกเม็ดเท่านั้น ท่านทั้งสองก็เห็นแล้วว่าเมื่อครู่ข้าได้แลกไปหมดแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวในเชิงขอโทษ
“บนตัวสหายไม่มีจริงๆ หรือ? ต่อให้ไม่ใช่โอสถระดับพสุธาก็ได้” หญิงสาวชุดขาวถามอย่างอดไม่ได้
“ไม่มีแล้ว โอสถทั้งหกเม็ดนั้น ข้าซื้อมาจากตลาดด้วยราคาที่สูงในหลายปีก่อน หากไม่ใช่ว่าต้องทะลวงคอขวดระดับผลึกล่ะก็ ข้าก็ไม่อยากเอาออกมาหรอก” หลิ่วหมิงส่ายหน้าถอนหายใจออกมา
“สหายเย่ได้โอสถผลึกเย็นมาจากที่ใด ไม่ทราบว่าสามารถบอกได้หรือไม่?” ฝูอวิ๋นจื่อซักถามด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
“หากท่านทั้งสองอยากได้โอสถนี้ ก็ลองไปเสี่ยงดวงดูที่เทือกเขาต้นกล้าเขียวแถวตลาดฉางหยางได้ เท่าที่ข้าทราบมา ดูเหมือนว่าหลายปีมานี้จะมีโอสถผลึกเย็นปล่อยออกมาไม่น้อย ระดับสูงก็มีไม่น้อยเช่นกัน” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ
ฝูอวิ๋นจื่อกับหญิงสาวชุดขาวได้ยินเช่นนี้ ก็มองหน้ากันครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
เพราะโอสถผลึกเย็นที่มีผลลัพธ์ระดับนี้ ทั้งยังเป็นโอสถที่ปรุงได้ยากเป็นอย่างยิ่ง ไม่เคยปรากฏออกมาจำนวนมากเช่นนี้มาก่อน
พอเห็นสีหน้าของทั้งสอง หลิ่วหมิงก็ไม่ได้พูดอะไร หลังจากประสานมือคารวะทั้งสองแล้ว ก็จากไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเดินออกจากวังหยกขาว หลิ่วหมิงก็ทำท่ามือทันที และขี่แสงหลบหลีกสีดำพุ่งขึ้นฟ้า
หลิ่วหมิงรับรู้ถึงความผิดปกติบางอย่างในสายตาของฝูอวิ๋นจื่อและหญิงชุดขาว ดูท่าหอการค้าเชียนเหมิงยังคงไม่ละทิ้งการสืบหาเบาะแสของผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่ปรากฏตัวในตลาดฉางหยางปีนั้น
วันนี้ตนเองนำโอสถผลึกเย็นระดับพสุธาออกมาหกเม็ด ประจักษ์ชัดว่าได้สร้างความสงสัยให้กับพวกเขาแล้ว
แต่ว่าเรื่องราวเหล่านี้ เขาไม่อาจกังวลกับมันได้อีกต่อไป ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการเข้าสู่ระดับผลึก มิเช่นนั้นทุกอย่างจะสูญเปล่า
ผ่านไปครึ่งค่อนวัน ภายในห้องโถงข้างวังหยกขาว ฝูอวิ๋นจื่อที่สวมชุดสีแดงกับหญิงชุดขาวกำลังยืนอยู่ตรงข้ามกัน
“อาจารย์ ท่านคิดว่าคนผู้นั้นพูดจริงหรือไม่?” หญิงสาวชุดขาวมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามอย่างอดไม่ได้
“คำพูดของคนผู้นั้นเหมือนมีอะไรแอบแฝงอยู่ คาดว่าคงไม่อยากบอกที่มาที่แท้จริงของโอสถผลึกเย็น แต่ว่าเขาพูดถึงตลาดฉางหยาง ตอนที่วังมายานภาหยกเปิดในตอนนั้น ที่นั่นมีผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถผลึกเย็นท่านหนึ่งปรากฏออกมาจริงๆ บางทีเขาอาจจะไม่ได้โกหกพวกเรา” ฝูอวิ๋นจื่อขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“หรือว่าจะเป็นคนที่เบื้องบนขอให้พวกเราให้ความสนใจผู้นั้น?” ดูเหมือนว่าหญิงสาวชุดขาวจะนึกอะไรขึ้นมาได้
“ไม่ผิด! ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เรื่องนี้จำเป็นต้องตรวจสอบให้ดีๆ สักรอบ เพราะโอสถผลึกเย็นระดับพสุธามีส่วนช่วยในการเข้าสู่ระดับผลึกของเจ้าเป็นอย่างมาก” ฝูอวิ๋นจื่อค่อยๆ กล่าวออกมา
“ขอบคุณอาจารย์ที่คิดถึงเรื่องนี้” หญิงสาวชุดขาวกล่าวด้วยความดีใจ
……
ผ่านไปไม่นาน หลิ่วหมิงที่จากนิกายไปสองปี ก็กลับถึงเทือกเขาหมื่นวิญญาณในที่สุด
แต่ว่าเขาไม่ได้กลับไปยังถ้ำที่พักก่อน แต่กลับมุ่งตรงไปยังหอความเป็นความตาย
สถานที่แห่งนี้ยังคงมีหมอกดำลอยวนจางๆ และอึมครึมเป็นอย่างมาก เทียบกับสถานที่อื่นๆ ของเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่มีผู้คนจำนวนมากแล้ว ช่างแตกต่างกันอย่างชัดเจน
ภายในหอ ผู้ดำเนินการวัยกลางคนผู้นั้นกำลังนั่งว่างอยู่หลังโต๊ะหิน ในมือกำลังพลิกอ่านคัมภีร์ที่ดูขาดๆ เล่มหนึ่ง
“ผู้ดำเนินการฟาง” พอหลิ่วหมิงก้าวเข้ามาในประตูใหญ่ ก็ทักทายจากที่ไกลๆ
การมาหอความเป็นความตายในหลายครั้งก่อน โดยเฉพาะหลังจากมาส่งมอบศีรษะของหลวงจีนกระดูกแห้งและคนอื่นๆ แล้ว หลิ่วหมิงกับผู้ดำเนินการวัยกลางคนผู้นี้ ก็ค่อยๆ คุ้นเคยกันขึ้นมา
คนผู้นี้แซ่ฟาง ชื่อหลิน แม้จะมีท่าทีเฉยเมย แต่การปฏิบัติตัวไม่เลว หลังจากจ่ายแต้มคุณูปการในครั้งนั้นแล้ว จนบัดนี้ศิษย์ทั่วไปยังไม่มีใครรู้ว่าผู้ที่สังหารหลวงจีนกระดูกแห้งคือหลิ่วหมิง
ทำให้เขาลดปัญหาไปได้มาก
“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นเจ้า ที่มาในครั้งนี้ไม่ทราบว่าสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายคนใดกัน?” พอผู้ดำเนินการฟางกวาดสายตามองดู ก็ค้นพบว่าเป็นหลิ่งหมิง ทันใดนั้น เขาก็วางคัมภีร์ไว้บนโต๊ะ และลุกขึ้นมา จากนั้นก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย ดูเหมือนว่าจะรู้สึกลุ้นเล็กน้อย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเต้นอย่างอดไม่ได้ เขาได้ยินมาคร่าวๆ ว่าผู้ดำเนินการฟางผู้นี้ จงเกลียดจงชังผู้ฝึกฝนชั่วร้ายมาก หลายปีก่อนถึงกับทิ้งสวัสดิการของศิษย์สายในมารับตำแหน่งศิษย์ดำเนินการในหอความเป็นความตายนี้ ดูท่าคงจะเป็นดังคำเล่าลือจริงๆ
เขายิ้มให้เล็กน้อยแล้วชี้มือลงบนโต๊ะหิน ทันใดนั้นศีรษะหลายใบที่เปียกโชกไปด้วยเลือดกับเนื้อเหลว ก็เรียงรายอยู่บนโต๊ะหิน
“ครั้งนี้เจ้าเก็บเกี่ยวได้เยอะมาก ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นผู้ฝึกฝนชั่วร้ายในบัญชีความเป็นความตาย ดูเหมือนว่าจะจัดอยู่ในร้อยอันดับแรกด้วย……อืม?” ผู้ดำเนินการฟางกวาดสายตาผ่านศีรษะทีละใบ พอมาถึงก้อนเนื้อเหลวเหล่านั้น ก็มีสีหน้าชะงักลง
แต่ว่าครู่ต่อมา เขาก็ยกแขนขึ้นมาโดยฉับพลัน นิ้วมือนิ้วหนึ่งจิ้มลงไปในเนื้อเหลว แหวนหยกเขียวที่ดูธรรมดาเปล่งแสงออกมา อักขระสีเขียวสิบตัวล่องลอยออกมา พริบตาเดียวก็จมหายไปในเนื้อเหลว
เหตุการณ์อันเหลือเชื่อได้บังเกิดขึ้นแล้ว!
ภายใต้การห่อหุ้มเนื้อเหลวของแสงสีแดงเข้ม ทำให้เคลื่อนไหวขยุกขยิกอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นศีรษะที่ดูราวกับมีชีวิต แม้ทั่งใบหน้าเหลือเชื่อก่อนตายยังคงสภาพเดิมไว้
“นี่……หรือว่านี่จะเป็นราชาโลหิตที่มีชื่ออันดับหนึ่งในบัญชีความเป็นความตาย!” ผู้ดำเนินการฟางเงยหน้าขึ้นมาทันที และสูดหายใจอย่างเยือกเย็นก่อนกล่าวออกมา
“ถูกต้อง” หลิ่วหมิงสบตาชายวัยกลางคนอย่างไม่สะทกสะท้าน และกล่าวอย่างไม่ลังเล
“ดี! ดีมาก! สหายช่างมีความสามารถจริงๆ คิดไม่ถึงว่าราชาโลหิตก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้า เจ้าอมนุษย์ผู้นี้อยู่ในบัญชีความเป็นความตายมาเกือบร้อยปีแล้ว แม้ว่าระดับผลึกในนิกายเราจะออกมือเอง ก็ไม่อาจสังหารได้ นับว่าครั้งนี้เจ้าได้สร้างคุณูปการให้กับนิกายเราแล้ว” ดูเหมือนว่าผู้ดำเนินการฟางจะรู้จักกับหลิ่วหมิงใหม่อีกครั้ง หลังจากสำรวจดูตัวเขาอยู่พักหนึ่งแล้ว ถึงแหงนหน้าหัวเราะออกมา จากนั้นถึงดึงนิ้วออกจากศีรษะ
“ข้าน้อยก็แค่โชคดีพบเจอเท่านั้น” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ
“ดี! เจ้านำป้ายประจำตัวมาเถอะ” ผู้ดำเนินการฟางเห็นหลิ่วหมิงไม่ยอมพูดอะไรมาก ย่อมไม่ซักถามให้มากความ จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าตื่นเต้น
ผ่านไปสักพัก ป้ายบนตัวหลิ่วหมิงก็มีแต้มคุณูปการเพิ่มขึ้นมาหนึ่งล้านห้าหมื่นแต้ม
“ต้องขอบคุณผู้ดำเนินการฟางมาก ใช่สิ! เรื่องนี้ยังคงต้องขอให้ท่านรักษาเป็นความลับต่อไป อย่าได้แพร่งพรายชื่อของข้า” ขณะที่พูด หลิ่วหมิงก็มอบแต้มคุณูปการให้ผู้ดำเนินการฟางห้าพันแต้ม
“ย่อมเป็นเช่นนั้น เพียงแค่เจ้ายอมเสียแต้มคุณูปการเล็กน้อย ทางหอเราย่อมช่วยท่านปกปิดเป็นความลับ นี่ก็เป็นหนึ่งในกฎของหอเรา” ผู้ดำเนินการฟางพยักหน้าตอบรับ
หลิ่วหมิงยิ้มให้เล็กน้อย และเตรียมจะเดินออกไปด้านนอก
“เตือนเจ้าสักประโยค ราชาโลหิตผู้นี้มีที่มาลึกลับมาก ไม่ใช่ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายทั่วไป เบื้องหลังคงมีที่มาอันยิ่งใหญ่ หากครั้งหน้าศิษย์น้องออกไปข้างนอก ต้องระมัดระวังให้มาก” ผู้ดำเนินการฟางส่งเสียงดังมาจากด้านหลัง
“ขอบคุณที่เตือน” หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน หลังจากหันกลับมากุมคารวะแล้ว ก็หมุนตัวเดินไปยังประตูใหญ่
ขณะที่เขาเดินทางไปยังทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์นั้น แม้ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงรูปหน้า แต่ยังคงถูกราชาโลหิตและคนอื่นๆ มองออกอยู่ดี ดูท่าต่อไปจะต้องหาวิชาสำหรับแปลงโฉมแล้ว
หลังออกจากหอความเป็นความตาย หลิ่วหมิงก็กลับไปยังถ้ำที่พักบนยอดเขาลั่วโยวอย่างเงียบๆ
เวลาต่อมาในอีกหลายเดือน นอกจากเขาจะไปตลาดในนิกายหนึ่งครั้งแล้ว ก็ไม่ได้ไปไหนอีก แต่กลับนั่งพักผ่อนอยู่ในถ้ำ และเตรียมการเข้าสู่ระดับผลึกครั้งสุดท้าย
หกเดือนต่อมา หลิ่วหมิงที่สวมชุดศิษย์สายในของยอดเขาลั่วโยว ก็มาปรากฏตัวท่ามกลางระหว่างยอดเขาสูงชันสองลูกที่อยู่ในเทือกเขาหมื่นวิญญาณ
หลิ่วหมิงลอยอยู่กลางอากาศเงียบๆ และแหงนหน้ามองขึ้นด้านบนท่ามกลางพายุที่โบกสะบัดเสื้อผ้าของเขา
แต่จะเห็นว่าอากาศเหนือยอดเขาทั้งสองลูก มีวังสีขาวเงินลอยอยู่หนึ่งหลัง สูงราวๆ ร้อยจั้ง วังทั้งหลังสร้างขึ้นจากหยกขาวบริสุทธิ์สวยงาม และเปล่งประกายจางๆ ดูวิจิตรงดงามเป็นอย่างยิ่ง
พอหลิ่วหมิงเพ่งตามองออกไป ก็มองเห็นอย่างชัดเจน ประตูหลักของวังมีป้ายหยกดำขนาดใหญ่แขวนอยู่ บนนั้นมีอักขระสีทองเขียนติดว่า ‘วังหลีเหอ’
ตอนที่ 636 กระจกหยินหยางแยกผสาน
โดย
Ink Stone_Fantasy
‘วังหลีเหอ’ ตรงหน้านี้ เป็นที่เก็บกระจกหยินหยางแยกผสานที่เป็นสมบัติล้ำค่าของนิกายยอดบริสุทธิ์ นับได้ว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ต้องห้ามสำคัญของนิกาย
ที่นี่ไม่เพียงแต่มีชั้นจำกัดมากมาย ด้านนอกด้านในล้วนเต็มไปด้วยชั้นจำกัด ขณะเดียวกัน ในวังหลีเหอยังมีผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ประจำการอยู่ที่นี่ตลอดปี เพื่อป้องกันศัตรูบุกรุกจากภายนอก
ข้อมูลเหล่านี้หลิ่วหมิงรู้ตั้งแต่แรกแล้ว หลังจากยืนนิ่งอยู่หน้าวังครู่หนึ่ง เขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเหาะไปหน้าประตูวัง
นอกวังหลีเหอไม่มีศิษย์คอยเฝ้าอยู่ ประตูใหญ่ปิดสนิทตลอดปี ทำให้รู้สึกถึงความเงียบเหงาและห่างไกล
หลิ่วหมิงนำป้ายศิษย์สายในออกจากเอว และโบกไปหน้าประตูใหญ่เบาๆ
มีแสงสีเงินเปล่งประกายบนประตูใหญ่ที่ปิดสนิทอยู่พักหนึ่ง แต่ก็มืดลงอย่างรวดเร็ว หลังจากมีเสียงดังแกร๊กๆ! ประตูก็ค่อยๆ เปิดออกมาจากด้านใน
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้านเล็กน้อย จากนั้นก็ก้าวเข้าไปด้านใน
ภายในห้องโถงใหญ่ยังคงว่างเปล่าและเงียบสงัด ใจกลางห้องโถงมีค่ายกลส่งตัวสีขาวอยู่หนึ่งหลัง นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีเงาร่างของคนแม้แต่คนเดียว
หลิ่วหมิงยืนตรงหน้าประตูใหญ่อยู่ครู่หนึ่ง พอเห็นว่าไม่มีคนออกมา ก็คิดจะตะโกนเรียก แต่ขณะนั้นเอง พลันมีน้ำเสียงอบอุ่นดังขึ้นข้างหู
“ไม่ต้องมองซ้ายมองขวา เข้ามาเถอะ!”
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน พอมองดูรอบด้านก็ยังไม่เห็นเงาของใครเลย จากนั้นจึงก้าวเข้าไปทันที
“เจ้าเป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยวหรือ? วิชาที่ฝึกฝนก็เป็นมังกรพยัคฆ์ทมิฬด้วย” ภาพตรงหน้าหลิ่วหมิงพร่ามัว จากนั้นผู้อาวุโสตัวเล็กๆ ก็มองเขาด้วยรอยยิ้ม
ผู้อาวุโสมีผมสีขาว ใบหน้าค่อนข้างยาว มีรอยเหี่ยวย่นเต็มตัว แต่ดวงตาทั้งคู่กลับดูสว่างไสวราวกับมองทะลุใจคนได้
“เรียนผู้อาวุโส ศิษย์หลิ่วหมิง เป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยวจริงๆ” หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผู้อาวุโสตรงหน้าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์อย่างแน่นอน ทันใดนั้น เขาก็โค้งตัวคารวะอย่างนอบน้อม
“ข้าฝูจื่อ รับผิดชอบดูแลวังหลีเหอ เจ้าเรียกข้าว่าผู้เฒ่าฝูก็ได้ การฝึกฝนของเจ้าเข้าถึงระดับของเหลวขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว คงมาที่นี่เพื่อกระจกหยินหยางแยกผสาน”
“คารวะผู้เฒ่าฝู ศิษย์อยากจะยืมใช้พลังของกระจกหยินหยางแยกผสาน เพื่อเข้าสู่ระดับผลึก” หลิ่วหมิงถอนหายใจแล้วแสดงความต้องการของตัวเองออกมา
“กฎของนิกายเรา เมื่อศิษย์สายในทั้งหมดเข้าสู่ระดับผลึก ก็สามารถยืมใช้กระจกหยินหยางแยกผสานได้ แต่ว่าแต้มคุณูปการทั้งหมดเจ้าคงเตรียมพร้อมแล้วใช่หรือไม่” ผู้อาวุโสผมขาวพยักหน้าเล็กน้อยแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา
“ศิษย์เตรียมพร้อมไว้แล้ว”
หลิ่วหมิงได้ยินก็รีบหยิบป้ายศิษย์สายในออกมา และประคองสองมือยื่นออกไป
“เจ้าหนุ่มน้อย ไม่ต้องนอบน้อมขนาดนี้ก็ได้ ข้าเป็นแค่คนที่ดูแลสมบัตินี้เท่านั้น” ผู้อาวุโสผมขาวเห็นหลิ่วหมิงมีท่าทีนอบน้อมเช่นนี้ ก็โบกมือกล่าวออกมา เขาค่อยๆ งอนิ้ว จากนั้นป้ายก็หลุดออกจากมือหลิ่วหมิง และร่วงลงบนมือของเขา
ผู้อาวุโสโบกนิ้วบนแผ่นป้าย และเก็บแต้มคุณูปการมาสองแสนห้าหมื่นแต้ม
“เอาล่ะ! สิ่งนี้คือแผ่นค่ายกลน้าวนำกระจกหยินหยางแยกผสาน เจ้าเก็บไว้ชั่วคราวก่อน” ผู้อาวุโสผมขาวคืนป้ายให้หลิ่วหมิง จากนั้นก็มอบแผ่นค่ายกลสีดำขาวให้กับเขา
หลิ่วหมิงรีบยื่นมือออกมารับ และไปยืนอยู่บนค่ายกลส่งตัวตามที่ผู้อาวุโสบอก
“เจ้าฝึกฝนพลังสายปีศาจ ถ้าอย่างนั้นก็ส่งเจ้าไปที่ถ้ำตำแหน่งที่สิบสองในแผนภูมิปฐพีก็แล้วกัน หลังจากหนึ่งวันหนึ่งคืน กระจกหยินหยางแยกผสานก็จะเปิดออกมา ส่วนจะเข้าสู่ระดับผลึกได้หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับวาสนาของเจ้าแล้ว” ผู้อาวุโสผมขาวเตือนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ขอบคุณผู้เฒ่าฝูที่ชี้แนะ” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อมอีกครั้ง
พอผู้อาวุโสผมขาวโบกมือ ค่ายกลส่งตัวก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่าภาพตรงหน้าพร่ามัว ครู่ต่อมาก็มาปรากฏตัวในห้องหินที่มีปราณหยินหนาแน่นเป็นอย่างมาก ในนั้นมีไอหมอกสีเทาปกคลุมไปทั้งแถบ ซึ่งให้ความรู้สึกคล้ายกับถ้ำจันทรา
ก่อนหน้านั้นหลิ่วหมิงรู้จากคัมภีร์มาว่า ภายในวังหลีเหอวางพื้นที่ฝึกฝนไว้จำนวนมาก และตั้งชื่อตามแผนภูมิสวรรค์
ถ้ำตำแหน่งที่สิบสองที่เขาอยู่นี้เป็นถ้ำปราณหยิน นอกจากนี้ยังมีถ้ำปราณไม้ ถ้ำปราณอัคคี และถ้ำอื่นๆ ที่คล้ายกับถ้ำห้าธาตุ
ทั้งหมดนี้มีไว้สำหรับศิษย์สายในเพื่อจัดหาสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการฝึกฝน ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราความสำเร็จอีกเล็กน้อย
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูสภาพภายในห้องรอบด้าน
จะเห็นว่าผนังทั้งสี่ด้านมีแสงระยิบระยับ ดูเหมือนจะปกคลุมไปด้วยชั้นจำกัดกั้นคลื่นพลังจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง
และใจกลางห้องหินก็มีแท่นหินขนาดเท่าโต๊ะวางอยู่ บนแท่นหินมีอักขระที่ดูคล้ายกับค่ายกลสลักอยู่เต็มไปหมด ใจกลางก็มีรอยเว้ากลมๆ ขนาดเล็ก นอกจากนี้แล้วภายในห้องก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
หลิ่วหมิงมองลงบนแท่นหินอีกครั้ง แต่ว่ารอยเว้าบนนั้นสอดคล้องกับแผ่นคล้ายกลน้าวนำในมือเขามาก หลังจากคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็เข้าใจความสัมพันธ์ของมันทันที ทันใดนั้น เขาก็หายวับไปอยู่บนแท่นหิน และวางแผ่นค่ายกลน้าวนำลงไปบนรอยเว้าเบาๆ จากนั้นถึงนั่งขัดสมาธิลงไป
เขานั่งทำสมาธิเล็กน้อย พอโบกมือข้างหนึ่ง ขวดเล็กสามขวดก็ร่วงลงตรงหน้าเบาๆ
ขวดเล็กสีเขียวหยกใบแรกบรรจุของเหลวสีแดงเข้มครึ่งขวด ซึ่งเป็นโลหิตของกวางจิตวิญญาณเก้าสี ของสิ่งนี้เพียงแค่รับประทานโดยตรงก็พอแล้ว
ขวดใบที่สองเป็นโอสถสีแดงฉานหนึ่งเม็ด มันคือโอสถแฝงตะวันที่มีหลินจือแฝงตะวันเป็นวัตถุดิบหลักนั่นเอง
ส่วนขวดใบสุดท้าย เป็นโอสถผลึกเย็นระดับพสุธาหนึ่งเม็ดที่มีลายโอสถหกเส้น ซึ่งหลิ่วหมิงเก็บไว้ให้ตนเองโดยเฉพาะ
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ หลิ่วหมิงก็ปรับลมหายใจ และค่อยๆ เข้าสู่ความว่างเปล่า
เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้น มีเสียงดังโครมครามมาจากเพดาน ปราณหยินสีเทาสลัวๆ ที่ปกคลุมอยู่บนเพดาน หมุนวนเหนือแท่นหินราวกับคลื่นน้ำวน
หลิ่วหมิงลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาทันที และหยิบขวดใบที่สามมาบีบอย่างไม่ลังเลจนมันแตกละเอียด และกลืนโอสถผลึกเย็นลงไป
พริบตานั้น ไอดำพวยพุ่งออกจากร่างของเขา ไม่นานก็ควบแน่นเป็นรังไหมหมอกดำที่มีลักษณะราวกับของจริง และหมุนวนอยู่รอบตัวเขา
ภายในรังไหมหมอกขนาดใหญ่ มีเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังก้องขอบฟ้าอยู่พักหนึ่ง มองเห็นมังกรดำกับพยัคฆ์ดำอย่างละสามตัวลางๆ มันโบกสะบัดเคลื่อนไหวไปมาท่ามกลางหมอกดำอยู่ไม่หยุด
โอสถผลึกเย็นระดับพสุธาที่มีลายโอสถหกเส้นนี้ มีพลังเหนือกว่าการคาดการณ์ของหลิ่วหมิงมาก
ขณะเดียวกัน ภายในห้องลับพิเศษบนชั้นบนสุดของวังหลีเหอ มีหมอกขาวพวยพุ่งปกคลุมอยู่ พอมองอย่างละเอียดก็ค้นพบว่ามันไม่ใช่ไอหมอกธรรมดาที่ก่อตัวขึ้นมาจากพลังจิตวิญญาณฟ้าดิน แต่กลายร่างมาจากเม็ดผลึกเล็กๆ แต่ละเม็ด
หมอกขาวเหล่านี้ล้วนมาจากกระจกสีขาวดำที่ลอยอยู่กลางอากาศ
และฝูจื่อกำลังหลับตายืนนิ่งอยู่ตรงหน้ากระจกอย่างเงียบๆ แรงกดดันจิตวิญญาณแผ่ออกจากร่างของเขา และเกิดเป็นร่องรอยของระลอกน้ำกลางอากาศ
ขณะที่หมอกขาวกลางอากาศหนาแน่นมากขึ้น ฝูจื่อก็ยื่นมือขวาออกมาด้วยสีหน้าระมัดระวัง นิ้วทั้งห้าเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่ากำลังทำท่ามือบางอย่างอยู่
ผ่านไปสักพัก เขาก็หยุดทำท่ามือลง พอโบกมือข้างหนึ่ง แสงสีขาวก็ตกลงบนกระจกโบราณ ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา
พริบตานั้น แสงแวววาวก็เปล่งประกายบนกระจกโบราณ และกระพริบออกจากหมอกขาวก่อนพุ่งออกไปไกลๆ
……
ภายในห้องหิน หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกแน่นตัว แผ่นค่ายกลน้าวนำบนโต๊ะหินก็เปล่งแสงสีดำขาวออกมา
ครู่ต่อมา ลำแสงขนาดใหญ่ลำหนึ่งพุ่งออกจากไอหมอกกลางอากาศที่พวยพุ่งอยู่บนเพดาน บริเวณที่มันเคลื่อนตัวผ่าน ทำให้ปราณหยินบริเวณนั้นกลายเป็นสีเทากับสีขาว และปกคลุมร่างหลิ่วหมิงไว้
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเจ็บปวดอยู่พักหนึ่ง พลังกดดันมหาศาลเกิดขึ้นทั่วร่างของเขา
เขารู้สึกแต่ว่าร่างกายหนักอึ้งอย่างหาที่เปรียบมิได้ จะขยับแขนก็ลำบากเป็นอย่างยิ่ง ราวกับว่าอยู่ในแรงดันน้ำที่ไร้ขอบเขต
ดีที่ว่ากายเนื้อของเขาแข็งแกร่งอย่างถึงขีดสุด เวลาแค่ครู่เดียวก็ปรับสภาพร่างกายให้คุ้นชินกับแรงกดดันนี้ได้แล้ว
ทันใดนั้น พลังร้อนเย็นสองสายก็พุ่งเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิง เขารู้สึกแค่ว่าร่างกายครึ่งหนึ่งร้อนรุ่มผิดปกติ ส่วนอีกครึ่งก็เยือกเย็นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้
และไอดำพวยพุ่งบนร่างของเขาที่ถูกลำแสงสาดส่องเข้ามา ก็ดูราวกับหิมะที่ค่อยๆ ละลายท่ามกลางแสงแดด เงาร่างมังกรและพยัคฆ์อย่างละสามตัวคำรามออกมาสองครั้ง จากนั้นก็สลายตัวกลายเป็นกระแสอากาศสีดำกับสีขาวอย่างรวดเร็ว และหมุนวนรอบตัวหลิ่วหมิง
ความรู้สึกนี้มหัศจรรย์ยิ่งนัก วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่คุ้นเคย กลายเป็นพลังที่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายได้สองสาย ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกหน้ามาก
แต่ว่าไม่นานเขาก็ทำจิตให้สงบได้โดยเร็ว พลังเวทดำขาวสองสายนี้เดิมทีก็เป็นพลังเวทภายในร่าง จึงควบคุมได้อย่างรวดเร็ว
“นี่คือผลลัพธ์ของกระหยกหยินหยางแยกผสาน……” หลิ่วหมิงพูดพึมพำกับตัวเอง
แม้เขาจะเคยอ่านเจอในคัมภีร์ว่า กระจกหยินหยางแยกผสานสามารถแยกพลังหยินหยางที่ผสมกันได้ จึงเพิ่มอัตราการทะลวงระดับผลึกได้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่ามันจะมีปรากฏการณ์เช่นนี้
หลิ่วหมิงชี้นิ้วไปกลางอากาศอย่างไม่ลังเล พอเขาอ้าปาก โลหิตบริสุทธิ์ของกวางจิตวิญญาณเก้าสีในขวดหยก ก็พุ่งเข้าไปในปากทันที
พอโลหิตบริสุทธิ์เข้าไปในท้อง ความรู้สึกร้อนผะผ่าวก็พวยพุ่งขึ้นมาทและละลายเข้าไปในกระดูกทั่วร่าง พลังเวทตามชีพจรทั่วร่างหมุนวนเร็วขึ้นสามส่วน
“ฟู่ๆ!”
ไอดำขาวที่หมุนวนรอบตัวหลิ่วหมิงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ไม่นานก็เพิ่มขึ้นสองเท่ากว่า จนเกือบจะปกคลุมร่างกายของเขา
ขณะเดียวกัน ใบหน้าหลิ่วหมิงประเดี๋ยวก็กลายเป็นสีแดง ประเดี๋ยวก็กลายเป็นสีขาว พลังเวทบริสุทธิ์ในร่างถูกกระจกหยินหยางแยกผสานส่งผลสะท้อนจนแยกแยะเย็นร้อนอย่างชัดเจน
เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ มือทั้งสองเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ พลังที่ปล่อยออกมาเป็นลูกโซ่ จมเข้าไปในทะเลจิตวิญญาณ
พลังของเหลวในทะเลจิตวิญญาณสั่นสะเทือนอย่างสม่ำเสมอ จากนั้นก็ค่อยๆ หมุนวนสับเปลี่ยนกัน และแข็งขึ้นเล็กน้อย
พอหลิ่วหมิงรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงในทะเลจิตวิญญาณ ก็รู้สึกดีใจมาก กระจกหยินหยางแยกผสานนี้ สามารถแยกแยะพลังของหยินหยางได้ หยางเพื่อการกำเนิด หยินเพื่อการสลาย หมุนวนสับเปลี่ยนไปมา ทำให้พลังเวทของตนเองในขณะนี้ บริสุทธิ์ขึ้นมาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าอัตราความสำเร็จในการเข้าสู่ระดับผลึก ก็ได้รับการยกระดับไม่น้อย
ตอนที่ 637 เข้าสู่ระดับผลึก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ท่ามกลางหมอกขาวที่รายล้อมอยู่ในห้องลับชั้นบนสุดของวังหลีเหอ
ผู้อาวุโสฝูจื่อกำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่ และกระจกหยินหยางแยกผสานยังคงลอยอยู่ตรงหน้า มีแสงเปล่งประกายแวววาวในกระจกอยู่ไม่หยุด แสงแวววาวลำหนึ่งยังคงพุ่งออกจากกระจกอย่างไม่ขาดสาย และขยายไปสู่ความว่างเปล่าอันไกลโพ้น
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสฝูจื่อก็ยกแขนเสื้อไปด้านหน้า ภายใต้การม้วนตัวของแสงสีขาวลำหนึ่ง กระจกวารีกลมๆ ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
กระจกวารีเปล่งแสงแวววาวใสแจ๋ว ตรงขอบของมันแผ่ไอใสๆ ที่ดูคล้ายกับเส้นผมออกมา
คลื่นแสงไหลวนบนตัวกระจก มีภาพเหตุการณ์ปรากฏในกระจกวารีอย่างชัดเจน ซึ่งก็คือภาพของหลิ่วหมิงในห้องหินนั่นเอง
ขณะนี้ กระแสไอดำขาวบนตัวเขาได้หมุนวนรอบตัวราวกับเป็นมังกรสองตัว
“ที่แท้ก็เป็นเด็กที่น่าสนใจคนหนึ่ง พลังเวทบริสุทธิ์ถึงขั้นนี้แล้ว ภายใต้การคุ้มครองของกระจกหยินหยางแยกผสาน สามารถแบ่งแยกหยินหยางได้อย่างง่ายดาย…..” ผู้อาวุโสฝูจื่อพูดพึมพำด้วยความสนใจ
“แต่ว่านี่เป็นแค่ก้าวแรกในการช่วยเจ้าเข้าสู่ระดับผลึกเท่านั้น ด้านยากที่แท้จริงยังรออยู่ในตอนท้าย” ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสผู้นี้จะสนใจหลิ่วหมิงเล็กน้อย หลังจากพูดพึมพำเสร็จก็สะบัดแขนเสื้อทันที จากนั้นกระจกวารีก็แตกสลายไปอีกครั้ง
ขณะที่เวลาค่อยๆ ผ่านไป พลันมีเสียงดังขึ้นภายในห้องที่หลิ่วหมิงอยู่
ขวดหยกใบสุดท้ายตรงหน้าหลิ่วหมิงส่งเสียงแตกกระจายออกมา ขณะที่เขาทำท่ามือ โอสถแฝงตะวันที่มีเปลวเพลิงสีแดงห่อหุ้มก็ลอยเข้าปากของเขา
ทันใดนั้น เขารู้สึกแค่ว่าทะเลจิตวิญญาณกระเพื่อมราวกับมีหินขนาดใหญ่โยนเข้าไปหนึ่งก้อน พลังในรูปแบบของเหลวที่ดูคล้ายกับคลื่นน้ำวนพวยพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรง
หลิ่วหมิงมีสีหน้าซีดขาวผิดปกติ ราวกับว่าจุดตันเถียนตรงท้องน้อยถูกมีดเล็กๆ ทิ่มแทงไม่หยุด และไอสีดำขาวที่หมุนวนรอบตัว ก็กลายเป็นหมอกกลมๆ ขนาดจั้งกว่าๆ และปกคลุมร่างของเขาไว้
พลังต้นกำเนิดภายในทะเลจิตวิญญาณของหลิ่วหมิงในขณะนี้ได้กลายสภาพเป็นยางเหนียวๆ แล้ว ขณะเดียวกันก็แผ่คลื่นพลังเวทอันแข็งแกร่งออกมาเป็นระยะๆ และปราณพลังฟ้าดินบริเวณวังหลีเหอ ก็ราวกับได้รับผลกระทบไปด้วย มันค่อยๆ รวมตัวกันจนกลายเป็นเมฆน้ำวนสีเทา
“ยังขาดอีกนิด!”
หลิ่วหมิงย่อมรู้สถานการณ์ภายในร่างดีกว่าฝูจื่อ พลังที่มีสถานะเป็นยางเหนียวๆ อยู่ห่างจากการกลายสภาพเป็นผลึกแค่ขั้นเดียวเท่านั้น
เขากัดฟันพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา ขวดเล็กสีขาวปรากฏบนมือหนึ่งใบ และถูกเขาบีบจนแตกกระจาย
โอสถสีดำเม็ดหนึ่งถูกโยนเข้าไปในปาก มันคือโอสถแสงดำที่หลิ่วหมิงได้รับในงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกนั่นเอง
ครู่ต่อมา นิ้วทั้งสิบของเขาก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ไอดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากระหว่างคิ้ว และกลายเป็นโล่กระดูกที่มีแสงสีดำเปล่งประกาย มันคือโล่เก้ากะโหลกนั่นเอง
หลิ่วหมิงปล่อยพลังเวทใส่พลังเวทใส่โล่เก้ากะโหลกติดต่อกัน
“เปิด!”
พอเขาตะโกนออกมาแล้ว ก็คว้ามือไปทางอากาศอย่างรวดเร็ว
แสงสีดำสลัวๆ พุ่งออกจากโล่เก้ากะโหลก และกระพริบหายเข้าไปในร่างของเขา
เหยียนเจวี๋ยที่หลอมโล่เก้ากะโหลกในตอนแรก ก็คิดที่จะยกระดับมันจนถึงต้นแบบอาวุธเวท จากนั้นก็อาศัยพลังของมันในการช่วยทะลวงระดับผลึก ตอนนี้กลับถูกหลิ่วหมิงนำมาใช้
“โครมคราม!”
หมอกกลมๆ ที่ปกคลุมบนตัวหลิ่วหมิง ส่งเสียงระเบิดดังราวกับฟ้าร้องอยู่พักหนึ่ง จากนั้นระลอกคลื่นจำนวนมากก็ปรากฏบนพื้นผิวหมอกกลมๆ และค่อยๆ เข้าไปในร่างของเขา
ภายในทะเลจิตวิญญาณ พลังเวทที่มีสถานะเป็นยางเหนียวๆ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง และเริ่มไปรวมตัวกันตรงกลาง
พลันมีคลื่นสั่นสะเทือนเหนือวังหลีเหอ หมอกสีเทาสลัวๆ กลายเป็นน้ำวน และดูดปราณจิตวิญญาณในระยะหลายลี้เข้ามา และมันก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
แต่ขณะนั้นเอง กลุ่มเมฆสีเทาที่ขยายใหญ่สิบกว่าจั้งก็สั่นสะเทือนอย่างรุนแรง และส่งเสียงดังโครมคราม พริบตาเดียวก็แตกกระจายออกมา
ครูต่อมา ลำแสงสีดำขนาดใหญ่ก็พุ่งขึ้นเหนือวังหลีเหอ มีอสรพิษสีเงินเคลื่อนไหวอยู่ในนั้น และเสียงฟ้าร้องจนหูแทบจะหนวกก็ได้แผ่กระจายออกไปทุกทิศ
ท่ามกลางแสงสีดำสามารถมองเห็นจุดแสงสีขาวที่มีสภาพคล้ายมุกใสๆ เก้าเม็ด มันหมุนตัวติ้วๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่ง หลังจากแสงสีดำดับลง มันก็จมหายเข้าไปในวังหลีเหออย่างไร้ร่องรอย
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะทะลวงระดับผลึกสำเร็จ แต่ว่าเกาะผลึกพลังเวทได้เพียงเก้าเม็ดเท่านั้น หรือว่าจะมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ ช่างเป็นสิ่งที่พบเจอได้น้อยยิ่งนัก แต่น่าเสียดายที่ไม่มีศักยภาพมากนัก” ราวกับว่าฝูจื่อสามารถมองทะลุหลังคาไปเห็นปรากฏการณ์ท่ามกลางลำแสงสีดำเหนือหลังคาวังหลีเหอได้ ตอนแรกก็พยักหน้ากล่าวออกมา จากนั้นก็นั่งสมาธิหลับตาพักผ่อน
ภายในบ้านหิน หลิ่วหมิงไม่แสดงสีหน้าเศร้าโศกเสียใจหรือดีใจเลยแม้แต่น้อย ขณะที่ผลึกทั้งเก้าหมุนวนอยู่ในทะเลจิตวิญญาณอย่างช้าๆ มือทั้งสองของเขายังคงปล่อยเวทออกมาไม่หยุด ขณะที่คลื่นพลังในทะเลจิตวิญญาณค่อยๆ สงบลงนั้น ลำแสงสีม่วงอันอันแข็งแกร่งพุ่งยิงออกจากร่างทันที
“อูย…”
หลิ่งหมิงเผยสีหน้าเจ็บปวดออกมา ร่างกายแข็งขึ้นมาทันที ขณะเดียวกันความเจ็บปวดอย่างรุนแรงก็เกิดขึ้นเป็นระยะๆ และลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงจางๆ ก็ปรากฏบนพื้นผิวอย่างหนาแน่น ซึ่งดูคล้ายกับตอนที่เขากลายร่างเป็นปีศาจเล็กน้อย
และแสงสีม่วงภายในร่างของเขาก็เปล่งประกายอยู่พักหนึ่ง ขณะที่เกิดความรู้สึกเจ็บปวดในแต่ละครั้ง จะมีผลึกสีม่วงขนาดเท่าหัวแม่มือปรากฏออกมาหนึ่งเม็ด
ความรู้สึกเจ็บปวดเกิดขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเกิดขึ้นมากถึงหนึ่งร้อยสี่สิบสี่ครั้ง จากนั้นถึงหยุดชะงักลง!
ขณะนี้ ท่ามกลางแสงสีม่วงที่พุ่งออกมาบนพื้นผิว มีผลึกหนึ่งร้อยสี่สิบสี่เม็ดที่เหมือนกับผลึกเก้าเม็ดเมื่อครู่ไม่มีผิด เพียงแต่ว่าสีของมันเป็นสีม่วงเท่านั้น
“เพล้ง!” “เพล้ง!” เกิดเสียงดังขึ้นเบาๆ เกือบจะพร้อมกัน
หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองใดๆ ผลึกเหล่านี้ก็กลายเป็นไอปีศาจสีดำ และระเบิดออกมา
และหลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกว่าร่างกายสั่นสะท้าน เสื้อผ้าบนตัวโบกสะบัดไปมา ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณสองถุงที่ห้อยอยู่บนเอว ถูกพัดไปไกลหลายจั้งก่อนตกลงพื้น มีไอดำพุ่งออกจากถุง ไม่นานแมงป่องกระดูกกับหัวบินก็พุ่งออกจากไอดำ ความรู้สึกแข็งทื่อจางหายไปในทันที บนตัวเขากลับมีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงที่มีเฉพาะในตอนกลายร่างเป็นปีศาจปรากฏออกมาอย่างหนาแน่น
“นี่…” หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่เขากลับรับรู้ถึงพลังมหาศาลที่พุ่งออกจากร่างได้อย่างชัดเจน ซึ่งพลังเวทมีมากกว่าก่อนหน้านั้นหลายเท่า
เขาเปลี่ยนความคิดในทันที พอดีดนิ้วออกไป ก็พลันมีเสียงดังขึ้นมา และเงาสีม่วงก็พุ่งออกมาปะทะกับผนังห้องหินในห้อง
“ฟิ้ว!” เกิดเสียงดังแจ่มชัด ผนังที่ถูกชั้นจำกัดป้องกันเสริมให้แข็งแรงได้ปรากฏรูขนาดเท่านิ้วมือหนึ่งรู
หลิ่วหมิงมองดูฝ่ามือด้วยความตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อครู่เขาใช้พลังไม่ถึงสามส่วน ก็สามารถโจมตีชั้นจำกัดในห้องหินได้ อย่างที่รู้ว่าชั้นจำกัดในนี้ ถูกวางเพื่อป้องกันผู้ที่กำลังเข้าสู่ระดับผลึก ซึ่งไม่สามารถควบคุมพลังภายในร่างได้
ผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั่วไปใช้พลังทั้งหมดโจมตี ก็ไม่สามารถสั่นสะเทือนชั้นจำกัดในนี้ได้เลยแม้แต่น้อย
“นายท่าน…” หลังจากหลิ่วหมิงปล่อยพลังอันแข็งแกร่งออกมา หัวบินกับแมงป่องกระดูกที่หลบอยู่ไกลๆ ก็ตัวสั่นสะท้านอย่างอดไม่ได้
“ทำไมพวกเจ้าถึงออกมาล่ะ? อ๋อ…มานี่เถอะ!” หลิ่วหมิงมองดูเอวที่ว่างเปล่าก่อนแล้วค่อยมองไปยังถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณตรงมุมห้อง จากนั้นถึงเข้าใจขึ้นมาทันที
ขณะที่พูดเขาก็ยกมือปล่อยแสงสีดำม้วนตัวอสูรเลี้ยงทั้งสองเข้ามา พอเก็บพลังเวทเข้าไป แสงสีม่วงก็เปล่งประกายบนตัว จากนั้นลวดลายสีม่วงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
และทะเลจิตวิญญาณภายในร่างของหลิ่วหมิงก็มีแสงสีม่วงเปล่งประกาย ผลึกสีม่วงหนึ่งร้อยสี่สิบสี่เม็ดปรากฏออกมา และค่อยๆ หมุนวนไปพร้อมกับผลึกสีเงินทั้งเก้า
“ยินดีด้วยที่นายท่านบรรลุระดับผลึกแล้ว!”
พอเห็นหลิ่วหมิงฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ แมงป่องกระดูกกับหัวบินก็คึกคักขึ้นมา มันคลอเคลียหลิ่วหมิง และลูบไล้ชายเสื้ออยู่ไม่หยุด
จิตของพวกมันเชื่อมต่อกับหลิ่วหมิง ย่อมรับรู้ถึงอาการดีใจของเขา
หลิ่วหมิงยิ้มมุมปากเล็กน้อย ความสุขที่ได้เลื่อนขั้นเป็นระดับผลึก เพิ่งเข้ามาในใจทีละนิด ส่วนผลึกสีม่วงลึกลับหนึ่งร้อยสี่สิบสี่เม็ดนั้น คงได้แต่รอหาโอกาสให้หลัวโหวอธิบายแล้ว
เขาพูดปลอบใจอสูรเลี้ยงทั้งสองไปสองสามประโยค จากนั้นก็เก็บพวกมันเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ
ขณะเดียวกัน แสงของกระจกหยินหยางแยกผสานเหนือศีรษะก็มืดลง และถูกเก็บกลับไปอย่างรวดเร็ว
หลิ่วหมิงมองดูเพดานทีหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด จากนั้นก็หลับตาลงอีกครั้ง
เพราะเพิ่งเข้าสู่ระดับผลึก พลังเวทในร่างเขายังไม่มั่นคงโดนสมบูรณ์ จำต้องกักตัวปรับสมดุลระยะเวลาหนึ่ง
……
ห้องข้างห้องโถงในยอดเขาเมฆาหยก ชายหน้าขาวที่อายุราวๆ สามสิบกว่าปี กำลังมองดูแผ่นหยกส่งสารในมือด้วยสีหน้าตกใจ เขาก็คือผู้ควบคุมยอดเขาที่แซ่หลูผู้นั้น
“หลิ่วหมิงทะลวงเขตแดนระดับผลึกได้แล้วจริงๆ หรือ? ดูท่าวันนั้นข้าคงดูถูกเจ้าเด็กนี่ไปหน่อย” ผ่านไปซักพัก ผู้ควบคุมหลูผู้นี้ถึงค่อยๆ กล่าวออกมา
“ศิษย์พี่หลู วันนั้นท่านกับข้าต่างก็วินิจฉัยว่าเจ้าเด็กหลิ่วหมิงมีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ ไม่สามารถเข้าสู่ระดับผลึกได้อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้จึงพวกเราจึงพลาดโอกาสหลายครั้งในการรับเขาเข้ายอดเขา การประลองใหญ่ของศิษย์สายนอก และการบุกทะลุเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกได้ในคราเดียวของเขานั้น ท่านกับข้าก็รู้ดี ช่างน่าเสียดายจริงๆ” เฮ่าเยวี่ยที่มีรูปร่างเล็กเหมือนเด็กน้อยกล่าวออกมา และส่ายหน้าด้วยความเสียดาย
“ผู้ที่อาศัยสามชีพจรจิตวิญญาณทะลวงคอขวดระดับผลึกได้ภายในทีเดียวนี้ มีปรากฏน้อยมากในประวัติศาสตร์ของนิกายยอดบริสุทธิ์เรา หรือว่าเจ้าเด็กนี่จะมีคุณสมบัติที่ไม่ชัดแจ้ง ซึ่งข้ากับเจ้าไม่อาจค้นพบได้” ผู้ควบคุมแซ่หลูคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา
“สำหรับจุดนี้ ข้าเองก็เคยคาดเดาอยู่ แต่ได้ยินมาว่าหลังจากงานประลองใหญ่ คนของยอดเขาอื่นๆ ก็เคยไปตรวจสอบดูแล้ว พบว่าเขามีสามชีพจรจิตวิญญาณอย่างแน่นอน คงไม่มีร่างจิตวิญญาณแฝงอะไร บางทีเขาอาจจะบังเอิญโชคดีก็ได้” เฮ่าเยวี่ยส่ายหน้ากล่าวอีกครั้ง
“อืม! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ แม้ว่าหลิ่วหมิงจะบังเอิญโชคดีสักกี่หมื่นครั้ง ก็คงก้าวสู่ขั้นต่อไปได้ยากแล้ว เจ้ากับข้าก็ไม่ต้องเสียดายไป” ผู้ควบคุมแซ่หลูถอนหายใจเบาๆ แล้วเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
เฮ่าเยวี่ยได้ยินก็พยักหน้าเล็กน้อยโดยไม่พูดอะไรออกมา แต่กลับมีสีหน้าครุ่นคิด
ตอนที่ 638 ศิษย์สายตรง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ภายในห้องข้างห้องโถงบางแห่งในยอดเขากระบี่สวรรค์ หลงเหยียนเฟยกำลังจ้องมองผนังที่มีแสงสีขาวสลัวๆ ด้วยสีหน้าครุ่นคิด
ขณะนี้ ชายชุดคลุมผ้าแพรสีขาวผู้หนึ่งก็ผลักประตูเข้ามา และก้าวมาด้านหลังของหลงเหยียนเฟยอย่างรวดเร็ว เขาก็คือซาทงเทียนนั่นเอง
“ศิษย์พี่หลง ได้ยินมาว่าหลิ่วหมิงทะลวงคอขวดระดับผลึกได้แล้วจริงหรือ?” ซาทงเทียนถามออกมาเช่นนี้ น้ำเสียงของเขามีความตื่นเต้นแฝงอยู่เล็กน้อย
“อืม! ข้าก็เพิ่งได้ยินเรื่องนี้ แม้จะบอกว่าคุณสมบัติร่างสามชีพจรจิตวิญญาณจะมีโอกาสทะลวงเขตแดนระดับผลึกน้อยมาก แต่ข้าได้ยินมาว่าเขาใช้แต้มคุณูปการจำนวนมาก เพื่อยืมใช้กระจกหยินหยางแยกผสาน เช่นนี้แล้วการทะลวงคอขวดระดับผลึกก็มีโอกาสเป็นได้เล็กน้อย ทำไมล่ะ! ดูเหมือนว่าศิษย์น้องซาจะรู้สึกดีใจเล็กน้อย?” หลงเหยียนเฟยหันมามองซาทงเทียนทีหนึ่ง และกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ดี! ดีมาก! เดิมทีข้าคิดว่าชาตินี้จะไม่มีโอกาสต่อสู้กับเขาแล้ว!” ซาทงเทียนแหงนหน้าหัวเราะออกมาทันที จากนั้นก็โยนแผ่นค่ายกลส่งเสียงลงบนตั่งน้ำชาตรงหน้าหลงเหยียนเฟย และหมุนตัวเดินจากไปทันที
หลังจากเขาเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว เดิมทีคิดว่าการฝึกฝนของหลิ่วหมิงจะหยุดอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลายตลอดชีวิต แม้ว่าวิชาขี่กระบี่ของเขาจะร้ายกาจแค่ไหน แต่ต้องมีสักวันที่ตนเองจะเหนือกว่า ด้วยเหตุนี้จึงรู้สึกเสียใจดายมาโดยตลอด
หลงเหยียนเฟยมองดูทิศทางที่ซาทงเทียนจากไปด้วยสีหน้าซับซ้อน ไม่รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
……
ภายในห้องลับแห่งหนึ่งในหุบเขาเลื่อนลอย ในมือของเจียหลานก็คีบแผ่นหยกส่งสารสีฟ้าจางๆ อยู่เช่นกัน มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของนาง
ดวงตาของนางเป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หลับตาทั้งคู่ลง เพื่อสงบจิตสงบใจเข้าสู่สมาธิ
ไม่รู้ว่าใครปล่อยข่าวเรื่องที่หลิ่วหมิงอาศัยร่างสามชีพจรจิตวิญญาณทะลวงระดับผลึกสำเร็จออกไป พริบตาเดียวก็เกิดความฮือฮาขึ้นมา ราวกับว่าเวลาแค่ไม่กี่วันข่าวนี้ก็แพร่สะบัดไปครึ่งค่อนเทือกเขาหมื่นวิญญาณแล้ว
ศิษย์ธรรมดาที่มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกทั้งตกใจและดีใจในคราเดียวกัน
และข่าวเกี่ยวกับหลิ่วหมิงจำนวนหนึ่งในก่อนหน้านั้น เช่นการได้ที่หนึ่งในงานประลองใหญ่ของศิษย์สายนอกแต่กลับไม่มีผู้ควบคุมยอดเขาท่านใดรับเป็นศิษย์ จึงอาศัยการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายฝ่าด่านเจดีย์ชั้นที่สามสิบหก หลังจากผ่านไปหลายปี ข่าวที่เงียบหายไปนานเหล่านี้ ก็กลับมาเป็นหนึ่งในหัวข้อสนทนาหลังอาหารของบรรดาศิษย์ต่างๆ
ขณะเดียวกัน บนเขาลูกหนึ่งที่อยู่บริเวณยอดเขาลั่วโยว ภายในถ้ำลึกลับที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ มีปราณหยินหนาแน่นปกคลุมอยู่
“อาจารย์ ในยอดเขามีคนทะลวงเขตแดนระดับผลึกอีกแล้ว” ชายหนุ่มชุดคลุมสีดำกล่าวรายงานอยู่นอกห้องลับด้วยท่าทีนอบน้อม
“เฟิงเอ๋อร์ ไม่ใช่บอกเจ้าแล้วหรือว่าอาจารย์กำลังกักตัวอยู่ หากไม่มีเรื่องสำคัญอะไรก็ไม่ต้องมารบกวนข้า” มีเสียงทุ้มต่ำของผู้อาวุโสท่านหนึ่งดังมาจากด้านใน
“ทราบ! ศิษย์ผิดไปแล้วที่รบกวนการฝึกฝนของอาจารย์” ชายหนุ่มชุดคลุมสีดำหมุนตัวเดินจากไป
“เดี๋ยวก่อน ครั้งนี้คือศิษย์ผู้ใดที่เข้าสู่ระดับผลึก? อาจารย์เพิ่งกักตัวได้สองปีเท่านั้น ศิษย์ระดับของเหลวของยอดเขาลั่วโยวก็มีแค่สิบกว่าคน และไม่ค้นพบว่าใครจะมีพลังแฝงพอที่จะทะลวงระดับผลึกภายในระยะเวลาสั้นๆ เช่นนี้ได้” น้ำเสียงทุ้มต่ำในห้องลับดังขึ้นอีกครั้ง
“เรียนอาจารย์ คือหลิ่วหมิง ศิษย์น้องหลิ่วผู้นั้น” ชายหนุ่มชุดดำได้ยินก็หมุนตัวกลับมาตอบอย่างรวดเร็ว
“อะไรนะ?”
กลิ่นไออันแข็งแกร่งแผ่ออกจากห้องลับในทันที ปราณหยินพุ่งออกจากรอยแยกของประตูใหญ่
“เพล้ง!” แสงสีดำเปล่งประกายบนประตูสีเทา พริบตาเดียวมันก็เปิดออกมา ชายวัยกลางคนที่มีปราณหยินรายล้อมม้วนตัวออกมา คนผู้นี้ก็คือผู้อาวุโสแซ่อวี๋ที่มีผมสีขาวเล็กน้อย ซึ่งหลิ่วหมิงเคยพบตอนที่เข้ามาในยอดเขาลั่วโยววันนั้น
“คือศิษย์สายนอกที่อาศัยการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายฝ่าด่านเจดีย์ชั้นที่สามสิบหก และกราบตัวเป็นศิษย์ยอดเขาเราในวันนั้นหรือ?” พอชายวัยกลางคนเก็บปราณหยินรอบตัว ก็เผยให้เห็นใบหน้าที่ค่อนข้างงดงาม ซึ่งไม่สอดคล้องกับน้ำเสียงของเขาเลยแม้แต่น้อย จากนั้นก็ถามด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“คือคนผู้นี้” ชายหนุ่มชุดคลุมสีดำถูกแรงกดดันมหาศาลจนร่นถอยไปก้าวหนึ่งถึงทรงตัวไว้ได้อย่างยากลำบาก
“ตามที่ข้าทราบมา หลังจากเจ้าเด็กนี่มอบตัวเป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยวแล้ว ยังไม่ถูกผู้อาวุโสท่านใดรับเป็นศิษย์เลย วันนั้นข้าก็เป็นกังวลกับทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด จึงไม่ได้รับเขาเป็นศิษย์ แต่ในเมื่อตอนนี้เขาเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว สถานการณ์ย่อมแตกต่างกัน เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้เจ้าเด็กนี่อยู่ที่ใด?” ชายวัยกลางคนพูดพึมพำด้วยสีหน้าครุ่นคิด จากนั้นก็ถามชายหนุ่มชุดดำตรงหน้า
“คิดว่าศิษย์น้องหลิ่วยังคงปรับสมดุลอยู่ในวังหลีเหอ แต่คาดว่าอีกสองวันคงจะออกมาแล้ว” ชายหนุ่มชุดดำคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบออกมา
“ดีมาก! เจ้าไปรอที่ถ้ำของเขา พอเห็นศิษย์ผู้นี้ก็บอกว่าข้าอยากพบเขา นำเขามาหาข้าด้วย” ชายวัยกลางคนสั่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นปราณหยินก็ม้วนตัวเขากลับไปในห้องลับอีกครั้ง และประตูห้องลับก็ถูกไอหมอกสีเทาปกคลุมไว้
ชายหนุ่มชุดดำตอบรับในทันที จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไป และขี่เมฆดำพุ่งไปทางยอดเขาลั่วโยว
เหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นภายในถ้ำที่พักของผู้อาวุโสท่านอื่นๆ หลังจากผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้รับรู้เรื่องของหลิ่วหมิง ก็มีความคิดที่จะรับเขาเป็นศิษย์ขึ้นมา
แต่ทว่าในขณะที่ผู้อาวุโสเหล่านี้ส่งศิษย์ออกไปเรียกหลิ่วหมิงเข้าพบนั้น ต่างก็ได้รับข่าวที่ทำให้พวกเขาต้องแอบตำหนิอยู่ในใจ
ที่แท้ในวันที่หลิ่วหมิงออกจากการกักตัวนั้น อินจิ่วหลิงได้ส่งคนมาเรียกตัวหลิ่วหมิงไปเข้าพบที่วิหารใหญ่ของยอดเขาลั่วโยวแล้ว
……
เมฆดำก้อนหนึ่งพุ่งมาถึงด้านนอกห้องโถงหลักของยอดเขาลั่วโยว พอแสงดับลงก็เผยให้เห็นใบหน้าของชายหนุ่มชุดดำ ซึ่งเขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
หลังจากเข้าสู่ระดับผลึกสำเร็จ เขาก็อยู่ในห้องหินภายในวังหลีเหอต่ออีกหลายวัน จากนั้นก็คิดจะกลับไปปรับสมดุลระดับการฝึกฝนให้มั่นคงที่ห้องลับภายในถ้ำของตัวเองสักระยะหนึ่ง
แต่พอออกจากวังหลีเหอ ก็ได้รับข่าวจากอินจิ่วหลิงว่าให้มาพบที่ห้องโถงหลัก
ในเมื่อผู้ควบคุมยอดเขาเรียกพบ เขาย่อมไม่อาจปฏิเสธได้ จึงมุ่งตรงมาที่ยอดเขาลั่วโยวทันที
ขณะนี้อินจิ่วหลิงกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หลักที่วางอยู่ตรงกลางสุด ดูเหมือนเขาจะรอหลิ่วหมิงมาพักหนึ่งแล้ว
“ศิษย์คารวะผู้ควบคุมยอดเขา” พอหลิ่วหมิงเดินเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ก็ก้าวไปคารวะอย่างนอบน้อม
“หลิ่วหมิง วันนั้นที่เจ้ากับเสี่ยวอู่ช่วยข้าเอากวางจิตวิญญาณเก้าสีมาได้นั้น ข้าก็ค้นพบว่าเจ้ามีพลังไม่ธรรมดา คิดไม่ถึงว่าภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่ปี เจ้าก็สามารถทะลวงคอขวดระดับผลึกด้วยร่างสามชีพจรจิตวิญญาณได้ ช่างเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก!” น้ำเสียงของอินจิ่วหลิงดูหนักแน่นกว่าปกติเล็กน้อย และใบหน้าแห้งเหี่ยวครึ่งซีก ก็มีรอยยิ้มปรากฏออกมาจางๆ
“ท่านผู้ควบคุมชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยก็แค่บังเอิญโชคดีเท่านั้น” หลิ่วหมิงก้มหน้าเล็กน้อย และกล่าวอย่างนอบน้อม
“ช่างเป็นการบังเอิญที่โชคดีมาก! ในเมื่อเจ้าเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ไม่ว่าภายหน้าจะเป็นเช่นไร ตอนนี้ก็มีคุณสมบัติเป็นศิษย์สายตรงของยอดเขาเราแล้ว ข้าจะไม่พูดจาให้มากความ ตอนนี้อยากถามเจ้าว่า ยินดีเป็นศิษย์ของข้าหรือไม่?” อินจิ่วหลิงปรบมือหัวเราะเป็นการใหญ่ และถามออกมาในทันที
“ศิษย์ย่อมยินดีอย่างแน่นอน!” แม้หลิ่วหมิงจะคาดเดาได้ลางๆ ตั้งแต่แรกแล้ว แต่พอได้ยินก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็โค้งตัวตอบรับอย่างไม่ลังเล
สำหรับเขาแล้ว การที่ได้อยู่ใต้สังกัดระดับแก่นแท้ผู้หนึ่ง เป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นอินจิ่วหลิงที่เป็นผู้ควบคุมยอดเขาด้วย
“ดี! นับจากวันนี้เป็นต้นไป เจ้าก็เป็นศิษย์สายตรงของข้าอินจิ่วหลิงแล้ว” สีหน้าที่มักจะดูเย็นชาของอินจิ่วหลิง กลับกล่าวออกพร้อมเสียงหัวเราะ
“ศิษย์หลิ่วหมิง คารวะอาจารย์” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้านอบน้อม และคำนับอย่างเป็นทางการอีกครั้ง
อินจิ่วหลิงพยักหน้าเล็กน้อย พอโบกแขนเสื้อด้วยสีหน้าดีใจ ยันต์สีทองผืนหนึ่งก็พุ่งออกมา หลังจากโบกสะบัดกลางอากาศทีหนึ่ง มันก็ค่อยๆ ร่วงลงบนมือหลิ่วหมิง
“นี่คือยันต์จันทราฟ้าร้อง อานุภาพของมันเทียบเท่ากับการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของระดับแก่นแท้ ถือว่าเป็นของขวัญจากอาจารย์ที่มอบให้เจ้าในวันนี้ เผื่อภายหน้าพบเจอกับศัตรูที่แข็งแกร่ง ก็สามารถใช้รักษาชีวิตไว้ได้” อินจิ่วหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณอาจารย์” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก จากนั้นก็เก็บยันต์สีทองอร่ามผืนนี้เข้าในแหวนย่อส่วนอย่างระมัดระวัง
จากนั้นหลิ่วหมิงก็ถามปัญหาเกี่ยวกับการฝึกฝนกับอาจารย์อินจิ่วหลิงผู้นี้เล็กน้อย และอินจิ่วหลิงก็ค่อยๆ อธิบายอย่างใจเย็น ทั้งยังแบ่งปันเรื่องราวที่ต้องใส่ใจในขณะที่เพิ่งเข้าสู่ระดับผลึกให้กับหลิ่วหมิงด้วย
ผ่านไปราวๆ สองชั่วยาม หลิ่วหมิงถึงกล่าวลาอินจิ่วหลิง และขี่เมฆเหาะกลับไปยังถ้ำที่พักของตนเอง
จากนั้นไม่นาน ข่าวที่หลิ่วหมิงถูกอินจิ่วหลิงรับเป็นศิษย์สายตรง ก็แพร่กระจายไปทั่วยอดเขาลั่วโยว
หลังจากผู้อาวุโสระดับผลึกหลายคนที่อยากจะรับหลิ่วหมิงเป็นศิษย์ได้รับรายงานจากศิษย์ที่ส่งออกไป ก็อดทอดถอนใจไม่ได้ที่อินจิ่วหลิงลงมือรวดเร็วเช่นนี้ โดยเฉพาะผู้อาวุโสแซ่อวี๋ผู้นั้น ต้องกลัดกลุ้มเป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้อยู่ช่วงหนึ่ง
แต่ในเมื่อหลิ่วหมิงกราบตัวเป็นศิษย์สายตรงของอินจิ่วหลิงแล้ว คนเหล่านี้ก็ไม่อาจพูดอะไรได้มาก จึงได้แต่ปล่อยไปเช่นนี้
……
ห้องลับภายในถ้ำบนยอดเขาลั่วโยว
หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะสีเหลืองกลมๆ อันหนึ่ง ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท และกำลังตรวจสอบดูทะเลจิตรับรู้ของตนเองอยู่
ขณะนี้ นาฬิกาทรายบนศิลาหุนเทียนที่วางอยู่ในทะเลจิตรับรู้อย่างเงียบๆ ก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว เวลาที่ฟองอากาศลึกลับจะออกมาดูดกลืนพลังเวท ก็คงอีกไม่นานแล้ว ตามที่หลัวโหวกล่าวไว้ คงเหลือเวลาแค่หนึ่งปีกว่าๆ
ขณะนี้ หลิ่วหมิงบรรลุระดับผลึกแล้ว ทั้งยังเกาะผลึกพลังเวทออกมาได้มาก ซึ่งมากกว่าศิษย์ชีพจรจิตวิญญาณสวรรค์หลายเม็ด
ผลึกพลังเวทที่ปรากฏในภายหลังแปลกมหัศจรรย์มาก หลังจากเขาคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดในภายหลังแล้ว คาดว่าคงจะเกี่ยวข้องกับจิตปีศาจบนตัวเขา หรือไม่ก็เกี่ยวข้องกับผลึกแปลกประหลาดในหัวปีศาจยักษ์ที่กลืนกินเข้าไปในตอนที่กลายร่างเป็นปีศาจในวันนั้
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลังจากเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว พลังเวทก็เพิ่มขึ้นมาอย่างน่าตกใจ คิดว่าคงรับมือกับการดูดกลืนพลังเวทของฟองอากาศลึกลับในครั้งหน้าได้อย่างไม่มีปัญหา
และเขาเพิ่งทะลวงระดับผลึกขั้นต้น หากคิดจะยกระดับพลังเวทอีกครั้ง ยังจำเป็นต้องอาศัยโอสถด้วย
แม้จะบอกว่าเขาปรุงโอสถผลึกเย็นเข้าสู่ระดับสูงแล้ว ซึ่งโอสถนี้เห็นผลในระดับของเหลวอย่างชัดเจน แต่สำหรับระดับผลึกแล้ว มันมีผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ยังต้องหาตำราโอสถที่ช่วยเพิ่มพลังเวทของระดับผลึกถึงจะได้
หลิ่วคิดไตร่ตรองเช่นนี้อยู่พักหนึ่ง จากนั้นความคิดก็เปลี่ยนไปทันที เขานำสุราคุณภาพเยี่ยมขวดนั้นกับถุงอสูรจิตวิญญาณที่ใส่หมึกน้อยแปดขาใบนั้นออกจากแหวนย่อส่วน
เขาเปิดปากถุงเบาๆ พอกวาดจิตมองดู ก็ค้นพบว่าหมึกแปดขาในนั้นที่เคยมีขนาดชุ่นกว่าๆ ได้ขยายใหญ่ครึ่งฉื่อแล้ว แต่พอใช้วิชาเชื่อมจิตสื่อสารกับมัน ก็ยังคงไม่ท่าทีตอบสนองใดๆ
หลายปีมานี้ เพียงแค่เขามีเวลาก็จะโยนหินจิตวิญญาณลงไปในถุงอสูรจิตวิญญาณสองสามก้อน ให้มันได้ดูดซับปราณจิตวิญญาณ หลังจากบ่มเพาะมาหลายปี แม้มันจะยังไม่มีการรับรู้ใดๆ แต่กลิ่นไอที่แผ่ออกมาก็อยู่ที่ระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายแล้ว
ตอนที่ 639 ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่ได้รับการยอมรับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ต่อมา หลิ่วหมิงก็เปิดขวดที่บรรจุสุราคุณภาพเยี่ยมออกมา และเทของเหลวเหนียวๆ สีขาวน้ำนมทั้งหมดลงไปในถุงอสูรจิตวิญญาณ ทันใดนั้น กลิ่นไอที่เต็มไปด้วยพลัง ก็แผ่ออกจากถุงอสูรจิตวิญญาณ
แม้ว่าดวงตาขนาดเท่าเม็ดถั่วของหมึกน้อยแปดขาจะยังคงไร้ความรู้สึก แต่มันสามารถอ้าปากดูดกลืนสุราคุณภาพเยี่ยมเหล่านี้แล้ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าพอใจออกมา จากนั้นก็เก็บถุงอสูรจิตวิญญาณเข้าไปในมุมหนึ่งของแหวนย่อส่วน
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็ไปจากถ้ำที่พักอีกครั้ง พอทำท่ามือ เมฆดำก้อนหนึ่งก็ยกร่างของเขาขึ้นมา และพุ่งไปทางตลาดในนิกาย
หลังจากเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว การขี่เมฆของหลิ่วหมิงย่อมเร็วกว่าก่อนหน้านั้นไม่น้อย ชั่วเวลาแค่หนึ่งถ้วยชา ก็มาถึงตลาดในนิกายที่มีผู้คนแออัดแล้ว
แต่หลังจากผ่านไปครึ่งวัน หลิ่วหมิงกลับเดินออกจากตลาดด้วยสีหน้าผิดหวัง
หลังจากเดินวนในตลาดไปหนึ่งรอบ ดูเหมือนว่าร้านโอสถ และร้านรวบรวมคัมภีร์ไม่มีตำราโอสถที่เหมาะสมกับเขาเลย ในระหว่างนี้ เขาก็ผ่านการสอบถามข้อมูลบางอย่าง ถึงรู้ว่าตำราโอสถระดับผลึกขึ้นไปมีน้อยมาก ดังนั้นปกติจะไม่มีขายในนิกาย ซึ่งได้แต่ใช้แต้มคุณูปการไปแลกที่หอเก็บคัมภีร์ หรือไม่ก็ไปเสี่ยงดวงดูที่ตลาดอื่นๆ เท่านั้น
ตอนที่หลิ่วหมิงไปหาประสบการณ์ภายนอกในก่อนหน้านั้น ก็ค้นพบตั้งแต่แรกแล้วว่า ตำราโอสถระดับผลึกในตลาดข้างนอกก็มีอยู่น้อยมาก โดยปกติจะมีในงานประมูลบางอย่างเท่านั้น อีกอย่างส่วนมากก็เป็นตำราโอสถที่ไม่ค่อยเหมาะสมกับเขา ทั้งยังตามหาวัตถุดิบได้ยากมาก
เช่นนี้ เขาคงได้แต่ไปเสี่ยงดวงเอาที่หอเก็บคัมภีร์แล้ว ดูสิว่าจะหาตำราโอสถที่เหมาะสมกับตัวเองได้หรือไม่
หลิ่วหมิงตัดสินใจตามนี้ จากนั้นก็ทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และเหยียบเมฆดำพุ่งไปยังหอเก็บคัมภีร์อย่างรวดเร็ว
ภายในหอเก็บคัมภีร์ หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าชั้นไม้สีดำที่มีตำราโอสถเฉพาะจัดวางอยู่ เขานำแผ่นหยกแต่ละแผ่นที่บันทึกตำราโอสถมาแปะบนหน้าผาก และอ่านดูอย่างละเอียด
ผ่านไปราวๆ สองชั่วยาม หลิ่วหมิงถึงถูกใจตำราโอสถชนิดหนึ่งที่สามารถเพิ่มพลังเวทได้ คิดไม่ถึงว่าจะใช้แต้มคุณูปการมากถึงหนึ่งแสนแต้ม แต่ขณะที่เขากัดฟันเพื่อที่จะแลกตำราโอสถนั้น ป้ายประจำตัวของเขากลับไม่อาจหักแต้มคุณูปการเพื่อเปิดชั้นจำกัดบนตำราโอสถได้
เขารีบลุกขึ้นมาด้วยความแปลกใจ และเดินกลับไปยังชั้นหนึ่งของหอทันที จากนั้นก็สอบถามศิษย์ดำเนินการที่เคยคุยผูกไมตรีในก่อนหน้า
“พี่หลี่ว์ ข้ายากจะแลกตำราโอสถแฝงจิตวิญญาณ แต่กลับไม่สามารถเปิดชั้นจำกัดได้ ศิษย์พี่พอจะทราบหรือไม่ว่าเป็นเพราะเหตุใด?” หลิ่วหมิงกุมมือคารวะศิษย์ดำเนินการรูปร่างอวบอ้วนผู้นี้แล้วถามออกมา
“พี่หลิ่วควรเปลี่ยนคำเรียกได้แล้ว แม้ข้าจะเข้านิกายเร็วกว่าท่าน แต่ตอนนี้ท่านเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ไม่จำเป็นต้องเรียกข้าว่าศิษย์พี่อีก ข้ามิอาจรับได้ ส่วนในเรื่องของตำราโอสถนั้น……ไม่ทราบว่าพี่หลิ่วมีสถานะเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่ได้รับการยอมรับจากนิกายหรือไม่?” ศิษย์อวบอ้วนกล่าวด้วยสีหน้านอบน้อม และคารวะหลิ่วหมิงก่อนกล่าวออกมา
“สถานะผู้เชี่ยวการปรุงโอสถที่ได้รับการยอมรับจากนิกาย? อธิบายให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่!” หลิ่วหมิงได้ยินก็เผยสีหน้าแปลกใจออกมา
“พี่หลิ่วไม่รู้อะไร ตำราโอสถระดับผลึกขึ้นไปนี้ มีเงื่อนไขคือต้องเป็นศิษย์สายใน ทั้งยังต้องมีสถานะเป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่ได้รับการยอมรับจากนิกายถึงจะสามารถใช้แต้มคุณูปการแลกได้ หากศิษย์น้องอยากแลกตำราโอสถนี้จริงๆ เกรงว่าต้องไปที่ยอดเตาหลอมจิตวิญญาณสักรอบ เพื่อยืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถถึงจะได้” ชายร่างอวบอ้วนอธิบาย
สำหรับยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณที่กล่าวถึงนั้น ในขณะที่หลิ่วหมิงฝ่าด่านเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกได้ และทำการเลือกยอดเขาที่สังกัดนั้น ก็เคยเห็นการแนะนำที่เกี่ยวข้องมาแล้ว
ยอดเขานี้เป็นยอดเขาเดียวในนิกายยอดบริสุทธิ์ที่อาศัยการฝึกฝนปรุงโอสถเป็นหลัก ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถส่วนใหญ่ของนิกายยอดบริสุทธิ์จะมาจากที่นี่ ขณะเดียวกัน โอสถส่วนมากในนิกายก็มาจากยอดเขานี้ด้วย ด้วยเหตุนี้ระดับการฝึกฝนของศิษย์ในยอดเขานี้ อาจดูจะไม่เตะตา แต่ว่าตำแหน่งในนิกายนั้นอยู่เหนือกว่ามาก
“พี่หลี่ว์รู้หรือไม่ว่าสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถต้องยืนยันอย่างไร?” หลิ่วมีสีหน้าเข้าใจขึ้นมาทันที จากนั้นก็สอบถามต่อ
“ส่วนเรื่องที่ว่าจะยืนยันอย่างไรนั้น ข้ารู้มาไม่มาก แต่ว่าศิษย์น้องหลิ่วไปสอบถามเล็กน้อย ก็คงจะรู้เอง” ศิษย์ร่างอวบอ้วนกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณพี่หลี่ว์ที่บอก ข้ายังมีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ ต้องขอตัวก่อนแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้าให้กับศิษย์ร่างอวบอ้วน จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ออกไปจากหอเก็บคัมภีร์
เมื่อเขาเดินมาถึงประตูทางออกนั้น ก็นำแผนที่เทือกเขาหมื่นวิญญาณมาดูทีหนึ่ง จากนั้นก็ขี่เมฆพุ่งไปยังยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เมฆดำก้อนหนึ่งก็พุ่งมาถึงยอดเขาเขียวชอุ่มที่มีเมฆหมอกลอยวนเวียน จากนั้นหลิ่วหมิงก็กระโดดลงมา
ยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณมีรูปร่างแปลกมหัศจรรย์เป็นอย่างมาก มองเห็นเตาหลอมสีเขียวมรกตจากระยะไกล และส่วนบนของยอดเขา ล้วนเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่ รอบด้านมีหินขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่หลายก้อน
ใจกลางพื้นที่ราบก็มีวิหารขนาดต่างๆ ตั้งอยู่ บนวิหารที่มีขนาดใหญ่โตที่สุด มีอักขระสีทองเขียนอยู่อย่างชัดเจน ‘วิหารเตาหลอมจิตวิญญาณ’
และด้านหลังของวิหารหลักก็เป็นสิ่งก่อสร้างทรงเจดีย์ปลายแหลม ซึ่งเป็นสถานที่ปรุงโอสถของยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ และก็เป็นสถานที่ยืนยันคุณสมบัติของผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ
หลิ่วหมิงสังเกตดูบรรยากาศรอบๆ แบบผ่านๆ จากนั้นก็เดินไปยังเจดีย์แหลมๆ ตรงด้านหลัง
เขาบอกจุดประสงค์ที่มากับศิษย์ดำเนินการหน้าประตู และนำป้ายศิษย์นิกายสายในออกมา จากนั้นก็เดินเข้าไปในเจดีย์ชั้นหนึ่ง
สิ่งก่อสร้างแห่งนี้เป็นห้องโถงที่ค่อนข้างกว้างแห่งหนึ่ง พอหลิ่วหมิงก้าวเข้าไปด้านใน ก็ค้นพบว่ามีคนยืนอยู่ยี่สิบกว่าคน
พอเห็นหลิ่วหมิงเข้ามา ชายหนุ่มเตี้ยๆ ที่สวมชุดศิษย์นิกายเตาหลอมจิตวิญญาณก็เดินมารับ
“ศิษย์พี่ผู้นี้มารับโอสถแทนผู้ควบคุมหรือผู้อาวุโสท่านใดหรือ?” ดูเหมือนชายหนุ่มร่างเตี้ยจะรับรู้ถึงกลิ่นไอระดับผลึกบนตัวหลิ่วหมิงได้ จึงกล่าวออกมาอย่างนอบน้อม
“ข้ามาทำการยืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ ใช่สถานที่แห่งนี้หรือไม่?” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อ๋อ! ที่แท้ศิษย์พี่ก็มายืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ ทุกเดือนทางยอดเขาเราจะจัดพิธีทดสอบหนึ่งครั้ง ศิษย์พี่มาได้ประจวบเหมาะพอดี อีกสามวันให้หลังจะมีหนึ่งรอบ ศิษย์พี่เพียงแค่ลงชื่อไว้ที่นี่ พอถึงเวลานั้นก็ไปห้องปรุงโอสถชั้นสามก็พอแล้ว พอถึงเวลาจะมีผู้อาวุโสของยอดเขาเราไปทำการทดสอบด้วยตนเอง” ชายหนุ่มร่างเตี้ยแสดงสีหน้าเข้าใจในทันที จากนั้นก็พลิกฝ่ามือนำแผ่นหยกออกมาอันหนึ่ง และกล่าวออกมา
“ศิษย์น้องรู้หรือไม่ว่า ทำอย่างไรถึงจะผ่านการยืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถได้?” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็นำป้ายบนเอวยื่นให้ทันที จากนั้นก็ทำเป็นถามอย่างไม่ใส่ใจ
“ศิษย์พี่ต้องเตรียมวัตถุดิบปรุงโอสถเอง และพอถึงเวลานั้นก็ปรุงโอสถระดับของเหลวออกมาเตาหนึ่งก็ได้แล้ว ผู้อาวุโสยอดเขาเราจะทำการยอมรับจากอัตราความสำเร็จและคุณภาพของโอสถ โดยปกติอัตราปรุงสำเร็จหกส่วนขึ้นไป ก็ผ่านการยอมรับแล้ว” ชายร่างเตี้ยรับป้ายหลิ่วหมิงมา และโบกมันเหนือแผ่นหยกเบาๆ ก่อนยื่นคืนให้ ขณะเดียวกันก็บอกทุกสิ่งที่เขารู้ให้กับหลิ่วหมิง
“ขอบคุณศิษย์น้องที่แจ้งให้ทราบ”
ในยันต์เก็บของของหลิ่วหมิง ยังมีวัตถุดิบปรุงโอสถจินหยวนอยู่ไม่น้อย หลังจากประสานมือกล่าวขอบคุณแล้ว ก็ออกจากเจดีย์ปลายแหลมไปทันที
สามวันต่อมา บนชั้นสามของเจดีย์ปลายแหลม ณ ยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ
หลิ่วหมิงมาตามเวลานัด และภายในห้องโถงที่กว้างขวางในขณะนี้ มีศิษย์หลายคนที่ดูเหมือนจะมาทำการยืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถเหมือนกับเขาอยู่หลายคน
แต่นอกจากหญิงสาวอายุราวๆ สิบหกสิบเจ็ดปีที่มีใบหน้างดงาม และดูน่ารักแล้ว คนอื่นๆ ล้วนสวมชุดยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณทั้งหมด
ทันทีที่หลิ่วหมิงก้าวเข้ามา ก็ดูเหมือนว่าจะดึงดูดความสนใจของคนในนั้น ชายหนุ่มดุดันที่มีใบหน้ากลม จมูกใหญ่ ซึ่งเป็นศิษย์ของยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณเงยหน้ามองหลิ่วหมิงที่เดินเข้ามา
“ข้าน้อยซุนหัง ศิษย์ยอดเขาลั่วโยว ไม่ทราบว่าศิษย์พี่ผู้นี้มีนามเรียกขานว่าอย่างไร?”
“หลิ่วหมิง ยอดเขาลั่วโยว” หลิ่วหมิงก็ประสานมือกล่าวด้วยสีหน้าสงบ
“หลิ่วหมิง ชื่อนี้ช่างคุ้นเคยยิ่งนัก……พี่หลิ่ว หรือว่าท่านคือผู้ที่เข้าสู่ระดับผลึกด้วยร่างสามชีพจรจิตวิญญาณผู้นั้น?” ชายหนุ่มหน้ากลมได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย
“เฮ่อๆ! หากว่ายอดเขาลั่วโยวไม่มีหลิ่วหมิงคนที่สองล่ะก็ คิดว่าคนที่ท่านพูดถึงคงต้องเป็นข้าน้อยแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
ชายหนุ่มหน้ากลมย่อมเอ่ยปากออกมาว่า “ข้าน้อยเสียมารยาทแล้ว” ส่วนคนอื่นๆ ก็มองมาด้วยความตกใจ
“สวัสดี ข้าชื่อเถียนจิง เป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยวเช่นกัน ท่านก็คือหลิ่วหมิงที่บรรลุระดับในช่วงนี้นั่นเอง ช่วงนี้มีข่าวลือเกี่ยวกับท่านเยอะมาก แม้แต่ท่านพ่อของข้ายังพูดถึงชื่อท่านอยู่บ่อยๆ ” พอหญิงสาวได้ยินชื่อของหลิ่วหมิงก็กระพริบตาสองสามที จากนั้นก็เดินเข้ามากล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เถียนจิง? หรือว่าเจ้าจะเป็นหลานสาวของผู้อาวุโสเถียน?” พอหลิ่วหมิงได้ยินคำพูดของนาง ก็สังเกตดูสองสามที ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจขึ้นมาทันที
“ไม่ผิด! หากท่านปู่ของข้าไม่มีหลานสาวคนที่สองล่ะก็ คนที่ท่านพูดถึงน่าจะเป็นข้าแล้ว” หญิงสาวได้ยินก็ตอบกลับด้วยคำพูดแบบเดียวกันกับหลิ่วหมิงในก่อนหน้า แต่กลับยิ้มจนตาหยี
……
ผ่านไปราวๆ ครึ่งเค่อ หลังจากผ่านการสนทนาไปสองสามครั้ง หลิ่วหมิงก็สนิทกับศิษย์น้องเถียนผู้นี้ขึ้นมา ทั้งยังรู้ว่าแม้นางจะมีอายุไม่มาก แต่กลับมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางแล้ว ทั้งยังมีรากเหง้าอยู่ในยอดเขา บวกกับการที่ผู้อาวุโสเถียนทำการบ่มเพาะอย่างไม่เสียดายทรัพยากร การเข้าสู่ระดับผลึกในภายหน้าคงไม่มีปัญหาอะไร
แต่ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เถียนจิงถึงชอบวิชาปรุงโอสถตั้งแต่เด็ก แต่คุณสมบัติของนางธรรมดา ซึ่งได้มาทดสอบสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถเจ็ดแปดครั้งแล้ว แต่กลับไม่เคยสำเร็จเลยสักครั้ง
สิ่งนี้ทำให้หญิงสาวบ่นเกี่ยวกับความคร่ำครึของผู้อาวุโสยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ และการแสดงความสามารถออกมาได้ไม่ดีของตนเองให้หลิ่วหมิงฟัง
บางทีอาจเป็นเพราะคิดว่าหลิ่วหมิงมีความสนใจในวิชาการปรุงโอสถเหมือนกัน หญิงสาวถึงค่อนข้างรู้สึกสนใจหลิ่วหมิงมาก นางซักถามเรื่องราวในงานประลองใหญ่กับเรื่องการฝ่าเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกอยู่ไม่หยุด และนางก็ทำเสียงจุ๊ๆ อยู่ข้างหลิ่วหมิงไม่หยุดราวกับเป็นนกน้อยตัวหนึ่ง
หลิ่วหมิงไม่มีทางเลี่ยง จึงได้แต่ตอบคำถามทีละประโยคของหญิงสาวผู้นี้
ดีที่ว่าหลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ชายวัยกลางคนที่สวมชุดนักพรตสีเทา ก็เดินเข้ามาจากด้านนอก
“ศิษย์คารวะผู้อาวุโสหลี่” ศิษย์ยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณเห็นเช่นนี้ ก็พากันลุกขึ้นมาคารวะอย่างนอบน้อม
และหลิ่วหมิงกับศิษย์ยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณอีกคนก็คารวะตาม
“พวกเจ้ามาเข้าร่วมทดสอบยืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถหรือ? เถียนจิง เจ้าหนูน้อยนี้มาอีกแล้วหรือ?” หลังจากชายวัยกลางคนกวาดสายตามองดูแล้ว สายตาของเขาก็ตกอยู่บนตัวของหญิงสาว และขมวดคิ้วกล่าว
ตอนที่ 640 การปรากฏตัวอีกครั้งของโอสถระดับพสุธา
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อาจารย์อาหลี่ ข้าแค่มาดูว่าศิษย์พี่เขาปรุงโอสถกันอย่างไร จะได้ถือโอกาสศึกษาไปด้วย” เถียนจิงกระพริบตา และแลบลิ้นกล่าว
ประจักษ์ชัดว่านางสนิทกับผู้อาวุโสหลี่ผู้นี้มาก
“เจ้าหนูน้อยอย่างเจ้านี่ เห็นๆ อยู่ว่าพรสวรรค์ด้านการปรุงโอสถธรรมดา แต่กลับชอบเส้นทางสายนี้ เจ้ายืนอยู่ข้างๆ อย่าได้รบกวนการทดสอบของคนอื่นๆ ล่ะ เอ๊ะ!? วันนี้ยังมีศิษย์ยอดเขาอื่นมาด้วยหรือ ข้าไม่เห็นบรรยากาศเช่นนี้มานานแล้ว เจ้าเป็นศิษย์ยอดเขาใดกัน?” หลังจากชายวัยกลางคนตำหนิหญิงสาวไปสองสามประโยคแล้ว ในที่สุดก็ค้นพบว่าหลิ่วหมิงไม่ใช่ศิษย์ของยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ จึงถามออกไปด้วยความแปลกใจ
“ศิษย์หลิ่วหมิง สังกัดยอดเขาลั่วโยว คารวะอาจารย์อา!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ก้าวออกไปคารวะอย่างนอบน้อม
“เจ้าก็เป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยวหรือ ช่างเถอะ! ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ยอดเขาใด ก็ต้องทำตามกฎของยอดเขาเรา” ตอนแรกผู้อาวุโสหลี่รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวอย่างไม่เกรงใจ
หลิ่วหมิงย่อมตอบรับกลับไป “ทราบ!”
“ในเมื่อมีศิษย์ยอดเขาอื่นเข้าร่วมทดสอบสถานะผู้เชี่ยวชาญกานปรุงโอสถด้วย ข้าก็จะอธิบายรายละเอียดอีกรอบ ที่นี่มีห้องปรุงโอสถหลายห้อง พวกเจ้าสามารถเลือกได้ตามใจ มีเวลาจำกัดสามวัน แต่ว่าปรุงได้แค่หนึ่งเตา สุดท้ายข้าจะตัดสินจากอัตราการปรุงสำเร็จและคุณภาพของโอสถว่า พวกเจ้าจะได้รับการยืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถในนิกายหรือไม่ โอสถระดับกลางจะได้รับสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ แต่หากสามารถปรุงโอสถระดับสูงได้ จะได้รับสถานะปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถ หากฟังเข้าใจแล้วก็เข้าไปเถอะ!” ผู้อาวุโสหลี่อธิบายให้ผู้คนในนั้นฟังหนึ่งรอบ จากนั้นก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้
ศิษย์ยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณได้ยินเช่นนี้ ก็ตอบรับพร้อมกันทันที จากนั้นก็เลือกห้องปรุงโอสถอย่างคุ้นเคย และเริ่มทำการปรุงโอสถ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ตามเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และเลือกห้องปรุงโอสถที่อยู่ตรงปลายสุดของห้องโถง
พอเขาเดินเข้าไปในห้อง ก็ค้นพบว่าสถานที่แห่งนี้พิเศษเป็นอย่างมาก
ผนังสี่ด้านที่มีพื้นที่สิบกว่าจั้ง มีลวดลายจิตวิญญาณแปลกประหลาดสีฟ้าจางๆ ประทับอยู่อย่างหนาแน่น มันส่องแสงจนห้องปรุงโอสถสว่างขึ้นมา
และใจกลางห้องก็มีเตาหลอมยักษ์สีดำที่สูงสองจั้ง ค่ายกลสีแดงขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ตรงด้านล่างแผ่ไอร้อนออกมา
หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง และชี้ไปยังค่ายกล เปลวไฟสีแดงพุ่งออกจากใจกลางค่ายกลทันที
เขาไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย พอพลิกฝ่ามือด้านหนึ่ง ก็หยิบยันต์เก็บของออกมา และขยี้จนแตกกระจาย ทันใดนั้นขวดและตลับไม้จำนวนมากก็ร่วงลงพื้น
หลิ่วหมิงเลือกแก่นของอสูรจินหยวนระดับของเหลวขั้นกลางมาหนึ่งเม็ดรวมถึงวัตถุดิบเสริมอื่นๆ จากนั้นก็ลงมือปรุงโอสถทันที
สำหรับการปรุงโอสถจินหยวนนั้น เขาได้ปรุงจนชำนาญแล้ว แม้ว่าแก่นอสูรจินหยวนระดับของเหลวขั้นกลาง จะมีอัตราสำเร็จในการปรุงโอสถจินหยวนทั่วไปสูงมาก
แต่ที่หลิ่วหมิงต้องการในครั้งนี้ ก็แค่ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถธรรมดาเท่านั้น ย่อมไม่จำเป็นต้องใช้แก่นอสูรจินหยวนที่แพงกว่าแต่อย่างใด
ดังนั้นเขาจึงปล่อยพลังเวทใส่เตาหลอมสีดำทันที หลังจากแสงสีดำเปล่งประกายบนพื้นผิวเล็กน้อย ฝาเตาหลอมก็ค่อยๆ เปิดออกมา
พอหลิ่วหมิงตบมือข้างหนึ่งลงพื้น สายลมเบาๆ ก็พัดพาแก่นอสูรจินหยวนกับวัตถุดิบเสริมอื่น ๆ เข้าไปในเตาหลอม หลังจากปล่อยพลังเวทออกไปอีกครั้ง ฝาเตาหลอมก็ค่อยๆ ปิดลง
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็เปลี่ยนท่ามืออีกครั้ง และปล่อยพลังเวทอีกสามสายลงบนค่ายกลด้านล่างเตาหลอม ทันใดนั้นเปลวไฟก็พุ่งขึ้นฟ้าทันที และคุโชนกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย
ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงพยักหน้าด้วยความพอใจ และนั่งลงบนเก้าอี้ไม้สีเหลืองตรงมุมหนึ่งของห้องเพื่อรอคอยอย่างเงียบๆ
หนึ่งวันหนึ่งคืนผ่านไป หลิ่วหมิงยังคงรอคอยอยู่ตรงหน้าเตาหลอมยักษ์สีดำอย่างเงียบๆ
โอสถจินหยวนนี้ใช้เวลาในการปรุงมากกว่าโอสถผลึกเย็นเล็กน้อย แต่จากความสามารถที่ช่ำชองของเขา ประกอบกับพลังของเปลวไฟที่ไม่ธรรมดา คงใกล้จะสำเร็จเป็นโอสถแล้ว
“ตู๊ม!” เกิดเสียงดังเบาๆ ออกมาจากเตาหลอมสีดำ
หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้นมาทันที พอกวาดสายตาตามองออกไป ก็ค้นพบว่ามีแสงสีทองเปล่งประกายออกจากรอยแยกของเตาหลอม และฝาเตาหลอมก็สั่นสะท้านเบาๆ
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เขาอุทาน “เอ๊ะ!” ออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็รีบปล่อยพลังใส่ค่ายกลอีกครั้ง
หลังจากเปลวไฟด้านล่างอ่อนลงแล้ว ฝาเตาหลอมก็สั่นสะท้านสองสามที จากนั้นก็สงบลง
หลิ่วหมิงมีสีหน้าแปลกใจเล็กน้อย
ปรากฏการณ์เช่นนี้ มันเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่ปรุงโอสถจินหยวนระดับสูงสำเร็จเท่านั้น หรือว่า…….
หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว หลังจากปล่อยพลังเวทลงไปในเตาหลอมอีกครั้ง เขาก็กระโดดขึ้นมากลางอากาศ พอโบกแขนเสื้อเบาๆ เตาหลอมก็ค่อยๆ เปิดออกมา
ทันใดนั้น แสงสีทองก็เปล่งประกายสว่างไสวภายในห้องปรุงโอสถ
ภายในเตาหลอมสีดำมีโอสถจินหยวนที่เปล่งแสงสีทองห้าเม็ดวางอยู่อย่างเงียบๆ และในนั้นมีเม็ดหนึ่งที่เปล่งแสงสีทองมากกว่าอีกสี่เม็ด
พอหลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งออกไป “ฟิ้ว!” โอสถจินหยวนที่มีลายโอสถสี่เส้นปรากฏอย่างชัดเจน ก็มาปรากฏอยู่บนมือ มันคือโอสถจินหยวนระดับพสุธา ส่วนอีกสี่เม็ดที่เหลือก็มีสองเม็ดที่เป็นโอสถระดับสูง
ขณะเดียวกัน ด้านนอกห้องปรุงโอสถ แผ่นค่ายกลสี่เหลี่ยมบนมือชายชุดคลุมสีเทาที่นั่งขัดสมาธิอยู่ เปล่งประกายแสงเจิดจ้าออกมา เขาจึงรีบสั่งศิษย์ดำเนินการที่อยู่บริเวณนั้นด้วยความตกใจ
“ไปดูสักหน่อย ศิษย์พี่ผู้ใดอยู่ที่ห้องปรุงโอสถสุดท้ายนั้น โอสถของเขาออกจากเตาแล้ว ปฏิกิริยาอันรุนแรงเช่นนี้ ดูเหมือนจะไม่ใช่โอสถทั่วไป”
“ศิษย์รับทราบ!” ศิษย์ดำเนินการยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณได้ยิน ก็รู้สึกอึ้งไปทันที แต่ก็รีบตอบรับอย่างนอบน้อมแล้วเดินไปที่ห้องปรุงโอสถอย่างรวดเร็ว
ขณะนี้หลิ่วหมิงกำลังจ้องมองโอสถจินหยวนระดับพสุธาในมือด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น นี่เป็นครั้งแรกที่เขาปรุงโอสถจินหยวนระดับพสุธาออกมาได้
พอประตูห้องหลอมโอสถเปิดออกมา ศิษย์ดำเนินการผู้นั้นก็กล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล
“ศิษย์พี่ผู้นี้ ผู้อาวุโสหลี่ให้ข้า……”
ขณะที่ศิษย์ผู้นี้เข้าไปในห้อง กลับค้นพบว่าคนที่อยู่ในนั้นไม่ใช่ศิษย์ของยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณ แต่กลับเป็นหลิ่วหมิงที่สวมชุดคลุมสีดำ พริบตานั้นเขารู้สึกอึ้งเล็กน้อย และคำพูดของเขาก็หยุดชะงักลง
หลิ่วหมิงกลับถือโอสถอยู่ในมือ และคิ้วขมวดเล็กน้อย ขณะที่กำลังคิดอยู่ว่าจะตอบอย่างไรดีนั้น ก็มีเงาร่างเคลื่อนไหวด้านหลังของศิษย์ดำเนินการ จากนั้นผู้อาวุโสหลี่ก็ปรากฏออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง
“เป็นเจ้า!” พอผู้อาวุโสหลี่เห็นหลิ่วหมิงอย่างชัดเจนก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย จากนั้นก็เอ่ยปากถามออกมา
“ศิษย์คารวะอาจารย์อา” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างนอบน้อม
“คลื่นพลังโอสถของที่นี่ไม่ธรรมดา เอาโอสถมาให้ข้าดูหน่อย” หลังจากชายชุดคลุมสีเทาเก็บสีหน้าประหลาดใจแล้ว ก็กวาดสายตามองโอสถในมือของเขา และถามออกมาตรงๆ
ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ หลิ่วหมิงไหนเลยจะกล้าเล่นลูกไม้อะไร ทำได้แค่พยักหน้า และยื่นโอสถทั้งห้าที่เปล่งแสงสีทองสลัวๆ ให้แต่โดยดี
“โอสถจินหยวน! เตาเดียวออกมาตั้งห้าเม็ด เดี๋ยวก่อน! เม็ดนี้…..” ชายชุดคลุมสีเทาเพ่งตามองแล้วหลุดปากออกมา
ทันใดนั้น เขาก็ดูดโอสถระดับพสุธาเม็ดนั้นเข้ามาในมือ และตรวจสอบดูอย่างละเอียด จากนั้นก็เผยสีหน้าตกใจออกมา
“คิดไม่ถึงว่าจะมีระดับพสุธาอยู่หนึ่งเม็ดด้วย เดิมทีคิดว่าเป็นโอสถทั่วไปเม็ดหนึ่งเท่านั้น” ขณะที่ชายชุดคลุมสีเทากวาดสายตามองดูหลิ่วหมิงอีกครั้งนั้น เห็นได้ชัดว่าตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย
“อาจารย์อาหลี่ ท่านบอกว่าศิษย์พี่หลิ่วปรุงโอสถระดับพสุธาออกมาได้หรือ?” ไม่รู้เหมือนกันว่าเถียนจิงมาปรากฏตัวตรงประตูตั้งแต่เมื่อไหร่ พอได้ยินคำว่า “ระดับพสุธา” ดวงตาที่กลมโตอยู่แล้ว ก็เบิกกว้างกว่าเดิม และรีบมาสมทบทันที
ศิษย์ดำเนินการที่อยู่ด้านข้าง ก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้างยิ่งกว่าเดิม
หลิ่วหมิงย่อมรู้อยู่แก่ใจว่า เหตุใดทั้งสองถึงมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เพราะผู้ที่สามารถปรุงโอสถระดับของเหลวนั้นมีไม่มาก แต่ผู้ที่สามารถปรุงโอสถระดับพสุธาของผู้ฝึกฝนระดับของเหลวได้ ทั้งยังเป็นโอสถจินหยวนที่ปรุงได้ยากเช่นนี้ ต่อให้จะเป็นยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณที่ฝึกฝนปรุงโอสถเป็นหลัก ก็มีไม่กี่คน
“อาจารย์อาหลี่ ไม่ทราบว่าศิษย์ผ่านการทดสอบหรือไม่?” หลิ่วหมิงกลับโค้งตัวถาม
“สามารถปรุงโอสถระดับพสุธาออกมาได้ ย่อมผ่านอย่างแน่นอน เจ้าตามข้ามาเถอะ” ในที่สุดอาการตกใจของผู้อาวุโสหลี่ก็หายไปจนหมดสิ้น เขากวักมือให้หลิ่วหมิงตามเขาไป
ดังนั้นทั้งก็ออกไปจากห้องปรุงโอสถ และเดินขึ้นไปบนชั้นสี่ เหลือทิ้งไว้เพียงเถียนจิงกับศิษย์ดำเนินการผู้นั้น ที่ต่างก็มองหน้ากันโดยไม่พูดอะไรออกมา
แต่ในขณะที่หญิงสาวรู้สึกตกใจเป็นอย่างมากนั้น ลูกตาของนางก็หมุนวนหนึ่งรอบ จากนั้นก็แสดงสีหน้าเจ้าเล่ห์ออกมาทันที
ผ่านไปไม่นาน เรื่องที่ศิษย์ยอดเขาอื่นปรุงโอสถระดับพสุธาได้ ก็แพร่กระจายไปในยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณอย่างรวดเร็ว
ภายในห้องแห่งหนึ่งบนชั้นสี่
แสงสีเงินลำหนึ่งกระพริบลงบนป้ายประจำตัวของหลิ่วหมิง
หลังจากป้ายสั่นสะท้าน แสงสีเงินจางๆ ก็ปรากฏบนพื้นผิวหนึ่งชั้น และมีภาพเตาหลอมสีเงินปรากฏอยู่บนมุมหนึ่งของป้าย
“เอาล่ะ! ข้าได้ยืนยันสถานะผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถให้เจ้าแล้ว” ชายชุดคลุมสีดำเก็บพู่กันสีเงินแวววาวในมือ จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอบคุณอาจารย์อา” หลิ่วหมิงรับป้ายคืนอย่างนอบน้อม และเอาไปห้อยไว้บนเอว
“หลิ่วหมิง เจ้าเคยคิดที่จะย้ายมายอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณของเราหรือไม่ ด้วยระดับความรู้ในการปรุงโอสถของเจ้าในตอนนี้ หากอยู่ในยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณต่อ เชื่อว่าจะต้องกลายเป็นปรมาจารย์ผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถในรุ่นอย่างแน่นอน อีกอย่างทรัพยากรของยอดเขาเตาหลอมจิตวิญญาณเรา เมื่อเทียบกับยอดเขาลั่วโยวแล้วยังดีกว่ามาก หากย้ายมายอดเขาเราล่ะก็ จะต้องมีแต่สิ่งดีๆ อย่างแน่นอน” ชายชุดคลุมสีเทาจ้องมองหลิ่วหมิง และกล่าวด้วยคำที่แฝงความหมายลึกซึ้ง
“ขอบคุณความหวังดีของอาจารย์อา แต่เมื่อเร็วๆ นี้ศิษย์ถูกผู้อาวุโสอินจิ่วหลิงรับเป็นศิษย์สายตรงแล้ว เกรงว่าไม่อาจย้ายมาสังกัดยอดเขาของท่านได้” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยสีหน้านอบน้อม
พอชายชุดคลุมได้ยินชื่อของ ‘อินจิ่วหลิง’ สีหน้าของเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว จากนั้นก็นำแผ่นหยกออกจากแขนเสื้อมามอบให้หลิ่วหมิง และกล่าวด้วยความเสียดาย
“ในเมื่อเจ้าถูกศิษย์พี่อินรับเป็นศิษย์สายตรงแล้ว ข้าก็ไม่บังคับเจ้าอีก แต่เจ้าอายุน้อยเช่นนี้ ก็สามารถปรุงโอสถระดับของเหลวได้แล้ว หากไม่สามารถก้าวหน้าในเส้นทางโอสถได้ ช่างน่าเสียดายเป็นยิ่งนัก เช่นนี้เถิด! นี่คือประสบการณ์ปรุงโอสถจำนวนหนึ่งของข้า เจ้านำกลับไปอ่านให้ละเอียด หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อวิชาโอสถของเจ้าเล็กน้อย จำไว้ให้ดี อย่าได้ให้คนอื่นดูเด็ดขาด มิเช่นนั้นข้าจะไม่ละเว้นเจ้า”
“ขอบคุณอาจารย์อาที่ชี้แนะ ศิษย์กลับไปแล้วจะทำความเข้าใจอย่างละเอียด ไม่ให้คนอื่นรู้เป็นอันขาด” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่ก็โค้งตัวคารวะด้วยความดีใจในทันที
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น