ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 625-628
ตอนที่ 625 สายธารดวงดาว
ดวงตาที่เดิมทีมีแต่ความเย็นชาดุจท่อนไม้ พอได้มองเห็นตู๋กูซิงหลันก็เหมือนได้เห็นสมุนไพรชุบชีวิต ในแววตาแต่ละดวงต่างก็เปล่งประกายขึ้นมา
ทุกตัวต่างก็โค้งศีรษะก้มลงไป หนวดมังกรลู่ลงมา นั่นเป็นวิธีแสดงความเคารพของเผ่ามังกร
มีแต่ยามที่แสดงความเคารพต่อประมุขผู้สูงส่งของเผ่ามังกร จึงจะแสดงออกเช่นนี้
แต่ว่าพวกมันต่างก็ไม่กล้าหยุดยั้ง ได้แต่แสดงความเคารพอย่างหยาบๆ คงจะเป็นเพราะเกรงว่าจะเป็นการเปิดเผยฐานะของนางออกมากระมัง
ตู๋กูซิงหลันถอยหลบไปด้านข้างก้าวหนึ่ง ในใจมีแต่ความปวดร้าว
นางไม่เพียงแต่เป็นฮ่องเต้หญิงของแผ่นดินโบราณ แต่ยังเป็นประมุขของเผ่ามังกรอีกด้วย
ผู้คนในแผ่นดินโบราณล้วนเป็นราษฎรของนาง ประชากรในเผ่ามังกรก็เช่นกัน
แต่ว่ายามนี้นางกลับต้องมาทนดูประชากรของตนเองรับโทษทัณฑ์
แม่งเอ้ย!
ตู๋กูซิงหลันถึงกับเกิดความตั้งใจจะรื้อถอนตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนขึ้นมาเลยทีเดียว
นางต้องสูดลมหายใจลึกๆเข้าไปติดๆกัน ถึงจะสามารถสยบหัวใจที่พลุ่งพล่านลงไปได้
เหล่าเทพที่บ่นพึมพำอยู่ด้านข้างเมื่อครู่ พอได้เห็นท่าทีที่ดูแปลกๆของพวกมังกรหยกเหล่านั้น จึงหันมาสังเกตเห็นนาง
พวกเขาต่างเข้าใจไปว่า พวกมังกรหยกเหล่านั้นกำลังแสดงความเคารพต่อเยี่ยเฉิน
“หืม? นั่นคือเจ้าลูกผสมที่เทพสงครามนำกลับมาจากพิภพเบื้องล่างมิใช่หรือ?”
ประโยคนั้น กระตุ้นความสนใจของเทพองค์อื่นๆขึ้นมา
พวกเขาพากันหันมามองดูตู๋กูซิงหลันด้วยสายตาที่เกียจคร้าน
ในแดนสวรรค์นี้ เรื่องที่เทพสงครามนำลูกผสมผู้หนึ่งกลับมา กลายเป็นความลับที่ใครต่อใครต่างก็รู้กันไปทั่ว
ก็จะมิใช่ลูกผสมได้หรือ?
บุตรที่เกิดจากเชื้อสายของกบฏในแดนสวรรค์กับเผ่ามังกรทมิฬที่สกปรกโสโครก ย่อมจะต้องเป็นตัวโสโครกจนไม่อาจจะโสโครกไปกว่านี้อยู่แล้ว
ตอนนี้แค่เขามาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ เหล่าเทพทั้งหลายต่างก็เกิดความรู้สึกว่าบรรยากาศเป็นมลพิษเสียแล้ว
“นับๆดูแล้ว ตั้งแต่ที่เผ่ามังกรทมิฬต่อต้านแดนสวรรค์ ก็เหมือนจะพึ่งผ่านไปเพียงหนึ่งหมื่นปีเท่านั้นเอง”
“ก็แค่พวกมังกรต่ำต้อย ไหนเลยจะสามารถเป็นศัตรูกับแดนสวรรค์ได้กัน”
“ต้องถือว่าเทพสงครามมีเมตตาปรานี ถึงได้มอบทางรอดชีวิตสายหนึ่งให้กับเจ้าลูกผสมนั่น ชักนำเขามายังแดนสวรรค์ กลายเป็นนักรบสวรรค์ไป”
“จากนี้พวกเผ่ามังกร สมควรยอมศิโรราบทั้งกายและใจ สำนึกในมหากรุณาของสวรรค์จึงจะถูก”
เทพทั้งหลายต่างก็พากันส่งสายตาดูถูกเหยียดหยามออกมาไม่ยอมหยุด ต่างก็รอให้นางอดรนทนไม่ไหว เป็นฝ่ายเปิดฉากลงมือก่อน พวกเขาจะได้สบโอกาสลงมือกับนางได้อย่างเต็มที่
เพราะอย่างไรคนก็เป็นเทพสงครามเป็นผู้นำมันตัวขึ้นมามิใช่หรือ? ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าเป็นฝ่ายเริ่มตบตีคนก่อน
เพียงแต่ว่าเมื่อได้เห็นเจ้าลูกผสมอยู่ตรงหน้า ก็รู้สึกเกะกะสายตา หากไม่ได้อัดมันสักรอบหนึ่ง ก็ยากที่จะระบายความอึดอัดออกไป
ตอนนั้นเพราะเผ่ามังกรทมิฬ ทำให้พวกเขาต้องสูญเสียนักรบสวรรค์ไปตั้งมากมายถึงเพียงไหน?
สงครามในครั้งนั้น ทำให้พวกเขาสะเทือนถึงแก่นแท้ กลายเป็นเหตุให้เกิดสงครามระหว่างเทพภูติในภายหลัง
ใช่แล้ว เดิมทีหากมิใช่เพราะฝีมือของพวกเผ่ามังกรทมิฬ พวกเขาย่อมสามารถกำราบพวกภูติให้ราบคาบได้อย่างง่ายดายกว่านี้มาก
บนแดนสวรรค์ ไม่มีเทพองค์ใดที่ไม่เกลียดชังเผ่ามังกรทมิฬและเผ่าภูติ
ในสายตาของพวกเขา เผ่าพันธุ์ทั้งสองคือตัวชั่วร้ายอย่างที่สุด
ยิ่งไปกว่านั้น มารดาของเยี่ยเฉินก็ยังเป็นลูกหลานของพวกกบฏ นี่จึงยิ่งทำให้พวกเขาเกลียดขี้หน้าไอ้ลูกผสมนี้ยิ่งกว่าเดิม
แต่เพราะว่า ตู๋กูซิงหลันเอาแต่สงบนิ่ง ทำให้พวกเขาได้แต่คันปากยิบๆ
ถึงแม้ว่านางจะแข็งแกร่ง แต่ก่อนที่จะรู้ถึงตื้นลึกหนาบางของอีกฝ่าย ก็ไม่คิดจะลงมืออย่างวู่วาม
ก่อนที่จะขึ้นมาแดนสวรรค์ในครั้งนี้ นางได้ตั้งกฎให้กับตนเองเอาไว้ หากสามารถไม่ต้องลงมือ ก็จะไม่ยอมลงมือ
นางจะต้องรอดกลับไป
วิญญาณทมิฬบอกเอาไว้แล้ว ว่าจีเฉวียนกำลังจะกลับมาหานาง
นางเป็นคนที่รักษาคำพูดเสมอ ยอมไม่มีทางปล่อยให้จีเฉวียนที่กลับมาด้วยความยากลำบาก ไม่ได้พบเจอกับนางอีก
เมื่อพวกนางได้พบกันอีกครั้ง ก็จะไม่แยกจากกันอีกแล้ว
นางจะจูงมือเขาเอาไว้ จูบริมฝีปากของเขา กระทำเรื่องที่คู่รักชายหญิงต่างกระทำร่วมกัน รวมไปถึงทำเรื่องต่างๆที่ยังไม่เคยได้ทำทั้งหมดอีกด้วย
ความคิดถึงคนึงหาช่างปวดร้าว
“เศษสวะย่อมเป็นเศษสวะ ไม่มีเลือดที่ร้อนระอุเลยสักนิด ถูกด่าถึงเพียงนี้ ยังไม่คิดจะลงมือ?”
พวกเทพทั้งหลายเห็นนางยืนอยู่ในที่เดิม โดยไม่กล้าแสดงความขุ่นเคืองออกมาสักนิดเดียว
ก็พลันรู้สึกว่าช่างน่าเบื่อหน่าย
คิดๆดูแล้ว พวกเผ่ามังกรทมิฬในสมัยก่อนจะพอจะความฮึกเหิมอยู่บ้าง แต่พอมาถึงเจ้าสวะผู้นี้กลับไม่มีความกล้าแม้แต่น้อย
แต่ก็ใช่อยู่ ที่นี่คือแดนสวรรค์ ต่อให้เขาโกรธแค้น หรือยังจะกล้าแสดงความแข็งข้อออกมา?
เหล่าเทพต่างก็คิดกันไปเรื่อยๆ จนชักจะเกิดความเข้าใจในจุดประสงค์ของเทพสงครามขึ้นมา
ที่พามันขึ้นมาก็เพื่อเหยียดหยามมิใช่หรือ?
วันเวลาในแดนสวรรค์ช่างน่าเบื่อหน่าย เมื่อมีเจ้าตัวตลกอยู่เช่นนี้ก็พอจะคลายเบื่อไปได้
ดังนั้นพวกเขาจึงพากันด่าทอออกมาอีกชุดหนึ่ง พอเห็น ‘เยี่ยเฉิน’ ยังคงไม่ตอบโต้ ก็คล่อยๆสลายตัวแยกย้ายกันไป
ตู๋กูซิงหลันแอบจดจำรูปลักษณ์ของเทพเหล่านั้นเอาไว้ ภายหน้าวันใดที่ได้ขึ้นมาฆ่าล้างแดนสวรรค์ ก็จะเชือดฆ่าเจ้าพวกปากเน่าพวกนี้เสียก่อน
ทั้งๆที่เป็นเทพ แต่ว่าปากยังเหม็นเน่ายิ่งกว่าส้วมเสียอีก เช่นนั้นก็เฉือนทิ้งไปเสียเถอะ
ตู๋กูซิงหลันมีแค้นกับเยี่ยเฉิน แต่ว่านางไม่ได้มีความแค้นกับเผ่ามังกรทมิฬ
นางเป็นประมุขของเผ่ามังกรทั้งหมด ย่อมต้องอยากปกป้องเผ่าของตนเอง
แต่ว่าวันนี้นางต้องประหลาดใจแล้ว เพราะก่อนหน้านี้ ตู๋กูซิงหลันยังไม่เคยเห็นเรื่องที่เยี่ยเฉินถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากความทรงจำในจิตมังกรของเขามาก่อนเลย
อืม นับว่าเขาก็มีศักดิ์ศรีของตนเองอยู่เหมือนกัน
จึงไม่ยินยอมให้ตู๋กูซิงหลันได้เห็นสภาพยามตกต่ำจนน่าอนาถของเขา
ถึงแม้ว่าเผ่ามังกรทมิฬจะถูกเหล่าเทพในแดนสวรรค์กักขังเอาไว้ในใต้ทะเลลึกมาเนิ่นนานหลายปี แต่ว่าเยี่ยเฉินจะอย่างไรก็เป็นถึงไท่จื่อของเผ่ามังกรทมิฬ เติบโตขึ้นมาด้วยการเลี้ยงดูที่มีแต่ถูกคนเคารพยอย่อง
มิว่าจะไปยังแห่งหนใด เผ่ามังกรทั้งหลายมีแต่ต้องนอบน้อม
แต่เมื่ออยู่ในแดนสวรรค์ เขากลับมิใช่อะไรทั้งสิ้น ทั้งยังเป็นสวะที่ผู้คนต่างนำมาล้อเลียน
ความแตกต่างกันราวฟ้าและดินเช่นนี้ หากว่าเปลี่ยนเป็นผู้อื่น คงต้องเสียสติไปแล้ว
พอถูกด่าทอเข้ารอบหนึ่ง จิตมังกรของเยี่ยเฉินก็พลุ่งพล่านด้วยความโกรธแค้น
ตู๋กูซิงหลันต้องออกแรงใช้พลังวิญญาณควบคุมเอาไว้
เมื่อเหล่าเทพพากันจากไป นางก็มิได้รั้งอยู่อีก หากแต่มุ่งไปทางสายธารดวงดาวที่อยู่ทางตะวันตก
พอออกมาจากอาณาเขตของตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน อารมณ์ของตู๋กูซิงหลันก็ขุ่นข้องเช่นกัน
เมื่อผ่านตำหนักหลังอื่นๆนางย่อมไม่มีอารมณ์จะชื่นชมอีกต่อไป เพียงแต่จดจำอย่างเงียบๆ จนกลายเป็นภาพแผนที่อยู่ในส่วนลึกของสมอง
แดนสวรรค์กว้างใหญ่ไพศาล กวาดตามองไปอย่างไรก็ยังไม่เห็นจุดสิ้นสุด
จากเขตตะวันออกถึงเขตตะวันตก ถึงตู๋กูซิงหลันใช้วิธีเหาะไปเรื่อยๆ ก็ต้องใช้เวลานานกว่าครึ่งค่อนวัน
แน่นอนว่า นางใช้ความเร็วในระดับของนักรบเทพเหาะไป
หากว่าใช้ความเร็วของตนเอง ย่อมไวกว่านี้มาก
สายธารดวงดาว เป็นจุดที่มีแสงดาวเปล่งประกายงดงามที่สุดในแดนสวรรค์
สายธารสีเงินยวงที่ส่องประกายระยิบพริบพราว เลื่อนไหลลงมาจากสุดปลายฟากฟ้า กลายเป็นธารน้ำที่คดเคี้ยวสายหนึ่ง
ภาพตรงหน้าช่างงดงามน่าประทับใจ จนตู๋กูซิงหลันถึงกับไร้คำพูดจะมาอธิบาย
ไม่มีสิ่งก่อสร้างวิจิตรงดงาม ไม่มีช่อฟ้าสลักทองระยิบระยับ
มีเพียงสายธารบริสุทธิ์จากธรรมชาติที่ไหลลงมาจากฟากฟ้าทอดตัวยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุด
สายน้ำทอประกายระยิบระยับวับวาวราวกับภาพในความฝัน
ริมฝั่งน้ำมองไปมีแต่ดวงดาว แสงดาวก็สะท้อนภาพลงมาในสายน้ำ ทำให้คนแยกไม่ออกว่าที่ใดคือสายน้ำ ที่ใดคือดวงดาวกันแน่
ตู๋กูซิงหลันเดินมาจนถึงริมน้ำ เงาในสายน้ำสะท้อนภาพของเยี่ยเฉินขึ้นมา
เมื่อมองลงไป กลับไม่อาจมองเห็นก้นบึ้งของสายธารได้เลย
หากยึดเอาตามที่สองนักรบเทพนั่นพูด ปลามังกรที่ใช้เลี้ยงดูเจ้านกยักษ์ สมควรจะแหวกว่ายอยู่ในนี้
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ที่ริมฝั่งน้ำครู่หนึ่ง พอมองดูอย่างละเอียดค่อยสังเกตเห็นว่าในสายน้ำมีความเคลื่อนไหว
ต้องจ้องมองอยู่เนิ่นนาน ถึงได้เห็นปลามังกรสีทองตัวหนึ่งแวกว่ายไปมา
นางกระชับหอกในมือ กำลังเตรียมจะเขวี้ยงออกไป หอกในมือก็ถูกฝ่ามือใหญ่โตข้างหนึ่งรั้งเอาไว้
ตอนที่ 626 เทียนสี่ซิงจุน
“อย่าขยับ”
ผู้มาเป็นบุรุษเสียงทุ้มผู้หนึ่ง สัมผัสที่ส่งออกมาจากหลังฝ่ามือ ให้ความรู้สึกว่าคนผู้นี้รับมือได้ยาก
ให้ความรู้สึกว่าเป็นฝ่ามือที่หยาบกระด้าง
ตู๋กูซิงหลันไม่ได้หันศีรษะกลับไป เพียงจ้องมองดูเงาสะท้อนในสายน้ำ
เงาสะท้อนนั้น เป็นบุรุษรูปร่างกำยำผู้หนึ่ง เส้นผมของเขาดกดำและยาวสลวยดุจน้ำตก แต่น่าเสียดายที่ออกจะยุ่งเหยิงไปบ้าง
ใบหน้ากว่าครึ่งของเขาถูกหนวดเคราปกคลุมเอาไว้ เผยให้เห็นแต่เพียงหัวคิ้วคมสันและดวงตาที่ลึกล้ำดุจดวงดาว แต่ช่างน่าเสียดายที่ดวงตาคู่นั้นไร้ประกาย
ดวงตาคู่นั้น แม้ว่าจะงดงาม แต่ก็เหมือนกับว่าได้ตายไปแล้ว
ครู่ต่อมา มือที่คว้าข้อมือของนางเอาไว้ก็ค่อยคลายออก
ตู๋กูซิงหลันถึงค่อยหันกลับไป มองดูบุรุษที่มีร่างกายสูงกว่านางถึงหนึ่งช่วงศีรษะ
ตอนนี้นางอยู่ในร่างเนื้อของเยี่ยเฉิน เยี่ยเฉินอย่างน้อยๆก็ต้องสูงหนึ่งเมตรแปดสิบห้าเข้าไปแล้ว แต่เมื่อยืนอยู่ตรงหน้าของบุรุษผู้นี้ก็เตี้ยกว่ามากทีเดียว
ตู๋กูซิงหลันจับจ้องมองไปที่เขา บรรดาเทพไท้ที่นางได้พบเจอในแดนสวรรค์ ต่างก็สวมใส่ชุดฮั่นฝูที่ตกแต่งอย่างระยิบระยับวับวาว
แต่ว่าบุรุษตรงหน้ากลับสวมใส่เสื้อผ้าฉีกขาด
เสื้อผ้าของเขาเหมือนถูกเพลิงแผดเผา จนมองไม่ออกว่าเดิมเป็นสีอะไร
ท่อนแขนและหัวไหล่ที่เปลือยออกมากว่าครึ่งค่อน เผยให้เห็นผิวพรรณสีทองแดงเข้ม และมัดกล้ามใหญ่ที่สมบูรณ์งดงาม อย่างไม่ต้องอวดอ้างแม้แต่น้อย
ที่จริงรูปร่างของเยี่ยเฉินนี้ ต้องถือว่าดูแข็งแกร่งแล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับบุรุษผู้นี้แล้วก็ต้องยอมรับว่าเขาดูหนาและบึกบึนกว่ามากนัก
ทำให้คนเห็นเกิดความรู้สึกว่ามั่นคงและปลอดภัย
หากเปรียบเทียบกับพวกเทพที่เปล่งประกายระยิบระยับแล้ว เขากลับดูเหมือนมนุษย์ถ้ำบนยอดเขาแต่ดั่งแต่เดิม
ชั่วแวบหนึ่ง นางรู้สึกสงสัยขึ้นมาเหมือนว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่
และในช่วงเวลาเพียงครู่เดียวนี้เอง ปลามังกรที่นางเฝ้ารอมาครึ่งค่อนวันก็สะบัดหางว่ายหนีไปแล้ว
ตู๋กูซิงหลันทำสีหน้า ‘ร้อนรน’ ขึ้นมา “ปลาของข้า….”
คนผู้นั้นได้ฟังแล้ว ก็หัวเราะเสียงเย็นออกมา “ปลาของเจ้าหรือ? ผู้คนทั้งแดนสวรรค์ต่างก็รู้ว่า ปลามังกรในสายธารดวงดาวนี้ เป็นของรักของหวงที่เทียนโฮ่ว (ราชินีแห่งสวรรค์) ทรงเลี้ยงเอาไว้ ”
ตู๋กูซิงหลัน “……”
ทั่วทั้งแดนสวรรค์ต่างก็รู้ แต่ว่าเยี่ยเฉินกลับไม่รู้
ความทรงจำในจิตมังกรของเยี่ยเฉินกลับไม่มีเรื่องนี้อยู่แม้แต่นิดเดียว
นี่มิใช่ว่าเยี่ยเฉินจงใจปิดบัง หากแต่สมควรเป็นนักรบเทพสองคนนั้นจงใจเล่นงานนางมากกว่า
สีหน้าของตู๋กูซิงหลันปรากฏความ ‘ตกตะลึง’ ขึ้นมา “เทียน….เทียนโฮ่ว?”
กระทั่งน้ำเสียงก็ติดอ่าง ราวกับว่าถูกทำให้ตกใจเข้าแล้วจริงๆ
“นับตั้งแต่ที่เทียนตี้ (จักรพรรดิแห่งสวรรค์) ทรงเข้าพิธีอภิเษกกับเทียนโฮ่วแล้ว สายธารดวงดาวแห่งนี้ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตต่างๆ และของต่างๆทั้งหมด ล้วนเป็นของเทียนโฮ่ว”
คนผู้นี้นับว่ามีน้ำใจอดทน ยินยอมอธิบายให้นางฟัง
ก่อนที่จะขึ้นมาบนแดนสวรรค์ ตู๋กูซิงหลันเลยได้ยินพระนามเทียนตี้ตี้เสียมาแล้ว แต่ว่ายังไม่เคยได้ยินพระนามของเทียนโฮ่วมาก่อนเลย ยายนี้พอได้ฟัง ดูท่าแล้วเทียนโฮ่วก็คงจะมิใช่ธรรมดา
“วันนี้นับว่าเจ้าโชคดี ได้พบกับเทพอย่างข้า ปลามังกรเหล่านี้หากเกล็ดหลุดไปเพียงครึ่งแผ่น เกรงว่าเจ้าคงต้องถูกฉีกกระดูกออกมาจากร่างแล้ว”
ขณะที่คนผู้นั้นพูดไป สายตาก็ก็กวาดผ่านร่างของตู๋กูซิงหลันอย่างกึ่งตั้งใจกึ่งไม่ตั้งใจ
แววตาที่เหมือนกับว่า ‘ตาไปแล้ว’ คู่นั้น คล้ายจะมองบางสิ่งในร่างของนางออก
ที่จริงต่อให้จับปลาเหล่านั้นขึ้นมา ตู๋กูซิงหลันก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรต้องกลัว
ก็เพราะ เหนือศีรษะของเยี่ยเฉินนั้นยังซือเป่ยอยู่มิใช่หรือ?
เบื้องล่างกระทำความผิด ปกติก็ต้องไปเอาความรับผิดชอบกับเบื้องบนอยู่แล้วมิใช่หรือ?
นางเองก็อยากจะรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างเทียนตี้กับเทียนโฮ่วและเทพสงครามนั้นเป็นเช่นไรบ้าง
หากว่าจับปลามังกรนี้ขึ้นมา ก็อาจจะได้เห็นงิ้วดีๆสักเรื่องก็เป็นได้
ยิ่งไปกว่านั้น ‘ท่านเทพ’ ตรงหน้าก็ไม่รู้ว่ามาจากไหน ที่เขาพูดมาก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่
ตู๋กูซิงหลันไม่เคยมีความรู้สึกดีๆให้กับแดนสวรรค์ แม้แต่กับพวกทวยเทพทั้งหลายก็ไม่เคยเห็นใครเป็นคนดีมาก่อน
กับบุรุษที่แค่ดูก็รู้แล้วว่าไม่ธรรมดาผู้นี้ นางย่อมไม่คิดจะเชื่อถือง่ายๆ
ในใจคิดเอาไว้อย่างหนึ่ง แต่สีหน้าของนางยังคงแสดงความสำนึกบุญคุณออกมา
“ท่านเทพ วันนี้ต้องขอบคุณท่านที่ช่วยตักเตือน มิเช่นนั้นชีวิตของเทพน้อยๆเช่นข้าคงต้องมอบออกไปแล้ว…”
ความสามารถในการแสดงของตู๋กูซิงหลัน ย่อมสมบทบาดอยู่แล้ว แววตาของนางมีทั้งความหวาดกลัว และความรู้สึกโชคดีที่รอดชีวิต
จากนั้นนางจึงค่อยคำนับบุรุษผู้นั้นอีกครั้ง “ผู้น้อยพึ่งเข้าสู่แดนสวรรค์ได้ไม่นาน พบเห็นเรื่องราวเพียงเล็กน้อย ขอบังอาจถามนามท่านเทพ ให้ผู้น้อยได้จดจำเอาไว้ในใจ ภายหน้าจะได้ทนแทนบุญคุณ”
“ขข้าคือเทียนซี่ซิงจุน[1] ผู้ดูแลพิธีมงคลสมรสของทุกชีวิตในหกภพภูมิ”
ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”
เทียนสี่ซิง….ชื่อนี่ฟังดูช่างคุ้นหูเหลือเกิน แต่ว่าในช่วงเวลาสั้นๆ กลับยังนึกไม่ออกว่าเป็นผู้ใดกัน
แต่ว่าเมื่อมองดูสภาพการแต่งกายที่ซอมซ่อของเขา ตู๋กูซิงหลันก็ต้องเกิดความสงสัยขึ้นมา
พี่ชาย ท่านเป็นเทพที่ดูแลพิธีมงคลจริงหรือ?
หากให้อธิบายก็คือตำแหน่งที่ดูแลพิธีการในแต่งงานอะไรเทือกนั้นสินะ แต่ว่าทำไมดูแล้วช่างไม่เหมือนเสียเลย
อย่างน้อยๆก็สมควรแต่งกายให้มันดูสะอาดสะอ้าน ดูภูมิฐานและน่าเชื่อบ้างสิ
“แม้แต่เจ้าก็ไม่เชื่อหรือ?” คนผู้นั้นหัวเราะทื่อๆออกมา ทั้งที่น้ำเสียงนั้นทุ่มต่ำ แต่ว่าตู๋กูซิงหลันกลับรู้สึกว่าฟังแล้วบาดหูอยู่บ้าง
พี่ชาย…..เปลี่ยนเป็นผู้อื่นก็ไม่เชื่อท่านหรอก
“ก็แค่ตำแหน่งเทพน่าเบื่อๆเท่านั้น ทำเรื่องทำราวอะไรไม่ได้หรอก ไม่เหมือนกับเทพเย่วเหล่า[2]ที่สามารถผูกโยงบุบเพวาสนาผู้คนได้”
ตู๋กูซิงหลันได้ฟังแล้วก็คิดว่า หากเปลี่ยนคำพูดนั้นให้เป็นภาษาชาวบ้านก็คือจะบอกว่า ตำแหน่งเทพเทียนสี่ซิงของท่านนี้ก็แค่ตำแหน่งลอยๆ ไม่ได้ยิ่งใหญ่เท่าเย่วเหล่าอย่างนั้นสินะ
ฟังดูแล้วก็เหมือนจะโอดครวญ แต่น้ำเสียงกลับดูไม่เหมือนว่าน้อยใจ
ตู๋กูซิงหลันอดไม่ได้ต้องหันกลับไปมองดูเขาอีกหลายรอบ
หากมองดูแต่เพียงหัวคิ้วและดวงตาของเขา คนผู้นี้ดูแล้วเหมือนจะเป็นพวกที่เคร่งขรึมจริงจัง….
บนร่างของเขาแทบจะไม่มีกลิ่นอายของแดนสวรรค์อยู่เลย
คนเช่นนี้ ต้องถือเป็นเป็นพวกตัวประหลาด
“ท่านเทพล้อเล่นแล้ว ทั่วทั้งหกภพภูมิต่างเห็นพิธีแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ พิธีมงคลสมรสเป็นขนบธรรมเนียมที่สืบทอดกันมาในแต่ละชนเผ่า ย่อมต้องมีความสำคัญอย่างแน่นอน”
ท่ามกลางทวยเทพต่างๆที่มีอยู่อย่างมากมายในสรวงสวรรค์ ตู๋กูซิงหลันก็รู้จักอยู่เพียงไม่กี่องค์เท่านั้น
อย่างเช่นพวกเทพประจำดวงดาวต่างๆ แต่พวกเทพเล็กเทพน้อย ถึงแม้จะเคยได้ยินมาก็มิได้ใส่ใจ และไม่ได้จดจำเอาไว้ในสมอง
พอได้ยินคำพูดของนาง เทพเทียนซี่ซิงจุนก็ต้องตะลึงไปครู่หนึ่ง สายตาที่เดิมทีมองดูนางอยู่ก่อนก็ทอแววลึกล้ำกว่าเดิม
“นักรบเทพตัวน้อยอย่างเจ้าก็นับว่าไม่เลวอยู่เหมือนกัน”
มิว่าเขาจะยิ้มอยู่หรือว่าไม่ยิ้ม ทุกสิ่งที่แสดงออกทางสีหน้าล้วนถูกหนวดเคราปกคลุมเอาไว้จนหมดสิ้น
ตู๋กูซิงหลัน “ผู้น้อยมิกล้า”
นางยังถือโอกาสเงยหน้าขึ้นไปดูเวลา “ผู้น้อยยังต้องไปป้อนอาหารให้นกยักษ์ ไม่อาจอยู่รบกวนท่านเทพแล้ว”
“นกยักษ์? เจ้าไปเลี้ยงมัน?”
สีหน้าของเทียนสี่ซิงจุนปรากฏแววแปลกใจ
แค่ได้ยินน้ำเสียงของเขา ตู๋กูซิงหลันก็รู้แล้วว่ามีบ้างอย่างไม่ถูกต้อง
นางพยักหน้าหงึกๆ เอ่ยตอบว่า “ไม่ขอปิดบังท่านเทพ ผู้น้อยอยู่ใต้บัญชาของเทพสงคราม เดิมทีได้รับคำสั่งให้มาจับปลามังกรไปป้อนนกยักษ์ ในเมื่อตอนนี้ปลามังกรไม่อาจจับ ผู้น้อยคงต้องคิดหาหนทางเอาอะไรไปป้อนมันก่อนแล้ว”
ตู๋กูซิงหลันสารภาพออกไปอย่างหมดเปลือก เอ่ยรวดเดียวอย่างไม่กระพริบตา
เทียนสี่ซิงจุนได้ยินแล้ว ก็ต้องขมวดคิ้วขึ้นมาบ้าง
“ลูกน้องของซือเป่ย”
เห็นได้ชัดเจนว่า เขาไม่ได้ชื่นชอบฐานะของนางสักเท่าไหร่
บนแดนสวรรค์ ใครๆก็ต่างเรียกหาซือเป่ยว่าเป็นเทพสงครามด้วยความเคารพ แต่ว่าเขา กลับเรียกชื่อตรงๆ
……………………….
[1] 天喜星君:ดาวฟ้าปลื้ม 星君: (ซิงจุน, เทพเจ้าประจำดวงดาว)
[2] 月宫老儿 : เทพที่เชื่อมโยงด้ายแดงแห่งความรักของหญิงชายเข้าด้วยกัน
ตอนที่ 627 ตำหนักจื่อเวยกง
ตู๋กูซิงหลันย่อมสังเกตเห็นความผิดปกติในจุดนี้
หากพูดถึงพลังอำนาจ เกรงว่าซือเป่ยคงจะอยู่ใต้คนเพียงผู้เดียวแต่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่น
เพราะว่าแม้แต่คนอย่างเยี่ยเฉินเขาก็ยังสามารถนำขึ้นมาเป็นลูกน้องของตนเองบนสวรรค์ได้เลย
นับตั้งแต่ที่นางขึ้นมาบนสวรรค์ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินใครสักคนเรียกชื่อ ‘ซือเป่ย’ ของเขาตรงๆ
ท่านเทพเทียนสี่ซิงจุนผู้นี้ เกรงว่าจะไม่ใช่ธรรมดาเสียแล้ว
ค่อนไปทางผู้สูงส่งที่ชอบความสันโดษและมีนิสัยแปลกประหลาดเสียมากกว่า
แม้แต่ตำแหน่งของตน ก็ไม่คิดจะเก็บมาใส่ใจ
ในโลกปัจจุบัน ไต้ซือกวาดพื้น ที่มาจากปลายปากกาของกิมย้งนับเป็นบุคคลตัวอย่างที่ชัดเจน
นางก้มศีรษะลงไปมองดูประกายสดใสในสายธารดวงดาว
“ไม่ขอปิดบังท่านเทพ ผู้น้อยมีนามว่าเยี่ยเฉิน” ตู๋กูซิงหลันไม่จำเป็นต้องอธิบายฐานะของเยี่ยเฉินให้มากความ
ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ตำหนักหลิงเซียนเป่าเตี้ยน นางก็เคยถูกพวกเทพทั้งหลายกลุ้มรุมดูถูกมายกหนึ่งแล้ว เพราะแค่ประกาศชื่อว่าตนคือเยี่ยเฉินลูกน้องในสังกัดของเทพสงครามออกไป คนรอบด้านต่างก็รู้ฐานะและที่มาที่ไปของนางกันหมดแล้ว
ที่ตู๋กูซิงหลันเปิดเผยตนเอง ก็เพราะอยากให้เทพเทียนสี่ซิงจุนเห็นนางเป็นที่ขัดหูขัดตา จะได้ไล่ตนจากไป ทำให้นางลดทอนความยุ่งยาก
แต่คิดไม่ถึงว่าพอเขาได้ยินชื่อนี้แล้ว กลับมีปฏิกริยาไม่เหมือนกับเทพเซียนองค์อื่นๆ
“ที่แท้ก็เป็นผู้ที่มาจากเผ่ามังกรทมิฬผู้นั้น มิน่าเล่าถึงได้รู้สึกว่า กลิ่นไอบนร่างของเจ้ามีอะไรแปลกๆอยู่”
คำพูดนี้ของเทียนสี่ซิงจุน ทำเอาตู๋กูซิงหลันรู้สึกตื่นตัวขึ้นมา
ในโลกเบื้องล่าง ก็มีเรื่องของภูติผีสิงร่างอยู่แล้ว
ตอนนี้การที่นางยึดครองร่างของเยี่ยเฉินเอาไว้ก็ไม่ต่างอะไรกับการสิงร่าง
โดยปกติร่างที่ถูกสิง ปรมาจารย์คุณไสยทั่วไปย่อมสามารถมองออก เพียงแต่วิธีการที่นางใช้สิงร่างของเยี่ยเฉิน คือวิชาถอดวิญญาณของตนเอง และเข้าควบคุมดวงจิตของเยี่ยเฉิน ซึ่งแตกต่างกับวิธีการชั้นต่ำอย่างการสิงร่าง
ขนาดตอนที่อยู่เบื้องหน้าซือเป่ย ก็ยังมิได้เปิดเผยพิรุธใดๆออกมา
เห็นได้ชัดว่าผลลัพธ์ของวิธีนี้ปลอดภัยอย่างยิ่ง
แต่ว่าในแดนสวรรค์ก็อาจจะมีผู้ที่แข็งแกร่งถึงขนาดที่นางเองคิดไม่ถึงอยู่ ดังนั้นจึงไม่แน่ว่าอาจจะถูกมองออกได้อยู่เหมือนกัน
ดังนั้นคำพูดของเทียนสี่ซิงจุนจึงทำให้ตู๋กูซิงหลันชักจะกังวลใจขึ้นมาแล้ว
แต่ก็แค่กังวลใจเท่านั้น ยังไม่ถึงกับตื่นตระหนกใดๆ
นางทำท่า ‘หวาดเกรง’ ออกมา แม้แต่คำพูดก็ติดอ่างไปหมด “ท่านเทพ….ข้า ข้า ข้าเป็นเพียงแค่สายน้ำต่ำต้อยจากโลกเบื้องล่างเท่านั้น เพราะเทพสงครามมีเมตตา จึงได้ขึ้นมาบนแดนสวรรค์….ขอท่านเทพ…ได้โปรด….ได้โปรดปล่อยผู้น้อยไป”
กริยาการแสดงออกของนางมีทั้งซาบซึ้งต่อซือเป่ย และหวาดเกรงเทียนสี่ซิงจุน ทั้งยังอาลัยอาวรณ์และวาดหวังถึงอนาคตในแดนสวรรค์อีกด้วย
ไม่เสียทีที่เป็นถึงราชินีจอเงินมาก่อน ตู๋กูซิงหลันรู้สึกนับถือการแสดงที่สมบทบาทอย่างยิ่งของตนจริงๆ
ยอดเยี่ยม คราวหลังหากว่ามีโอกาสจะต้องไปคว้ารางวัลลูกโลกทองคำมาอีกหลายๆอัน
เทียนสี่ซิงจุนจดจ้องมองดูนางอยู่เนิ่นนาน เขาพยายามจะดูให้ออก ทั้งๆที่รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างมิใคร่ถูกต้อง แต่สุดท้ายแล้วก็ยังดูอะไรไม่ออกอยู่ดี
ผ่านไปอีกเนิ่นนานเขาถึงได้เอ่ยว่า “ ทุกชีวิตต่างก็เท่าเทียมกัน ไหนเลยมีสูงมีต่ำ เจ้าไม่จำเป็นจะต้องถ่อมตัวมากไป”
ตู๋กูซิงหลัน “? ? ?”
ว่าตามจริงแล้ว คำพูดเช่นนี้พอออกมาจากปากของเทพบนสวรรค์ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าเหมือนได้ยินเรื่องเวทย์มนต์ที่ทั้งลึกลับและหลอกหลอนจากนิยายอย่างอาหรับราตรี
‘ทุกชีวิตต่างมีความเท่าเทียม?’ เทพบนสวรรค์องค์ใดบ้างที่ไม่ดำรงตนอย่างสูงส่ง หรือใช้ชีวิตอยู่เหนือผู้คนทั้งหลาย
“บรรดาเทพในแดนสวรรค์ เดิมทีก็เคยเป็นมนุษย์เดินดินกันมาก่อน แต่พอผ่านการบำเพ็ญเพียร เข้าสู่ห้วงชีวตที่เพริดแพร้ว จึงลืมเลือนกำพืดของตนไป”
เทียนสี่ซิงจุนไพล่มือเอาไว้ที่ด้านหลังข้างหนึ่ง เขาหันร่างไปมองดูประกายแสงในสายธารดวงดาว
ในสายธารดวงดาวมีระรอกคลื่นเบาๆ สะท้อนเงาของใบหน้าดวงหนึ่งที่ทั้งแปลกและน่าคุ้นเคย
กี่ปีมาแล้วที่เขาไม่เคยมองดูตัวเอง ดูเหมือนว่านานจนจำไม่ได้แล้วสินะ
ใบหน้าที่มีแต่หนวดเคราครึ้ม ปิดบังรูปโฉมไปเกือบหมด บางที เขาอาจจะลืมไปแล้วกระมังว่าตนเองมีหน้าตาเช่นไร
ตอนแรกแค่ได้ยินเรื่องทุกชีวิตมีความเท่าเทียม ตู๋กูซิงหลันก็ต้องตกตะลึงไปแล้ว
ตอนนี้อยู่ๆก็ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ออกมา ก็ต้องรีบเก็บอารมณ์และสีหน้าให้ดี มิฉะนั้นเกรงว่าจะเผลอทำลูกตาตนเองหลุดลงมาด้วย
นางได้ยินอะไรไป?
เทียนสี่ซิงจุนมิได้คิดจะสนทนากับนางอีกต่อไป เพียงมองดูเงาในสายธารดวงดาว และเอ่ยอย่างราบเรียบว่า “เจ้านกยักษ์นั่นชื่นชอบผลไม้ทิพย์ในตำหนักจื่อเวยกง ไปเด็ดมาจากตำหนักจื่อเวยกงสักหลายลูกก็ใช้ได้แล้ว”
ไม่เพียงแต่เอ่ยว่าทุกชีวิตมีความเท่าเทียม แต่ยังชี้หนทางเก็บอาหารให้กับนาง
ดูๆแล้ว เทียนสี่ซิงจุนผู้นี้น่าจะเป็นคนดีพอสมควร
“ขอบพระคุณท่านเทพที่ชี้แนะ” แม้ว่าในใจมิได้เชื่อถือ แต่ว่าตู๋กูซิงหลันก็ยังเอ่ยขอบคุณเขาไป
จากนั้นนางก็ยังยืนอยู่ที่ริมสายธารดวงดาวต่อไป โดยไม่มีทีท่าว่าจะจากไป
“ยังไม่ไปอีก?”
“นกยักษ์ตัวนั้นไม่อาจทนหิวได้อย่างเด็ดขาด หากว่าไปช้า จะอันตราย”
คำพูดนี้ของเทียนสี่ซิงจุนตรงกับที่สองนักรบเทพเคยบอกไว้
สองคนนั้นคิดจะขุดหลุมพรางใส่ตู๋กูซิงหลัน รอให้นางกระโดดลงไป
หากว่านางจับปลามังกรขึ้นมา ก็ต้องถูกเทียนโฮ่วเล่นงาน
หากว่านางไม่จับปลามังกรไป นกยักษ์ก็ต้องหิวโหยจนอาละวาด
ประด็นสำคัญก็คือปลามังกรนั่นดูแล้วล้ำค่ามาก นางยืนอยู่ริมฝังน้ำตั้งนานสองนาน ก็ยังมองเห็นปลาเพียงไม่กี่ตัว หากต้องจับให้ครบร้อย เกรงว่าคงจะต้องใช้เวลานานหลายวันติดต่อกัน
แน่นอนว่า ทั้งสองคนนั้นคิดจะเล่นงานนางให้ถึงตาย
ส่วนเทียนสี่ซิงจุน ดูคล้ายจะเป็นผู้มีบุญคุณที่มอบทางรอดแก่นาง
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ที่ริมน้ำ เอ่ยออกมาด้วยความเก้อเขิน “ท่านเทพ ผู้น้อยพึ่งมาใหม่ จึงไม่รู้เลยว่าตำหนักจื่อเวยกงตั้งอยู่ที่ใด…”
นางเหาะเหินจากฟากตะวันออกมายังตะวันตกตลอดทาง ได้เห็นตำหนักใหญ่น้อยมานับร้อย แต่ยังไม่เคยเห็นตำหนักใดเรียกว่าจื่อเวยกงมาก่อนเลย
ในโลกปัจจุบัน อักษรจื่อเวยสองคำนี้ เป็นสัญลักษณ์ที่สื่อถึงองค์จักรพรรดิ
หากว่านางเดาไม่ผิดละก็ เจ้าของตำหนักจื่อเวยหลังนั้นเกรงว่าคงจะเป็นคนสำคัญอย่างยิ่ง
เห็นนางทำสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวใดๆ เทียนสี่ซิงจุนก็ต้องมองอย่างสงสารอยู่บ้าง
ทวยเทพบนสวรรค์ต่างก็เป็นผู้ผ่านการฝึกฝนบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบากรับห้าสายฟ้าทัณฑ์สวรรค์มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น หรือไม่ก็เป็นชาวสวรรค์โดยกำเนิด มีศักดิ์ฐานะสูงส่งเกินใครเทียบ
คนที่มาจากโลกเบื้องล่างโดยตรงเช่นนี้ แทบจะมีเป็นคนแรก
เขามิได้สงสารเยี่ยเฉิน เพียงแต่สงสารเจ้าจิ้งจอกที่เคยอยู่ในโลกเบื้องล่างตัวนั้น
หากว่าสักวันหนึ่ง นางไปปรากฏตัวขึ้นในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เขาก็หวังว่าผู้คนที่นางได้พบเจอจะเป็นมิตรสักหน่อยและมีน้ำใจอยู่บ้าง
คิดได้ดังนั้นแล้ว เทียนสี่ซิงจุนก็เกิดมีเมตตา เอ่ยว่า “เจ้าจงติดตามข้ามาก็แล้วกัน”
ว่าแล้ว เขาก็สะกิดปลายเท้าเล็กน้อย เหาะออกไปจากสายธารดวงดาว
ตู๋กูซิงหลันรีบติดตามไปในทันที
ไม่ใช่เพราะว่านางเชื่อถือเขา เพียงแต่ว่านางไม่รู้สึกถึงการปองร้ายและเกลียดชังจากร่างของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็มิได้หวาดกลัวที่จะติดตามเขาไป
ทิศทางที่เทียนสี่ซิงจุนนำพานางไป ไม่ใช่ทั้งเส้นทางตะวันตกหรือตะวันออก
ต้องเรียกว่าออกห่างจากเส้นทางเดิมที่นางเคยใช้
ทั้งสองผ่านชั้นของก้อนเมฆและตำหนักต่างๆมาได้ครู่หนึ่งจึงค่อยมองเห็นตำหนักที่เป็นสีม่วงหลังหนึ่งแต่ไกล
ตัวตำหนักสูงสามชั้น แม้ไม่นับว่าอลังการ แต่ก็มีพื้นที่กว้างขวาง
เมื่อมองจากที่ไกลๆ ก็จะมองเห็นรัศมีสีม่วงเปล่งประกายครอบคลุมตำหนักหลังนั้นทั้งหมดเอาไว้ ทำให้คนรู้สึกได้ถึงความสุขสงบและความผ่อนคลาย
ตอนที่ 628 กวางโรซื่อบื้อ
ที่ด้านหลังของตำหนักจื่อเว่ยกง มีดวงดาวที่มีสีม่วงเข้มอยู่ดวงหนึ่ง เมื่อมีรัศมีสีม่วงเข้มปกคลุมโดยรอบ ตำหนักจื่อเวยกงจึงดูแล้วงดงามปราณีตกว่าคำเล่าลืออีกหลายส่วน
เทียนสี่ซิงจุนพานางตรงไปยังตำหนักหลังนั้น
ที่ด้านนอกของตำหนักยังมีศิษย์รับใช้เฝ้าอยู่สองคน
ศิษย์รับใช้ทั้งสองสวมใส่ชุดสีขาว แต่เพราะรอบนอกตำหนักจื่อเวยกงเต็มไปนด้วยรัศมีสีม่วง ชุดของพวกเขาจึงกลายเป็นสีม่วงจางๆ
“ข้ารู้สักอยากกินอะไรขึ้นมา จึงนึกถึงผลไม้ทิพย์ของตำหนักจื่อเวยกง อยากจะกินสักหลายๆลูก”
เทียนสี่ซิงจุนมิได้อ้อมค้อม มือข้างหนึ่งยังคงไพล่หลังเอาไว้ ยามพูดจากับศิษย์รับใช้ทั้งสองก็ไม่มีทีท่าขอร้องเลยสักนิดเดียว
กลับเป็นศิษย์ทั้งสองเมื่อได้เห็นเขา ก็พากันยกมือขึ้นคำนับค้อมเอวลงมาอย่างนอบน้อม
ตู๋กูซิงหลันยืนอยู่ข้างกายของเขาโดยมิได้กล่าวอะไร ระหว่างทางที่พวกนางเหาะมานี้ได้พบเจอเทพบุรุษเทพธิดาไม่น้อย ทั้งยังมีนักรบเทพอยู่บ้าง แต่ว่าพวกเทพเหล่านั้นพอได้เห็นเทียนสี่ซิงจุนต่างก็ทำท่าเหมือนอยากจะถอยหลังกลับไปสักสามก้าว
ตอนแรกนางยังคิดว่าคงจะเป็นเพราะว่าพวกเขารู้จักฐานะของเยี่ยเฉินดี จึงไม่คิดจะเข้ามายุ่งวุ่นวาย
แต่ว่าจากการแสดงออกของศิษย์รับใช้ทั้งสองในตอนนี้ ต่อให้ตู๋กูซิงหลันเป็นเพียงคนโง่ ก็ยังคงเดาได้ว่า แท้จริงแล้วท่านเทพผู้นี้จะต้องมีที่มาไม่ธรรมดาเป็นแน่
หรือว่านางจะจับพลัดจับผลูมาเจอเข้ากับคนจำพวก ‘ไต้ซือกวาดพื้น’เข้าแล้วจริงๆ?
ถึงแม้ว่าในใจจะมีความสงสัยเต็มไปหมด แต่นางก็ไม่ได้เอ่ยปากถามออกมา เพียงยืนอยู่ด้านข้างนิ่งๆ
ศิษย์รับใช้ทั้งสองคำนับเรียบร้อยแล้ว ก็ค่อยเอ่ยกับเทียนสี่ซิงจุนว่า “เรียนเทียนสี่ซิงจุน นายท่านของพวกข้าน้อยกำลัง….”
วาจายังมิทันได้กล่าวออกมา เทียนสี่ซิงจุนก็ชิงโบกมือ “ข้าไม่ได้มาหาเจ้านายของพวกเจ้า ข้าจะไปที่ป่าเซียนเด็ดผลไม้ทิพย์สักหลายลูกแล้วก็จากไป ไม่รบกวนแล้ว”
“นี่อ่อ….” ศิษย์รับใช้ทั้งสองลังเลอยู่บ้าง แต่พอเห็นท่าทางของเขา ก็ไม่กล้าขัด
ตอนนี้พวกเขาไม่กล้าไปรบกวนนายท่านจริงๆ
ดังนั้นหลังจากที่ลังเลอยู่เล็กน้อย พวกเขาก็เปิดทางให้ “เทียนสี่ซิงจุน ผู้น้อยจะนำท่านไปที่ป่าเซียน”
ศิษย์รับใช้ทั้งสองมีทีท่าเคารพนอบน้อม ทั้งยังไม่แม้แต่จะไต่ถามถึงฐานะของตู๋กูซิงหลัน
บนแดนสวรรค์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่ต่างก็เคยได้ยินชื่อของเยี่ยเฉินมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเคยพบเจอเยี่ยเฉิน
ศิษย์รับใช้ทั้งสองรู้สึกได้ว่ากลิ่นอายบนร่างของนางแตกต่างจากผู้อื่น แต่เนื่องเพราะเกรงในตัวเทียนสี่ซิงจุน จึงไม่กล้าไต่ถามมากความ
“ไม่จำเป็นต้องรบกวนพวกเจ้าให้ลำบาก ข้าไปของข้าเองได้”
เทียนสี่ซิงจุนเอ่ยจบก็ขยับร่างผ่านเข้าไปในประตูใหญ่ของตำหนักจื่อเวยกง
ศิษย์รับใช้ทั้งสองแม้มีสีหน้าลังเลแต่ก็ไม่กล้าขัดขวาง
ตู๋กูซิงหลันก็ถือโอกาสติดตามเข้าไปเช่นกัน
ศิษย์รับใช้ทั้งสองคิดจะรั้งนางไว้ที่ภายนอก แต่พอพึ่งจะขยับมือ สายตาของเทียนสี่ซิงจุนก็กวาดมาในทันที
แววตานั้นคมกริบดุจใบมีดบนด้ามหอก ทิ่มแทงคนจนเจ็บปวด
ทำเอามือร้อนลวกขึ้นมา!
ศิษย์รับใช้ทั้งสองหัวใจกระตุกวูบ ได้แต่ถอยไปหลบด้านข้าง
ตู๋กูซิงหลันติดตามเทียนสี่ซิงจุนเหาะเข้าไปภายในเป็นระยะทางช่วงหนึ่ง
นางจ้องมองดูเงาหลังของเขาอยู่ตลอด ในใจก็ครุ่นคิดไปว่าเทียนสี่ซิงจุนผู้นี้มีที่ถือดีในที่ใด?
รังสีสีม่วงในตำหนักจื่อเวยกง คือละอองไอทิพย์ชั้นเลิศ ยิ่งเข้าสู่ภายใน ละอองแสงสีม่วงนี้ก็ยิ่งเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งสูดลมหายใจเข้าไปมากเท่าไหร่ ร่างกายก็เหมือนได้รับผลสะท้อนมากขึ้นเท่านั้น
เยี่ยเฉินฝึกปรือมาเนิ่นนานก็ยังไม่อาจทะลวงคอขวดของตนเองไปได้ ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้ถึงจุดที่ติดขัดในเส้นชีพจรของเขาได้อย่างชัดเจน ไอทิพย์สีม่วงเหล่านี้พอสูดเข้าไปในร่างกายจุดที่อุดตันอยู่ก็สลายออกมาได้เองอย่างรวดเร็ว
นางหรี่ดวงตาลง ไม่รู้ว่าบนดวงดาวที่อยู่ด้านหลังจื่อเวยกงดวงนั้น มีจิตวิญญาณหรือชีวิตแบบใดอยู่
และเพราะกำลังติดตามเทียนสี่ซิงจุน ดังนั้นแม้แต่จุดต่างๆที่มีสถานที่งดงามในตำหนักจื่อเวยกงก็ไม่มีกระใจจะไปมองดู
เพียงครู่เดียว ทั้งสองก็พากันมาถึงป่าเซียนในตำหนักจื่อเว่ยกง
ถึงจะบอกว่าเป็นป่าเซียน แต่ว่ามองดูแล้วกลับเหมือนป่าไผ่สีม่วงมากกว่า แม้แต่ใบไผ่ก็ยังเป็นสีม่วงงดงาม
ละอองรัศมีสีม่วงครอบคลุมไปทั่วทั้งป่าไผ่
ในป่ายังมีกวางโรน้อยๆหลายตัวกำลังก้มหัวลงมาและเล็มหญ้าอ่อน
กวางโรเหล่านี้มีรูปร่างเล็ก แต่ว่าเขากวางบนหัวกลับเปล่งประกายระยิบระยับ ดูไปแล้วงดงามราวกับงานศิลปะ ท่ามกลางละอองสีม่วงที่เข้มข้นยังสามารถได้กลิ่นหอมอีกด้วย
ทั้งๆที่เห็นว่ามีคนเข้ามา แต่ว่ากวางเหล่านั้นก็มิได้ตื่นตระหนก แต่ละตัวเงยหน้าขึ้นมา มองดูพวกเขาอย่างเต็มตา
แม้แต่ในปากก็ยังคงเคี้ยวหญ้าอ่อนต่อไปด้วยซ้ำ
ตัวที่กล้าๆหน่อย ก็ก้าวเหยาะๆเข้ามาหาพร้อมกับเขาที่เป็นประกายระยิบระยับ
ยามที่พวกมันเคลื่อนไหว กลิ่นหอมนั้นก็ยิ่งโชยชายออกมา ทำให้จิตใจคนผ่อนคลาย
“จื่อเวยซิงจุน เลี้ยงกวางเหล่านี้เอาไว้ นิสัยของพวกมันออกจะโง่และขี้สงสัยมาก ไม่ต้องไปสนใจ” เทียนสี่ซิงจุนเดินนำไปเบื้องหน้า
กวางน้อยเหล่านั้นก็พากันหันมามองดู บางตัวก็ยืดหัวมอง บางตัวก็นอนราบทั้งสี่ขากับพื้น บางตัวก็ทำเขาติดอยู่ในป่าไผ่
แต่ละตัวล้วนงดงามอย่างยิ่ง แต่ช่างน่าเสียดายที่ดูโง่งมกันไปหมด
ตู๋กูซิงหลัน “…..” ท่านจะบอกว่าพวกมันซื่อบื้อใช่ไหม?
นางยื่นมือออกไปช่วยกวางโรตัวหนึ่งดึงมุมเขาที่ติดอยู่กับกิ่งไผ่ออกมา
กวางน้อยตัวนั้นพอได้รับอิสระ ก็กระโดดสูงขึ้นจากพื้นด้วยความยินดี ทั้งยังก้มลงมาเอาใบหน้าถูไถกับแขนของตู๋กูซิงหลันอีกด้วย
ตู๋กูซิงหลันปล่อยตามใจมัน
ครู่ต่อมา เทียนสี่ซิงจุนก็เด็ดผลไม้สีม่วงที่มีขนาดเท่าไข่ไก่ลงมาผลหนึ่ง
เขาส่งให้นาง “นี่คือผลไม้ทิพย์ในตำหนักจื่อเวยกง เก็บลงมาสักสิบลูก ก็เพียงพอจะให้เจ้านกยักษ์นั่นกินแล้ว”
ผลไม้ทิพย์สีม่วงส่งกลิ่นหอมไปทั่วทุกทิศ แม้แต่ตู๋กูซิงหลันได้กลิ่นแล้วก็ยังรู้สึกน้ำลายสอขึ้นมา คิดอยากจะลองชิมสักคำหนึ่ง
“ลำบากท่านเทพแล้ว” ตู๋กูซิงหลันหันไปก้มศีรษะขอบคุณเขา ว่าตามจริง ตอนนี้นางก็ยังดูไม่ออกว่า ที่เขาให้ความช่วยเหลือนางเพราะมีจุดประสงค์ใด
นางยังคงคิดว่าเรื่องนี้อาจมีแผนการใดอยู่หรือไม่?
ขณะที่กำลังคิดอยู่ ก็เห็นว่าเขาหายเข้าไปนั่งอยู่ในเก๋งกลางป่าไผ่แล้ว
“เจ้าไปเด็ดเอาเอง เด็ดเสร็จแล้วก็รีบไปเสีย ตำหนักจื่อเวยกงไม่มีผู้ใดรั้งเจ้าเอาไว้”
ขณะที่เขาพูด ก็เหลือบตาขึ้นไปมองดูท้องฟ้าเหนือตำหนักจื่อเวยกงแวบหนึ่ง นั่นเป็นดวงดาวสีม่วงขนาดใหญ่ดวงหนึ่ง
จากนั้นก็มิได้สั่งอะไรไว้อีก เขากลายเป็นลำแสงสว่างหายไปจากเก๋งน้อยหลังนั้น
ใจกลางฝ่ามือของตู๋กูซิงหลันยังคงกุมผลไม้ทิพย์สีม่วงเอาไว้
จนกระทั่งเมื่อกวางตัวน้อยนั่นใช้เขาของมันมาดุนกับขาของนาง นางจึงได้รู้สึกตัวขึ้นมา
“คนผู้นี้….” นางมองไปยังจุดที่เทียนสี่ซิงจุนหายตัวไป สมองก็ครุ่นคิดไปเรื่อยๆ ว่าทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนกับว่าช่างคุ้นเคยเหลือเกิน?
คิดอยู่เป็นเนิ่นนาน แต่ว่าสมองเหมือนจะตัน คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
บางครั้ง ยิ่งพยายามก็ยิ่งทำให้คิดอะไรไม่ออก
เหมือนกับเวลาที่ทำของหาย หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ แต่พอไม่ตามหามันก็ปรากฏขึ้นมา
นี่เป็นความรู้สึกของนางในยามนี้
คิดไม่ออกก็คือคิดไม่ออก นางจึงมองออกไปรอบๆ พอสังเกตให้ดีถึงได้เห็นว่าสิ่งที่งอกงามอยู่บนต้นไผ่สีม่วงก็คือผลไม้ทิพย์นั่นเอง
ตู๋กูซิงหลันรีบเก็บลงมาสิบกว่าลูกเก็บเอาไว้ในอกเสื้อ
ที่นี่ไม่ควรรั้งอยู่นาน
……..
ที่ด้านนอกป่าเซียน บนหอสูงแห่งหนึ่ง
พอเสียงพิณที่เพราะพริ้งหยุดลง ก็ได้ยินเสียงนุ่มนวลน่าฟังของบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น “จื่อเว่ยซิงจุน ท่านแพ้แล้ว”
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น