ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 630-637

 บทที่ 630 วิธีการวาดที่คุ้นเคย


คณะเดินทางมาถึงล่วงหน้ามาก่อนการแข่งขันเป็นเวลาหนึ่งวัน เหมยเหมยไม่ได้พักรวมกับทุกคนที่เดินทางมาด้วย แต่เธอกลับไปพักที่บ้านหลังใหญ่ของตระกูลจ้าว เหยียนโฮ่วเต๋อน่ารำคาญยิ่ง แต่เขาอยู่ในฐานะผู้ดูแล จึงทำให้สะดวกสบายต่อตัวเหมยเหมยไม่น้อย ตลอดทางเขาเปิดไฟเขียวให้เธอ ไม่ต้องพูดอะไรมากก็ตอบตกลงทันที อีกทั้งยังอาสาไปส่งเหมยเหมยกลับบ้านด้วยตัวเอง


“ขอบคุณค่ะครูเหยียน แต่คุณปู่จะส่งคนมารับหนูเอง”


เหมยเหมยปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย เหยียนโฮ่วเต๋อที่หวังดีให้หน้าแต่กลับทำให้อีกฝ่ายไม่ค่อยพอใจ


ชื่อของคุณตาต้องตั้งชื่อมาผิดแน่นอน ชื่อโฮ่วเต๋ออะไรกันล่ะ ต้องชื่อว่าหนังหน้าหนาชัดๆ เรียกเขาว่าเหยียนหน้าหนาสิถึงจะถูก!


เหยียนโฮ่วเต๋ออยากจะชวนเหมยเหมยคุยต่ออีกสักนิด แต่รถของตระกูลจ้าวมาถึงเสียก่อน จึงทำได้เพียงมองลูกสาวของท่านผู้ว่าจากไปตาปริบๆ ในใจพร่ำด่าทอต่อลูกชายของเขา


หากลูกชายของเขาอดทนสักนิด ตามง้อลูกสาวท่านผู้ว่าอย่างว่าง่าย ไม่แน่ว่าวันนี้อาจจะได้เป็นแขกของคุณท่านหัวหน้าใหญ่ตระกูลจ้าวไปแล้ว!


ดีพอที่จะเป็นแขกคนสำคัญของท่านหัวหน้าใหญ่ได้ เป็นสิ่งที่ส่งเสริมเกียรติยศบารมีแค่ไหน!


เหยียนโฮ่วเต๋อกลับไม่รู้ ว่าแท้จริงแล้วลูกชายของตนกำหลาบลูกสาวของท่านผู้ว่าได้สำเร็จไปนานแล้ว


สาวน้อยที่เชื่อฟังคำพูดของเหยียนหมิงซุ่น ในตอนนี้ตีตัวเพื่อรักษาระยะห่างจากคนเป็นพ่อมากกว่า!


เหมยเหมยที่กลับมาถึงบ้านมีแต่ผู้คนมากหน้าหลายตาห้อมล้อม เป็นดั่งดาวล้อมเดือน ขาดเพียงแต่เอาข้าวมาป้อนให้เธอถึงปาก คุณย่ายังแสดงออกด้วยว่าจะไปให้กำลังใจเหมยเหมยถึงที่ แต่กลับถูกเหมยเหมยปฏิเสธไป


คุณย่าของเธอเป็นถึงบุคคลสำคัญของประเทศ หากว่าไปยังสถานที่แข่งขันจริงๆ คงทำให้ฝ่ายจัดงานตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ!


“เอ่อใช่ ซานซานก็จะไปเข้าร่วมแข่งขันด้วย เมื่อสองวันก่อนอวี้เหลียนบอกกับฉันแล้ว เธอบอกว่าซานซานได้รับรางวัลการประกวดวาดภาพจากเมืองหลวง เธอจะเข้าสู่การแข่งขันระดับประเทศ”


เมื่อถึงเวลาทานข้าวคุณย่าได้พูดถึงสองแม่ลูกอย่างโอหยางซานซาน ทุกคนในบ้านต่างพากันขมวดคิ้ว จ้าวเสวียกงสบถออกมาครั้งหนึ่ง “ยัยโอหยางซานซานที่โง่เง่าทั้งสมองและการกระทำ จะสามารถวาดอะไรได้ หากไม่เป็นเพราะเบื้องหลังมีคนคอยหนุนอยู่”


“นั่นสิ คนในโรงเรียนของฉันต่างรู้ๆกันว่ายัยหมีสีน้ำตาลโอหยาง…… ยัยขาหมูโอหยางซานซานนั่นจะวาดอะไรออกมาได้งั้นเหรอ อาจารย์ของเธอเป็นถึงเลขานุการของสมาคมวาดภาพ ใครจะกล้าให้เธอไม่ผ่านล่ะ?”


จ้าวเสวียไห่มีสีหน้าเหยียดหยาม แต่ดีที่เขาแก้ตัวได้ทันท่วงที มิเช่นนั้นคงถูกคุณย่าตีหัวแบะเพราะความโมโห


“ไม่รู้ว่าซานซานไปทำอะไรให้พวกแกไม่พอใจ แต่ละคนเอาแต่จะให้ร้ายเธอ แม้ว่าฝีมือการวาดภาพซานซานจะเทียบเหมยเหมยของพวกเราไม่ติด แต่ยังถือว่าเธอมีความสามารถแค่นิดหน่อย ยังไงเธอก็เรียนมาได้หลายปีแล้ว วาดภาพเหมือนให้ย่าก็ไม่เลวเลยนะ”


คุณย่าเพิ่งพูดจบ จ้าวเสวียกงจึงวิ่งเข้าไปในห้องนอนของเธอแล้วหยิบภาพวาดภาพนั้นออกมา เป็นภาพสเก็ตช์สีขาวดำที่บรรจุกรอบเรียบร้อย มีลักษณะคล้ายคลึงกับเธอมาก แต่ลักษณะการวาดดูงดงามเกินไปบ้าง มีลักษณะคล้ายคลึงกับภาพการ์ตูน


เหมยเหมยขมวดคิ้วแน่น วิธีการวาดเช่นนี้ถือว่าพบเห็นได้น้อยมากในหัวเซี่ย เป็นเพราะวิธีการวาดไม่เป็นที่นิยมนัก การวาดภาพแบบนิยมมากมายไม่ค่อยเป็นที่นิยมแก่การวาด และในหมู่นักวาดที่ยอมรับจริงๆ เกรงว่าจะมีเพียงแค่คุณตาของเธอเท่านั้น!


อาจารย์ของโอหยางซานซานไม่ใช่เลขานุการของสมาคมวาดภาพหรอกเหรอ?


สมาคมวาดภาพถือเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของจิตรกรแนวนิยม  แล้วจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?


เหมยเหมยถามด้วยความสงสัย “อาจารย์ของโอหยางซานซานเป็นอาจารย์ท่านใดหรือคะ?”


คุณย่าส่ายหน้าไปมา เธอจะเอาเวลาว่างจากไหนมาจดจำชื่อของคนอื่นล่ะ เอาเวลาไปจดจำชื่อเมนูอาหารไม่ดีกว่าหรือ!


จ้าวเสวียกงตะโกนเสียงดัง “ฉันรู้ เขาชื่อหร่วนหวาไฉ่ ถือว่าช่วงนี้ได้เห็นหน้าคร่าตาบ่อยขึ้น และยังมีศิษย์น้องของเขา ดูเหมือนจะชื่อว่า เจิ้งอะไรหลินเนี่ยแหละ เห็นพวกเขาในทีวีอยู่บ่อยๆ จริงด้วย สองคนนี้ยังเป็นผู้มีความรู้ที่ได้รับการเชิญพิเศษจากประเทศอะไรสักที่ ได้ยินมาว่าเขายังเก่งในการพินิจพิเคราะห์พวกโบราณวัตถุ”


…………………………………………………


บทที่ 631 ศัตรูอยู่ตรงหน้า


เหมยเหมยใจเต้นระส่ำ หร่วนหวาไฉ่?


ชื่อนี้เธอเพิ่งได้ยินมาเอง!


“พี่คะ ศิษย์ผู้พี่ของคนคนนี้คือเจิ้งซื่อหลินใช่ไหม?” เหมยเหมยถามซักไซ้ด้วยท่าทีร้อนรน


จ้าวเสวียกงคิดเพียงชั่วครู่ก็พยักหน้ารับ “ใช่ คือชื่อนี้ ชื่อเดียวกับลูกชายของฉวี่เซียนไป๋เหนียงจื่อ[1] ฉันพอจำได้”


เหมยเหมยอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ สูญเสียแรงกายมากมายเพื่อตามหากลับไม่เจอ แต่พอหยุดอยู่นิ่งดันปะเจอเข้าซะงั้น ศัตรูที่ทำให้คุณตาคุณยายของเธอต้องตายมาอยู่ตรงหน้าแล้ว!


จ้าวเสวียเอร่อเป็นคนรอบครอบช่างสังเกต เพียงครู่เดียวเข้าก็สังเกตได้ถึงท่าทีของน้องเล็กที่ไม่ปกติ จึงถามด้วยความห่วงใย “เหมยเหมยรู้จักสองคนนี้หรือ?”


“ชื่อ เสียง เลื่อง ลือ!”


เหมยเหมยพูดเน้นทีละคำจนครบประโยคด้วยท่าทีเรียบเฉย คุณปู่และคุณย่าไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก ถึงอย่างไรทั้งคู่อย่างหร่วนหวาไฉ่ถือว่ามีชื่อเสียงมากในวงการจิตกรภาพวาด เหมยเหมยเรียนวาดภาพต้องเป็นเรื่องธรรมดาที่จะรู้จักทั้งสองคนนี้


แต่จ้าวเสวียกงและคนอื่นๆที่ฉลาดเฉลียว พวกเขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติ หลังจากทานข้าวเสร็จ พวกเขาทั้งสามพี่น้องจึงมุ่งไปยังห้องของเหมยเหมย เพื่อถามให้รู้เรื่องว่าเธอมีความเกี่ยวข้องอันใดกับหร่วนหวาไฉ่และเจิ้งซื่อหลิน


“พวกเราเป็นพี่ของเธอนะ เหมยเหมยมีเรื่องอะไรก็บอกพวกพี่ได้ หรือว่าเจ้าสองคนนั้นรังแกเธอ?” จ้าวเสวียกงถาม


จ้าวเสวียไห่กรอกตาใส่เขาไปทีหนึ่ง ช่างโง่เสียจริง น้องสาวอาศัยอยู่เมืองจิน แต่สองคนนี้อยู่ที่เมืองหลวง อีกทั้งยังเป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงทั้งคู่ พวกเขาจำเป็นต้องรังแกเด็กงั้นหรือ?


ชนะแบบไม่ใสซื่อนี่!


“เหมยเหมยไม่ชอบยัยหมีสีน้ำตาลโอหยางหรือ? ผู้หญิงคนนี้น่าเกลียดชังนัก วันวันชอบเข้ามาทำตัวน่าเบื่อหน่าย แต่เหมยเหมยวางใจได้ ในใจของคุณย่าคนที่ท่านชอบที่สุดยังเป็นเธอนะ ยัยหมีสีน้ำตาลโอหยางนั่นเทียบไม่ติดเลยล่ะ!”


จ้าวเสวียไห่คิดว่าน้องสาวของตระกูลอาจกำลังรู้สึกหวง เขาจึงตบทรวงอกเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอจะเป็นเจ้าหญิงของบ้านหลังนี้ตลอดไป ส่วนหมาแมวตัวอื่นๆอย่าริอาจแม้แต่จะคิด


ในใจของเหมยเหมยรู้สึกอบอุ่นเป็นอย่างมาก เธอวางพู่กันลงและไม่คิดจะปิดบังต่อพวกเขา เธอได้พูดเรื่องที่ตานเหอเจิ้งและลูกศิษย์ทั้งสามคนได้ทำร้ายคุณตาคุณยายของเธอจนต้องจบชีวิตลง


“พวกชิงหมาเกิด มิน่าถึงพูดกันว่ายึดมั่นสัจจะในหมู่ปีจอ ชั่วช้าสามานย์ในหมู่ปราชญ์[2] ไอ้พวกหน้าเนื้อใจเสือ ภายนอกดูสง่าผู้ดี แต่กระทำแต่เรื่องชั่วร้าย!”


จ้าวเสวียกงพลั้งปากด่า เดิมทีเขาก็ไม่ได้ถูกชะตากับหร่วนหวาไฉ่สักเท่าไหร่ เพราะเขาคิดว่าคนที่ตาบอดรับเอาโอหยางซานซานมาเป็นศิษย์ ทั้งยังใช้เส้นสายเปิดทางให้เธอมากมาย อาจารย์ประเภทนี้คงไม่ค่อยจะมีคุณธรรมนัก


ตอนนี้ทุกคนได้ฟังน้องสาวของบ้านพูดถึงด้านมืดหลังฉากในปีนั้น พวกเขาต่างโกรธแค้นหร่วนหวาไฉ่และทั้งสามคนเป็นที่สุด!


พี่น้องตระกูลจ้าวอยู่ภายใต้การอบรมสั่งสอนเรื่องความซื่อสัตว์จากคุณปู่มาแต่ไหนแต่ไร ทั้งชีวิตของพวกเขาเกลียดที่สุดคือคนประเภทชอบแทงข้างหลัง เรื่องราวแบ่งแยกแตกหักของตระกูลจ้าวในช่วงนั้น ไม่ใช่เพราะถูกคนชั่วช้าสามานย์อย่างพวกมันแทงข้างหลังหรอกหรือ?


เพียงแต่คุณปู่คุณย่าและพ่อแม่ของพวกเขาเข้มแข็งพอ จึงไม่แตกหักจนล้มลงเพราะเรื่องราวร้ายๆและความเจ็บปวดในครานั้น พวกเขาข้ามผ่านมันมาได้ แต่คุณตาคุณยายของเหมยเหมยกลับไม่สามารถข้ามผ่านมันมาได้!


“ไอ้พวกชาติชั่วทรยศหักหลังได้แม้กระทั่งผู้มีพระคุณ ทั้งยังกล้าเชิดหน้าชูตาเรียกตัวเองว่าอาจารย์อีก ถุ้ย ช่างน่าไม่อายจริงๆ ไม่แปลกเลยที่จะรับเอาโอหยางซานซานไว้เป็นศิษย์ ที่แท้ก็เป็นสินค้าประเภทเดียวกัน!” จ้าวเสวียไห่กร่นด่า


ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้เหมยเหมยโกรธ จากภาพวาดของโอหยางซานซานก็ทำให้เธอมองออก ว่าฝีมือการวาดทั้งหมดของหร่วนหวาไฉ่เป็นการลอกเลียนแบบศิลปะการวาดแขนงเหยียนของคุณตาเธอ ทำร้ายคุณตาเธอจนตาย แต่ยังหน้าหนาใช้สิ่งที่คุณตาของเธอสอนมาเป็นสิ่งดำรงชีพอีก ถุ้ย หน้าด้านหน้าทนเสียยิ่งกะไร!


“เหมยเหมยกำลังวาดอะไรอยู่?”


จ้าวเสวียเอ่อร์สังเกตเห็นกระดาษวาดภาพของเหมยเหมยที่วางอยู่บนโต๊ะ เธอวาดลงไปไม่น้อย แต่ยังไม่สามารถมองออกว่าต้องการจะวาดอะไร


“หนูวาดภาพเหมือนให้คุณย่าค่ะ หนูวาดได้ดีกว่าโอหยางซานซานหลายเท่า ทำไมจะต้องแขวนภาพวาดของเธอไว้ด้วย ต่อไปนี้ทั้งบ้านต้องแขวนรูปที่หนูวาดเท่านั้น ภาพวาดของโอหยางซานซานต้องทิ้งไปให้หมด!”


เหมยเหมยพูดขึ้นด้วยความขุ่นเคือง เธอหยิบพู่กันขึ้นและเริ้มลงมือวาดอีกครั้ง


“ใช่เลย ทำไมบ้านเราต้องแขวนภาพวาดของยัยหมีสีน้ำตาลโอหยางด้วย เหมยเหมยวาดภาพเหมือนให้พวกเราทุกคนในบ้านเลยสิ แขวนมันให้เต็มบ้านเลย จะได้ทำให้ยัยหมีสีน้ำตาลไม่มีข้ออ้างเอาภาพวาดมาให้บ้านเราได้อีก!”


จ้าวเสวียกงยกสองมือสองเท้าขึ้นแสดงท่าทีเห็นด้วยอย่างที่สุด หากพูดถึงคนที่เบื่อหน่ายโอหยางซานซานทั้งสองแม่ลูกนั่น นอกจากจ้าวเสวียหลิน ก็คือตัวเขานั่นเอง!


…………………………………………………………………………………………..


[1] เรื่องราวความรักระหว่างฉวี่เซียนที่เป็นคนกับไป๋เหนียงจื่อพญางู หนึ่งในนิทานพื้นบ้านของจีนที่เป็นเรื่องเล่าขานในอดีต


[2] ผู้มีคุณธรรมเหลือล้นส่วนใหญ่คือคนธรรมดาสามัญชนและบุคคลอาชีพต้อยต่ำ แต่คนที่มีความรู้กลับประพฤติชั่วและฝ่าฝืนต่อมโนธรรม


บทที่ 632 กำจัดลูกศิษย์ก่อนค่อยว่ากัน


วันถัดมาเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ จ้าวเสวียกงสามพี่น้องต่างพากันไปร่วมชมการแข่งขันของเหมยเหมย สถานที่จัดการแข่งขันอยู่ในมหาลัยหนึ่งในเมืองหลวง ตัวแทนทั่วทุกเมืองทุกมณฑลล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ทั้งหมด ผู้คนล้นหลามมากหน้าหลายตา มีผู้ปกครองบางคนที่ไม่ค่อยวางใจนัก จึงตั้งใจตามมาเฝ้าดูด้วย


นอกจากครูบาอาจารย์และผู้ปกครองแล้วนั้น ยังมีนักข่าวอีกจำนวนไม่น้อย มีทั้งจากวารสารสังคม สถานีโทรทัศน์ เป็นเพราะนี่คือการแข่งขันระดับประเทศ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ ในช่วงหัวค่ำยังมีงานแถลงข่าวอีกด้วย!


ไกลสุดลูกหูลูกตาตรงประตูทางเข้าสนามแข่ง เหมยเหมยมองเห็นโอหยางซานซานพร้อมคุณหญิงผู้เป็นแม่ หวงอวี้เหลียนยังคงปรากฏตัวด้วยท่าทีสง่าผ่าเผยสูงส่งดั่งผู้ลากมากดี โอหยางซานซานก็สวมใส่ชุดเดรสสีชมพูหวานแหววราวกับตุ๊กตา ชมพูไปตั้งแต่หัวจรดเท้า


ข้างกายพวกเขามีชายวัยกลางคนที่อาจมีอายุราวๆ สี่สิบกว่าๆ สวมชุดสูทและรองเท้าหนัง ผมเผ้าที่ถูกเซ็ทมาจนมันวับเป็นเงาสะท้อน ซึ่งกำลังพูดคุยหัวเราะกับหวงอวี้เหลียนอย่างออกรสออกชาติ และวางตัวด้วยท่าทีน้อมนอบ


“เหมยเหมย ชายผู้นั้นคือหร่วนหวาไฉ่”


จ้าวเสวียกงชี้ไปด้านหน้า เหมยเหมยจึงมองตามมือของเขาไป เหยียนซินหย่าเคยบอกว่าหร่วนหวาไฉ่และเจิ้งซื่อหลินมีอายุตามความเป็นจริงต่างจากคุณตาไม่มากเท่าไหร่ เป็นเพราะคุณตามีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งยังมีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ ฐานะในวงการวาดภาพก็ไม่เบา ในปีนั้นมีคนที่อายุมากกว่าคุณตาอยู่จำนวนมาก ซึ่งทุกคนต่างแก่งแย่งเพื่อยกย่องให้ได้คุณตาเป็นอาจารย์ของตน แต่คุณตากลับปฏิเสธพวกเขาไปทั้งหมด


เหตุผลที่คุณตาปฏิเสธถือว่าน่าสนใจไม่น้อย ท่านพูดเพียงแค่รู้สึกไม่สบายใจที่จะให้คนที่อายุมากกว่าตนมากระทำพิธีรีตองต่างๆ และร้องขอเช่นนี้ !


อีกอย่างทั้งชีวิตของคุณตา มีเพียงแค่สามคนเท่านั้นที่ท่านรับไว้เป็นลูกศิษย์ สองในสามคนนั้นเป็นสัตว์ชั้นต่ำที่ทำตัวหน้าเนื้อใจเสือ ส่วนอีกคนเป็นศิษย์คนหนึ่งที่คุณตาภาคภูมิใจมาก เพียงแต่ในปีนั้นไม่ต้องการจะร่วมกระทำกรรมชั่วกับหร่วนหวาไฉ่ จึงถูกกดขี่ข่มเหง หลังจากที่คุณตาเสียชีวิตไป เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ล่องลอย เป็นหรือตายก็ไม่มีใครรู้


จ้าวอิงหัวเคยให้คนไปสืบหาเบาะแสของคนคนนี้ ทราบเพียงแค่เขาถูกส่งตัวไปอยู่ที่หลิ่งหนาน[1] แต่กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หลายสิบปีมานี้ไม่มีข่าวคราวใดๆเลย เกรงว่าเขาจะพบพานแต่เหตุอันเป็นทุกข์


พูดตามหลักแล้วตอนนี้อายุของหร่วนหวาไฉ่คงเกินครึ่งร้อยแล้ว แต่มองเขาในตอนนี้มากสุดมีอายุเพียงแค่สี่สิบต้นๆ แสงสีแดงเต็มทั่วบนใบหน้าเป็นสง่าราศี ดูก็รู้ว่าหลายปีมานี้ใช้ชีวิตได้สุขสบายเพียงใด


พอเห็นแบบนี้แล้ว ดูเหมือนว่าตานเหอเจิ้งและเจิ้งซื่อหลินเองก็คงมีชีวิตดีไม่ต่างกันนัก!


เหมยเหมยจ้องหร่วนหวาไฉ่อย่างโกรธแค้น แต่เสียดายที่ตอนนี้อายุของเธอยังน้อย ฝีมือยังมีไม่มากเท่าที่ควร จึงไม่อาจแก้แค้นแทนคุณตาของเธอได้!


แต่เธอสามารถกำจัดลูกศิษย์ของคนชั่วอย่างมันได้!


จากตอนแรกเธอไม่ได้ใส่ใจต่อการแข่งขันระดับประเทศสักเท่าไหร่ ได้หรือไม่ได้รางวัลเธอไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้ความคิดของเธอเปลี่ยนไปแล้ว


รางวัลจะต้องได้ และจะต้องได้ลำดับที่สูงกว่าโอหยางซานซาน!


“เหมยเหมย พวกเราต้องคอยระวังยัยหมีสีน้ำตาลนั่น ฉันสงสัยว่าไอ้ชั่วหร่วนนั่นจะต้องเปิดไฟเขียวให้ยัยหมีสีนำตาลนั่นอีกแน่!” จ้าวเสวียกงพูดอย่างระแวง


มาถึงตรงนี้แล้วพวกเขาสามารถเดาได้ชัดทุกอย่างดั่งตาเห็น ทางฝั่งหวงอวี้เหลียนนั้น…


“คุณผู้หญิงโอหยางวางใจได้ลยครับ ซานซานเป็นถึงศิษย์มือเอกของผม ทำไมจะไม่ได้รางวัลล่ะครับ!” หร่วนหวาไฉ่ประจบประแจง


แม้ว่าตระกูลโอหยางจะไม่เข้าตาตระกูลจ้าวนัก แต่สำหรับหร่วนหวาไฉ่พวกเขานั้นถือว่าตระกูลโอหยางเป็นผู้สูงส่งอย่างหาที่เทียบไม่ได้แล้ว แต่สำหรับตระกูลจ้าวนั้น แม้แต่จะคิดยังไม่กล้าคิด  ไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ


หวงอวี้เหลียนยิ้มด้วยความพึงพอใจ จากนั้นถาม “แล้วสำหรับคุณคิดว่าซานซานของเราจะได้รางวัลอะไรคะ?”


“หากไม่ผิดคาดนั้นคงเป็นรางวัลที่สามครับ”


หร่วนหวาไฉ่เหลือบมองรอยยิ้มที่ค่อยๆจางหายของหวงอวี้เหลียนจึงรนรานพูดอธิบาย “คืออย่างนี้ครับ ถึงยังไงซานซานก็เรียนวาดรูปได้ไม่ถึงสามปี แต่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ กลับเรียนมานับเจ็ดแปดปี สิบปีแล้ว ซึ่งความสามารถถือว่าสูงมาก”


โอหยางซานซานทำหน้าบูดบึ้ง พร้อมทั้งพูดออดอ้อนอย่างเอาแต่ใจ “แม่คะ หนูไม่ชอบที่สามเลย เพื่อนๆ ต้องหัวเราะเยาะหนูเป็นแน่ หนูจะเอาที่หนึ่ง!”


หวงอวี้เหลียนหันมองหร่วนหวาไฉ่ที่ใบหน้าที่ฝืนยิ้ม ความหมายก็คือคุณหาวิธีจัดการเองแล้วกัน!


………………………………………………………


[1] เขตที่อยู่ทางทิศใต้ของเทือกเขาทั้งห้า ซึ่งเป็นเขตมณฑลกว่างตงและกว่างซีในปัจจุบัน


บทที่ 633 รางวัลรองชนะเลิศที่ได้มาจากกลุ่มภายในอย่างหน้าไม่อาย


หร่วนหวาไฉ่ได้รับสายตาตักเตือนจากหวงอวี้เหลียน ในใจเต้นรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ


หากไม่เห็นแก่ที่พ่อของโอหยางซานซานเป็นผู้นำที่ดูแลทางด้านศิลปวัฒนธรรมล่ะก็ เขาจะยอมรับสาวน้อยไร้พรสวรรค์อย่างเธอมาเป็นลูกศิษย์งั้นหรือ?


อุ้งมือทั้งสองข้างที่เห็นว่านิ่มๆขาวๆนั้น พอได้จับพู่กันก็ได้ทำลายทุกอย่างจนสิ้น เรียนมาตั้งสามปีแต่กลับเรียนรู้ได้แค่สิ่งที่ง่ายที่สุด ผลงานการแข่งขันในครั้งนี้ ยังคงเป็นเขาที่แอบเปิดเผยหัวข้อไปเมื่อสามเดือนก่อน เขาให้โอหยางซานซานอดทนฝึกฝนวาดภาพนั้นอยู่ที่บ้านแค่ภาพเดียวซ้ำๆ


ต่อให้เป็นวัวจ่าฝูง ผ่านความลำบากยากเข็ญในการฝึกฝนมาสามสี่เดือน อย่างมากก็คงจะพอวาดออกมาให้มีความเป็นเอกลักษณ์ได้บ้าง?


แต่ลูกศิษย์สาวคนนี้ก็นะ ฝืนมาตั้งสามเดือนกลับวาดออกมาได้แบบไม่มีสิทธิ์เข้าเหยียบสนามสอบได้เลยด้วยซ้ำ ช่วยไม่ได้ หร่วนหวาไฉ่จึงทำได้เพียงวาดด้วยตัวเองเพื่อเป็นแบบให้โอหยางซานซานลอกเลียนสเกทจากภาพวาดของเขา ไม่ขอให้ถ่ายทอดอารมณ์ แต่ขอให้รูปร่างและองค์ประกอบครบ


ฝืนดันเขาไปอย่างนั้น รวมทั้งการดูแลจากเขา ถึงทำให้โอหยางซานซานสามารถเข้ารอบการแข่งขันระดับประเทศมาได้ เขายังต้องทำหน้าหนาเข้าไว้ เพื่อเอารางวัลอันดับสามมาให้ลูกศิษย์เขา รางวัลที่สามมีทั้งหมดเพียงสามรางวัล!


แต่ขนาดนี้แล้วพวกเธอยังไม่พอใจอีก?


ยังอยากได้ที่หนึ่ง?


ช่างเป็นพวกสันดานหมาเสียจริง !


นี่เป็นถึงการแข่งขันระดับประเทศที่มีสื่อมาทำข่าวอีกมากมาย ที่หนึ่งก็มีได้เพียงหนึ่งเดียว ฝีมือการวาดระดับต่ำๆอย่างโอหยางซานซานหรือจะใช้เส้นสายภายในคว้าตำแหน่งที่หนึ่งได้? แล้วต่อไปหร่วนหวาไฉ่อย่างเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในวงการวาดภาพต่อไปอย่างไรหรือ?


“หากเป็นที่หนึ่งผมคงช่วยไม่ได้แล้วล่ะครับ คุณผู้หญิงโอหยางโปรดอภัยด้วย !”


หร่วนหวาไฉ่ปฏิเสธออกไป ต่อให้หวงอวี้เหลียนโกรธ เขาก็ไม่อาจตกปากรับคำได้!


ให้ตายเถอะสองแม่ลูกนี่หน้าไม่อายเสียยิ่งกว่าที่เขาคิด อีกทั้งยังไม่เข้าใจในเรื่องความเป็นไปได้ใดๆเลย ความสามารถระดับเด็กอนุบาล แต่จะคว้ารางวัลที่หนึ่ง?


เห็นว่าประชาชนทั้งประเทศโง่นักหรือไง?


หวงอวี้เหลียนมีสีหน้าบึ้งตึงและเริ่มไม่พอใจต่อหร่วนหวาไฉ่ เธอพูดขึ้นอย่างมีเจตนา “หัวหน้าเลขานุการหร่วน ฉันจำได้ว่าตำแหน่งเรขาของคุณเป็นได้ยังไม่ถึงปีเลยนี่คะ?”


หร่วนหวาไฉ่กรนด่าอยู่ในใจ สั่งสอนลูกสาวที่โง่เหมือนหมูของหล่อนมานานถึงสามปี แต่เพิ่งจะยกตำแหน่งเลขาให้เขาได้ไม่ถึงปี แล้วยังจะกล้ายกเรื่องนี้มาพูดอีกหรือ?


“นั่นน่ะสิครับ ตอนแรกผมคิดว่าจะได้ตำแหน่งนี้มาตั้งแต่สองปีก่อนเสียอีก แต่ก็ต้องขอบคุณคุณหญิงโอหยางที่เป็นห่วงนะครับ แต่เรื่องที่หนึ่งของซานซานผมทำไม่ได้จริงๆ หากถึงเวลาที่เบื้องบนรู้เรื่องเข้า ตำแหน่งเลขาของผมจะหย่อนตูดนั่งได้ไม่ทันร้อน เกรงว่าจะถูกคนอื่นลากไปเสียก่อนได้!”


คำขู่นั้นไม่ได้มีผลต่อหร่วนหวาไฉ่ แม้ว่าตำแหน่งเลขาจะสำคัญ แต่เขาเองก็ห่วงเกียรติและหน้าตามากกว่า หากว่าเรื่องนี้หลุดออกไป ชื่อเสียงของเขาคงจะไม่เหลือ!


ธุรกิจที่ขาดทุนในอนาคตเขาไม่ทำมันแน่!


เมื่อหวงอวี้เหลียนเห็นว่าหร่วนหวาไฉ่ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือ แม้จะโกรธเกลียดที่เขาไม่อาจทำการใดให้สำเร็จได้ แต่เธอก็ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ใครใช้ให้อาจารย์ในวงการภาพวาดที่มีชือเสียง มีแค่หร่วนหวาไฉ่คนเดียวที่ยอมรับลูกสาวของเธอเป็นศิษย์ล่ะ!


อาจารย์คนอื่นๆให้ซานซานวาดได้ไม่กี่เส้น ทุกคนต่างก็ปฏิเสธในทันที คำพูดคำจาก็ช่างน่าฟังยิ่ง บอกว่าระดับฝีมือของซานซานมีมากเกินไป พวกเขาไม่อาจสอนให้ได้ แต่ความจริงเป็นเช่นไรมีหรือที่เธอจะไม่รู้?


คงหนีไม่พ้นรังเกียจที่ซานซานไม่มีพรสวรรค์!


จนสุดท้ายต้องบุกมาขอยังหร่วนหวาไฉ่ที่นี่ แต่ก็เป็นเธอที่เอาตำแหน่งเลขานุการมาหลอกล่อ หร่วนหวาไฉ่จึงได้ตกลงอย่างยินดี และรับซานซานไว้เป็นศิษย์ของเขา หลายปีมานี้ถือว่าทำให้เธอพอใจไม่น้อย ซานซานมีชื่อเสียงมาจากการแข่งวาดภาพมาก็ไม่น้อย เธอยังมีชื่อเรียกในเมืองหลวงว่าสาวน้อยผู้มากด้วยพรสวรรค์


หวงอวี้เหลียนรู้ดีว่าไม่ควรจะรีบร้อนจนเกินไปจึงยอมลดความต้องการลง เปลี่ยนเป็นรางวัลชนะเลิศอันดับสองแทน ขณะเดียวกันเธอยังยินยอมให้มีรายชื่อของหร่วนหวาไฉ่ในการไปสัมมนาที่ต่างประเทศในปีหน้าด้วย


ทั้งคู่ตกปากร่วมมือกัน และตัดสินลำดับผลการแข่งขันของโอหยางซานซานอย่างสุขสมอารมณ์หมาย


แต่เด็กนักเรียนที่ฝึกฝนมาอย่างลำบากและครูอาจารย์ผู้ปกครองกลับไม่มีใครรับรู้ รางวัลที่สองเพียงสองตำแหน่งหายไปแล้วหนึ่งตำแหน่ง เหลือไว้เพียงแค่หนึ่ง!


…………………………………………………………………


บทที่ 634 ไม่ต่างจากสัตว์ชั้นต่ำ


หวงอวี้เหลียนและหร่วนหวาไฉ่เป็นดั่งวัวสันหลังหวะ ไม่กล้าจะพูดคุยต่อหน้าคนเยอะๆ จึงจงใจเลือกหาที่ใต้ร่มไม้แล้วพูดคุยด้วยเสียงอันเบา นอกเสียแต่ว่าเสียงนั้นจะถูกพัดพาตามสายลมลอยไปให้คนอื่นได้ยิน แต่ขณะเดียวกันนั้นพวกเขากลับไม่รู้ว่า……


บนกิ่งก้านต้นไม้นั้นมีกระรอกขาวตัวหนึ่งกำลังส่ายสะบัดหางพวงใหญ่อย่างสบายใจ ลูกตากลมดำของมันหมุนกลอกไปมา พร้อมทั้งฉีกยิ้มยิงฟัน


พวกมนุษย์ชอบเปรียบเทียบพวกคนชั่วช้าเป็นดั่งสัตว์เดรัจฉานชั้นต่ำ อย่างพวกหน้าเนื้อใจเสือ เดรัจฉานสวมใส่เสื้อผ้า ……


พวกประจานบรรพบุรุษตัวเอง  ไอ้คนชั่วพวกนี้เทียบได้กับสัตว์เดรัจฉานหรือ?


พวกสัตว์เดรัจฉานชั้นต่ำยังสูงเสียยิ่งกว่าคนชั่วพวกนี้!


ฉิวฉิวฟังคำพูดอย่างไร้ยางอายของทั้งคู่อย่างชัดเจน มันโกรธจนกัดกรามแน่น หากไม่กลัวว่าจะทำให้เจ้านายต้องเดือดร้อน คุณชายฉิวอย่างมันจะสั่งสอนคนชั่วพวกนี้เสียหน่อย เพียงแต่…


พรมน้ำหอมสักหน่อยถือว่าไม่เลวนี่!


คุณชายฉิวไขว้ขาทั้งสองข้างของมัน เตรียมตัว ปล่อยจรวด…


น้ำหอมแต่ละหยดถูกปล่อยออกมาเป็นสายพุ่งเข้าไปยังมวยผมของหวงอวี้เหลียน วันนี้ผู้หญิงคนนี้ได้ทำผมม้วนเป็นมวยสูงที่ดูมีสง่าราศีสมกับเป็นผู้รากมากดี ช่างเหมาะแก่การฉีดน้ำหอมของฉิวฉิวราดหัวเสียจริง


เพียงแต่คุณชายฉิวฉีดลงไปด้วยความเปรมใจ เพียงครู่เดียวมันก็สาดถุงฉี่ราดลงบนตัวของหวงอวี้เหลียนจนหมด แต่บนตัวหร่วนหวาไฉ่กลับไม่มีแม้แต่หยดเดียว


“เหอะ ดูถูกเกินไปแล้วเจ้าคนชั่ว!”


ฉิวฉิวสั่นสะบัดขาของมัน แค่มันกระโจนในเวลาอันรวดเร็วก็สามารถกระโจนไปสู่ตนไม้อีกต้นหนึ่งได้ จากนั้นกระโจนลงมาด้านล่าง และวิ่งเข้าไปมุดอยู่ในอ้อมกอดของเหมยเหมย


แต่น่าเสียดายที่ความสามารถยังฟื้นคืนมาได้ไม่หมด เพียงแต่รอให้มันได้หาเวลาว่างนำของล้ำค่าที่ได้มาจากบ้านคุณตาของเจ้านายมาย่อยสลาย คงจะสามารถเซ็นคำสาบานเลือดกับเจ้านายได้ แบบนั้นมันก็จะสามารถคุยกับเจ้านายถึงเรื่องมนุษย์และเรื่องกระรอกสาวสวยได้แล้ว!


“ฉิวฉิว สองคนนั้นปรึกษากันเรื่องที่จะจัดการตำแหน่งการแข่งขันของโอหยางซานซานหรือ?”


เหมยเหมยถามขึ้นที่ข้างหูของฉิวฉิวเสียงเบา ฉิวฉิวสะบัดหางใหญ่ๆของมันไปมา พลางสะบัดขาหน้าไปมา พร้อมกับแยกเขี้ยวยิงฟัน เพื่อแสดงออกว่ามันกำลังโกรธเคืองอยู่


“คนเลว ไม่ต่างจากสัตว์ชั้นต่ำเลยสักนิด!”


เหมยเหยหลุดด่าอย่างโกรธแค้น ไม่ว่าจะเป็นในวงการไหน มักจะมีคนเลวอย่างหร่วนหวาไฉ่อยู่ด้วยเสมอ และยังมีหญิงไร้ยางอายอย่างหวงอวี้เหลียนคลุกคลีกับคนชั่วนั่นด้วย


เป็นอีกครั้งที่ฉิวฉิวแยกเขี้ยวยิงฟันใส่ มันยกขาทั้งสี่สนับสนุนคำพูดของเจ้านาย พวกมันไม่ต่างจากสัตว์ชั้นต่ำจริงๆ!


“ฉิวฉิว แกรู้ไหมว่าพวกมันจะคดโกงเอารางวัลอะไร?”


“ต๊อก ต๊อก”


ฉิวฉิวยกสองขาหน้าของมันขึ้นอย่างรวดเร็ว มันตั้งใจเรียนแบบท่าทางจากมนุษย์ที่ชูนิ้วมือสองนิ้ว แต่กลับค้นพบว่าขาของมันไม่อาจเปรียบเทียบกับนิ้วมือได้ มันจึงยอมแพ้แล้วเปลี่ยนเป็นการสะบัดหางลงสองครั้งแทน เหมยเหมยจึงเข้าใจในทันที


“รางวัลรองชนะเลิศเรอะ?”


“ต๊อก ต๊อก”


ฉิวฉิวผงกหัวรับ ก็คือที่สองนั่นแหละ!


ช่างหน้าด้านหน้าทนเสียจริง!


เหมยเหมยด่าทออย่างเคียดแค้น ทางจ้าวเสวียกงและคนอื่นๆจึงรีบถามว่าเกิดเรื่องอะไร เห็นเพียงแค่น้องสาวของพวกเขาพูดคุยกับสัตว์เลี้ยงของเธอ โดยไม่รู้เลยว่าพวกเธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไรอยู่


“หวงอวี้เหลียนและหร่วนหวาไฉ่ได้วางรางวัลที่สองให้โอหยางซานซานไปเรียบร้อยแล้วค่ะ” เหมยเหมยพูดด้วยความแค้น


“พวกชาติหมา ยังมีหน้ามาคว้ารางวัลที่สองอีกหรือ? มันจะทำสนามแข่งให้เป็นเหมือนสวนดอกไม้หลังบ้านหรือไง?” จ้าวเสวียกงและคนอื่นๆ ต่างพากันโกรธแค้นยิ่งนัก ทั้งยังเป็นการกระทำที่ไม่ยุติธรรมต่อผู้เข้าแข่งขันท่านอื่น


ผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามาร่วมการแข่งขันยังเมืองหลวง ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเขาใช้ความสามารถที่แท้จริงของตน แต่ในตอนนี้การแข่งขันยังไม่ทันเริ่ม พวกชั่วช้าสามานย์อย่างพวกมันกลับถูกพวกคนชั่วจัดการล็อครางวัลที่สองไว้เสียได้ โดยมอบให้กับโอหยางซานซานที่มีฝีมือการวาดภาพที่ไม่เอาไหนของเธอ พูดง่ายๆ คือเป็นการแข่งขันที่ด่างพร้อย!


เหมยเหมยที่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่นั้น มองเห็นว่ามีนักข่าวกำลังสัมภาษณ์พวกเด็กที่เข้าร่วมประกวด สมองของเธอกลั่นกรองอย่างรวดเร็ว เธอแอบกระซิบข้างหูของจ้าวเสวียกงไปไม่กี่ประโยค จ้าวเสวียกงนิ่งอึ้งตาค้าง แต่ในทันทีดวงตาเขาก็เป็นประกายขึ้นมา


………………………………………………..


บทที่ 635 มุขตลก


ฉิวฉิวที่อยู่ในอ้อมกอดของเหมยเหมยพุ่งพรวดมุดลงดินไปอย่างรวดเร็ว มันมุ่งตรงไปยังนักข่าวคนนั้น นักข่าวผู้นี้เป็นหญิงสาววัยกลางคนที่มีอายุราวสามสิบกว่าปี เธอสัมภาษณ์ผู้เข้าแข่งขันเสร็จไปแล้วหนึ่งคน เตรียมจะเข้าไปสัมภาษณ์ลูกสาวของผู้อำนวยการโอหยาง ซึ่งก็คือโอหยางซานซาน


อย่างไรเสียผู้อำนวยการโอหยางก็เป็นถึงผู้ดูแลกลุ่มผู้นำนี่!


ก่อนมาถึงที่นี่ผู้นำได้ฝากฝังมาโดยเฉพาะ จะต้องใช้กล้องหลักจับไปที่ลูกสาวของผู้อำนวยการโอหยางให้มากที่สุด แม้ว่าในใจของเธอจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่


เรื่องราวที่หร่วนหวาไฉ่คดโกงภายในโดยการเปิดไฟเขียวให้โอหยางซานซาน คนภายในคนไหนบ้างที่จะไม่รู้?


สำหรับเด็กด้อยโอกาสคนหนึ่งที่มาจากหมู่บ้านที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกล ซึ่งทุ่มเทความลำบากมากเสียยิ่งกว่าเด็กที่อาศัยอยู่ในเมืองหลวงหลายเท่าตัว ถึงจะสามารถยืนในเมืองหลวงได้เต็มสองขา เธอเกลียดที่สุดคือพวกหญิงสาวที่อวดดีและมีนิสัยผู้หญิงมากเช่นนี้


ไม่ได้ออกแรงมากแต่กลับสามารถคว้าเอาสิ่งที่เด็กด้อยโอกาสที่พยายามฝึกฝนมานานนับสิบปีหรือมากกว่ามาได้อย่างง่ายดาย ต่างไม่ได้รับผลลัพธ์แห่งความสำเร็จ แถมยังไม่ได้พึ่งความสามารถที่แท้จริงของตนเลยสักนิด !


มีเด็กด้อยโอกาสคนไหนที่จะงั้นยอมหรือ?


ในใจของนักข่าวสาวเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ไม่ดีสักเท่าไหร่ ตัวเธอเป็นถึงนักข่าว แต่กลับไม่สามารถรายงานข่าวที่เป็นข้อเท็จจริงได้ ทั้งยังต้องฝ่าฝืนกฏเกณฑ์ของอาชีพตัวเอง เพื่อชื่นชมคนน่ารังเกียจพวกนี้อย่างเปิดเผยโจ่งแจ้ง ให้ตายเถอะ!


“ฉิวฉิวรีบกลับมาเดี๋ยวนี้ ถ้าไม่กลับมาฉันจะถลกขนแกซะ!”


จ้าวเสวียกงตะโกนร้องเรียกฉิวฉิวพร้อมกับวิ่งตามมันไป เป็นจังหวะพอดีกับที่วิ่งชนเข้ากับนักข่าวสาว เพียงแต่สามารถประมาณแรงของตัวเองได้เป็นอย่างดี จึงทำให้แรงกระแทกนั้นไม่รุนแรง


“โทษทีครับ!”


จ้าวเสวียกงขอโทษขอโพยต่อนักข่าวสาว จากนั้นค่อยๆ อุ้มฉิวฉิวที่นอนขดอยู่บนพื้นอย่างว่าง่ายขึ้นมา ดวงตาของนักข่าวสาวเปล่งกายอย่างฉับพลัน เธอได้รับความดึงดูดจากฉิวฉิวเสียแล้ว


“กระรอกสีขาว น่ารักจังค่ะ สัตว์เลี้ยงของคุณหรือคะ?” นักข่าวสาวถามขึ้น กระรอกน้อยสีขาวพบเห็นได้น้อยมาก ฉิวฉิวทั้งฉลาดร่าเริงได้ขนาดนี้ ใครเห็นต่างก็อยากเข้าไปอุ้ม


“น้องสาวของผมเลี้ยง เจ้าตัวเล็กนี่ไม่เชื่อฟังเลยสักนิด ดีดดิ้นจะมาร่วมงานแข่งขันให้ได้ พอมาถึงก็ไม่ยอมอยู่นิ่ง กลับไปต้องตีแกด้วยไม้กระดานให้หลาบจำ!”


จ้าวเสวียกงแสร้งเป็นจงใจตบเบาๆ ที่ก้นของฉิวฉิว คุณชายฉิวอย่างมันจึงกลอกตาขาวส่งให้เขา!


หากไม่ใช่เพราะเป็นเรื่องของเจ้านาย คุณชายอย่างมันก็เบื่อที่จะต้องมาเล่นละครกับคนโง่อย่างเขาหรอก!


สายตาของนักข่าวสาวมองตามจ้าวเสวียกงไปอย่างไม่รู้ตัว แต่กลับเห็นเขาส่งกระรอกสีขาวตัวนั้นไปสู่อ้อมอกของเด็กผู้หญิงตัวเล็กคนหนึ่งที่มีหน้าตาสละสลวยราวกับเทพธิดาตัวน้อย


เด็กผู้หญิงหน้าตางดงามอุ้มเจ้ากระรอกที่ชาญฉลาดตัวน้อยไว้ ช่างงดงามราวกับภาพวาด


ได้ยินเด็กผู้ชายคนนั้นพูด เด็กผู้หญิงคนนี้ก็เป็นผู้เข้าแข่งขันนี่นา!


นึกไม่ถึงเลยว่าปีนี้จะมีเด็กผู้หญิงหน้าตาสะสวยเช่นนี้เข้าร่วมแข่งขัน นักข่าวสาวถูกเหมยเหมยและฉิวฉิวดึงดูดไปในทันที ฝีเท้าของเธอจึงเปลี่ยนทิศทางการเดิน และมุ่งหน้าไปหาเหมยเหมย


ลูกสาวของผู้อำนวยการโอหยางไม่รีบหรอก สัมภาษณ์สาวน้อยน่ารักคนนี้เสร็จค่อยว่ากัน!


เหมยเมหยที่เห็นว่านักข่าวสาวมุ่งเดินมาหาเธอ มุมปากจึงยกยิ้มเล็กน้อย หันไปขยิบตาส่งให้จ้าวเสวียกงอย่างพึงพอใจ


แท้จริงแล้วไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน มุขตลกขบขันก็มักจะสามารถตบตาคนหมู่มากได้เสมอ!


“สาวน้อยเธอก็เข้าร่วมแข่งขันเหมือนกันหรือ?” นักข่าวสาวยิ้มหวานและถาม


“ค่ะ หนูเป็นตัวแทนจากเมืองจินเข้าร่วมแข่งขัน นั่นคือครูที่นำทีมหนูมา”


เหมยเหมยชี้ไปทางเหยียนโฮ่วเต๋อ เมื่อครู่สมองประมวลผลกะทันหัน เธอนึกถึงวิธีดีๆ สำหรับการยิงปืนนัดเดียวแล้วได้นกสองตัว


เหยียนโฮ่วเต๋อเดินเข้ามาหาอย่างเร่งรีบ คงไม่ต้องพูดถึงว่าตื่นเต้นสักเพียงไหน นี่เป็นถึงการเผยโฉมหน้าสู่สาธารณะชนทั้งประเทศเลย เขาจะต้องแสดงออกให้ดีหน่อยเพื่อไม่ให้อับอายขายขี้หน้า!


นักข่าวสาวไม่ได้สนใจต่อเหยียนโฮ่วเต๋อเลยสักนิด เธอถามออกไปเพียงไม่กี่ประโยคเพื่อเป็นมารยาท แล้วจึงหันไปถามเหมยเหมยอีกครั้ง “สาวน้อยเธอมั่นใจในการแข่งขันครั้งนี้ไหม?”


“หนูมั่นใจในฝีมือการวาดรูปของตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่หนูไม่มั่นใจในการแข่งขันครั้งนี้” อู่เหมยยกยิ้มและพูด


…………………………………………………………


บทที่ 636 วางระเบิดใต้น้ำลึก


นักข่าวสาวมองเหมยเหมยอย่างสงสัย ในคำพูดของสาวน้อยคนนี้ที่มีความหมายแอบแฝง


สติปัญญาบอกเธอไว้ว่าไม่ควรถามอะไรต่ออีก แต่ความรู้สึกนึกคิดกลับทำให้เธอไม่อาจควบคุมตัวเองได้ เธออยากรู้เป็นอย่างมาก สาวน้อยคนนี้จะมีคำพูดที่น่าทึ่งสักเท่าไหร่ออกมาจากปากของเธอ


และอาจเป็นไปได้ว่าหลายปีมานี้เธออดทนมากเกินไป หรืออาจจะเป็นจิตใต้สำนึกของเธอ และหวังว่าจะมีใครสามารถพูดอะไรออกมาในคำพูดที่ตัวเธอไม่กล้าพูด…


แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุอันใดก็ตาม นักข่าวสาวไม่ได้ถอยไมโครโฟนออกแต่อย่างใด แต่เธอกลับถามต่อ


“สาวน้อยทำไมถึงพูดแบบนี้ล่ะ?”


เหมยเหมยมองนักข่าวสาวครู่หนึ่งอย่างชื่นชม นักข่าวที่กล้าเผยแพร่ข่าวที่เป็นข้อเท็จจริงถือเป็นนักข่าวที่ดี เพียงแค่นักข่าวสาวผู้นี้ถามออกมา เธอจะไม่มีทางปฏิบัติกับนักข่าวสาวอย่างไม่ยุติธรรม


ตระกูลจ้าวมีความสามารถมากพอที่จะปกป้องนักข่าวอย่างเธอได้


“ทำไมถึงพูดแบบนี้น่ะเหรอ? เพราะฉันคิดว่าสำหรับพวกเราที่ตั้งใจเรียนวาดรูปนั้นการแข่งขันคงจะเป็นดั่งสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้เราได้รับความแน่วแน่และกำลังใจ ฉันคิดมาตลอด แค่เราพยายามให้มากก็จะได้รับสิ่งตอบแทน เพราะฉะนั้นฉันจึงหอบเอาความมั่นใจมาด้วยอย่างเต็มเปี่ยม และฉันก็คิดว่าผู้เข้าแข่งขันคนอื่นคงจะคิดเหมือนกับฉัน และแน่นอนว่าอาจจะมีข้อยกเว้นบางอย่าง”


ขณะนี้บริเวณที่เหมยเหมยอยู่ห้อมล้อมเข้ามาด้วยผู้เข้าแข่งขันจำนวนมาก เมื่อพวกเขาได้ฟังคำพูดของเหมยเหมยจึงพร้อมใจกันปรบมือให้ บ่งบอกได้ว่าถึงการเห็นด้วยของพวกเขา


ความจริงก็เป็นเช่นนี้ พวกเขาแต่ละคนมีใครที่ไม่ใช่คนที่โดดเด่นบ้างล่ะ?


มาถึงเมืองหลวงก็ต้องหวังจะได้รางวัลกันทั้งนั้น พวกเขาทุกคนต่างมีความมั่นใจล้นหลาม


เพียงแต่ข้อยกเว้นที่สาวน้อยคนนี้พูดหมายความว่ายังไง?


นักข่าวสาวจับใจความคำพูดของเหมยเหมยได้ เธอจึงชื่นชมในใจว่าเด็กสมัยนี้มีความกล้านัก ต่อหน้าสาธารณะยังกล้าพูดคำพูดแบบนี้ออกมา


เธอคิดว่าควรจะหยุดการสัมภาษณ์ไว้เพียงเท่านี้ เพราะหากเธอยินยอมให้เหมยเหมยพูดออกมา คงจะถือโทษต่อหลายๆองค์กรที่มีชื่อเสียงไม่น้อย และอาจเป็นไปได้ว่าภาพวาดของสาวน้อยคนนี้อาจจะถูกทำลายไปด้วย


เหมยเหมยที่เห็นถึงสายตาเป็นกังวลของนักข่าวสาว และเธอรู้ดีว่านักข่าวคนนี้เตรียมจะก้าวถอยห่าง เธอจึงหันไปขยิบตาส่งให้นักข่าวสาวด้วยความทะเล้น และแย่งไมโครโฟนมาอย่างรวดเร็ว


“พวกคุณคงสงสัยที่ฉันพูดว่าข้อยกเว้นคืออะไร ฉันขออธิบายสักหน่อย ข้อยกเว้นก็คือ มีผู้เข้าแข่งขันบางราย เธอถูกตัดสินภายในให้ได้รับรางวัลที่สองตั้งแต่การแข่งขันยังไม่ทันจะเริ่มเสียด้วยซ้ำ”


คำพูดของอู่เหมยเปรียบเสมือนระเบิดน้ำลึก ที่ระเบิดลงไปใต้คลื่นลึกถึงพันชั้น


ผู้คนต่างมองเหมยเหมยด้วยความตกใจ พวกเขาต่างไม่นึกสงสัยใดๆ ในคำพูดของเหมยเหมย เบื้องลึกด้านมืดสามารถเกิดขึ้นได้ทุกช่วงเวลา แต่พวกเขายังคงหวังว่าการแข่งขันของพวกเขาจะเป็นอะไรที่ยุติธรรม


เพียงแต่คำพูดของเหมยเหมยกลับทำให้ความหวังของพวกเขาต้องแหลกสลาย!


ทุกคนต่างโกรธมาก!


มีสิทธิ์อะไรกัน ?


มีคนถามขึ้นเสียงดัง “การตัดสินจากคนภายในให้รางวัลที่สองไปแล้วจริงหรือ?”


เหยียนโฮ่วเต๋อที่คิดจะแสดงตัวต่อหน้าสาธารณชนพลันมีสีหน้าซีดลงในทันที ใครจะรู้ล่ะว่าลูกสาวของท่านรองผู้ว่าจะเป็นผู้กล้าหน้าโง่ปากไม่มีหูรูด กล้าจุดประทัดต่อหน้านักข่าวในเมืองหลวง!


ตัดสินจากคนภายในให้รางวัลที่สองแล้วทำไมหรือ ไม่ได้ตัดสินรางวัลที่หนึ่งก็แสดงว่าพวกที่ใช้เส้นสายยังหลงเหลือความดีอยู่บ้าง แล้วทำไมลูกสาวท่านรองผู้ว่าต้องเอาจริงเอาจังขนาดนี้ด้วยล่ะ!


เหยียนโฮ่วเต๋อเดินไปด้านหน้าเพื่อพูดเสริมเรื่องที่เกิดขึ้น “เด็กน้อยยังไม่รู้เรื่องอะไรจึงพูดไปเรื่อยเปื่อย คุณนักข่าวรีบไปสัมภาษณ์เด็กคนอื่นๆ ต่อเถอะครับ!”


เหมยเหมยมองเหยียนโฮ่วเต๋อราวกับส่งยิ้มให้แต่ไม่ เธอจงใจพูด “ครูเหยียนคะ แต่ก่อนครูสอนพวกเราว่าหากเจอเหตุการณ์ที่ไม่ยุติธรรมจะต้องกล้าที่จะพูดออกมาไม่ใช่เหรอ? ตอนนี้หนูก็ทำตามคำสั่งสอนของครูแล้วไง!”


เหยียนโฮ่วเต๋ออยากจะร้องไห้แต่ร้องไม่ออก เจ้าเด็กตัวแสบ!


เขาเคยพูดจาบ้าๆ แบบนี้เสียเมื่อไหร่กัน!


บนโลกนี้เรื่องอยุติธรรมมีมากถมไป จัดการได้เสียที่ไหนกัน เมื่อพบพานเรื่องอยุติธรรมมันเป็นเรื่องของวีรบุรุษและพระโพธิสัตว์ เกี่ยวข้องอะไรกับเขาล่ะ!


…………………………………………………….


บทที่ 637 ให้ข้อโต้แย้ง


เหมยเหมยที่เห็นท่าทีร้องไห้แต่ไร้ซึ่งน้ำตาของเหยียนโฮ่วเต๋อก็อารมณ์ดีเป็นอย่างมาก เหอะ ชายชั่วที่คิดจะยืมมือพ่อเข้าใช้เพื่อความก้าวหน้า ฝันไปเถอะ!


ให้เขาได้แสดงธาตุแท้ออกมา!


เหยียนโฮ่วเต๋อไม่ได้สนใจต่อลูกสาวรองผู้ว่าอะไรนั่น เขาเพียงต้องการหยุดไม่ให้เหมยเหมยพูดต่อ เขาโมโหต่อคำพูดคำจาของเจ้าเด็กแสบคนนี้จริงๆ แล้วเขาจะหวังพึ่งอะไรได้อีก?


จ้าวเสวียกงและทั้งสามพี่น้องขยับเข้ามาอย่างพร้อมเพรียงเพื่อขวางหน้าเขาไว้อย่างมิได้นัดหมาย ด้านซ้ายด้านขวาด้านหน้าต่างถูกขวางไว้หมด เหยียนโฮ่วเต๋อหลงเหลือเพียงแค่หนทางให้ถอยหลัง เขาที่ร้อนรนจนอยากจะเรียนรู้วิชาจากซุนหงอคง[1] เพื่อจะได้ตีลังกากลางอากาศข้ามไป


หวงอวี้เหลียนและหร่วนหวาไฉ่ต่างก็รับรู้ได้ถึงความเคลื่อนไหวจากทางฝั่งนั้น แต่ก็ไม่อาจรู้ว่าเกิดเหตุอันใดขึ้น โอหยางซานซานเริ่มไม่พอใจจึงยกมุมปากสูงมาก


เพราะคนที่โดนล้อมให้อยู่ตรงกลางไม่ใช่เธอ!


คนที่ปรากฏตัวก็ไม่ใช่เธอ!


นั่นจึงทำให้คนที่คิดว่าตัวเองดีเพียบพร้อมอย่างโอหยางซานซานเกิดความไม่พอใจ แน่นอนว่าสีหน้าท่าทีของเธอต้องแย่ตามไปด้วย


หวงอวี้เหลียนเองก็ไม่พอใจ เมื่อวานเธอตั้งใจโทรไปหาสำนักวารสารสังคมเอง เพื่อให้นักข่าวถามคำถามลูกสาวของเธอให้มาก และโฟกัสกล้องมาที่เธอบ่อยๆ นักข่าวพวกนี้ทำอะไรกันอยู่ จนป่านนี้ยังไม่โผล่หัวมาเลย


“เข้าไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”


หวงอวี้เหลียนเดินเข้ามาด้วยท่าทางวางมาด เธอจะเข้าไปดูให้เห็นว่าเป็นใครมาจากไหน กล้าแย่งลูกสาวของเธอออกหน้าได้ขนาดนี้!


เหมยเหมยมองเห็นพวกเขาทั้งสามรวมถึงหวงอวี้เหลียนเดินเข้ามาทางนี้ จึงหัวเราะเยาะไปที และพูดเสียงดังขึ้นกว่าเดิม “ถูกต้อง รางวัลที่สองตัดสินจากคนภายในไว้แล้ว อีกทั้งผู้เข้าแข่งขันที่ถูกตัดสินให้ได้รางวัลนั้นได้มาโดยไม่ใช่ความสามารถจริงๆ ของตนด้วย แค่เธอมีอาจารย์ดีเท่านั้นเอง!”


เหยียนโฮ่วเต๋อในขณะนี้หน้าซีดเทา ตายแล้วตายแล้ว เจ้าเด็กแสบทำให้เขาต้องลำบากแล้ว!


หวงอวี้เหลียนและหร่วนหวาไฉ่ต่างก็ได้ยินคำพูดของเหมยเหมย สีหน้าจึงเปลี่ยนไปและเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น อยากเห็นหน้านักว่าเป็นใครหน้าไหนที่กล้าได้มากขนาดนี้ ต่อหน้าคนหมู่มากยังกล้าพูดจาไร้สาระ


เหมยเหมยจึงพูดต่อ “หากพูดถึงระดับความสามารถของผู้เข้าแข่งขันคนนี้ แม้แต่สิทธิ์ที่จะเข้าร่วมแข่งขันในครั้งนี้ยังไม่มีเลย เธอมีสิทธิ์อะไรที่จะได้รับรางวัลที่สอง? สิทธิ์ของอาจารย์เธอที่เป็นผู้ดูแลการแข่งขันครั้งนี้งั้นหรือ?”


ระเบิดน้ำลึกได้ระเบิดลงไปใต้คลื่นลึกถึงพันชั้นอีกครั้ง!


คำพูดของเหมยเหมยพูดได้ชัดเจนมากพอแล้ว คนที่รับรู้เรื่องราวเหล่านั้นบ้างเล็กน้อย ก็รับรู้ได้ในทันทีว่าเธอต้องการจะสื่อถึงใคร โดยเฉพาะผู้เข้าแข่งขันจากเมืองหลวง พวกเขาไม่พึงพอใจต่อการที่โอหยางซานซานได้เข้าร่วมแข่งขันอยู่แล้ว เพียงแค่ไม่กล้าพูด


แต่เหมยเหมยเป็นผู้เริ่มที่จะฉีกผ้ากั้นสิ่งชั่วช้าชั้นนี้ออก แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางทนต่อได้ จึงเริ่มทยอยโห่เสียงร้องขึ้น!


“ใช่ ระดับฝีมือการวาดภาพไม่ต่างไปจากเด็กอนุบาลเลย เธอมีสิทธิ์อะไรได้รับรางวัลที่สอง?”


ต่อให้โอหยางซานซานจะโง่แค่ไหน เธอก็รู้ได้ว่าคนที่เหมยเหมยพูดถึงอยู่คือตัวเธอเอง แต่เธอกลับไม่คิดว่าตัวเธอวาดได้ไม่ดี เธอรู้สึกว่าตนเองวาดดีมาโดยตลอด แต่กลับคิดว่าที่เหมยเหมยพูดออกมาแบบนั้นเป็นเพราะอิจฉาเธอ!


อิจฉารูปลักษณ์หน้าตาของเธอ อิจฉาความสามารถของเธอ อิจฉาที่เธอได้รับความนิยมชมชอบจากคุณย่าจ้าวมากกว่า เหอะ เด็กบ้านนอกที่ถูกเลี้ยงดูให้เติบโต ต่อให้สวมมงกุฎหงส์ก็ไม่มีทางเหมือนเจ้าหญิง!


หวงอวี้เหลียนขมวดคิ้วแน่น เธอนึกไม่ถึงว่าคนที่พูดจาสามหาวต่อหน้าทุกคนจะเป็นเหมยเหมย แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่จัดการได้ยากแล้วล่ะ!


เธอกระซิบข้างหูหร่วนหวาไฉ่ไม่กี่ประโยค หร่วนหวาไฉ่รับบัญชายิ่งชีพ หวงอวี้เหลียนจึงได้พาตัวโอหยางซานซานเลี่ยงออกมา เรื่องนี้เธอไม่จำเป็นต้องออกหน้า แค่ทำเป็นไม่รู้เท่านั้นพอ!


เหมยเหมยกลับไม่คิดจะปล่อยทั้งสองแม่ลูกไปง่ายๆ จึงพูดขึ้นอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้น “ทางผู้จัดควรจะออกมาอธิบายให้พวกเราเข้าใจถึงเหตุผลสักหน่อยไหม? ในเมื่อรางวัลที่สองก็ได้ตัดสินออกมาแล้ว ฉันอดคิดไม่ได้เลยว่ารางวัลที่หนึ่งและรางวัลที่สามจะต้องตกไปเป็นของนักเรียนหรือลูกหลานของผู้นำคนใดคนหนึ่งด้วยหรือเปล่า? ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ฉันมาเข้าร่วมแข็งขันจะมีความหมายอะไร?”


…………………………………………………………………………………………..


[1] หรือเรียก เห้งเจีย เป็นตัวละครเอกในเรื่องไซอิ๋ว เดิมเป็นหินที่ถูกแสงสุริยันจันทราอาบมากว่า 1,000 ปี วันหนึ่งจึงแตกออกและกลายเป็นลิงตัวหนึ่ง จากนั้นได้เข้าไปอยู่กับฝูงวานรที่เขาไม้ผล (เขาฮัวกั่ว) และตั้งตัวเป็นจ่าฝูง เหล่าวานรในฝูงนับถือเป็นท่านอ๋อง ฉายา “มุ้ยเกาอ๋อง” (พญาวานรโสภา)

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)