ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 62-69
ตอนที่ 62 เครื่องหมายลึกลับ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ในขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงก็รู้สึกได้ว่าแรงดึงดูดแปลกประหลาดที่อยู่บนมือได้หายไปแล้ว เขารีบดึงมือทั้งสองออกจากหัวของแมงป่องกระดูกขาวด้วยความดีใจ
แต่ในขณะนั้นเอง ฟองอากาศตรงทะเลจิตวิญญาณค่อยๆ เคลื่อนไหวแล้วแตกกระจายออกมาเองราวกับกระจก
หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีเสียงดัง “หวึ่ง!” ศีรษะหนักอึ้ง ตาทั้งสองมืดลง แล้วก็มาปรากฏตัวกลางห้องว่างเปล่าอันมืดครึ้ม
“นี่คือ…”
สายตาเขากวาดมองรอบด้าน แสดงสีหน้าสับปนเปออกมา
ที่แห่งนี้เป็นห้องว่างเปล่าลึกลับที่เคยขังเขาไว้เมื่อครึ่งปีก่อน
แต่พื้นที่บริเวณนี้ดูเหมือนจะกว้างกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย มีเส้นผ่าศูนย์กลางยาวยี่สิบกว่าจั้งแล้ว
แต่พอสายตาของเขามองไปยังด้านข้างก็ตกใจเป็นอย่างมาก
แมงป่องกระดูกขาวที่ถูกโซ่ตรวนวิญญาณมัดอยู่นั้นอยู่บริเวณใต้เท้าเขา มันทั้งดิ้นเอาชีวิตอยู่ไม่หยุดราวกับว่าฟื้นฟูพลังมาได้จำนวนหนึ่งแล้ว
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ตนเองเข้ามาที่นี่เพราะเจ้าฟองอากาศนั่นไม่ใช่เรื่องแปลก แต่แมงป่องกระดูกขาวตนนี้ทำไมมันถึงมาปรากฏที่นี่พร้อมกับเขาได้…หรือจะเป็นเพราะวิชาสื่อสารจิตวิญญาณที่เขาแสดงในก่อนหน้านั้น?” หลิ่วหมิงคิดวกกลับมาอย่างรวดเร็ว แต่ก็คงคิดได้แต่แบบนี้
แต่ไม่ว่าเรื่องนี้จะแปลกประหลาดสักเพียงใดก็ตาม เขาย่อมไม่ยอมให้แมงป่องกระดูกขาวตนนี้ดิ้นหลุดจากโซ่ตรวนวิญญาณได้ เขาเคลื่อนร่างในทันที มือข้างหนึ่งกดลงไปบนหัวของมันอย่างมั่นคง ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์บนข้อมือส่งเสียงดังขึ้น หัวพยัคฆ์สีเหลืองปรากฏขึ้นมากลางอากาศ คลื่นเสียงจำนวนหนึ่งพ่นออกมา
ถึงแม้แมงป่องกระดูกขาวจะร้ายกาจสักแค่ไหน แต่เมื่อถูกโจมตีประชั้นชิดเช่นนี้ ก็ส่งเสียงร้องออกมาอย่างเวทนาทันที แต่ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดจากการผูกมัดของโซ่ตรวนวิญญาณและอักขระบนหัวได้ มันได้แต่ดิ้นไหวไปมาอย่างไม่คิดชีวิต
ในสถานการณ์เช่นนี้ หลิ่วหมิงย่อมไม่ปราณีอะไรแล้ว เขากระตุ้นห่วงเขี้ยวพยัคฆ์อยู่ไม่หยุด คลื่นเสียงถูกส่งออกมาอย่างต่อเนื่อง
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา แมงป่องกระดูกขาวก็อ่อนแรงลงไปอย่างมาก
หลิ่วหมิงถึงได้ค่อยๆ รู้สึกโล่งใจขึ้นมา หลังจากใคร่ครวญเล็กน้อย ก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว เขานั่งขัดสมาธิลงแถวนั้น ปากร่ายคาถากระตุ้นวิชาสื่อสารจิตวิญญาณขึ้นมา
ถึงแม้เขาจะไม่รู้ว่าในห้องว่างเปล่าลึกลับนี้จะสามารถทำให้แมงป่องกระดูกขาวยอมศิโรราบได้หรือไม่ แต่ในเมื่อวิชาที่ฝึกมาตอนแรกมันใช้ได้ผลมันก็คุ้มค่าที่จะลองดูสักครั้ง
ไอสีดำม้วนตัวออกจากร่างหลิ่วหมิง อักขระสีเทามากมายไหลพรั่งพรูออกมาแล้วค่อยๆ เข้าไปยังหัวของปีศาจอีกครั้ง
ถึงแม้แมงป่องกระดูกขาวจะไร้พลัง แต่จิตที่ต่อต้านก็ยังแข็งแกร่ง ยังไม่คิดที่จะยอมศิโรราบเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงรู้ว่าตนเองจะถูกขังอยู่ที่นี่นานซักระยะหนึ่ง ดังนั้นย่อมไม่กังวลกับปัญหาเรื่องเวลา ยิ่งไปกว่านั้นในนี้ยังปลอดภัยกว่าที่ใดๆ ยิ่งไม่ต้องกังวลว่าจะมีเรื่องอะไรที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น เขาจึงแสดงวิชาอย่างสบายใจ
แต่พอเวลาๆ ค่อยผ่านไป สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้นมา
ครึ่งวันผ่านไป หลิ่วหมิงหยุดร่ายคาถาแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ และหลับตาพักผ่อนฟื้นฟูพลังเวท
หนึ่งวันผ่านไป เมื่อเขาลืมตาทั้งสองขึ้นมาอีกครั้ง แมงป่องกระดูกขาวก็เหมือนจะฟื้นฟูพลังขึ้นมาเล็กน้อย และกำลังเคลื่อนไหวอีกครั้ง
หลิ่วหมิงกระตุกห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ตรงข้อมืออย่างไม่ปราณี และโจมตีลงบนหัวแมงป่องกระดูกขาวอย่างหนักหน่วง จากนั้นก็แสดงวิชาสื่อสารจิตวิญญาณออกมา
เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ !
เวลาที่เหลืออีกหลายวัน ทุกวันเขาจะทรมาณแมงป่องกระดูกขาวสักพักหนึ่งก่อน ตามด้วยแสดงวิชาสื่อสารจิตวิญญาณ จากนั้นก็นั่งฟื้นฟูพลังเวท วันที่สองก็ทำซ้ำแบบนี้อีกครั้ง
สามวันผ่านไป พลังจิตในการต่อต้านของปีศาจตนนี้ถึงได้มีท่าทีอ่อนลง
มันทำให้เดิมทีที่หลิ่วหมิงคิดว่าไม่มีหวัง มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นมาเป็นร้อยเท่า
หลังผ่านการทรมาณต่อเนื่องมานานสองวัน แมงป่องกระดูกขาวตนนี้ก็ส่งจิตสื่อสารออกมาเพื่อที่จะบอกว่ายอมศิโรราบแล้ว
หลิ่วดีใจเป็นอย่างมาก รีบใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณสำแดงต่อจิตของแมงป่องกระดูกขาวรอบหนึ่ง แล้วประทับเครื่องหมายจิตวิญญาณของตนเองไว้ จนแน่ใจว่าสามารถสื่อสารจิตวิญญาณกับปีศาจตนนี้ได้แล้ว ถึงหยุดแสดงเคล็ดวิชาลับ
จากนั้นนิ้วมือนิ้วหนึ่งของเขาแตะลงไปบนร่างแมงป่องกระดูกขาว โซ่ตรวนวิญญาณก็คลายหลุดออกมา และพุ่งกลับไปหาเขา ในขณะเดียวกันอักขระบนหัวของมันก็กะพริบหายไป
แต่แมงป่องกระดูกขาวตนนี้ถูกทรมานติดต่อกันมาหลายวัน ถึงแม้จะไม่มีอะไรมัดไว้ก็ยังดูเหมือนจะหายใจแขม่วๆ อยู่
หลิ่วหมิงยิ้มน้อยๆ ไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้มากนัก เพราะรู้ว่าผ่านไปอีกไม่กี่วัน เจ้าปีศาจตนนี้ค่อยๆ ฟื้นฟูได้เอง และเริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรกับเวลาที่ยังเหลืออยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับนี้
หลายวันก่อน เขาได้เจียดเวลาลองกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำดู แต่ก็ยังคงไม่สามารถเพิ่มพลังเวทได้เลยแม้แต่น้อย
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงล้มความตั้งใจเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างเด็ดขาด ก็คงฝึกได้แค่การใช้วิชาอื่นๆ กับวิชาสื่อสารจิตวิญญาณ
สำหรับเคล็ดวิชาโซ่ตรวนวิญญาณนี้ ถึงแม้จะฝึกฝนจนสามารถพลิกแพลงใช้งานได้ดั่งใจ แต่ยังมีปัญหาเรื่องคุณสมบัติของวิญญาณ ซึ่งโซ่ตรวนวิญญาณแต่ละเส้นที่หลอมสร้างจากวิญญาณระดับแตกต่างกันจะมีคุณภาพแตกต่างกัน
หลิ่วหมิงย่อมไม่ยอมเสียเวลากับเรื่องนี้
ในส่วนของวิชาสื่อสารจิตวิญญาณนั้น ถ้าหากฝึกฝนจนถึงขั้นที่สูงขึ้นก็จะสามารถเพิ่มพลังในการควบคุมและการสื่อสารได้ เมื่อฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบแล้วก็อาจจะสามารถทำให้ปีศาจระดับแม่ทัพยอมศิโรราบได้
แต่หลังจากที่หลิ่วหมิงคิดชั่งใจแล้ว ก็ยังไม่คิดที่จะไปฝึกวิชาสื่อสารจิตวิญญาณ เขาตัดสินใจใช้เวลาที่เหลือฝึกวิชาพื้นฐานง่ายๆ
ด้วยระดับการฝึกฝนในตอนนี้ เขาย่อมสามารถฝึกวิชาแท่งวารี และวิชาขั้นสูงอื่นๆ ได้แล้ว แต่ที่ยังไม่ทำเช่นนี้เป็นเพราะว่า ประการแรกคืออยากจะฝึกวิชาคมวายุ และวิชาอื่นๆ ให้ถึงขั้นสมบูรณ์แบบก่อน ไม่อยากให้มันอยู่แค่ครึ่งๆ กลางเช่นนี้
ประการที่สองคือ วิชาขั้นสูงเหล่านั้นถึงแม้จะมีพลานุภาพอันน่าตกใจ แต่ใช้เวลาในการแสดงนานมาก ทั้งยังเพิ่มระดับความสามารถได้ยากมาก ในตอนนี้เขาคิดว่ามีโอกาสน้อยที่จะได้ใช้วิชาขั้นสูงเหล่านั้น ควรฝึกฝนวิชาพื้นฐานง่ายๆ ให้คล่องมือกว่าเดิมสักหน่อยดีกว่า
แต่ถ้าหากว่ามีเวลาพอ แน่นอนว่าเขาจะเลือกวิชาขั้นสูงสักวิชาสองวิชามาฝึกให้สำเร็จไปจนถึงขั้นที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไป ในสถานการณ์บางอย่างวิชาขั้นสูงสามารถสำแดงอานุภาพที่แข็งแกร่งกว่าที่คิดไว้มาก
หลังจากหลิ่วหมิงวางแผนในใจแล้วก็เริ่มต้นใช้เวลาที่เหลือฝึกฝนวิชาคมวายุ
วิชานี้ถูกเขาฝึกฝนจนถึงขั้นสำเร็จแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่ายังมีส่วนที่สามารถเพิ่มได้อีก ทำให้เขายิ่งรู้สึกแปลกใจมากกว่าเดิม ถ้าหากว่ายกระดับการฝึกฝนขึ้นไปอีกขั้นวิชาคมวายุนี้จะมีอานุภาพเช่นไร
ไม่นาน แมงป่องกระดูกขาวก็ฟื้นฟูตัวพอที่จะเคลื่อนไหวได้ และช่วงเวลาที่ผ่านมานี้นอกจากรูขนาดใหญ่ตรงตัวมันแล้วบาดแผลอื่นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
และตอนที่หลิ่วฝึกฝนวิชาคมวายุ ปีศาจตนนี้ก็หมอบดูอยู่ข้างๆ ด้วยท่าทีน่าเอ็นดูเป็นอย่างมาก
ช่วงเวลาพักผ่อน หลิ่วหมิงก็ใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณสื่อสารกับจิตของแมงป่องกระดูกขาว ทั้งยังฝึกฝนปีศาจตนนี้ให้ประสานกับตัวเองในด้านต่างๆ ผลลัพธ์ที่ออกมาก็โดดเด่นมาก ทำให้มันค่อยๆ ฉลาดและแสนรู้ขึ้นมา
ภายใต้พรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลัง พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปครึ่งค่อนปีแล้ว
เวลาผ่านมานานขนาดนี้ เขาก็ยังไม่สามารถออกไปจากห้องว่างเปล่านี้ได้
สิ่งนี้นอกจากทำให้เขาแปลกใจเล็กน้อยแล้วก็ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด
วิชาคมวายุถูกฝึกฝนจนถึงขั้นที่สามารถปล่อยออกมาได้สิบเส้นภายในไม่กี่ลมหายใจ แต่หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกขาดอะไรไปบางอย่างจึงยังคงฝึกฝนคมวายุอยู่ทุกวันไม่หยุด
วันนี้หลิ่วหมิงกำลังยืนอยู่ด้านหนึ่งของห้อง และปล่อยคมวายุใส่ผนังหมอกสีเทาในระยะยี่สิบกว่าจั้ง
ในตอนที่เขายกแขนขึ้นเพื่อที่จะร่ายคาถานั้น อยู่ๆ ศีรษะเขาก็สั่นสะเทือนขึ้นมาในทันที เครื่องหมายแปลกประหลาดที่มีสีเขียวอ่อนเกาะตัวขึ้นมาในจิตของเขา ตามด้วยเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ในขณะเดียวกันคมวายุในมือสองเส้นก็พุ่งยิงออกไป
นี่ไม่ใช้คมวายุสองเส้นที่เกาะตัวขึ้นแล้วปล่อยออกไปพร้อมกัน แต่มันสามารถปล่อยออกไปได้ภายในพริบตา ทั้งที่ยังไม่ได้ร่ายคาถาออกจากปากเลย
“นี่คือ…”
ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง ต่อมาจึงแสดงสีหน้าดีใจสุดขีดออกมา เขายิ้มน้อยๆ ที่ริมฝีปาก แล้วยกมือข้างหนึ่งขึ้น เครื่องหมายสีเขียวในสมองก็กะพริบออกมา คมวายุสองเส้นพุ่งออกจากมือไปพร้อมกัน
“ที่แท้ก็ฝึกฝนสำเร็จไปอีกขึ้น สามารถปล่อยคมวายุได้ภายในพริบตา”
หลิ่วหมิงหัวเราะขึ้นมา มือทั้งยกขึ้นมาประกบกัน คมวายุแต่ละเส้นตรงพุ่งดิ่งออกไปต่อๆ กันจนเป็นเส้นตรง แล้วปะทะลงบนกำแพงหมอก ทั้งยังส่งเสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!”
ครู่ต่อมา ยังคงมีรอยยิ้มปรากฏบนปากเขาอยู่ไม่หยุด แต่พอหยุดคมวายุลงฝ่ามือทั้งสองประกบเข้าหากัน แล้วค่อยๆ แยกออกไปยังด้านนอก
เสียงดัง “ฟู่!”
คมวายุยักษ์ขนาดยาวครั้งจั้งก่อตัวขึ้นในทันที
หลิ่วหมิงกระตุกข้อมือ คมวายุยักษ์กลายเป็นแสงสีเขียวเส้นหนึ่งพุ่งยิงออกไปอย่างรวดเร็วและดูเหมือนจะรวดเร็วกว่าคมวายุทั่วไปถึงหนึ่งเท่า ราวกับว่าเพิ่งจะปล่อยเส้นที่สองออกไป เส้นแรกก็ฟันเข้าที่บนผนังฝั่งตรงข้ามแล้ว และจากเสียงปะทะที่ดังสะเทือนเลือนลั่นทำให้หมอกเทาค่อยๆ กระจายออกไป
“ที่แท้ ก่อนหน้าที่ข้ายังฝึกไม่สำเร็จเป็นว่ายังฝึกไม่ถึงหัวใจหลักของมันนั่นเอง แต่เจ้าสัญลักษณ์สีเขียวนี่คืออะไรกัน กลับไปต้องไปสอบถามดูสักหน่อยแล้ว” หลิ่วหมิงพูดพึมพำด้วยความดีใจ
เวลาที่เหลือในอีกหลายวัน เขายังคงฝึกฝนคมวายุต่อ แต่ก็ไม่สามารถยกระดับเพิ่มขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นเช่นนี้ หลิ่วหมิงตัดสินใจเปลี่ยนไปฝึกวิชากระสุนไฟแทน
เมื่อเวลาผ่านไปสี่ถึงห้าเดือน ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ฝึกวิชากระสุนขั้นสมบูรณ์แบบได้สำเร็จ
ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่ปล่อยกระสุนไฟได้เร็วกว่าเมื่อก่อนเท่านั้น ขนาดของลูกไฟที่ปล่อยออกไปยังดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่กว่าตอนฝึกใหม่ๆ เท่าตัว
ถึงแม้ส่วนหนึ่งนั้นจะเกิดจากพลังเวทบริสุทธิ์ที่เพิ่มขึ้นก็ตาม แต่กว่าครึ่งหนึ่งในนั้นก็เกิดจากการฝึกวิชากระสุนไฟจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ถึงจะแสดงพลังอานุภาพอันน่าเกรงขามเช่นนี้ออกมาได้
ตอนที่หลิ่วหมิงกำลังรู้สึกดีอกดีใจ และคิดที่จะฝึกฝนวิชานี้ต่อนั้น พลันมีเสียง “หวึ่ง!” ดังขึ้นที่หูทั้งสองข้าง แสงสว่างบังเกิดขึ้นตรงหน้า เขากลับมาสู่ท่ามกลางทะเลทรายสีดำอีกครั้ง
ตอนนี้เขายังนั่งขัดสมาธิอยู่ในวงกลม พื้นที่ว่างเปล่าบริเวณรอบๆ ยังมีปราณหยินเบาบางที่ยังกระจายไปไม่หมด แม้แต่มือทั้งสองก็ยังวางอยู่หัวแมงป่องกระดูกขาว
ปีศาจตนนี้ยังคงโดนโซ่ตรวนวิญญาณมัดอยู่อย่างแน่นหนา
ที่แท้เขาก็กลับมายังแดนปีศาจปรโลกแล้ว แต่เห็นได้ชัดว่าเวลาที่เข้าไปอยู่ห้องว่างเปล่าลึกลับนั้นจะยืดยาวกว่าเดิมหนึ่งเท่า
แต่หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ กลับร่ายคาถาราวกับกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจแล้วใช้จิตสื่อสารกับแมงป่องกระดูกขาวทันที
……………………………………….
ตอนที่ 63 วิกฤตการณ์และผลพวง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ถึงแม้บนตัวแมงป่องกระดูกขาวยังคงมีรอยบาดแผลเช่นเดิม แต่หลิ่วหมิงสามารถสื่อสารกับจิตของมันได้อย่างสบายๆ ทั้งเจอเครื่องหมายจิตวิญญาณของตัวเองที่ประทับไว้ในนั้น
ตอนนี้เขาถึงได้รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมา
ช่างเหมือนกับที่เขาคิดไว้แต่แรก ในเมื่อจิตของแมงป่องกระดูกขาวตัวนี้เข้าไปในห้องลึกลับว่างเปล่านั้นด้วย และถูกทำให้ศิโรราบในนั้นพอกลับออกมาวิชาสื่อสารจิตวิญญาณก็ยังใช้ได้ผลเช่นเดิม
หลิ่วแตะมือข้างหนึ่งลงไปทันที โซ่ตรวนวิญญาณบนแมงป่องกระดูกขาวก็คลายออกมา ในขณะเดียวกันอักขระบนหัวของมันก็หายไปด้วย เขายิ้มน้อยๆ แล้วก็ลุกขึ้นยืน
แต่ในขณะนั้น เขาพลันรู้สึกว่าทะเลจิตวิญญาณที่แห้งเหือดได้สั่นสะเทือนขึ้น พลังบริสุทธิ์กลุ่มหนึ่งไหลพรั่งพรูออกมา ทำให้พลังเวทภายในร่างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนยากที่จะเชื่อ
ตอนแรกหลิ่วหมิงตกใจเป็นอย่างมากแต่ครู่เดียวก็รู้สึกดีใจขึ้นมา มือทั้งสองทำท่ามือแล้วเริ่มกำหนดลมหายเข้าออก
ผ่านไปครู่หนึ่ง พลังเวทในร่างเขาก็ฟื้นฟูขึ้นมากว่าครึ่งหนึ่งของพลังเวทก่อนที่จะเข้าไปยังห้องว่างเปล่าลึกลับนั้น แต่พลังที่พรั่งพรูออกมาจากทะเลจิตวิญญาณนั้นเปลี่ยนไปกลายเป็นพลังที่เยือกเย็นอย่างสุดขั้ว
หลิ่วหมิงแค่รู้สึกว่าพลังเยือกเย็นนี้แผ่กระจายภายในร่าง แล้วร่างทั้งร่างเขาก็แข็งทื่อราวกับตกลงไปยังอุโมงค์น้ำแข็ง
เขาตกใจมาก คิดที่จะเปลี่ยนไปใช้วิชาอื่น แต่ชั่วพริบตานั้นแม้แต่นิ้วมือก็ไม่อาจกระดิกได้ พลังเยือกเย็นภายในร่างก็พรั่งพรูออกมาอย่างต่อเนื่องราวกับเป็นท่อระบาย
ใบหน้าหลิ่วหมิงซีดขาวสุดขีด เขาบังคับสายตาให้กวาดมองลงด้านล่างกลับค้นพบว่ามือทั้งสองที่เคยอิ่มเอิบเปล่งปลั่งเหี่ยวเฉาลงกับตาด้วยความรวดเร็ว ในขณะเดียวกันกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆ ก็เริ่มแห้งเหี่ยว และปรากฏสีเขียวจางๆ ขึ้นมา “เปลี่ยนร่างเป็นปีศาจ”
ภายใต้การตกใจของหลิ่วหมิง พลันปรากฏคำที่เคยอ่านเจอในคัมภีร์โบราณขึ้นในสมอง ในขณะเดียวกันก็นึกถึงสาเหตุของพลังเยือกเย็นขึ้นมาได้โดยฉับพลัน
แปดถึงเก้าในสิบส่วนของพวกมันคือปราณหยินจำนวนมากที่แมงป่องกระดูกขาวดูดเข้ามา แล้วถูกเจ้าฟองอากาศกลืนกิน ตอนนี้มันถูกทำให้บริสุทธิ์เหมือนพลังอื่นๆ แล้วสะท้อนกลับคืนมา
แต่สำหรับเขาแล้ว ถึงแม้ปราณหยินเหล่านี้จะสามารถเพิ่มพูนพลังเวทได้ แต่มันก็แฝงพลังเยือกเย็นไว้ด้วย และยิ่งทำให้เลือดเนื้อในร่างของเขากลายเป็นร่างปีศาจธาตุหยิน ครั้นแล้วก็จะกลายเป็นปีศาจตนหนึ่ง
ชั่วพริบตาที่หลิ่วหมิงคิดเรื่องเหล่านี้ขึ้นมาได้ใจเขาก็ร่วงหล่นลงไป
พลังเยือกเย็นแปลกประหลาดในตัวยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ พลังเวททั่วร่างของเขาก็ราวกับโดนแช่แข็งจนไม่สามารถกระทำการใดๆ ได้
เขารู้สึกลนลานขึ้นมา แต่ทันใดทันนั้นเขาก็ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยว ที่จะใช้พลังเวทเสี่ยงกับอันตรายที่อาจเกิดขึ้น เขาใช้พลังจิตกระตุ้นทะเลจิตวิญญาณทันที
ทะเลจิตวิญญาณที่เกาะกันจนแข็งตัวก็ค่อยๆ กระเพื่อม ในที่สุดพลังเวทจำนวนหนึ่งก็เคลื่อนไหวออกมา
หลิ่วหมิงอาศัยพลังเวทเหล่านี้กระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำ และยอมเสี่ยงให้ชีพจรต่างๆ เสียหายเพื่อที่จะควบคุมพลังเยือกเย็นเหล่านี้ให้ได้
แต่ตอนที่ฝืนให้เคล็ดวิชากระดูกดำนี้โคจรขึ้นมา เรื่องที่คาดไม่ถึงก็ได้ปรากฏขึ้น
พลังเยือกเย็นแปลกประหลาดแบ่งเป็นสองส่วนในทันที ส่วนหนึ่งกลายเป็นพลังเวทบริสุทธิ์ อีกส่วนหนึ่งกลับค่อยๆ จมหายเข้าไปในกระดูกส่วนต่างๆ อย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง แต่สถานการณ์ในการตอนนี้ทำได้แค่ยับยั้งไม่ให้ตัวเองกลายร่างเป็นปีศาจ ย่อมไม่สามารถคำนึงถึงเรื่องอื่นๆ ได้ จิตเขาเพียงแค่เคลื่อนไหวเล็กน้อยแล้วก็พยายามกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำอย่างสุดชีวิต
ฉากอันน่าแปลกประหลาดได้เกิดขึ้นแล้ว
ด้านหนึ่งหลิ่วหมิงขับพลังเยือกเย็นออกจากทะเลจิตวิญญาณอยู่ไม่หยุด อีกด้านหนึ่งกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำ จนทำให้พลังงานเยือกเย็นส่วนหนึ่งก็ค่อยๆ กลายเป็นพลังเวท และอีกส่วนหนึ่งละลายเข้าไปในกระดูก
ในระหว่างที่ทำทั้งสองสิ่งนี้ ก่อให้เกิดความสมดุลชั่วคราว
แต่ในสุดร่างปีศาจที่หลิ่วหมิงกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่นี้ก็ได้หยุดลง
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา ทะเลจิตวิญญาณของเขาสั่นเล็กน้อยแล้วพลังเยือกเย็นแปลกประหลาดที่พรั่งพรูออกมาก็หยุดลง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาเพิ่มการกระตุ้นเคล็ดวิชากระดูกดำให้มากขึ้น
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เมื่อพลังเยือกเย็นสุดท้ายถูกเคล็ดวิชากระดูกดำละลายไปจนหมด ร่างกายก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติ
หลิ่วหมิงหยุดกระตุ้นเคล็ดวิชานี้ แล้วสังเกตดูมือทั้งสองที่กลับมาอิ่มเอิบเปล่งปลั่งดังเดิม เขาถอนหายใจยาวออกมา แต่ความหวาดกลัวในใจยังไม่หายไป
ถ้าเมื่อครู่เขาลังเลอีกเล็กน้อย เกรงว่าคงจะต้องกลายเป็นปีศาจไปแล้วจริงๆ
แต่เคล็ดวิชากระดูกดำนี้สามารถละลายพลังเยือกเย็นที่ค่อยๆ กัดกร่อนเข้ามาได้ เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกตกตะลึงเป็นอย่างมาก
ถ้าหากเป็นเช่นนี้ล่ะก็เท่ากับว่าถึงแม้ต่อไปเขาจะอยู่ที่แดนปีศาจปรโลกเป็นเวลานาน ก็ไม่มีปัญหาอะไร? ไม่สิ ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ ตอนที่เขาเพิ่งเข้ามายังแดนปีศาจปรโลก และลองกระตุ้นฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำทำไมถึงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แต่ตอนนี้พลังเยือกเย็นบริสุทธิ์ภายในร่างเขาต่างกับปราณหยินทั่วไปมากนัก
พลังที่ปราณหยินสร้างขึ้นมาทั้งหมดนั้น มันถูกส่งเข้ามาจากแมงป่องกระดูกขาวตัวนั้นก่อน จากนั้นผ่านการกลืนกินของเจ้าฟองอากาศลึกลับนั่นแล้วคลายออกมาเป็นพลังอันบริสุทธิ์ ดังนั้นลักษณะเฉพาะของมันจึงเปลี่ยนไปไม่น้อย
หลิ่วหมิงคิดแบบนี้แล้วก็สะบัดศีรษะ
ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์เมื่อครู่เกือบจะทำให้เขากลายเป็นปีศาจตนหนึ่ง ช่างหวาดเสียวเสียจริง ต่อให้ฝึกฝนอยู่ที่นี่แล้วมีพลังเพิ่มพูนขึ้น แต่เขาก็จะไม่ยอมลิ้มรสชาติแบบนี้อีกเด็ดขาด
พอหลิ่วหมิงนึกถึงแมงป่องกระดูกขาวก็หันไปมองอย่างอดไม่ได้ เขารู้สึกตะลึงเล็กน้อย
ตอนนี้แมงป่องกระดูกขาวถูกไอสีเขียวกลุ่มใหญ่ปกคลุมจนจมอยู่ในนั้น
ด้วยความหนาแน่นเข้มข้นจนเกือบเกาะตัวเป็นก้อนของไอสีเขียวกลุ่มนี้ แม้แต่สายตาของหลิ่วหมิงก็ไม่อาจมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่ามันกำลังทำอะไรอยู่ในนั้น
คิ้วเขาขมวดเข้าหากัน แล้วก็นึกถึงพลังเยือกเย็นที่สะท้อนกลับมาเมื่อสักครู่
ในเมื่อแมงป่องกระดูกขาวตนนี้ก็เข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับเหมือนกัน หรือว่าก็มีพลังสะท้อนแบบนี้กลับมาให้มันด้วย ถ้าหากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ล้วนแต่เป็นประโยชน์กับเขาทั้งนั้น
คิดได้แบบนี้ หลิ่วหมิงก็รู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อยแล้วรอคอยอย่างเงียบๆ อยู่อีกมุมหนึ่ง
รอไปรอมา เวลาหนึ่งมื้อข้าว[1] ก็ผ่านไป
เมื่อเสียงร้องประหลาดดังขึ้น ไอสีเขียวกระจายออกไป ร่างแมงป่องกระดูกขาวก็ปรากฏออกมา
หลิ่วหมิงมองดูอย่างละเอียดแล้วก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
แมงป่องกระดูกขาวในตอนนี้มีเปลวไฟสีเขียวคุโชนอยู่ในเบ้าตาทั้งสอง หางตะขอก็เปล่งประกายสีดำวาว รอยแผลบนตัวหายไปจนหมดสิ้นตัวของมันก็ยาวกว่าเดิมครึ่งฉื่อ แต่รูดำๆ ข้างตัวก็ยังคงอยู่ ขณะเดียวกันสีกระดูกตรงลำตัวก็คล้ายกับค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขาเทาขึ้นมา เหมือนจะไม่เป็นสีขาวอย่างตอนแรก
หลิ่วหมิงเห็นดังนี้ ย่อมรู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก แต่หลังจากใช้วิชาสื่อสารกับจิตของมันแล้ว ก็บังเกิดความดีใจขึ้นมาอีกครั้ง
ถึงแม้ตอนนี้แมงป่องกระดูกขาวจะยังไม่มีพลังเต็มเปี่ยม แต่ก็ฟื้นฟูมาได้เจ็ดถึงแปดในสิบส่วนแล้ว แค่รักษาอาการบาดเจ็บให้หายก็ไม่เป็นไรแล้ว และก็ยังสามารถใช้พลังในการทะยานฟ้าได้
แต่พอเขาได้รู้จากจิตที่ส่งมาแมงป่องกระดูกขาวว่า สิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการรักษาอาการบาดเจ็บนั้นคืออะไร เขาก็แสยะปากขึ้นมา
เพราะว่าครั้งนี้ร่างของมันได้รับบาดเจ็บสาหัส จำเป็นต้องกลืนกินกระดูกของปีศาจตนอื่น ถึงจะค่อยๆ ฟื้นฟูขึ้นเองได้
แต่ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ตอนนี้เขาไม่อาจกลับไปได้แล้ว จำเป็นต้องรวบรวมกระดูกปีศาจจำนวนหนึ่งก่อน ถึงจะพาแมงป่องกระดูกขาวนี้กลับนี้นิกายปีศาจอย่างไร้กังวล
หลิ่วหมิงคิดชั่งใจแล้วก็ได้แต่ตัดสินใจทำตามที่คิดไว้
ยังดีที่ก่อนหน้าถึงแม้เขาจะใช้เวลาไปไม่น้อย แต่ก็ยังมีเวลาเหลืออีกครึ่งเดือน ใช้เวลานี้หาปีศาจระดับต่ำสักสองสามตัวคงจะไม่ยากเย็นเท่าไหร่หรอก
หลังจากหลิ่วหมิงวางแผนในใจแล้วก็สั่งให้แมงป่องกระดูกขาวระวังภัยอยู่แถวนั้น ส่วนตนเองอาศัยโอกาสนี้ทำการตรวจสอบร่างกายของตนเองอย่างละเอียด
เจ้าฟองอากาศตรงทะเลจิตวิญญาณหายไปอย่างไร้ร่องรอย พลังเวทบริสุทธิ์กว่าแต่ก่อนเล็กน้อย และพลังเวทกลับไม่ได้ลดลงไปมากนัก ประจักษ์แจ้งว่าเป็นเพราะพลังเยือกเย็นเหล่านั้นกลายเป็นพลังเวทให้เขาไม่น้อย
เมื่อจิตของเขากวาดดูทุกส่วนภายในร่างแล้ว สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนขึ้นมา
โครงกระดูกแต่ละส่วนขาวสะอาดกว่าแต่ก่อนมาก และยังเปล่งประกายแพรวพราวอยู่ไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าแน่นหนากว่าแต่ก่อนมาก
“นี่คือ……”
เขาใช้จิตค่อยๆ สัมผัสกับกระดูกท่อนหนึ่ง รับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นในทันที แต่เมื่อเขาโคจรเคล็ดวิชากระดูกดำกลับรู้สึกปกติทุกอย่างไม่มีสิ่งใดติดขัดเลยแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงตรวจสอบดูที่อื่นๆ ก็ไม่ค้นพบความผิดปกติใดๆ ถึงได้รู้สึกวางใจขึ้นมา
เขาดึงจิตกลับมา แล้วเริ่มวิเคราะห์ถึงปัญหาของเจ้าฟองอากาศลึกลับนั้น
ฟองอากาศนี้ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ซ่อนอยู่ในร่างเขา ไม่รู้ว่าจะระเบิดออกมาตอนไหน ทั้งยังดูเหมือนจะกลืนกินพลังเวทมากขึ้นทุกครั้ง
ถ้าครั้งนี้เขาไม่อยู่ในแดนปีศาจปรโลก และมีแมงป่องกระดูกขาวที่ไม่รู้ว่าใช้พรสวรรค์อันใดในการดูดปราณหยินเสริมให้เขา ก็คงไม่รู้ว่าตอนนี้เขาจะตกอยู่ในสภาพแบบไหน
และถ้าครั้งหน้ามันระเบิดขึ้นมาในตอนที่เขากำลังต่อสู้ล่ะก็ เขาไม่ต้องตายสถานเดียวหรอกหรือ
แน่นอนว่าพลังบริสุทธิ์ของเจ้าฟองอากาศนี้ กับพลังที่ทำให้เขาเข้าไปในห้องว่างเปล่าลึกลับราวกับฝันนั้น ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นไม่หยุด
พอหลิ่วหมิงคิดถึงจุดนี้ก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา
ดูจากความห่างของเวลาที่ระเบิดทั้งสองครั้งในก่อนหน้านั้นแล้วดูเหมือนจะใช้เวลานานขึ้นในแต่ครั้ง หรือว่าจะต้องมีเงื่อนไขบางอย่างให้มันพึงพอใจ แต่ช่วงระยะเวลาอันสั้นนี้ก็ไม่ต้องกังวลกับเรื่องนี้แล้ว
หลิ่วหมิงคิดทบทวนไปมาอยู่ในใจตั้งนาน แต่ก็ไม่สามารถหาวิธีแก้ไขได้ ทำได้แค่ทิ้งเรื่องนี้ไว้ในสมองรอกลับไปนิกายปีสาจแล้วค่อยคิดอีกรอบ
ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือหาปีศาจตัวอื่นๆ มาอีกสักหน่อย
ดังนั้นหลิ่วหมิงจึงสงบจิตก่อนจากนั้นจึงลุกขึ้นมาทำท่ามือด้วยมือเดียว เมฆเทาก้อนหนึ่งก่อตัวขึ้นใต้เท้าของเขาแล้วดันเขาขึ้นสูงหลายจั้ง
ตอนนี้หลิ่วหมิวถึงกวักมือเรียกแมงป่องกระดูกขาวที่อยู่ด้านล่าง
เสียงดัง “ซู่!”
แมงป่องกระดูกขาวกระโดดขึ้นจากพื้นทันที แล้วลงมาอยู่บนเมฆเทาอย่างมั่นคง
พอหลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชา เมฆเทาก็ทะยานออกไป
……
สองวันผ่านไป ตรงขอบทะเลทรายสีดำมีปีศาจรูปร่างคล้ายแพะกับวัวตนหนึ่ง มีเปลวไฟสีเขียวบางๆ ปกคลุมอยู่บนตัวมัน และมันกำลังวิ่งหนีบนพื้นทรายดำอย่างสุดชีวิตดูแล้วละลานตาเป็นอย่างมาก แต่ด้านหลังของมัน มีกองทรายนูนกองหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างตามติดอย่างรวดเร็ว
พริบตาเดียวทั้งสองก็วิ่งออกไปได้ไกลหลายลี้
เสียงดัง “ซู่!”
พลันปรากฏเส้นสีดำพุ่งออกมาจากกองทราย พริบตาเดียวก็ฝังเข้าไปยังตัวของปีศาจที่อยู่ด้านหน้า และฉุดลากกลับมาทันที สิ่งนั้นคือหางแมงป่องแหลมเล็กสีดำเงานั่นเอง
เสียงร้องอย่างน่าเวทนาดังขึ้น
ปีศาจตัวหน้าล้มตัวหงายเท้าขึ้นฟ้า ในตอนนั้นเองกองทรายก็ระเบิดออกมาเงาร่างสีขาวพุ่งออกมาจากในนั้น และกระโจนไปทับอยู่บนตัวปีศาจตัวหน้า
ก้ามยักษ์ทั้งสองเปล่งแสงประกายออกมา มันแค่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วครู่หนึ่งก็จัดการตัดปีศาจตนนี้ออกเป็นชิ้นๆ
……………………………………….
[1] เวลาหนึ่งมื้อข้าว คือ เวลาที่ทานข้าวอิ่มหนึ่งมื้อ ซึ่งใช้เวลาราวๆ 30 นาที
ตอนที่ 64 ศพกระดูก
โดย
Ink Stone_Fantasy
จากนั้นเงาร่างสีขาวก็กระโดดพรวดออกไปจากตัวของปีศาจตนนี้
เงาร่างสีขาวนี้ก็คือแมงป่องกระดูกขาวตนนั้นนั่นเอง
เสียงดัง “ฟู่!”
ลูกเปลวไฟสีแดงลูกหนึ่งหล่นลงจากบนอากาศ พริบตาเดียวศพของปีศาจก็ตกอยู่ในเปลวไฟอันคุโชน
หลิ่วหมิงอยู่บนเมฆเทาที่สูงสามสิบกว่าจั้ง ถือห่อหนังสัตว์ขนาดไม่ใหญ่มากอยู่ห่อหนึ่งมองลงไปด้านล่างด้วยสีหน้าที่ไร้ความปรานี
ลูกเปลวไฟที่เขาเพิ่งพุ่งยิงออกไปเมื่อครู่นั้น เขาตั้งใจใส่พลังไปกว่าครึ่งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้หลังจากเปลวไฟด้านล่างมอดดับไปแล้วบนพื้นทรายยังคงเหลือโครงกระดูกแวววาวหลายชิ้น
แมงป่องกระดูกขาวเคลื่อนไหวอีกครั้ง แล้วกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว จับกระดูกในนั้นขึ้นมากัดแทะท่อนหนึ่ง
ตอนนี้หลิ่วมิงถึงค่อยๆ เหาะลงมา แล้วเปิดห่อหนังสัตว์หยิบกระดูกทั้งหมดใส่ลงไปในนั้น
ตอนนี้ในห่อหนังสัตว์ดูเหมือนจะมีกระดูกทั้งหมดไม่เกินสิบกว่าชิ้น
หลิ่วหมิงมองกระดูกปีศาจเหล่านี้ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ
เกินออกมาจากอาณาเขตครอบครองของแมงป่องกระดูกขาวแล้วทะเลทรายแห่งนี้มีปีศาจระดับต่ำจำนวนไม่น้อย ตัวนี้เป็นตัวที่สามที่เขาได้สังหารไป และด้วยเหตุนี้ถึงได้โครงกระดูกมาน้อยขนาดนี้ เพราะเขาเพิ่งค้นพบภายหลังว่าไม่ใช่ว่ากระดูกสัตว์ทั้งหมดจะทำให้พลังของแมงป่องกระดูกขาวเพิ่มมากขึ้นได้ แต่ต้องเป็นกระดูกปีศาจที่แข็งแกร่ง และดูเหมือนจะแฝงไปด้วยแก่นพลังยอดเยี่ยม
และในปีศาจระดับต่ำตนหนึ่งจะมีกระดูกชนิดนี้แค่สามสี่ชิ้น
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้หลิ่วหมิงแอบร้องทุกข์อยู่ในใจไม่หยุด
ถ้าหากว่าใช้ความเร็วระดับนี้รวบรวมกระดูกปีศาจล่ะก็เวลาที่เหลืออยู่คงไม่พอใช้ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกกังวลขึ้นมา
พอเขารอจนแมงป่องกระดูกขาวกลืนกินกระดูกในปากลงไปแล้ว ก็ยกห่อหนังสัตว์เตรียมพร้อมที่จะทะยานขึ้นฟ้าไปหาปีศาจตนอื่นอีกครั้ง
แต่ในขณะนั้นเอง เขาพลันได้ยินเสียงดังสะเทือนจากท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป เมฆสีดำกับสีเทาสองก้อนเหาะพุ่งมาจากที่ไกลๆ
หลิ่วหมิงตกตะลึง รีบเพ่งมองออกไป
เมฆเทาก้อนที่นำหน้ามีเงาร่างอรชรยืนอยู่ เมฆดำก้อนหลังกลับมีกลิ่นอายสังหารโหดเหี้ยมออกมา และส่งเสียงคำรามต่ำอยู่ตลอด
เห็นได้ชัดว่าเมฆเทาก้อนหน้าไม่ได้เร็วกว่าเมฆดำก้อนหลัง แต่ทุกครั้งที่เมฆดำคิดที่จะตามมาประชิดเงาร่างอรชรก็ปล่อยเส้นสีแดงแสบตาเส้นหนึ่งพุ่งออกไป ทำให้เมฆดำก้อนหลังจำเป็นต้องหลบหลีก ดูเหมือนมันจะหวาดกลัวกับเส้นสีแดงมาก
ผู้หนึ่งไล่ตาม ผู้หนึ่งหนี พริบตาเดียวก็ถึงด้านบนของบริเวณทะเลทรายดำ
“เอ๋! นางนั่นเอง”
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสอง ในที่สุดก็มองเห็นใบหน้างดงามของเงาร่างอรชรบนเมฆเทา นางคือเจียหลานนั่นเอง เขารู้สึกตะลึงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
นางถูกไล่ล่าจนมุมขนาดนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าปีศาจด้านหลังอย่างน้อยก็มีพลังระดับขุนพล หรือจะกล่าวได้ว่ามีแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเท่านั้นถึงจะพอต้านทานมันได้บ้าง
หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย ช่วงเวลานั้นไม่รู้ว่าตนเองควรจะยื่นมือเจ้าไปช่วยหรือไม่
และในขณะนั้นเอง พลันเหตุการณ์บนท้องฟ้าได้เปลี่ยนแปลงไป
เมฆดำหลบเส้นแดงของเจียหลานที่พุ่งมาได้ แล้วก็พุ่งหอกกระดูกสีดำขนาดยาวจั้งกว่าๆ ออกมาเช่นกัน หลังจากมันกะพริบก็พุ่งไปอยู่ห่างจากด้านหลังของเมฆเทาหลายจั้งอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนเจียหลานจะได้ป้องกันตัวไว้ก่อนแล้ว นางทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง เมฆเทาเปลี่ยนทิศทางในทันทีแล้วเหาะออกไปด้านข้างประมาณจั้งกว่าๆ และหลบหอกกระดูกด้านหลังได้พอดี
และในขณะนั้นเอง เมฆดำด้านหลังก็ส่งเสียงคำรามของปีศาจออกมาทันที หอกกระดูกด้ามหนึ่งลางเลือนแล้วกลายเป็นเงาหอกดำสองเส้น
เงานี้หักเลี้ยวกลับมา แล้วทะลุผ่านไปบนไหล่ของเจียหลานด้วยความรวดเร็ว
หลังจากมีเสียงดังขึ้น ไหล่ของนางก็ปรากฏบาดแผลขึ้นมาหนึ่งรู และดูเหมือนจะทำให้เขาลืมควบคุมพลังเวทจนเมฆดำใต้ร่างของนางสลายไปแล้วนางก็ตกลงมาจากบนนั้น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น โซ่สีดำยาวๆ เส้นหนึ่งดีดตัวออกไปพันร่างดรุณีน้อยที่อยู่สูงจากพื้นไม่ถึงเจ็ดแปดจั้งไว้ ก่อนที่จะกระตุกแขนเสื้อดึงนางมาตรงหน้าของตนเอง
“เจ้านี่เอง!”
สีหน้างดงามของดรุณีน้อยดูขาวซีดผิดปกติ แต่พอเห็นชัดว่าเป็นหลิ่วหมิงก็พูดออกมาเบาๆ
“คือข้าน้อยเอง ศิษย์พี่เจียหลาน ท่านไม่เป็นไรนะ” หลิ่วหมิงฝืนยิ้มแล้วกล่าวออกมา
“ข้าไม่เป็นไร เมื่อครู่ข้าแค่สูญเสียการควบคุมพลังเวทตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว” สีหน้าประหลาดใจบนใบหน้างดงามของดรุณีน้อยหายไปอย่างรวดเร็ว และหยิบยันต์สีเขียวอ่อนผืนหนึ่งออกมาจากตัวแล้วแปะลงไปยังรูเลือดตรงหัวไหล่ทันที
เสียงดัง “ฟู่!” แสงสีเขียวอบอุ่นลอยขึ้นมา เลือดบนไหล่ที่ไหลอยู่หยุดไหลในทันทีทั้งยังค่อยๆ สมานเข้าหากัน
และในขณะนั้นเอง เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายพิฆาตก็ดังมาจากบนท้องฟ้า เมฆก้อนนั้นเปลี่ยนทิศทางแลัวพุ่งมาทางหลิ่วหมิงทันที
“ศิษย์น้องไป๋ ข้ายังต้องการเวลาอีกสักหน่อยหอกกระดูกของศพกระดูกระดับขุนพลนี้มีพิษอยู่ ข้าจำเป็นต้องขับมันทั้งหมดออกไปในทีเดียวถึงจะลงมือได้” เจียหลานเห็นดังนี้ก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย มีความกังวลจางๆ ออกมาบนใบหน้า
“ศพกระดูก คือปีศาจอัจฉริยะที่เปลี่ยนแปลงมาจากศพของผู้ฝึกฝน! เอาล่ะ ข้ารู้แล้วว่าจะทำอย่างไร” ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงแต่ก็เลิกคิ้วพยักหน้าทันที
เขามีปีศาจระดับขุนพลอย่างแมงป่องกระดูกขาวอยู่ข้างกาย เมื่อเผชิญหน้ากับปีศาจระดับเดียวกันเขากลับไม่ค่อยรู้สึกหวาดกลัวนัก
และในตอนนี้แมงป่องกระดูกขาวได้มุดตัวลงไปใต้พื้นทรายนานแล้ว เจียหลานรีบร้อนจนไม่ทันได้ค้นพบว่าแถวนี้ยังมีปีศาจอยู่อีกตน
แต่ว่าแมงป่องตนนี้ยังไม่สามารถเหาะได้ ต้องทำให้ปีศาจบนเมฆดำนั้นตกลงมาก่อนจึงจะรับมือกับมันได้
ด้วยเหตุนี้ตอนที่หลิ่วหมิงเผชิญหน้ากับการโจมตีของเมฆดำ นอกจากจะเอามือตบลงตรงอกปล่อยโล่แสงสีดำออกมาบังอยู่ด้านหน้าแล้วก็ไม่ได้โจมตกลับไปแม้แต่น้อย
ปีศาจบนเมฆดำย่อมไม่ปราณีใคร มันอาศัยการเหาะที่รวดเร็วพุ่งลงมา เสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” หอกกระดูกสีดำอันหนึ่งพุ่งยิงลงมา
แต่เป้าหมายในครั้งนี้เปลี่ยนเป็นหลิ่วหมิงที่ยืนกำบังอยู่ด้านหน้าของดรุณีน้อย
เมื่อเห็นเช่นนี้หลิ่วหมิงก็หรี่ตาทั้งสอง จากนั้นร่ายคาถาแล้วยกมือข้างหนึ่งปล่อยลูกเปลวไฟพุ่งไปใส่หอกกระดูกทันที
เสียงดัง “ฟู่!”
ลูกเปลวไฟเจาะทะลุหอกกระดูกไป ที่แท้มันก็เป็นแค่เงาหอกเท่านั้น
แต่ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวด้านหน้า หอกกระดูกสีดำอีกท่อนปรากฏตรงหน้าเขาโดยไม่คิดจะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย และแทงเข้าไปอย่างโหดเหี้ยม
สีหน้าเขาเปลี่ยน และแตะมือข้างหนึ่งลงบนโล่แสงด้านหน้าโดยไม่ต้องคิด โล่แสงนี้ก็ขยายขนาดจนคลุมตัวทั้งหมดของเขาไว้
เสียงดัง “ตู้ม!”
หอกกระดูกแตกละเอียดกระจายไปทั่วทิศ แต่โล่แสงที่เพิ่งขยายใหญ่เมื่อครู่ก็แตกออกมาเช่นกัน ในขณะเดียวกันพลังมหาศาลก็พุ่งมาหาหลิ่วหมิง
หลังจากมีเสียงดังขึ้น ร่างของหลิ่วหมิงถอยไปครึ่งก้าวอย่างช่วยไม่ได้ แต่ครู่เดียวก็กลับมายืนได้อย่างมั่นคง
ดูเหมือนปีศาจในเมฆดำจะคาดไม่ถึงกับฉากเช่นนี้ พอมันคำรามเสียงออกมาแล้วก็หยุดการพุ่งไปด้านหน้า และหมุนวนตกไปยังเนินทรายสีดำที่ห่างออกไปสามสิบกว่าจั้ง
ขณะนี้เมฆดำได้สลายไป โฉมหน้าของปีศาจในเมฆดำได้โผล่ออกมา
มันคือโครงกระดูกคนขนาดยักษ์ที่สูงสองจั้ง แต่ร่างทุกส่วนของมันเต็มไปด้วยกระดูกแหลมคมสีดำสั้นยาวแตกต่างกัน ในขณะเดียวกันมือทั้งสองต่างก็ถือหอกกระดูกยาวจั้งกว่าๆ ข้างละอัน เปลวไฟสีแดงในเบ้าตาทั้งสองคุโชนอยู่ไม่หยุด ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก
นี่ก็เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิงเห็นปีศาจศพกระดูกชนิดนี้ เขาพินิจดูตัวมันอยู่ไม่หยุด
ครู่ต่อมา ศพกระดูกสาวเท้ายาวๆ พุ่งเข้ามาทางด้านหลิ่วหมิงทันที ทุกย่างก้าวของมันทิ้งรอยลึกเท้าครึ่งฉื่อไว้ เห็นชัดว่าร่างของมันหนักมาก
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาก็เป็นประกายเล็กน้อย เขาชายตามองดูเจียหลานที่อยู่ข้างหลังครู่หนึ่ง
รูดเลือดบนไหล่ของดรุณีน้อยใบหน้างดงามในตอนนี้มีขนาดเล็กลงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น ดูท่าจะต้องถ่วงเวลาให้นางอีกสักหน่อย
หลิ่วหมิงคิดแบบนี้ในใจแล้ว ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก เขาร่ายคาถาออกมา หลังจากที่มื่อทั้งสองยกขึ้นลูกเปลวไฟสองลูกพุ่งไปหาศพกระดูกต่อๆ กัน
เสียงดัง “ตู้ม!” “ตู้ม!”
ร่างส่วนบนของปีศาจกระดูกเพียงแค่ เคลื่อนไหวเล็กน้อย ลูกเปลวไฟสองลูกก็ถูกมันปัดไประเบิดยังพื้นทรายด้านหลังอย่างง่ายดาย
ขณะนี้มันแหงนหน้าส่งเสียงคำรามราวกับร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วออกแรงที่เท้าทั้งสองจนระเบิดพลังอันน่ากลัวพุ่งออกมา
มันรวดเร็วเป็นอย่างมาก แค่เห็นร่างของมันเพียงลางๆ มันก็พุ่งเข้ามาในระยะยี่สิบจั้งแล้ว
ด้วยระดับความเร็วของมันในตอนนี้ทำให้หลิ่วหมิงตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบร่ายคาถาขึ้นมาแล้วกระตุกแขนเสื้อ โซ่ตรวนวิญญาณพุ่งไปหาฝ่ายตรงข้ามราวกับอสรพิษอย่างรวดเร็ว มืออีกข้างก็ยกขึ้นปล่อยคมวายุพุ่งยิงติดต่อกันออกไปสามเส้น
ทั้งๆ ที่ทั้งสองสิ่งพุ่งโจมตีออกไปพร้อมกัน แต่คมวายุกลับถึงก่อน ดูเหมือนแสงสีเขียวแค่กะพริบก็พุ่งไปถึงตรงหน้าศพกระดูกแล้ว
ปีศาจตนนี้คิดไม่ถึงว่าการโจมตีของคมวายุจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ หลังจากที่เปลวไฟในเบ้าตามันคุโชน ทำได้เพียงแค่ใช้หอกกระดูกสีดำทั้งสองบังตัวอย่างฉุกละหุก
เสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!” คมวายุสองเส้นถูกหอกกระดูกทั้งสองปะทะลอยออกไป คมวายุเส้นที่สามอาศัยจังหวะนี้ฟันเข้าไปบนหอกกระดูก
เสียงดังสนั่นขึ้น
หอกกระดูกทั้งสองถูกตัดออกเป็นสองท่อนทันที และคมวายุเองก็สลายหายไป
ศพกระดูกที่วิ่งอยู่พลันหยุดชะงักลง ดูเหมือนจะก้มมองร่างของตนเองด้วยความตกใจ
ตอนนี้โซ่ตรวนวิญญาณเพิ่งมาถึงตัวของมัน แล้วพันรอบๆ ตัวมันไว้
เสียงระเบิดสองเสียงดังขึ้น
หอกสีดำสองอันในมือศพกระดูกแทงออกไปราวสายฟ้าแลบ มันปักปลายเชือกทั้งสองลงไปบนพื้นทรายอย่างหนาแน่น
ปีศาจตนนี้เงยหน้ามองหลิ่วหมิงครู่หนึ่งแล้วทิ้งหอกกระดูกทั้งสองลง มือเท้าทั้งสี่ก็หดตัวลงในฉับพลัน จากนั้นม้วนหดตัวลงไปจนกลายเป็นกระดูกกลมๆ ขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง พื้นผิวของมันเต็มไปด้วยกระดูกแหลมคมเป็นพิเศษ และหลังจากที่มันกระโดดตัวขึ้นมาโดยฉับพลันก็กลายเป็นพายุสลาตันพุ่งเข้ามาหาหลิ่วหมิง
……………………………………….
ตอนที่ 65 ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
พอหลิ่วหมิงเห็นลูกกระดูกกลมๆ ลางเลือนที่มีพื้นผิวเป็นกระดูกอันแหลมคมแล้วในใจก็รู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาทันที เขาทำท่ามือด้วยมือเดียว แสงสีเขียวเป็นจุดๆ ออกจากนิ้วของเขา แล้วสะบัดข้อมืออีกข้าง ห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ก็ร้องเสียงดังพร้อมกับโผล่หัวพยัคฆ์สีเหลืองออกมา
เขายังไม่ทันจะลงมือโจมตี ก็มีเสียง “ซู่!” ดังมาจากด้านหลัง เส้นสีแดงยาวฉื่อกว่าๆ พุ่งออกไปก่อนแล้วพันอยู่บนกระดูกลูกกลมๆ นั้นพอดี
เสียงดัง “ตู้ม!”
เส้นสีแดงระเบิดออกมา แล้วกลายเป็นเปลวแสงสีแดงปกคลุมกระดูกลูกกลมๆ ไว้
กระดูกลูกกลมๆ ที่หมุนกลิ้งอยู่หยุดชะงักในทันที และส่งเสียงคำรามอย่างเจ็บปวดสุดขีด เมื่อเปลวแสงกะพริบหายไปก็คืนร่างอย่างเลือนลางแล้วกลับเป็นโครงกระดูกมนุษย์ดังเดิม
บนร่างศพกระดูกมีบาดแผลเต็มไปหมด เห็นได้ชัดว่าเมื่อครู่นั้นมันได้รับความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก
ขณะนี้ เปลวไฟในเบ้าตาทั้งสองของมันมองมาทางหลิ่วหมิงอย่างดุร้าย แต่ดูเหมือนว่ายังพะวงกับอะไรบางอย่างอยู่ ระยะห่างใกล้แค่นี้ก็ยังไม่ได้กระโจนเข้ามาในทันที
ตาของหลิ่วหมิงค่อยๆ เป็นประกายขึ้นมารีบหันหน้ากลับไปดูอย่างรวดเร็ว
เขาเจียหลานกำลังถือธนูยาวสีเขียวอ่อนอยู่ด้วยสีหน้าที่เยือกเย็น บนนั้นมีลูกธนูสีแดงกางพร้อมที่จะยิงอยู่หนึ่งดอก ตอนนี้รูเลือดบนบ่านางได้สมานกันสนิทแล้วเหลือไว้แค่เส้นสีแดงจางๆ
“ศิษย์น้องไป๋อย่างวอกแวก สติปัญญาของศพกระดูกตนนี้สูงมาก ทั้งยังเล่ห์เหลี่ยมเยอะกว่าปีศาจระดับขุนพลทั่วไป แต่ถ้าหากเราสองคนร่วมมือกันล่ะก็ยังพอจะรับมือกับมันได้บ้าง” พอดรุณีน้อยใบหน้างดงามเห็นหลิ่วหมิงเบนความสนใจมามองนาง นางก็กล่าวเตือน
“พอจะรับมือได้บ้าง! ปีศาจรร้ายกาจระดับนี้ หรือว่าศิษย์พี่ไม่คิดที่จะทำให้มันศิโรราบ?” หลิ่วหมิงได้ยินดังนั้นก็หันหน้ากลับไปทางศพกระดูกอีกครั้ง แต่ถึงกระนั้นก็ยังถามออกไปด้วยความรู้สึกแปลกใจ
“ปีศาจร่างมนุษย์ที่มีพรสวรรค์อัจฉริยะขนาดนี้ ถึงแม้จะร้ายกาจเป็นอย่างมากแต่มันต่างกับปีศาจอื่นๆ ที่เกิดจากปราณหยินเป็นอย่างมาก แค่ใช้วิชาสื่อสารจิตวิญญาณสั่นสะเทือนสยบไม่สามารถทำให้มันศิโรราบได้ นอกจากว่าจะมีพลังที่เหนือกว่าพวกมันมาก มิเช่นนั้นต่อให้เจ้าปราบมันได้ก็ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น และอาจจะแว้งกลับมากัดได้ในภายหลัง อาจารย์อาในนิกายของเรามีไม่น้อยที่ที่ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ศิษย์อย่างพวกเราก็อย่าหวังที่จะสยบมันได้เลย” พอเจียหลานได้ยิน ก็กล่าวออกมาเรียบๆ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นคงทำได้แค่ฆ่ามันทิ้งซะ” หลิ่วหมิงฟังคำพูดนี้แล้วก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา
“ฆ่าทิ้ง?” ถึงแม้เจียหลานผู้นี้จะดูมีท่าทีที่สงบ แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกตะลึงอย่างอดไม่ได้
กระดูกขาวตรงหน้าก็ดูเหมือนจะฟังคำพูดของหลิ่วหมิงออก พอมันฟังจบก็โมโหจนเปลวไฟสีแดงในเบ้าตาคุโชนขึ้นมา มือทั้งสองดึงกระดูกแหลมคมบนตัวออกมาสองชิ้น หลังจากที่มันตวัดไปมาก็กลายเป็นหอกกระดูกยาวจั้งกว่าๆ สองอันแล้วก้าวเท้ายาวๆ พุ่งเข้ามา
ดรุณีน้อยใบหน้างดงามหดม่านตาลง ยิงลูกธนูพุ่งออกไปในทันที
เสียงดัง “ตู้ม!”
ภายใต้เปลวแสงอันโชติช่วง ศพกระดูกที่เดิมทีพุ่งมายังด้านหน้าของหลิ่วหมิงถูกโจมตีจนถอยไปจั้งกว่าๆ
แต่ปีศาจตนนี้ดูเหมือนจะโดนกระตุ้นจนดูดุร้ายสุดขีด ไม่สนใจบาดแผลมากมายที่เพิ่มขึ้นมาบนร่าง มันเขวี้ยงหอกกระดูกสองอันออกไปอย่างรุนแรง หลังจากที่คำรามเสียงดังออกมา มันก็กระโจนเข้ามาอย่างโหดเหี้ยม
เสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” คมวายุสองเส้นพุ่งออกไปภายในพริบตา ปะทะเข้ากับหอกกระดูกที่พุ่งเข้ามาพอดี ทำให้พวกมันเบนทิศทางผ่านร่างทั้งสองข้างของเขาไป
เจียหลานที่อยู่ด้านหลังสีหน้าหม่นลง หลังจากที่มือทั้งสองเคลื่อนไหวอย่างพร่ามัว ธนูคันยาวก็ยิงลูกธนูออกไปหนึ่งดอกอย่างรวดเร็ว
เกิดเสียงดังขึ้นเช่นเดิม แต่ครั้งนี้ร่างของศพกระดูกแค่สั่นไหวเล็กน้อยก็ต้านแรงระเบิดของเปลวแสงออกมาได้
หลิ่วหมิงเขม้นตามอง ก็เห็นอย่างชัดเจนว่าหน้าลำตัวของศพกระดูกมีแผ่นกระดูกไม่ทราบชื่อขนาดใหญ่ที่ไม่รู้ว่าโผล่มาตอนไหน และมันถือแผ่นกระดูกนั้นราวกับเป็นโล่กำบังพุ่งเข้ามา มันแค่ก้าวไม่กี่ก้าวก็จู่โจมมาถึงด้านหน้าของหลิ่วหมิงพร้อมกับกลิ่นเหม็นคาวที่ม้วนตัวออกมา
“ศิษย์น้อง รีบถอยไปเร็ว!” เจียหลานเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็หม่นลง นางตะโกนเสียงต่ำออกไป ขณะเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อ ธนูยาวในมือก็หายไป แต่กลับมียันต์สีเงินผืนหนึ่งโผล่ออกมาแล้วเตรียมปล่อยพุ่งออกไปในทันที
แต่ที่ทำให้เขาตกตะลึงก็คือหลิ่วหมิงทำเหมือนกับไม่ได้ยินที่เขาพูด ยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ยอมหลบหลีก เขายกแขนขึ้น หัวพยัคฆ์อ้าปากโผล่ออกมาจากห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ คลื่นเสียงสีขาวโพลนม้วนตัวพุ่งไปยังหัวของศพกระดูก
ศพกระดูกก็แค่เอียงหัว ก็หลบการโจมตีของคลื่นเสียงจากห่วงเขี้ยวพยัคฆ์ได้ หลังจากที่เปลวไฟสีเลือดในเบ้าตามันคุโชน มือใหญ่ทั้งสองก็โอบกอดมายังหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม
รอบตัวปีศาจตนนี้เต็มไปด้วยกระดูกแหลมคมแลดูโหดร้าย ถ้าถูกมันโอบกอดเข้าต่อให้เป็นอาจารย์จิตวิญญาณก็ยังต้องร้องขอชีวิต
ตอนนี้สีหน้าของดรุณีน้อยเปลี่ยนไปอย่างมาก คิดที่จะหยิบจับอะไรออกมาช่วยก็ไม่ทันแล้ว
เสียงดัง “ซู่!” “ซู่!”
พลันก็ปรากฏก้ามยักษ์สีดำสองข้างโผล่ออกมาจากพื้นทรายใต้ร่างศพกระดูกอย่างรวดเร็ว แล้วหนีบข้อเท้าสีขาวทั้งสองไว้แน่น ถึงแม้จะไม่ได้ตัดมันออกเป็นสองท่อน แต่ก็ทำให้ศพกระดูกที่กำลังพุ่งเข้ามาหยุดชะงักในทันที และเกือบจะล้มลงไปบนพื้น
ภายใต้สถานการณ์ที่น่าตกใจเช่นนี้ มันรีบใช้มือข้างหนึ่งดึงกระดูกแหลมสีดำตรงหน้าอกออกมาแทงไปยังก้ามยักษ์อันหนึ่งอย่างรวดเร็ว
แต่ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียง “ซู่!” ดังขึ้น
เส้นสีดำเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากใต้พื้นทราย หลังจากที่มันกะพริบเคลื่อนไหวก็แทงทะลุไปยังแขนที่ถือหอกกระดูกของศพกระดูกอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ จนมันสั่นระริกแล้วปล่อยหอกกระดูกลงไปอย่างไร้เรี่ยวแรง ขณะเดียวกันสิ่งของสีดำราวกับน้ำหมึกแผ่กระจายออกจากรูบนแขนของมันอย่างฉับไว
เส้นสีดำนั้นก็คือหางตะขอสีดำขลับอันดุร้ายนั่นเอง
ภายใต้ความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสนี้ มันสัมผัสได้ถึงความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงที่แผ่ขยายมาจากแขน มันรู้สึกลนลานเป็นอย่างมาก มือเดียวที่เหลืออยู่กำลังพยายามดึงหางตะขอนั้นออกอย่างบ้าคลั่ง
แต่หางตะขอนี้แข็งแรงมาก ถึงแม้นิ้วทั้งสิบของศพกระดูกจะแหลมคมแค่ไหน ก็ทำได้แค่ทิ้งร่องรอยสีขาวจางๆ ไว้บนนั้นเท่านั้น
และในขณะนั้น หลิ่วหมิงร่ายคาถาขึ้นมา มือทั้งสองประกบเข้าหากัน หลังจากค่อยๆ แยกออกมา คมวายุยักษ์ยาวครึ่งจั้งปรากฏออกมาทันที
“ไป!”
พอหลิ่วหมิงคำรามเสียงต่ำออกไป แล้วแค่กระตุกข้อมือทั้งสอง คมวายุยักษ์ก็กลายเป็นแสงสีเขียวกะพริบผ่านเอวของศพกระดูกไป
เสียงดัง “เพล้ง!”
ร่างศพกระดูกที่เดิมกำลังดิ้นให้หลุดพ้นจากก้ามยักษ์อยู่นั้นกลับชะงักงันในทันที ร่างส่วนบนของมันโอนเอนอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็หลุดออกมาเป็นสองส่วนร่วงลงพื้นไป
หลิ่วหมิงถอนหายใจเบาๆ เผยรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า
แต่ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียง “ตู้ม!” ดังเข้ามา
ร่างท่อนบนของศพกระดูกระเบิดออกมา กระดูกแหลมๆ สีดำหลายสิบท่อน กลายเป็นเส้นสีดำมากมายพุ่งมาทางหลิ่วหมิงกับเจียหลาน
ในระยะอันใกล้เช่นนี้ แม้แต่หลิ่วหมิงก็ยังไม่ทันเตรียมป้องกันเลย ใจเขาร่วงหล่นลงไปในทันที ทำได้แค่ใช้มือทั้งสองบังไปยังด้านหน้าอย่างรวดเร็ว
แต่ในขณะนั้นก็มีเสียงดังขึ้นมา ม่านแสงสีขาวกว้างใหญ่ชั้นหนึ่งปรากฏขึ้นที่ด้านหน้าเขา
เมื่อเส้นสีดำเหล่านั้นปะทะลงไปด้านบน ก็บังเกิดเสียงดังราวกับฝนตกใส่รั้วไม้ไผ่ จากนั้นค่อยๆ ร่วงลงสู่พื้นอย่างอ่อนแรง
หลิ่วหมิงตกตะลึงหันมองกลับไป
เห็นในมือทั้งสองของเจียหลานคีบยันต์สีเงินที่เปล่งรัศมีแสงสีขาวอยู่ ปากก็ร่ายคาถาอยู่เบาๆ
พอนางเห็นหลิ่วหมิงมองมาก็หยุดร่ายคาถา แล้วยิ้มบางๆ กล่าวออกมา
“ศพกระดูกเหล่านี้โหดร้ายเป็นอย่างยิ่ง พอร่างของมันตายก็ระเบิดตนเองออกมาเพื่อให้ศัตรูตายไปพร้อมกับมันด้วย ดูเหมือนศิษย์น้องจะยังไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องเหล่านี้”
“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ช่วยเหลือ ศิษย์น้องไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ” หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ยิ้มขมขื่นกล่าวออกมา
“ข้าก็ได้ยินมาจากอาจารย์ของข้า มิเช่นนั้นก็ไม่อาจรู้เรื่องนี้ได้ แต่พลังของศิษย์น้องเกินกว่าที่คาดไว้มากนัก เกือบจะใช้พลังตนเองฆ่าปีศาจระดับขุนพลตนนี้ได้ ใช่สิ! แมงป่องกระดูกขาวตนนี้ศิษย์น้องเป็นคนปราบมันมาได้หรือ?” เจียหลานเก็บยันต์ลงไป และกล่าวต่ออีกสองประโยค แล้วสายตาก็มองลงไปยังแมงป่องกระดูกขาวที่กำลังแทะกลืนกระดูกอยู่บริเวณที่หลิ่วหมิงยืนอยู่
“พลังอันน้อยนิดของศิษย์น้องนี้นับประสาอะไรไม่ได้ ถ้าหากไม่มีศิษย์พี่คอยช่วยในตอนท้ายเกรงว่าคงต้องตายไปพร้อมกับปีศาจตนนี้แล้ว แมงป่องกระดูกขาวตนนี้เป็นของศิษย์น้องจริงๆ ศิษย์น้องโชคดีถึงทำให้มันยอมศิโรราบได้ แต่ทำไมศิษย์พี่ถึงได้ไปยั่วยุโดนกระดูกศพตนนี้ได้ล่ะ ท่านไม่ได้อยู่ด้วยกันกับอาจารย์อาปิงหรอกหรือ?” หลิ่วหมิงย้อนถามกลับไป
“หลังจากอาจารย์ข้าเข้ามาที่นี่ ก็พบเจอเรื่องที่ไม่คาดคิดเลยแยกทางกับข้าชั่วคราว สำหรับศพกระดูกตนนี้นั้นข้าก็พบเจอมันโดยไม่ตั้งใจ จากนั้นมันก็ไล่ตามข้าไม่ปล่อย ใช่สิ! ข้ายังเก็บป้ายชื่อของนิกายเราจากบริเวณที่ศพกระดูกตนนี้อยู่ได้อันหนึ่ง ไม่แน่ศพกระดูกตนนี้อาจจะเป็นผู้อาวุโสนิกายเราที่เสียชีวิตที่นี่แล้วกลายเป็นปีศาจขึ้นมา” เจียหลานพูดจบก็โยนป้ายหยกในมือไปให้หลิ่วหมิง
หลังจากหมิ่วหมิงรับมาแล้วก็ดูอย่างละเอียด ที่แท้มันเป็นป้ายชื่อที่ทางนิกายปีศาจจัดทำขึ้นมาเป็นพิเศษ เขาถอนหายใจออกมา โยนคืนให้ดรุณีน้อยใบหน้างดงามแล้วกล่าวขึ้น
“ปีศาจร่างมนุษย์ในแดนปีศาจปรโลกมีน้อยมาก ดูเหมือนคงจะเป็นเช่นนั้น ถ้าหากพวกเราเสียชีวิตที่นี่ก็คงจะเป็นเช่นนี้เหมือนกัน ที่นี่อันตรายเป็นอย่างมากตอนนี้ศิษย์น้องเตรียมที่จะกลับไปยังฐานที่ัมั่นให้ตรงเวลา ศิษย์พี่ล่ะจะทำอย่างไรต่อไป?” หลิ่วหมิงมองดูซากกระดูกศพบนพื้นอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามออกไปอย่างสงบ
“ข้ามีเรื่องอื่นที่ยังต้องทำอีกเล็กน้อยต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกสองวัน คงไม่กลับไปพร้อมกับศิษย์น้องแล้ว ใช่สิ! ครั้งนี้โชคดีที่ศิษย์น้องได้ช่วยไว้ ข้ามีสิ่งของบางอย่างจะมอบให้ ถือว่าตอบแทนที่ช่วยชีวิตไว้” ดรุณีน้อยใบหน้างดงามกล่าวออกมา และหลังจากที่ดวงตาเป็นประกาย พลันหยิบถุงหนังตรงเอวโยนไปให้หลิ่วหมิง
“นี่…นี่คือถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ!” หลิ่วหมิงรับถุงหนังมาด้วยความตกตะลึง พอนิ้วสัมผัสถึงความเย็นที่ส่งออกมาจากถุงก็หลุดปากออกมาทันที
“ไม่ผิด มีเจ้าสิ่งนี้แล้วศิษย์น้องสามารถพกแมงป่องกระดูกขาวติดตัวได้นาน และไม่ต้องกังวลว่าปราณหยินจะไม่พอจนทำให้พลังของมันค่อยๆ ลดลง” ดรุณีน้อยใบหน้างดงามกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณนี้เกือบเทียบเท่ากับอาวุธจิตวิญญาณ ใบหนึ่งอย่างน้อยก็ต้องใช้หินจิตวิญญาณเกือบหมื่นก้อน มันล้ำค่ามากไปหน่อย ศิษย์น้องเกรงว่าจะไม่สามารถรับไว้ได้” หลิ่วหมิงได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไปมา แต่ยังคงฝืนยิ้มกล่าวออกมา
“ต่อให้จะล้ำค่าแค่ไหน ก็ไม่สำคัญเท่าชีวิตข้าหรอก อีกอย่างข้ายังมีอีกใบที่ดีกว่า ข้าเห็นศิษย์น้องไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อย ใยต้องกล่าวออกมาเช่นนี้เล่า” เจียหลานกล่าวอย่างไม่ใส่ใจแล้วดึงถุงหนังอีกใบที่ดีกว่าแกว่งให้หลิ่วหมิงดู
……………………………………….
ตอนที่ 66 ปริศนาแห่งราชาปีศาจ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ศิษย์น้องก็ไม่เกรงใจละนะ” หลิ่วหมิงเห็นนางกล่าวเช่นนี้ ก็คิดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่เกรงใจ
เจียหลานเห็นดังนี้ก็เผยรอยยิ้มบนใบหน้าออกมา หลังจากที่คุยกับหลิ่วหมิงอีกไม่กี่ประโยคก็กล่าวลาแล้วจากไป
ผ่านไปชั่วครู่ ดรุณีน้อยใบหน้างดงามก็ขี่เมฆทะยานขึ้นฟ้าเหาะไปยังทิศทางที่อยู่ไกลออกไป
หลิ่วหมิงมองดูจนร่างของดรุณีน้อยหายลับไปแล้ว ถึงก้มหน้ามองดูถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนมือ เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา
ดรุณีน้อยนางนี้มอบสิ่งของที่ล้ำค่าเช่นนี้ให้เขา ถึงแม้จะอยากตอบแทนคุณที่ช่วยชีวิต แต่ความใจกว้างนี้ช่างเหลือชื่อจริงๆ
ถึงแม้ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณนี้จะเทียบไม่ได้กับอาวุธจิตวิญญาณที่แท้จริง ในนิกายปีศาจเองก็เกรงว่าจะมีแค่อาจารย์จิตวิญญาณที่สามารถมีถุงแบบนี้ได้ ศิษย์จิตวิญญาณทั่วไปคงมีไม่กี่คนที่มีของสิ่งนี้
แต่เจียหลานผู้นี้กลับมีถึงสองใบ ดูท่าเบื้องหลังของนางคงไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น ถึงแม้ร่างละเมอฝันจะมีน้อย นิกายปีศาจมอบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณให้นางใบหนึ่งก็นับว่าพิเศษมากแล้ว ถ้าสองใบล่ะก็คิดๆ ดูแล้วก็ยังเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่ด้วยเหตุนี้ นางไม่เพียงแต่จะลบล้างบุญคุณที่เขาช่วยชีวิตไว้ แต่เขาเองกลับเหมือนจะติดค้างน้ำใจฝ่ายตรงข้ามด้วย ก็ไม่รู้ว่านางตั้งใจให้เป็นแบบนี้หรือว่าทำตามใจชอบเท่านั้น
หลิ่วหมิงคิดแบบนี้อยู่ในใจ แต่พอสังเกตดูถุงบนมือแล้วก็ปรากฏรอยยิ้มออกมาบนใบหน้า
ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณนี้เป็นของล้ำค่าที่เกือบจะเทียบเท่าอาวุธจิตวิญญาณ ย่อมให้ประโยชน์ที่คาดไม่ถึง
หนึ่งในนั้นคือ ไม่ว่าปีศาจจะมีขนาดใหญ่เล็กหรือหนักเบาแค่ไหนก็สามารถย่อมันให้เล็กลง แล้วใส่ลงไปในถุงพกติดตัวได้อย่างง่ายดาย
ประโยชน์อีกอย่างคือ แค่กระตุ้นค่ายกลอักขระพิเศษที่จารึกในถุงก็สามารถดูดปราณหยินได้จำนวนมากภายในครั้งเดียว แล้วมาสะสมไว้ในนั้น ทำให้ปีศาจที่อยู่ข้างไหนไม่ต้องขาดแคลนปราณหยินจนพลังถดถอย
ประโยชน์ทั้งสองอย่างนี้เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ประโยชน์อย่างหลังหาได้ยากยิ่งกว่า
ลำพังแค่ประโยชน์อย่างแรกล่ะก็ ในนิกายปีศาจยังมีอาวุธอาญาสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ‘ถุงปีศาจ’ ซึ่งสามารถเก็บปีศาจไว้ในนั้นเพื่อพกติดตัวได้เช่นกัน
ศิษย์ที่ใช้ปีศาจเหล่านั้น ส่วนมากก็ซื้ออาวุธอาญาสิทธิ์เช่นนี้มาใส่ปีศาจ
แต่ถุงปีศาจนี้ไม่มีพลังในการดูดปราณหยิน และยังมีเวลาใช้ที่แน่นอนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และถุงแต่ละใบยังรองรับขนาดของปีศาจได้แตกต่างกัน ราคาก็ต่างกันราวฟ้ากับดิน
หลิ่วหมิงเองก็คิดไว้ว่าเมื่อจับปีศาจได้แล้ว กลับไปค่อยใช้หินจิตวิญญาณจำนวนมากเพื่อซื้อถุงปีศาจสักใบ ตอนนี้ดูท่าจะไม่จำเป็นแล้ว
เขาคิดอยู่ในใจ ใช้มือตรวจสอบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณในมือรอบหนึ่งแล้ววางลงบนพื้นทันที ทำท่ามือด้วยมือเดียว แล้วยื่นมือไปที่มัน
อักขระสีขาวลอยออกมาแล้วกะพริบหายเข้าไปในถุงหนัง
ครู่ต่อมา ผิวภายนอกของถุงหนังก็มีอักขระสีเงินโผล่ออกมา และรวมตัวกันเป็นค่ายกลอักขระแปลกประหลาดเล็กๆ ในขณะเดียวกัน พลังดึงดูดก็ม้วนตัวออกมาจากปากถุง
ปราณหยินบริเวณนั้นสั่นสะเทือนขึ้นมา แล้วก็ถูกดูดเข้าไปในถุงหนังอย่างรวดเร็ว
ขณะเดียวกันก็มีเสียงกระหึ่มดังมาจากอากาศบริเวณนั้น ไอสีดำปรากฏออกมาเป็นสาย และยิ่งปรากฏมากขึ้นเรื่อยๆ ราวกับปราณหยินในรัศมีหลายลี้ต่างก็ทะลักมาที่นี่
หลิ่วหมิงค่อยๆ ยิ้มออกมาแล้วถอยหลังไปสองสามก้าว เพื่อให้ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณนี้ดูดเอาปราณหยินจากทั่วทุกทิศได้อย่างเต็มที่
ตอนนี้แมงป่องกระดูกขาวกลืนกินกระดูกแขนของศพกระดูกชิ้นสุดท้ายที่เหลืออยู่ จากนั้นก็ใช้ก้ามของมันหนีบกระดูกแต่ละชิ้นไปวางไว้ด้านข้างหลิ่วหมิงราวกับสุนัขตัวน้อยๆ จนซ้อนกันเป็นกองขนาดใหญ่
หลิ่วหมิงปล่อยลูกเปลวไฟออกไปหนึ่งลูก เปลวเพลิงที่คุโชนก็โอบล้อมกระดูกกองนี้ไว้ ครู่เดียวกระดูกส่วนมากก็กลายเป็นขี้เถ้า เหลือแค่กระดูกที่เปล่งประกายแวววาวแค่ยี่สิบกว่าชิ้น
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกดีใจมาก ศพกระดูกนี้สมกับเป็นปีศาจระดับขุนพล กระดูกที่สามารถใช้ได้มีมากถึงเพียงนี้ ถ้าเป็นเช่นล่ะก็สิ่งของที่แมงป่องกระดูกขาวจำเป็นต้องใช้ในการฟื้นฟูร่างกายก็ได้ครบแล้ว
เขาเก็บกระดูกทั้งหมดเหล่านี้ แล้วนั่งขัดสมาธิหลับตาลงเพื่อพักผ่อน
ครึ่งวันผ่านไป เมื่อมีเสียงดังมาจากถุงหนัง ค่ายกลอักขระสีเงินบนผิวภายนอกถุงหนังก็กะพริบหายไป ปราณหยินที่ปรากฏอยู่แถวนั้นก็ค่อยๆ กระจายหายไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ใช้มือข้างหนึ่งคว้าออกไป แล้วดูดถุงหนังลอยผ่านอากาศมาตกอยู่บนมือ
ใช้มือชั่งดูแล้วน้ำหนักถุงไม่มีการเปลี่ยนแปลง เพียงแค่สีของถุงหนังดูเหมือนจะดำกว่าเดิมเล็กน้อย
หลิ่วหมิงไม่ลังเลอะไรอีกแล้ว เขาให้จิตสื่อสารกับแมงป่องกระดูกขาวแล้วยกถุงหนังส่ายไปหามัน
เสียงดัง “ซู่!”
แสงสีดำพุ่งออกมาจากปากถุง พริบตาเดียวมันก็ม้วนตัวเพื่อนำแมงป่องกระดูกขาวเข้าไปอยู่ในนั้น
จากนั้นร่างแมงป่องกระดูกขาวก็หมุนติ้วๆ ลดขนาดลงอย่างรวดเร็ว และถูกแสงสีดำดูดเข้าไปในถุงหนัง
หลิ่วหมิงสื่อสารกับปีศาจตนนี้อยู่ครู่หนึ่งแล้วเห็นว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ก็นำถุงหนังมาติดไว้ที่เอวอย่างสบายใจ เขาทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งและใช้วิชาทะยานฟ้าเหาะกลับไปยังฐานที่มั่นของนิกายปีศาจ
ในขณะเดียวกัน เจียหลานที่ขี่เมฆอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง พลันหูของนางได้ยินเสียงที่ส่งมา นางเปลี่ยนทิศเหาะด้วยความดีใจ แล้วเหาะลงไปยังผืนป่าแห่งหนึ่ง
ผ่านไปสักครู่ นางก็มาปรากฏกายอยู่ที่โพรงไม้แห่งหนึ่ง ด้านหน้ามีหญิงงามสีหน้าซีดขาวนั่งขัดสมาธิอยู่ นางก็คืออาจารย์อาปิงนั่นเอง
พอหญิงงามเห็นเจียหลานก็รู้สึกโล่งใจทันที และกล่าวด้วยความละอายใจเล็กน้อย
“หลานเอ๋อร์ ดีจริงๆ ที่เจ้าไม่เป็นอะไร อาจารย์ติดอยู่กับปีศาจตนนั้นจนไม่สามารถออกไปได้ โชคดีที่เจ้าไม่เป็นไร และไม่ถูกศพกระดูกตนนั้นไล่ทัน”
“อาจารย์ ที่จริงหลานเอ๋อร์ถูกศพกระดูกตนนั้นไล่ทันแล้ว และถ้าไม่มีคนช่วยไว้เกรงว่าคงกลับมาไม่ได้แล้ว” ดรุณีน้อยใบหน้างดงามกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น
“อะไรนะ มีเรื่องแบบนี้ด้วย แล้วใครกันที่ช่วยเจ้าไว้ อาจารย์จะต้องขอบคุณเขาอย่างแน่นอน” หญิงงามได้ยินแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก
“อาจารย์ไม่ต้องกังวล ศิษย์ได้ตอบแทนคนผู้นี้ไปแล้ว ใช่สิ! อาจารย์ทำสำเร็จหรือไม่ สามารถนำสิ่งของนั้นออกมาจากร่างปีศาจได้หรือไม่?”
“ไม่สำเร็จ ปีศาจตนนั้นมีพลังสูงกว่าปีศาจระดับแม่ทัพของข้า และยังมีปีศาจระดับขุนพลหลายตนคอยช่วย ถึงแม้ก่อนหน้านั้นเจ้าจะใช้ร่างละเมอฝันทำลายวิชามายาที่มันเชี่ยวชาญที่สุดไปแล้วมันก็ยังหนีรอดไปได้ แต่มันก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเรามาครั้งหน้ามันจะต้องตายอย่างแน่นอน” หญิงงามได้ยินก็กล่าวอย่างเยือกเย็น
“อาจารย์ปีศาจตนนี้อัจฉริยะมาก ครั้งหน้ามันคงไม่หนีออกรังไปแบบนี้อีกแล้ว” ดรุณีน้อยใบหน้างดงามกลับขมวดคิ้วถามออกไป
“วางใจเถอะ ปีศาจตนนี้จำเป็นต้องอาศัยดูดไอปีศาจเพื่อบำรุงถึงจะทำให้พลังของมันค่อยๆ เพิ่มขึ้น และไหนเลยจะหาสถานที่มีไอปีศาจได้ง่ายถึงเพียงนี้ ถ้าไม่ถึงคราวจำเป็นสุดๆ จริงๆ มันจะไม่ออกไปอย่างแน่นอน เฮ่อๆ ใครจะไปรู้ว่าราชาปีศาจพลังโหดเหี้ยมที่ปรมาจารย์ลิ่วยินใช้กวาดล้างนิกายที่มีชื่อเสียงต่างๆ ในสมัยนั้น จะตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะว่าอาจารย์ใช้เวลาหลายสิบปีค้นหาคัมภีร์โบราณทุกชนิด และช่วงนี้ยังถูกเจ้าไขปริศนาได้ เกรงว่าทุกวันนี้ข้าก็คงเป็นเหมือนคนอื่นๆ ที่ถูกปรมาจารย์ปิดบังความจริงข้อนี้ไว้”
“สติปัญญาของปรมาจารย์ช่างเหนือกว่าผู้คนอื่นๆ มาก ศิษย์ก็แค่โชคดีที่เดาถูก” เจียหลานได้ยินก็หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา
……
เจ็ดแปดวันผ่านไป หลิ่วหมิงถือห่อหนังสัตว์ใบหนึ่งมาปรากฏกายบนลานกว้างตรงฐานที่มั่น และก้าวยาวๆ ไปยังห้องหินตรงค่ายกลที่ส่งตัวเขามา
ที่ทำให้เขาแปลกใจก็คือ พอเดินเข้าไปในห้องกินแล้ว ในนั้นมีชายหญิงสองคนอยู่ในนั้นแล้ว พวกเขาคือเหลยเจิ้น และดรุณีน้อยร่างอรชรที่มาพร้อมกับเขา
ข้างกายของเหลยเจิ้นมีปีศาจที่คล้ายวานรมีปีกที่หลังอยู่ตนหนึ่ง มันคือปีศาจระดับพลทหารหรือสมุนรับใช้อย่างปีศาจท่องราตรีที่หลิ่วหมิงเคยเห็นรูปแกะสลักของมัน แต่ขนาดดูเหมือนจะเล็กกว่ามาก มีขนาดสูงแค่ฉื่อกว่าๆ หางก็ไม่ใช่สีดำ แต่เป็นสีแดงราวกับเปลวไฟ สร้างความแปลกประหลาดให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก
ดูท่าศิษย์ผู้นี้ก็ไม่ได้กลับไปมือเปล่า แต่ข้างกายของดรุณีน้อยรูปร่างอรชรผู้นั้นกลับว่างเปล่า ไม่รู้ว่าจับปีศาจสื่อสารจิตวิญญาณไม่ได้จริงๆ ถึงได้กลับไปมือเปล่า หรือว่าเก็บไว้ในถุงปีศาจกันแน่
หลิ่วหมิงคิดถึงจุดนี้ ก็มองไปยังถุงหนังสีขาวเทาบนเอวของนางอย่างอดไม่ได้
เห็นได้ชัดว่านางก็จำหลิ่วหมิงได้เช่นกันเลยส่งยิ้มมาให้
แต่พอเหลยเจิ้นเห็นหลิ่วหมิงก็รู้สึกตะลึงเล็กน้อย กวาดสายตามองห่อผ้าหนังที่เขาถือมา ก็แบะปากใส่ โดยที่ไม่คิดจะทักทาย
หลิ่วหมิงย่อมไม่เป็นฝ่ายกล่าวอะไรออกมาก่อน แต่สงสัยว่าทำไมทั้งสองถึงเอาแต่อยู่ในนี้ และไม่ส่งตัวกลับไป
ในขณะนั้นเอง ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกประตูหิน เฒ่าปีศาจเดินเข้ามาอย่างไม่รีบร้อน เขากวาดสายตามองคนทั้งสามแล้วก็ส่งเสียงกล่าวออกมา
“ดี ในที่สุดก็ครบสามคนแล้ว ด้วยเหตุนี้ทนฝืนส่งพวกเจ้ากลับหนึ่งครั้ง ก็นับว่าไม่ค่อยสิ้นเปลืองหินฟ้าเท่าไหร่”
พอกล่าวจบ ผู้เฒ่าปีศาจก็เดินไปยังบริเวณค่ายกลสำหรับส่งตัว แล้วก็เริ่มวางผลึกหินสีดำอย่างไม่สนใจใคร
พอหลิ่วหมิงได้ยินจึงเข้าใจขึ้นมาทันที
และหลังผ่านไปสักครู่ เฒ่าปีศาจก็วางผลึกหินฟ้าจนเสร็จ แสดงให้เห็นว่าทั้งหมดสามารถเข้าไปในค่ายกลได้แล้ว
ทั้งสามเห็นเช่นนี้ ต่างก็พากันเดินเข้าไปในค่ายกล
เฒ่าปีศาจทำท่ามือด้วยมือเดียวชี้ผ่านอากาศไปยังค่ายกลสำหรับส่งตัว พลังสายหนึ่งพุ่งเข้าไปในนั้น
ครู่ต่อมา ค่ายกลก็ส่งเสียงดังกระหึ่ม ร่างของทั้งสามก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ผู้เฒ่าปีศาจถึงเดินออกไปนอกประตูอย่างไม่รีบร้อน
ผ่านไปชั่วครู่ พลันมีเสียงฝีเท้าอันรีบร้อนดังขึ้นที่นอกประตู ขณะเดียวกันก็มีเสียงกระหืดกระหอบของชายหนุ่มดังเข้ามา
“เฒ่าปีศาจ รีบกระตุ้นค่ายกลส่งตัว ข้าจะกลับนิกาย”
“รอไปก่อน ตอนนี้จำนวนคนไม่พอ!” เฒ่าปีศาจตอบกลับอย่างเหนื่อยหน่าย
……
หลังจากที่หลิ่วหมิงวิงเวียนศีรษะอยู่พักหนึ่งแสงสีขาวรอบด้านก็หายไป เขาก็มาปรากฏตัวในห้องลับสีทองที่ถูกส่งตัวไปในตอนแรก
เมื่อเสียงค่ายกลดังกระหึ่มใต้เท้าหยุดลง และแสงกะพริบขึ้นมาประตูแสงบานหนึ่งก็ปรากฏตรงผนังด้านหน้า
“รีบออกมาหน่อย ยังมีคนต้องไปแดนปีศาจปรโลก”
เมื่อเหลยเจิ้นและดรุณีน้อยรูปร่างอรชรได้ยินเช่นนี้ก็เดินออกไปอย่างเร่งรีบ
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเข้าหากันแล้วก็เดินตามออกไป
……………………………………….
ตอนที่ 67 ถูกเปิดเผย
โดย
Ink Stone_Fantasy
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ตกตะลึงเล็กน้อย อย่างที่รู้ๆ กัน ถ้าหากนิกายมีเรื่องสำคัญอะไรที่ต้องแจ้งล่ะก็ ย่อมให้ศิษย์มาส่งจดหมายด้วยตัวเอง แต่กลับมีจดหมายปรากฏอยู่ที่นี่ได้ ช่างน่าแปลกใจเสียจริง
“หรือว่าเป็น…”
พลันปรากฏความคิดหนึ่งแวบขึ้นมาในสมอง หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเข้าหากันขณะที่เดินไปดึงซองจดหมายด้านหน้าออกมา หลังจากใช้จิตกวาดดูแล้วไม่พบความผิดปกติอันใดก็ดึงจดหมายในนั้นออกมา เขาดูแค่ครู่เดียว สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนสีขึ้นมา
“ที่แท้พวกเขาทั้งสองมาหาข้า ไม่ใช่บอกว่ากลับไปแล้วจะหนีไปไกลๆ หรอกหรือ หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้นที่ตระกูลไป๋!” หลิ่วหมิงคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว ฝ่ามือทั้งสองถูเข้าด้วยกัน พลันเปลวไฟสีแดงกลุ่มหนึ่งก็ลุกพรึ่บขึ้นมาเผาจดหมายมอดไหม้เป็นขี้เถ้าในพริบตา
เขาทะยานขึ้นฟ้าเหาะตรงไปยังนอกประตูนิกายปีศาจ
ผ่านไปสักครู่ หลิ่วหมิงเหาะลงตรงสิ่งก่อสร้างกลุ่มหนึ่งบริเวณเทือกเขา และเข้าไปห้องโถงภายในหอแห่งหนึ่ง เห็นทั้งสองที่เขาเคยรู้จักรออยู่ที่นี่มาสิบกว่าวันแล้ว
ชายเสื้อเหลืองสูงต่ำสองคนก็คือเจ้ากวนกับเจ้ากู่ที่มาจากตระกูลไป๋นั่นเอง
พอทั้งสองเห็นหลิ่วหมิงเข้ามาก็ตกใจ รีบลุกขึ้นยืน เจ้ากวนถามด้วยความลังเล
“ท่านคือนายน้อย?”
“ไม่เจอกันแค่ปีเดียว ท่านทั้งสองก็จำข้าไม่ได้แล้วหรือ?” หลิ่วกลับเดินเข้าไปพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ และนั่งลงไปบนเก้าอี้ตัวหนึ่ง
“ที่แท้ก็คือนายน้อยจริงๆ วิเศษไปเลย ตอนนี้รูปร่างของนายน้อยเปลี่ยนไปจากเดิมมาก คิดว่านายท่านเห็นแล้วคงตกใจน่าดู” เจ้ากวนเห็นเช่นนี้สีหน้าตื่นตะลึงก็หายไป รีบก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าวกล่าวอย่างนอบน้อม
เจ้ากู่ก็ก้าวไปข้างหน้าทำความเคารพ แต่สีหน้าดูสับสนปนเป
ตอนที่ทั้งสองส่งหลิ่วหมิงมานิกายปีศาจ ไม่คิดว่าเด็กหนุ่มตรงด้านหน้าจะผ่านพิธีเปิดจิตวิญญาณได้สำเร็จจนกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณของนิกายได้จริงๆ
ตอนนี้ได้พบกันอีกครั้ง สถานะของทั้งสามย่อมแตกต่างกันเป็นอย่างมาก
“ตอนนี้ลักษณะใบหน้าของข้าเปลี่ยนเป็นเพราะการฝึกฝน แต่พวกเจ้าสองคนทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับตระกูลไป๋?” หลิ่วหมิงอธิบายไปสองประโยคแล้วจึงถามออกไปอย่างไม่รีบร้อน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! ตั้งแต่นายท่านทราบว่านายน้อยกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณของนิกายปีศาจได้ ตระกูลไป๋ทั้งตระกูลก็จัดโต๊ะเลี้ยงฉลองกันสามวันสามคืน แม้กระทั่งเมื่อไม่นานมานี้คุณหนูใหญ่ก็รีบกลับมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ที่พวกข้าทั้งสองมาถึงนี่ เพราะได้รับคำสั่งจากนายท่านให้มาส่งจดหมายลับให้นายน้อย” เจ้ากู่กล่าวไปด้วยแล้วก็หยิบจดหมายสีดำที่ปิดผนึกอย่างดีออกมา แล้วประคองยื่นให้ด้วยมือทั้งสอง
“คุณหนูใหญ่! อ๋อ! พวกเจ้าหมายถึงพี่สาวคนโตของข้าไป๋เยียนเอ๋อร์สินะ! เอาอย่างนี้ดีกว่า ตามข้ามาก่อน พวกเราหาสถานที่เหมาะสมก่อนแล้วค่อยคุยกัน” หลังจากหลิ่วหมิงได้ยินแล้วก็กวาดสายตามองไปรอบด้าน และไม่รีบแกะจดหมายออกในทันทีแต่กลับกล่าวเช่นนี้ออกมา
เจ้ากวนเจ้ากู่ทั้งสองย่อมไม่มีข้อขัดแย้งใดๆ ได้แต่กล่าวตอบรับออกมา
หลิ่วหมิงพาทั้งสองเดินออกจากหอแล้ว ทำท่ามือด้วยมือเดียว เมฆเทาเกาะตัวกันด้านหน้าของเขาทันที หลังจากที่เรียกทั้งสองขึ้นมาแล้วก็กระตุ้นวิชาทะยานเวหาเหาะไปยังบนเขาเล็กๆ ลับตาคนที่อยู่ไกลออกไป
เวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา หลิ่วหมิงพาเจ้ากวนและเจ้ากู่ร่อนลงบนยอดเขาหัวโล้น
เมื่อเท้าทั้งสองแตะพื้นก็ขาอ่อนจนเกือบจะล้มลงบนพื้น
และสายตาทั้งสองที่มองดูหลิ่วหมิงนั้น เต็มไปด้วยความเกรงกลัวและยำเกรง
“เอาล่ะ ที่นี่โล่งแจ้ง คงไม่ค่อยมีคนอื่นได้ยินคำพูดเราแล้ว ตอนนี้พูดมาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ถ้าข้าจำไม่ผิดตอนแรกพวกเจ้าบอกว่าพอกลับถึงตระกูลไป๋ ก็จะรีบไปให้ไกลจากตระกูลไป๋มิใช่หรอกหรือ? ทำไมยังมาส่งจดหมายให้นายท่านตระกูลไป๋ได้?” หลิ่วหมิงตบหมายในมือเบาๆ แล้วกล่าวอย่างสุขุมเยือกเย็นมาก
“น้องหลิ่วช่วยพวกข้าด้วย เรื่องที่พวกข้าทั้งสองทำทั้งหมดถูกคุณหนูใหญ่รู้เข้าแล้ว ทั้งยังถูกคุณหนูใหญ่ฝังข้อจำกัดบางอย่างไว้ในตัวพวกข้า ตอนนี้ชีวิตของพวกข้าแขวนอยู่บนเส้นด้ายแล้ว
“ใช่แล้ว นอกจากจดหมายนี้แล้วคุณหนูใหญ่ยังให้พวกเรานำสิ่งของอย่างหนึ่งมาให้น้องหลิ่วด้วย นางบอกว่าน้องหลิ่วดูแล้วก็จะรู้เอง”
ที่ทำให้หลิ่วหมิงคาดไม่ถึงก็คือ ครู่ต่อมาเจ้ากวนและเจ้ากู่ก็คุกเขาลงไปบนพื้นด้วยเสียงดัง “ตุบ!” แล้วก็พูดคร่ำครวญน้ำมูกน้ำตาไหล
“อะไรนะ หญิงที่ชื่อไป๋เยียนเอ๋อร์รู้เรื่องที่ข้าสวมรอยไป๋ชงเทียนแล้วเหรอ นางรู้ได้อย่างไร พวกเจ้าจงเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียด!” ถึงแม้หลิ่วหมิงจะเป็นคนสุขุมมาโดยตลอด แต่พอได้ยินเช่นนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยน
“ถูกต้อง! ตั้งแต่พวกเราทั้งสองกลับไปยังตระกูลไป๋ก็พยายามหาวิธีแก้พิษในตัว จะได้เป็นอิสระจากตระกูลไป๋ ดีที่หลังจากมีข่าวว่าน้องหลิ่วได้เป็นศิษย์จิตวิญญาณแพร่ออกมา นายท่านกลับไว้ใจเราทั้งสองมากขึ้นกว่าเดิม ในที่สุดเมื่อหลายเดือนก่อนได้มีโอกาสขโมยยาถอนพิษออกมาได้ แต่ตอนที่พวกข้าคิดที่จะวางแผนอย่างลับๆ เพื่อพาคนในครอบครัวออกไปนั้น กลับถูกคุณหนูเยียนเอ๋อร์จับได้ คุณหนูใหญ่ก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณเหมือนกัน ไม่รู้ว่านางใช้วิชาอะไรกับพวกข้า หลังจากที่พวกข้าทั้งสองใจลอยเคลิบเคลิ้ม ก็เล่าเรื่องราวทั้งหลายออกมาจนหมดโดยไม่รู้ตัว แต่หลังจากที่คุณหนูเยียนเอ๋อร์ฟังจบแล้ว ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงยังไม่จัดการกับพวกเรา เพียงแค่ฝังข้อจำกัดไว้บนตัวพวกข้าแล้วก็จากไป และผ่านไปไม่กี่วัน นายท่านให้พวกเรามาส่งจดหมายให้นายน้อย คุณหนูก็ให้พวกเรานำของสิ่งนี้มาส่งพร้อมกัน” เจ้ากวนรีบเล่าออกมาอย่างรวดเร็ว และหยิบแผ่นไม้ไผ่แผ่นหนึ่งออกมายื่นให้กับหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเลิกคิ้วสั่งให้ทั้งสองลุกขึ้น แล้วรับแผ่นไม้ไผ่มาดูอย่างละเอียด ก็ค้นพบว่าบนแผ่นไม้ไผ่นี้จารึกอักขระจิตวิญญาณขนาดเล็กหลายเส้น ดูเหมือนจะไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ตอนนี้เขาไม่ใช่ศิษย์เพิ่งเข้านิกายที่ไม่รู้จักสิ่งของที่เป็นอาวุธของผู้ฝึกฝนแล้ว หลังจากที่เขาลังเลเล็กน้อยก็ทำท่าด้วยมือเดียวแล้วร่ายคาถาใส่แผ่นไม่ไผ่
แสงสีขาวเปล่งประกายออกมา
แผ่นไม้ไผ่สั่นไหวเล็กน้อยแล้วลอยออกไปจากมือ หลังจากที่มันหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบก็ปรากฏแสงหลากสีสันอร่ามกลุ่มหนึ่ง และหลังจากที่มันรวมตัวกันแล้วก็กลายเป็นเงาร่างของหญิงสาวที่สูงฉื่อกว่าๆ
แต่เงาร่างของนางดูเลือนลางมาก พอมองเห็นได้ลางๆ ว่าเป็นหญิงสาวใบหน้างดงามนางหนึ่ง พอปรากฏภาพนางออกมาแล้วก็เริ่มพูด
“คือสหายหลิ่วใช่ไหม ข้าคือไปเยียนเอ๋อร์ เป็นพี่สาวของไป๋ชงเทียนผู้ไร้ความสามารถผู้นั้น หลังจากที่รู้เรื่องราวของพี่หลิ่วแล้ว ข้าควรจะไปเยี่ยมเยียนท่านที่นิกาย แต่น่าเสียดายที่ทางนิกายมีเรื่องสำคัญที่ต้องเรียกตัวข้าพอดี เลยทำได้แค่ใช้ยันต์แผ่นไม้ไผ่นี้เก็บคำพูดไว้พูดคุยกับสหายได้เล็กน้อย เอาล่ะพลังของข้าต่ำต้อยไม่สามารถเก็บคำพูดไว้ในนี้ได้เยอะ ก็จะพูดเรื่องยาวให้สั้นๆ ล่ะกัน ในเมื่อเจ้าไป๋ชงเทียนตายในเงื้อมมือของโจรปล้นสดมภ์ธรรมดา ย่อมเป็นความโชคร้ายของเขาจะโทษใครอื่นไม่ได้ แต่ที่สหายกลายเป็นศิษย์จิตวิญญาณของนิกายปีศาจนั้น ล้วนใช้ทรัพยากรของตระกูลไป๋เราจำนวนมากถึงแลกมาได้ ท่านควรจะตอบแทนอะไรกับตระกูลไป๋บ้าง มิเช่นนั้นข้าจะบอกเรื่องนี้กับทางนิกาย อย่างน้อยก็คงหนีไม่พ้นความผิดฐานหลอกหลวง แต่ถ้าทำเช่นนี้มันก็ไม่ได้ก่อประโยชน์อันใดกับตระกูลไป๋ของพวกเรา ดังนั้นข้าจึงมีข้อเสนอเล็กน้อย…”
เงาร่างของไปเยียนเอ๋อร์ค่อยเล่าๆ ออกมา หลิ่วหมิงยืนฟังอยู่ด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึก ดูไม่ออกว่าในใจเขาคิดอะไรอยู่
“เช่นนี้แล้วมันจะเป็นผลดีต่อทั้งสองฝ่าย ข้าเชื่อว่าพี่หลิ่วคงจะไม่ปฏิเสธ ในจดหมายที่พ่อข้าส่งให้ท่านนี้ เป็นเงื่อนไขที่คลุมเครือกว่าเล็กน้อย ขอแค่สหายท่านตอบตกลงเรื่องอื่นๆ ก็ไม่ต้องถามแล้ว แค่ทำตัวเป็นไป๋ชงเทียนต่อไปก็พอแล้วนอกจากนี้ เรื่องที่เจ้ากวนกับเจ้ากู่ทำขึ้นมานี้ถึงแม้จะอภัยให้ได้ แต่ตระกูลไป๋ก็ไม่อาจเก็บพวกเขาไว้ได้อีกแล้ว มอบให้เป็นคนรับใช้ของสหายก็แล้วกัน ในส่วนข้อจำกัดบนร่างกายพวกเขานั้นข้าแค่ใช้วิชามายาเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ไม่ได้ลงไม้ลงมืออะไรจริงๆ แน่นอนว่าถ้าพี่หลิ่วรู้สึกลำบากใจ แล้วอยากส่งพวกเขาไปตายล่ะก็ข้าก็ไม่คัดค้านใดๆ เอาล่ะ เรื่องที่ควรพูดก็ได้พูดแล้ว ถ้าหากว่าพี่หลิ่วไม่มีการตอบกลับใดๆ ข้าจะถือว่าท่านยอมรับโดยปริยาย อิอิ! ถึงแม้ตระกูลไป๋จะสูญเสียเครือญาติสายตรงไปคนหนึ่ง แต่ก็ได้ศิษย์จิตวิญญาณที่แท้จริงมาสักคน ก็นับว่าได้รับความโชคดีในความโชคร้าย”
เงาร่างของหญิงสาวหัวเราะเบาๆ แล้วก็กะพริบหายไป
ไม้ไผ่ที่ลอยอยู่บนอากาศก็เผาตัวเองจนกลายเป็นลูกไฟ ครู่เดียวก็กลายเป็นขี้เถ้าลอยกระจายออกไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ได้แต่ลูบคางไปมาอยู่ครู่หนึ่ง มีความลังเลปรากฏขึ้นบนใบหน้าเขา
“น้องหลิ่ว…ไม่สิ…คุณชายหลิ่ว พวกข้าทั้งสองยอมให้ท่านเป็นนาย ต่อนี้ไปจะจงรักภักดีต่อท่านแต่เพียงผู้เดียว”
“นายท่านต่อไปถ้ามีเรื่องอะไรจะใช้ ข้าเจ้าสามจะไม่บอกปัดอย่างเด็ดขาด และจะพยายามทำให้สำเร็จ”
เจ้ากวนได้ยินไป๋เยียนเอ๋อร์บอกว่าไม่ได้ฝังข้อจำกัดอะไรลงบนร่างกายของพวกเขาจริงๆ ก็รู้สึกดีใจมาก แต่ต่อมาได้ยินว่าให้หลิ่วหมิงส่งพวกเขา “ไปตาย” ก็รู้สึกตกใจจนขวัญกระเจิงทันที ทั้งสองสบตากันสักครู่โดยไม่ต้องกล่าวอะไรออกมาและคุกเข่าลงพื้นอีกครั้ง แล้วรีบแหงนหน้ากล่าวคำสาบานต่อฟ้า
เห็นได้ชัดว่าทั้งสองกลัวหลิ่วหมิงจะทำตามที่ไปเยียนเอ๋อร์บอกให้ปลิดชีวิตพวกเขาทิ้ง
“ท่านทั้งสองลุกขึ้นมาเถอะ ข้าจะเอาชีวิตของพวกท่านอย่างไร้เหตุผลได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไรก็ตามถ้าตอนนั้นไม่พบเจอกับพวกท่านเข้า ข้าคงไม่มีวาสนาได้เป็นศิษย์จิตวิญญาณ แต่เพื่อป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นข้าก็ไม่อาจปล่อยให้พวกเจ้าจากไปได้” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“ขอแค่คุณชายสบายใจ มีวิธีการอะไรก็รีบแสดงออกมาเถอะ ข้าทั้งสองจะไม่กล่าวแค้นแม้แต่คำเดียว!” เจ้ากวนได้ยินคำพูดนี้ก็รีบกล่าวออกมาโดยไม่คิดก่อน
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะใช้วิธีการเล็กน้อยแล้วล่ะ” หลิ่วหมิงได้ยินก็ผงกศีรษะ พลิกนิ้วขึ้นมา พลันเข็มเงินแหลมเล็กก็ปรากฏขึ้นมา มันลางเลือนกลายเป็นเส้นสีเงินแทงไปยังตัวพวกเขาทั้งสอง
เจ้ากวนกับเจ้ากู่ย่อมไม่กล้าหลบหลีก รู้สึกแค่ว่าร่างกายชาเกือบจะพร้อมกัน แล้วก็ไม่รู้ว่าถูกเข็มเงินแทงไปกี่ครั้งแล้ว
หลิ่วหมิงหดแขนลง เข็มเงินก็หายไปทันที ทั้งยังกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม
“เอาล่ะ วิชาที่ใช้เข็มเงินแทงชีพจรชุดนี้ จะซุ่มซ่อนอยู่ในร่างพวกเจ้าไปหลายปี ในระหว่างนี้พวกเจ้าไปช่วยข้าทำเรื่องบางอย่างที่สถานที่บางแห่ง ถ้าทำได้ดีข้าจะช่วยพวกเจ้าแก้วิชานี้ ทั้งยังจะช่วยพาครอบครัวของพวกเจ้าออกมาจากตระกูลไป๋ จากนั้นพวกเจ้าทั้งสองอยากไปที่ไหนข้าก็จะไม่ห้ามเลยแม้แต่น้อย”
……………………………………….
ตอนที่ 68 อายุขัย
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ไม่ทราบคุณชายจะให้พวกข้าไปทำเรื่องอันใด!” เจ้ากวนได้ยินคำพูดนี้ก็รู้สึกดีใจ แต่ก็ถามออกไปอย่างระมัดระวัง
“วางใจเถอะ ข้าไม่ให้พวกเจ้าทำเรื่องที่พวกเจ้าทำไม่ได้หรอก เพียงแค่ไปสถานที่ไม่แห่งในโลกมนุษย์สร้างอิทธิพลเล็กๆ ที่สามารถขับเคลื่อนได้ ขณะเดียวกันให้ช่วยสืบและรวบรวมข้อมูลทั้งหมดมาให้ข้าเท่านั้น เรื่องเหล่านี้คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับผู้ฝึกปราณขั้นกลางอย่างพวกเจ้า” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่ไม่เหมือนยิ้ม
“คุณชายวางใจเถอะ เรื่องอื่นๆ พวกข้าอาจจะช่วยอะไรได้ไม่ค่อยมาก แต่เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้รับรองไม่มีปัญหา” เจ้ากวนรีบกล่าวด้วยความโล่งใจ
“ดี พวกเจ้าทั้งสองพักอยู่เขานอกนิกายอีกสักคืน รอข้าคิดเรื่องที่จะให้พวกเจ้าทำเสร็จแล้วจะมาหาพวกเจ้าอีกครั้ง พอถึงเวลาพวกเจ้าไปทำตามที่ข้าบอกก็พอ” หลิ่วหมิงกล่าวกำชับอย่างราบเรียบ
ครั้งนี้เจ้ากวนเจ้ากู่ต่างก็ประสานเสียงกันตอบรับ
เวลาต่อมา หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียวรวมตัวก้อนเมฆส่งทั้งสองกลับไปยังหอ จากนั้นตนเองก็ขี่เมฆกลับไปยังเขาเก้าทารก
ใช้เวลาไม่นานเขาก็กลับมาถึงที่พักของตนเอง เปิดประตูห้องหาเก้าอี้ตัวหนึ่งมานั่งอย่างไม่ใส่ใจ แล้วก็หยิบจดหมายของนายท่านตระกูลไป๋ออกมาเปิดอ่าน
“ให้ข้าสวมรอยใช้ชื่อไป๋ชงเทียนต่อไป ทั้งยังให้พยายามช่วยตระกูลไป๋ขยายอิทธิพลให้ได้ภายในสิบปี ตระกูลไป๋เองก็จะจัดหาทรัพยากรจำนวนหนึ่งให้ข้าฝึกฝน ดูเหมือนจะเป็นเงื่อนไขที่ไม่เลวไม่ต่างจากที่ไป๋เยียนเอ๋อร์กล่าวไว้มากนัก แต่ในตอนท้ายที่กล่าวถึงเรื่องหมั้นหมายกับตระกูลมู่คืออะไร คิดที่จะให้ข้าหมั้นหมายกับมู่หมิงจู คงไม่ใช่เรื่องล้อเล่นหรอกนะ! ตอนนี้เจ้าหนูนั่นกำลังสนิทสนมกับเกาชง จะสนใจศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณอย่างข้าได้อย่างไร ควรให้ตระกูลมู่คุยกับเจ้าหนูนี่ให้ได้ก่อนค่อยว่ากันเถอะ!” อ่านจดหมายของนายท่านตระกูลไป๋เสร็จแล้ว หลิ่วหมิงก็ยิ้มเยือกเย็นขึ้นมาทันที ฝ่ามือทั้งสองถูกันแล้วจดหมายนี้ก็โดนเผากลายเป็นขี้เถ้า
เขาย่อมไม่คิดที่จะตอบจดหมายกลับไปยังตระกูลไป๋
เช้าวันที่สอง หลิ่วหมิงออกไปจากที่พักไปหาเจ้ากวนเจ้ากู่อีกครั้ง
เขาพาทั้งสองมายังที่ลับตาคนอีกครั้ง มอบหมายงานไปได้เกือบครึ่งชั่วยาม ถึงขี่เมฆส่งทั้งสองออกจากเทือกเขานิกายปีศาจด้วยตนเอง จากนั้นจึงกลับเข้าไปในนิกายใหม่
หลิ่วหมิงไม่ได้ตรงกลับไปที่พักทันที แต่กลับไปที่โรงหมอเทวดาที่อยู่บนยอดเขา
ครั้งนี้พอเขาเดินเข้าไปในบานประตูของหอที่สร้างขึ้นจากไม้นี้ ชั้นแรกยังคงมีคนอยู่หนึ่งคนเช่นเดิม แน่นอนว่าไม่ใช่เจียหลาน แต่กลับเปลี่ยนเป็นหญิงหน้าตาธรรมคนหนึ่ง
หญิงนางนี้ถามอย่างไม่ใส่ใจแล้วก็โบกมือให้เขาขึ้นไปชั้นสองได้
หลิ่วหมิงก็ก้าวขึ้นไปชั้นสองอย่างไม่เกรงใจ เขาเดินไปยังห้องที่มีกลิ่นโอสถโชยออกมาแต่ไม่ได้เข้าไปในครั้ง
พอเขาเดินถึงหน้าม่านไข่มุกสีขาวตรงทางเข้าห้อง ก็ชะงักฝีเท้าอย่างอดไม่ได้ มีเสียงอบอุ่นของผู้หญิงดังมาจากในนั้น
“ในเมื่อมาถึงแล้ว จะลังเลอะไรอีก! เข้ามาเถอะเจ้าหนุ่มน้อย”
“ขอบคุณอาจารย์อา ถ้าอย่างนั้นผู้น้อยไม่เกรงใจล่ะนะ” หลิ่วหมิงได้ยินคำพูดนี้ก็ตอบกลับไปอย่างสุภาพ แล้วถึงเลิกม่านไข่มุกเดินเข้าไป
แต่เมื่อเขาเข้าไปกวาดสายตาดูในนั้นแล้วกลับรู้สึกตกใจขึ้นมา
บนเก้าอี้ข้างเตาโอสถ คือหญิงใส่หมวกมีผ้าสีเขียวคลุมลงมาที่หลิ่วหมิงเคยเจอที่ชั้นสามในครั้งก่อน
“ผู้อาวุโสทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ท่านไม่ใช่ว่าอยู่……” หลิ่วหมิงคิดถึงตอนที่ถูกฝ่ายตรงข้ามไล่ไปในครั้งนั้น ก็รู้สึกลังเลขึ้นมา
“เฮ่อๆ ดูจากท่าทีของเจ้าคงเคยเจอพี่สาวของข้าแล้ว วางใจเถอะพวกข้าไม่ใช่คนๆ เดียวกัน เป็นพี่น้องฝาแฝดกันเท่านั้น ดังนั้นโดยทั่วไปจะแต่งกายเหมือนกัน” พอหญิงใส่หมวกผ้าคลุมเห็นหลิ่วหมิงมีท่าทีเหี่ยวเฉาเช่นนี้ กลับหัวเราะออกมาเบาๆ และอธิบายอย่างอ่อนโยน
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ผู้น้อยจำคนผิดแล้ว” พอหลิ่วหมิงได้ยินน้ำเสียง ก็เห็นว่าต่างกันกับหญิงหมวกคลุมชั้นสามอย่างสิ้นเชิงถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“แต่เจ้าหนุ่มน้อย ข้าดูลักษณะของเจ้าแล้วไม่เหมือนกับได้รับบาดเจ็บหรือป่วยแต่อย่างใด!” หญิงหมวกคลุมกล่าวออกมาหลังจากที่ดูหลิ่วหมิงอยู่ครู่หนึ่ง
“ผู้น้อยเพิ่งกลับมาจากแดนปีศาจปรโลก แต่พบกับเหตุการณ์ไม่คาดคิดในนั้น เคยรู้สึกว่าไม่ค่อยสบาย แต่หลังจากที่ตนเองได้ตรวจสอบแล้ว กลับไม่พบความผิดปกติใดๆ ดังนั้นจึงอยากให้ผู้อาวุโสตรวจร่างกายข้าหน่อยว่ามีตรงไหนที่ไม่ปกติบ้างหรือหรือไม่?” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างสุภาพ
“อ้อ! ร่างกายไม่ปกติ? ขอบเขตในครั้งมันกว้างเกินไป แต่ถ้าอย่างอยากจะตรวจอย่างละเอียดสักครั้งละก็ ข้าจะต้องอาศัยค่ายกลตรวจสอบสักครั้ง แต่ค่าใช้จ่ายมันไม่ใช่น้อย” หญิงหมวกคลุมดูไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย นางกล่าวออกมาอย่างสงบ
“ใช้หินจิตวิญญาณเท่าไหร่?” หลิ่วหมิงถามโดยไม่ลังเล
“หนึ่งร้อย”
เสียงของหญิงใส่หมวกคลุมอบอุ่นเช่นนี้ แต่จำนวนตัวเลขที่กล่าวมานั้นให้เขาหลิ่วหมิงตกใจไม่น้อย
“ขอถามอาจารย์อาได้หรือไม่ ผลการตรวจสอบของค่ายกลนี้เป็นอย่างไรบ้าง?” จำนวนจำเลขมากขนาดนี้ทำให้เขาลังเลขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“เจ้าวางใจเถอะ ถ้าร่างกายของเจ้ามีอะไรผิดปกติขึ้นมาจริงๆ ค่ายกลนี้จะต้องตรวจสอบออกมาได้อย่างแน่นอน มิเช่นนั้นข้าจะเก็บหินจิตวิญญาณจากผู้น้อยอย่างเจ้ามากถึงเพียงนี้ได้อย่างไร ที่จริงแล้วหินจิตวิญญาณร้อยก้อน มันแทบจะไม่เพียงพอที่จะใช้กับค่ายกลนี้” หญิงใส่หมวกคลุมตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
“ถ้าอย่างนั้นผู้น้อยก็จะใช้สักครั้ง” หลังจากที่หลิ่วหมิงคิดชั่งใจแล้วก็กัดฟันตอบรับกลับไป
“ดีมาก เจ้ามานี่เถอะ” หญิงใส่หมวกคลุมได้ยินคำพูดนี้กลับรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย มองดูหลิ่วหมิงอย่างละเอียดครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้นไปยังมุมหนึ่งของห้อง
ตอนนี้หลิ่วหมิงเพิ่งค้นพบว่า บนพื้นไม้กระดานฝั่งนั้น มีค่ายกลสีทองขนาดใหญ่หลายฉื่อจารึกอยู่
หญิงใส่หมวกคลุมหยิบผลึกหินสีขาวหิมะหลายก้อนมาวางตรงขอบที่มีร่องเว้าหลายร่อง แล้วจึงเรียกให้หลิ่วหมิงเข้าไป
หลิ่วหมิงดูเหมือนจะปลดถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอววางไว้นอกค่ายกลอย่างไม่ใส่ใจ แล้วจึงเดินเข้าไปนั่งขัดสมาธิอยู่ในนั้น
หญิงใส่หมวกคลุมพลิกมือข้างหนึ่งขึ้น พลันปรากฏแผ่นคุมค่ายกลกลมๆ สีเดียวกับค่ายกลขึ้นมา มือข้างหนึ่งชี้ไปที่มัน
ค่ายกลส่งเสียงดังกระหึ่มขึ้นมาทันที แสงสีทองอร่ามม้วนตัวออกมาจากในนั้นแล้วคลุมร่างของหลิ่วหมิงไว้
หญิงใส่หมวกคลุมเริ่มร่ายคาถา นิ้วมือนิ้วหนึ่งชี้ไปที่แผ่นคุมค่ายกลบนมืออยู่ไม่หยุด และมีจุดแสงหรืออักขระพรั่งพรูออกมาจากในนั้นอยู่ไม่ขาดทำให้ดูแล้วละลานตาไปหมด
“ร่างกายแข็งแรงมาก โลหิตเพียงพอ ชีพจรครบถ้วน กระดูกหนาแน่น จนเกือบจะหนาแน่นกว่าคนทั่วไปหนึ่งเท่า เอ๋!พลังเวทย์บริสุทธิ์ขนาดนี้ เจ้าผ่านการกลั่นพลังเวทย์มาแล้ว!” หญิงใส่หมวกคลุมควบคุมแผ่นคุมค่ายกลเพียงชั่วครู่ ก็พึมพำออกมาด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“พลังเวทย์ของผู้น้อยถูกทำให้บริสุทธิ์มาแล้วจริงๆ” เมื่อถูกฝ่ายตรงข้ามตรวจสอบเจอแล้ว หลิ่วหมิงย่อมไม่กล้าปิดบังอะไรอีก
“ดูไม่ออกจริงๆ เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าเป็นผู้ที่มีจิตใจที่เด็ดเดี่ยวเป็นอย่างมาก เท่าที่ข้าทราบมาผู้ที่อายุยังน้อยแต่กลั่นพลังเวทย์ที่เป็นเรื่องสิ้นเปลืองพลังและเวลามากนี้ ถ้าไม่ใช่ผู้ที่เชื่อมั่นในการบรรลุระดับของตนเองอย่างเต็มที่ โดยไม่สนเวลาที่เสียไป ก็เป็นผู้ที่คิดจะเดินทางลัดโดยยอมรับกับความเสี่ยง” หญิงใส่หมวกคลุมมีท่าทีแปลกใจเป็นอย่างมาก
“ข้าน้อยเองก็ไม่ทราบว่าตนเองเป็นคนแบบใด ว่าแต่อาจารย์อาตรวจเสร็จหรือยัง?” หลิ่วหมิงตอบกลับไปอย่างคลุมเครือแล้วถามอย่างกังวลเล็กน้อย
“ยังไม่เสร็จ รออีกหน่อยเถอะ อืม! ทะเลจิตวิญญาณก็ไม่มีปัญหา จิตก็มั่นคงมาก คงจะไม่มีปัญหา……” หญิงใส่หมวกคลุมควบคุมแผ่นคุมค่ายกลไปด้วยพูดกับตัวเองไปด้วย
แต่พอหลิ่วหมิงได้ยินหญิงผู้นี้พูดว่า “ทะเลจิตวิญญาณไม่มีปัญหา” ดวงตาของเขาก็มีแววผิดหวังขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้
“เอ๋! อายุขัยไม่ถูกต้อง ดูเหมือนจะลดน้อยลง!” พอเสียงหญิงใส่หมวกคลุมหยุดชะงักแล้วก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงประหลาดใจ
“อายุขัยลดน้อยลง? พูดจริงหรือ! อาจารย์อาช่วยตรวจสอบดูให้ละเอียดอีกที” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก
“ได้ ข้าจะตรวจดูอีกรอบ…… อืม….. ไม่ผิดอายุขัยของเจ้ามีเค้าว่าจะลดลงเพราะว่าพลังภายนอก แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลมากไปนัก อายุขัยลดลงไปไม่ค่อยมาก เหมือนจะแค่ไม่กี่ปี แค่ทานโอสถจิตวิญญาณสักเล็กน้อยก็สามารถซ่อมแซมกลับมาได้ ดูเหมือนเจ้าจะเจอกับปีศาจที่เชี่ยวชาญในการดูดอายุขัยของผู้อื่น เมื่อตอนอยู่แดนปีศาจปรโลก ครั้งหน้าเวลาไปที่นั่น แค่เตรียมวิธีการรับมือก็ไม่มีปัญหาแล้ว เอาล่ะ! ด้านอื่นๆ ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” หญิงใส่หมวกคลุมเพ่งมองแผ่นคุมค่ายกลบนมือครู่หนึ่ง แล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“‘อายุขัยลดลง! ดูเหมือนว่าที่ผู้น้อยรู้สึกไม่วบาย คงเป็นสาเหตุมาจากสิ่งนี้ ขอบคุณอาจารย์อาที่ชี้แนะ ไปแดนปีศาจปรโลกครั้งหน้า ผู้น้อยจะต้องระมัดระวังมากขึ้นอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงถอยหายใจออกมาเบาๆ แล้วตอบกลับด้วยรอยยิ้มขมขื่น
แต่พอเขานึกถึงตอนที่เจ้าฟองอากาศมันกลืนกินพลังเวทจนหมดเกลี้ยง และมีอะไรบางอย่างถูกลอกออกจากภายในร่างเขานั้น ใจเขาก็จมดิ่งลงไปอย่างช่วยไม่ได้
ตอนที่ไม่มีพลังเวทย์ให้เจ้าฟองอากาศกลืนกิน มันกลับดูดอายุขัยเขาแทน นี่เป็นเรื่องที่อาจทำให้เสียชีวิตจริงๆ ได้
ถึงแม้ตอนนี้เขาจะเป็นกังวลอย่างมาก แต่ต่อหน้าหญิงใส่หมวกคลุมนี้ เขาไม่กล้าแสดงอะไรออกมามากนัด เขาเดินออกจากค่ายกลแล้วหยิบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณขึ้นมาเก็บเข้าที่เดิมทันที และคารวะกล่าวขอบคุณอีกครั้งแล้วก็ลาจากไป
ตอนที่ร่างของหลิ่วหมิงพ้นไปจากทางลงบันไดแล้ว หญิงใส่หมวกคลุมก็เก็บแผ่นคุมค่ายกล แต่ก็พูดกับตัวเองด้วยใบหน้าฉงน
“หรือว่าอสูรดูดวิญญาณมาปรากฏตัวที่แดนปีศาจปรโลกอีกแล้ว ถ้าหากเป็นเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ ต้องบอกศิษย์ในนิกายที่จะไปแดนปีศาจปรโลก ให้ระวังตัวให้มากขึ้นแล้ว”
จากนั้นนางก็ส่ายศีรษะ แล้วนั่งลงบนเก้าอี้ตัวเดิม ราวกับว่าเมื่อครู่ไม่ได้มีใครเข้ามาในนี้
……
เวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงก็กลับมาถึงที่พัก
เขามุ่งตรงไปยังห้องฝึกฝน นั่งขัดสมาธิลงบนเบาะ จากนั้นหลับตาทั้งสองลง แล้วเริ่มคิดหาวิธีจัดการกับเจ้าฟองอากาศลึกลับนั้น
มิเช่นนั้นตามเหตุการณ์ในตอนนี้ ที่ทุกครั้งเจ้าฟองอากาศกลืนกินพลังเวทย์ของเขาจนหมด แล้วเริ่มดูดอายุขัยของเขาล่ะก็เกรงว่าเขาคงจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน
กว่าที่เขาจะได้มาเดินบนเส้นทางแห่งการฝึกฝนนี้ได้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แน่นอนว่าจะไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นเป็นอันขาด
หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน
พอเช้าวันที่สาม เขาก็ลืมตาทั้งสองขึ้นมา สีหน้าผ่อนคลายเล็กน้อยดูเหมือนจะมีแผนในใจแล้ว
……………………………………….
ตอนที่ 69 เรือสายหมอก
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผ่านการคิดไตร่ตรองมานานขนาดนี้ ในที่สุดก็หารับวิธีรับมือกับฟองอากาศลึกลับได้ชั่วคราวแล้ว
วิธีแรกคือ เลียนแบบเหตุการณ์ครั้งนี้ที่โชคดีรอดมาได้ หวังว่าจะสามารถยืมพลังปราณหยินของแมงป่องกระดูกขาวมาใช้รับมือได้
แต่วิธีการนี้อันตรายเป็นอย่างมาก ถ้าหากพลาดท่าตนเองอาจกลายเป็นปีศาจได้
และถึงแม้เขาจะยอมเสี่ยงอันตรายทำเช่นนี้ แต่ในนั้นก็มีปัจจัยที่ไม่แน่นอนมากไปหน่อย
ยกตัวอย่างเช่น จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเวลาที่ฟองอากาศระเบิดบริเวณนั้นจะมีปราณหยินอยู่จำนวนมากพอดี มิเช่นนั้นอาศัยแค่ปราณหยินเพียงเล็กน้อยในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณนั้นคงไม่พอใช้อย่างแน่นอน
ประการต่อมา เขาจะแน่ใจได้อย่างไรว่าครั้งหน้าแมงป่องกระดูกขาวจะระเบิดหน้าปีศาจแปลกประหลาดนั้น มาดูดปราณหยินและส่งให้เขาอย่างราบรื่น…
ตัวอย่างทั้งหมดนี้ทำให้หลิ่วหมิงแค่คิดไตร่ตรองเล็กน้อย แล้วก็ตัดสินใจเก็บวิธีการนี้ไว้ใช้ในยามที่ไม่มีทางเลือกเท่านั้น
เขาผ่านการคิดไตร่ตรองไปมาหลายรอบ จนคิดว่าวิธีการที่เชื่อถือได้มากที่สุดคือการทำทุกวิถีทางเพื่อยกระดับการฝึกฝนของตนเอง
ทุกครั้งที่เลื่อนระดับการฝึกฝนขึ้น ก็สามารถทำให้พลังเวทย์ของตนเองเพิ่มขึ้นหลายเท่า
ถ้าหากครั้งหน้าก่อนที่เจ้าฟองอากาศระเบิดขึ้น เขาสามารถก้าวเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ล่ะก็ พลังเวทย์คงจะเพียงพอให้มันกลืนกินในครั้งต่อไปแล้ว
และเพียงแค่มีพลังเวทย์ที่เพียงพอให้เจ้าฟองอากาศกลืนกิน มันก็ไม่ต้องดูดเอาพลังชีวิตเขาแล้ว ทั้งยังทำให้เขาได้ไปห้องว่างเปล่าลึกลับนั่น เช่นนี้แล้วเขาจะมีเวลาในการฝึกเคล็ดวิชาต่างๆ เป็นจำนวนมาก
แต่การจะเลื่อนขั้นไปสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายนั้นมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ
ถึงแม้ครั้งนี้เขาจะได้รับความโชคดีจากความโชคร้ายจนทำให้พลังเวทย์บริสุทธิ์อีกครั้ง แต่คิดที่จะเลื่อนเข้าสู่ขั้นปลายของศิษย์จิตวิญญาณนั้นเกรงว่าจะต้องใช้เวลาเกือบสองปี
และจากระยะของเวลาที่มันระเบิดทั้งสองครั้งแล้วเหมือนจะยังไม่ถึงครึ่งปี ถ้าใช้เวลาในการยกระดับนานขนาดนี้คงจะไม่ทันการ
ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็เขาคงมีแค่วิธีการเพิ่มพลังเวทย์ด้วยโอสถแล้วล่ะ
ถึงแม้พลังเวทย์ที่รับมาจากพลังภายนอกส่วนมากจะไม่ค่อยมั่นคง อาจส่งผลกระทบต่อการก้าวสู่ขั้นที่สูงในภายภาคหน้า แต่เจ้าฟองอากาศนี้มันสามารถทำให้พลังเวทย์บริสุทธิ์ได้ เรื่องนี้จึงไม่ต้องกังวลใจมากนัก
ดังนั้นปัญหาหนึ่งเดียวในตอนนี้คือจะหาโอสถเพิ่มพลังเวทย์ได้อย่างไร
แค่ใช้แต้มคุณูปการแลกคงไม่พออย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นแลกจากนิกายแค่ครั้งสองครั้งคงไม่เป็นไร แต่ถ้าบ่อยๆ ล่ะก็ คงจะดูเตะตาจนเกินไปจนอาจจะนำความยุ่งยากมาให้ได้
ถ้าเช่นนี้ล่ะก็ คงเหลือแค่ไปซื้อโอสถจากนอกนิกายกับเรียนวิชาปรุงโอสถเองด้วยตนเองแล้ว
ทั้งสองวิธีนี้ วิธีแรกเป็นการแก้ปัญหาในระยะสั้น แต่วิธีที่สองกลับเป็นการวางแผนแก้ปัญหาในระยะยาว
พอหลิ่วหมิงนึกขึ้นมาได้ว่าวิธีการแรกต้องใช้หินจิตวิญญาณจำนวนมาก วิธีการหลังต้องเรียนอย่างยากลำบาก เขาก็แสยะปากอย่างอดไม่ได้
โดยเฉพาะวิธีการหลัง ด้วยผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่มีน้อยถึงแม้อยากจะเรียนก็คงไม่สามารถเรียนได้
แต่เรื่องมันเกี่ยวพันถึงชีวิต ถึงแม้จะลำบากอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เขาก็จำเป็นต้องดันทุรังเรียนให้ได้
หลิ่วหมิงคิดได้แบบนี้ก็ไม่อยู่ในห้องเพื่อฝึกฝนต่อแล้ว แต่กลับเหาะไปบนยอดเขาเก้าทารกแทน
สำหรับเขาในตอนนี้ วิธีที่จะได้หินจิตวิญญาณมาเร็วที่สุดก็คือทำภารกิจของนิกายนั่นเอง
แต่ก่อนหน้านั้นเขาคิดที่จะเรียนวิชาใหม่สองสามวิชา จากนั้นหลอมสร้างโซ่ตรวนวิญญาณที่คุณภาพดีหน่อย
หากคิดที่จะหาหินจิตวิญญาณมาให้ได้มากๆ ก็ต้องรับภารกิจที่อันตรายหน่อย ดังนั้นต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม
หนึ่งชั่วยามผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงไปจากยอดเขาแล้วเขาได้นำคัมภีร์โบราณ “วิชาใยแมงมุม” “วิชาแท่งวารี” “วิชาเลนทราย” กลับมาด้วย
แต่เขาก็ไม่ได้กลับไปที่พักในตอนนี้เลย แต่กลับเหาะไปยังยอดเขาหลักของนิกาย
หลังจากผ่านไปไม่นาน เขาก็มาอยู่กลางหอใหญ่สีดำมืดครึ้ม และยืนอยู่หน้าค่ายกลสีเงินที่อยู่กลางโถง รับป้ายชื่อที่เพิ่งยื่นให้ชายรูปร่างผอมสูงผู้หนึ่งกลับคืนมา
“จำให้ดี เจ้าค่ายแต้มคุณูปการมาแค่ยี่สิบแต้ม และก็อยู่ในบ่อวิญญาณได้แค่สี่ชั่วยามเท่านั้น ถ้าเลยเวลาแล้วยังไม่ออกมาล่ะก็จะเพิ่มค่าใช้จ่ายขึ้นอีกเท่าตัว” ชายร่างผอมสูงกล่าวอย่างเย็นชา แล้วนำป้ายหัวปีศาจแกว่งไปทางค่ายกล
พลันมีเสียงจากค่ายกลดังขึ้นมา ไอสีดำหลายสายพุ่งออกมาจากในนั้น
หลิ่วหมิงก้าวยาวๆ เข้าไปในนั้น โดยไม่กล่าวอะไรสักคำ
อักขระรอบค่ายกลปรากฏขึ้น หลังจากที่ค่ายกลสั่นไหวร่างของเขาก็หายไป
ครู่ต่อมา หลังจากที่หลิ่วหมิงลืมตาทั้งสองขึ้น ก็พบว่าตัวเองยืนอยู่ในถ้ำขนาดใหญ่
ถ้ำมีขนาดประมาณร้อยหมู่ ตรงกลางมีบ่อน้ำสีดำเส้นผ่าศูนย์กลางสิบกว่าจั้ง มีไอสีดำลอยออกมาอยู่ตลอด
หลิ่วหมิงหายใจเข้าเบาๆ พลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นที่คุ้นเคยในอากาศ
เขาก้าวเท้าสองสามก้าวไปยังบ่อวิญญาณโดยไม่ลังเล สายตากวาดมองไปยังบ่อน้ำสีดำราวกับหมึกอยู่ครู่หนึ่ง แล้วหยิบก้อนหินสีดำขนาดเท่ากำปั้นออกมาจากตัว และใช้ไหมเส้นเล็กแวววาวพันจนแน่น แล้วปล่อยมันลงไปในบ่อ ตนเองจับห่วงเหล็กที่มีปลายอีกด้านของเส้นไหมเล็กๆ พันอยู่ แล้วนั่งขัดสมาธิลงไปอย่างเงียบๆ
……
หลายชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงปรากฏตัวกลางค่ายกลสีเทาอีกครั้งด้วยสีหน้าพอใจ พอออกจากหอใหญ่ก็พุ่งตรงกลับที่พักทันที
เจ็ดวันผ่านไป ตอนที่เขาจากที่พักไปนั้น ไม่เพียงแต่จะยึดกุมการใช้วิชาใหม่สองสามวิชานั้นได้แล้ว โซ่ตรวนวิญญาณตรงแขนเสื้อก็เปลี่ยนเป็นเส้นใหม่ที่ขนาดใหญ่กว่าหนึ่งเท่าตัว และเปล่งประกายแสงสีดำยิ่งกว่าเดิม
เขาขี่เมฆตรงไปยังหอดำเนินการ ยืนอยู่หน้าป้ายผลึกใสที่ประกาศภารกิจครู่หนึ่งแล้วก็ไปที่แท่นโต๊ะหินรับภารกิจของนิกายสามภารกิจในทีเดียว ภารกิจสามอย่างนี้เป็นภารกิจที่มีหินจิตวิญญาณให้มากที่สุด จากนั้นก็จากไปทำภารกิจคนเดียว
ครึ่งเดือนต่อมา เมื่อหลิ่วหมิงกลับถึงหอดำเนินการด้วยสีหน้าอ่อนเปลี้ยเพลียแรงนั้น ภารกิจทั้งสามของเขาต่างก็สำเร็จทุกภารกิจ และรับรางวัลเป็นแต้มคุณูปการหลายสิบแต้มกับหินจิตวิญญาณหลายร้อยก้อนพร้อมกันในทีเดียว
เรื่องนี้ก่อเกิดความวุ่นวายในบรรดาศิษย์ต่างๆ ที่อยู่ในที่นั้น
หลิ่วหมิงกลับไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ แต่กลับกลับไปที่พักนอนยาวสองวันสองคืน แล้วมาปรากฏตัวที่หอดำเนินการอีกครั้งด้วยพลังจิตใจที่เอิ่มเอิบเต็มเปี่ยม เขารับภารกิจทีเดียวหลายภารกิจที่ให้ค่าตอบแทนสูงเหมือนเดิม แล้วก็เหาะไปจากนิกายอีกครั้ง
เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ เวลาในแต่ละวันค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็ผ่านไปห้าเดือนแล้ว
ในระหว่างนี้ หลิ่วหมิงเกือบจะละทิ้งการฝึกฝนไปจนหมดสิ้น และด้วยผลลัพธ์อันน่าทึ่งของการกวาดภารกิจยากๆ หลายอย่างบนป้ายผลึกใส ทำให้เขาสะสมแต้มคุณูปการและหินจิตวิญญาณได้มากขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ พริบตาเดียวก็สะสมแต้มคุณูปการได้เกือบเจ็ดถึงแปดร้อยแต้ม กับหินจิตวิญญาณสามพันกว่าก้อนแล้ว
ในการทำภารกิจนั้น ถึงแม้ว่าจะเจอกับอันตรายอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็โชคดีรอดมาได้ทุกครั้ง
และแมงป่องกระดูกขาวกับวิชาคมวายุที่เขาฝึกฝนจนถึงขั้นสมบูรณ์แบบนั้น เป็นสิ่งที่ช่วยให้เขารักษาชีวิตไว้ได้
ช่วงนี้หลิ่วหมิงไม่ได้ร่วมมือทำภารกิจกับใคร เขาทำภารกิจเหล่านี้สำเร็จด้วยมาเองตลอด ด้วยเหตุนี้นอกจากเจียหลานที่รู้ว่าเขามีปีศาจระดับขุนพลตนหนึ่งแล้ว คนอื่นๆ ถึงแม้จะตกใจกับภารกิจที่เขาทำได้สำเร็จอย่างรวดเร็วจนน่าตะลึง แต่ก็ไม่รู้ว่าพลังที่แท้จริงของเขานั้นเป็นอย่างไร
แน่นอนว่าคนจำนวนมาก กลับมองด้วยสายตาที่ดูตลกและให้ฉายาใหม่เขาว่า “คนบ้าภารกิจ”
ในสายตาของพวกเขามองว่า ศิษย์ใหม่ผู้หนึ่งที่ไม่ตั้งใจฝึกฝนให้ดีๆ แต่กลับใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำภารกิจ ละทิ้งพื้นฐานที่จำเป็นอย่างโง่เขลา
หลิ่วหมิงไม่สนใจทั้งหมดเหล่านี้ นอกจากนำแต้มคุณูปการส่วนมากไปแลกโอสถเพิ่มพลังเวทย์มาทาน เพื่อชดเชยที่หลายวันมานี้ไม่ได้ฝึกฝนแล้ว หินจิตวิญญาณอื่นๆ นั้นยังไม่เคยใช้สักครั้ง
แต่วันนี้ หลิ่วหมิงไม่ได้ไปทำภารกิจต่อ และพอออกจากที่พักก็เหาะตรงไปยังประตูใหญ่นอกนิกาย
ผ่านไปชั่วครู่ เมื่อเขาร่อนลงบนเขาลูกเล็กลูกหนึ่งอย่างเงียบๆ ที่นั่นมีศิษย์หญิงสิบกว่าคนรออยู่ก่อนแล้ว
ในนั้นส่วนมากเป็นศิษย์ใหม่ที่อายุยังไม่เต็มยี่สิบปีบริบูรณ์ บ้างก็แอบกระซิบเบาๆ บ้างก็มองไปรอบด้านด้วยความตื่นเต้น และชายหญิงคู่หนึ่งในนั้นทำให้หลิ่วหมิงต้องเขม้นตามอง
พวกเขาก็คือเหลยเจิ้นกับหญิงสาวรูปร่างอรชรที่เป็นศิษย์สาขากลลับสวรรค์ด้วยกันผู้นั้น
ทั้งสองคนนี้กำลังพูดคุยกันอยู่เบาๆ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ใส่ใจต่อการมาของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้กล่าวทักทายอะไรขึ้นมาก่อน แต่กลับเดินไปยืนรออีกด้านหนึ่งอย่างเงียบๆ
ผ่านไปสักครู่ พลันมีเสียงดังแจ่มชัดมาจากท้องฟ้าไกลๆ จากนั้นอินทรียักษ์สีดำตัวหนึ่งก็บินเข้ามา ครู่เดียวก็มาอยู่เหนือบนยอดเขาแล้ว
พอนกอินทรียยักษ์สีดำหุบปีกก็มีกลิ่นเหม็นคาวโชยมาบนเขา และหญิงสองคนสวมชุดสีน้ำเงินกับสีเขียวกระโดดลงมาจากหลังของมัน
“เอ๋! ทำไมไม่เป็นอาจารย์อาจาง…นั่นไม่ใช่ศิษย์พี่เฉียนที่มีชื่ออันดับห้าบนแผ่นศิลาจันทราหรอกหรือ!” พอผู้คนบนยอดเขาเห็นใบหน้าของหญิงสาวทั้งสองชัดเจนแล้ว ก็พลันเกิดความวุ่นวายอยู่พักหนึ่ง คนจำนวนไม่น้อยต่างก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมา แต่ก็มีศิษย์นิกายปีศาจบางคนที่มีอายุมากหน่อยที่พอจำหญิงสาวชุดน้ำเงินได้ก็ยิ่งตกตะลึงมากขึ้นกว่าเดิม
พอหลิ่วหมิงได้ยินคำว่า ‘แผ่นศิลาจันทรา’ ก็มองไปยังหญิงสาวทั้งสองด้วยความตกตะลึง
เขาเห็นหญิงชุดน้ำเงินที่อายุมากหน่อยมีรูปร่างสูงสะโอดสะอง หน้ารูปไข่ นางดูงดงามมาก มีกระบี่เล่มยาวสะพายอยู่ที่หลัง และหญิงสาวชุดเขียวดูเหมือนจะมีอายุสิบหกถึงสิบเจ็ดปี ใบหน้ารูปตุ๊กตา ผูกผมเปียเล็กๆ เต็มศีรษะ ประจักษ์ชัดว่าน่ารักเป็นอย่างมาก แต่ในมือกลับถือห่อสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ดูเหมือนจะหนักมาก
“อาจารย์อาจางมีธุระสำคัญกระทันหันไม่สามารถนำไปในครั้งนี้ได้ ทางนิกายมอบภารกิจในการนำกลุ่มไปตลาดเว่ยโจวให้ข้าแล้ว ทุกคนต่างก็ชำระแต้มคุณูปการที่หอดำเนินการเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นจึงได้มาร่วมกลุ่มนี้ถ้าหากว่าตอนนี้อยากถอนตัวล่ะก็ยังสามารถคืนแต้มคุณูปการได้ครึ่งหนึ่ง แต่ถ้าหากไม่มีล่ะก็พวกเราก็ออกเดินทางได้แล้ว” หญิงเสื้อน้ำเงินกวาดสายมองผู้คนบนเขาครู่หนึ่งแล้วกล่าวเรียบๆ ถึงแม้เสียงจะไม่ดังมาก แต่ทุกคนก็ได้ยินอย่างชัดเจน
ประจักษ์ชัดว่าผู้นี้ก็คือ ‘ศิษย์พี่เฉียน’ ผู้นั้นนั่นเอง
ผู้คนต่างชำเลืองมองกันสักพักหนึ่ง แน่นอนว่าไม่มีใครก้าวออกมาจริงๆ
“ในเมื่อไม่มีปัญหา ถ้าอย่างนั้นก็ออกเดินทางกันเลย ชุ่ยเอ๋อร์ เจ้าปล่อยเรือสายหมอกออกมาเถอะ!”
“ได้เลยศิษย์พี่”
พอดรุณีน้อยชุดเขียวด้านข้างได้ยินก็รีบตอบรับอย่างเสียงดังฟังชัด แล้วนำห่อของวางไว้บนพื้น แล้วหยิบม้วนสีเหลืองอ่อนออกมา พอเปิดมันออกก็วางลงบนพื้นราบเรียบ
หลิ่วหมิงจ้องมองออกไป เขาเห็นม้วนสีเหลืองนั้นมีรูปวาดเรือยักษ์สีเหลืองจางๆ อยู่ลำหนึ่ง รอบด้านมีไอหมอกหนาทึบเต็มไปหมด ทำให้เขามองเห็นไม่ชัดเจน
……………………………………….
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น