หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 622-627

 บทที่ 622 การกลับมาของใบหน้าที่คุ้นเคย

เมื่อมีการเชื่อมต่อกันแบบตามเวลาจริงระหว่างแผ่นหินรับภารกิจและเครือข่ายวิญญาณ ประกาศฉบับที่สองของหวังเป่าเล่อจึงเป็นการประกาศตำแหน่งงานใหม่ได้แก่ผู้ดูแลระบบภารกิจ!


งานของผู้ดูแลคือการช่วยเหลือผู้ฝึกตน ไม่ว่าจะที่ฝึกตนอยู่นอกสำนักวังเต๋าไพศาลหรือไม่สามารถจะกลับมายังสำนักได้ด้วยเหตุผลใดก็ตาม โดยการช่วยเก็บสิ่งของที่พวกเขาได้รับจากภารกิจและส่งไปยังสำนักให้ และโอนเงินรางวัลไปให้กับผู้ฝึกตนด้วย งานนี้จะช่วยประหยัดเวลาให้กับศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลเป็นอันมาก เพราะว่าการเดินทางไปและกลับก็เป็นระยะทางไกลอยู่ไม่น้อย


ความคิดนี้เป็นของประมุขสำนักสวี คล้ายกันกับบริการส่งของที่มีอยู่ในสหพันธรัฐ ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะมาเป็นผู้อาวุโสสูงสุด คงจะเป็นเรื่องยากหากจะขอตั้งตำแหน่งใหม่ จำเป็นต้องใช้ความเชื่อมั่นอย่างสูงทั้งยังมีความเสี่ยงมาก


สถานะของหวังเป่าเล่อในปัจจุบันนั้นแก้ปัญหาทั้งมวลได้สิ้น ยิ่งไปกว่านั้น กฏใหม่นี้กล่าวไว้ด้วยว่ามีเพียงศิษย์จากสหพันธรัฐเท่านั้นจึงจะมาทำหน้าที่นี้ได้


แน่นอนว่ายังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องเพิ่มเติม รวมไปถึงเรื่องของค่าชดเชยหากมีปัญหาเกิดขึ้น แต่หวังเป่าเล่อก็ไม่จำเป็นต้องกังวลใจ เพราะประมุขสำนักสวีจะจัดการสะสางทุกอย่างให้หมด


ประกาศทั้งสองฉบับแรกพาให้หวังเป่าเล่อต้องคิดถึงฉบับที่สาม ได้แก่…การก่อตั้งตำหนักกู้ยืม…โดยใช้แต้มการรบของเขาและรัฐบาลสหพันธรัฐเป็นเงินทุนจัดตั้ง!


ตำหนักกู้ยืมจะเปิดให้กับศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคน จะมีการวัดระดับความน่าเชื่อถือรายบุคคลให้กับทุกๆ คน ยิ่งไปกว่านั้น วงเงินการกู้ยืมก็จะสูงขึ้นตามระดับปราณ เงินกู้แต่ละก้อนก็จะคิดดอกเบี้ยด้วย!


ความรุนแรงของประกาศฉบับที่สามนี้ใกล้เคียงกับการทิ้งระเบิดต้านทานวิญญาณหลายลูกลงไปบนสำนักวังเต๋าไพศาล ทำเอาศิษย์ทุกคนตื่นตะลึงและเป็นการแสดงความร่ำรวยมหาศาลของหวังเป่าเล่อและสหพันธรัฐไปพร้อมๆ กัน!


ตำหนักกู้ยืมนั้นมีหวังเป่าเล่อและรัฐบาลสหพันธรัฐหนุ่นหลัง แปลว่าเงินที่อยู่ในตำหนักนั้นปลอดภัยแน่นอน และเงินกู้ทุกก้อนก็จะถูกเก็บกลับมาพร้อมดอกเบี้ยเสมอ


ระดับการฝึกปราณของหวังเป่าเล่ออาจจะไม่ได้สูงพอจะเป็นหลักประกันได้ แต่สถานะของเขาก็พอจะยืนยันได้ว่าคงไม่มีใครกล้าบิดพลิ้ว ทุกๆ คนเรียนรู้อุปนิสัยของเขาเมื่อได้เห็นชายหนุ่มไต่เต้าขึ้นไปสู่จุดสูงสุด ทุกคนรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อนั้นดุร้ายและไร้ปราณีได้มากเพียงใด…ซุนไห่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด!


การออกประกาศสามฉบับติดๆ กันนี้ทำให้สำนักวังเต๋าไพศาลรวมทั้งชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล แต่ความเปลี่ยนแปลงนี้ก็เป็นการแก้ปัญหาอย่างตรงจุด คงไม่มีใครอยากจะกลับไปอยู่ในสภาวะเดิมหลังจากเริ่มคุ้นชินกับความเปลี่ยนแปลงแล้ว เป็นเรื่องยากยิ่งสำหรับคนส่วนมากที่จะยอมละทิ้งความสะดวกสบายที่เคยได้มาจนเคยชิน


มีคนจำนวนหนึ่งเช่นกันที่รู้ทันแผนการณ์ของหวังเป่าเล่อและออกมาประท้วงกฎกติกาใหม่ แต่หวังเป่าเล่อนั้นมีทั้งอำนาจและการสนับสนุนจากเฟิ่งชิวหรันอยู่ในมือ เสียงประท้วงก็ค่อยๆ จางหายไปเองตามเวลา ยิ่งไปกว่านั้น หวังเป่าเล่อก็ไม่สนใจจะเปลี่ยนใจคนตำนวนน้อย เพราะสิ่งที่เขาต้องการก็คือการอำนวยความสะดวกให้กับคนส่วนใหญ่


“พวกเขาจะสาปแช่งข้าก็ได้ หากแช่งแล้วใช้บริการเหล่านั้นนะ!” ประโยคนี้เป็นคำตอบของหวังเป่าเล่อที่ให้กับประมุขสำนักสวีตอนเมื่อครั้งที่เริ่มปรึกษากันเรื่องการเปิดตำหนักกู้ยืม


คำพูดเหล่านั้นเองที่เกลี้ยกล่อมให้ประมุขสำนักยอมใจอ่อน เมื่อได้ยินดังนั้นเขาก็ก้มศีรษะคำนับและรีบไปจัดการทำตามแผนของหวังเป่าเล่อทันที


แผนทั้งสามมาตรการถูกนำไปดำเนินการ ขณะที่สำนักวังเต๋าไพศาลเริ่มผ่านการเปลี่ยนแปลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป และขณะที่มีคนบางคนเริ่มต้องหล่นหายไปกับความเปลี่ยนแปลง เมี่ยเลี่ยจื่อเริ่มแตกตื่น


หวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันร่วมมือกันในช่วงนี้ และหลายๆ อย่างก็เริ่มหลุดลอยออกจากมือของเมี่ยเลี่ยจื่อไป ชายชรานั้นไม่มีอำนาจใดๆ เลยต่อหน้าความร่วมมือของทั้งสอง และจู่ๆ อย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันก็กลับมาเป็นกลางอีกครั้ง เขาเลือกที่จะไม่ออกเสียงในเรื่องใดๆ ทั้งสิ้น เมี่ยเลี่ยจื่อยิ่งกระวนกระวายมากขึ้นขณะที่ความไม่พอใจที่เขามีต่อหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันก็เพิ่มพูนขึ้น


เขาได้เห็นความเปลี่ยนแปลงที่เข้าปกคลุมสำนัก ทั้งความสะดวกสบายที่เครือข่ายวิญญาณมอบให้พวกเขา ทั้งความอันตรายที่มันนำมา อีกทั้งการที่มันกัดเซาะอำนาจของเขา หากเมี่ยเลี่ยจื่อปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปเช่นนี้ เขารู้สึกว่าในไม่ช้าสำนักวังเต๋าไพศาลจะต้องกลายเป็นเนื้อเดียวกันกับสหพันธรัฐเป็นแน่ หากรอให้ถึงตอนนั้น การจะแยกทั้งคู่ออกจากกันคงจะเป็นไปไม่ได้อีกต่อไป


มีอีกสิ่งหนึ่งที่เมี่ยเลี่ยจื่อยอมรับไม่ได้ ในใจเขา สำนักวังเต๋าไพศาลต้องเป็นใหญ่ และคนนอกที่ไม่ได้รับการยอมรับจากสำนักไม่มีสิทธิกระทั่งเข้ามาหายใจภายใต้สำนักแห่งนี้!


การขึ้นสู่อำนาจของหวังเป่าเล่อและโครงการใหม่ๆ ของเขานั้น ทำให้สถานะของศิษย์จากสหพันธรัฐดีขึ้นอย่างมากในสำนักวังเต๋าไพศาล ผู้ฝึกตนหลายคนของสำนักเริ่มจะชินเสียแล้ว พวกเขาต่างก็รู้สึกอยู่ข้างในลึกๆ ว่าทุกๆ คนนั้นเท่าเทียมกัน


ทุกๆ สิ่งก่อตัวกันเป็นความเครียดของเมี่ยเลี่ยจื่อ แต่ทว่า เขารู้ดีว่าเมื่อหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันยังคงร่วมมือกันอยู่เช่นนี้ เขาแทบไม่มีโอกาสจะโต้ตอบเลย


ชายชราจำเป็นต้องบอกตนเองว่าให้กัดฟันอดทนรอโอกาส!


เมื่อโอกาสมาถึง และเมื่อเขาตัดสินใจจะจู่โจม เขาจะสร้างพายุขนาดยักษ์ จะปลดปล่อยความโกลาหลและทำลายระเบียบกฎเกณฑ์ และถล่มทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในราบเป็นหน้ากลอง!


เมื่อคิดเช่นนั้น เมี่ยเลี่ยจื่อจึงตัดสินใจเข้าถือสันโดษ เขาตั้งใจจะเพิ่มพูนพลังปราณ และในเวลาเดียวกันก็จะใช้เวลาไปกับการอบรมศิษย์เอกอย่างตู้กูหลิน ผู้ซึ่งเขาฝากความหวังเอาไว้มาก ความต้องการของเขาคือเพื่อให้ตู้กูหลินบรรลุขั้นการฝึกปราณให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้


และเช่นนั้นเอง สิทธิขาดการควบคุมสำนักวังเต๋าไพศาลจึงตกไปอยู่ในมือของหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันในช่วงนี้ เพราะฉะนั้นแล้วจึงไม่มีความขัดข้องเรื่องพันธุ์กล้ารุ่นที่สาม ข้อเสนอนั้นผ่านอย่างไร้ปัญหา พวกเขาจะมาถึงในอีกหนึ่งเดือนให้หลัง


ด้วยอำนาจของเขา หวังเป่าเล่อใช้นามของเฟิ่งชิวหรันสั่งให้คนสองคนที่เขาต้องการเดินทางมาพร้อมกับพันธุ์กล้ารุ่นที่สามด้วย!


คนแรกก็คือรองเจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร ต้นไม้ยักษ์!


คนที่สองก็คือ…หลี่อู๋เฉิน!


การคัดเลือกพันธุ์กล้ารุ่นใหม่นั้นเป็นเรื่องภายในของสหพันธรัฐ ยิ่งไปกว่านั้น เฟิ่งชิวหรันเองก็ไม่มีทางล่วงรู้ได้เลยว่าหวังเป่าเล่อได้เข้าไปในความทรงจำของต้นไฮยาซินมา เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงไม่ได้ใส่ใจว่าใครจะมาร่วมอยู่ในกลุ่มพันธุ์กล้ารุ่นที่สามบ้าง การประมาทเลินเล่อนี้ทำให้หลี่อู๋เฉินมาปรากฏตัวอยู่ท่ามกลางพันธุ์กล้าทั้งหนึ่งร้อยคนในหนึ่งเดือนให้หลัง เฟิ่งชิวหรันมองเห็นแววตาที่งงงวยและวิตกกังวลของหลี่อู๋เฉินขณะที่เขายืนอยู่บนวงแหวนปรานขอสำนัก ลมหายใจของนางเริ่มถี่ขึ้น


หวังเป่าเล่อแสร้งทำเป็นไม่เห็น เฟิ่งชิวหรันก็เริ่มนึกสงสัยแต่ไม่มีโอกาสเหมาะๆ ที่จะพูด นางทำได้เพียงเก็บซ่อนความสงสัยไว้ในใจขณะที่จ้องมองผ่านฝูงชนไปยังหลี่อู๋เฉิน คลื่นอารมณ์อันหลายหลากประเดประดังกับมาในดวงตาของนาง


หลี่อู๋เฉินมองเห็นเฟิ่งชิวหรันแล้ว แต่ชายหนุ่มจำนางไม่ได้เลย แต่ทว่าเขาจำหวังเป่าเล่อ ผู้ที่ขณะนี้นั่งอยู่ข้างเฟิ่งชิวหรันและรายล้อมไปด้วยผู้ฝึกตนจำนวนมากได้ดี ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะรุดหน้าไปได้ไกลในหน้าที่การงาน


ความรู้สึกอิจฉาปะทุขึ้นในใจของหลี่อู๋เฉินแทบจะในทันที สหพันธรัฐรู้ดีถึงสถานะใหม่ของหวังเป่าเล่อ พวกเขาเพิ่งได้รับข่าวไปเมื่อเร็วๆ นี้ และข่าวนั้นสร้างความปั่นป่วนอยู่ไม่ใช่น้อย


ชายหนุ่มเพิ่งจะรู้ข่าวนี้ก่อนจะออกเดินทางมา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ข่าวนั้นน่าตื่นตกใจน้อยลง หลี่อู๋เฉินถอนใจด้วยความกลัดกลุ้ม เพราะตัวเขาเองก็เคยบาดหมางกับหวังเป่าเล่อมาก่อน และหวังเป่าเล่อเป็นคนที่เชื่อมั่นในหลักการตาต่อตา หลี่อู๋เฉินจึงเชื่อว่าเขาคงจะต้องพบเจอกันความยากลำบากเป็นแน่ แถมเขายังมีใจให้กับหนึ่งในอดีตศิษย์ของหวังเป่าเล่อขณะที่ศึกษาอยู่ ณ สำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย ยิ่งทำให้เขากังวลมากขึ้นไปอีก ชายหนุ่มหลุบศีรษะลงก่อนจะเหลือบมองไปทางฝูงชน สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่หญิงสาวนางหนึ่งจากสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ มีความอ่อนโยนซ่อนอยู่ภายใต้อารมณ์ความรู้สึกมากมายที่ฉายอยู่บนดวงตาของหลี่อู๋เฉิน


เหม่ยเอ๋อร์อาจจะเครียดเพราะว่าหวังเป่าเล่อ ข้าจะลำบากสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก ขอให้เหม่ยเอ๋อร์ไม่เจอปัญหาก็พอ เท่านั้นก็คุ้มค่า! หลี่อู๋เฉินควบคุมลมหายใจให้คงที่และเตรียมใจ ชายหนุ่มก้าวออกจากวงแหวนปราณพร้อมๆ กับพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐคนอื่นๆ และยกมือประสานทักทายหวังเป่าเล่อและเฟิ่งชิวหรันพร้อมๆ กัน


สิ่งที่หลี่อู๋เฉินยังไม่รู้ก็คือเขาไม่ใช่คนที่วิตกกังวลที่สุดในหมู่พันธุ์กล้ารุ่นที่สาม คนที่ตัวสั่นเทาอยู่อย่างลับๆ และวิตกกังวลที่สุดก็คือชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆ!


เขาก็คือ…ต้นไม้ยักษ์ หรือที่รู้จักกันในนามสหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้!


ความวิตกกังวลของเขาพุ่งสูงสุด ชายวัยกลางคนถามคนไปทั่วจนกระทั่งพบว่าเขาไม่ได้อยู่ในพันธุ์กล้ารุ่นที่สามมาตั้งแต่ต้น หวังเป่าเล่อออกคำสั่งเรียกตัวเขาไป


ความจริงข้อนี้ทำให้ต้นไม้ยักษ์ตื่นกลัวเป็นอย่างยิ่ง เขาคร่ำครวญอยู่ในอกและหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่ได้คาดคิดเลยว่าเจ้าหวังเป่าเล่อผู้น่าสมเพช ผู้ที่เคยทำลายแผนของเขามาแล้วในอดีตนั้น จะก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่และเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาลในระยะเวลาแค่ไม่กี่ปี!


ไม่มีความยุติธรรมอยู่บนโลกจริงๆ! ต้นไม้ยักษ์และหลี่อู๋เฉินเดือดพล่านอยู่ในใจ จิตใจก็ขุ่นมัวไปด้วยความกังวล พวกเขาทักทายหวังเป่าเล่ออย่างนอบน้อมในขณะที่อีกฝ่ายฉีกยิ้มให้ สายตาก็จับจ้องมาที่ทั้งสองเป็นครั้งคราว


เฟิ่งชิวหรันเองก็ไม่เป็นตัวของตัวเองเช่นกัน นางบังคับตัวเองให้พูดออกมาไม่กี่คำก่อนจะเดินจากไปอย่างเร่งรีบ พลางตั้งใจจะส่งข้อความเสียงถึงหลี่ซิงเหวินผ่านวงแหวนปราณเคลื่อนย้าย นางอยากจะถามเขานักว่าทำไมจึงอนุญาตให้หลี่อู๋เฉินกลับมา


หวังเป่าเล่อเฝ้ามองดูเฟิ่งชิวหรันเดินจากไป ชายหนุ่มกล่าวต้อนรับไม่กี่คำก่อนจะเดินทางกลับไปยังวังของเขา พันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สามเริ่มแยกย้าย ขณะที่ผู้ฝึกจากสหพันธรัฐคนอื่นๆ มารับพวกเขาไปยังที่พัก ประมุขสำนักสวีก็ตะโกนออกมา


“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ โปรดรอก่อน ผู้อาวุโสสูงสุดขอให้ท่านไปพบที่วัง”


ต้นไม้ยักษ์ ผู้ซึ่งเพิ่งจะถอนหายใจอย่างโล่งอกและถูกหลอกให้ตายใจ ตัวสั่นทันทีที่ได้ยิน เขาหันหลังกลับช้าๆ ก่อนจะเริ่มกรีดร้องอยู่ในใจอย่างเงียบเชียบ แต่เขาไม่กล้าแสดงออกทางสีหน้าแม้แต่น้อย ทำได้เพียงแต่กัดฟันและพยักหน้า


“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ เราเคยรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน…มีบางอย่างที่ข้าไม่แน่ใจนักว่าควรบอกท่านหรือไม่” ประมุขสำนักสวีจ้องอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกเศร้าใจ


“ได้โปรดบอกข้าเถิด!” ต้นไม้ยักษ์จอมเจ้าเล่ห์เงยศีรษะขึ้นทันทีที่ได้ยินก่อนจะค้อมศีรษะลงต่ำเพื่อคำนับประมุขสำนักสวี


“คนบางคนก็เกิดมาเพื่อจะเป็นใหญ่ หากท่านสามารถจะฉกฉวยโอกาสที่ได้รับมา ต่อให้ความบาดหมางในอดีตก็อาจจะเสื่อมคลายและแปรเปลี่ยนกลายเป็นโอกาสไปสู่ความยิ่งใหญ่ได้ เรื่องเช่นนี้เป็นไปได้เสมอ!” ประมุขสำนักสวีจ้องมองต้นไม้ยักษ์อย่างเปี่ยมความหมายก่อนจะพูดออกมาเบาๆ


บทที่ 623 อีกก้าวเดียวเท่านั้น!

ต้นไม้ยักษ์นั่งฟังประมุขสำนักสวีอย่างยิ่งเงียบ ชายผู้ที่ครั้งหนึ่งเคยต่อสู้กับเขาเพื่อแย่งชิงโอกาสการบรรลุขั้นบนดวงจันทร์ สมองเขาเริ่มทำงานอย่างหนักขณะที่ต้นไม้ยักษ์เองไม่ได้แสดงสีหน้าออกมา มีเพียงความสุภาพและอ่อนน้อมเท่านั้น เขายกมือขึ้นประกบกันก่อนจะโค้งคำนับต่ำ


“ข้าน้อยขอบคุณประมุขสำนักสวีสำหรับคำแนะนำ!”


ประมุขสำนักสวี ผู้ที่เพิ่งจะบรรลุถึงขั้นจุติวิญญาณ จ้องมองต้นไม้ยักษ์ด้วยแววตาลุ่มลึกเปี่ยมความหมาย เขาไม่ได้พูดอะไรต่อ เพียงแต่เดินนำไปยังวังของหวังเป่าเล่อเท่านั้น


ต้นไม้ยักษ์เดินตามมาอย่างเร่งรีบ ขณะที่ผู้มาใหม่เริ่มจะกระจายตัวกันออกไป ต้นไม้ยักษ์ก็เริ่มเดินตามประมุกสวีไปที่วังแห่งที่สี่บนยอดเขา


วิญญาณปราณหนักข้นอยู่ในอากาศ เพราะวิญญาณจุตินับสิบดวง แถมยังพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณของเมี่ยเลี่ยจื่อและผู้อาวุโสสูงสุดอีกสองคน วงแหวนปราณที่ทอดยาวและสูงจนครอบคลุมทั้งสวรรค์และพื้นพิภพ ทุกๆ อย่างทำให้ต้นไม้ยักษ์อดอกสั่นขวัญแขวนไม่ได้ หัวใจของเขารู้สึกหนักหน่วงขึ้นทุกทีๆ


ซ้ำร้าย ก่อนที่พวกเขาจะไปถึงวังแห่งที่สี่ ต้นไม้ยักษ์ก็มองเห็นรูปปั้นขนาดยักษ์ของหวังเป่าเล่อยืนตระหง่านอยู่ ช่างเป็นภาพที่น่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง ชายวัยกลางคนสัมผัสได้ถึงพลังที่แผ่ซ่านออกมาจากวัง ลมหายใจเขาถี่เร็ว สิ่งที่ทำให้ทุกอย่างน่ากลัวขึ้นไปอีกก็คือสีหน้าที่แสดงความอ่อนน้อมถ่อมตนและเคารพนับถือของประมุขสำนักสวีเมื่อเขาก้มศีรษะคำนับประตูที่ปิดอยู่ ชายผู้นี้อยู่ในขั้นจุติวิญญาณและสามารถจะเอาชนะต้นไม้ยักษ์ได้อย่างง่ายดาย


“สวีหยุนคุนคารวะผู้อาวุโสสูงสุด ข้าได้นำตัวสหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้มาแล้วตามคำสั่งของท่าน”


คลื่นอารมณ์ถาโถมจนต้นไม้ยักษ์แทบจะสิ้นสติจากฉากตรงหน้า แม้ว่าจะเตรียมใจมาบ้างแล้ว แต่เมื่อได้เห็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณประพฤติกับหวังเป่าเล่อด้วยความนอบน้อมเช่นนี้ก็ทำเอาเขาแถบคุมลมหายใจเอาไว้ไม่อยู่ หัวใจเขาเต้นโครมคราม พลางค้อมศีรษะลงตามสัญชาติญาณพร้อมยกมือประสานก่อนจะกล่าวอย่างขมขื่น


“ต้นหอมหมื่นลี้แห่งดวงจันทร์คารวะผู้อาวุโสสูงสุด”


ความเงียบสงัดเข้าปกคลุมห้องโถงหลังจากการคารวะของทั้งคู่ ผ่านไปครู่ใหญ่ เสียงของหวังเป่าเล่อจึงดังขึ้นมา อย่างเนิบช้าและสงบ


“เข้ามาได้”


ประมุขสำนักสวีรู้ดีว่าเขาไม่ควรอยู่ร่วมการพบปะในครั้งนี้ เมื่อได้ยินเสียงของหวังเป่าเล่อ เขาจึงค้อมศีรษะลงคำนับอีกครั้ง ก่อนจะจากไปโดยไม่ได้จ้องมองมาทางต้นไม้ยักษ์อีก


ต้นไม้ยักษ์เริ่มตื่นตระหนกและถอนใจหนักในเวลาเดียวกัน เขาเดินวนเวียนอยู่นานก่อนจะกัดฟันและตัดสินใจเดินมุ่งตรงไปยังวัง เขาผลักประตูเปิดออก ร่างของหวังเป่าเล่อที่หันหลังอยู่ปรากฏขึ้นบนคลองจักษุทันทีที่เขาเดินเข้าไป


“ต้นหอมหมื่นลี้แห่งดวงจันทร์คารวะผู้อาวุโสสูงสุด!” ต้นไม้ยักษ์ค้อมศีรษะลงต่ำอย่างนอบน้อมพร้อมยกมือประสาน พลางถอนใจอยู่ภายใน


ห้องโถงใหญ่ของวังนั้นโออ่ายิ่งนัก นอกเหนือจากเก้าอี้ขนาดยักษ์ที่ตั้งตระหง่านอยู่ตรงปลายด้านหนึ่งแล้ว ทั้งสองข้างก็เรียงรายไปด้วยเก้าอี้เจ็ดถึงแปดตัว รูปปั้นเก้ารูปตั้งอยู่รอบๆ โถง พวกมันดูเหมือนกับยามและมีพลังของวงแหวนปราณไหลบ่าออกมา ต้นไม้ยักษ์หวั่นเกรงเป็นอย่างยิ่ง


หวังเป่าเล่อยืนหันหลังให้ต้นไม้ยักษ์อยู่ ชายหนุ่มยืนอยู่ข้างๆ เก้าอี้ที่ปลายสุดของห้องโถง จ้องมองไปยังรูปปั้นที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ยินคำทักทายของต้นไม้ยักษ์แต่อย่างด ราวกับว่ารูปปั้นตรงหน้านั้นมีความลับที่เขาต้องใช้สมาธิอย่างสูงเพื่อถอดรหัสก็ไม่ปาน


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า และหวังเป่าเล่อก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหันกลับมา ชายหนุ่มยังคงเฝ้ามองรูปปั้นอยู่เช่นนั้น ความเงียบสงัดนั้นทรมานใจต้นไม้ยักษ์อย่างยิ่ง เขาวิตกกังวลจนเหนื่อยใจ รัศมีของวังเข้าโอบล้อมกายเขาไว้ ความกังวลก็เพิ่มสูงขึ้นทุกทีขณะที่ยืนรออย่างขมขื่น


ทุกสิ่งทุกอย่างแย่ลงอีกเมื่อ…ฉากที่คุ้นเคยเริ่มก่อตัวขึ้นตรงหน้าเขา…ครั้งแรกที่หวังเป่าเล่อมาถึงดาวอังคาร ต้นไม้ยักษ์ก็เรียกตัวเขาเข้าไปในห้องทำงาน จากนั้นจึงได้ทำเช่นเดียวกันนี้กับหวังเป่าเล่อ เพื่อเป็นการสอนให้รู้จักที่ต่ำที่สูง


สิ่งนี้คือการแก้เผ็ดของหวังเป่าเล่อ ต้นไม้ยักษ์ไม่อาจจะหยุดเขาได้ ทำได้เพียงแค่รออย่างเงียบงัน ประตูวังค่อยๆ เลื่อนปิดลงช้าๆ ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ปราณวิญญาณที่หนักข้นในอากาศนั้นก่อตัวเป็นหมอกวิญญาณอยู่ในห้องโถง


ภายใต้หมอกนั้น ร่างของหวังเป่าเล่อแผ่รัศมีของความเป็นปริศนา ต้นไม้ยักษ์ยังคงไม่สบายใจมากขึ้นทุกขณะ สิบห้านาทีผ่านไป ขณะที่ความกลัวและวิตกกังวลของต้นไม้ยักษ์พุ่งขึ้นถึงขีดสุด เสียงของหวังเป่าเล่อก็ดังกังวานไปทั่วทั้งโถง


“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้…” หวังเป่าเล่อค่อยๆ ลุกขึ้นยืนขณะที่พูด


“เราได้พบกันอีกแล้ว!”


คำพูดเหล่านั้นฟังดูคุ้นหู ต้นไม้ยักษ์เริ่มสำนึกเสียใจ ศีรษะเขายังคงก้มต่ำ เขาไม่รู้จะต้องพูดตอบว่าอย่างไร


“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าข้ากลายมาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ของสำนักวังเต๋าไพศาลได้อย่างไร” หวังเป่าเล่อดูเหมือนว่ากำลังฉีกยิ้มกว้างอยู่ สายตาของชายหนุ่มจับจ้องมาทางต้นไม้ยักษ์ก่อนจะถามออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล


ต้นไม้ยักษ์กลุ้มใจ ชายวัยกลางคนเข้าใจแล้วว่าหวังเป่าเล่อรู้สึกอย่างไรเมื่อพวกเขาพบกันครั้งแรกบนดาวอังคาร เขาเองก็ถามคำถามคล้ายๆ กันนี้ เขารู้ดีว่าหวังเป่าเล่อคงต้องการให้เขาเล่นด้วย ยังรู้อีกด้วยว่าตัวเขาเองไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะปฏิเสธหวังเป่าเล่อได้ ต้นไม้ยักษ์จึงทำใจและตอบออกไปว่า


“ทำไม…


“ทำไม เจ้าถามข้าหรือว่าทำไม” แสงประหลาดสะท้อนอยู่บนดวงตาของหวังเป่าเล่อ และสายฟ้าก็ปะทุขึ้นมาจากกายของชายหนุ่ม เขาจ้องมองที่ต้นไม้ยักษ์ก่อนจะพูดช้าๆ


“ก็เพราะว่าข้าอยู่ห่างจากขั้นกำเนิดแก่นในเพียงก้าวเดียว เพียงก้าวเดียว ก้าวเดียวเท่านั้น! ด้วยระดับปราณและความสามารถในการต่อสู้ของข้า หากข้าบรรลุขั้นกำเนิดแก่นในในตอนนั้น ข้าก็คงจะอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณแล้วในตอนนี้ ข้าก็คงจะไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้อาวุโสสูงสุดเป็นแน่!”


หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง คำพูดของเขาสะท้อนก้องไปทั่วห้องโถง วังทั้งหลังสั่นไหว มีแรงกดดันประหลาดรายล้อมรอบกายต้นไม้ยักษ์เอาไว้ ทำให้เอาเขาแทบทรุดตัวลงคุกเข่า


ต้นไม้ยักษ์ยิ้มแหยๆ ตัวเขาเองคุ้นชินกันถ้อยคำเหล่านั้นเป็นอย่างดี เขาใช้คำเหล่านี้ข่มขู่หวังเป่าเล่อมาก่อนในอดีต หากมีทางเลือก ต้นไม้ยักษ์คงจะขอออกจากวังนี้และกลับไปยังดาวอังคารทันที


กระบี่สำริดเขียวโบราณเป็นสถานที่ที่อันตรายเกินกว่าที่เขาจะมาอยู่ได้


สัมผัสอันตรายและไม่สงบนั้นไม่ได้จางหายไป หวังเป่าเล่อที่มีใบหน้าโกรธจัดเดินลงไปนั่งลงบนเก้าอี้อย่างช้าๆ ก่อนจะจับต้องมาที่ต้นไม้ยักษ์ด้วยสายเย็นชาก่อนจะพูด


“ข้ามาคิดดูแล้ว หากข้าลองกินผลไม้หายากในตอนนี้ ข้าจะบรรลุขั้นจุติวิญญาณหรือไม่นะ…เช่นครึ่งหนึ่งของผลไม้ที่เจ้ากลืนเข้าไปเมื่ออยู่บนดวงจันทร์”


ศีรษะของต้นไม้ยักษ์ส่งเสียงสนั่นอื้ออึงเมื่อได้ยินคำนั้น เขาเริ่มหอบหายใจก่อนจะซวนเซถอยหลังไปอย่างควบคุมไม่ได้ มีพลังมหาศาลปรากฏขึ้นรอบกายเขา พลางจับเขาไว้ให้ยืนนิ่งอยู่กับที่


ต้นไม้ยักษ์ตัวสั่นอย่างรุนแรงด้วยความกลัวที่พวยพุ่งขึ้นมาในจิตใจ หวังเป่าเล่อต้องการให้ส่งตัวเขาขึ้นมาบนสำนักวังเต๋าไพศาลเพราะเหตุนี้นั่นเอง!


ต้นไม้ยักษ์ไม่อาจจะยอมรับเรื่องนี้ได้ แต่ก็ไม่อาจขัดขืน หวังเป่าเล่อไม่ใช่อย่างเดียวที่กดดันเขาอย่างหนัก แต่สถานะของชายหนุ่ม ณ ที่นี้ทำให้ต้นไม้ยักษ์ไร้ทางต่อต้าน แต่ชายวัยกลางคนก็ยังไม่หมดเล่ห์กล แม้ว่าเขาจะกำลังตื่นตกใจ เขาก็รู้ว่ามีอะไรบางอย่างกำลังเกิดขึ้นที่นี่ และหากหวังเป่าเล่อต้องการจะกินเขาทั้งเป็น ก็คงจะไม่เสียเวลาพูดมากมายเท่านี้ ความจริงข้อนี้ทำให้ต้นไม้ยักษ์เริ่มมีความหวัง


“ผู้อาวุโสหวัง…ข้า…”


“ข้ารู้ว่าเจ้าจะพูดอะไร ข้ารู้ด้วยว่าเจ้าเองก็เข้าใจดีว่าข้าไม่ได้ตั้งใจจะกินเจ้าเสียเดี๋ยวนี้ แต่สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้เอ๋ย จงหยุดวางแผนชั่วช้าและการคาดเดาเสีย และจงจำไว้อย่างหนึ่งว่า…เจ้าติดหนี้ผลไม้ข้าลูกหนึ่ง!” หวังเป่าเล่อขัดคอต้นไม้ยักษ์และพูดอย่างใจเย็น มีแววตาที่ยากจะหยั่งถึงปรากฏอยู่ในดวงตาของชายหนุ่มที่ทำเอาต้นไม้ยักษ์ตัวสั่น ชายวัยกลางคนเข้าใจในตอนนี้เองหลังจากความเงียบปกคลุมอยู่ยาวนาน


แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ได้พูดออกมาชัดๆ แต่ต้นไม้ยักษ์ก็เข้าใจได้ว่าชายหนุ่มต้องการความช่วยเหลือของเขาในสำนักวังเต๋าไพศาล ด้วยเหตุนี้เองจึงเรียกตัวเขามาที่นี่ ต้นไม้ยักษ์สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะโค้งคำนับอีกครับ


ครั้งนี้ เขาตั้งใจเป็นพิเศษที่จะแสดงความเคารพออกมาอย่างชัดเจน


“ข้ารับใช้ที่ต่ำต้อยจะทำทุกทางเพื่อสนองปรารถนาของนายท่าน!”


หวังเป่าเล่อพยักหน้า ชายหนุ่มชอบพูดคุยกับคนฉลาด ต้นไม้ยักษ์มาอยู่ที่นี่ได้ทุกวันนี้ก็เพราะเหตุนี้ เขาไม่ได้เรียกต้นไม้ยักษ์มาเพราะผลไม้แต่อย่างใด ชายหนุ่มเรียกอีกฝ่ายมาก็เพราะ…หลุมฝังศพที่เขาพบในพื้นที่ต้องสาปใกล้กับตำหนักวังบูชาต่างหาก!


จากการวิเคราะห์ของเจ้าเยี่ยเหมิง เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าสิ่งมีชีวิตที่มีร่างกายเป็นไม้จะสามารถเดินทางเข้าไปยังหลุมฝังศพนั้นได้ หวังเป่าเล่อเริ่มคิดหาคนที่เหมาะสมทันที ในความคิดของเขาแล้ว หากต้นไม้ยักษ์ไม่มีคุณสมบัติที่จะเข้าไป ก็คงไม่มีใครอีกแล้วที่จะเข้าไปได้อีก


สิ่งนี้เองที่ทำให้หวังเป่าเล่อขอให้พาตัวต้นไม้ยักษ์มาพร้อมกับพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สาม


“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ ข้ามีบางอย่างจะเสนอ ท่านทำงานให้ข้าอย่างหนึ่งแล้วข้าจะไม่เพียงแต่ลืมเรื่องราวในอดีต แต่ยังจะให้โอกาสท่านได้บรรลุขั้นจุติวิญญาณอีกด้วย!”


หวังเป่าเล่อพูดอย่างนุ่มนวลด้วยเสียงต่ำ เสียงของชายหนุ่มกังวานไปตามระแหวนปราณในวัง เสียงสะท้อนก้องนั้นพอที่จะสั่นไหวหัวใจทุกผู้คนที่ได้ยิน


บทที่ 624 กระดูกอาวุธเทพโบราณ

ต้นไม้ยักษ์ไม่มีทางเลือก!


เขาไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะเลือกอะไรได้ ชายวัยกลางคนในตอนนี้ก็เหมือนกับหวังเป่าเล่อเมื่อเพิ่งจะไปถึงดาวอังคาร ตอนนั้นชายหนุ่มก็ไม่อาจจะเลือกสิ่งใดได้ เขาถูกบังคับให้ต้องระมัดระวังตัว และค่อยๆ สั่งสมพลังและอำนาจกระทั่งไปถึงจุดที่สามารถรับประกันความปลอดภัยให้ตนเองและผลประโยชน์ของตนได้


เมื่อหวังเป่าเล่อเพิ่งมาถึงดาวอังคาร หากเขาไม่ได้เลือกเข้าไปอยู่ในฝ่ายการศึกษาเพื่อสร้างชื่อให้ตนเอง ชายหนุ่มคงไม่ได้มีโอกาสไปสร้างความประทับใจให้กับเจ้านครอาณานิคม และไม่เลือกจะต่อสู้เพื่อตำแหน่งผู้ปกครองเขตนครใหม่ เขาก็คงไม่รู้ว่าเจ้าเยี่ยเหมิงสำคัญเพียงใดกับเจ้านครเมื่อเขามาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล และคงไม่มีชื่อเสียงและไต่เต้าขึ้นตำแหน่งมาอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ หวังเป่าเล่อก็คงไม่ได้เป็นปัญหากับต้นไม้ยักษ์มากมายนัก โอกาสที่จะเสียชีวิตเพราะอุบัติเหตุก็คงมีมากขึ้นโขทีเดียว


แน่นอนว่า ขณะนั้นต้นไม้ยักษ์เองก็ระแวงต้วนมู่ฉีอยู่ แต่เขากลับอ่านแผนการส่งหวังเป่าเล่อไปดาวอังคารไม่ออก ทำให้ต้องทั้งอดทนและระมัดระวังในการกระทำตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ดี เมื่อต้นไม้ยักษ์ตัดสินใจจะลงมือทำตามแผน หวังเป่าเล่อก็พัฒนามาไกลและมีเครือข่ายอันกว้างขวางที่ทำให้ต้นไม้ยักษ์ไม่อาจลงมือกับเขาได้


ความแค้นเคืองระหว่างทั้งคู่ยังคงอยู่ แต่ก็ไม่มีความพยายามจากทั้งสองฝ่ายที่จะจบเรื่องนี้เสียง เป็นเหตุให้หวังเป่าเล่อต้องจัดฉากสร้างเรื่องมากมายแล้วจึงปล่อยต้นไม้ยักษ์ไปง่ายๆ การบุกเข้าไปในหลุมฝังศพเป็นเป้าหมายหลักของเขา การบังคับให้ต้นไม้ยักษ์ยอมจำนนนั้นเป็นเป้าหมายรอง


หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจว่าต้นไม้ยักษ์จะยอมรับนับถืออำนาจของตนหรือไม่ อัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงระบุไว้ชัดเจน ไม่มีความซื่อสัตย์ใดจะคงอยู่ตลอดไป และไม่มีการทรยศหักหลังตลอดกาลเช่นกัน ชายหนุ่มเพิ่งแต่ต้องบอกให้ต้นไม้ยักษ์รู้ว่าการจะทรยศเขานั้นมีราคาอันแสนแพงเช่นใด แพงจนเขาคงจะจ่ายไม่ไหว ข้อนั้นอย่างเดียวก็คงจะเพียงพ


ข้อคิดนี้เป็นจริงสำหรับทุกสิ่งในโลก รวมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างชายหญิงด้วย หวังเป่าเล่อรู้เรื่องนี้ดี แม้เขาจะไม่มีประสบการณ์ในเรื่องนี้นัก สำหรับเรื่องแรก ชายหนุ่มก็กระทำตามความเชื่อมของตนมาตลอด เป็นเหตุให้ชายหนุ่มพาต้นไม้ยักษ์ออกมาจากสำนักวังเต๋าไพศาล และใช้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายพาตัวเขาไปยังตำหนักวังบูชา!


หากเป็นคนอื่นก็คงไม่มีสิทธิใช้วงแหวนปราณนี้ ไม่ว่าจะขออนุญาตสักกี่ครั้งก็ตาม มีเพียงผู้ที่ถือครองใบต้นไฮยาซินเท่านั้นจึงจะได้รับอนุญาตให้ใช้วงแหวนปราณเคลื่อนย้ายน้ได้


อย่างไรก็ตาม กฎเหล่านี้ใช้กับหวังเป่าเล่อไม่ได้ ในฐานะหนึ่งในสี่ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาล หากสิ่งที่เขาจะทำไม่ใช่การก่อกบฎแล้ว ก็ไม่มีใครจะทัดทานการกระทำของเขาได้เลย


ชายหนุ่มไม่ได้กังวลแม้แต่น้อยว่าเสียท่าเมื่อออกมาอยู่ตามลำพังกับต้นไม้ยักษ์ สถานะของเขาทำให้คำสาปส่วนใหญ่บนตัวกระบี่นั้นไร้ผล สถานที่สุดแสนจะอันตรายสำหรับต้นไม้ยักษ์ สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วก็เปรียบเสมือนห้องนั่งเล่น อีกอย่างหนึ่ง ชายหนุ่มก็มั่นใจในพลังของตนพอสมควร


เขาเคยสังหารวิญญาณจุติมาแล้ว ต้นไม้ยักษ์อาจจะแข็งแกร่งก็จริง…แต่ก็ยังไม่เก่งเท่าจักรพรรดิวายุทมิฬหรือผู้อาวุโสซุนไห่!


หวังเป่าเล่อไม่มีความคิดจะสังหารต้นไม้ยักษ์แม้แต่น้อย แต่ทว่า หากอีกฝ่ายแสดงอาการมุ่งร้าย หวังเป่าเล่อก็จะไม่เมตตา ชายหนุ่มจะไม่พยายามปกปิดอีกด้วย เขาจะประกาศอย่างเปิดเผยเพื่อให้ทุกคนได้รู้ว่าต้นไม้ยักษ์นั่นมาทำร้ายเขาก่อน!


หวังเป่าเล่อแน่ใจว่าต้นไม้ยักษ์ที่ทั้งเจ้าเล่ห์และฉลาดเฉลียวรู้ดีถึงข้อได้เปรียบเสียเปรียบในสถานการณ์ของเขา ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น ต้นไม้ยักษ์ยังคงประหม่าต่อไปหลังจากที่หวังเป่าเล่อพาเคลื่อนที่มายังตัวกระบี่แล้ว ท่าทีของเขาต่อหวังเป่าเล่อก็ยังคงนบนอบอยู่เช่นเดิม


“เจ้าเห็นสิ่งนั้นหรือไม่” ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็เดินออกมาจากตำหนักวังบูชา หวังเป่าเล่อรีบนำทางต้นไม้ยักษ์ไปตามทางที่คุ้นเคย พวกเขามาปรากฏอยู่ตรงขอบของพื้นที่ต้องสาปที่หลุมฝังศพตั้งอยู่ หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นชี้


ต้นไม้ยักษ์เริ่มระวังตัวเต็มที่ทันที เขารวบรวมสติก่อนจะมองออกไป ไม่มีทางเลยที่จะเผลอไผล ชายวัยกลางคนค่อนข้างแน่ใจแล้วว่าหวังเป่าเล่อจะไม่ทำร้านตน แต่สถานที่ใดก็ตามที่ทำให้หวังเป่าเล่อต้องระแวดระวังตัวเช่นนั้นต้องอันตรายเป็นอย่างมากแน่นอน


ต้นไม้ยักษ์สูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะก้มลงมองพื้นอย่างระมัดระวัง เขาสำรวจคำสาปนั้น แล้วตามด้วยหลุมฝังศพ และมองไปเห็นเนินฝังศพรวมทั้งรอยแยกและหมอกสีเขียว


ประสาทสัมผัสของเขาตายด้านไปหมดเพราะคำสาป แต่ทว่า ทันทีที่ต้นไม้ยักษ์มองเห็นหมอกสีเขียว เขาก็รู้ถึงได้ถึงปราณกังวานของตนเองกับหมอกนั้น นัยน์ตาเขาเป็นประกาย จากนั้นจึงเหลือบไปเห็นกระบี่ไม้วางนอนอยู่บนพื้น!


ตอนนั้นเองต้นไม้ยักษ์จึงเข้าใจว่าทำหวังเป่าเล่อถึงได้เลือกพาตัวเขามาที่นี่ เขาเริ่มสงสัยว่าจะผ่านอุปสรรคตรงหน้าไปได้หรือไม่


หวังเป่าเล่อไม่ได้รบเร้าอีกฝ่าย ชายหนุ่มรอให้ต้นไม้ยักษ์ตัดสินใจเอง พลางถอนใจอย่างโล่งอก สิ่งนี้เป็นเหตุผลว่าทำไมเขาจึงชอบทำงานกับคนฉลาดเฉลียว ชายหนุ่มเพียงต้องพูดเรื่องเดียวเท่านั้นพวกเขาก็จะเข้าใจที่เหลือเองทุกอย่าง ไม่มีความจำเป็นต้องอธิบายมากมาย


ครู่ใหญ่ต่อมา นัยน์ตาของต้นไม้ยักษ์ก็ส่องประกายอย่างตกลงปลงใจ เขายกมือขึ้นประสานคารวะหวังเป่าเล่อ


“ผู้อาวุโสหวัง โปรดปลดคำสาปออกด้วย ข้าจะเข้าไปสำรวจหลุมฝังศพนี้ให้ละเอียดก่อนจะกลับมาให้คำตอบกับท่าน”


หวังเป่าเล่อพยักหน้า และด้วยการสะบัดมือเพียงครั้งเดียว ประตูแห่งแสงก็ปรากฏขึ้นบริเวณขอบของพื้นที่ต้องสาป มันเหวี่ยงเปิดออก อากาศจากภายในพวยพุ่งออกมา พร้อมๆ กันนั้นก็มีเสียงหายใจที่แทบจะฟังไม่ได้ยินเล็ดลอดออกมาด้วย


หวังเป่าเล่อมองต้นไม้ยักษ์ที่ใช้ผนึกมือด้วยท่าทีขึงขังอย่างระแวดระวัง ต้นไม้ยักษ์หักนิ้วออกมาข้อหนึ่งก่อนจะขว้างออกไป นิ้วที่หักนั้นแปรสภาพเป็นคนตัวจิ๋วที่วิ่งตรงไปยังประตูส่องสว่างที่เปิดค้างอยู่นั้น


คนตั้วจิ๋ววิ่งผ่านเข้าไปได้และมุ่งตรงไปทางหมอกเขียวอย่างไม่ลังเล มันวิ่งไปรอบๆ หลุมฝังศพก่อนจะหยิบเอากระบี่ไม้ที่ตกอยู่บนพื้นและกลับมาอย่างรวดเร็ว


ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยตลอดทั้งกระบวนการนั้น ไม่มีอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับคนตัวน้อย มันย้อนกลับมาอย่างปลอดภัยและกลายสภาพกลับเป็นนิ้วของต้นไม้ยักษ์ตามเดิม เขาหันมายื่นกระบี่คืนให้หวังเป่าเล่ออย่างสุภาพก่อนจะกระซิบ


“หมอกสีเขียวแทบไม่มีผลกับข้าเลย ข้าคงจะอยู่ข้างในได้ราวๆ สามสิบนาที ผู้อาวุโสหวังต้องให้ข้าทำสิ่งใด”


หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาไม่ได้รับกระบี่กลับมา แต่กลับถามว่า “เจ้าสัมผัสถึงมันได้ไหม”


ต้นไม้ยักษ์ไม่กล้าปกปิดความจริงจากหวังเป่าเล่อ แม้ว่าชายหนุ่มจะเด็กกว่าเขา แต่ต้นไม้ยักษ์ก็รู้นิสัยใจคอและวิธีการของหวังเป่าเล่อดี เขาเคยเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้แข็งแกร่งเพียงใด ทั้งบนดวงจันทร์และบนดาวอังคาร ชายวัยกลางคนรู้จักกระบวนเวทอันแข็งแกร่งที่เด็กหนุ่มคนนี้มีเกือบหมด และวิธีการสังหารที่มีอยู่มากมายพอๆ กัน


เขาจึงพูดไปตามจริง


“ข้าสัมผัสได้…การมีอยู่ของอาวุธเทพ!” ต้นไม้ยักษ์ตัวสั่นทันทีที่เขาละล่ำละลักออก คุณค่าของอาวุธเทพต่อผู้ฝึกตนนั้นช่างยากยิ่งจะบรรยาย!


“ดีมาก เจ้าเอากระบี่เล่มนี้ไปเถิด แล้ว…ไปเอาอาวุธเทพนั้นมาให้ข้า!” หวังเป่าเล่อพยักหน้าก่อนจะพูดอย่างเยือกเย็ก มีแสงประหลาดฉายวาบอยู่ในแววตา เขาจ้องมองไปยังต้นไม้ยักษ์เหมือนจะรอให้อีกฝ่ายตัดสินใจ


ต้นไม้ยักษ์นิ่งเงียบ เขาคิดอยู่นานก่อนจะตัดสินใจกัดฟัน เขาไม่ได้ปฏิเสธ หรืออธิบายว่างานนี้จะยากลำบากเพียงใด นี่เป็นโอกาสของเขา ที่จะยุติความบาดหมางกับหวังเป่าเล่อและมีโอกาสได้บรรลุขั้น โอกาสนี้…หวังเป่าเล่อจะเป็นผู้มอบให้ ชายหนุ่มพูดเองว่า นี่เป็นโอกาสการบรรลุขั้นสู่ขั้นจุติวิญญาณ!


ต้นไม้ยักษ์เริ่มหนทางสู่การฝึกต้นเมื่อหลายปีก่อน เพราะเขาได้ดูดซับผลไม้ไปเพียงครึ่งผลเท่านั้นบนดวงจันทร์ ระดับปราณของเขาจึงยังคงอยู่ที่ระดับกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุด ไม่อาจจะบรรลุสู่ขั้นต่อไปได้ ต้นไม้ยักษ์ทำได้เพียงแต่เฝ้ามองขณะที่ต้วนมู่ฉี หลี่ซิงเหวิน และกระทั่งสวีหยุนคุนต่างก็บรรลุขั้นกันหมด เขาแทบอดรนทนไม่ไหว


ต้นไม้ยักษ์ไม่เชื่อหากใครจะบอกเขาว่าจะมอบโอกาสนี้ให้เขาได้ แต่ชายคนนี้คือหวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งไต่เต้ามาจนได้เป็นผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาล เขาเชื่อหวังเป่าเล่อ!


แววตาแห่งความมุ่งมั่นปรากฏอยู่บนใบหน้าของต้นไม้ยักษ์ เขาพุ่งตัวผ่านประตูที่ส่องแสงสว่างจ้า มุ่งหน้าเข้าไปยังหมอกสีเขียวภายใต้กายมองอย่างกังวลแต่เปี่ยมความหวังของหวังเป่าเล่อ ร่างกายของต้นไม้ยักษ์หดลง ก่อนที่เขาจะไหลเข้าไปในรอยแตกหนึ่งบนหลุมฝังศพ!


หวังเป่าเล่อเมื่อเห็นเช่นนั้นก็ตื่นเต้นใหญ่ ชายหนุ่มเตรียมการจะผละหนีทันทีหากแผนล้มเหลว เขายังเปิดใช้เกราะจักรพรรดิลักอัคคีอีกด้วย เขาไม่ใช่คนไม่รู้คุณคน หากต้นไม้ยักษ์ทำเต็มที่เพื่อจะทำหน้าที่ให้สำเร็จ หวังเป่าเล่อก็จะหาวิธีให้พวกทั้งคู่หนีไปพร้อมกันได้หากเกิดอันตราย


เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า แต่ในไม่นานนานก็ผ่านไปสามสิบนาที มีรอยย่นปรากฏอยู่บนหน้าผากของหวังเป่าเล่อขณะที่ชายหนุ่มหรี่ตา ทันใดนั้นเองก็เกิดการระเบิดขึ้นมาจากในสุสาน!


รอยแยกบนสุสานนั้นใหญ่ขึ้นและขยายใหญ่ขึ้นขณะที่เสียงระเบิดดังสนั่นยังคงดังอยู่ต่อไป หมอกสีเขียวไหลบ่าออกมาจากรอยแตก เสียงหายใจเริ่มดังขึ้นทุกทีๆ หวังเป่าเล่อตัวสั่น ศีรษะเริ่มจะหมุนเวียน ทันใดนั้นเอง ต้นไม้ยักษ์ก็พุ่งตัวออกมาจากรอยแยก!


ใบหน้าเขาซีดขาว ผนวกกับความกลัวที่ฉายชัดบนแววตา ในมือเขา…ถือกระดูกของแขนที่หักออกอยู่!


แขนที่หักข้างนั้นเปล่งรัศมีอันรุนแรงที่เกี่ยวข้องกับเวลาและความตาย พลังที่แผ่ออกมานั้นเป็นของอาวุธเทพชัดเจน!


บทที่ 625 ผสานรวมกันแขน!

ม่านตาของหวังเป่าเล่อหดตัว ดวงตาทั้งคู่จับจ้องอยู่แต่ที่ตรงแขนข้างนั้นเท่านั้น


มีรัศมีของอาวุฑธเทพที่แข็งแกร่งเปล่งออกมาจากแขนที่หักข้างนั้นที่แทบจะพวยพุ่งขึ้นไปถึงท้องฟ้า ต้นไม้ยักษ์ที่ตัวสั่นถือแขนมาอยากยากเย็น เสียงหอนคล้ายของอสูรร้ายดังออกมาจากหลุมฝังศพไล่หลังมาติดๆ หมอกสีเขียวปริมาณมหาศาลก็พวยพุ่งออกมาพร้อมๆ กัน


หมอกสีเขียวนั้นก่อตัวเป็นหัตถ์ขนาดยักษ์ที่ไล่ตามต้นไม้ยักษ์ไป ดูราวกับว่าจากลากเอาต้นไม้ยักษ์กลับลงไปในหลุมฝังศพและขังเขาเอาไว้ในนั้นตลอดไป!


ต้นไม้ยักษ์รู้สึกสิ้นหวังเมื่ออันตรายเข้ามาใกล้เหลือเกิน ชายวัยกลางคนสัมผัสได้ถึงแรงที่ลากดึงเขากลับไป ความกลัวตายส่งเสียงลั่นอยู่ในศีรษะตลอดเวลาราวกับสัญญาณเตือนไฟ ความหวังเดียวของเขาตอนนี้อยู่ที่หวังเป่าเล่อ เขาทำได้เพียงหวังว่าชายหนุ่มจะไม่ทิ้งเขาให้ตายและคงไม่สั่งให้เขาโยนแขนข้างนี้ไปให้


คำสั่งนั้นจะหมายถึงว่าหวังเป่าเล่อตั้งใจจะช่วยแค่แขนและไม่ใช่ตัวเขา หากเป็นเช่นนั้นต้นไม้ยักษ์ก็ไม่มีทางเลือก เขาก็คงต้องกอดแขนไว้และหวังว่าหวังเป่าเล่อจะพาทั้งเขาทั้งแขนออกไปพร้อมกัน…แต่ก็หมายความว่าทั้งคู่ก็ยังคงเป็นศัตรูกันต่อไป โอกาสรอดชีวิตของเขาหลังจากนั้นช่างริบหรี่


ขณะที่ต้นไม้ยักษ์กำลังจ่มจ่อมอยู่ในความเกรี้ยวกราดและสิ้นหวัง ก็เกิดบางสิ่งที่เกินคาดขึ้น หวังเป่าเล่อไม่ได้ขอให้เขาโยนแขนไป ทันใดนั้นเอง ชายหนุ่มก็ใช้เมล็ดดูดกลืนภายในกายและส่งพลังดูดกลืนนั้นไปที่ต้นไม้ยักษ์ พลังนั้นต่อสู้กับแรงดึงจากหัตถ์ยักษืและช่วยเพิ่มความเร็วให้ต้นไม้ยักษ์อีกแรง!


หวังเป่าเล่อยังไม่หยุดเพียงเท่านั้น เมื่อใช้เมล็ดดูดกลืนแล้ว ร่างอวตารอัสนีของเขาก็ปรากฏขึ้น ทั้งหวังเป่าเล่อร่างอวตารพุ่งตรงไปหาต้นไม้ยักษ์พร้อมกัน


ทั้งคู่มาปรากฏตัวอยู่ข้างกายต้นไม้ยักษ์แทบจะในเวลาเดียวกัน หัตถ์ยักษ์สีเขียวพุ่งตรงเข้ามาใส่เพื่อจะกำจัดพวกเขาเสีย หวังเป่าเล่อผลักต้นไม้ยักษ์อย่างแรง จนอวัยวะภายในของอีกฝ่ายสั่นสะเทือน แต่ทว่าแรงผลักก็ทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้นอีก ระยะห่างระหว่างต้นไม้ยักษ์และหัตถ์สีเขียวก็เพิ่มขึ้นอีก!


จากนั้น ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อก็จับแขนต้นไม้ยักษ์และเหวี่ยงเข้าไปข้างหน้า ในที่สุดต้นไม้ยักษ์ก็หลุดรอดจากความตายมาได้


ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นขณะที่ต้นไม้ยักษ์กำลังหมดหวัง แต่ทว่า ทันทีที่ระยะทางระหว่างทั้งคู่ทิ้งห่างออก หัตถ์ยักษ์ก็พุ่งมาข้างหน้าอีกครั้ง เสียงหายใจดังสนั่นยังคงดังออกมาจากหลุมศพอย่างต่อเนื่อง นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อส่องประกาย ชายหนุ่มสลับตำแหน่งกับร่างอวตารทันที


ร่างอวตารพุ่งเข้าใส่หัตถ์สีเขียวทันที ส่งผลให้เกิดระเบิดขึ้นทันทีที่ปะทะกัน เสียงกัมปนาทดังสนั่นขึ้น มือของหวังเป่าเล่อเคลื่อนไหวเร็วจนพร่ามัวเมื่อชายหนุ่มเริ่มใช้ผนึกมือแล้วชี้ไปที่คำสาปเหนือหลุมฝังศพ


ประตูที่ส่องสว่างปิดลงทันที หัตถ์ยักษ์ที่ช้าลงเพราะแรงระเบิดของร่างอวตารถูกขังอยู่ในคำสาปด้านใน พลางส่งเสียงร้องอย่างเกรี้ยวกราด


“ตามข้ามา!” ไม่มีเวลารอดูให้เห็นกับตาว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหัตถ์นั้นต่อไป หวังเป่าเล่อวิ่งนำหน้าออกไปด้วยสีหน้าเขร่งขรึม ต้นไม้ยักษ์ตกตะลึง เขาไม่อยากจะเชื่อว่าอีกฝ่ายจะไม่พูดอะไรเกี่ยวกับแขนที่หักข้างนั้นสักคำเดียว แต่กลับใช้พลังงานทั้งหมดในการช่วยชีวิตตนเอาไว้ ชายวัยกลางคนยังคงตื่นเต้นกับอันตรายที่เขารอดมาได้แบบหวุดหวิด เขาหอบหายใจพลางวิ่งตามหวังเป่าเล่อไปติดๆ ด้วยความช่วยเหลือของหวังเป่าเล่อ ในที่สุดทั้งคู่ก็กลับมาถึงตำหนักวังบูชาจนได้


พวกเขาเคลื่อนที่มาด้วยความเร็วสูงสุด พุ่งทะลุแหวกอากาศราวกับประกายสายฟ้า เสียงหายใจอย่างเกรี้ยวกราดและไร้ชีวิตยังคงตามติดมา ทำให้ทั้งคู่หายใจไม่ทั่วท้อง ทันทีที่พวกเขากลับมาถึงตำหนักวังบูชาและก้าวเข้ามาใน เสียงหายใจที่ดังก้องอยู่ในหูจึงได้หยุดลง ราวกับว่าถูกตัดขาดออกไปกระนั้น


ทั้งคู่ถอนหายใจอย่างโล่งอก ต้นไม้ยักษ์กำลังจะเอ่ยปากพูดแต่หวังเป่าเล่อห้ามเอาไว้ พวกเขาก้าวเขาไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายอย่างเร่งรีบ แสงจากวงแหวนปราณนั้นส่องสว่างปกคลุมทั้งสองเอาไว้ ก่อนที่ทั้งคู่จะพร่าเลือนและมาปรากฏตัวขึ้นอีกทีบริเวณเขตแดนระหว่างตัวกระบี่และด้ามกระบี่ ไกลออกมาจากหลุมฝังศมพากนัก เมื่อนั้นเองพวกเขาจึงค่อยคลายใจ


ใบหน้าของต้นไม้ยักษ์ซีดเผือด หัวใจเขายังคงเต้นโครมครามอย่างควบคุมไม่ได้ ความตายเพิ่งจะมาลอยคุกคามอยู่เหนือศีรษะเขาอยู่เมือครู่ ความประมาทเพียงชั่วพริบตาอาจทำให้เขาตายไปแล้วก็ได้


“ที่นี่มันอะไรกัน” ต้นไม้ยักษ์พึมพำก่อนจะหันไปมอบรอบๆ


หวังเป่าเล่อนึกถึงคำตอบแบบประชดประชันขึ้นมาได้ เจ้าจะไปรู้ได้อย่างไรกัน ก่อนจะมีความคิดขึ้นมาอย่างหนึ่ง ชายหนุ่มทำทีเป็นฉลาดเฉลียวก่อนจะกล่าวอย่างเยือกเย็น


“มีบางเรื่องที่เจ้าไม่รู้เสียจะดีกว่า” หวังเป่าเล่อจ้องตาต้นไม้ยักษ์อย่างเปี่ยมความหมาย ก่อนจะกวาดตาไปมองแขนที่หักในมือของอีกฝ่าย ชายหนุ่มไม่ได้เอ่ยปากขอ แต่เพียงแต่จ้องมองต้นไม้ยักษ์อย่างเงียบเชียบเช่นนั้น


ต้นไม้ยักษ์ถึงกับใบ้เบื้อ เขาทั้งตื้นตันกับความช่วยเหลือที่หวังเป่าเล่อให้ แม้ว่าเขาจะมีความคิดร้ายใดๆ อยู่ก่อนหน้า บัดนี้ความคิดเหล่านั้นก็มลายหายไปสิ้นแล้ว ชายวัยกลางคนค้อมศีรษะลงก่อนจะยื่นส่งแขนข้างนั้นให้หวังเป่าเล่อ


หวังเป่าเล่อแทบจะควบคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ขณะที่จับจ้องไปที่แขนข้างนั้น ชายหนุ่มรับแขนนั้นมาจากจ้นไม้ยักษ์ก่อนจะเริ่มมองสำรวจอย่างถี่ถ้วน หัวใจเขาเต้นแรง รัศมีของอาวุธเทพที่เปล่งออกมาจากแขนหักๆ ข้างนั้นแก่กล้ายิ่ง แม้จะเป็นเพียงแสงแขนที่หัก และผิวหนังก็เหี่ยวย่นและแห้งผาก มีกระดูกสีขาวทิ่มออกมาจากข้อต่อ ทั้งเลือดและเนื้อก็แห้งหายไปนานแล้ว ราวกับว่าเป็นแขนของศพผีโบราณกระนั้น


แขนข้างนี้เป็นของใครกัน แค่แขนยังทรงพลังถึงเพียงนี้…ยังมีส่วนอื่นๆ ของร่างกายถูกฝังอยู่ในนั้นด้วยหรือไม่นะ…หวังเป่าเล่ออดสงสัยไม่ได้ แต่ทว่า ชายหนุ่มก็ไม่เคยย่างกรายเข้าไปในหลุมฝังศพนั้นมาก่อน หวังเป่าเล่อเชื่อว่าต้นไม้ยักษ์เป็นคนเดียวที่อาจจะรู้เรื่องเกี่ยวกับหลุมฝังศพนั้น


ต้นไม้ยักษ์คงไม่อาจบอกอะไรเขาได้ละเอียดนักเพราะเขาขาดข้อมูลสำคัญไป…หวังเป่าเล่อนิ่งเงียบอยู่กับความคิด ชายหนุ่มตัดสินใจจะไม่ถามอะไรต้นไม้ยักษ์ตอนนี้ เขารู้ดีว่าการเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสมในการถามคำถามแรกนั้นสำคัญเพียงใด จังหวะนั้นอาจจะส่งผลถึงความน่าเชื่อถือของคำตอบจากต้นไม้ยักษ์


ชายหนุ่มตัดสินใจจะไม่ทำการหุนหันพลันแล่น เขาจะรอจนกว่าจะถึงช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อจะได้คำตอบที่จริงแท้ที่สุด เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะตัดสินใจเลิกคิดเรื่องต้นไม้ยักษ์ ผู้ซึ่งยังไม่แน่ใจว่าจะเลือกภักดีกับใครแน่ ก่อนจะเริ่มจ้องมองศึกษาแขนข้างนั้นอย่างขะมักเขม้นต่อไป หวังเป่าเล่อปล่อยให้พลังปราณไหลบ่าเข้าไปสู่แขน รัศมีอันรุนแรงที่แผ่ออกมาจากแขนนั้นยิ่งรุนแรงขึ้นไปอีก ขณะที่พลังงานอันยิ่งใหญ่ไหลเวียนอยู่ภายในแขนนั้น


หวังเป่าเล่อตกใจกับการตื่นขึ้นอย่างฉับพลันทันด่วนของแขน มีบางสิ่งที่เขายังไม่เข้าใจ ชายหนุ่มพยายามจะปลุกใช้งานแขนก่อนที่จะได้รับอนุญาต พลังอันยิ่งใหญ่ของมันทำเอาหวังเป่าเล่อรู้สึกราวกับเป็นเด็กน้อยที่กำลังเหวี่ยงกระบี่เล่มยักษ์!


ช่างเหน็ดเหนื่อยยิ่ง หวังเป่าเล่อสัมผัสได้ถึงการแข็งขืนจากแขนนั้น มันสั่นอย่างรุนแรงอยู่ในมือเขา ความชำนาญเรื่องอาวุธเวทของเขาทำให้เขาได้ข้อสรุปว่า หากเขายังขืนดึงดันจะใช้แขนนี้ต่อไป พลังของมันก็จะไม่แยกแยะมิตรหรือศัตรู แต่จะพยายามกลืนกินเขาเข้าไปด้วย


แต่ถึงอย่างนั้น หวังเป่าเล่อก็ยังอยากจะเอามันมาไว้ในครอบครอง การพินิจพิจารณาในช่วงสั้นๆ นั้นแสดงให้เห็นว่าพลังที่ไหลบ่าออกมาจากแขนนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่าอาวุธเวทที่เขาครอบครองอยู่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นหอกดำหรือกระบี่เหาะเหินสามสีก็ยังอ่อนแอไปถนัดตาเมื่อเทียบกัน!


มีเพียงอาวุธเทพของสหพันธรัฐเท่านั้นที่พอจะเทียบได้ แต่ก็แน่นอนว่า อาวุธเทพของสหพันธรัฐนั้นยังไม่แข็งแกร่งเท่าวัตถุเวทแห่งความมืดของหวังเป่าเล่อ


แต่ถึงกระนั้น สิ่งนี้ก็ยังเป็นอาวุธเทพ!


ข้าจะเอามันมาใช้โดยไม่ให้บุบสลายได้อย่างไรกัน…หวังเป่าเล่อครุ่นคิด ชายหนุ่มคิดอยู่อึดใจใหญ่ จนกระทั่งเกิดความคิดอยู่ขึ้นมาในศีรษะ ช่างเป็นความคิดที่บ้าคลั่งและบ้าบิ่นยิ่ง


ความคิดนั้นเป็นราวกับวัชพืช ที่เมื่อได้ลงดินแล้วก็ชอนไชเติบโตอย่างบ้าคลั่ง ไม่มีทางจะกำจัดมันออกไปได้ จนกระทั่งเริ่มทำให้หวังเป่าเล่อกังวล แววตาแห่งความมุ่งมั่นฉายชัดขึ้นบนใบหน้าของชายหนุ่ม เขาพูดขึ้นมาปุบปับ “สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้ โปรดถอยหลังไปหน่อย”


ต้นไม้ยักษ์ถอยห่างออกมาอย่างกังวลใจในทันที หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเปิดใช้เกราะจักรพรรดิลักอัคคีขึ้น จุดตันเถียนในกายเขาปรากฏขึ้น พลางส่องแสงสีแดงระยับขณะที่เคลื่อนที่ไปมาอยู่ในอากาศและก่อนจะแปรสภาพเป็นเกราะจักรพรรดิหน้าตาน่าสะพรึงกลัว


จุดตันเถียนสีแดงสดออกมาก่อตัวเป็นเกราะอยู่นอกกายหวังเป่าเล่อ เกราะนั้นแผ่กระจายพลังงานที่ทำเอาต้นไม้ยักษ์หายใจไม่สะดวก พายุหมุนบังเกิดขึ้นรอบๆ กายเขา ต้นไม้ยักษ์เข้าใจในบัดนั้นเองว่าหวังเป่าเล่อทรงพลังเพียงใด ชายวัยกลางคนถึงกับหยุดหายใจ และผงะล่าถอยไปหลายก้าว


หวังเป่าเล่อไม่สนใจอีกฝ่ายแม้แต่น้อย ทันทีที่เกราะสร้างตัวขึ้นมาสำเร็จ ชายหนุ่มก็เอื้อมมือซ้ายไปหยิบเอาแขนหักๆ ข้างนั้นมาถือไว้ ประกายกล้าฉายสว่างอยู่ในดวงตาขณะที่เขาวางเอาแขนข้างนั้นลงไปทาบกับแขนขวาของเกราะ ก่อนจะกดลงไปอย่างรุนแรง แขนนั้นเข้าผสานรวมกับเกราะและรวมเป็นเนื้อเดียวกับแขนขวาของเกราะ แขนหักๆ ข้างนั้นกลายมาเป็นแขนขวาของชายหนุ่มในบัดดล!


และสิ่งนี้คือความคิดอันบ้าระห่ำที่หวังเป่าเล่อคิดได้เมื่อครู่!


บทที่ 626 หลุมฝังศพของศิษย์แห่งเต๋า!

การหลอมรวมนั้นไม่ได้ราบรื่นนัก ทั้งรุนแรงและขลุกขลักยิ่งเพราะว่าไม่มีการบอกกล่าวหรือขออนุญาตใดๆ ก่อนทั้งสิ้น ช่างเป็นกระบวนการที่ยากลำบาก แต่ทว่าตามความเข้าใจของหวังเป่าเล่อที่มีต่ออาวุธเวท ชายหนุ่มก็รู้ดีว่ากว่าจะได้มาซึ่งการยอมรับจากอาวุธเวทนั้นยากยิ่ง แขนที่หักข้างนั้นก็คงจะไม่ต่างกัน


เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าไม่มีใครนอกจากเจ้านายแต่เดิมของมันเท่านั้นที่จะทำให้มันศิโรราบได้โดยง่าย หวังเป่าเล่อไม่ได้ต้องการให้แขนยอมแพ้ คิดเพียงแต่อยากจะนำมาใช้ให้ได้เท่านั้น


สิ่งเดียวที่ชายหนุ่มคิดว่าจะเป็นปัญหาก็คือพลังงานและแรงสะท้อนกลับจากการใช้แขนข้างนั้นเท่านั้น เป็นเหตุว่าทำไมเขาจึงเลือกที่จะนำแขนมาหลอมรวมกับเกราะจักรพรรดิลักอัคคี เพื่อให้แขนไปดูดกินพลังงานจากเกราะแทน แถมความเสียหายจากแรงสะท้อนกลับก็จะไปอยู่บนเกราะแทนอีกด้วย


หมายความว่า ไม่เพียงแต่หวังเป่าเล่อจะได้พลังของแขนมาใช้ แต่เขายังลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บลงไปได้มากโข เป้าหมายและแผนการในครั้งนี้ของหวังเป่าเล่อถือได้ว่าเสร็จสมบูรณ์


แม้ว่าจะไม่ได้เป็นการผสานรวมที่สมบูรณ์แบบ แต่หวังเป่าเล่อก็ยังพอใจกับผลที่ออกมาอยู่ไม่น้อย ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าจุดตันเถียนและเส้นใยสีขาวภายในเกราะจักรพรรดิลักอัคคีนั้นรีบเคลื่อนที่เข้าไปในแขนทันที ทำให้ดูราวกับว่าแขนเป็นส่วนหนึ่งของชุดเกราะไป ความข้องเกี่ยวกันอย่างเหนียวแน่นนี้ทำให้ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงดวงจิตที่อยู่ในแขนที่หักข้างนั้น ที่อยู่ในสภาวะหลับลึก


เฉกเช่นเดียวกับวิญญาณวุธ เพราะเหตุใดไม่ทราบแน่ แต่มันก็ยังคงหลับใหล ดูเหมือนว่าจะไม่รู้ถึงการล่วงล้ำของเกราะจักรพรรดิลักอัคคีแม้แต่น้อย


ตราบใดที่ดวงจิตนี้ยังคงอยู่ ข้าก็ไม่อาจจะเป็นเจ้าของและครอบครองแขนข้างนี้ได้โดยสมบูรณ์…แต่ข้าก็ไม่ได้รีบร้อนสักเท่าใด เมื่อใดที่ข้าบรรลุขั้นจุติวิญญาณค่อยมาลองขับไล่มันดูอีกครั้งหนึ่งก็แล้วกัน หวังเป่าเล่อคิด จากนั้นจึงก้มศีรษะลงมองแขนขวาที่ติดอยู่กับเกราะจักรพรรดิของเขาก่อนจะยิ้มออกมาได้


ชายหนุ่มสวมใส่ชุดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีอยู่ และมีเกราะกำบังเกิดขึ้นทั่วทั้งกาย ยกเว้นแต่บริเวณแขนขวา ที่ขณะนี้บวมเป่งจนน่าสะพรึงกลัว! หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึก ไม่ใส่ใจกับต้นไม้ยักษ์ที่ยังคงตกตะลึงกับการผสานรวมกับแขนของเขา หวังเป่าเล่อเรียกใช้พลังปราณและเพิ่มพลังเกราะจักรพรรดิลักอัคคีจนถึงขีดสุด ทันใดนั้นชุดเกราะก็ถูกอาบท่วมไปด้วยสีแสงสด


รัศมีแห่งความกระหายเลือดปะทุปกคลุมอากาศ คลื่นพลังงานที่รุนแรงยิ่งกว่าระดับพลังปราณของหวังเป่าเล่อถูกปลดปล่อยออกมา นัยน์ตาของชายหนุ่มส่องประกาย ก่อนที่เขาจะนำเอาปราณวิญญาณทั้งหมดจากเกราะจักรพรรดิลักอัคคีเข้ามาอยู่ในแขนขวา พลางพยายามหลบเลี่ยงดวงจิตที่หลับใหลอยู่ แขนขวาเริ่มจะสั่นไหวด้วยความช่วยเหลือจุดตันเถียนและเส้นใยสีขาว วินาทีถัดมา…หวังเป่าเล่อก็เริ่มรู้สึกว่าแขนขวาของเกราะนั้นกลายมาเป็นแขนของเขาเอง


มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในใจ ต้นไม้ยักษ์เฝ้ามองอย่างไม่เชื่อสายตาขณะที่เกราะจักรพรรดิลักอัคคีกำมือขวาเข้าเป็นกำปั้นอย่างยากเย็น!


พลังอันน่าตื่นตะลึงปะทุออกมาจากกายของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นไปแปรเปลี่ยนท้องฟ้า สายลมพัดคะนองคลั่ง หมู่เมฆเลื่อนไหลหมุนวน และทะเลเพลิงที่รายล้อมพวกเขาอยู่ก็เริ่มขยับเป็นจังหวะเดียวกันกับพลังที่ไหลบ่าออกมา


พลังอันน่าตื่นตะลึงของรัศมีทำเอาหวังเป่าเล่อหายใจติดขัด พลังนั้นไม่ออกมาจากร่างของเขาแต่มาจากแขนขวาของเกราะ หวังเป่าเล่อสงบใจลงอย่างรวดเร็ว สายตาของเขาเปล่งประกายด้วยความยินดี อาจจะโชคร้ายอยู่สักหน่อยที่เขาไม่อาจจะควบคุมแขนได้โดยสมบูรณ์ แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าใดนัก


ข้าไม่สนใจหรอก ตราบใดที่ข้าสามารถใช้แขนได้ก็ถือว่าสำเร็จ อีกอย่าง ตอนนี้แขนก็อยู่ในการครอบครองของข้า มันจะหนีไปไหนเสียได้ หวังเป่าเล่อเฝ้ามองผลของพลังอันยิ่งใหญ่ที่แขนมีต่อสิ่งรอบข้างอย่างตื่นเต้น เขาสุดจะลิงโลดใจกับพลังมหาศาลที่ปลดปล่อยออกมาจากมือข้างขวา พลังนี้สามารถจะทลายทุกสิ่งที่ขวางทางได้เมื่อถูกปลดปล่อยออกมา!


หวังเป่าเล่อเต็มล้นไปด้วยความยินดี ชายหนุ่มเชื่อว่าหากเขามีโอกาสได้ต่อสู้กับซุนไห่อีกครั้ง เขาก็คงไม่ต้องออกแรงมากนัก เพียงแค่หมัดเบาๆ…อีกฝ่ายก็จะต้องย่อยยับและการต่อสู้ก็จะจบลงทันที!


หวังเป่าเล่อไม่ได้ทดสอบพลังของกำปั้นแต่อย่างใด แต่เพียงแค่การกำหมัดก็ยังปล่อยพลังมหาศาลที่เปลี่ยนแปลงท้องฟ้าและผืนแผ่นดินรอบกายเขา ต้นไม้ยักษ์ที่แม้จะยืนอยู่ห่างออกไประยะหนึ่งก็ยังตัวสั่นเทาอย่างควบคุมไม่ได้ พลังปราณของเขาถูกสะกดเอาไว้ด้วยการแสดงพลังก่อนหน้า ศีรษะเขาตื้อตึง ดูราวกับว่าว่าหวังเป่าเล่อมีพลังจะทำลายทั้งร่างกายและวิญญาณของเขาได้ด้วยการใช้หมัดขวาชกใส่เพียงครั้งเดียว


ต้นไม้ยักษ์รู้สึกหวาดกลัวหวังเป่าเล่อเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก ขณะที่เขายืนตัวสั่นอยู่นั่นเอง นัยน์ตาของชายหนุ่มก็ส่องประกายวาบขึ้นมา หวังเป่าเล่อหันมาทางต้นไม้ยักษ์และพูดขึ้นอย่างปุบปับด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เอาของที่เจ้าหยิบมาจากหลุมฝังศพนั้นมาให้ข้าดูเสีย”


ต้นไม้ยักษ์รู้สึกว่าสมองตื้อชาหลังจากที่ได้ยินคำของหวังเป่าเล่อ เขาทั้งวิตกกังวลและไม่แน่ใจเพราะสัมผัสอันตรายเมื่อครู่ยังไม่จางหาย ก่อนจะหยิบเอากระเป๋าคลังเก็บทุกใบออกมาอย่างไม่รีรอ ถึงกับยอมปลดเสื้อผ้าออกให้ดูว่าไม่ได้ซ่อนเร้นสิ่งใดเอาไว้อีก ก่อนจะละล่ำละลักออกมาว่า


“ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้ซ่อนสิ่งใดไว้กับตัวเลย กระเป๋าคลังเก็บทั้งหมดที่ข้ามีก็อยู่ตรงนี้แล้ว ท่านตรวจสอบดูได้ ท่านจะลงโทษข้าอย่างใดก็ได้หากท่านพบว่าข้าซุกซ่อนสิ่งใดเอาไว้อีก!”


หวังเป่าเล่อยกมือซ้ายขึ้นคว้าอากาศด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ บรรดากระเป๋าคลังเก็บก็พุ่งตัวเข้าไปหาเขาทันที ชายหนุ่มตรวจสอบกระเป๋าทีละใบจนแน่ใจว่าต้นไม้ยักษ์ไม่ได้ซ่อนสมบัติจากหลุมฝังศพเอาไว้ ชายหนุ่มไม่ได้แสดงอะไรออกมาทางสีหน้าแม้แต่น้อย เขาเงยหน้าขึ้นจ้องมองต้นไม้ยักษ์เป็นเวลานาน ก่อนจะเรียกใช้พลังจากแขนขวาอีกครั้ง ต้นไม้ยักษ์กลัวจนตัวสั่น หวังเป่าเล่อเอ่ยออกมาอย่างเนิบช้าว่า “เล่าให้ข้าฟังเสียว่าเจ้าเห็นอะไรบ้างในหลุมฝังศพนั้น!”


ต้นไม้ยักษ์ตัวสั่นด้วยความกลัว ก่อนจะเริ่มเล่าอย่างรวดเร็วด้วยความกลัวว่าชายหนุ่มจะไม่เชื่อสิ่งที่เขาพูด


“ผู้อาวุโสขอรับ ภายใต้หลุมฝังศพนั้นมีวังใต้ดินอยู่ หมอกสีเขียวเข้มข้นเกินไป ข้าไม่อาจเข้าใกล้ชั้นนั้นได้ ข้าเข้าไปลึกที่สุดตรงบริเวณที่พบแขนที่หักสะบั้นข้างนั้นและแขนนั้นก็เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่หยิบออกมาได้ ข้าไม่อาจจะล่วงรู้ว่ามีสิ่งใดอยู่ภายในวังแห่งนั้นขอรับ”


“ข้าคิดจะแอบลอบเข้าไปในวังและบันทึกทุกสิ่งที่ข้าได้ยินด้วยแหวนสื่อสาร แต่ทว่าแหวนก็ไม่อาจจะใช้การได้…” ขณะนั้น ต้นไม้ยักษ์กังวลหนักว่าหวังเป่าเล่อจะไม่เชื่อที่เขาพูด จึงรีบนึกย้อนกลับไปในความทรงจำ ณ ช่วงเวลานั้นอย่างเร่งรีบ ก่อนจะนึกถึงบางสิ่งขึ้นมาได้และเริ่มเล่าต่อ


“มีอีกสิ่งหนึ่งขอรับ ข้าเห็นแผ่นหินข้างในนั้นเช่นกัน หมอกหนานัก ข้าจึงไม่อาจจะมองเห็นสิ่งที่สลักอยู่ได้ชัดเจน ข้าเห็นเพียงแค่สี่คำคือ ศิษย์แห่งเต๋าเฉิน… เหตุที่ข้าอ่านออกก็เพราะว่าพวกเราพันธุ์กล้ารุ่นที่สามนั้นต้องเรียนภาษาพูดและเขียนของสำนักวังเต๋าไพศาลก่อนจะออกเดินทาง” ต้นไม้ยักษ์อธิบายอย่างเร่งรีบ เขาพูดตามจริงและไม่ปิดบังสิ่งใดจากหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย หลังจากที่พูดจบ เขาก็ยืนนิ่งจ้องมองหวังเป่าเล่อ ในใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความกลัวและวิตกกังวล


หวังเป่าเล่อชะงักเมื่อได้ยินต้นไม้ยักษ์พูดถึง “ศิษย์แห่งเต๋าเฉิน” นัยน์ตาของเขากระตุกและศีรษะก็เริ่มเวียน ราวกับว่าถูกฟ้าผ่าก็ไม่ปาน โชคยังดีที่ชายหนุ่มยังปลอดภัยอยู่ภายใต้เกราะจักรพรรดิ ซ่อนจากสายตาของต้นไม้ยักษ์ หาไม่แล้ว ต้นไม้ยักษ์ที่ฉลาดเฉลียวอยู่ไม่น้อยคงจะต้องรู้สึกสงสัยเป็นแน่


ต้นไม้ยักษ์ก็ยังคงไม่รู้ต่อไป ในขณะที่หวังเป่าเล่อนั้นตื่นตะลึงกับข้อมูลใหม่ที่เพิ่งได้รับมา ต้นไม้ยักษ์ไม่ระแคะระคายเกี่ยวกับคำไม่กี่คำที่ได้เห็นมานี้ แต่หวังเป่าเล่อคิดอะไรบางอย่างออกทันทีที่ได้ยิน


“ศิษย์แห่งเต๋าอู๋เฉิน…” หวังเป่าเล่อพึมพำกับตัวเองอยู่เงียบๆ ชายหนุ่มก้มลงมองแขนขวาของตนอย่างไม่เชื่อสายตา ชายหนุ่มไม่อยากจะเชื่อตนเอง


บัดซบ…นี่ข้าไปรุกรานหลุมฝังศพของหลี่อู๋เฉินในชาติปางก่อนอย่างนั้นหรือ


ความคิดนี้ทำเอาหวังเป่าเล่อร้อนรน ชายหนุ่มยังไม่อาจหยุดคิดเรื่องนี้ได้เลยขณะที่นำตัวต้นไม้ยักษ์กลับออกไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล


แขนข้างนี้เป็นของหลี่อู๋เฉินในชาติปางก่อนอย่างนั้นหรือ ถ้าใช่ ในชีวิตก่อนหน้านี้นั้นเขาทรงพลังสักเพียงใดกัน…หวังเป่าเล่อคิดหนัก ดูเหมือนว่าเขาจะรนหาที่ตายเสียแล้ว ความบาดหมางก่อนหน้าระหว่างเขากับหลี่อู๋เฉินก็ยังไม่เสื่อมสลายไป เมื่อมารวมกับสิ่งนี้ ความแค้นระหว่างทั้งสองก็ดูเหมือนจะเพิ่มเป็นเท่าทวีคูณ


แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจจะทิ้งขว้างแขนนั้นไปได้ง่ายๆ หวังเป่าเล่อคิดไม่ตก เพราะเขาไม่อาจจะสังหารหลี่อู๋เฉินได้ เหตุผลแรกเพราะเฟิ่งชิวหรันรู้ว่าหลี่อู๋เฉินเป็นใคร ข้อสอง สถานการณ์ยังไม่บีบบังคับให้เขาถึงกับต้องสังหารอีกฝ่าย อีกอย่างหนึ่ง หากพวกเขาเกิดจะต้องประมือกันขึ้นมาจริงๆ หลี่อู๋เฉินก็เป็นถึงศิษย์แห่งเต๋าในชาติปางก่อน หวังเป่าเล่อเชื่อว่าหลี่อู๋เฉินต้องมีกลเม็ดเด็ดพรายที่ซ่อนเอาไว้เพื่อใช้ในการเอาชีวิตรอดอยู่เป็นแน่


แม้ว่าตัวหลี่อู๋เฉินเองก็อาจจะไม่รู้ว่าเขามีวิชาซ่อนเร้นอยู่จนกว่าจะได้รับความทรงจำจากชีวิตที่แล้วกลับคืนมา แต่ความจริงข้อนั้นก็ทำให้หลี่อู๋เฉินเป็นคู่ปรับที่น่ากลัวทีเดียว


ช่างยุ่งยากเสียจริง ข้าต้องหาวิธีป้องกันตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้หลี่อู๋เฉินมาทำอะไรข้าได้ แม้ว่าเมื่อได้ความทรงจำคืนมาแล้วก็ตาม…


หวังเป่าเล่อได้แต่ลอบถอนใจ ชายหนุ่มไม่ได้มีอารมณ์จะไปตอแยกับต้นไม้ยักษ์อีก กลับกัน เขากลับนิ่งเงียบและคิดอยู่คนเดียวพลางเดินทางกลับไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล ต้นไม้ยักษ์ตามหลังมา และลอบถอนใจเงียบๆ เขาเองก็มีความกังวลใจที่คล้ายคลึงกัน สำนักวังเต๋าไพศาลแห่งเป็นสถานที่ที่อันตรายเกินไปสำหรับเขา ทำให้ต้องคิดหาทางทำให้มันปลอดภัยขึ้นให้ได้ แถมยังต้องสร้างคุณค่าไม่ให้ให้หวังเป่าเล่อสังหารเขาทิ้งทันทีที่หมดประโยชน์


ต้นไม้ยักษ์ครุ่นคิดอยู่เป็นนานก่อนจะนึกขึ้นมาได้ถึงเรื่องอื้อฉาวที่เขาเคยได้ยินเมื่อครั้งอยู่บนดาวอังคาร เกี่ยวกับหวังเป่าเล่อและลูกสาวหัวหน้าเสนาบดี หลี่หว่านเอ๋อร์ ความคิดหนึ่งสว่างวาบขึ้นในใจ ต้นไม้ยักษ์เอื้อนเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใย


“ผู้อาวุโส ในช่วงสองปีที่ท่านอยู่บนสำนักวังเต๋าไพศาลมา ข้าได้รับอุปการะลูกบุญธรรมคนหนึ่ง นางนิยมชมชอบท่านเป็นอย่างยิ่ง ท่านจะช่วยเรียกนางมาพร้อมกับคนจากสหพันธรัฐรุ่นต่อไปได้หรือไม่ เพื่อที่นางจะได้ติดตามและดูแลท่านไม่ให้ขาดตกบกพร่อง”


บทที่ 627 ข้ามีแผน!

“นี่เจ้าเล่นลูกไม้อะไรอีก” หวังเป่าเล่อชะงัก ก่อนจะหันกลับไปมองต้นไม้ยักษ์เขม็งพลางพ่นลมออกมาทางจมูก


“เจ้าจะใช้สตรีมายั่วยวนข้าอย่างนั้นหรือ ข้าเป็นถึงผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาล ข้าจะไปทำ… ฮืม” หวังเป่าเล่อขมวดคิ้ว ชายหนุ่มกำลังจะรับบทบาทผู้ทรงคุณธรรมก่อนจะดุด่าต้นไม้ยักษ์ แต่ก็พลันหยุดชะงัก กะพริบตา ก่อนจะนิ่งเงียบครุ่นคิด


ต้นไม้ยักษ์สังเกตเห็นปฏิกิริยาที่รุนแรงจากหวังเป่าเล่อแล้วก็ลอบถอนใจอยู่ลับๆ ดูเหมือนว่าเขาจะล้ำเส้นไปแล้ว การตัดสินใจที่หุนหันทำให้เขาเผยแผนที่แท้จริงออกไป


หวังเป่าเล่อนี่ไม่ใช่คนที่ต่อรองด้วยได้ง่ายๆ จริงๆ…ต้นไม้ยักษ์รำพึงกับตนเอง เขาเพิ่งมารู้สึกตัวว่าควรจะใช้วิธีอื่นในการชนะใจอีกฝ่าย หวังเป่าเล่อนั้นมีทั้งสติปัญญาและทรัพย์สินเงินทอง ราวกับว่าต้นไม้ยักษ์กำลังพยายามจะต่อรองกับคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกระนั้น


ขณะที่ต้นไม้ยักษ์กำลังจมดิ่งอยู่ในความคิด ลมหายใจของหวังเป่าเล่อก็เริ่มจะถี่เร็วขึ้น นัยน์ตาของชายหนุ่มฉายแววกล้าขณะที่สมองก็เริ่มทำงานอย่างหนัก คำพูดของต้นไม้ทำให้เขาคิดแผนออกมาได้แผนหนึ่ง!


หากข้ามีลูกบุญธรรมบ้าง แล้วให้นางไปเป็นเนื้อคู่แห่งเต๋ากับหลี่อู๋เฉิน เขาก็จะต้องเคารพข้าและเรียกข้าว่าพ่อบุญธรรมทุกๆ ครั้งที่พบกัน…


ต่อให้เขาได้ความทรงจำกลับคืนมาและกลายมาเป็นศิษย์แห่งเต๋า เขาก็ยังต้องเคารพข้าอยู่นั้นเอง…หวังเป่าเล่อเริ่มตื่นเต้นกับแผนการณ์นี้ ถือว่าเป็นการรับรองความปลอดภัยหากเขาสามารถทำได้สำเร็จ ไม่ว่าหลี่อู๋เฉินจะแข็งแกร่งเพียงใด หวังเป่าเล่อก็จะเป็นผู้ใหญ่สำหรับเขาไปตลอด


ต้องได้ผลแน่นอน!


หวังเป่าเล่อหายใจถี่ ชายหนุ่มแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้าจนต้นไม้ยักษ์แอบมองเห็น ทำให้อีกฝ่ายถึงกับชะงักงันไป ต้นไม้ยักษ์เริ่มสงสัยเมื่อหวังเป่าเล่อระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดั่งสนั่น ชายหนุ่มยกมือตบไหล่ต้นไม้ยักษ์อย่างแรง สายตาเปี่ยมไปด้วยความยอมรับ


“ต้นหอมหมื่นลี้สหายร่วมสำนักเต๋าเอ๋ย ท่านช่างเปี่ยมไปด้วยประสบการณ์แถมยังช่างสังเกต เก่งมาก ดีมาก ข้าคาดหวังกับท่านสูงจริงๆ!” หวังเป่าเล่อหัวเราะออกมาเสียงดัง ก่อนจะยกมือไพล่หลัง แล้วเดินจากไปอย่างอารมณ์ดี ทิ้งให้ต้นไม้ยักษ์ยืนกะพริบตาจ้องมองอยู่เบื้องหลัง ต้นไม้ยักษ์เริ่มจะสงสัยมากขึ้นทุกที เขาครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะเริ่มสงสัยว่าหวังเป่าเล่อกำลังบอกใบ้อะไรเขาอยู่หรือเปล่า…


หวังเป่าเล่อเมินต้นไม้ยักษ์ผู้กำลังคาดเดาสถานการณ์ไปต่างๆ นาๆ ไปเสียสิ้น ชายหนุ่มเริ่มก้าวย่างต่อไปพร้อมกับวาดฝันแผนการณ์สมบูรณ์แบบอยู่ในใจ ยิ่งเขาคิดเรื่องนี้มากเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามันช่างสมเหตุสมผลมากขึ้นเท่านั้น ด้วยความตื่นเต้น หวังเป่าเล่อก็เริ่มคิดถึงบุคคลที่เหมาะสมจะมาเป็นลูกบุญธรรมของเขา คนแรกที่เขานึกไปถึงคือหลี่อี้


ไม่ได้ๆ นางหน้าอกใหญ่แต่ไร้สมอง หากข้ารับนางมาเป็นลูกบุญธรรมแล้วจับคู่นางกับหลี่อู๋เฉิน นางจะต้องบังคับหลี่อู๋เฉินให้กำจัดข้าแน่นอน ต่อให้ข้าเป็นพ่อแท้ๆ ของนางก็เถอะ!


หวังเป่าเล่อส่ายศีรษะดิก ชายหนุ่มคิดอยู่ชั่วอึดใจและจึงนึกถึงหญิงสาวอารมณ์ร้อนจากสำนักสหชุมนุมสกุณาขึ้นมาได้ คนที่ตัวสูงใหญ่ รูปร่างกำยำ และโผงผางตรงไปตรงมา นางดูจะเป็นคู่ที่เหมาะกันดีกับหลี่อู๋เฉิน


นางก็ไม่ได้ หลี่อู๋เฉินชอบสาวงามตามขนบ หากข้าจับคู่เขากับนาง…เขาอาจจะเกลียดข้ายิ่งกว่าเดิมก็เป็นได้ หวังเป่าเล่อเริ่มปวดศีรษะ ชายหนุ่มไม่ค่อยมีหัวเรื่องการเมืองในแง่นี้เท่าใดนัก เขาเหลือบตาออกไปมองด้านข้าง ก่อนที่จะตาเป็นประกายเมื่อมองไปเห็นต้นไม้ยักษ์


ตาเฒ่าคนนี้ดูเหมือนจะมีความคิดชั่วๆ อยู่เต็มศีรษะ ข้าควรจะมอบหมายงานนี้ให้กับเขา เขาจะต้องทำได้ดีแน่นอน หวังเป่าเล่อยิ้มออกมาได้ ชายหนุ่มจ้องมองไปทางต้นไม้ยักษ์ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร


“สหายร่วมสำนักเต๋าต้นหอมหมื่นลี้”


ต้นไม้ยักษ์กำลังจมจ่อมอยู่ในความคิดพลางจ้องมองดูหวังเป่าเล่ออย่างระแวดระวังอยู่ตลอด เมื่อมองเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของหวังเป่าเล่อ ก็มีความคิดหนึ่งแล่นผ่านศีรษะเขาอย่างรวดเร็ว เขาหยุดหายใจไปชั่วขณะ ก่อนจะรีบกุลีกุจอยกมือคารวะ


“ท่านเรียกข้าว่า ‘สหายร่วมสำนักเต๋า’ นั้นมากมายเกินไป ตัวข้ามิบังอาจรับตำแหน่งดังกล่าวได้ ผู้อาวุโส โปรดเรียกข้าว่า ‘ต้นหอมหมื่นลี้น้อย’ เถิดขอรับ”


หวังเป่าเล่อพึงใจกับความถ่อมตัวของต้นไม้ยักษ์ เจ้าต้นไม้ยักษ์นี่ก็ไม่เลวเลย ทั้งทำตามคำสั่งแถมยังรู้จักที่ต่ำที่สูง ทำให้หวังเป่าเล่อพอใจจนต้องยิ้มออกมาอ่อนๆ


“ตกลง ต้นหอมหมื่นลี้น้อย ข้ามีงานให้เจ้าทำ”


“ข้าน้อยพร้อมน้อบรับคำบัญชา!” ต้นไม้ยักษ์ตัวสั่น ก่อนจะตอบอย่างหนักแน่นและเคารพนบนอบเป็นที่สุด


“งานนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ข้ามีเพื่อนอยู่คนหนึ่งที่อยู่ในกลุ่มผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐกลุ่มที่สาม เจ้าน่าจะเคยได้ยินชื่อเขา เขาเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักศึกษาเต๋าศักดิ์สิทธิ์ หลี่อู๋เฉิน” หวังเป่าเล่อพูดอย่างแช่มช้า ขณะที่จ้องมองต้นไม้ยักษ์ไปด้วย


ต้นไม้ยักษ์ไม่กล้าคาดเดาอะไรไปก่อน และยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยอยู่เช่นนั้น เขาไม่กล้าถามคำถามหรือสงสัยความสัมพันธ์ระหว่างหวังเป่าเล่อกับหลี่อู๋เฉิน เขารู้เพียงอย่างเดียวว่าต้องการจะสร้างเกราะป้องกันให้กันตนเอง เขาจะต้องไม่ถามคำถามและไม่คาดเดาอะไรไปมากมาย สิ่งเดียวที่ต้องทำก็คือทำตามคำสั่งของหวังเป่าเล่อเท่านั้น


“ข้ารู้จักศิษย์น้องหลี่อู๋เฉินมาเป็นเวลาพักใหญ่แล้ว ตัวเขาเองไม่มีคู่ครองมานานหลายปี ข้าทนเห็นเขาเหงาใจอยู่เช่นนี้ไม่ได้ ทำไมเจ้าไม่จัดการหาศิษย์สตรีมาให้เขารู้จักเล่า…เจ้าเข้าใจที่ข้ากำลังจะสื่อหรือไม่” ตามหลักการของอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องพูดจาสั่งการให้เป็นกิจลักษณะในทุกๆ เรื่อง นอกจากจะเป็นการทดสอบความรอบรู้ของลูกน้องแล้ว ยังเป็นการป้องกันตนเองไปในตัวด้วย


หวังเป่าเล่อยึดหลักการนี้เมื่อเขาพูดกับต้นไม้ยักษ์


ต้นไม้ยักษ์นั้นเคยเป็นถึงรองเจ้านครอาณานิคมแห่งดาวอังคาร แม้จะไม่ได้เป็นมนุษย์มาจากสหพันธรัฐ แต่ก็ดำรงตำแหน่งอยู่หลายต่อหลายปี เขายังฉลาดเฉลียวแถมยังรู้นอกในของสหพันธรัฐเป็นอย่างดี เมื่อได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนั้น และได้ใคร่ครวญอยู่ชั่วอึดใจ ต้นไม้ยักษ์ก็ยกมือขึ้นประสานและรับคำทันที


“ผู้อาวุโสขอรับ ความห่วงใยที่ท่านมีต่อหลี่อู๋เฉินอย่างจริงใจซาบซึ้งใจข้ายิ่งนัก ข้าเป็นคนใหม่ในสำนักวังเต๋าไพศาลแถมยังไม่รู้จักนิสัยใจคอว่าหลี่อู๋เฉินชอบสิ่งใด ข้าคงจะต้องขอรบกวนท่านบ่อยๆ ข้าต้องขออนุญาตและขออภัยล่วงหน้าด้วย”


นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเป็นประกายเมื่อได้ยินสิ่งที่ต้นไม้ยักษ์พูด ความหมายโดยตรงของคำพูดเหล่านั้นไม่สำคัญเท่าความหมายแฝง ต้นไม้ยักษ์กำลังบอกหวังเป่าเล่อว่าเขารู้แผนของชายหนุ่มดีและจะจับตาดูหลี่อู๋เฉินพร้อมรายงานทุกความเคลื่อนไหว รวมไปถึงว่าศิษย์สตรีคนใดที่อีกฝ่ายเลือกจะสายสัมพันธ์ด้วย


“สภาพแวดล้อมที่เงียบสงบและปลอดภัยสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ฝึกตนในระดับสูงเช่นข้า ได้โปรดอย่ารบกวนการฝึกปราณของข้าบ่อยนักเล่า” หวังเป่าเล่อพูดอย่างเนิบๆ ก่อนจะหันหลังเดินจากไป


ต้นไม้ยักษ์พยักหน้ารับรู้ เขาได้แปลสิ่งที่หวังเป่าเล่อเพิ่งพูดมาในใจเรียบร้อย ชายหนุ่มบอกเขาเป็นนัยๆ ว่า…เขาควรจะจับตาดูหลี่อู๋เฉินไว้ และไม่ต้องกังวลเรื่องการรบกวนหวังเป่าเล่อ ต้นไม้ยักษ์ควรต้องคิดหาทางทำงานให้สำเร็จเท่านั้น หาไม่แล้ว ต้นไม้ยักษ์เองจะได้สัมผัสกับสภาพแวดล้อมการฝึกปราณที่อันตรายและไม่เงียบสงบอย่างแน่นอน


ทั้งคู่เดินทางอย่างรวดเร็วมาเป็นเวลาร่วมสองสัปดาห์จนในที่สุดก็กลับมาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล ทันทีที่กลับมาถึง ต้นไม้ยักษ์ก็จัดแจงไปทำตามประสงค์ของหวังเป่าเล่อในทันที เขาได้วางแผนอย่างละเอียดเอาไว้ตั้งแต่ช่วงการเดินทางขากลับ ต้นไม้ยักษ์ได้รับการหนุนหลังจากผู้อาวุโสสูงสุด ทำให้อะไรๆ ก็เป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา


ระดับปราณที่สูงพอควรทำให้ต้นไม้ยักษ์ยักษ์เป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งที่สุดจากสหพันธรัฐรองจากหวังเป่าเล่อและประมุขสำนักสวี สำนักวังเต๋าไพศาลเองก็ได้ทำการศึกษาต้นไม้ยักษ์มาพอสมควรเช่นกัน พวกเขารู้ว่าชายคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ และไม่ได้มีร่างกายที่ประกอบขึ้นมาจากเลือดเนื้อเช่นคนธรรมดา เขาเคยเป็นต้นไม้ที่ได้พัฒนาตนขึ้นมาเป็นผู้ฝึกปราณ และยังมีคุณสมบัติแปลกประหลาดอีกหลายประการด้วยกัน


ในช่วงหลายวันต่อมา หวังเป่าเล่อก็ปล่อยวางเรื่องนี้และหันไปเริ่มฝึกปราณต่อ เขาอยากจะใช้แขนขวาของศิษย์แห่งเต๋าที่เพิ่งจะผสานรวมกับเกราะจักรพรรดิให้เคยชิน ชายหนุ่มทดลองใช้พลังของแขนอยู่หลายครั้งเพื่อทดสอบขีดจำกัดของพลัง และความทนทานของตัวเขาเองด้วย


หลังจากที่ทดลองไปหลายครั้ง หวังเป่าเล่อก็สรุปว่าเขาสามารถใช้พลังจากแขนได้สามครั้ง การโจมตีแต่ละครั้งนั้นทั้งน่ากลัวและน่าตื่นตาตื่นใจพอๆ กัน เป็นการโจมตีที่เปี่ยมล้นไปด้วยพลัง…ที่จะทำลายซุนไห่จนไม่เหลือแม้แต่ซาก!


ความชำนาญของหวังเป่าเล่อในการใช้กระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงและดัชนีอัสนีนิรันดร์ก็เพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน ยิ่งไปกว่านั้น การผสานรวมเอาแขนข้างนั้นและเกราะจักรพรรดิสร้างแรงบรรดาลใจให้ชายหนุ่ม เขาดึงเอาศพของอสูรเขี้ยวดาราในระดับจิตวิญญาณอมตะที่เขาเก็บกู้มาจากดาวอสูรเขี้ยวดาราออกมา และพยายามจะผสานรวมศพนั้นสองนั้นเข้ากับเกราะ ความพยายามนี้ไม่เป็นผลสำเร็จ


บางทีที่ข้าทำสำเร็จอาจเป็นเพราะว่าแขนที่หักข้างนั้นเป็นอาวุธเวทกระมัง หวังเป่าเล่อคิด แม้ว่าจะไม่ค่อยเต็มใจ แต่ชายหนุ่มก็ต้องยอมแพ้ เขาใช้สถานะผู้อาวุโสเพื่อหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการหลอมหุ่นเชิด แม้จะได้ข้อมูลมาบ้าง แต่หวังเป่าเล่อก็ยังต้องการเวลาเพื่อจะค้นคว้าและทำการทดลองเพิ่มเติมเพื่อทำให้สำเร็จ


สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือการเตรียมตัวสำหรับการบรรลุขั้นจุติวิญญาณเท่านั้น!


สิทธิพิเศษในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดของหวังเป่าเล่อทำให้เขาสามารถเข้าถึงจารึกที่พูดถึงวิธีการบรรลุขั้นจุติวิญญาณได้มากมาย รวมไปถึงจารึกที่พูดเรื่องประเภทของวิญญาณจุติ ซึ่งมีอยู่กว่า 300 ชนิดด้วยกัน ทั้งหมดแตกต่างกันออกไปเล็กน้อย การตัดสินใจเลือกวิญญาณจุติประเภทหนึ่งอาจจะกำหนดอนาคตของผู้ฝึกตนได้เลยทีเดียว


หวังเป่าเล่ออ่านข้อมูลเกี่ยวกับวิญญาณจุติหลากหลายประเภทเพื่อประกอบการตัดสินใจ ชายหนุ่มถึงกับเรียกแม่นางน้อยมาถาม นางให้ชื่อวิญญาณจุติมาหลากหลายชนิด จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงเปี่ยมประสบการณ์ว่า หากหวังเป่าเล่อสามารถหลอมหนึ่งในบรรดาวิญญาณจุติที่นางเสนอมาสิบกว่าชนิดนี้ได้ นางก็จะมีวิธีช่วยยกระดับคุณภาพของวิญญาณนั้นให้ได้ จะเป็นการเกื้อกูลอนาคตของหวังเป่าเล่อได้อย่างมากทีเดียว!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)