หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 628-631

 บทที่ 628 โจวเหมย!

วิญญาณอัสนีนิรันดร์ วิญญาณธาตุทั้งห้า วิญญาณนิมิตสวรรค์ วิญญาณทั้งเก้าแห่งโลกา…ศีรษะของหวังเป่าเล่อเริ่มปวดหนึบ เพราะขณะนี้มันถูกอัดแน่นไปด้วยชื่อของวิญญาณจุตินับสิบที่แม่นางน้อยได้บอกมา ชายหนุ่มยังหาวิธีการบรรลุขั้นในจารึกของสำนักวังเต๋าไพศาลพบอีกด้วย เขาขมวดคิ้วน้อยๆ


วิญญาณจุติมีมากมายหลายประเภทเกินไป ขั้นจุติวิญญาณนั้นดูเหมือนกับอ่าวอันกว้างใหญ่ที่กั้นขวางระหว่างขั้นการฝึกปราณทั้งหลายเอาไว้ การเปลี่ยนแก่นในของตนให้กลายเป็นวิญญาณนั้นเทียบได้กับการสร้างชีวิตที่สองขึ้นมา และจะมีผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อชีวิตของผู้ฝึกตนอีกด้วย


การเคลื่อนย้ายก็เป็นหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงที่ผู้ฝึกตนจะต้องเผชิญ การก่อตัวของวิญญาณจุติทำให้ผู้ฝึกตนนั้นกลายเป็นบุตรของสวรรค์และพื้นพิภพ และผู้ฝึกตนยังจะสามารถหลอมรวมกับพลังธรรมชาติและนำพลังนั้นมาใช้ในการต่อสู้ได้อีกด้วย


วิญญาณจุติยังมีพลังในการควบคุมพื้นแผ่นดินได้ อารยธรรมโบราณบางแห่งขนานนามวิญญาณจุติเหล่านี้ว่าปีศาจโบราณ นามนั้นเป็นเครื่องยืนยันถึงความแข็งแกร่งของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณได้เป็นอย่างดี


พลังของวิญญาณจุติเกี่ยวข้องโดยตรงกับประเภทของวิญญาณ ในจักรวาลนี้มีอารยธรรมฝึกปราณอยู่มากมายและมีประเภทของวิญญาณจุติอยู่เท่าๆ กัน วิญญาณจุติของหลี่ซิงเหวินเป็นวิญญาณเต๋า ส่วนหนึ่งที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะพลังเทพของเขามีรากฐานมาจากการบรรลุธรรม ต้วนมู่ฉีเลือกฝึกวิญญาณธาตุทั้งห้า และสารัตถะของพลังนั้นก็ผนวกอยู่กับความมั่นคั่งของสหพันธรัฐอย่างเหนียวแน่น สิ่งนี้อาจจะดูแปลกประหลาดและลึกลับไปบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้ว วิญญาณจุติของเขาก็แสดงถึงอุดมคติและเจตจำนงค์ของเขานั่นเอง


หวังเป่าเล่อเคยถามประมุขสำนักสวีเกี่ยวกับวิญญาณจุติของเขา วิญญาณที่เขาเลือกคือวิญญาณคลั่ง ที่มุ่งเน้นไปที่ความรุนแรงและความตาย วิญญาณจุติที่ผู้ฝึกตนทุกคนทั้งในสหพันธรัฐและในสำนักวังเต๋าไพศาลเลือกใช้ก็แตกต่างกับแทบจะทั้งสิ้น


วิญญาณจุติของบางคนอาจจะเหมือนกันบ้าง แต่ก็จะมีรายละเอียดปลีกย่อยที่แตกต่างกันออกไป เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าวิญญาณจุติประเภทใดดีกว่ากัน เพราะมีเพียงวิธีเดียวที่จะบอกได้ถึงความแข็งแกร่งของวิญญาณจุตินั่นก็คือ…คุณภาพของมัน!


คุณภาพเป็นตัวบ่งชี้ว่าวิญญาณจุติจะหลอมรวมเข้ากับพลังธรรมชาติได้ดีเพียงใด และเป็นตัวกำหนดขีดความสามารถในการต่อสู้และอนาคตของผู้ฝึกตนคนหนึ่งได้เลย ในจารึกของสำนักวังเต๋าไพศาลกล่าวไว้ด้วยว่า มีวิญญาณจุติหายากยิ่งอยู่ห้าประเภทที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในอารยธรรมต่างๆ วิญญาณจุติเหล่านี้เป็นตำนานก็ว่าได้ สำนักวังเต๋าไพศาลในอดีตเคยมีโอกาสได้ฝึกปรือวิญญาณจุติประเภทนี้อยู่หนึ่งดวง แต่วิธีการฝึกปราณนั้นก็สูญหายไปตามกาลเวลา สำนักวังเต๋าไพศาล ณ ปัจจุบันไม่ได้เก็บกุมความลับของการสร้างวิญญาณจุติเช่นนั้นเอาไว้อีกต่อไป


หวังเป่าเล่อถามแม่นางน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่นางกลับตอบเพียงว่าให้เขาอย่าทะเยอทะยานเกินตัวและกระหายอยากได้สิ่งที่อยู่เกินเอื้อม แต่ทว่า หวังเป่าเล่อก็มีกระบวนการตีความคำแนะนำของแม่นางน้อยในแบบของตัวเอง


สงสัยคงเป็นเพราะว่านางไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เป็นแน่ หรือไม่อย่างนั้นก็เพราะว่านางกลัวที่จะบอกข้ากระมัง หวังเป่าเล่อกะพริบตา ชายหนุ่มรู้มาระยะหนึ่งแล้วว่าทุกครั้งที่แม่นางน้อยมอบหมายภารกิจที่ดูเป็นไปไม่ได้มาให้ เขามักจะทำมันได้สำเร็จอย่างไม่ยากเย็นอะไรนัก…


“แม่นางน้อย วิญญาณจุติในตำนานที่ข้าไม่อาจเอื้อมถึงนั้น แท้จริงแล้วมันคือสิ่งใดกันแน่” หวังเป่าเล่อไม่อาจจะหักห้ามใจเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงเอ่ยถามไปอีกครั้ง


“…” ดูเหมือนว่าแม่นางน้อยก็กำลังครุ่นคิดเรื่องเดียวกันนี้อยู่เช่นกัน นางจึงไม่ได้ตอบคำถามเขาทันที นางแทบไม่เคยได้ยินเรื่องของคนที่เอาวิญญาณจุติในตำนานมาครอบครองได้สำเร็จ ไม่เพียงแต่เรื่องนี้จะเป็นเสมือนตำนานเท่านั้นแต่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลยด้วยซ้ำ!


แม่นางน้อยยังคงดูกระอักกระอ่วนใจ เหมือนว่านางจะได้พูดไปแล้วว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ ซึ่งก็น่าจะเพียงพอ…


“ถ้าหากเขายังทำเรื่องนี้สำเร็จอีก ข้าคงต้องเรียกเขาว่าท่านโคตรบิดาบ้างแล้ว!” แม่นางน้อยยิ้มเยาะอยู่เงียบๆ นางปลอบใจตนเองไปอีกพักใหญ่ แต่จู่ๆ ก็นึกบางสิ่งขึ้นมาได้ก็พลันรู้สึกอยากจะตบปากตนเองขึ้นมาถนัด เรื่องอาจจะไม่ได้แย่มากนักหากนางไม่ได้พูดคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้ออกไป’ แต่นางก็พูดไปแล้ว…


แม่นางน้อยเมื่อคิดได้เช่นนั้นก็รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาปุบปับ แล้วจึงตัดสินใจเลิกคิดเรื่องนี้ไปโดยปริยาย


เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ขณะที่หวังเป่าเล่อก็ยังคงฝึกปราณและศึกษาเรื่องวิญญาณจุติต่อไปอย่างขะมักเขม้น ต้นไม้ยักษ์ก็พยายามเต็มที่ในการทำงานตามที่หวังเป่าเล่อไหว้วานไป เขาทำได้ไม่เลวทีเดียว ต้นไม้ยักษ์พาศิษย์สตรีทุกๆ คนที่เขารู้จักมาและพยายามจัดฉากให้หลี่อู๋เฉินและสตรีเหล่านั้นได้ตกหลุมรักกัน


ต้นไม้ยักษ์เองก็ไม่รู้มาก่อนว่าตัวเขามีความสามารถเพียงใดในเรื่องนี้ สวรรค์มอบรางวัลให้ผู้ที่ทำงานอย่างแข็งขัน ภายใต้สายตาที่ระแวดระวังและแผนการอันแยบยล ในที่สุดต้นไม้ยักษ์ก็ค้นพบอะไรบางอย่าง!


เขายืนยันข้อสังเกตของเขาอีกหลายครั้งก่อนจะรีบรุดไปยังที่พักของหวังเป่าเล่อเพื่อรายงานการค้นพบทันที


“ท่านผู้อาวุโสผู้ทรงเกียรติ ข้าน้อยใช้เวลาไปทั้งสิ้นหนึ่งเดือนจนในที่สุดก็ได้ทำภารกิจที่ท่านมอบหมายสำเร็จลุล่วงแล้ว ข้าพบกับศิษย์สตรีที่หลี่อู๋เฉินสนใจแล้วขอรับ” ต้นไม้ยักษ์กุลีกุจอยกมือคารวะและโค้งคำนับต่ำเมื่อเจอหวังเป่าเล่อ ทั้งท่าทีและแววตาต่างก็แสดงความนบนอบอย่างมาก


หวังเป่าเล่อลิงโลดใจเป็นยิ่งนัก แต่กลับทำท่าทีเฉยเมยและเพิ่งแต่พยักหน้าตอบน้อยๆ เท่านั้น ต้นไม้ยักษ์เห็นการตอบสนองของหวังเป่าเล่อจึงรีบกุลีกุจอหยิบเอาแผ่นหยกออกมายื่นให้ชายหนุ่มทันที พลางกระซิบว่า


“ข้าทราบมาว่าหลี่อู๋เฉินมีความสัมพันธ์กับผู้ฝึกตนขั้นลมหายใจเที่ยงแท้ โจวเหมย ช่างน่าประหลาดใจนัก ข้าจึงได้ลองไปสืบหาภูมิหลังของโจวเหมยมาก นางเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐรุ่นที่สาม แม้ว่าระดับปราณของนางจะไม่สูงนัก แต่นางก็เป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ในช่วงหลายปีหลัง สำนักศึกษาจึงได้เลือกนางให้เป็นตัวแทนมาที่สำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้!”


“ในแผ่นหยกนี้มีประวัติของโจวเหมยอยู่ครบถ้วนแล้วขอรับ ผู้อาวุโส” ต้นไม้ยักษ์พูดจบก็ค้อมศีรษะและยืนเงียบรออยู่ เขาพบประวัติความสัมพันธ์ระหว่างโจวเหมยและหวังเป่าเล่อด้วย แต่ทว่า หากหวังเป่าเล่อไม่พูดเรื่องนั้นขึ้นมาก่อน เขาก็จะไม่พูดอะไรเช่นกัน จะแสร้งทำเป็นทำตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายต่อไป


ต้นไม้ยักษ์ไม่กล้า และไม่อยากถามหวังเป่าเล่อเกี่ยวกับความสัมพันธ์นี้ แม้เขาเองจะสืบค้นเรื่องนี้มาจนทะลุปรุโปร่ง แต่ก็เพราะว่าเขาไม่อยากจะเสี่ยงทำพลาดหรือประมาทเลินเล่อในกรณีที่หวังเป่าเล่อถามคำถาม


สิ่งนี้เป็นประสบการณ์ที่เขาได้รับมาจากผู้ใต้บังคับบัญชาขณะที่ดำรงตำแหน่งรองเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร ว่าควรจะต้องทำงานที่ได้รับมอบหมายโดยคิดล่วงหน้าไว้แล้วสามขั้น แม้ว่าจะดูเหมือนต้นไม้ยักษ์จะทำงานตามคำสั่งเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว เขายังได้เรียนรู้รายละเอียดเกี่ยวกับภารกิจมาอีกด้วย เขาได้ทำการตรวจสอบข้อมูลที่อาจจะอยู่นอกเหนืองานที่รับและได้ตระเตรียมข้อมูลถึงขนาดที่ว่าหากจะต้องตอบคำถามแบบเฉพาะหน้า เขาก็จะตอบได้แบบไม่ขัดเขิน


ต้นไม้ยักษ์ทำงานอย่างเต็มที่ตามคำสั่งที่ได้รับจากหวังเป่าเล่อ


ศีรษะของเขายังคงก้มต่ำอยู่ ขณะเดียวกัน หวังเป่าเล่อก็ชะงักงันอยู่กับที่ ชายหนุ่มรู้สึกคุ้นชื่อโจวเหมยอย่างประหลาด แต่ไม่อาจจะนึกออกว่าทำไม เขาจึงหยิบเอาแผ่นหยกขึ้นมาเริ่มอ่านดู


“นางมาจากดาวอังคาร…จบการศึกษาจากสำนักศึกษาเต๋าหมอกเขางั้นหรือ” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเบิกโพลงเมื่ออ่านถึงตรงนั้น ในที่สุดชายหนุ่มก็จำได้ว่าทำไมชื่อนี้ถึงคุ้นนัก ภาพของหญิงสาวเจ้าเนื้อปรากฏชัดขึ้นมาในมโนสำนึก


หวังเป่าเล่อกะพริบตาก่อนจะเริ่มอ่านต่อไป รายงานในแผ่นหยกนั้นละเอียดเป็นอย่างยิ่ง มีข้อมูลเกี่ยวกับครอบครัวของโจวเหมยอีกด้วย รวมไปถึงสิ่งที่นางไปทำหลังจากที่สำเร็จการศึกษาแล้ว นางเลือกที่จะเข้าศึกษาต่อที่สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์จนจบการศึกษาจากเกาะมหาปราชญ์ชั้นสูง ในขณะที่ศึกษาอยู่ที่นั่น นางเลือกเข้าตำหนักอาวุธเวท!


ข้อมูลทั้งหมดทำเอาหวังเป่าเล่องุนงงเล็กน้อย ชายหนุ่มจำช่วงเวลาที่สำนักศึกษาเต๋าหมอกเขาได้ลางๆ ใบหน้าของบรรดาศิษย์ของเขาโผล่กลับมาในใจ และไม่นานนัก สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็อ่อนโยนลง จนอดยิ้มออกมาไม่ได้


ต้นไม้ยักษ์สังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจะต้องจำได้แล้วแน่นอนว่าครั้งหนึ่งโจวเหมยเคยเป็นลูกศิษย์ของเขา ต้นไม้ยักษ์กล่าวออกมาแผ่วเบา “ผู้อาวุโสขอรับ จากการสังเกตของข้า โจวเหมยและหลี่อู๋เฉินดูเหมือนจะมีใจให้แก่กัน…ข้าถามผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์แล้วก็ได้รับการยืนยันมาเช่นนี้ พวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์กันจริง และดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ก็จะยิ่งพัฒนาขึ้นไปในระหว่างที่มาอยู่ที่สำนักวังเต๋าไพศาลด้วยกันนี้” ต้นไม้ยักษ์หยุดพูดเพียงแค่นั้น ก่อนจะหลุบศีรษะลงตำและถอยกลับไปรอฟังคำสั่งจากหวังเป่าเล่อ


ชายหนุ่มนิ่งเงียบอยู่ เขาคงจะช่วยเหลือหลี่อู๋เฉินแน่นอนหากอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้เป็นศิษย์ของเขาเองและเป็นใครสักคนที่เขาไม่รู้จัก หวังเป่าเล่อคงจะช่วยให้พัฒนาการของความสัมพันธ์นั้นก้าวหน้าต่อไปได้โดยไม่กระทบกับหลักการของตนเอง


แต่ทว่า โจวเหมย ศิษย์ของเขา ขณะนี้ก็มามีส่วนในเรื่องนี้ด้วย หวังเป่าเล่อจึงไม่อาจจะทำการผลีผลามได้ ชายหนุ่มจะต้องคุยกับโจวเหมยและเข้าใจเรื่องนี้ก่อนจะตัดสินใจอะไรไปได้


หากโจวเหมยไม่เต็มใจอยู่ในความสัมพันธ์นี้ หวังเป่าเล่อก็จะหยุดทุกอย่างที่เขาคิดเอาไว้ในใจและหาวิธีอื่นในการควบคุมหลี่อู๋เฉินแทน จริงๆ แล้วชายหนุ่มอาจจะวิตกจริตมากเกินไป บางที เมื่อหลี่อู๋เฉินได้ความทรงจำกลับคืนมา หวังเป่าเล่อคงไปถึงระดับดาวพระเคราะห์แล้วก็เป็นได้


เมื่อคิดได้เช่นนั้น ทัศนคติของชายหนุ่มก็เปลี่ยนไป เขาส่งยิ้มออกมาก่อนจะกล่าวว่า “ต้นหอมหมื่นลี้น้อย เจ้าไปพาตัวโจวเหมยศิษย์ของข้ามาที่นี่ที ความทรงจำข้าคงเริ่มเลอะเลือน จึงได้จำนางไม่ได้ตั้งแต่แรก บางทีนางอาจจะเขินอายอยู่จึงไม่กล้ามาเจอหน้าข้าก็เป็นได้” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็นึกอะไรขึ้นมาได้ บางทีโจวเหมยอาจจะมีใจให้หลี่อู๋เฉินจริง เป็นเหตุให้ไม่กล้ามาสู้หน้าเขา เพราะอย่างไรเสีย นางก็รู้ดีถึงความตึงเครียดระหว่างตัวเขากับหลี่อู๋เฉิน


สำนึกศึกษาเต๋าเปลววิญญาณและสำนักศึกษาเต๋าหมอกเขานั้นขับเคี่ยวกันอย่างดุเดือดมาโดยตลอด และโจวเหมยเองก็เคยเป็นตัวแทนการประกวดประขันของสำนัก หวังเป่าเล่อสงสัยว่าทั้งคู่มาคบกันได้อย่างไรตั้งแต่แรก


บทที่ 629 การจัดการสมรส!

เมื่อได้ยินคำสั่งของหวังเป่าเล่อ ต้นไม้ยักษ์ก็รีบรุดออกไปตามหาโจวเหมยทันที ก่อนจะอธิบายสถานการณ์อย่างคร่าวๆ ให้เด็กสาวผู้วิตกกังวลฟัง สีหน้านางเหมือนเด็กที่เพิ่งทำอะไรผิดมา


ต้นไม้ยักษ์รู้ถึงความสัมพันธ์ฉันศิษย์อาจารย์ของทั้งคู่จึงยืนรออย่างอดทนและไม่ได้เร่งเร้านาง หลังจากที่นิ่งเงียบอยู่นาน โจวเหมยก็สูดลมหายใจเข้าลึก มีความมุ่งมั่นปรากฏขึ้นบนดวงตาของนางเมื่อนางติดตามต้นไม้ยักษ์ไปยังวังของหวังเป่าเล่อ


เมื่อนางก้าวเข้ามาในวังและมองเห็นหวังเป่าเล่อนั่งอยู่ตรงสุดปลายโถง ความกังวลของโจวเหมยก็พุ่งสูง เมื่อเข้าไปรวมกับความตื่นเต้นและความเคารพที่นางมีต่อหวังเป่าเล่อ ก็ทำให้นางต้องทรุดตัวลงคำนับทักทายเขาทันที


“โจวเหมยผู้ต่ำต้อย คารวะท่านหัวหน้าสาขาเจ้าค่ะ”


หวังเป่าเล่อจ้องมองสตรีวัยเยาว์ตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ โจวเหมยเป็นผู้ใหญ่แล้วจริงๆ ระดับปราณของนางพัฒนาขึ้นส่งผลให้ร่างกายกำยำที่นางได้รับจากการฝึกทักษะเป่าเล่อดูดกลืนสวรรค์นั้นผอมบางลงอย่างมาก แต่ถึงอย่างนั้นความแข็งแกร่งของพลังของนางก็ดูจะเหนือกว่าผู้ฝึกตนในขั้นเดียวกันอยู่มากทีเดียว


สิ่งนี้เป็นผลมาจากทักษะการฝึกปราณที่หวังเป่าเล่อได้สอนพวกเขาไป โจวเหมยไม่ใช่คนเดียวที่ได้รับประโยชน์จากทักษะนั้น ศิษย์รุ่นดั้งเดิมของชายหนุ่มขณะนี้กระจายกันไปอยู่ตามฝ่ายต่างๆ ในสหพันธรัฐ และความแข็งแกร่งทางกายภาพของพวกเขาก็เหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับปราณขั้นเดียวกันสิ้น และด้วยชื่อเสียงของหวังเป่าเล่อที่ขจรขยายไปไกลขึ้นทุกทีๆ ก็ทำให้บรรดาศิษย์ของเขาก็ยิ่งเคารพเขามากขึ้นในช่วงเวลาหลายปีมานี้


โจวเหมยเองก็เช่นกัน นางทักทายหวังเป่าเล่ออย่างตื่นเต้นและยังเรียกเขาว่าหัวหน้าสาขา ช่างเป็นคำที่ชวนให้รำลึกถึงอดีต ชายหนุ่มทอดถอนใจก่อนจะยกมือขวาขึ้นโบก ก่อนจะมีพลังอันนุ่มนวลที่ยกตัวนางให้ยืนขึ้นมา


“ไม่เจอกันมาหลายปี เจ้าโตขึ้นมากนะ ข้าเผลอแค่อึดใจเดียว ไม่รู้เลยว่าเจ้าเองก็มาที่สำนักวังเต๋าไพศาลนี้ด้วยหากข้าไม่ได้เห็นชื่อเจ้าเสียก่อน” หวังเป่าเล่อจับจ้องไปยังโจวเหมยพลางถอนหายใจใหญ่ ชายหนุ่มรู้สึกแปลกประหลาด แม้ว่าเขาจะยังไม่ได้แก่ชรานัก แต่เมื่อมองเห็นศิษย์อยู่ตรงหน้า เขาก็รู้สึกแก่ขึ้นมาถนัดใจ


หรือว่าข้าจะแก่แล้วจริงๆ หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นแตะพุงอย่างเคยตัว ท้องของเขาใหญ่ขึ้นมามากทีเดียว


“หัวหน้าสาขาตอนนี้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล และกำลังยุ่งเรื่องงานบริหารเป็นอย่างยิ่ง ศิษย์เข้าใจข้อนี้เป็นอย่างดี อันที่จริงแล้ว ศิษย์อับอายเสียจนไม่อาจจะแบกหน้ามาพบท่านหัวหน้าสาขาได้” โจวเหมยกัดริมฝีปากและพูดออกมาแผ่วเบา


ความรู้สึกที่นางมีต่อหวังเป่าเล่อนั้นพิเศษมาก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เหมือนกับบิดาและลูกสาว แต่ก็อาจจะไม่ใช่แค่นั้น หวังเป่าเล่อเป็นอาจารย์ผู้ประสาทวิชาให้ หากไม่มีเขาแล้ว โจวเหมยก็คงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ นางคงจะอ่อนแอและขี้อายเหมือนที่เคยเป็นมา หวังเป่าเล่อได้พลิกชีวิตของนางและเพื่อนร่วมห้องของนางไปตลอดกาล


หวังเป่าเล่อเป็นผู้ที่ได้พร่ำสอนให้พวกเขามั่นใจและรู้ถึงคุณค่าของความสามัคคี ชายหนุ่มไม่รู้เลยว่าการก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของเขานั้นพาให้บรรดาศิษย์ที่เขาเคยสอนมารวมตัวกัน พวกเขารวมตัวกันในนามกลุ่มหวังเป่าเล่อ ก่อเกิดเป็นขั้วอำนาจใหม่ที่กระจายตัวกันอยู่ในทุกๆ กรมในสหพันธรัฐ


กลุ่มของพวกเขายังใหม่มาก แต่ทว่าก็ไม่ยากที่จะจินตนาการถึงพลังอำนาจที่มันจะมีในอนาคตเมื่อบรรดาสมาชิกพากันก้าวหน้าไปในอาชีพการงาน!


บรรดารุ่นพี่ต่างก็รวมตัวกันเป็นรากฐานอันสำคัญให้กับสหพันธรัฐ สถานการณ์บนดาวอังคารเองก็เป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเข้มแข็งของพวกเขาได้เป็นอย่างดี!


เพราะเหตุนี้ โจวเหมยจึงเลือกเข้าศึกษาต่อ ณ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์หลังจากที่จบจากสำนักศึกษาเต๋าหมอกเขา แต่ทว่า โชคชะตาก็เป็นเรื่องประหลาดนัก นางไม่รู้เลยว่าวันหนึ่ง นางจะต้องมาตกหลุมรักกับหลี่อู๋เฉิน ผู้ซึ่งเป็นทั้งรุ่นพี่และศัตรูเก่าของนางเอง


และก็เป็นเหตุให้นางอับอายเกินกว่าจะกล้ามาเยี่ยมเยียนหวังเป่าเล่อนั่นเอง!


หวังเป่าเล่อจ้องมองโจวเหมยอย่างครุ่นคิด ชายหนุ่มไม่ได้เปรยเรื่องหลี่อู๋เฉินขึ้นมาในทันที หากแต่เริ่มต้นโดยการไต่ถามสารทุกข์สุกดิบของโจวเหมยและศิษย์คนอื่นๆ เสียก่อน โจวเหมยเริ่มผ่อนคลายและความกังวลก็เริ่มหายไปอย่างช้าๆ จากนั้นหวังเป่าเล่อจึงเอ่ยถามด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้มว่า


“โจวเหมย เรื่องระหว่างเจ้ากับหลี่อู๋เฉินนั้น…” หวังเป่าเล่อหยุดพูดเพียงเท่านั้น พลางจ้องมองเข้าไปในดวงตาของโจวเหมย


โจวเหมยเริ่มวิตกกังวลอีกครั้งเมื่อถูกจ้องมอง ขณะที่นางได้ยินคำถามที่ซ่อนอยู่ในถ้อยคำของหวังเป่าเล่อ สีหน้านางก็เริ่มแสดงความตกใจและหวาดหวั่น น้ำเสียงของนางสั่นเครือและตะกุกตะกักเมื่ออ้าปากตอบ


“หัวหน้าสาขาเจ้าคะ…ข้า…เรื่องนี้นั้น…”


ใบหน้าของหวังเป่าเล่อหม่นหมองลง ขณะที่โจวเหมยก็เริ่มกังวลจนตัวสั่น ชายหนุ่มเริ่มคิดถึงสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดก่อนจะถามขึ้นมาปุบปับ


“หลี่อู๋เฉินสร้างปัญหาให้เจ้าเมื่อเจ้าเข้าสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ไปแล้วใช่หรือไม่ เขาทำเรื่องเลวทรามกับเจ้าใช่หรือไม่ ต้องใช่แน่ๆ เจ้าหลี่อู๋เฉินคนนี้ กล้าดีอย่างไร!” หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นทุบที่พักแขนบนเก้าอี้ ก่อนจะปล่อยรัศมีน่าสะพรึงกลัวออกมา จากนั้นจึงตะโกนสั่งการไปยังต้นไม้ยักษ์ ผู้ซึ่งยืนรออยู่ตรงมุมห้องด้านหนึ่ง


“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ โปรดไปเชิญตัวหลี่อู๋เฉินมาพบข้าเดี๋ยวนี้เถิด!”


“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้นเจ้าค่ะ!” ใบหน้าของโจวเหมยซีดเผือดลงก่อนที่ต้นไม้ยักษ์จะได้พูดอะไร นางเดินโซเซออกมาข้างหน้าอย่างเร่งรีบ น้ำตารื้นขึ้นมาในดวงตาทั้งสองที่เปี่ยมไปด้วยความกลัวและวิตกกังวล เห็นได้ชัดว่านางลำบากใจอย่างยิ่ง หวังเป่าเล่อเองก็มองเห็น จึงถอนหายใจครั้งหนึ่ง ก่อนจะยกมือเป็นเชิงบอกให้ต้นไม้ยักษ์รออยู่ก่อน จากนั้นจึงยกมือขึ้นถูหน้าผากพลางจ้องมองไปทางโจวเหมย ผู้ซึ่งขณะนี้กำลังยืนคอตก


พักใหญ่ต่อมา หวังเป่าเล่อจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง


“โจวเหมย บอกข้ามาเสีย เจ้ามีใจให้หลี่อู๋เฉินจริงหรือไม่ เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าอยากจะเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของเขา”


“เลิกพยายามปิดบังความจริงจากข้าเสียที หากเจ้าคิดเช่นนั้น ก็ขอให้เป็นไปตามนั้น แต่หากไม่ ก็คือไม่” น้ำเสียงของหวังเป่าเล่อสูญเสียความดุร้ายที่เคยมีไปสิ้น ราวกับว่าเขากลับไปเป็นหัวสาขาแห่งสำนักศึกษาเต๋าหมอกเขาอีกครั้งหนึ่งก็ไม่ปาน


โจวเหมยหน้าแดงก่ำ ก่อนจะก้มศีรษะลงใคร่ครวญ ไม่นานนักก็ตอบขึ้นมาอย่างเอียงอายว่า


“ใช่เจ้าค่ะ!”


หวังเป่าเล่อเงียบงันไป จากนั้นจึงโคลงศีรษะและยิ้มออกมา เมื่อทั้งคู่ต่างก็มาสานสัมพันธ์กันโดยสมัครใจ ก็ไม่มีความจำเป็นให้เขาต้องตามดูทั้งคู่อีกต่อไป พวกเขาจะได้มาเป็นคู่ครองกันในอนาคตเป็นแน่


การแทรกแซงของหวังเป่าเล่อก็จะทำให้ความสัมพันธ์นี้เป็นทางการเร็วขึ้น ในฐานะศิษย์แห่งเต๋าแล้ว หากหลี่อู๋เฉินเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋ากับคนจากสหพันธรัฐ ก็จะยิ่งทำให้สถานะพันธมิตรระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีก


แน่นอนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือพวกเขาทั้งคู่มีใจให้แก่กันจริง เพราะว่าคงจะไม่มีความหมายแต่อย่างใดหากคนใดคนหนึ่งไม่เต็มใจ


เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็จ้องมองโจวเหมยอยู่อีกพักใหญ่ก่อนจะสรุปว่านางเองก็มีใจให้หลี่อู๋เฉินจริง ชายหนุ่มจึงตัดสินใจได้และพูดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ โปรดไปเชิญตัวหลี่อู๋เฉินมาที่นี่เถิด”


โจวเหมยดูกังวล แต่น้ำเสียงที่สุภาพขึ้นขอหวังเป่าเล่อก็ทำให้นางโล่งใจได้บ้าง นางยังคงหลุบศีรษะลงต่ำและยืนนิ่งเงียบอยู่ที่เดิม หัวใจของนางเต้นไม่เป็นส่ำ นางเป็นสตรีที่หลักแหลมนัก และนางรู้ดีว่าหัวหน้าสาขาของนางกำลังจะทำสิ่งใด


หวังเป่าเล่อต้องรับบทพ่อสื่อเป็นครั้งแรก ช่างเป็นประสบการณ์ที่น่ารื่นรมย์เสียจริง ชายหนุ่มยิ้มแย้มและเย้าแหย่โจวเหมยอยู่เป็นครั้งคราว จากนั้นจึงชวนนางคุยเรื่องจินตั้วจื่อ เขาประหลาดใจที่ได้รู้ว่าจินตั้วจื่อไม่ได้กลับไปที่กลุ่มไตรจันทราหลังจากเรียนจบ แต่กลับเลือกไปอยู่กับกองทัพบนฐานที่มั่นบนดวงจันทร์แทน


ทั้งสองคนพูดคุยกันอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่ต้นไม้ยักษ์ผู้ขยันขันแข็งจะเดินนำหลี่อู๋เฉินเข้ามายังวังของหวังเป่าเล่อ หลี่อู๋เฉินไม่ได้อยากมา แต่ต้นไม้ยักษ์บอกเขาว่าโจวเหมยรอเขาอยู่ ชายหนุ่มจึงได้แต่ถอนหายใจก่อนจะเดินตามมาอย่างเสียไม่ได้


ทันทีที่เขาเข้ามาถึงโถง ชายหนุ่มก็มองเห็นหวังเป่าเล่อนั่งอยู่ที่ปลายฝั่งหนึ่ง พลางพูดคุยกับโจวเหมยอย่างสุขใจ ภาพนั้นทำเอาหัวใจของเขาเต็มตื้นไปด้วยอารมณ์อันหลากหลาย หลี่อู๋เฉินรู้ดีว่าโจวเหมยเป็นลูกศิษย์ของหวังเป่าเล่อ เขายังรู้อีกด้วยว่าคงไม่มีทางซ่อนความสัมพันธ์นี้จากหวังเป่าเล่อได้เป็นแน่


ความอับอายและความบาดหมางในอดีตของทั้งคู่ทำให้หลี่อู๋เฉินทั้งกังวลทั้งกระอักกระอ่วนใจไปหมด ทันทีที่เขาเดินเข้ามาในห้องโถงและก่อนที่จะได้เอ่ยทักทาย สีหน้าของหวังเป่าเล่อก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ชายหนุ่มกล่าวอย่างเย็นชาว่า “หลี่อู๋เฉิน ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าและโจวเหมยจะต้องจบลงวันนี้ ข้าขอเตือนไม่ให้เจ้ามาตอแยกับศิษย์ของข้าอีกต่อไป หาไม่แล้ว ข้าจะสังหารเจ้าเสีย!” ทันทีที่หวังเป่าเล่อพูดจบ โจวเหมยก็มีสีหน้าตกใจเป็นอย่างยิ่ง


“หัวหน้าสาขา ท่าน…”


หลี่อู๋เฉินชะงัก ลมหายใจของเขาเริ่มหนักหน่วงและสีหน้าก็เริ่มซีดขาว จากนั้น เมื่อมองเห็นหน้าโจวเหมยและได้ยินสิ่งที่นางพยายามจะพูด หลี่อู๋เฉินก็รู้สึกมีกำลังวังชาอย่างประหลาด เขาเลิกประหม่าและวิตกก่อนจะก้าวออกไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ ประกายความท้าทายฉายกล้าอยู่ในแววตา


“ผู้อาวุโสหวัง เรื่องนี้เป็นเรื่องระหว่างเหมยเอ๋อร์กับตัวข้า ท่านอาจเคยเป็นอาจารย์ของนางแต่ท่านก็ไม่มีสิทธิมาขวาง…”


“ข้าสามารถรับประกันได้ว่าเจ้าจะบรรลุไปถึงขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดภายในหนึ่งปี และยังรับประกันได้อีกด้วยว่าเจ้าจะได้เข้าไปยังห้องจุติศาสตร์เวทอีกด้วย เจ้าจะได้มีโอกาสก้าวเข้าไปถึงขั้นจุติวิญญาณได้!”


“แต่ทว่า หากเจ้าไม่ทำตามที่ข้าสั่ง ข้าจะทำให้ชีวิตเจ้ายากลำบาก ต่อให้เจ้าจะเป็นคนของสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้ก็ตามที เจ้าจะต้องตายอยู่ในตัวกระบี่ หลี่อู๋เฉิน เจ้ารู้ดีว่าควรทำอย่างไร คิดดูให้แน่ใจและตอบข้ามา” น้ำเสียงของหวังเป่าเล่อนั้นเย็นชา ความรุนแรงปกคลุมอยู่ในอากาศอันหนักหน่วงที่ปกคลุมวังทั้งหมดเอาไว้ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นชี้ที่โจวเหมย คาถาหนึ่งพวยพุ่งออกมาจากปลายนิ้วเข้าปิดปากโจวเหมยเอาไว้ นางไม่อาจจะเอื้อนเอ่ยถ้อยคำออกมาได้ ทำได้เพียงกังวลอย่างเงียบงัน


หลี่อู๋เฉินหน้าซีดลงอีก ความเกรี้ยวกราดในแววตาของเขาเปล่งประกายกล้าขึ้น ชายหนุ่มเงยหน้าจ้องหวังเป่าเล่อตาไม่กะพริบก่อนจะเอ่ยปากตอบอย่างไม่รีรอ


“หวังเป่าเล่อ คำตอบของข้าก็คือ…ไม่มีทาง!”


หวังเป่าเล่อกลอกตา ชายหนุ่มตั้งใจแสดงให้ยิ่งใหญ่ไปเช่นนั้นเอง แต่เขาไม่มีทางเลือก เพราะเขาเคยเห็นตัวอย่างมาจากละครโทรทัศน์ในสหพันธรัฐ เขาเชื่อว่าคงจะต้องมีเหตุผลที่ต้องแสดงกันอย่างยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้ หวังเป่าเล่อได้ยินคำตอบของหลี่อู๋เฉินแล้วจึงจ้องมองเขาอย่างตั้งใจ ก่อนจะได้ข้อสรุป ชายหนุ่มยกมือขึ้นทุบที่เท้าแขนก่อนจะผุดลุกขึ้นยืน และเมื่อเปิดปากพูด เสียงของเขาก็ดังสนั่นออกมากึกก้องอย่างน่ายำเกรง


“ไม่มีทางอย่างนั้นหรือ ถ้าอย่างนั้น ข้าจะตัดสินใจให้เจ้าทั้งคู่เอง การสมรสของพวกเจ้าจะเกิดขึ้นภายในวังแห่งนี้ เจ้าจะเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋าของกันและกัน ไม่อาจจะแยกจากกันได้แม้ทั้งในชีวิตและความตาย!”


“หลี่อู๋เฉิน เจ้าตกลงหรือไม่”


บทที่ 630 ปรากฏตัวครั้งแรก!

หลี่อู๋เฉินตกอยู่ในภวังค์เมื่อได้ยินประโยคนั้น ดวงตาของชายหนุ่มเบิกกว้างขณะมองหน้าหวังเป่าเล่อเหมือนโดนสะกดจิต ก่อนจะหันไปมองโจวเหมยและเห็นว่านางยังถูกผนึกอยู่จึงตอบกลับไม่ได้


ชายหนุ่มไร้ผมนิ่งอึ้งอยู่นานสองนาน หวังเป่าเล่อมองสีหน้าตกใจของเขาอย่างสงบนิ่งและพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อย “ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่ง เขาเป็นคนเลวที่กระทำผิดต่อเนื้อคู่แห่งเต๋าของตน วันรุ่งขึ้นเขาก็ได้รับผลกรรมเป็นความตาย”


เมื่อได้ยินดังนั้น หลี่อู๋เฉินก็กลืนน้ำลายดังเอื๊อก ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากรับคำเสนอนี้ เพราะอาการตื่นเต้นเมื่อก่อนหน้าก็บอกได้เป็นอย่างดีว่าชายหนุ่มคิดอย่างไร แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนไม่ทันตั้งตัว เมื่อกลายเป็นรูปนี้ไปแล้ว เขาก็จะไม่รีรออีกต่อไป หลี่อู๋เฉินทำมือคารวะพร้อมโค้งตัวลงต่ำให้หวังเป่าเล่อ


“ศิษย์คนนี้ขอรับข้อเสนอ!”


หวังเป่าเล่อพอใจเป็นอันมากที่หลี่อู๋เฉินแทนตนเองว่าเป็นศิษย์เขา ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นชี้ไปยังโจวเหมยเพื่อปล่อยนางออกจากผนึก ก่อนถามลูกศิษย์หญิงด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เหมยเอ๋อร์ เจ้าก็ตกลงเช่นกันหรือไม่”


โจวเหมยอายหน้าแดง นางก้มหน้าลงตอบด้วยเสียงเบาแต่ชัดเจน


“ข้ายินดีรับบัญชาของท่านเจ้าสำนักเจ้าค่ะ”


หวังเป่าเล่อส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม แม้ว่าเขาจะได้ประโยชน์จากการจับคู่นี้ แต่ความสุขที่เกิดขึ้นในใจจากการเห็นลูกศิษย์ของตนเองเป็นฝั่งเป็นฝานั้น ยิ่งใหญ่กว่าความรู้สึกพอใจจากการได้รับประโยชน์ส่วนตนมากนัก


“เช่นนั้นก็ตกลง พวกเจ้าทั้งสองกลับไปได้ ข้าขอให้พวกเจ้ารอรับข่าวสารจากข้า ในฐานะศิษย์พี่ ข้าจะจัดการเรื่องพิธีให้เจ้าทั้งสองเอง” หวังเป่าเล่อยิ้มก่อนโบกมือเชิญให้คู่หมั้นทั้งสองจากไป


หลี่อู๋เฉินเริ่มตระหนักแล้วว่าอนาคตของเขากำลังจะเปลี่ยนไป และกำลังตื่นเต้นดีใจกับชีวิตใหม่นี้เป็นอันมาก เขาหันไปมองโจวเหมยที่แก้มแดงปลั่งและมองกลับมาที่ขา ทั้งสองมองตากัน รู้สึกได้ชัดถึงความสุขที่เอ่อล้นในดวงตาของอีกฝ่าย


“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโสสูงสุด!” ชายหนุ่มไร้ผมหายใจเข้าลึกก่อนโค้งคำนับต่ำด้วยความสุขที่มากล้นและความเคารพสูงสุด ชายหนุ่มรู้สึกขอบคุณหวังเป่าเล่อเป็นอันมาก เรียกได้ว่าหวังเป่าเล่อได้ชนะใจเขาไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


โจวเหมยเองก็เตรียมตัวจากไปพร้อมกัน หวังเป่าเล่อได้แต่ถอนหายใจขณะมองทั้งสองที่กำลังเดินจากไป


ถึงหลี่อู๋เฉินจะเป็นไอ้งี่เง่าที่ทำข้าปวดหัวมาหลายรอบ แต่ก็ยังเป็นคนจิตใจดี ข้าหวังว่าทั้งสองจะครองคู่กันไปชั่วชีวิต ชายหนุ่มยิ้ม ก่อนหันไปส่งสัญญาณให้ต้นไม้ยักษ์จากไปเช่นกัน


บัดนี้ในโถงไม่เหลือผู้ใดอยู่แล้วนอกจากเขา หวังเป่าเล่อนั่งลงอีกครั้ง และเริ่มคิดถึงงานแต่งงานของหลี่อู๋เฉินและโจวเหมย สิ่งแรกที่เขานึกถึงคือปฏิกิริยาของเฟิ่งชิวหรันเมื่อนางทราบข่าว


แต่เฟิ่งชิวหรันก็ไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเข้ามายุ่งได้… นอกเสียจากว่านางจะประกาศตัวตนที่แท้จริงของหลี่อู๋เฉินให้ทุกคนทราบ เมื่อตระหนักว่าตนเองต้องเป็นคนจัดงานแต่งงาน เขาก็ยกแหวนสื่อสารขึ้นออกคำสั่งในทันที นอกจากนี้ยังใช้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายเพื่อถามความคิดเห็นของหลี่ซิงเหวินอีกด้วย


สหพันธรัฐตอบรับข้อความของหวังเป่าเล่อด้วยความสำคัญสูงสุด และมีการพูดคุยเรื่องนี้กันหลายครั้ง หลี่ซิงเหวินยังติดต่อบิดามารดาของโจวเหมยเองอีกด้วย!


นอกจากนี้สหพันธรัฐยังส่งแผนการถัดไปโดยละเอียดในการควบรวมสหพันธรัฐกับสำนักวังเต๋าไพศาล สหพันธรัฐอนุญาตให้สำนักวังเต๋าไพศาลส่งผู้ฝึกตนจำนวนสามสิบคนมายังโลกเพื่อแลกเปลี่ยนการฝึกปราณ ระดับพลังปราณของกลุ่มแรกนี้ต้องอยู่ต่ำกว่าระดับจุติวิญญาณ และหลี่ซิงเหวินจะเป็นผู้นำของกลุ่มนี้ สหพันธรัฐยังหวังว่าสำนักวังเต๋าไพศาลจะนำเมล็ดต้นไฮยาซินติดมาด้วย เมล็ดนี้จะถูกปลูกบนโลกเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งพันธมิตรที่สมบูรณ์แข็งแรง


หลังจากที่ได้รับแผนจากบ้านเกิด หวังเป่าเล่อก็นำเรื่องนี้ไปปรึกษาประมุขสำนักสวี ต้นไม้ยักษ์ และเจ้าเยี่ยเหมิงในทันที เจ้าเยี่ยเหมิงไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดีเมื่อทราบว่าหวังเป่าเล่อทำตัวเป็นพ่อสื่อ แต่ก็ไม่ได้ออกความเห็นอะไรมากมายนักเกี่ยวกับเรื่องนี้


ทั้งสี่พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเรื่องแผนการของสหพันธรัฐ หวังเป่าเล่อเองก็เสนอความคิดตนเองเช่นกัน


“ในช่วงแรกของปฏิบัติการ เราอาจตั้งกลุ่มพันธมิตรชื่อเครือจักรภพแห่งเต๋า โดยมีดินแดนศักดิ์สิทธิ์สองแห่ง โลกจะมีชื่อว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งสหพันธรัฐ ส่วนแห่งที่สองคือกระบี่สำริดเขียวโบราณ อันจะมีชื่อเรียกว่าดินแดนศักดิ์สิทธิ์เต๋าไพศาล ส่วนดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ นั้นเราจะเรียกว่าแคว้น โดยอยู่ในการควบคุมของเครือจักรภพแห่งเต๋า”


ข้อเสนอนี้เป็นเพียงความคิดคร่าวๆ เท่านั้น และเป็นผลของการกรั่นกรองจากประสบการณ์การเป็นผู้อาวุโสสูงสุด หลังจากที่ปรึกษาหารือกันเรียบร้อย พวกเขาก็ตัดสินใจส่งแผนการนี้กลับไปให้สหพันธรัฐ เพื่อให้มันสมองของสหพันธรัฐช่วยประเมินความเป็นไปได้


เนื่องจากส่งข้อความกลับไปไม่ได้ การสื่อสารเดียวที่พวกเขาทำได้คือการส่งแผ่นหยกผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย จึงต้องใช้เวลาถึงเจ็ดวัน


ข้อเสนอนี้เตะตาสหพันธรัฐเป็นอันมาก เนื่องจากทางสหพันธรัฐเองก็คิดเอาไว้เช่นกัน เพียงแต่ยังไม่พร้อมตั้งเครือจักรภพเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ความคิดนี้จึงยังเป็นได้แค่ความคิดต่อไป แต่ส่วนของงานแต่งงานระหว่างหลี่อู๋เฉินและโจวเหมยนั้น หลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉือยินดีให้เดินหน้าต่อไปได้!


ข่าวการสมรสระหว่างเนื้อคู่แห่งเต๋าจากสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาล ค่อยๆ แพร่กระจายไปในสำนักในหลายวันต่อมา เฟิ่งชิวหรันตกใจในตอนแรกเมื่อทราบข่าว แต่หลังจากที่ลังเลอยู่สักพัก นางก็เลือกยอมรับสายสัมพันธ์นี้


ความเงียบอันหมายถึงการยินยอมของนาง แปลว่าแผนการนี้ไร้อุปสรรคอีกต่อไป ประมุขสำนักสวีทราบดีว่างานสมรสจะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่ง ในการกระชับสัมพันธ์ระหว่างสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลให้แน่นแฟ้นขึ้น นอกจากนี้ด้วยความที่โจวเหมยเป็นศิษย์ของหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มจึงเข้ามายุ่งเกี่ยวในการเตรียมงานด้วย


อีกหนึ่งสัปดาห์ผ่านไป งานแต่งงานจัดในวังเต๋าไพศาล โดยมีผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐทุกคนเป็นสักขีพยาน รวมถึงผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลคนอื่นๆ ด้วย โดยมีประธานฝังสำนักวังเต๋าไพศาลเป็นเฟิ่งชิวหรัน!


นี่เป็นวันสำคัญของหลี่อู๋เฉินและโจวเหมย รวมถึงยังเป็นวันที่อยู่ในความทรงจำของทั้งสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาล จิตใจของเฟิ่งชิวหรันเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย นางรู้ดีว่าแท้จริงแล้วหลี่อู๋เฉินเป็นใคร และเป็นนางเองที่เลือกส่งเขาไปยังสหพันธรัฐเพื่อความปลอดภัย ในตอนนี้นางกำลังมองดูเขาเข้าพิธีสมรสกับเนื้อคู่แห่งเต๋าของตน เฟิ่งชิวหรันรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อเป็นพ่อสื่อให้ทั้งสอง แต่หลังจากที่คิดดูถี่ถ้วนแล้วนางก็เลือกปล่อยให้มันเกิดขึ้น และเลือกมายืนอยู่เคียงข้างหวังเป่าเล่อในพิธี เพื่อเป็นพยานในการเริ่มต้นชีวิตคู่ของทั้งสอง!


ศิษย์แห่งเต๋าไพศาลอู๋เฉิน ข้าหวังว่าชาตินี้ของท่านจะมีความสุขมากกว่าชาติที่ผ่านมานะ เฟิ่งชิวหรันมองผ่านฝูงชนไปยังหลี่อู๋เฉินในชุดสีแดง ผู้ที่กำลังกุมมือโจวเหมยเอาไว้ ดวงตาของเขาเป็นประกายสดใสด้วยความตื่นเต้นและความสุขที่เอ่อล้นจนปิดไม่มิด นางมองทั้งสองเดินมาหานางและหวังเป่าเล่อ เพื่อหยุดทำความเคารพพวกเขา แล้วก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเหมือนกำลังสูญเสียบางสิ่งไป


ความทรงจำจากสมรภูมิรบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดผุดขึ้นในใจนาง สงครามที่อุบัติขึ้นในครั้งที่กระบี่สำริดโบราณหลบหนีออกจากระบบจักรพิภพไพศาล ขณะถูกไล่ล่าโดยตระกูลไม่รู้สิ้น อันทำให้ทิศทางการท่องอวกาศของกระบี่เปลี่ยนไป


แม้สำนักวังเต๋าไพศาลจะชนะในศึกนั้น แต่ก็ยังมาพร้อมราคาแสนแพงที่ต้องจ่าย ตัวกระบี่เสียหายเป็นอย่างมาก เหล่าผู้อาวุโสก็บาดเจ็บสาหัสจนเข้าสภาวะนิทรา ส่วนศิษย์แห่งเต๋าไพศาลอู๋เฉินนั้นต่อสู้อย่างไม่ลดละ ปราศจากซึ่งความกลัวใดๆ จนบาดเจ็บสาหัสใกล้สิ้นชีวิต ทางเดียวที่จะเยียวยาตนเองได้ คือต้องเกิดใหม่และใช้พลังแห่งการกลับชาติมาเกิด ในการรักษาตนเองให้กลับมาสมบูรณ์แข็งแรงอีกครั้ง


ความทรงจำที่ปรากฏขึ้นนี้ซ้อนทับกับภาพในปัจจุบัน ที่ผู้คนมากมายมาร่วมแสดงความยินดีกับคู่รักทั้งสอง เฟิ่งชิวหรันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความสูญเสียที่ยังคงรุนแรงอยู่ในใจนาง จนหลี่อู๋เฉินและโจวเหมยเดินมาทำความเคารพตน


หลี่อู๋เฉินกระวนกระวายขึ้นมาทันที โจวเหมยเองก็เช่นกัน ฝูงชนรู้สึกได้ถึงพฤติกรรมแปลกๆ ของเฟิ่งชิวหรัน ทุกคนต่างจ้องไปที่นางอย่างไม่วางตา


แม้จะเห็นสีหน้าประหลาดของเฟิ่งชิวหรันแต่ก็ไม่มีใครอ่านใจนางออก มีเพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่เดาได้จากสีหน้าสับสนของนาง ชายหนุ่มกระแอมก่อนสะกิดเฟิ่งชิวหรัน และจะยื่นมือออกไปเพื่อฉุดให้หลี่อู๋เฉินและโจวเหมยลุกขึ้นยืน


“ข้าขอให้เจ้าทั้งสองมีความสุข”


เฟิ่งชิวหรันเรียกสติตนเองกลับมาได้อีกครั้งเมื่อหวังเป่าเล่อสะกิดให้นางกลับมาอยู่กับปัจจุบัน นางยิ้มออกมาทันทีเมื่อมองไปยังคู่ข้าวใหม่ปลามันที่อยู่ตรงหน้า พร้อมพูดด้วยเสียงอ่อนโยน


“ข้าขอให้เจ้าทั้งสองครองคู่กันจนแก่เฒ่า”


หลังจากที่หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันให้พรคู่สมรสใหม่เรียบร้อย ผู้ฝึกตนทุกคนในวังเต๋าไพศาลระเบิดเสียงยินดีกึกก้อง เหล่าผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐเองก็เช่นกัน หลี่อู่เฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก เขาไม่ทราบว่าตนเองมีสัมพันธ์ใดกับเฟิ่งชิวหรัน แต่รู้ดีว่านางเป็นผู้ฝากเขาครั้งที่ยังเป็นทารกให้ท่านอาจารย์ของเขาดูแล


หลี่อู๋เฉินเคารพเฟิ่งชิวหรันเช่นเดียวกับที่เขาเคารพหลี่ซิงเหวิน หัวใจของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความหวังเมื่อได้รับพรจากนาง เขากุมมือโจวเหมยเอาไว้แน่น


ไม่มีผู้ร่วมงานมงคลสมรสคนใดล่วงรู้ ว่าในตอนนั้นเองที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ผู้ซึ่งไม่ได้เข้าร่วมงานและกำลังนั่งอยู่ในโถงที่พักของตนเอง ลืมตาขึ้นมาโดยฉับพลัน พร้อมด้วยเปลวไฟสีฟ้าที่โชติช่วงในนัยน์ตาทั้งสองข้าง


“ในที่สุด… การซ่อมแซมก็เสร็จสิ้นเสียที!”


เขาพึมพำ ก่อนระเบิดเสียงหัวเราะพร้อมผุดลุกขึ้นยืน โยวหรันเงยหน้าขึ้นมองไปทางตัวดาบ ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เสียงระเบิดกึกก้องก็ดังลั่นมาจากทางตัวดาบ พุ่งพรวดขึ้นสู่ท้องฟ้า ทำให้สวรรค์และผืนดินสั่นไหว


ทะเลเพลิงเริ่มเดือดคลั่ง บริเวณต้องคำสาปมากมายยุบตัวลง ทำให้ฝูงอสูรเริ่มหนีตายจ้าละหวั่น ขณะที่ทะเลเพลิงกำลังพัดโหมขึ้นลงอยู่นั้น เรือรบหน้าตาประหลาดอันมีแผ่นวงแหวนสามแผ่นที่ปลายแตะกันเป็นสามเหลี่ยม ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นจากทะเลเพลิงที่โกรธเกรี้ยว!


เรือรบลำมหึมานี้เปรียบราวกับสัตว์ทะเลขนาดยักษ์ ที่ใหญ่มหึมาเสียจนมองไม่ออกว่าท้ายเรืออยู่ที่ใด เมื่อยืนอยู่บนเรือนั้น เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเห็นจุดสิ้นสุดของขอบเขตเรือ ทะเลเพลิงที่รายล้อมเรือยักษ์เผาไหม้ทุกสิ่งให้วอดวายกลายเป็นธุลี!


แผ่นวงแหวนที่เป็นรากฐานของเรือนั้น แต่ละอันมีขนาดเท่าดวงจันทร์ เป็นโลกสามใบที่แยกออกจากกันโดยสิ้นเชิง ต่างหมุนรอบตนเองและส่องแสงสว่างจ้า พร้อมด้วยบรรยากาศความพิศวงที่แผ่ออกมา พื้นผิวของเรือเป็นสีดำสลักด้วยอักขระโบราณเรียงกันเป็นแถว พลังอำนาจมหาศาลแผ่กระจายออกจากเรือยักษ์พุ่งขึ้นไปในอากาศ


เรือยักษ์ลึกลับพุ่งขึ้นจากทะเลเพลิง ตรงเข้าหาเขตแดนที่คั่นกลางระหว่างตัวดาบและด้ามดาบในทันที!


คำสาปมากมายระเบิดสลายกลายเป็นธุลีทันทีที่เข้าปะทะกับเรือรบยักษ์ ขุนเขาแหลกสลายกลายเป็นผุยผง เรือยักษ์สีดำอัดแน่นด้วยอักขระโบราณแสนขลัง ปล่อยพลังอำนาจรุนแรงทำลายทุกอย่างที่ขวางทางราบเป็นหน้ากลอง!


บทที่ 631 เสียงเรียกขอความช่วยเหลือ!

เรือรบยักษ์ที่สร้างมาจากแผ่นวงแหวนสามแผ่นที่แยกออกจากกันอย่างเป็นเอกเทศ ลอยขึ้นจากทะเลเพลิงภายในบริเวณตัวดาบ และพุ่งตรงไปข้างหน้าด้วยพลังล้นเหลือของกระบี่ที่ทรงพลัง โดยเป้าหมายอยู่ที่บริเวณด้ามดาบ ในขณะที่หลี่อู๋เฉินและโจวเหมยกำลังเข้าพิธีมงคลสมรสบนเกาะหลักของสำนักวังเต๋าไพศาล


หลังจากที่ได้รับพรจากหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันเป็นที่เรียบร้อย เหล่าผู้ร่วมงานทั้งจากสำนักวังเต๋าไพศาลและสหพันธรัฐก็พากันชื่นชมยินดีกึกก้อง แม้กระทั่งผู้ที่ไม่ได้เข้าร่วมพิธียังได้ยินเสียงหัวเราะด้วยความปีตินั้น ดังมาจากจัตุรัสสาธารณะที่ยอดเขาหลัก


ทุกสิ่งทุกอย่างในห้วงเวลานั้นดูแสนสมบูรณ์แบบ ต้นไฮยาซินปลิวพลิ้วไหวไปตามสายลมอ่อน ทั่วทั้งสำนักอาบไล้ไปด้วยความสงบสุขและความชมยินดี


ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐรวมเข้าเป็นหนึ่งเดียวกับสำนักวังเต๋าไพศาลได้บ้างแล้ว ด้วยความช่วยเหลือของเทคโนโลยีอย่างเครือข่ายวิญญาณ ระบบการกู้ยืมเงินตรา และกิจกรรมใหม่ๆ มากมาย ที่ทำให้ศิษย์จากสำนักวังเต๋าไพศาลคุ้นเคยกับวิถีชีวิตของชาวโลกมากขึ้น ทัศนคติที่พวกเขามีต่อคนจากสหพันธรัฐก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือเช่นกัน


สถานะของหวังเป่าเล่อในสำนักถือเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์นี้ด้วยเช่นกัน เขามีอำนาจอย่างเต็มเปี่ยมในสำนักวังเต๋าไพศาล ยกเว้นว่าเกิดเหตุการณ์เหนือความคาดหมายขึ้นจริงๆ


หากวิถีชีวิตของผู้คนจากทั้งสองโลกยังดำเนินไปเช่นนี้ ภายในเวลาสิบปี จะต้องเกิดการดองกันของผู้คนจากทั้งสองสำนัก เพื่อสร้างชนรุ่นหลังที่มีสายเลือดจากทั้งสองฝ่ายขึ้นมากมายอย่างแน่นอน การควบรวมอาณาจักรก็จะสมบูรณ์แบบแนบสนิท จนแยกสหพันธรัฐออกจากสำนักวังเต๋าไพศาลไม่ได้อีกต่อไป ข้อตกลงระหว่างเฟิ่งชิวหรันและหลี่ซิงเหวินก็จะถือว่าบรรลุเสร็จสิ้น


สัมพันธมิตรนี้จะทำให้อารยธรรมการฝึกตนของสหพันธรัฐก้าวหน้าไปอย่างมั่นคง และช่วยให้พัฒนาได้เร็วขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน อารยธรรมของสหพันธรัฐจะรุดหน้าไปอีกอย่างแน่นอน…


นั่นคือเป้าหมายของสหพันธรัฐ และก็เป็นเป้าหมายของหวังเป่าเล่อด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้คำอวยพรของเขาที่มอบให้หลี่อู๋เฉินและโจวเหมยในวันมงคลสมรสของทั้งสองนั้น จึงเป็นถ้อยทำที่จริงใจ พร้อมด้วยรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความหวัง แต่แน่นอนว่าเขาเองก็มีบางสิ่งที่ทำให้รู้สึกเสียใจอยู่เช่นกัน


หวังเป่าเล่อเองก็เป็นชายในวัยหนุ่มที่ยังไม่ได้ออกเรือน ไร้ซึ่งคู่ครอง สายตาของเขากวาดมองไปท่ามกลางฝูงชนอย่างควบคุมไม่ได้ ก่อนหยุดลงที่เจ้าเยี่ยเหมิง


เจ้าเยี่ยเหมิงกำลังยิ้มกว้าง ดวงตาสว่างเจิดจ้าด้วยความปิติยินดีต่อคู่แต่งงานใหม่ กระนั้นบนใบหน้าก็ยังมีความรู้สึกอิจฉาปนอยู่เล็กน้อยเช่นกัน นางรู้สึกได้ถึงสายตาของหวังเป่าเล่อที่กำลังมองมา เจ้าเยี่ยเหมิงเอาผมที่ถูกลมอ่อนพัดปลิวไสวกลับมาทัดหู ดวงตาระยิบระยับของนางสบเข้ากับดวงตาของหวังเป่าเล่อ


นางยิ้มเมื่อสายตาประสานกับชายหนุ่ม หัวใจของหวังเป่าเล่อเต้นแรงขึ้นอย่างบอกไม่ถูกว่าเป็นเพราะเหตุใด จนทำให้เขาต้องเอื้อมมือไปลูบพุงตนเองตามนิสัยเดิม…


ท่าทีนั้นทำให้มนต์สะกดหายไปทันที เจ้าเยี่ยเหมิงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่ออีก ส่วนหวังเป่าเล่อเองก็ดูเหมือนอายเช่นกัน เขากำลังจะเดินเข้าไปหาเจ้าเยี่ยเหมิงเพื่อพูดบางสิ่ง ในตอนนั้นเองโจวเหมยและหลี่อู๋เฉินที่กำลังอยู่ระหว่างดื่มคารวะกับผู้ร่วมงาน ก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าเขาพอดิบพอดี


“ท่านเจ้าสำนัก…” โจวเหมยดื่มสุราเข้าไปเล็กน้อย แก้มของนางจึงเป็นสีแดงปลั่ง ดวงตามองหวังเป่าเล่อด้วยความเคารพนับถือปนความรู้สึกขอบคุณ นางโค้งคำนับเขาก่อนยื่นแก้วเมรัยให้


หลี่อู๋เฉินยืนอยู่ข้างๆ ความรู้สึกของเขาต่อหวังเป่าเล่อยังคงสับสนปนเประหว่างขั้วบวกและขั้วลบ แต่ตัวเขาเองก็รู้สึกขอบคุณหวังเป่าเล่อที่กล้าตัดสินใจ และสนับสนุนความรักของเขาเช่นกัน ชายหนุ่มจึงสูดหายใจเข้าลึกและรินเหล้าให้เสียจนปริ่มเต็มแก้ว


หวังเป่าเล่อชะงักกลางคัน มองคู่สมรสใหม่ตรงหน้า ก่อนจะหันไปมองโจวเหมย ความทรงจำของนางในฐานะเด็กสาวตัวน้อยที่สำนักหมอกเขาแห่งเต๋าผุดขึ้นในใจ เขาหันไปหาหลี่อู๋เฉิน หัวใจเต็มไปด้วยความรู้สึกยินดีและความชื่นใจ ก่อนหยิบแก้วสุรามาและเอ่ยด้วยท่าทีขำๆ “เหมยเอ๋อร์ เจ้าจะเรียกข้าว่าอาจารย์ก็ได้นะ”


โจวเหมยเงยหน้าขึ้นมองหวังเป่าเล่อด้วยความตื่นเต้นที่ทอแสงแรงกล้าอยู่ในดวงตา นางถือว่าหวังเป่าเล่อเป็นอาจารย์ของนางตั้งนานแล้ว และไม่ใช่นางเพียงคนเดียว ศิษย์รุ่นแรกเริ่มทั้งหมดที่หวังเป่าเล่อเป็นคนประสาทวิชาให้ด้วยตนเองก็คิดเช่นเดียวกัน กระทั่งศิษย์รุ่นต่อมาที่ไม่ได้รับการสั่งสอนจากหวังเป่าเล่อโดยตรงยังเคารพยกย่องเขาไม่เสื่อมคลาย อันเป็นความจริงที่จะคงอยู่ตลอดไปในทุกรุ่นของสำนักหมอกเขาแห่งเต๋า หลังจากที่หวังเป่าเล่อก้าวขึ้นดำรงตำแห่งเจ้าสำนัก


โจวเหมยหายใจเข้าลึก ก่อนคารวะหวังเป่าเล่ออีกครั้ง


“ข้าขอคารวะท่านอาจารย์เจ้าค่ะ!”


เมื่อผู้ฝึกตนจากทั้งสหพันธรัฐและสำนักวังเต๋าไพศาลเห็นโจวเหมยคารวะหวังเป่าเล่อ และเรียกเขาว่าท่านอาจารย์ ทุกคนก็มองนางเปลี่ยนไปในทันที สำนักวังเต๋าไพศาลให้ความสำคัญกับจารีตประเพณีเป็นอันมาก การที่โจวเหมยเรียกหวังเป่าเล่อว่าท่านอาจารย์นั้น แปลว่าสถานะของนางในสำนักวังเต๋าไพศาลนี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว


บัดนี้ถือว่านางเป็นศิษย์เอกแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล และเป็นศิษย์เอกคนแรกของหวังเป่าเล่อ!


นี่ถือเป็นเรื่องที่สำคัญยิ่ง!


หวังเป่าเล่อยิ้มให้หลี่อู๋เฉินท่ามกลางความตกใจและความอิจฉาของฝูงชน หลี่อู๋เฉินรู้ดีว่าเรื่องนี้สำคัญกับโจวเหมยอย่างไร แม้เขาจะรู้สึกสองจิตสองใจกับหวังเป่าเล่อเนื่องจากความไม่ลงรอยกันในอดีต แต่ความรู้สึกนั้นก็หายไปในทันที เมื่อหันกลับมามองผู้อาวุโสสูงสุดตรงหน้าอีกครั้ง เขาก็หายใจเข้าลึกก่อนคารวะด้วยการโค้งคำนับต่ำตามโจวเหมย


หวังเป่าเล่อยิ้ม เขาดื่มสุราจนหมด ก่อนวางแก้วลงและกำลังจะเอื้อนเอ่ย…แต่บางสิ่งก็ชิงเกิดขึ้นเสียก่อน!


ท้องฟ้าที่สร้างมาจากอำนาจของวงแหวนปราณที่เคยสดใสพลันแปรเปลี่ยน สายฟ้าฟาดกระหน่ำเหนือสำนักในบัดดล!


เปรี้ยง!


สายฟ้าพิโรธนั้นทำให้สวรรค์และผืนดินสั่นสะเทือน หวังเป่าเล่อสะดุ้ง ส่วนสีหน้าของเฟิ่งชิวหรันก็เต็มไปด้วยความตกใจเช่นกัน สานุศิษย์รอบกายพวกเขาตาเบิกกว้าง สีหน้างุนงง ความรู้สึกไม่สบายใจก่อตัวขึ้นภายใน ทุกคนรู้สึกได้ถึงลางร้ายที่กำลังคืบคลานเข้าใกล้


“เสียงอะไรกัน”


“เกิดอะไรขึ้นกันนี่”


เสียงอุทานด้วยความตกใจดังก้องไปทั่วบริเวณ ท้องฟ้าเบื้องบนเรื่องบิดเบี้ยว สายฟ้ายังคงฟาดกระหน่ำไม่หยุดและทวีความดังขึ้นเรื่องๆ พื้นดินสั่นไหวจนทำให้สำนักสะเทือน ทะเลเพลิงเดือดด้วยความโกรธเกรี้ยว!


ท้องฟ้าและปฐพีแปรเปลี่ยน ลมพายุซัดโหมหวีดหวิว เมฆเคลื่อนย้อนกลับ


ภาพนี้ทำให้ทั้งสำนักตกใจโกลาหล หลายคนที่ไม่ได้เข้าร่วมงานแต่งงาน เหาะออกจากถ้ำที่พักเพื่อสังเกตการณ์ด้วยสีหน้าตกใจ เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็เช่นกัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อสายตา ก่อนหันไปมองยังทิศทางที่เป็นตัวดาบในทันที!


หวังเป่าเล่อหายใจถี่ รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งผิดปกติขณะมองไปรอบกาย ในตอนนั้นเอง…พายุหมุนก็โหมเข้ามาจากอากาศธาตุ ดูเหมือนว่าจะมาจากทางตัวดาบ ทางใดที่มันเคลื่อนผ่าน ทะเลเพลิงก็ระอุขึ้นเป็นระรอก จนทำให้เกิดการระเบิดปะทุขึ้นมากมาย เสียงระเบิดนั้นดังมาแต่ไกล ไล่เข้ามาเรื่อยๆ ตลอดทางที่พายุหมุนพัดผ่าน ทะเลเพลิงปั่นป่วนบ้าคลั่ง ก่อให้เกิดเป็นเสียงอึกทึกน่าหวาดหวั่นที่ทำให้หัวใจของทุกคนเย็นวาบด้วยความกลัว!


สีหน้าของทุกคนในสำนักตกใจถึงขีดสุด ก่อนที่จะทันได้ทำอะไร เสียงที่ชรามากเหลือก็ดังวังเวงมาจากระยะไกล ลอยมาตามสายลมที่พัดโหมเข้ามายังตัวสำนัก!


“ช่วยข้าด้วย… ช่วยข้าที…”


เสียงนั้นดังไปทั่วสำนัก เฟิ่งชิวหรันที่กำลังตกใจกับภาพตรงหน้าตัวสั่นอย่างรุนแรง สีหน้าของนางเปลี่ยนไปในแบบที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ราวกับกำลังจะสติหลุดสิ้นสติ!


“ท่านพ่อ”


เฟิ่งชิวหรันรู้จักเสียงนั้นดีกว่าใคร เสียงบิดาของนางผู้เคยดำรงตำแหน่งผู้อาวุโสแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้สิ้นชีพลงระหว่างการรบพุ่งบนกระบี่สำริดเขียวโบราณ ขณะกำลังท่องอวกาศหนีตาย บิดาของนางเสียชีวิตลงด้วยน้ำมือของตระกูลไม่รู้สิ้น!


“ท่านอาจารย์ลุงหรือ” เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็จำได้เช่นกัน ความตกใจวาบผ่านใบหน้าขณะที่หันไปมองเฟิ่งชิวหรัน ทั้งสองมองเห็นแววความไม่อยากเชื่อในสายตาของกันและกัน


เฟิ่งชิวหรันหายใจหอบ นางรีบกระโจนออกไปยังทางที่เสียงลอยมาทันทีโดยไม่ลังเล


“ผู้อาวุโสเฟิ่ง รอก่อน!” เมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันอาจคิดไม่เหมือนกัน แต่ตัวเมี่ยเลี่ยจื่อนั้นจงรักภักดีต่อสำนักวังเต๋าไพศาลอย่างมั่นคงไม่เสื่อมคลาย เฟิ่งชิวหรันกำลังตัดสินใจวู่วามไร้เหตุผล แต่เขาก็หยุดนางเอาไว้ไม่ทัน เขากัดฟันก่อนตัดสินใจตามนางไปทันที!


โยวหรันเองก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน เขารีบรุดตามผู้อาวุโสทั้งสองไปจนลับสายตา!


ทุกสิ่งเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ก่อนที่จะมีใครได้ทันตั้งตัว ผู้ฝึกตนระดับเชื่อมวิญญาณทั้งสามก็จากไปสุดขอบฟ้าเสียแล้ว


สีหน้าของหวังเป่าเล่อเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ประมุขสำนักสวี ต้นไม้ยักษ์ และผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จากทั้งสองสำนักก็มีปฏิกิริยาเช่นเดียวกัน ทุกคนรู้สึกได้…ว่าเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น!


ณ เขตแดนที่กั้นระหว่างตัวดาบและด้ามดาบ เสียงระเบิดยังคงดังกึกก้องต่อเนื่องพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าเบื้องบน เรือรบยักษ์ฝ่าแนวกั้นเข้ามาได้สำเร็จ ครึ่งหนึ่งของตัวเรือปรากฏขึ้นที่บริเวณด้ามดาบ ตัวกำแพงกั้นนั้นเริ่มมีรอยร้าว แม้จะไม่ได้สลายลงในทันที แต่เสียงปริแตกที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ก็ทำให้พอเดาได้ว่าอีกไม่นานนักกำแพงนี้จะสลายหายไปอย่างแน่นอน


เรือรบหยุดเดินหน้าต่อในตอนนั้น มันลอยอยู่เหนือตะเข็บ ท่ามกลางกำแพงกั้นที่ปกป้องบริเวณด้ามดาบให้ปลอดภัยจากอันตรายภายในตัวดาบ เสียงชราแหบพร่าอ่อนแรงยังคงลอยออกจากในตัวเรืออย่างไม่หยุดยั้ง


“ช่วยข้าด้วย… ช่วยข้าที…”


เสียงชราลอยวนอยู่ในอากาศ รอยแตกของกำแพงก่อให้เกิดพายุหมุนรอบตัวเรือ พายุหมุนนั้นเริ่มบุกตะลุยเข้าไปยังบริเวณตัวดาบในทันที…

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)