ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 629-632
ตอนที่ 629 ตี้เสียในตำนาน
“หากพูดถึงการเล่นหมากรุก ฝีมือของเทียนตี้ย่อมล้ำเลิศกว่านัก”
ผู้ที่พูดออกมา ก็คือจื่อเวยซิงจุนที่สวมใส่ชุดสีม่วงตลอดทั้งร่าง
ยามนี้เขากำลังคุกเข่าอยู่ที่ข้างโต๊ะเตี้ย หรี่ดวงตาลง มองดูกระดานหมากตรงหน้า “เทียนตี้ทรงเสด็จมายังตำหนักจื่อเวยกง คงมิใช่เพียงเพื่อจะเล่นหมากกระดานกับข้าเท่านั้นสินะ?”
บุรุษที่นั่งอยู่ตรงหน้าเขา สวมใส่ชุดสีทองตลอดร่าง
รอบกายของบุรุษผู้นี้แวดล้อมไปด้วยละอองสีทอง เรียวแขนและทรวงอกของเขาเปิดเผยออกมาจนเกือบทั้งหมด
ผิวพรรณดุจหยกเนื้อโบราณ ผิวทุกตารางนิ้วมีแสงสว่างเรืองรองออกมา
รอบท่อนแขนมีผ้าคาดสีทองเส้นหนึ่งล้อมรอบอยู่ และแม้ว่าจะไม่มีสายลมเกื้อหนุน แต่ผ้าคาดเส้นนั้นก็ยังคงลอยพลิ้วอยู่ได้ เช่นเดียวกับเส้นผมสีทองยาวสลวยที่พลิ้วขึ้นไปในอากาศอยู่ตลอดเวลา
แต่เพราะรอบกายของเขามีรัศมีสีทองสุกสว่างอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้ไม่อาจมองเห็นว่ามีรูปโฉมเช่นใดกันแน่
เห็นแต่เพียงเค้าโครงภายนอกเท่านั้น แต่ก็ยังสามารถคาดเดาได้ว่าจะต้องงดงามอย่างยิ่ง
คนผู้นี้ ย่อมจะต้องเป็นผู้ที่มีฐานะสูงส่งที่สุดในแดนสวรรค์—ตี้เสีย
พอได้ฟังคำพูดของจื่อเวยซิงจุน พระหัตถ์ที่คีบเม็ดหมากเอาไว้ จึงค่อยวางลงไปบนกระดาน
ปลายนิ้วเรียวยาวขยับเบาๆ ก็ได้ยินเสียง ‘เพี้ยะ’ครั้งหนึ่ง ทั่วทั้งกระดานก็แตกสลาย
จากนั้นทั้งหมดก็กลายเป็นฝุ่นผง
ฝ่าพระหัตถ์ใหญ่โตนั้นโบกเบาๆ “จื่อเวย ดาวจักรพรรดิมืดครึ้มมาหลายวัน ในฐานะที่เป็นผู้นำของเทพเจ้าประจำดวงดาวต่างๆ เจ้ากลับไม่มีเรื่องใดจะรายงานกระนั้นหรือ?”
น้ำเสียงที่ตรัสถาม เย็นชาสุดหยั่ง
จื่อเวยซิงจุนนั่งคุกเข่าอยู่ที่ข้างโต๊ะเตี้ย มองดูกระดานหมากที่แหลกละเอียดเป็นผุยผง แม้แต่ตัวหมากบนกระดานก็กลายเป็นฝุ่นละอองไปด้วย ขนตาของเขากระพริบน้อยๆ
“เทียนตี้….” นานพักใหญ่ จื่อเวยซิงจุนจึงได้เอ่ยปากขึ้นมา ริมฝีปากของเขาแทบจะผนึกติดกันไปแล้ว พอเอ่ยออกมาคำหนึ่งแต่ก็ยังพูดอะไรไม่ออกอยู่ดี
กลับเป็นตี้เสียที่ทรงโบกพระหัตถ์ครั้งหนึ่ง ก็ทำให้จุดที่เดิมวางกระดานหมากบนโต๊ะ กลายเป็นแผนที่ดวงดาว
บนแผนที่ดวงดาวมีตำแหน่งของดวงดาวต่างๆกระจายอยู่นับไม่ถ้วน
ดวงดาวที่ใหญ่ที่สุดในหมู่ดาวทั้งหลาย กลับมิใช่ดวงดาวที่สว่างที่สุด
เพราะมีดวงดาวมืดทึบที่อยู่ด้านข้าง คอยดูดกลืนแสงสว่างของมันเอาไว้
แต่ว่าดาวที่มืดมิดดวงนั้นก็มิได้สว่างไสวขึ้นมาเช่นกัน มันดูไปแล้วกลับเหมือนหลุมดำแห่งหนึ่งมากกว่า
มันไม่เพียงแต่ดูดซับแสงสว่างของดาวจักรพรรดิ์ แต่ยังดูดซับแสงสว่างจากดาวอื่นๆเข้าไปด้วย แค่ได้มองเห็นเพียงแวบเดียวก็ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ
ปลายดัชนีของตี้เสียไล้ผ่านเหนือแผนที่ดวงดาว “เราต้องการคำอธิบายจากเจ้า”
จื่อเวยซิงจุนนั่งหลังตรง จ้องมองดูแผนที่ดวงดาว
ชั่วขณะนั้น ทุกอย่างรอบกายราวว่ามีแต่ความเงียบงัน จนทำให้เขาได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจของตนเอง
“เทียนตี้ สรรพชีวิตในโลกหล้าล้วนต้องมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ แม้แต่ดวงดาวก็มียามที่สุกสกาวและอับแสง”
พอกราบทูลเช่นนี้ออกไป จื่อเวยซิงจุนก็รู้สึกได้ถึงประกายตาเฉียบคมที่มองวาบลงมาบนศีรษะ แทบจะผ่าเขาออกเป็นสองส่วน
“ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นเทพประจำดาวจื่อเวย ที่ชี้นำดาวดวงอื่นๆ แต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงลิขิตของดวงดาวได้”
ขณะที่พูดออกไป หน้าผากของจื่อเวยซิงจุนก็ปรากฏเหงื่อบางๆชั้นหนึ่ง
ตี้เสียทรงพระสรวลออกมาอย่างเย็นชา “หากเป็นดังที่เจ้าว่า แล้วเกิดมีคนในหกภพภูมิคิดก่อกบฏต่อแดนสวรรค์ เราก็ควรนั่งมองดูโดยไม่ต้องสนใจ แล้วก็ส่งมอบแดนสวรรค์นี้ออกไปให้กระนั้นหรือ!
ด้วยอำนาจบารมีของพระองค์ เพียงตรัสออกมาเบาๆไม่กี่ประโยคก็ทำให้ตำหนักจื่อเวยทั้งหลังสั่นสะท้านได้แล้ว
ในป่าเซียน ตู๋กูซิงหลันพึ่งจะเก็บผลไม้เสร็จ พอตำหนักจื่อเวยสั่นสะเทือน จึงทำให้ผลไม้ทิพย์ในมือของนางร่วงลงไปบนพื้น
ถึงแม้ว่าจะอยู่ไกลออกมา แต่นางก็ยังรู้สึกได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งอย่างน่ากลัว
ด้วยสภาพร่างกายของเยี่ยเฉิน จึงเหมือนกับเผชิญแรงกดดันที่กระแทกเข้าสู่หัวใจจนสั่นสะท้าน
อวัยวะภายในทั้งหมดกระดอนขึ้นจนเกือบจะกระอักเลือดออกมา
พวกกวางน้อยในป่าก็พากันตกใจ ต่างวิ่งหนีอย่างกระเจิดกระเจิง ตัวที่ขี้กลัวสักหน่อยถึงกลับวิ่งจนหกล้มหัวปักลงไปในโคลนก้นที่โผล่อยู่ก็ยังสั่นสะท้านไม่หาย
เจ้าตัวที่ทำเขาติดอยู่ในป่าไผ่ ก็ทำเขาหักดังเปรี้ยะ
เขากวางคู่หนึ่งลอยขึ้นมาจากบนพื้น ข้างหนึ่งกระเด็นใส่หน้าตู๋กูซิงหลัน อีกข้างหนึ่งพุ่งขึ้นไปบนหอสูง
ตู๋กูซิงหลันสายตาดีมือเท้าว่องไว จึงคว้าเขากวางที่พุ่งเข้าใส่ใบหน้าของตนเองไว้ได้ทัน
พอนางตัดสินใจจะพุ่งไปคว้าอีกข้างก็รู้สึกว่า นางชักจะเก่งกาจเกินไปแล้วราวกับปีศาจยักษ์มือเดียวเสียจริงๆ ฮ่า ฮ่า ฮ่า!
จิตวิญญาณเยี่ยเฉินที่ถูกกำราบอยู่ในยันต์ “…..”
ถึงแม้ว่าจิตมังกรของเขาจะถูกผนึกเอาไว้ แต่ว่าก็ยังรู้สึกได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอก
อาจบอกได้ว่าเขาถูกผนึกเอาไว้เพียงครึ่งเดียว ตู๋กูซิงหลันจงใจทำเช่นนี้ ก็เพื่อไม่ให้เหล่าเทพในแดนสวรรค์จับพิรุธได้
เขากวางข้างนั้นบินออกไปเร็วมาก ราวกับลูกธนูที่หลุดออกจากแล่ง เพียงพริบตาเดียวก็พุ่งขึ้นไปถึงบนหอสูงแล้ว
ทั้งยังพุ่งตรงเข้าหาหว่างคิ้วของตี้เสียอย่างไม่มีผิดพลาด
ทั้งที่ยังมองไม่เห็นเขากวางอย่างชัดเจน จื่อเวยซิงจุนก็ได้กลิ่นหอมเฉพาะพิเศษจากกวางโรของตนเองลอยมาก่อนแล้ว
หัวใจของเขาร้องตะโกนออกมา รู้สึกได้ว่ากำลังจะเกิดเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว!
จริงเสียด้วย พอมองไป ซวยแล้ว……หน้าผากของเขาแทบจะมุดจมลงไปบนพื้น
ใครจะไปคิดว่า อยู่ดีๆกลางวันแสกๆ จะมีเขากวางของเขาบินออกมาถึงที่นี่?
บินออกมาก็แล้วไปเถอะ…..
แต่ว่ามันดันพุ่งเข้าใส่พระเศียรของตี้เสียนี่น่ะสิ
แม้จื่อเวยซิงจุนรักษาเนื้อรักษาตัวเอาตัวรอดมาได้ตลอดหลายปี แต่เกรงว่าวันนี้คงต้องถูกกลบฝังเพราะเขากวางข้างหนึ่งเสียแล้ว
ในใจของเขาเกิดภาพอย่างชัดเจน ช่วงเวลาเช่นนี้เขาสมควรพุ่งออกไปใช่ร่างกายตนเองสกัดเขากวางข้างนั้นเอาไว้ แต่ว่าร่างกายกับแข็งทื่อขึ้นมา กว่าที่สมองจะกระตุ้นเตือน ก็กลายเป็นสละโอกาสให้เขากวางข้างนั้นไปเสียแล้ว
หากเขาไม่ได้ชักช้าไปชั่ววูบ เขากวางข้างนั้นย่อมไม่มีทางลอยไปถึงหน้าผากของเทียนตี้อย่างแน่นอน
ตี้เสียยังคงประทับอยู่ที่เดิม แถบผ้าสีทองบนท่อนแขนโบกระบำอย่างรุนแรงขึ้นมา
พระองค์จับจ้องด้วยสายพระเนตรเกรี้ยวกราด ลำแสงสีทองสายหนึ่งปรากฏขึ้นมาในทันที จากนั้นก็พุ่งออกไปคว้าเขากวางข้างนั้นเอาไว้อย่างรวดเร็ว นำมาชูอยู่เบื้องหน้าตี้เสียด้วยความคล่องแคล่วราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายของเขา
พระองค์ยังคงนั่งวรองค์ตรงอย่างน่าเกรงขาม หลังจากที่เขากวางข้างนั้นถูกลำแสงสีทองยึดเอาไว้อย่างเหนียวแน่นแล้ว พระหัตถ์ของตี้เสียถึงได้ยื่นออกไปรับมันลงมาที่ระดับสายตา
หลังจากพิจารณาดูอยู่ในพระหัตถ์ครู่หนึ่ง จึงค่อยส่งต่อให้กับจื่อเวยซิงจุน
“ที่แท้แล้วเขากวางในป่าเซียนแห่งนี้ก็สามารถนำมาใช้เป็นอาวุธสังหารได้ด้วยนี่เอง เรานับว่าได้เปิดหูเปิดตาแล้ว”
พอตรัสออกมาเช่นนี้ จื่อเวยซิงจุนก็ถึงกับขนลุกขึ้นมาทั้งร่าง
เขารีบลุกขึ้นมาจากข้างโต๊ะ เดินไปคุกเขาลงที่เบื้องหน้าตีเสีย
“เทียนตี้โปรดทรงวินิจฉัยด้วย เขากวางพวกนี้แต่ไหนแต่ไรก็ถูกส่งไปยังตำหนักโตวซ่วยกง เพื่อนำไปทำเป็นยาตันอยู่เสมอ วันนี้เกรงว่ากวางพวกนั้นคงซุกซนจนพิเรนทร์ เขากวางข้างนั้นถึงได้พุ่งออกมาถึงเบื้องพระพักตร์ของเทียนตี้อย่างมิได้ตั้งใจ เกือบจะทำให้พระองค์ทรงได้รับบาดเจ็บเข้าแล้ว”
แม่เอ้ย คำแก้ตัวผีสางเช่นนี้กระทั้งตัวเขาเองก็ยังไม่มีทางเชื่อเลย
เทียนตี้ย่อมมิใช่คนโง่ แน่นอนว่าจะต้องไม่เชื่อ
พระองค์ทอดพระเนตรมองดูเขากวางที่วางอยู่ตรงหน้าจื่อเวยซิงจุน ก็เงยพระพักตร์มองออกไปทางป่าเซียนของตำหนักจื่อเวยกง
ละอองสีม่วงปกคลุมไปทั่วป่าเซียน กวางน้อยฝูงหนึ่งกำลังตื่นตระหนกตกใจ
และท่ามกลางฝูงกวางน้อยเหล่านั้น ก็มีบุรุษหนุ่มเยาว์วัยในเครื่องแบบของนักรบเทพอยู่ผู้หนึ่ง
มือข้างหนึ่งของเขา ยังถือเขากวางชิ้นหนึ่งเอาไว้อีกด้วย
จื่อเวยซิงจุนก็มองออกไปเช่นกัน แม้ว่าป่าเซียนจะอยู่ห่างจากหอสูงเป็นระยะไม่น้อย แต่ว่าด้วยพลังบำเพ็ญเพียรของพวกเขา ย่อมสามารถมองเห็นสภาพในป่าไผ่ได้อย่างง่ายดายและชัดเจน
พอได้เห็นตู๋กูซิงหลันเข้า จื่อเวยซิงจุนก็ถึงกับตกตะลึงพรึงเพริดขึ้นมา
ตอนที่ 630 ตู๋กูซิงหลันตกใจจนฉี่ราดแล้ว?
พอมองเห็นว่าในมือของนางมีเขากวางอยู่ข้างหนึ่ง จื่อเวยซิงจุนก็มีโทสะจนเกือบหน้ามืดแล้ว
นี่….เกรงว่าคงจะปฏิเสธไม่พ้นแล้ว!
ในตำหนักของเขากลับมีนักรบเทพอยู่คนหนึ่ง
แถมช่างเป็นเรื่องบังเอิญที่ในมือของนักรบเทพผู้นี้ก็มี ‘อาวุธสังหาร’ พอดี
“เทียนตี้ นี่จะต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดกันแน่ ในหกภพภูมินี้ ต่อให้มีผู้ที่คิดฆ่าพระองค์ แต่ใครเล่าจะโง่เขลาถึงขนาดใช้เขากวางมาเป็นอาวุธสังหาร…”
จื่อเวยซิงจุนปาดเช็ดเม็ดเหงื่อบนใบหน้า ท่าทางที่หวั่นเกรงจนสั่นสะท้านของเขา ไม่มีค่าอะไรในสายพระเนตรของตี้เสียทั้งสิ้น
ในแดนสวรรค์นี้ ไม่มีผู้ใดที่สามารถจะคาดเดาน้ำพระทัยของเทียนตี้ได้ทั้งนั้น
ขณะที่พยายามจะพูดแก้ตัวออกมา น้ำเสียงก็จางหายไปเรื่อยๆ
นับตั้งแต่ที่เขากวางพุ่งออกมาจนถึงพวกเขาพบเห็นตู๋กูซิงหลัน ก็เป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆแวบเดียว
ในขณะที่มือข้างหนึ่งของตู๋กูซิงหลันกำเขากวางเอาไว้ นางก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่มีพลังรุนแรงขนาดสามารถทะลวงผ่านร่างคนได้ขึ้นมา
พอเงยหน้าขึ้นไปบนหอสูง นางก็สามารถมองเห็นละอองแสงสีทองที่รวมกันอย่างแน่นหนา โดยมิต้องใช้พลังวิญญาณในการมองเลยด้วยซ้ำ
ทันทีที่นางเงยหน้าขึ้นไป ก็ได้ยินพระสุรเสียงของตี้เสียตรัสว่า “มาพูดกันที่ตรงหน้านี่”
พระสุรเสียงถึงกับดังกังวานไปทั่วทั้งตำหนักจื่อเวยกง แม้แต่ศิษย์รับใช้ที่เฝ้าประตูอยู่ได้ยินแล้วก็ยังต้องขนลุกชัน
พวกเขารู้ได้ทันทีเลยว่าสถานการณ์ทำท่าจะไม่ดีเสียแล้ว
หรือว่าเทียนสี่ซิงจุนจะก่อเรื่องใดขึ้นมา?
พอคิดถึงปัญหานี้ขึ้นมา ศิษย์รับใช้ทั้งสองก็สมองบวมพอง พวกเขาสมควรจะขึงขังให้มากกว่านี้ หาทางกันให้เทียนสี่ซิงจุนรออยู่แต่ที่ด้านนอกจึงจะถูก
ทันทีที่ตี้เสียตรัสออกมา จื่อเวยซิงจุนก็ลงมือ เห็นปลายนิ้วของเขาขยับเพียงเล็กน้อย ไอสีม่วงที่ล่องลอยอยู่รอบกายตู๋กูซิงหลันก็กักขังนางเอาไว้ จากนั้นคนก็ถูกกระชากออกมาทั้งร่าง
นางเองก็มิได้ต่อต้าน
พอถูกลากมาถึงเบื้องหน้าตี้เสีย ร่างกายนี้ก็เหมือนดังถ้วยแก้วที่ถูกบีบจนใกล้จะแตกร้าวได้ทุกเมื่อ
เยี่ยเฉินอ่อนแอว่าร่างของนางมากนัก
ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองดูแวบหนึ่ง ก็ถูกแสงทองวิบวับเหล่านั้นบาดตาจนตาแทบจะบอดไป
จากความทรงจำของเยี่ยเฉิน เขาเคยมองเห็นตี้เสียจากที่ไกลๆครั้งหนึ่ง ดังนั้นยามที่ตู๋กูซิงหลันถูกลากเข้าไปจนใกล้ตี้เสีย เขาจึงสามารถยืนยันฐานะของพระองค์ได้ตั้งแต่ในแวบแรก
แม้จะเคยคิดเอาไว้ว่า จะช้าเร็วพวกนางก็จะต้องได้พบกับเขา แต่คิดไม่ถึงว่า นางพึ่งจะอยู่ในแดนสวรรค์เป็นวันที่สองก็ได้เจอกันแล้ว
เมื่อครู่นี้นางยังได้เห็นพวกมังกรเขียวหยกลากพระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนผ่านไป เช่นนี้ดูท่าจะมีปัญหาเสียแล้ว เทียนตี้ไม่ได้อยู่ในพระตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน กลับมาขลุกอยู่ในตำหนักจื่อเวยกง เพราะอะไร?
สมองของตู๋กูซิงหลันหมุนวนอย่างรวดเร็ว
นางไม่ได้มองดูตี้เสียอย่างเต็มตา มิว่าจะอย่างไร คนผู้นี้ก็คือผู้ที่มีอำนาจชี้ขาดสูงสุดในแดนสวรรค์ ไม่ว่าผู้ใดได้พบเขาเป็นต้องคุกเข่ากราบกราน
ตอนนั้นเยี่ยเฉินขนาดมองเห็นจากที่ไกลๆ สองขายังสั่นสะท้านขึ้นมาเลย
ดังนั้นตู๋กูซิงหลันในตอนนี้จึงแสดงท่า ‘ขาสั่น’ ได้อย่างสมบทบาทที่สุดแล้ว
ท่าทางของนางเหมือนคนที่ตกใจจนวิญญาณแทบจะหลุดลอยออกไป
ในเมื่อพวกเขายังไม่ได้เอ่ยปาก นางก็ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนพูดอะไรออกไป
รอบวรกายของตี้เสียแวดล้อมไปด้วยรัสมีสีทองส่องสว่าง ตู๋กูซิงหลันยิ่งไม่ได้แอบมองดูเขา ย่อมไม่รู้ว่าเขามีรูปโฉมเช่นใด
สายตาของจื่อเวยซิงจุนและตี้เสียจับจ้องอยู่ที่บนร่างของนาง จากนั้นก็มองไปยังเขากวางที่อยู่ในมือของนาง
ตู๋กูซิงหลันไม่ต้องแอบมองดูก็รู้สึกได้ว่า แววตาทั้งสองสายคิดจะตัดมือของนางทิ้ง
นางยิ่งกำเขากวางเอาไว้แนบแน่น ร่างสั่นสะท้านราวกับตระแกรงร่อนแกลบ
ท่ามกลางรัศมีสีทอง ตี้เสียที่ทอดพระเนตรไปยังนาง ตรัสว่า “เขากวาง…”
แค่เขาเอ่ยปาก ตู๋กูซิงหลันก็ ‘สั่นสะท้าน’ อย่างรุนแรง เท้าของนางอ่อนแรง คนโอนเอนจนหงายลงไปบนพื้น
อ้อ นางย่อมไม่มีทางคุกเข่าห้กับตี้เสียอยู่แล้ว
พอหงายลงไป ก็สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องที่ต้องคุกเข่าได้พอดี
นางล้มลงไปบนพื้น ปากสั่นจนฟันกระทบกัน “ถ้า…ข้า ข้า ข้า….ข้าบอกว่า …..ขะ ขะเขากวางนี้….มันพุ่งเข้ามาใส่มือของข้างเอง ….พะพวกท่าน….จะเชื่อ …เชื่อหรือไม่?”
นางลงทุนทำท่าทางน่าสงสาร หวาดกลัวจนเสียงสั่น ตกใจกลัวจนถึงขั้นฉี่ราดออกมา
อ้อ เอาให้ฉี่มัน ‘สาดเปียก’ กางเกงไปเลย
ปัสสาวะสีเหลืองไหลนองออกมาราวกับของให้เปล่า ส่งกลิ่นฉุนไปทั่ว
จิตมังกรของเยี่ยเฉิน “…..”
ได้โปรด ฆ่าเขาเสียเถอะ!
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่มีหน้าจะอยู่ต่อไปอีกแล้ว
ตู๋กูซิงหลันยึดร่างของเขาไป แล้วยังทำลายชื่อเสียงในแดนสวรรค์ของเขาเสียจนป่นปี้!
ถึงแม้ว่าเขาจะมิได้เป็นที่ต้อนรับขับสู้ในแดนสวรรค์ แต่เกรงว่านับจากวันนี้เป็นต้นไปทั่วทั้งแดนสวรรค์คงจะต้องหัวเราะเยาะเขาอย่างบ้าคลั่งเป็นแน่
คนผู้นี้ถึงกับตกใจจนฉี่ราดออกมา!
คิดว่าเขาไม่รู้จักรักหน้าตาอยู่บ้างหรือไร?
ตู๋กูซิงหลันทางหนึ่งแสดงเป็นตกใจจนฉี่ราดออกมา อีกทางหนึ่งก็โยนเขากวางที่เหมือนกับเผือกร้อนนี้ออกไปไกลๆ
แถมยังโยนได้แม่นอย่างยิ่ง ลงไปกองรวมกับเขากวางอีกข้างพอดิบพอดี
จื่อเว่ยซิ่งจุน “…..”
ทั้งๆที่ในใจของเขาหวาดกลัวแทบตาย แต่ก็ยังไม่วายรู้สึกว่า ภาพเหตุการณ์ตรงหน้าช่างน่าขบขัน
บนแดนสวรรค์แห่งนี้ เต็มไปด้วยกฎระเบียบอันเข้มงวดมากมาย ความสัมพันธ์ระหว่างเทพด้วยกันก็มีแต่เย็นชาและห่างเหิน
ทุกคนต่างวางตนสูงส่ง ทำตนเป็นศูนย์กลางของผู้อื่นอยู่เสมอ แม้แต่เรื่องธรรมดาอย่าง จะไอจามต่อหน้าผู้อื่นยังไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย
เมื่ออยู่เบื้องหน้าเทียนตี้ มีแต่กฎเกณฑ์ที่พึงรักษาไว้ ไม่อาจมีข้อผิดพลาดใดๆ ให้ผู้คนนำไปติฉินนินทาได้แม้แต่น้อย
ตอนนี้กลับมีคนฉี่ราดออกมาตรงหน้า พอเห็นภาพนี้แล้ว จื่อเวยซิงจุนก็จำต้องหันไปเหลือบมองดูเทียนตี้แวบหนึ่ง
เทียนตี้ทรงจดจ้องไปยังตู๋กูซิงหลัน สายพระเนตรกวาดลงไป มองเห็นฉี่ที่ไหลนองอยู่บนพื้น
เมื่อมีละอองสีทองห้อมล้อม ย่อมไม่มีใครมองออกว่าเพราะองค์กำลังมีสีพระพักตร์เช่นไร
ตู๋กูซิงหลันนอนหงายอยู่บนพื้น ‘ตัวสั่นสะท้าน’ อย่างน่าสงสาร
ครู่ต่อมา เทียนตี้ก็ทรงโบกพระหัตถ์ครั้งหนึ่ง ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกได้ทันทีว่าขากางเกงเปลี่ยนเป็นแห้งผาด แม้แต่กลิ่นเหม็นของปัสสาวะก็สลายหายไปจนหมดสิ้น
อืม เทียนตี้ช่างสมกับเป็นเทียนตี้ ขนาดแค่สลายฉี่ยังทำได้จนหมดจดเกลี้ยงเกลา ไม่เหลือร่องรอยแม้แต่น้อย
เขาไม่ไปเกิดเป็นเครื่องซักผ้าช่างเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริงๆ!
แถมนี่ยังเป็นเครื่องซักผ้าชนิดที่สามารถซักฟอก ล้างน้ำและเป่าแห้งได้อย่างเบ็ดเสร็จจบสิ้นภายในครั้งเดียวอีกด้วย
จื่อเวยซิงจุน “…..” ในใจของเขาคิดไปว่า นี่ช่างเป็นเรื่องที่หาได้ยากนัก ว่าตามโทษทัณฑ์ที่บังอาจล่วงเกินเทียนตี้แล้ว หากเป็นปกติ ย่อมต้องถูกโยนลงไปจากลานประหารเซียน ให้ไปเวียนว่ายตายเกิดเป็นสัตว์ชั้นต่ำบนโลก
แต่นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเทียนตี้ทรง ‘ล้างฉี่’
นี่จะไม่ถือเป็นครั้งแรกได้อย่างไร เพราะคนที่กล้าฉี่ออกมาต่อหน้าเทียนตี้ ก็พึ่งจะมีเจ้านักรบเทพผู้นี้เป็นคนแรกนี่หละ
เทียนตี้จับจ้องอยู่ที่ตู๋กูซิงหลัน เห็นนางแทบจะเอาหัวมุดในรอยแยกของแผ่นดินลงไป ก็ตรัสขึ้นมาว่า “เงยหน้า บอกสังกัดที่มา เราจะให้โอกาสเจ้าได้อธิบาย”
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้ถึงแรงกดดันจากร่างของเขา ว่ากันตามจริง ตอนนี้ต่อให้เป็นเยี่ยเฉินมาควบคุมร่างกายด้วยตนเอง ก็ไม่แน่ว่าจะฉี่ราดออกมาเหมือนกัน
ตี้เสียเพียงประทับนั่งเฉยๆ ตรัสเพียงไม่กี่ประโยคก็สามารถทำให้ผู้คนเหน็บหนาวจากในกระดูกและแข็งทื่อทั่วร่างได้แล้ว
ศัตรูเช่นนี้ ต้องถือว่าเข็มแข็งอย่างยิ่ง
ตู๋กูซิงหลัน ‘สูดลมหายใจเข้าไปลึกๆติดๆกัน’ นางเองก็เกือบจะ ‘หายใจหืบหอบออกมา’ ต้องใช้ ‘กำลังใจอย่างสูง’ ถึงได้สามารถควบคุมตนเอง ‘ให้สงบลงได้ในที่สุด’
หลังจากนั้นนางก็แจกแจงสังกัดที่มาของตนเองออกไป ทั้งยังอธิบายว่าทำไมตนถึงมายังตำหนักจื่อเวยกงอย่างละเอียดและไม่มีปิดบัง
ตอนที่ 631 มันเหมือนกับลูกบอลกลมๆ
ฐานะของเยี่ยเฉิน มิได้มีสิ่งใดทำให้ตี้เสียทรงแปลกประทัย
กระทั่งเมื่อตู๋กูซิงหลันเอ่ยถึงเทียนสี่ซิงจุนขึ้นมา ถึงได้ทำให้สายพระเนตรของพระองค์เปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
จื่อเวยซิงจุนเองก็ตกตะลึงขึ้นมา ในใจของเขาแอบโทษว่าศิษย์รับใช้ทั้งสองที่มิได้รีบมารายงานก่อนแต่แรก
เทียนสี่ซิงจุนนำตัวลูกหลานของเผ่ามังกรทมิฬมายังจื่อเวยกงของเขา นี่มิเท่ากับว่าจะหาเรื่องกันหรอกหรือ?
“แต่ไหนแต่ไรเทียนสี่ซิงจุนไม่สนใจเรื่องราวไร้สาระ แต่กลับพาเจ้ามาที่นี่ ช่างแปลกนัก”
ในพระหัตถ์ของตี้เสียมีประคำมุกสายหนึ่ง ทรงหมุนเม็ดมุกไปช้าๆ จากนั้นก็ตรัสออกมา
“บางทีอาจเป็นเพราะเทียนสี่ซิงจุนเห็นแก่ที่ผู้น้อยมาจากโลกเบื้องล่าง ในใจจึงเกิดความสงสารขึ้นมาก็เท่านั้นเอง…” ตู๋กูซิงหลันก้มศีรษะลงไป ตามองแต่พื้นหยกม่วงของตำหนักจื่อเวยกง
หยกพวกนี้ช่างมีสีสันงดงามจริงๆ ไม่รู้ว่าไปขุดมาจากพื้นที่ส่วนใดของดาวสีม่วงดวงนั้น เมื่อครู่ฉี่รดลงไป สีสันก็ไม่แปรเปลี่ยนเลยสักนิด
พื้นที่ปูด้วยหยกสีม่วงเรียบสนิทกัน ทั้งยังสะท้อนภาพได้ราวแผ่นกระจก แม้ก้มศีรษะลงมองก็ยังสามารถมองเห็นเงาร่างของตี้เสียได้อย่างชัดเจน
สำหรับนางในตอนนี้ ตี้เสียคือศัตรูที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว
ความแข็งแกร่งระดับนี้ ไม่ได้ยกยอเกินความจริงอีกด้วย
“สงสารรึ…..” ตี้เสียตรัสทวนสองคำนั้นอีกครั้ง แต่น้ำเสียงของพระองค์ฟังดูแล้วเหมือนจะขำขันมากกว่า
“เทียนสี่ซิงจุนได้ชื่อว่าเป็นทรราช แต่เจ้ากลับมาบอกเราว่าเขามีความสงสาร”
แม้แต่จื่อเวยซิงจุนที่อยู่ด้านข้างก็ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ
พอเขาเอ่ยคำว่าทรราชออกมา สมองที่ไม่ยอมทำงานมาโดยตลอดของตู๋กูซิงหลันก็พลันเดินเครื่องขึ้นมา
ทรราช….ดาวฟ้าปลื้ม
นางลืมไปได้อย่างไรว่า ในประวัติศาสตร์ของโลกปัจจุบัน ผู้ที่ถูกสวรรค์แต่งตั้งเป็นดาวฟ้าปลื้ม ก็คือ….โจวหวางตี้ซิน?
ทันใดนั้น ตู๋กูซิงหลันก็เหมือนจะเข้าใจเรื่องราวมากมายขึ้นมาแล้ว
สำหรับฝ่ายเทพแล้ว ทรราชผู้นี้สุดท้ายแล้วก็ได้รับแต่งตั้้งเป็นเทพองค์หนึ่ง
นี่ก็เท่ากับว่าเหล่าร้ายทั้งหลายต่างได้รับแต่งตั้งเป็นเทพกันไปหมด
มีแต่พี่สาวต๋าจี่ ที่ถูกประหารทิ้ง ตายแล้วยังต้องถูกด่าประนามไปอีกนับพันนับหมื่นปี
ที่ผ่านมาตู๋กูซิงหลันนึกว่าเรื่องของทวยเทพเหล่านั้นเป็นเพียงตำนานเรื่องเล่า…..
ตอนนี้ถึงได้รู้ว่า วรรณกรรรมเหล่านั้นมีที่มาจากชีวิตจริง
นางชักจะเข้าใจคำพูดของพี่เสือดำขึ้นมาบ้างแล้ว ….ดูท่าแล้ว คงจะเป็นตี้ซินที่ขายต๋าจี่ทิ้ง เพื่อแลกกับเกียรติยศและชื่อเสียงของตนเอง
แต่ว่าสีหน้าที่แสดงออกต่อตี้เสีย ยังคงมีแต่ความงุนงงและประหลาดใจ “เหล่ามหาเทพต่างสูงส่งไร้เทียมทาน เรื่องราวที่ผ่านมาของพวกท่าน ผู้น้อยย่อมไม่กล้าไต่ถามให้มากความ ทั้งยังไม่เคยรู้มาก่อน เมื่ออยู่ต่อหน้าเทียนตี้ผู้น้อยย่อมไม่กล้าโป้ปดแม้แต่เพียงครึ่งคำ”
บนแดนสวรรค์ และทั้งหกภพภูมิ เมื่ออยู่ต่อหน้าตี้เสียแล้ว ย่อมไม่มีผู้ใดกล้าโป้ปด
ตี้เสียมองดูนางเนิ่นนาน ไม่มีผู้ใดรู้ว่า เบื้องหลังรัศมีสีทองนั้น พระองค์กำลังรู้สึกเช่นไร
ที่เบื้องหน้าพระองค์ แผนที่ดวงดาวเหล่านั้นยังคงมิได้จางหายไป ดาวที่มืดมิดดวงนั้นยังคงดูดซับแสงสว่างจากดาวจักรพรรดิอยู่ตลอดเวลา
แดนสวรรค์แม้จะแข็งแกร่งเพียงไร ก็ยังไม่อาจมีพลังครอบฟ้าคลุมดินได้อยู่ดี เรื่องนี้ทุกผู้คนย่อมรู้อยู่แล้ว
ต่อให้เป็นตี้เสียที่แข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนแปลงวิถีของแผนที่ดวงดาวได้
พระองค์จ้องไปที่ตู๋กูซิงหลันอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตรัสว่า “มานี่”
ตู๋กูซิงหลันมิได้ขัดขืนเขา เพียงแต่ใช้รูปลักษณ์ของเยี่ยเฉินป่ายปีนกระดึบๆขึ้นมาจากบนพื้น
จื่อเวยซิงจุน “……”
เฮอะ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นใครสักคนเลียนแบบตัวหนอนได้อย่างคล้ายคลึงเช่นนี้
เจ้าเทพน้อยที่มาจากโลกเบื้องล่าผู้นี้ ช่างมีอะไรให้สนุกสนานอยู่บ้างเหมือนกัน
รอจนตู๋กูซิงหลันคืบคลานมาจนถึงข้างโต๊ะเตี้ย ตี้เสียถึงได้ยื่นพระดัชนีข้างหนึ่งออกมา ชี้ไปยังดาวที่มืดมิดในแผนที่ดวงดาว “เจ้าลองดูซิ ว่านั่นเหมือนกับอะไร”
ตู๋กูซิงหลันมองดูอย่างละเอียด วิชาดาราศาตร์มีความซับซ้อนอยู่มากมาย นางก็รู้แต่เพียงผิวเผินเท่านั้น
จื่อเวยเทียนจุนเองก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมเทียนตี้จะต้องให้เจ้าลูกหลานของเผ่ามังกรทมิฬผู้นี้มาดูด้วย นี่มิเท่ากับเป็นการบ่งบอกผู้อื่นอย่างเปิดเผยว่า สรวงสวรรค์สำแดงเหตุ ฟ้าดินเปลี่ยนแปลงวิถี จงรีบจัดทัพกบฏมาต่อสู้กับข้า หรอกหรือ?
ไม่ ไม่ใช่แค่นั้น…..ประเด็นสำคัญก็คือเจ้าเด็กน้อยผู้นี้กลับกล้าดูจริงๆ!
มันเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน?
เทพสงครามให้มา? หรือเพราะว่าเทพน้อยๆเช่นนี้ย่อมไม่รู้จักกลัวตายแต่แรกอยู่แล้ว?
ตู๋กูซิงหลันศึกษาดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมา เหลือบตามองดูตี้เสีย ‘ด้วยความระมัดระวังอย่างที่สุด’ แวบหนึ่ง “เทียนตี้ หากว่าผู้น้อยพูดออกไป ขออย่าได้ทรงพิโรธ”
ตี้เสีย “เราจะถือว่าเจ้าไม่มีความผิด”
คราวนี้ ตู๋กูซิงหลันหันไปจดจ้องมองดาวที่มืดมิดดวงนั้นอย่างปราศจากความลังเลอีกต่อไป นางเอ่ยอย่างเอาจริงเอาจังว่า “ผู้น้อยเห็นว่า มันเหมือนกับลูกบอลลูกหนึ่ง”
จื่อเวยซิงจุน “! ! !”
ตอนนี้ในสมองของเขามีแต่คำว่า
“มันเหมือนกับลูกบอลลูกหนึ่ง…”
“ลูกบอลลูกหนึ่ง…”
“ลูกบอล…”
“บอล….”
เขาอ้าปากขึ้นมา คิดจะพูดอะไรออกไป แต่ก็สำลักน้ำลายตนเอง “อะ เฮอะๆ อะเฮาะๆ”
พอตู๋กูซิงหลันพูดออกไป รอบตำหนักก็หลงเหลือแต่เพียงเสียงไอสำลักของจื่อเวนซิงจุน
เทียนตี้มิได้ตรัสสิ่งใดแม้แต่คำเดียว
ตู๋กูซิงหลันจึงเสริมขึ้นมาอีกประโยค “ลูกบอลสีดำ”
จื่อเวยซิงจุน “…..” เออรู้แล้ว พวกเขาไม่ได้ตาบอด มองเห็นอยู่ว่ามันเป็นสีดำ ขอบใจนะ
หากจะให้ตู๋กูซิงหลันตอบคำถามให้ได้ นี่มิใช่เรื่องง่ายๆหรอกหรือ?
ก็แค่ลูกบอลดำๆลูกหนึ่งไม่ใช่หรือไง?
แสงดาวโดยรอบล้วนถูกดูดซับเข้าไป แต่ว่าตัวมันกลับไม่ได้เรืองแสงขึ้นมา
หากใช้มุมมองทางวิทยาศาสตร์มาอ้างอิง เช่นนั้นนี่ก็สมควรจะเป็นหลุมดำแล้ว
แต่ว่าด้วยฐานะของนางในตอนนี้ก็ไม่สมควรจะมาเป็นผู้อธิบายเรื่องหลุมดำให้พวกเขาฟังกระมัง?
เรื่องของวิทยาศาสตร์มันไปกันไม่ได้กับพวกเทพอยู่แล้ว ตอนนี้นางอยู่ในถิ่นของแดนสวรรค์ บุรุษตรงหน้าที่เปิดเผยร่างเพียงครึ่งเดียว ทั้งมือเท้าแขนขาก็มีแต่รัศมีสีทองปกคลุม กระทั้งเส้นผมที่พลิ้วสลวยอยู่ตลอดเวลาก็ยังเป็นสีทอง คือผู้ปกครองสูงสุดของแดนสวรรค์
ขนาดในวิทยาศาสตร์ของโลกปัจจุบัน ก็ยังอธิบายเพียงว่าหลุมดำคือความลี้ลับที่มืดมิดชนิดหนึ่ง
ที่จริงแล้วภายในของมันมีอะไรบ้างนั้น ไม่มีผู้ใดล่วงรู้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น เยี่ยเฉินในสายตาของชาวสวรรค์ก็เป็นแค่เศษสวะเท่านั้น
หากแสดงออกว่าโง่งมให้มากสักหน่อย ก็คงจะใช้ชีวิตได้ง่ายดายกว่ามาก
พอเห็นตี้เสียไม่ตรัสอะไร จื่อเวยซิงจุนก็ไม่กล้าไอต่อไปอีก ในอากาศมีแต่แรงกดดันและกลิ่นหอมเข้มข้นของเขากวางลอยอยู่
จื่อเวยซิงจุนนั้นย่อมเห็นว่า ยามที่เทียนตี้ไม่ทรงตรัสอะไรนั้นจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวที่สุด
ยามนี้แม้แต่จะหายใจเข้าออกก็ยังไม่กล้าเลย เดิมทีเรื่องของวิถีดวงดาว หากมิใช่ว่าเทียนตี้ทรงตรัสถามออกมา เขาก็ไม่กล้ารายงานขึ้นไปอยู่แล้ว
ตอนนี้ในตำหนักจื่อเวยกงของเขายังมีเจ้านักรบเทพผู้นี้โผล่ขึ้นมาอีก เขาไม่อาจคาดเดาได้เลยว่าเทียนตี้จะทรงคิดเห็นเช่นไร
ตู๋กูซิงหลันก็ไม่รีบร้อน เพียงรอไปเรื่อยๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ในที่สุดก็ได้ยินเสียงเทียนตี้ทรงตรัสขึ้นมา “เหมือนลูกบอลรึ ถือว่าพูดตามจริง”
เขาคือจักรพรรดิแดนสวรรค์ผู้สูงส่ง ผู้ครอบครองทั้งหกภพภูมิ
ก็แค่วิถีดวงดาวปรากฏความเคลื่อนไหว ไยจะต้องตื่นเต้นตกใจด้วย
ในเมื่อหมิงอ๋องก็ตายไปแล้ว ในหกภพภูมินี้ย่อมไร้คู่มือของเขาอีกต่อไป เจ้าลูกบอลสีดำนั้น เอาไว้มีเวลาค่อยส่งพวกเทพไปทำลายมันเสียก็สิ้นเรื่อง
พอคิดได้เช่นนี้ อารมณ์ในพระทัยของเทียนตี้ก็สงบลงไปมาก
ว่าแล้ว พระองค์ก็ลุกขึ้น เสด็จมาตรงหน้าตู๋กูซิงหลัน
พอพระองค์ประทับยืน รัศมีสีทองบนร่างก็ยิ่งเปล่งประกายรุนแรงกว่าเดิม
เมื่อเสด็จมาถึงข้างกายตู๋กูซิงหลัน ก็รั้งพระบาทไว้ก้าวหนึ่ง กวาดพระเนตรมาทางนางอย่างเย็นชา “ตามเรามา”
ตู๋กูซิงหลันคืบคลานไปด้านข้าง ให้ห่างจากเขาเล็กน้อย ทั่วร่าง ‘สั่นสะท้าน’ แววตามีแต่ ‘ความหวาดกลัว’ “ผู้น้อยมีฐานะต่ำต้อย ไม่คู่ควรได้ตามเสด็จเทียนตี้ ยิ่งไม่กล้าอาจเอื้อม….”
ตี้เสีย “เรากำลังจะไปที่เจดีย์กำราบเทพมารอยู่แล้ว เจ้าได้รับมอบหมายให้ไปป้อนอาหารนกยักษ์มิใช่รึ พอดีเลย นกยักษ์ก็อยู่ที่นั่น”
ตอนที่ 632 หมิงอ๋องเสด็จคืนมา
ตู๋กูซิงหลัน “….” วันนี้มันวันอะไรนักหนา มหาเทพทั้งหลายที่นางได้พบ ล้วนแล้วแต่มีน้ำใจกว้างขวางกระนั้นหรือ?
แม้แต่มหาเทพที่สูงส่งอย่างเทียนตี้ก็ยังมีน้ำพระทัยกว้างขวางถึงขนาดจะพานางไปให้อาหารนก?
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติอยู่บ้าง เหมือนกับว่านางต่างหากที่จะถูกนำไปเป็นเหยื่อ
ความแค้นที่นางมีกับนกยักษ์แทบจะมิได้แตกต่างอะไรกับความแค้นที่มีต่อซือเป่ยเลยสักนิดเดียว
ความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดจากการที่นางต้องสูญเสียอาจารย์และจีเฉวียนล้วนมาจากพวกเขา
และแน่นอนว่าทั้งหมดนั้นตี้เสียไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบได้เลย
เทียนตี้ผู้สูงส่ง แน่นนอนว่ามิใช่ผู้ที่ชอบเอ่ยวาจาไร้สาระ
เพียงเขาขยับปลายนิ้วเล็กน้อยพื้นหยกม่วงใต้ฝ่าเท้าก็ขยับเบาๆ จากนั้นแผ่นพื้นโดยรอบก็ลอยตัวออกมาจากหอสูง เหาะขึ้นไปบนชั้นเมฆพร้อมๆกับพระองค์
พอลอยสูงขึ้นไป จื่อเวยซิงจุนก็ถูกโยนทิ้งลงมาราวกับขยะชิ้นหนึ่ง
จากนั้นก็หล่นลงไปกระแทกกับป่าเซียนอย่างเต็มรัก
ทำเอาเหล่ากวางน้อยต่างตระหนกตกใจจนแตกตื่นกันไปหมด
หากนับกันตามอายุขัย…..เขายังสูงวัยกว่าเทียนตี้หลายหมื่นปี
แม้แต่มหาเทพองค์ก่อนก็ยังให้ความเกรงใจกับเขาแต่พอมาถึงยุคของมหาเทพองค์นี้ทุกสิ่งกลับเปลี่ยนแปลงไป
ใช่แล้ว เทียนตี้องค์ปัจจุบันผู้นี้ไม่เคยให้ความเคารพต่อเทพองค์ใดในแดนสวรรค์
เขาเพียงแต่เคารพการตัดสินใจของตนเอง เชื่อถือแต่ตนเอง
………..
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ฉู่เจียงที่อยู่ห่างไกลออกไปถึงบนพิภพของโลกโบราณก็สะท้านขึ้นมาคราหนึ่ง
นี่เป็นครั้งแรกในรอบหมื่นปี ที่บนหน้าผากของเขาปรากฏตราประทับที่ได้รับจากองค์ราชาแห่งเผ่าหมิงขึ้นมา
ที่ข้างกายของเขา ยังมีคนอีกหกคน บนหน้าผากของพวกเขาต่างก็ทยอยกันปรากฏตราประทับขึ้นมาเช่นกัน
“เป็นพระองค์ พระองค์กลับมาแล้ว!”
ทั้งเจ็ดคนขยับเข้ามารวมตัวกัน ผ่านมาหมื่นปีแล้ว พวกเขาไม่เคยดีใจเช่นนี้มาก่อนเลย
ผ้าคาดผมของฉู่เจียงแดงดุจโลหิตจะหยาดหยด ยามนี้หัวใจของเขาตื่นเต้นจนแทบจะระงับไม่อยู่แล้ว
นับตั้งแต่ที่ตู๋กูซิงหลันมอบอิสรภาพให้กับเขา เขาก็ออกเสาะหาพรรคพวกที่แตกสานซ่านกระเซ็นไปในหกภพภูมิโดยไม่มีหยุดหย่อน
เรี่ยวแรงที่เสียไปนับว่าไม่ทำให้ผู้คนต้องผิดหวัง ความเหนื่อยยากนี้มิได้สูญเปล่า ในที่สุดสามารถเสาะหามาได้หกคนแล้ว
ตอนนี้ยังขาดยมราชอีกสามคนที่ยังมิได้หวนคืนสู่ตำแหน่งของตน
เสินฟาง ซือหนาน และซ่งชิงไต้
เสินฟางนั้นอยู่ในโลกปัจจุบัน นั่นเป็นที่ที่ตอนนี้เขายังไม่อาจไปถึงได้ แต่ก็ยังดีที่คนยังอยู่ ได้แต่ต้องคิดหาหนทางเรียกตัวกลับมา
ซ่งชิงไต้…..เดิมทีนางคือปรามาจารย์หลอมยาตันที่มีพรสรรค์อันดับหนึ่งของวังตันติ่งกงในดินแดนจิ่วโจว
แต่ว่าช่างน่าเสียดายที่ชะตาอาภัพเพราะด้ายแดง หลังจากแต่งงานกับศิษย์พี่ในสำนักเดียวกัน ก็ถูกทำลายธาตุไฟบริสุทธิ์ซึ่งเป็นธาตุที่สำคัญที่สุดของนักหลอมยา สุดท้ายต้องตกต่ำถึงขั้นถูกถลกหนังตกตายอย่างอนาถ
ในตอนนั้นพอเหมาะกับช่วงที่ซ่งหยู่หมิงหนึ่งในสิบยมราชหมดสิ้นอายุไข หมิงอ๋องทรงบังเกิดความสงสารซ่งชิงไต้ จึงได้ทรงให้นางสืบทอดตำแหน่งของหยู่หมิงต่อไป
แต่ว่าต่อมา เมื่อเกิดสงครามเทพภูติก็ยังมีเรื่องไม่น่ายินดีเกิดขึ้นอีก
ซ่งชิงไต้ถูกหมิงอ๋องขับไล่ไป….
ในตอนนี้ท่ามกลางเสินฟาง ซือหนานและซ่งชิงไต้ทั้งสามคน เกรงว่าซือหนานและซ่งชิงไต้คงจะตามหาได้อย่างยากลำบากที่สุดแล้ว
หลังจากที่ฉู่เจียงผลักเรื่องน่าหดหู่ในสมองทิ้งไป เขาก็หันไปมองดูตราประทับบนหน้าผากของยมราชอีกหกคน แววตาก็ต้องเปล่งประกายขึ้นมา
ที่จริงแล้วเรื่องที่เขากังวลใจมากที่สุดนั้นมิใช่ว่าจะสามารถเสาะหาสิบยมราชได้เจอหรือไม่
หากแต่เกรงว่าหมิงอ๋องจะมิได้ทรงกลับมาเสียแล้ว เช่นนั้นทุกสิ่งที่พวกเขาทำก็ย่อมสูญเปล่า
แต่ว่าตอนนี้ ตราประทับของหมิงอ๋องปรากฏ ก็เท่ากับว่าหมิงอ๋องมิเพียงยังทรงพระชนม์อยู่ หากแต่กำลังจะเสด็จกลับมาแล้ว
“ในเมื่อหมิงอ๋องยังทรงพระชนม์อยู่ แต่ทำไมถึงไม่ทรงปรากฏองค์ต่อหน้าข้า?”
ยามนี้ ทั้งหมดมารวมตัวกันอยู่ที่ภูเขาฝูซางซาน
พวกเขาทั้งหมดล้วนตื่นเต้นขึ้นมา มองออกไปด้วยความหวัง
“เมื่อหมื่นปีก่อนหลังสิ้นสงครามระหว่างเผ่าเทพและภูติ หมิงอ๋องทรงหายสาบสูญไป ตอนนี้ในเมื่อตราประทับในตัวพวกเราต่างก็ปรากฏขึ้นมา แสดงว่าอีกไม่นาน หมิงอ๋องจะต้องทรงมาปรากฏตัวต่อหน้าพวกเราเป็นแน่”
เนื่องเพราะฉู่เจียงได้รับบัญชาตามหายมราชคนอื่นๆจากตู๋กูซิงหลัน ดังนั้นในตอนนี้เขาจึงกลายเป็นหัวหน้าของทั้งหมดไปโดยปริยาย
ทั้งยังเป็นผู้ที่มีอำนาจในการพูดจามากที่สุดด้วย
เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ ยมราชคนอื่นๆต่างก็พากันพยักหน้า
“เจ้าพูดได้ถูกต้องแล้ว พวกเราจะเชื่อฟังเจ้า”
ถึงจะบอกว่าพวกเราเชื่อฟังฉู่เจียง แต่ที่จริงแล้วมิสู้บอกว่าพวกเขาเชื่อในตู๋กูซิงหลันมากกว่า
ตู๋กูซิงหลันมอบยันต์สีเหลืองมาให้เขาสิบชุด เพื่อใช้เอาไว้สำหรับสื่อสารกัน ดังนั้นระหว่างฉู่เจียงกับนางจึงมีการติดต่อกันอยู่ตลอด มีแต่ยามที่เจอกับคนที่ดื้อดึงพูดเท่าไรก็ไม่ยอมฟัง ฉู่เจียงจึงต้องใช้ยันต์ส่งสำเนียง ให้ตู๋กูซิงหลันเป็นผู้เกลี้ยกล่อมด้วยตนเอง
ด้วยฝีปากของตู๋กูซิงหลัน แม้แต่ผีก็ยังชักจูงได้อยู่แล้ว
พอช่วยกันเกลี้ยกล่อม แม้แต่ไท่ซานอ๋องที่แข็งแกร่งและไม่หวั่นไหวที่สุดก็ยังต้องสั่นคลอน
ไท่ซานอ๋องผู้นี้หลังจากสิ้นสงครามเทพและภูติแล้ว เขาก็คือผู้ที่มีฐานกำลังแข็งแกร่งที่สุด ทั้งยังเคยสาบานเอาไว้ว่าจะขึ้นไปสังหารให้ถึงแดนสวรรค์
น่าเสียดาย เมื่อเผ่าหมิงล่มสลาย สรรพชีวิตมากมายสูญสิ้น หมิงอ๋องก็ทรงสละพลังทั้งหมดเพื่อทำพิธีชำระวิญญาณทั้งหลายจนถึงกับ….
หลังจากนั้น หมิงอ๋องก็ทรงหายสาบสูญไป
ไท่ซานอ๋องจึงเข้าใจว่าพวกเขาต่างก็กลายเป็นหัวขบวนของเหล่าทหารหนีทัพ
ตลอดหลายปีมานี้เขาจึงปลีกวิเวกออกมา กลายเป็นเทพที่ผู้คนเคารพบูชาในที่ดินแดนตะวันตกที่แสนห่างไกล
แม้ว่าในใจของเขาคิดจะฟื้นฟูเผ่าหมิง เข่นฆ่าขึ้นไปบนสวรรค์อยู่ตลอดเวลา แต่เพราะความสูญเสียในอดีตที่แสนเจ็บปวดจึงได้พักเอาไว้ก่อน
จนกระทั่งเมื่อตู๋กูซิงหลันใช้ยันต์ส่งสำเนียงมาค่อยๆเกลี้ยกล่อมอยู่นานจึงได้กล่อมคนสำเร็จ
ดันนั้นยมราชเหล่านี้ ต่างก็รู้จักตู๋กูซิงหลันเป็นอย่างดี
ศิษย์ที่หมิงอ๋องทรงรับเอาไว้ด้วยตนเอง นางถือครองชิ้นส่วนของหยกสรรพชีวิตกว่าครึ่งไว้ ในกายยังมีโลหิตของเผ่ามังกรทมิฬไหลเวียน ทั้งยังเป็นฮ่องเต้หญิงของแผ่นดินโบราณทั้งหมด ด้วยศักดิ์ฐานะเช่นนี้กล่าวออกไปแล้วช่างเป็นที่น่าตระหนกจริงๆ
ถึงแม้ว่าจะยังไม่เคยได้พบกับตู๋กูซิงหลัน แต่ว่าจะมากจะน้อยพวกเขาล้วนได้รับฟังและสนทนากับนางมาแล้ว
กับฮ่องเต้หญิงน้อยผู้นี้ เหล่ายมราชมีแต่จะชื่นชมและยกย่อง
คนเผ่าหมิงนั้น โหดเ**้ยมกับศัตรูภายนอก แต่ปกป้องคนกันเองอย่างที่สุด
ขอเพียงได้รับการยอมรับจากพวกเขา ก็มีแต่จะให้ความคุ้มครองและช่วยเหลือถึงที่สุด
คนอย่างพวกเขา ใครบ้างที่ยามมีชีวิตอยู่มิใช่ถูกฟาดฟันมาพันดาบหมื่นกระบี่? แต่พวกเขาก็ยังรักษาหัวใจที่บริสุทธิ์เอาไว้ได้
เห็นดูเ**้ยมโหดเช่นนี้ ที่จริงแล้วมีน้ำจิตน้ำใจมากกว่าใคร
แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ช่วงนี้ ฉู่เจียงเหมือนจะติดต่อกับตู๋กูซิงหลันไม่ได้เลย
เขาใช้ยันต์สื่อสารไปสองแผ่นแล้ว แต่ว่ากลับไปไม่ถึงนาง
นี่ทำให้ฉู่เจียงอดจะกังวลใจไม่ได้ จัดทัพเรียบร้อยแล้ว แต่ว่าแม่ทัพกลับหายไป เช่นนี้ไม่ดีแน่
เขามิได้บอกเรื่องนี้กับยมราชคนอื่นๆ เพราะเกรงว่าพวกเขาจะคิดมากจนเกินไป
ถึงอย่างไรตอนนี้ตราประทับยมราชบนหน้าผากของพวกเขาก็ปรากฏขึ้นมาแล้ว นี่นับเป็นข่าวดีที่สุด
ต่อให้ยังติดต่อตู๋กูซิงหลันไม่ได้ แต่หมิงอ๋องก็ใกล้จะเสด็จกลับมาแล้ว
“ทุกท่าน ในช่วงนี้ ยังต้องขอรวบกวนให้ทุกท่านรวบรวมกองกำลังเดิมกลับมา เมื่อหมิงอ๋องทรงเสด็จกลับมาหวังว่าพวกเราจะสามารถฟื้นฟูเผ่าหมิงได้ครึ่งหนึ่ง แดนสวรรค์ในวันนี้แข็งแกร่งกว่าเมื่อตอนสงครามครั้งก่อนไม่รู่ว่ากี่เท่าต่อกี่เท่า พวกเราจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
ฉู่เจียงว่าต่อไป “ทุกคนจะต้องรวมใจกัน!”
“นั่นย่อมแน่นอนอยู่แล้ว สิ่งที่เผ่าหมิงเราไม่เคยขาดก็คือความกล้าหาญและความเชื่อมั่น!” ไท่ซานอ๋องสนับสนุนเป็นคนแรก
ยมราชคนอื่นๆก็ร้องรับ
หลังเผ่าหมิงล่มสลาย คนของเผ่าหมิงก็กระจัดกระจายระหกระเหินไปทั่วหกภพภูมิ เวลาก็ผ่านไปเนิ่นนานจะให้เรียกทุกคนกลับมา ที่จริงแล้วมิใช่เรื่องง่ายๆ
แต่ว่าต่อให้ยากเย็นเพียงไหน ก็ไม่เกินกว่าความพยายามของพวกเขาไปได้!
ก่อนที่พระองค์จะกลับมา พวกเขาจะต้องตระเตรียมทุกอย่างเอาไว้ให้พร้อมที่สุด และรอคอยพระองค์คืนมาด้วยใจสงบ!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น