ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 618-630
ตอนที่ 618 เซียนหงส์ดำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ชายวัยกลางคนมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ตรีศูลที่อยู่ในมือเปล่งแสงสีเขียวออกมา และต้องการจะทำอะไรสักอย่าง
ทันใดนั้น มีเสียงฮึดฮัดดังมาจากทะเลโลหิต คนอื่นๆ ได้ยินกลับไม่รู้สึกอะไร แต่พอดังเข้าหูชายฉกรรจ์ระดับผลึกผู้นี้ กลับส่งเสียงดังราวกับฟ้าร้อง ร่างของเขาสั่นสะท้าน จากนั้นแขนขาทั้งสี่ก็แข็งขึ้นมา ในใจรู้สึกหวาดกลัวอย่างสุดขีด
ขณะนั้นเองมีเสียงดัง “ฟิ้ว!” แสงสีเลือดม้วนตัวออกจากทะเลโลหิต
ผู้คนทั้งหลายต่างก็พากันหลบด้วยความตกใจ
มีแค่ชายวัยกลางคนเท่านั้นที่ยังยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อน เขาถูกแสงสีเลือดห่อหุ้มไว้อย่างรวดเร็ว และถูกม้วนเข้าไปในทะเลโลหิต
ตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกผู้นี้ไม่มีแรงต้านทานเลยแม้แต่น้อย
พอคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก หลังจากพากันถอยออกไปสองสามก้าวแล้ว อาวุธจิตวิญญาณบนตัวก็ปล่อยแสงสีต่างๆ ออกมาปกป้องตัวไว้
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน เขาอ้าปากพ่นโล่กระดูกขนาดชุ่นกว่าๆ ออกมา หลังหมุนติ้วๆ แล้ว ก็ขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดหลายฉื่อ และต้านทานไว้ตรงหน้า ขณะเดียวกัน ดวงตาทั้งคู่ก็จ้องมองทะเลโลหิตอย่างไม่ละสายตา
หากเขาคาดเดาไม่ผิดล่ะก็ ผู้ที่สามารถแสดงพลังโลหิตออกมาร้ายแรงเช่นนี้ โดยที่แม้แต่ระดับผลึกยังไม่สามารถต้านทานได้ น่าจะเป็นราชาโลหิตที่มีชื่ออยู่อันดับสองในบัญชีความเป็นความตายแล้ว
หลังจากทุกคนถอยออกไปได้เพียงไม่กี่อึดใจ ทะเลโลหิตก็พวยพุ่ง เผยให้เห็นระลอกคลื่นสีเลือดที่หมุนวนอย่างรวดเร็ว “ฟู่!” ศพแห้งเหี่ยวไร้ซึ่งกล้ามเนื้อถูกโยนออกจากระลอกคลื่น
พอผู้คนเขม้นตามอง ก็ค้นพบว่ามันคือชายวัยกลางคนคนระดับผลึกขั้นต้นในก่อนหน้า คิดไม่ถึงว่าในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ก็ถูกทะเลโลหิตบีบเลือดออกจากตัวจนหมด
นอกจากหลิ่วหมิงแล้ว ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวห้าคนที่เหลือก็รู้สึกตกใจจนหน้าถอดสี หลังสบตากันครู่หนึ่งแล้ว ก็พากันขี่แสงหลบหลีกพุ่งหนีไป
“คิดจะหนีไปไหน มาเป็นหนึ่งในพลังของข้าเถอะ!” มีน้ำเสียงเย็นยะเยือกดังมาจากทะเลโลหิต
ครู่ต่อมา แสงโลหิตหลายลำก็ม้วนตัวออกจากทะเลโลหิตอันพวยพุ่ง ทั้งยังไม่รู้ว่ามีพลังลึกลับอันใดอยู่ในนั้นด้วย เพียงแค่พร่ามัวทีเดียว ก็ไปปรากฏอยู่เหนือศีรษะของผู้ฝึกฝนทั้งห้าที่หนีไปอย่างน่าประหลาดใจ และอาวุธจิตวิญญาณจำนวนมากก็ม้วนตัวลงมา
เกิดเสียงร้องอย่างน่าเวทนา ผู้ฝึกฝนทั้งห้าถูกแสงสีเลือดห่อหุ้มไว้ และถูกม้วนกลับเข้าไปในทะเลโลหิต พริบตาที่อาวุธจิตวิญญาณคุ้มตัวสัมผัสกับแสงสีเลือด มันก็ร่วงลงและสูญเสียการติดต่อกับเจ้าของ
ขณะเดียวกัน เงาร่างใครบางคนก็กระพริบไปมากลางอากาศอยู่ไม่หยุด ด้านหลังมีแสงสีเลือดตามติดอย่างต่อเนื่อง
เงาร่างนี้ก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
แสงกระบี่สีเขียวม้วนออกจากร่างหลิ่วหมิงในฉับพลัน และฟันใส่แสงสีเลือดด้านหลังจนดับลง จากนั้นร่างของเขาก็หยุดชะงักอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง และหันกลับไปมองทะเลโลหิตขนาดหมู่กว่าๆ ที่อยู่ไม่ไกลด้วยสีหน้าสงบ
“ราชาโลหิต”
“ไม่ผิด! คือข้าเอง”
มีน้ำเสียงเยือกเย็นดังมาจากทะเลโลหิต “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ศพแห้งเหี่ยวห้าศพพุ่งออกจากระลอกคลื่นในทะเลโลหิตพร้อมกัน
“เอาล่ะ! อาหารรองท้องก็กินเสร็จแล้ว พวกเรามาเริ่มกันเถอะ!”
ทะเลโลหิตตรงหน้าพวยพุ่งขึ้นมาโดยไม่รอให้หลิ่วหมิงถามอะไรมาก และม้วนเอาคลื่นยักษ์สีเลือดที่สูงสิบกว่าจั้งเข้าใส่หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา “ป๊าบ!” มือข้างหนึ่งตบไปยังโล่กระดูกตรงหน้า
ทันใดนั้นโล่เก้ากะโหลกส่งสียงดังหวึ่งๆ และพุ่งขึ้นบนอากาศ ขณะเดียวกันก็ขยายใหญ่อย่างบ้าคลั่ง จนมีขนาดเท่าบ้านหลังหนึ่งภายในอึดใจเดียว
หลิ่วหมิงร่ายคาถาออกมา นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ และปล่อยพลังใส่โล่ยักษ์สีดำกลางอากาศ
“ตู๊ม!” โล่ยักษ์ระเบิดตัวกลางอากาศ จากนั้นก็กลายเป็นไอดำอันพวยพุ่งม้วนตัวไปปกป้องหลิ่วหมิงไว้อย่างแน่นหนา
“ฟู่ๆ!” หลังจากทะเลโลหิตสัมผัสกับหมอกดำอันพวยพุ่ง มันก็ประสานกันไปมาโดยที่ไม่มีใครตกเป็นรองใคร
ท่ามกลางไอหมอกสีดำ นิ้วทั้งสิบของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ พอชี้ไปกลางอากาศ เงาหัวกะโหลกเก้าใบก็โผล่ออกมาท่ามกลางไอดำที่ลอยวน และส่งเสียงแปลกประหลาดออกมา จากนั้นก็พากันยื่นหัวออกจากขอบทะเลหมอก และดูดปราณโลหิตจากทะเลโลหิตอย่างดุเดือด
แต่เพียงครู่เดียว อัคคีบริสุทธิ์ในดวงตาทั้งสองของหัวกะโหลกทั้งเก้าก็มืดลงเล็กน้อย
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมลง ดูท่าปราณโลหิตที่ราชาโลหิตปล่อยออกมาคงจะไม่ธรรมดา
ขณะที่หัวกะโหลกทั้งเก้าเริ่มจะต้านทานไม่ไหวนั้น ขนาดของทะเลหมอกสีดำก็ค่อยๆ ลดลงจนเหลือแค่สองสามจั้ง ราวกับว่าทะเลหมอกสีดำจะถูกทะเลโลหิตห่อหุ้มไว้ด้านใน
หลิ่วหมิงสูดหายใจเข้าลึกๆ ในทันที พอสะบัดไหล่ ก็มีเสียงมังกรพยัคฆ์คำรามดังก้องฟ้า และมีเสียงเปรี๊ยะๆ ดังมาจากร่างของเขา มังกรหมอกดำสามตัวกับพยัคฆ์หมอกดำสามตัวที่ดูราวกับมีชีวิต พุ่งออกจากหลังเขาในทันที
มังกรพยัคฆ์หมอกทั้งหมดส่งเสียงคำราม และหมุนวนรอบตัวหลิ่วหมิงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระโจนเข้าไปในทะเลหมอก ทำให้ทะเลหมอกที่โล่เก้ากะโหลกสร้างขึ้นมาพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง และหนาแน่นกว่าเดิมเล็กน้อย ทำให้ทะเลโลหิตที่ดันเข้ามาในก่อนหน้าต้องถอยออกไปเล็กน้อย
แขนของหลิ่วหมิงพร่ามัว และปล่อยกำปั้นใส่ทะเลโลหิต ทันใดนั้นพลังมหาศาลก็พุ่งออกไป ทำให้ทะเลโลหิตถูกเจาะจนกลายเป็นถ้ำขนาดใหญ่
มีเงาร่างสีแดงสลัวๆ ยืนอยู่ด้านหลังถ้ำ ซึ่งเขาก็คือราชาโลหิตนั่นเอง แม้จะมองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
และมังกรทั้งสามตัวที่อยู่บนหลังหลิ่วหมิงก็แผดเสียงร้องออกมา จากนั้นก็พุ่งออกจากถ้ำขนาดใหญ่ และแยกเขี้ยวยิงฟันกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิง
“ฮึ! ลูกไม้ตื้นๆ!”
ราชาโลหิตเห็นเช่นนี้กลับทำเสียงฮึดฮัด จากนั้นก็โบกมือข้างหนึ่งไปบนอากาศ แสงโลหิตสามลำพุ่งออกจากทะเลโลหิตที่อยู่รอบตัวเขา และฟันมังกรทั้งสามจนกลายเป็นหกส่วน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลง มือทั้งสองทำท่ามือแปลกประหลาด และตะโกนคำว่า ‘คุกมืด’ ออกมาเบาๆ
“ตู๊มๆ!”
ชิ้นส่วนทั้งหกของมังกรหมอกระเบิดตัวออกมา และกลายเป็นแสงสีดำม้วนตัวออกไป
ภายใต้สถานการณ์ที่ราชาโลหิตไม่ทันได้ระวัง พอรู้สึกว่าภาพตรงหน้ามืดลง ร่างของเขาก็มาอยู่ในโลกสีดำไร้แสงแห่งหนึ่ง ขณะเดียวกัน หนวดสัมผัสสีดำก็พุ่งมารัดพันตัวเขาจากรอบทิศทาง
“พลังวิชามายา!”
แม้ว่าราชาโลหิตจะตกใจเล็กน้อย แต่กลับไม่ได้รู้สึกลนลานแต่อย่างใด เพียงแค่คว้ามือข้างหนึ่งไปทางอากาศ ก็มีมุกสีแดงเลือดปรากฏอยู่ในมือหนึ่งเม็ด และมันก็เปล่งแสงสีเลือดเจิดจ้าออกมา จากนั้นก็ม้วนตัวไปรอบทิศทาง
หลังจากหนวดสัมผัสสีดำที่ปรากฏตัวรอบๆ ถูกแสงสีเลือดม้วนตัวผ่านไป มันก็ค่อยๆ หายไปอย่างไร้ร่องรอย
คิดไม่ถึงว่ามุกบนมือราชาโลหิตเม็ดนี้ จะเป็นอาวุธจิตวิญญาณพิเศษที่สามารถควบคุมภาพมายาได้
ขณะเดียวกัน มีเสียงดังมาจากทะเลโลหิตที่กักขังหลิ่วหมิงอยู่ คลื่นโลหิตโจมตีเข้าใส่แสงสีดำอย่างบ้าคลั่ง ทำให้แสงสีดำแทบจะต้านทานไม่ไหว
หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ และทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไอดำบนตัวม้วนตัวขึ้นมาในฉับพลัน หลังจากแสงสีดำที่กักขังราชาโลหิตหนาแน่นขึ้น มันก็กลับมามั่นคงอีกครั้ง
เช่นนี้แล้ว ฉากอันน่าประหลาดใจก็ได้บังเกิดขึ้น
หลิ่วหมิงถูกทะเลโลหิตอันพวยพุ่งกักขังไว้ และราชาปีศาจโลหิตก็ถูกแสงสีดำกักขังไว้เช่นกัน และพวกเขาก็พยายามต่อสู้อย่างสุดชีวิต
ผลลัพธ์นี้ย่อมไม่ใช่สิ่งที่ทั้งสองจะสามารถรับได้ ขณะที่พวกเขาต่างก็คิดจะแสดงท่าไม้ตายเพื่อทำลายภาวะชะงักงันตรงหน้านั้น พลันมีเสียงดังตูมตามจนพื้นดินด้านล่างสั่นสะเทือนเล็กน้อย ราวกับว่ามีสิ่งมีชีวิตขนาดมหึมากำลังพุ่งเข้ามา
หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน จากนั้นก็หรี่ตามองออกไปยังที่มาของเสียง
มีแสงสีดำกลุ่มหนึ่งพุ่งมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ มีเงาร่างอรชรปรากฏอยู่ในนั้นรำไร
และบนพื้นที่อยู่ห่างจากแสงสีดำไปไม่ไกล มนุษย์ทองแดงที่สูงสิบกว่าจั้งกำลังสาวเท้าตามติดอย่างไม่ลดละ
กลิ่นไอที่แผ่ออกจากตัวมนุษย์ทองแดงยักษ์น่ากลัวเป็นอย่างมาก ดูเหมือนจะไม่ด้อยไปกว่าระดับผลึกขั้นปลาย ตรงหน้าอกมีค่ายกลสีเหลืองขนาดใหญ่เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และมีลูกแสงสีเหลืองขนาดฉื่อกว่าๆ พ่นออกจากในนั้นอยู่ตลอดเวลา อากาศบริเวณที่ลูกแสงเคลื่อนตัวผ่านดูบิดเบี้ยวเล็กน้อย มันทำการโจมตีแสงหลบหลีกสีดำตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง
แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ แสงสีดำตรงหน้าเพียงแค่กระพริบไปมาอย่างรวดเร็ว เพื่อหลบหลีกการโจมตีของลูกแสงสีเหลือง แต่กลับไม่มีวี่แววว่าจะพุ่งขึ้นสูงเลยแม้แต่น้อย
“เฮ่อๆ! คิดไม่ถึงว่าท่านเซียนหงส์ดำที่มีชื่อเสียง จะมีท่าทีกระเซอะกระเซิงเหมือนคนอื่นเขาด้วย” พลันมีเสียงราชาโลหิตดังมาจากคุกมืด แม้ว่าน้ำเสียงจะเยือกเย็นเป็นอย่างมาก แต่ฟังอย่างไรก็รู้ว่ารู้สึกยินดีในความโชคร้ายของผู้อื่น
หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจมาก เซียนหงส์ดำคือผู้ฝึกฝนหญิงที่มีชื่ออันดับสองในบัญชีความเป็นความตาย คิดไม่ถึงว่าจะอยู่ที่นี่ด้วย ดูท่าคงจะมาเพราะเขาด้วยเช่นกัน
แต่ว่ามนุษย์ทองแดงยักษ์ตรงด้านหลังของนางมาจากไหนกัน ถึงได้ไล่ล่านางมาเช่นนี้
ขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกงุนงงอยู่นั้น ทะเลโลหิตที่ปิดล้อมอยู่รอบด้านก็พลันสลายไป และแสงสีเลือดลำหนึ่งก็พุ่งออกจากคุกมืด
“ตู๊ม!”
คุกมืดที่กลายร่างมาจากแสงสีดำ ถูกแสงสีเลือดโจมตีจนเริ่มจะไม่มั่นคงแล้ว
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว ทันใดนั้นก็ยกแขนเสื้อเก็บทะเลหมอกสีดำ และมันก็กลายเป็นโล่กระดูกต้านทานอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
ขณะเดียวกัน หลังจากหลิ่วหมิงชี้มือออกไป คุกมืดในทะเลโลหิตก็แตกกระจาย
ครู่ต่อมา แสงสีดำก็โผล่ออกมาบริเวณใกล้ๆ ตัวหลิ่วหมิง และค่อยๆ กระพริบหายไปในร่างของเขา
ขณะนี้ ทะเลโลหิตตรงหน้าหมุนวนอย่างบ้าคลั่ง และหายไปอย่างรวดเร็ว ในที่สุดก็เผยให้เห็นเงาร่างที่เห็นใบหน้าไม่ชัดเจนของราชาโลหิต
ขณะที่มีคนอื่นเข้ามาถึงนั้น หลิ่วหมิงกับราชาโลหิตต่างก็เก็บพลังเข้าไปโดยไม่ได้นัดหมาย และจ้องมองกันอย่างระมัดระวังโดยรักษาระยะห่างหลายสิบจั้ง
ขณะเดียวกัน หญิงที่ถูกแสงสีดำห่อหุ้มก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไม่กี่ที ก็อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่ถึงร้อยกว่าจั้งแล้ว
ตอนนี้หลิ่วหมิงถึงมองเห็นอย่างชัดเจนว่า บนศีรษะของมนุษย์ทองแดงยักษ์ มีชายหนุ่มมือเท้าใหญ่ หน้าตาซื่อๆ สวมชุดเรียบง่ายยืนอยู่บนนั้น
ผ่านไปอึดใจเดียว แสงสีดำก็หยุดลง พอแสงหลบหลีกดับไป ก็เผยให้เห็นหญิงชุดดำที่มีใบหน้าอ่อนหวาน แต่รูปร่างค่อนข้างยั่วยวนผู้หนึ่ง
พอนางกวาดสายตามองเห็นหลิ่วหมิงกับราชาโลหิตตรงหน้า ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ในทันที
ตอนที่ 619 ทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์
โดย
Ink Stone_Fantasy
เสียงดังตูมตามหยุดลงในทันที!
ภายใต้การควบคุมมนุษย์ทองแดงยักษ์ของชายหนุ่มหน้าซื่อ มันก็หยุดลงอย่างกะทันหัน ลูกแสงสีแดงตรงหน้าอกที่ทำการโจมตีอยู่ก็หยุดลงเช่นกัน และเขาก็มองหลิ่วหมิงกับราชาโลหิตด้วยความฉงนสนเท่ห์
ทั้งสี่ต่างก็จ้องมองกันไกลๆ อยู่ชั่วขณะหนึ่ง โดยไม่มีใครยอมใคร
หลิ่วหมิงจ้องมองคนทั้งสามตรงหน้า และครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์ในตอนนี้ซับซ้อนเป็นอย่างมาก ประจักษ์ชัดว่าราชาโลหิตกับเซียนหงส์ดำต่างก็มาเพราะเขา แต่ดูจากน้ำเสียงของราชาโลหิตในก่อนหน้าแล้ว เห็นได้ชัดว่าทั้งสองไม่ใช่พวกเดียวกัน แต่เนื่องจากเป็นผู้ฝึกฝนชั่วร้ายเช่นกัน มีโอกาสเป็นอย่างมากที่ทั้งสองจะร่วมมือกัน
แต่คิดไม่ถึงว่าชายหนุ่มหน้าซื่อที่สวมชุดชาวนาผู้นั้น จะไล่ล่าเซียนหงส์ดำมาถึงที่นี่ได้ พลังของเขาจะต้องไม่อ่อนแออย่างแน่นอน ยังไม่อาจตัดสินได้ว่าจะเป็นศัตรูหรือเป็นมิตร
ขณะที่พวกเขาเหล่านี้ต่างก็ตาเป็นประกายอยู่ไม่หยุดนั้น ราชาโลหิตก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา “ฮึ!” จากนั้นแสงสีเลือดก็เปล่งประกายบนตัว และกลายเป็นแสงสีเลือดลำหนึ่งพุ่งจากไป
เซียนหงส์ดำเห็นเช่นนี้ ก็กลอกลูกตาไปมา และส่งเสียงหัวเราะ “อิๆ!” จากนั้นแสงสีดำก็เปล่งประกาย และพุ่งหนีไปอีกทิศทางหนึ่ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นจุดสีดำหายไปจากทุ่งหญ้าบริเวณนั้น
ชายหนุ่มบนศีรษะมนุษย์ทองแดงยักษ์เห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที แต่หลังจากมองดูแสงสีเลือดที่พุ่งออกไปไกลๆ กับหลิ่วหมิงที่อยู่บริเวณนั้นทีหนึ่งแล้ว ก็ไม่ได้กระตุ้นมนุษย์ทองแดงยักษ์ให้ตามไป แต่กลับเอามือลูบท้ายทอยแล้วเอ่ยปากพูดกับหลิ่วหมิง
“ในที่สุดเจ้าสองคนนั่นก็ไปแล้ว พวกเราควรจะแนะนำตัวกันสักหน่อย ข้าเผิงเยวี่ยจากนิกายเทียนกง ท่านสามารถรับมือกับราชาโลหิตได้โดยที่ไม่ตกเป็นเบี้ยล่าง คิดว่าคงไม่ได้เป็นผู้ไร้นามแต่อย่างใด ไม่ทราบท่านมีนามว่าอย่างไร?”
“ที่แท้ก็เป็นสหายจากนิกายเทียนกง ข้าหลิ่วหมิงจากนิกายยอดบริสุทธิ์” หลิ่วหมิงได้ยินก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย และประสานมือคารวะตอบกลับไป
พอได้ยินว่าคนผู้นี้เป็นศิษย์นิกายเทียนกง เขาก็แอบโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
ในบรรดาสี่ยอดนิกายใหญ่ นิกายยอดบริสุทธิ์กับนิกายเทียนกงมีความสัมพันธ์กันไม่เลว และหุ่นสี่ทิศที่เขาได้มาจากปีศาจหยินหยางนั้น ก็สร้างมาจากผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งที่อยู่ในนิกายเทียนกง
เช่นนี้แล้ว คิดว่ามนุษย์ทองแดงยักษ์ก็เป็นหุ่นยักษ์บางอย่างของนิกายเทียนกงเช่นกัน
“ที่แท้ก็เป็นสหายนิกายยอดบริสุทธิ์ ช่างน่ายินดียิ่งนัก ก่อนหน้านั้นไม่นาน ข้าบังเอิญผ่านมาพบเซียนหงส์ดำพอดี นางเคยสังหารศิษย์สายในนิกายข้าไปไม่น้อย ในเมื่อข้าได้เจอกับนางแล้ว ย่อมไม่อาจปล่อยให้หลุดรอดไปได้ ด้วยเหตุนี้จึงต่อสู้อย่างดุเดือดจนมาถึงที่นี่ และพบกับสหายหลิ่วที่กำลังต่อสู้กับราชาโลหิตพอดี ช่างเป็นเรื่องบังเอิญยิ่งนัก” เผิงเยวี่ยหัวเราะกล่าวออกมา จากนั้นก็กระโดดลงจากศีรษะมนุษย์ทองแดงยักษ์ และยกมือปล่อยพลังออกไป
มนุษย์ทองแดงยักษ์ปล่อยแสงทรงกลดสีเหลืองออกมา หลังจากมีเสียงเครื่องกลดังคล่อกแคล่ก! มันก็กลายเป็นมุกกลมๆ ขนาดเท่ากำปั้น และถูกเผิงเยวี่ยสะบัดแขนเสื้อเก็บเข้าไป
“หุ่นกลของนิกายเทียนกงมีชื่อเสียงสมจริงมาก สหายเผิงควบคุมหุ่นตัวนี้จนกดดันเซียนหงส์ดำได้ถึงขั้นนี้ ดูท่าพลังของมันคงน่าตกใจจริงๆ” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็อ้าปากดูดไอดำที่กลายร่างมาจากโล่เก้ากะโหลกเข้าไปในปาก
“สหายกล่าวเช่นนี้ คงหยอกล้อข้าเล่นแล้ว การฝึกฝนของราชาโลหิตยังคงเหนือกว่าเซียนหงส์ดำ สหายสามารถต่อสู้กับเขาอย่างดุเดือดโดยที่ไม่ตกเป็นเบี้ยล่าง ช่างไม่ธรรมดาจริงๆ” เผิงเยวี่ยได้ยินก็ส่ายหน้าและกล่าวออกมาอย่างสุภาพเช่นกัน
หลิ่วหมิงย่อมตอบกลับอย่างนอบน้อมไปหนึ่งประโยค
พวกเขาพูดคุยเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ซึ่งดูเหมือนจะถูกคอกันเป็นอย่างมาก
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป เผิงเยวี่ยก็กวาดสายตามองศพของผู้ฝึกฝนที่ถูกดูดจนแห้ง และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาทันที
“ใช่สิ! ไม่ทราบว่าสหายหลิ่วจะไปสถานที่ใดกัน?”
“ที่ข้าออกมาในครั้งนี้ ก็เพื่อไปทำเรื่องบางอย่างที่ทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์” หลิ่งหมิงได้ยินก็ตอบกลับอย่างไม่ลังเล
“อ้อ! ช่างบังเอิญเสียจริง ข้าเองก็คิดอยากจะไปดูสถานที่แห่งนี้พอดี ได้ยินว่าทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์อุดมไปด้วยม้าจิตวิญญาณชนิดพิเศษ ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก แต่ข้ายังมีอีกเรื่องที่ต้องไปทำไปก่อน มิเช่นคงได้ร่วมเดินทางไปพร้อมกับสหายแล้ว” เผิงเยวี่ยได้ยินก็กล่าวออกมา
“เฮ่อๆ! ในเมื่อสหายเผิงยังจะไปทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์อยู่ ไม่แน่พวกเราอาจจะได้พบกันก็ได้” หลิ่วหมิงหัวเราะเบาๆ
ทั้งสองพูดคุยกันอีกสองสามประโยค จากนั้นเผิงเยวี่ยก็บอกลา และกลายเป็นแสงหลบหลีกสีเหลืองพุ่งขึ้นฟ้าไป
หลิ่งหมิงยืนดูจนแสงสีเหลืองหายลับขอบฟ้าไปแล้ว ถึงก้มหน้าคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง พอทำท่ามือด้วยมือเดียว ไอดำบนตัวก็พวยพุ่ง ขณะเดียวกันก็มีเสียงกระดูกดังกรอบแกรบภายในร่าง
ครู่ต่อมาหลิ่งหมิงก็กลายเป็นผู้ฝึกฝนวัยกลางคนที่มีผิวสีเหลืองผู้หนึ่ง หลังจากเปลี่ยนมาสวมชุดคลุมยาวสีเขียวแล้ว ก็พยักหน้าด้วยความพอใจ
จากนั้นร่างของเขาก็สั่นไหวเบาๆ เมฆดำก้อนหนึ่งยกร่างเขาขึ้นมา และพุ่งไปทางทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์
……
ขณะเดียวกัน ห้องลับแห่งหนึ่งภายในหอเป๋ยโต่วที่ไม่รู้ว่าห่างออกไปกี่หมื่นลี้ พลันมีเสียงหวึ่งๆ ดังขึ้นมาทำลายความเงียบ
ใจกลางห้องลับ ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งที่ใส่เครื่องประดับหยกบนศีรษะ กำลังนั่งหลับตาเข้าฌานอยู่ พอลืมตาทั้งคู่ขึ้น ก็มองไปยังค่ายกลขนาดจั้งกว่าๆ ที่อยู่ด้านข้าง แต่จะเห็นว่ามีแผ่นหยกสีขาวหนึ่งอันอยู่ท่ามกลางแสงสีขาวที่เปล่งประกาย
พอชายวัยกลางคนกวักมือข้างหนึ่ง แผ่นหยกก็ถูกดูดเข้ามาในมือ และถูกนำไปแปะบนหน้าผากโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง
“ราชาโลหิตก็ทำอะไรหลิ่วหมิงผู้นี้ไม่ได้ การต่อสู้ของทั้งสองไม่อาจตัดสินแพ้ชนะได้……” ชายวัยกลางคนหยิบแผ่นหยกออก และพูดพึมพำเบาๆ
หลังจากคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ชายวัยกลางคนก็ลุกขึ้นมา และผลักประตูออกไป ไม่นานก็มาถึงห้องสงบจิตที่ดูสว่างไสวแห่งหนึ่ง
“ผู้อาวุโสอวี้” ชายวัยกลางคนคารวะผู้อาวุโสผมขาวที่เอนพิงตัวอยู่บนเก้าอี้
“เจ้าก็ได้รับข่าวแล้วหรือ?” ชายผมขาวเหลือบมองชายผู้นี้ทีหนึ่ง และกล่าวอย่างราบเรียบ
“ใช่แล้ว คิดไม่ถว่าอจ้าเด็กนี่จะมีพลังระดับนี้ แม้แต่ราชาโลหิตก็ทำไรไม่ได้” ชายวัยกลางคนพยักหน้าเล็กน้อยก่อนตอบกลับไป จากนั้นถึงได้ถอนหายใจยาวออกมา
“วิชาที่ราชาโลหิตฝึกฝนนั้นพิเศษมาก ด้วยเหตุนี้แม้ว่าเขาจะมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นปลาย แต่พลังแท้จริงไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นปลายเลย แม้กระทั่งผู้ฝึกฝนขั้นปลายทั่วไปก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ในเมื่อเจ้าเด็กนี่ต้านทานการโจมตีของเขาได้ ดูท่าเราคงจะต้องระมัดระวังบ้างแล้ว เอาล่ะข้อมูลเกี่ยวกับเจ้าเด็กนี่ได้บันทึกลงในคัมภีร์เฉียบแหลมแล้ว อีกอย่างแจ้งผู้คนสาขาอื่นๆ ว่าให้ความสำคัญกับข้อมูลเจ้าเด็กนี้ให้มาก หากมีคนสอบถามเบาะแสของเขา ต้องได้รับอนุญาตจากประมุขหอก่อนถึงจะบอกได้” ผู้อาวุโสผมขาวลุกขึ้นมากล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ทราบ!” ชายวัยกลางคนตอบรับอย่างนอบน้อม
……
หลิ่วหมิงย่อมไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่า ข้อมูลเกี่ยวกับเขาได้ดึงดูดความสนใจของหอเป๋ยโต่วเป็นพิเศษ แม้กระทั่งแขกระดับสูงคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ รับรู้ชื่อของเขาในไม่นาน
สองเดือนต่อมา หลิ่วหมิงเดินทางอ้อมและผ่านการส่งตัวของค่ายกลจนมาถึงทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ของแผ่นดินจงเทียนในที่สุด
ทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ตั้งอยู่บริเวณขอบกลางของแผ่นดินจงเทียน มีชื่อเสียงในการผลิตอาชาจิตวิญญาณพิเศษที่สามารถผลิตเมฆจิตวิญญาณได้
ทั่วทั้งทุ่งหญ้ามีปราณจิตวิญญาณหนาแน่น ทั้งยังมีพืชจิตวิญญาณพิเศษอยู่หลายชนิด ส่วนลึกของทุ่งหญ้ายังมีซากวัตถุในสมัยบรรพกาลสองสามแห่ง
เมืองโบราณเทียนเหย่ก็เป็นหนึ่งในนั้น ด้วยเหตุนี้จึงดึงดูดผู้ฝึกฝนจากภายนอกมาล่าสัตว์ และสำรวจสมบัติที่นี่จำนวนไม่น้อย
นานเข้านานเข้า ทุ่งหญ้าที่ดูเหมือนจะเป็นทุ่งร้าง ก็ค่อยๆ เฟื่องฟูขึ้นมา
ปัจจุบันนี้ ทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ถูกควบคุมโดยสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่ กลุ่มแรกเป็นนิกายขวานทองคำที่เป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์หมื่นปี อีกกลุ่มกลับเป็นสระหมื่นปี หนึ่งในกลุ่มอิทธิพลของเผ่าปีศาจที่พบเจอในแผ่นดินจงเทียนไม่มากนัก
กลุ่มอิทธิพลทั้งสองตั้งอยู่ทั้งสองด้านของทุ่งหญ้า ซึ่งทำให้ทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์อยู่ตรงกลางพอดี ด้วยเหตุนี้จึงมีศิษย์นิกายขวานทองคำกับสระหมื่นปีปรากฏตัวบนทุ่งหญ้าบ่อยๆ ส่วนผู้ฝึกฝนภายนอกที่อยากเข้าไปในทุ่งหญ้า จะต้องชำระหินจิตวิญญาณจำนวนมากให้กับทั้งสองกลุ่มอิทธิพล
เพื่อป้องกันไม่ให้อาชาจิตวิญญาณในทุ่งหญ้าถูกผู้ฝึกในระดับสูงกวาดไปจนหมด ทั้งสองกลุ่มอิทธิพลจึงร่วมกันกำหนดกฎเกณฑ์ ไม่ให้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกเข้าไปข้างใน ด้วยเหตุนี้ค่ายกลที่ส่งตัวมายังทุ่งหญ้าล้วนถูกติดตั้งเป็นพิเศษ ทำให้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกขึ้นไปไม่อาจถูกส่งมาที่นี่ได้
หากผู้ฝึกฝนระดับผลึกขึ้นไปอยากจะเหินเวหามายังทุ่งหญ้าล่ะก็ ค่ายกลส่งตัวที่อยู่ใกล้ที่สุดก็อยู่ห่างถึงหมื่นพันลี้ ในระหว่างทางก็ค่อนข้างอันตรายเป็นอย่างมาก
อีกอย่างต่อให้จะมีผู้แข็งแกร่งจากภายนอกบุกเข้าทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ด้วยพลังของตนเอง แต่พอถูกคนของนิกายขวานทองคำกับสระหมื่นปีพบเข้า ก็จะถูกทั้งสองกลุ่มอิทธิพลส่งคนมารัดคอตายอย่างไม่ปราณี
ข้อมูลเหล่านี้ หลิ่วหมิงย่อมตั้งใจสืบหาเป็นพิเศษก่อนออกเดินทาง
……
ภายในตลาดเล็กๆ แห่งหนึ่งตรงขอบทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ มีลำแสงเจิดจ้าภายในบ้านหินบางแห่ง จากนั้นผู้ฝึกฝนหกคนก็ถูกส่งออกมาจากค่ายกลส่งตัวบนพื้น
หลิ่วหมิงก็อยู่ในนั้นด้วย ซึ่งเขายังคงแปลงโฉมเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าเป็นสีเหลืองผู้นั้น
พอเขากวาดสายตามองออกไป ก็ค้นพบว่าภายในบ้านหินมีชายวัยกลางคนสวมชุดผ้าแพรสีเหลืองผู้หนึ่ง กำลังยืนด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย
“ยินดีต้อนรับทุกท่านที่มาทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ ข้าน้อยหวังจิ่นจากนิกายขวานทองคำ” พอชายวัยกลางคนเห็นว่ามีคนถูกส่งออกมาอีกหกคน เขาก็รีบกล่าวอย่างราบเรียบ บนแขนเสื้อข้างหนึ่งของเขามีรูปขวานทองคำขนาดหลายชุ่นประทับอยู่
“ที่แท้ก็เป็นสหายจากนิกายขวานทองคำ” ใครบางคนกล่าวออกมาทันทีด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว ตามกฎเดิม ทุกคนต้องชำระสามหมื่นหินจิตวิญญาณถึงจะอนุญาตให้เข้าไปในทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ได้” ชายวัยกลางคนกวาดสายตามองดูคนทั้งหก จากนั้นก็โบกมือกล่าวโดยไม่ต้องคิด
“อะไรนะ! นิกายขวานทองคำของพวกเจ้าละโมบไปหรือเปล่า ยังไม่ได้เข้าทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ ก็ต้องการสามหมื่นหินจิตวิญญาณแล้ว” ชายหนุ่มผมแดงผู้หนึ่งได้ยินเช่นนี้ ก็ตะโกนออกมาทันที
“ทุ่งหหญ้าอาชาสวรรค์อยู่ในอาณาเขตของนิกายข้า หากทุกท่านไม่อยากมอบหินจิตวิญญาณให้ ก็จะสามารถส่งตัวกลับได้ทันที แต่ต้องชำระค่าใช้จ่ายในการส่งตัวกลับไปด้วย” ชายชุดผ้าแพรทำตามองบนและพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
ชายหนุ่มผมแดงได้ยินก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก
“สหายผู้นี้ หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ หลายปีก่อนที่มาทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์เก็บค่าเข้าแค่สองหมื่นหินจิตวิญญาณนี่ ทำไมตอนนี้ถึงเก็บสามหมื่นแล้ว?” ชายฉกรรจ์ที่ดูค่อนข้างสุขุมถามออกมา
“นั่นเป็นเพราะพวกเจ้ามาไม่ประจวบเหมาะกับเวลาเอง ทางนิกายเพิ่งส่งข่าวให้เพิ่มราคาเมื่อไม่กี่เดือนมานี้เอง ยังคงคำพูดเดิม หากใครไม่ยอมจ่ายก็จะส่งตัวกลับ ไม่ต้องมาเอะอะโวยวายที่นี่” ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างทนรำคาญไม่ได้
หลิ่วหมิงได้ยินก็ตาเป็นประกาย
ตอนที่ 620 อาชาจิตวิญญาณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
คนอื่นๆ ที่มาพร้อมกับหลิ่วหมิงต่างก็สบตากันทีหนึ่ง และเผยสีหน้าลังเลออกมา
พวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกฝนอิสระ สามหมื่นหินจิตวิญญาณนับว่าเป็นจำนวนไม่น้อยสำหรับพวกเขา
“นี่คือสามหมื่นหินจิตวิญญาณ”
หลิ่วหมิงสะบัดข้อมือโยนถุงผ้าเล็กๆ ออกไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก
“นับว่าสหายเป็นคนตรงไปตรงมาดี” ชายวัยกลางคนสะบัดแขนเสื้อม้วนเอาถุงผ้าเข้ามา หลังจากกวาดจิตดูด้านในแล้ว ก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้มเป็นครั้งแรก
“นี่คือแผ่นจิตวิญญาณจับเวลา สามารถนับเวลาที่อยู่ในทุ่งหญ้าได้ หินจิตวิญญาณนี้เป็นค่าเข้าสำหรับหนึ่งปี หากเกินหนึ่งปีสหายต้องจ่ายเพิ่มในตอนที่ออกมา” ชายวัยกลางคนเก็บถุงผ้าเข้าไป และยื่นแผ่นหยกสีขาวให้หลิ่วหมิงก่อนพูดอธิบายสองสามประโยค
“อะไรนะ? สามหมื่นหินจิตวิญญาณเป็นค่าเข้าแค่ปีเดียว!” เดิมทีชายหนุ่มผมแดงได้ปิดปากเงียบแล้ว แต่ตอนนี้ต้องตะโกนออกมาอย่างอดไม่ได้
คนอื่นๆ ก็มองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง ชายฉกรรจ์ที่เคยมาที่นี่มาก่อนกลับขมวดคิ้ว จากนั้นก็กลับมามีสีหน้าเป็นปกติ ประจักษ์ชัดว่ารู้กฎข้อนี้ตั้งแต่แรกแล้ว
ชายวัยกลางคนมองชายหนุ่มผมแดงด้วยสายตาดูถูก และดูเหมือนขี้เกียจจะสนใจแล้ว แต่กลับหันมากล่าวกับหลิ่วหมิงต่อ
“ดูท่าสหายผู้นี้คงมาทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์เป็นครั้งแรก ถ้าอย่างนั้นข้าน้อยจะขอเตือนสักประโยค ในทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์นี้ ไม่ว่าเจ้าจะมีการฝึกฝนสูงเท่าใด ก็พยายามอย่าได้ขัดแย้งกับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจเหล่านั้น เพราะทุ่งหญ้านี้ก็เป็นของเผ่าปีศาจในสระหมื่นปีครึ่งหนึ่ง หากมีผู้ฝึกฝนเกิดความขัดแย้งกับเผ่าปีศาจ ทางนิกายเราจะไม่ก้าวก่ายเลยแม้แต่น้อย”
“ขอบคุณสหายที่ชี้แนะ!”
หลิ่วหมิงให้ชายวัยกลางคนชี้แนะเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องระวังในทุ่งหญ้าอีกสองสามประโยค จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปจากบ้านหิน
คนอื่นๆ ยังคงลังเลอยู่ว่าจะชำระค่าเข้าเป็นสามหมื่นหินจิตวิญญาณดีหรือไม่
พอหลิ่วหมิงเดินออกจากบ้านหิน ก็ต้องรู้สึกตกใจกับสภาพแวดล้อมภายนอกเป็นอย่างมาก
ตลาดแห่งนี้เล็กมาก มีถนนสายหลักแค่เส้นเดียวเท่านั้น ดูเหมือนว่าแค่มองออกไปก็เห็นปลายทางออกทั้งสองด้านทันที บ้านริมถนนทั้งสองด้าน ก็เป็นบ้านหินที่ก่อสร้างอย่างง่ายๆ ทั้งยังมีช่องลมมากมาย แลดูทรุดโทรมมาก
ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงวันพอดี มีคนเดินบนท้องถนนน้อยมาก หลังจากหลิ่วหมิงเดินวนไปได้หนึ่งรอบ ก็ค้นพบว่าแม้ที่นี่จะมีขนาดเล็ก แต่มีสิ่งของครบครัน มีร้านค้าเบ็ดเตล็ด ร้านค้าอาวุธจิตวิญญาณ ร้านค้ายันต์ แม้กระทั่งยังมีร้านรับซื้อสองแห่ง และร้านค้าแต่ละร้านจะมีผู้ฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณเป็นเถ้าแก่คอยดูแลอยู่หนึ่งคน
แต่ว่าร้านค้าเหล่านี้มีคนน้อยมาก
หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดเล็กน้อยแล้ว ก็เข้าใจเหตุผลของของมัน
ที่นี่คือทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ เพียงแค่ค่าเข้าก็สามหมื่นหินจิตวิญญาณแล้ว ผู้ที่มาล้วนมีการฝึกฝนระดับของเหลว และส่วนมากก็เป็นผู้ฝึกฝนอิสระด้วย ซึ่งไม่ได้มาเที่ยวเตร่แต่อย่างใด คิดว่าตอนนี้คงไปยังส่วนลึกของทุ่งหญ้าแล้ว
ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น หลิ่วหมิงก็ก้าวเข้าไปในร้านสินค้าเบ็ดเตล็ดแห่งหนึ่ง
“ที่นี่มีแผนที่ทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ขายหรือไม่?” หลิ่วหมิงถามออกไปตามตรง
“มี แต่ว่าแผนที่ของที่นี่แบ่งเป็นสามแบบ แบบหยาบๆ แบบธรรมดา และแบบละเอียด ซึ่งราคาก็แตกต่างกันด้วย” ดูเหมือนว่าเถ้าแก่วัยกลางคนที่ดูเฉลียวฉลาด จะมีการฝึกฝนระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง
“มีแบ่งประเภทด้วยหรือ มีราคาอะไรบ้าง?” หลิ่วหมิงถามด้วยใจที่เต้นเล็กน้อย
“แผนที่แบบหยาบๆ บันทึกแค่ถนนสายสำคัญกับซากวัตถุโบราณแค่ไม่กี่แห่ง แผนที่ธรรมดาก็เพิ่มเนื้อหาขึ้นมาอีกไม่น้อย ส่วนแผนที่แบบละเอียดนั้น ไม่เพียงแต่จะทำเครื่องหมายจำนวนมากไว้บนสถานที่อันตรายเท่านั้น แม้แต่ฐานที่มั่นของผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจจำนวนหนึ่งก็มีอยู่ด้วย ซึ่งผู้ฝึกฝนรุ่นก่อนๆ เสี่ยงอันตรายสำรวจมา แผนที่แบบหยาบๆ ห้าร้อยหินจิตวิญญาณ แบบธรรมดาหนึ่งพัน แบบละเอียดก็ห้าพัน” เห็นได้ชัดว่าเถ้าแก่วัยกลางคนไม่ได้อธิบายเป็นครั้งแรก ซึ่งสามารถพูดเป็นน้ำไหลไฟดับ
“แผนที่นี้ราคาไม่ธรรมดาจริงๆ” หลิ่วหมิงได้ยินก็ขมวดคิ้วกล่าวออกมา
“ขอผู้อาวุโสอย่าได้เข้าใจผิด ร้านค้าในตลาดนี้ทั้งหมดที่ถูกควบคุมโดยนิกายขวานทองคำ ก็ขายแผนที่ราคาเดียวกันหมด” เถ้าแก่วัยกลางคนรีบอธิบายออกมา
“เอาแบบละเอียดมาชุดหนึ่งเถอะ!” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวออกมา ขณะเดียวกันก็สะบัดแขนเสื้อโยนถุงหินจิตวิญญาณเล็กๆ ออกไป
ก่อนออกเดินทาง เขาได้ทำความเข้าใจมาแล้ว ทำให้รู้ว่าพื้นที่ของทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์กว้างขวางมาก ซึ่งในนั้นมีสถานที่อันตรายอยู่ไม่น้อย ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวก็ไม่อาจประมาทได้ อีกอย่างภายในทุ่งหญ้าก็มีฐานที่มั่นของเผ่าปีศาจอยู่มาก ซึ่งเป็นศัตรูกับมนุษย์ผู้ฝึกฝนไม่น้อย
สำหรับเขาในตอนนี้ แผนที่อย่างละเอียดหนึ่งฉบับเป็นสิ่งที่จำเป็นจริงๆ
เถ้าแก่วัยกลางคนยื่นมือรับถุงหินจิตวิญญาณมา หลังจากปล่อยจิตสำรวจดูเล็กน้อยแล้ว ก็เก็บมันเข้าไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ และหยิบแผ่นหยกสีฟ้าสลัวๆ จากชั้นไม้มายื่นให้หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงนำแผ่นหยกแปะไว้บนหน้าผาก หลังจากใช้จิตสำรวจดูเล็กน้อยแล้ว ก็ค้นพบว่ามันเป็นแผนที่แบบละเอียดจริงๆ นอกจากที่เถ้าแก่กล่าวไว้ในก่อนหน้านั้นแล้ว ยังมีทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ส่วนใน และตำแหน่งของตลาดเล็กๆ จำนวนหนึ่งที่ทำสัญลักษณ์ไว้อย่างละเอียดด้วย
หลิ่วหมิงพยักหน้าและเก็บแผ่นหยกเข้าไปในแหวนย่อส่วน จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินออกไปจากร้าน
ต่อมาเขาก็ไม่ได้อยู่ในตลาดต่อ แต่กลับขี่เมฆไปยังเมืองโบราณเทียนเหย่ที่ถูกทำเครื่องหมายไว้บนแผนที่
หลังจากหลิ่วหมิงไปจากตลาดได้ไม่นาน ก็มีเงาร่างของชายหนุ่มหน้าซื่อจากนิกายเทียนกงมาปรากฏตัวบนถนนของตลาดเล็กๆ อีกแห่ง ที่ถูกควบคุมโดยนิกายขวานทองคำ
หลังจากเขาเดินไปในร้านค้าสองสามร้าน ก็มีแผ่นหยกสีฟ้าเพิ่มขึ้นมาชิ้นหนึ่ง พอปล่อยจิตกวาดดูเล็กน้อย ร่างของเขาก็พร่ามัวกลายเป็นแสงหลบหลีกสีเหลืองก่อนพุ่งไปยังส่วนลึกของทุ่งหญ้า
สองวันต่อมา อีกด้านหนึ่งของทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ หลังจากมีแสงเปล่งประกายบนค่ายกลส่งตัวในตลาดบางแห่งที่สังกัดสระหมื่นปี ชายหนุ่มใบหน้าซีดขาวก็เดินออกมา
คนผู้นี้สวมชุดสีเลือด ใบหน้าหล่อเหลาเป็นอย่างมาก ดวงตาทั้งคู่เป็นสีเลือดจางๆ แลดูชั่วร้าย
คนผู้นี้ค่อยๆ เดินไปบนท้องถนน และหยุดฝีเท้าลงด้วยใบหน้าครุ่นคิด
ผ่านไปสักพัก คนผู้นี้ก็เดินตรงเข้าไปในร้านข้างถนนแห่งหนึ่ง
พอเขาเดินเข้าไปไม่นาน ประตูร้านก็ปิดลง
……
เหนือทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่ หลิ่วหมิงในชุดคลุมสีเขียวกำลังขี่เมฆดำก้อนหนึ่งห้อตะบึงไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่กล้าเหาะต่ำมากนัก
ที่ได้ชื่อว่าทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ ด้านหนึ่งเป็นเพราะว่าให้กำเนิดอาชาจิตวิญญาณ อีกด้านหนึ่งก็เป็นเพราะว่า เมื่อมองภาพรวมของทุ่งหญ้าแล้ว มันมีรูปร่างคล้ายกับกีบม้า
ดินแดนในทุ่งหญ้าเป็นที่ราบ มีเนินตะปุ่มตะป่ำน้อยมาก พื้นดินปกคลุมหนาแน่นด้วยต้นหญ้าขนาดยักษ์สูงถึงครึ่งจั้ง ทุกครั้งที่มีลมพัดแรงก็จะเกิดก่อให้เกิดภาพที่ดูคล้ายกับคลื่นน้ำ ดูสง่างามเป็นอย่างมาก
แม้ว่าทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์จะมีปีศาจอสูรโหดเหี้ยมไม่มากนัก แต่ภายในต้นหญ้าเหล่านี้ สามารถซ่อนคนคนหนึ่งได้อย่างง่ายดาย เพราะไม่อาจปล่อยจิตไปสำรวจบริเวณรอบๆ ได้ตลอดเวลา
เมื่อเขาเหาะไปได้ระยะหนึ่ง ก็จะนำแผ่นหยกที่ซื้อออกมาดู เพื่อเทียบกับเครื่องหมายที่แสดงอยู่บนนั้น จะได้ไม่ไปผิดทาง
ในระหว่างทาง เขามักจะพบกับผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจจำนวนหนึ่ง ซึ่งหากหลบได้ก็จะหลบ และพยายามไม่เจอหน้ากับคนอื่นๆ
ขณะนั้นเอง มีเสียงโครมครามดังมาจากขอบฟ้าตรงหน้าที่อยู่ไม่ไกล
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วและหยุดเมฆดำทันที จากนั้นก็ปล่อยจิตออกไปสำรวจตรงหน้า
ท้องฟ้าเหนือทุ่งหญ้าที่ห่างออกไปตรงหน้าร้อยกว่าจั้ง ไอหมอกสีขาวสลัวๆ กำลังพวยพุ่งเข้ามาพร้อมเสียงดังโครมคราม
ด้านหลังไอหมอกขาว มีแสงหลบหลีกสองลำกำลังตามติดมาอยู่ และมีเสียงร้องของคนดังเข้ามาอย่างรำไร
พอหลิ่วหมิงเขม้นตามอง กลับค้นพบว่าท่ามกลางไอหมอกขาวที่ม้วนเข้ามา มีอาชาพันธุ์ดีหลายตัวที่สูงครึ่งจั้ง และมีผิวขาวสะอาดราวกับก้อนเมฆ กำลังเหยียบเมฆพุ่งเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
“ที่แท้ก็เป็นอาชาจิตวิญญาณ” ตั้งแต่หลิ่วหมิงมาถึงทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ได้ครึ่งค่อนวัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นรูปร่างของอาชาจิตวิญญาณ ดูจากภายนอกแล้วมันสง่างามเป็นพิเศษ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่อาชาทั่วไปจะสามารถเทียบได้
อาชาจิตวิญญาณตัวเต็มวัยที่ทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ให้กำเนิดมานี้ มีราคาในตลาดภายนอกมากกว่าหนึ่งแสนหินจิตวิญญาณ สำหรับคนจำนวนมากแล้ว นี่เป็นหินจิตวิญญาณจำนวนมากเลยทีเดียว
แม้อาชาจิตวิญญาณชนิดนี้จะเป็นแค่อสูรจิตวิญญาณระดับต่ำ แต่ความเร็วของมันไม่อาจดูถูกได้ ดูเหมือนว่าจะเทียบเท่ากับความเร็วของอาวุธจิตวิญญาณเหินเวหาระดับกลางด้วย หากได้รับการเลี้ยงดูที่ดี และป้อนพืชจิตวิญญาณจำนวนหนึ่งล่ะก็ ความเร็วของมันยังจะสามารถเพิ่มขึ้นมาได้มาก
นอกจากนี้แล้ว ว่ากันว่ายังมีอาชาจิตวิญญาณกลายพันธุ์ที่พบเจอได้น้อยมาก ความเร็วใกล้เคียงกับอาวุธจิตวิญญาณเหินเวหา แต่นี่กลับเป็นเรื่องที่พบเจอได้ยากมาก
ในระหว่างที่หลิ่วหมิงกำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้น แสงหลบหลีกสองลำตรงด้านหลัง ก็เข้าใกล้ไอหมอกขาวตรงหน้าแล้ว
ลำแสงหลบหลีกสีทองเพิ่มความเร็วขึ้นมาทันที พริบตาเดียวเดียวก็ไล่ตามทัน และอ้อมไปขวางอยู่ตรงหน้าไอหมอกสีขาว
แสงสีเงินกลุ่มหนึ่งพุ่งออกจากแสงหลบหลีกสีทอง พอมีเสียงดัง “ฟู่!” มันก็กลายเป็นตาข่ายยักษ์สีทองปกคลุมไปยังอาชาจิตวิญญาณ
“ฮี้ๆ!……”
อาชาจิตวิญญาณเหล่านี้มีพลังราวๆ ระดับศิษย์จิตวิญญาณขึ้นกลาง มีสติปัญญาไม่เบา พอเห็นว่าแสงสีทองปกคลุมเข้ามา มันก็วิ่งกระจายไปทั่วทิศทันที
ภายใต้การรัดตัวของตาข่ายยักษ์ กลับปกคลุมอาชาจิตวิญญาณได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น และอีกสามตัวกลับถือโอกาสหลบหนีไปแล้ว
ขณะนั้นเอง มีเงาร่างหลายเงาพุ่งขึ้นมาจากต้นหญ้าเขียวชอุ่มในบริเวณใกล้เคียง และขวางอยู่ตรงหน้า “ฟู่!” “ฟู่!” พอค่อยๆ ยกแขนขึ้น ไอหมอกสีเทาที่ส่งกลิ่นหอมเข้มข้นก็ม้วนตัวออกมา
อาชาจิตวิญญาณตัวหนึ่งวิ่งเร็วเกินไป จึงชนใส่หมอกสีเทาอย่างจัง ร่างของมันชะงักลงเล็กน้อย การเคลื่อนไหวช้าลง ไม่นานก็อ่อนยวบยาบอยู่บนพื้นหญ้า
“ไอหอมวิญญาณลวงตา ช่างมีราคาไม่เบาจริงๆ” หลิ่วหมิงหยุดเมฆดำลงนานแล้ว พอเห็นฉากเช่นนี้ก็ทำจมูกฟุดฟิดสองที และพูดพึมพำอย่างอดไม่ได้
ภายใต้สถานการณ์ที่อาชาสวรรค์ไม่ได้รับบาดเจ็บ ถึงจะขายได้ราคาดี การใช้ตาข่ายหรือไอหอมเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว
ตอนที่ 621 เมืองโบราณเทียนเหย่
โดย
Ink Stone_Fantasy
เห็นได้ชัดว่าอาชาจิตวิญญาณที่เหลือสองตัว ค้นพบว่าสหายของตนเองถูกล้อมจับแล้ว ดังนั้นมันจึงส่งเสียงร้องอย่างกระสับกระส่าย จากนั้นก็เพิ่มความเร็วขึ้นมาเล็กน้อย
แต่ว่าหมอกควันได้แผ่กระจายออกไปรอบด้านแล้ว ในที่สุดอาชาจิตวิญญาณตัวหนึ่งก็ไม่อาจหนีไปได้ จึงถูกหมอกควันรอบด้านปกคลุมไว้ หลังจากดิ้นรนสองสามครั้งแล้ว ก็หมดเรี่ยวแรงล้มลงพื้นไป
อีกตัวโชคดีหน่อย ก่อนที่หมอกควันสีเทาจะดับลง เท้าหลังของมันก็กระแทกพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นก็กลายเป็นแถบสีขาวกระโดดออกมา แต่ทิศทางที่มันไปคือทางด้านหลิ่วหมิงพอดี
อาชาจิตวิญญาณตัวนี้คิดว่าหลิ่วหมิงก็เป็นผู้ที่มาล้อมจับมันเช่นกัน ทันใดนั้น มันก็อ้าปากพ่นคมวายุสีเขียวที่มีขนาดหลายฉื่อออกมาเจ็ดแปดสาย และพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วทันที หนวดสัมผัสสีดำหลายเส้นพุ่งออกจากตัว พอสะบัดเบาๆ มันก็กวาดคมวายุเหล่านี้หายไปจนหมด
อาชาจิตวิญญาณหยุดชะงักลง มันรับรู้ได้ถึงพลังอันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงในทันที ความเชื่องช้าของอาชาจิตวิญญาณยังกำหนดชะตากรรมของมันด้วย
“ฟู่!”
ตาข่ายสีทองขนาดใหญ่ผืนหนึ่งพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง พอแสงสีทองเปล่งประกายมันก็คลุมร่างของอาชาจิตวิญญาณไว้
ครู่ต่อมา มีเงาร่างคนผู้หนึ่งร่อนลงจากบนอากาศ และอยู่ห่างจากตรงหน้าหลิ่วหมิงไปไม่ไกล พอลำแสงดับลงก็เผยให้เห็นชายฉกรรจ์ร่างกำยำในชุดคลุมสีทองผู้หนึ่ง ดูจากกลิ่นไอที่แผ่ออกมา คงมีการฝึกฝนระดับของเหลวขึ้นกลาง
“ฮ่าๆ! ขอบคุณสหายที่ยื่นมือเข้าช่วย” ชายฉกรรจ์มองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
“สหายเกรงใจไปแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างราบเรียบ
ที่เขาลงมือในเมื่อครู่ก็แค่ปัองกันตัวเท่านั้น
ชายร่างกำยำได้ยินก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม มือข้างหนึ่งก็ปล่อยพลังออกมา
ตาข่ายสีทองขนาดใหญ่ห่ออาชาจิตวิญญาณไว้แน่น และถูกเรียกกลับเข้าไปในถุงหนังที่อยู่บนเอว
พอคนอื่นๆ ที่อยู่ไม่ไกลมองเห็นหลิ่วหมิง ก็เหาะเข้ามาด้วยความระมัดระวัง หญิงสาวที่อยู่ในนั้นถึงกับจับจี้หยกบนเอวไว้แน่น
“เมื่อครู่สหายผู้นี้ได้ยื่นมือเข้าช่วยไว้ อย่าได้เสียมารยาทกับเขา” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วตำหนิทันที
กลุ่มคนเล็กๆ กลุ่มนี้ มีผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางเพียงคนเดียวเท่านั้น คนอื่นๆ ล้วนมีพลังระดับของเหลวขั้นต้น
นับว่าเป็นกลุ่มล่าอสูรที่ค่อนข้างอ่อนแอในทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์แห่งนี้
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ ย่อมมีความรู้ไม่ธรรมดา ลำพังแค่ฉากที่หลิ่วหมิงโจมตีคมวายุเจ็ดแปดสายในเมื่อครู่ ก็รู้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะต้องมีระดับการฝึกฝนไม่ด้อยไปกว่าตัวเองอย่างแน่นอน
“คนหนุ่มสาวไม่ค่อยรู้เรื่อง ขอท่านอย่าได้ถือสา ใช่สิ! สหายดูหน้าใหม่มาก คิดว่าเพิ่งมาถึงทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์สินะ สนใจร่วมมือจับอาชาจิตวิญญาณด้วยกันหรือไม่ ?” หลังจากชายฉกรรจ์ตะคอกใส่คนที่อยู่ด้านหลังแล้ว ก็เชิญชวนหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม
“ข้ามีเรื่องสำคัญที่ต้องทำ เกรงว่าคงไม่อาจหน่วงเหนี่ยวอยู่ที่นี่ได้ คงได้แต่ขอบคุณความหวังดีของสหายแล้ว” หลิ่วหมิงย่อมปฏิเสธกลับไป
เขาไม่ได้มาทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์เพียงเพื่อหินจิตวิญญาณอันน้อยนิดเหล่านี้ หากไม่ใช่ว่าเขาอยากเห็นอาชาจิตวิญญาณอันเลื่องชื่อ คงไม่คิดหยุดนิ่งอยู่ที่นี่เลยแม้แต่น้อย
“ช่างน่าเสียดายจริงๆ ข้าถูหย่วนเจิน นับว่ามีชื่อเสียงเล็กๆ ในตลาดบริเวณแม่น้ำมืดอยู่บ้าง หากสหายเปลี่ยนใจก็มาหาข้าได้ตลอดเวลา” ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเผยสีหน้าผิดหวังออกมา แต่ยังคงกล่าวอย่างอบอุ่น
หลิ่วหมิงพยักหน้า และประสานมือคารวะ จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีดำพุ่งไปทางเมืองโบราณเทียนเหย่ต่อ
หลังจากเหินเวหาไปได้หลายวัน ในที่สุดก็มาถึงบนพื้นที่สูงแห่งหนึ่ง
พอมองออกไป จะเห็นว่ามีเมืองใหญ่แห่งหนึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล ภายในเมืองมีสิ่งก่อสร้างขนาดต่างๆ ตั้งตระหง่าน ป้อมปราการสร้างจากหินที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองสูงพันจั้ง ราวกับว่าเป็นยอดเขาลูกหนึ่งที่ก้มมองทุกสิ่งบนทุ่งหญ้า
แต่ว่าพื้นผิวของสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ถูกลมโกรกจนผุกร่อน มีจำนวนไม่น้อยที่แตกและพังทลายลง สามารถมองเห็นเมืองทั้งเมืองจากระยะไกลๆ เท่านั้น และเห็นถึงความรุ่งเรืองของเมืองนี้ในอดีตได้อย่างเลือนลาง
ตามที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ ประวัติของเมืองโบราณแห่งนี้ สามารถย้อนกลับไปได้มากกว่าหนึ่งหมื่นปีก่อน เคยมีคนจำนวนไม่น้อยอาศัยอยู่เมืองนี้ มีทั้งคนธรรมดาและผู้ฝึกฝน และเคยรุ่งเรืองอยู่ระยะหนึ่ง แต่กลับไม่รู้ว่าเหตุใดถึงล่มสลายโดยไม่คาดคิด
“ที่นี่คือเมืองโบราณเทียนเหย่” หลิ่วหมิงหยิบแผ่นหยกออกจากหน้าผากด้วยตาที่เป็นประกาย และพูดพึมพำออกมาเบาๆ
ขณะนั้นเอง ชายชุดดำผู้หนึ่งก็ขี่เมฆเหาะออกจากเมือง ดูเหมือนว่าเขาจะค้นพบหลิ่วหมิงที่ยืนอยู่ไม่ไกล จึงเผยสีหน้าระแวดระวังออกมา จากนั้นก็เหาะอ้อมและพุ่งออกไปไกลๆ
หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย หลังจากมองแบบผ่านๆ แล้ว ก็ละสายตากลับมา
ตามที่แสดงไว้ในแผนที่ แม้ว่าปัจจุบันเมืองโบราณเทียนเหย่จะไร้ผู้คนอยู่อาศัยมานาน แต่กลับใช่ว่าจะไม่มีคนอยู่เลย ผู้ฝึกฝนบริเวณนี้จำนวนไม่น้อยใช้ที่นี่เป็นที่พักชั่วคราว
ด้วยจำนวนผู้คนที่ล่าอสูรในทุ่งหญ้าเพิ่มมากขึ้นทุกวัน เมืองโบราณที่ถูกทิ้งร้างเหล่านี้ ก็เป็นสถานที่ที่มีการแลกเปลี่ยนสิ่งของกันเองอยู่บ้าง ซึ่งไม่อาจนับว่าเป็นตลาดอะไร นานวันเข้า นิกายขวานทองคำกับสระหมื่นปีก็ยอมรับปรากฏการณ์เช่นนี้โดยปริยาย
เมื่อหลิ่วหมิงทะยานเข้าไปในเมือง ถึงค้นพบว่าที่นี่ไม่ได้เปล่าเปลี่ยวอย่างที่เขาคิด สามารถพบเห็นผู้ฝึกฝนหนึ่งถึงสองคนปรากฏตัวบนถนนในตลาดเป็นครั้งคราว แน่นอนว่าพวกเขาต่างก็มีท่าทีระแวดระวังกันและกัน และรักษาระยะห่างไว้
นอกจากนี้ ข้างทางยังมีร้านค้าเบ็ดเตล็ดอยู่สองสามแห่ง
แต่ว่าโดยรวมแล้ว เมืองนี้ยังคงเป็นเมืองที่รกร้างว่างเปล่าเป็นพิเศษ
แม้ว่าบนท้องถนนจะมีคนน้อย หลิ่วหมิงกลับรับรู้ได้ว่ามีสายตามองมาจากภายในบ้านเก้าทรุดโทรมจำนวนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา
นี่ก็ไม่แปลก ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ผ่านมาจะซ่อนตัวอยู่ในสิ่งก่อสร้างร้างบางแห่งในเมือง เพื่อเป็นฐานพักผ่อนชั่วคราว มีหลายคนที่รวมตัวเป็นกลุ่มเล็กๆ และบางคนก็เดินทางคนเดียวเช่นกัน
หลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ สถานการณ์ในที่นี้แตกต่างจากที่เขาคิดไว้เล็กน้อย
ทันใดนั้น เขาก็เพิ่มความเร็วในการเหาะมากขึ้นกว่าเดิม ไม่นานก็เข้าไปในส่วนลึกของเมือง และหาบ้านที่ค่อนข้างสมบูรณ์และเงียบสงบก่อนร่อนลงบริเวณนั้น
พอหลิ่วหมิงเข้าไปในห้อง ก็กวาดสายตาดูรอบๆ เล็กน้อย และหยิบธงค่ายกลสองชุดออกมาวางชั้นจำกัดไว้ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิหลับตาพักผ่อน
ตลอดการเดินทาง เขาทั้งต่อสู้และรีบเดินทางโดยที่ไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่เลย ตอนนี้จึงรู้สึกอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงเข้าฌานไปหนึ่งคืน พอวันที่สองกำลังวังชาถึงฟื้นคืนกลับมา และทำการคิดไตร่ตรองหนึ่งรอบ
แม้เขาจะได้ข้อมูลเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ที่ซากโบราณของเผ่าปีศาจบรรพกาลปรากฏตัวเพียงคร่าวๆ แต่ดูสภาพของสถานที่แห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีวี่แววการปรากฏตัวของซากโบราณเลยแม้แต่น้อย
เช่นนี้ล่ะก็ เกรงว่าเขาต้องอยู่ในเมืองนี้อีกสักระยะแล้ว
พอหลิ่วหมิงคิดเสร็จ ก็ตัดสินใจไปสืบดูสถานการณ์ภายในเมืองทันที
ไม่นาน ขณะที่เขาเข้ามาในเมืองนั้น ก็มองเห็นถนนเก่าๆ สายหนึ่งที่มีร้านค้าเบ็ดเตล็ดอยู่สองสามแห่ง
ครึ่งชั่วยามต่อมา เขาก็เดินออกจากร้านค้าแห่งหนึ่งด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จากนั้นก็ทะยานกลับที่พักทันที
ร้านค้าที่สามารถเปิดทำการในสถานที่แห่งนี้ได้ เถ้าแก่ร้านจะต้องไม่ธรรมดา แต่ในขณะเดียวกัน ก็ล้วนเป็นคนที่ชอบเงินทองเป็นอย่างมาก จ่ายหินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง ก็ได้รับข้อมูลที่อยากรู้อย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกฝนในเมืองโบราณเทียนเหย่ในตอนนี้เพิ่มขึ้นกว่าปกติหลายเท่าตัวอย่างน่าประหลาดใจ และคิดไม่ถึงว่าผู้ฝึกส่วนมากจะฝึกฝนพลังสายปีศาจ
จุดประสงค์การมาที่นี่ของคนกลุ่มนี้เหมือนกันกับเขา ซึ่งพวกเขารู้เรื่องการปรากฏตัวของซากโบราณของเผ่าปีศาจผ่านช่องทางต่างๆ ถึงได้มารวมตัวกันที่นี่
อย่างไรก็ตามซากโบราณขนาดเล็กชนิดนี้มักจะปรากฏในแผ่นดินจงเทียนอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งไม่นับว่าเป็นเรื่องมหัศจรรย์แต่อย่างใด
ซากโบราณขนาดเล็กโดยทั่วไป ชั้นจำกัดส่วนมากเสียหายไปหมดแล้ว เนื่องจากผ่านเวลามานานเกินไป และภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีชั้นจำกัดคอยคุ้มกัน พลังของสิ่งของจำพวกโอสถและอาวุธจิตวิญญาณ ก็สูญสิ้นไปตามเวลาจนกลายเป็นสิ่งของที่ใช้การไม่ได้ ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้ฝึกฝนระดับสูงสนใจซากโบราณนี้น้อยมาก
และเหตุที่ผู้ฝึกฝนสายปีศาจมารวมตัวกันที่นี่ ไม่ใช่เพราะโอสถและอาวุธจิตวิญญาณที่ถูกทิ้งเหล่านั้น แต่เป็นเพราะหลังจากซากโบราณปรากฏออกมาแล้ว ในนั้นอาจจะมีไอปีศาจบริสุทธิ์ในสมัยบรรพกาลอยู่
สำหรับผู้ฝึกฝนสายปีศาจแล้ว ไอปีศาจบริสุทธิ์สำคัญกว่าโอสถและอาวุธจิตวิญญาณหลายร้อยหลายพันเท่า เพราะสถานที่ในแผ่นดินจงเทียนที่สามารถหาไอปีศาจบริสุทธิ์ได้นั้น มีอยู่ไม่มาก หากโชคดีล่ะก็ สามารถดูดซับไอปีศาจแท้ได้สองสามกลุ่ม ก็นับว่าเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่แล้ว
แต่เมื่อเทียบกับไอปีศาจธรรมดาแล้ว มีคนที่ค้นพบไอปีศาจแท้ได้ทันเวลาและเก็บได้สำเร็จน้อยมาก หลังจากซากโบราณปรากฏออกมาได้สองชั่วยาม มันก็จะสลายไปโดยสมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ช่วงหนึ่งถึงสองชั่วยามแรกที่ซากโบราณปรากฏตัว ก็เป็นช่วงที่ผู้ฝึกฝนสายปีศาจจำนวนมากแย่งชิงกันอย่างดุเดือด ด้วยเหตุนี้การลงมืออย่างหนักก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างใด
หลังจากหลิ่วหมิงเข้าใจข้อมูลเหล่านี้แล้ว ก็สงบใจลง จากนี้ไปจะพักอยู่ในเมืองโบราณไม่ออกไปข้างนอกอีก เพื่อตั้งหน้าตั้งตารอคอยการปรากฏตัวของซากโบราณ
ขณะที่เวลาค่อยๆ ผ่านไป และผู้ฝึกฝนก็เข้ามาอยู่ไม่หยุดนั้น เมืองโบราณเทียนเหย่ก็ค่อยๆ เกิดความวุ่นวายขึ้น มักจะได้ยินเสียงระเบิดดังออกมาอยู่บ่อยๆ
จนกระทั่งมีอยู่ครั้งหนึ่ง ผู้ฝึกฝนสายปีศาจสองคนต่อสู้กันบริเวณบ้านที่หลิ่วหมิงพักอาศัยอยู่ แต่เพียงแค่ไม่ส่งผลกระทบกับเขา เขาย่อมไม่ออกไปแทรกแซงแต่อย่างใด
ครึ่งเดือนต่อมา พื้นที่ว่างเปล่าแห่งหนึ่งในเมืองโบราณเทียนเหย่ ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา ใบหน้าซีดขาวผู้หนึ่ง กำลังยืนเอามือไขว้หลังอยู่บนกำแพงที่พังทลายลง ชุดสีเลือดของเขาโบกสะบัดตามลมอย่างรุนแรง
และตรงหน้าของเขาก็มีเสียงระเบิดดัง “ตู๊มต๊าม!” เมฆโลหิตขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่งระเบิดออกมา และกลายเป็นไอโลหิตแผ่ขยายออกไป
เมื่อไอโลหิตค่อยๆ สลายไป ชายชุดดำห้าคนก็ปรากฏออกมา เพียงแต่ว่าพวกเขาต่างก็มีสภาพกระเซอะกระเซิงเป็นอย่างมาก!
คนที่เป็นหัวหน้ามีคราบเลือดเต็มตัว และกำลังหายใจหอบอยู่
อีกสี่คนก็เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ใบหน้าซีดขาวผิดปกติ ประจักษ์ชัดว่าได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
และบนพื้นที่คนเหล่านี้ยืนอยู่ ก็ถูกระเบิดจนเป็นหลุมขนาดใหญ่หลายจั้ง
“พวกเจ้าจะยอมหรือยัง?” ชายหนุ่มชุดสีเลือดกล่าวอย่างราบเรียบ
คนชุดดำทั้งห้าต่างก็มองหน้ากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปหาคนที่เป็นหัวหน้า
“คิดไม่ถึงว่าพวกเราทั้งห้าร่วมมือกัน ยังไม่สามารถแตะต้องชายเสื้อของท่านได้เลยแม้แต่น้อย สมกับเป็นราชาโลหิตผู้มีชื่อเสียงจริงๆ พวกข้าทั้งห้าจะยอมฟังคำสั่งของคุณชาย” ขณะที่พูด คนที่เป็นหัวหน้าก็โค้งคำนับลงไป
อีกสี่คนที่อยู่ด้านหลังเห็นเช่นนี้ ก็คุกเข่าลงพื้นเช่นกัน
“ดีมาก! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็รับตราประทับของข้าเถอะ” ราชาโลหิตได้ยินก็เผยรอยยิ้มชั่วร้ายออกมา พอยกแขนเสื้อขึ้น อักขระสีเลือดห้าตัวก็พุ่งออกไป และค่อยๆ จมหายเข้าไปในหน้าผากของคนทั้งห้า
ตอนที่ 622 การปรากฏตัวของซากโบราณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครึ่งเดือนต่อมา ภายในหุบเขาแห่งหนึ่งบริเวณเมืองโบราณเทียนเหย่ หญิงสาวอรชร ใบหน้างดงาม สวมชุดสีดำกำลังยืนอยู่บนก้อนหินยักษ์ นางกำลังมองดูภาพของเมืองโบราณที่ปรากฏอยู่ลิบๆ เสื้อผ้าของนางยังคงโบกสะบัดตามแรงลม
หากหลิ่วหมิงอยู่ที่นี่ด้วย คงจะสามารถจำหญิงสาวตรงหน้าได้ ซึ่งนางก็คือเซียนหงส์ดำที่มีชื่ออันดับสองในบัญชีความเป็นความตายนั่นเอง
และด้านหลังของนางกลับมีศพไหม้เกรียมวางอยู่เกลื่อนกลาด ที่น่าแปลกใจก็คือบนพื้นไม่มีเลือดเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่าศพทั้งหมดจะถูกเผาไหม้จนตาย มีกลิ่นไหม้เกรียมจางๆ ลอยอยู่บนอากาศ
บนศพสองสามศพที่ยังมีสภาพสมบูรณ์อยู่ สามารถมองเห็นภาพโครงกระดูกสีเลือดบนชายเสื้อลางๆ
ผู้ที่คุ้นเคยกับทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ จะมองออกว่านี่คือสัญลักษณ์กระดูกโลหิตของกลุ่มผู้ฝึกฝนชั่วร้าย และมีชื่อเสียงเหม็นโฉ่ที่ชอบปล้นสดมภ์ผู้ฝึกฝนหญิงไปทำเตาหลอมพลัง
ไม่นาน แสงสีดำก็พุ่งออกจากหุบเขา และพุ่งไปยังเมืองโบราณทันที
……
หนึ่งเดือนต่อมา บริเวณทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ที่อยู่ห่างจากเมืองโบราณเทียนเหย่ด้วยการเหินเวหาหนึ่งวัน ขณะนี้กำลังมีการสังหารกันอย่างดุเดือด
เงาร่างสีเลือดกับเงาร่างสีขาวกำลังโจมตีกันไม่หยุด ในระหว่างนั้นก็มีเสียงของแสงกระบี่กับแสงอัคคีดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง
มีแสงกระบี่สองสามลำพุ่งออกมาเป็นบางครั้ง ทำให้ต้นหญ้าสูงครึ่งจั้งในบริเวณที่มันเคลื่อนตัวผ่านถูกตัดขาดในทันที มีกลุ่มไฟกระเด็นออกมาอยู่ไม่หยุด ก่อให้เกิดเปลวไฟอันคุโชนขึ้นมา
ขณะนั้นเอง มีเสียงดังโครมครามดังมาจากสถานที่ที่อยู่ไม่ไกล จากนั้นสิ่งของขนาดมหึมาก็พุ่งมาทางนี้อย่างรวดเร็ว มันคือมนุษย์ทองแดงยักษ์ที่สูงสิบกว่าจั้ง
มนุษย์ทองแดงนี้มีความเร็วน่าตกใจมาก พริบตาเดียวก็มาถึงบริเวณที่ทั้งสองต่อสู้กันอยู่ และยกแขนขึ้นมาอย่างไม่ลังเล กำปั้นยักษ์ที่เปล่งแสงแวววาวทุบลงไปทันที
เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วฟ้า ทำให้อากาศสั่นสะเทือนขึ้นมา!
แสงกระบี่และเงาอัคคีค่อยๆ ระเบิดตัวท่ามกลางกลุ่มการต่อสู้ เงาร่างสีแดงกับสีขาวปรากฏออกมาท่ามกลางแสงสีทอง จากนั้นก็ร่วงลงพื้น และโซซัดโซเซถอยออกไปสิบกว่าก้าวถึงทรงตัวไว้ได้
ที่แท้ก็เป็นหญิงชุดแดงที่ในมือถือพัดสีแดงกับชายวัยกลางคนชุดขาวที่ถือกระบี่เล็กอยู่ ขณะนี้ทั้งสองกำลังมองไปทางมนุษย์ทองแดงยักษ์ด้วยสีหน้าตกใจ และหวาดกลัว
“ท่านเป็นใคร? ใยต้องก้าวก่ายเรื่องของพวกเราโดยไม่มีเหตุผลด้วยเล่า?” ชายวัยกลางคนที่สวมชุดขาวมีสีหน้าผ่อนคลายลง พอเห็นว่าบนไหล่ของมนุษย์ทองแดงมีชายหนุ่มหน้าซื่อที่สวมชุดผ้าหยาบๆยืนอยู่ ก็ตะโกนถามออกไป
หญิงชุดแดงดวงตาเป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง และเงยหน้ามองชายหนุ่มหน้าซื่อด้วยสีหน้าหวาดกลัวเช่นกัน แต่กลับไม่พูดอะไรออกมา
ชายหนุ่มหน้าซื่อก็คือเผิงเยวี่ยจากนิกายเทียนกงนั่นเอง
เผิงเยวี่ยยืนอยู่บนไหล่มนุษย์ทองแดงโดยไม่กล่าวอะไรออกมา แต่สายตากลับจ้องมองสิ่งที่อยู่ระหว่างแสงสีแดงกับแสงสีขาวตรงด้านหลังชายชุดขาวกับหญิงชุดแดง
พอมองอย่างละเอียด สิ่งนั้นดูคล้ายอาวุธจิตวิญญาณประเภทแหสีแดง ภายในมีอาชาจิตวิญญาณสีแดงขาวถูกขังอยู่ ขณะนี้กำลังอยู่ในสภาพหมดสติภายใต้การเปล่งแสงของตาข่ายอย่างเป็นจังหวะ
อาชาจิตวิญญาณทั่วไปในทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ล้วนเป็นสีขาวบริสุทธิ์ แต่ร่างของอาชาตัวนี้กลับเป็นสองสี ผู้ที่มีความรอบรู้หน่อยจะมองออกว่าอาชาจิตวิญญาณตัวนี้เป็นปีศาจอสูรกลายพันธุ์ตัวหนึ่ง ซึ่งไม่เพียงแต่จะพบเจอได้น้อยมาก ความเร็วของมันก็เร็วกว่าอาชาจิตวิญญาณทั่วไปมาก
ชายวัยกลางคนที่สวมชุดคลุมสีขาวเห็นเช่นนี้ ร่องรอยของความโกรธก็ฉายในดวงตาของเขา แต่พอนึกถึงการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามในเมื่อครู่ ก็ได้แต่อ้าปากค้างและไม่กล้ากล่าวอะไรออกมา
เห็นได้ชัดว่าหญิงชุดแดงตรงหน้า ก็รู้สึกว่าพลังของตนเองไม่อาจต่อสู้กับชายหนุ่มหน้าซื่อได้ หลังจากหัวเราะอย่างขมขื่นแล้ว ก็ลดพัดขนนกในมือลง
เผิงเยวี่ยกลับกล่าวขอโทษคนทั้งสอง “ล่วงเกินแล้ว!” พอชี้มือข้างหนึ่งออกไป ดวงตาของมนุษย์ทองแดงที่อยู่ด้านล่างก็คุโชนขึ้นมา จากนั้นก็อ้าปากพ่นแสงสีเหลืองออกมาลำหนึ่ง ภายใต้การเปล่งประกาย มันก็ม้วนเอาแหสีแดงกับอาชาจิตวิญญาณไว้ในนั้น และลากเข้าไปในปาก
ชายวัยกลางคนกับหญิงชุดแดงเห็นเช่นนี้ ก็สบตากันทีหนึ่ง และต่างก็ค้นพบถึงความลังเลกับการไม่ยอมละทิ้งของอีกฝ่าย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำการต้านทานแต่อย่างใด
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ มนุษย์ทองแดงยักษ์ที่อยู่ใต้เท้าของเผิงเยวี่ย ก็ก้าวจากไปอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน แสงสีดำก็ร่วงลงตรงหน้าทั้งสอง มันคือยันต์เก็บของเล็กๆ ผืนหนึ่ง
“ปัญญาชนไม่แย่งของรักของผู้อื่น อาชาจิตวิญญาณตัวนี้มีประโยชน์ต่อข้ามาก ในนี้มีอยู่ห้าแสนหินจิตวิญญาณ ถือเสียว่าเป็นการซื้ออาชาจิตวิญญาณตัวนี้เถอะ!”
ขณะที่เสียงสุดท้ายดังเข้ามานั้น มนุษย์ทองแดงยักษ์ก็จากไปไกลหลายร้อยจั้ง และกลายเป็นจุดสีดำแล้ว
และทิศทางที่เขาไปก็คือเมืองโบราณเทียนเหย่นั่นเอง
ฉากที่คล้ายเคียงกันเกิดขึ้นบ่อยครั้งในทุ่งหญ้าบริเวณเมืองโบราณเทียนเหย่ มีผู้ฝึกฝนจำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตอย่างน่าประหลาดใจ บ้างก็ได้รับบาดเจ็บจนแอบหนีไป
เหตุการณ์ดำเนินเช่นนี้ไปเรื่อยๆ พริบตาเดียวเวลาสามเดือนก็ผ่านไป
วันนี้ บนทุ่งหญ้าทางด้านตะวันตกของเมืองโบราณเทียนเหย่ เกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง จากนั้นพลังมหาศาลก็ระเบิดออกมาจากใต้ดิน
ท้องฟ้าที่เคยปลอดโปร่ง พลันเกิดเมฆดำขนาดใหญ่ขึ้นมาในฉับพลัน และบดบังท้องฟ้าบริเวณนี้จนกลายเป็นสีดำไปทั้งแถบ
พื้นที่เคยเงียบสงบกลับมีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น มีรอยร้าวขนาดใหญ่เป็นจำนวนมาก และค่อยๆ แตกขยายออกไปรอบด้านราวกับใยแมงมุม
ครู่ต่อมา ลำแสงเจิดจ้าก็พุ่งขึ้นฟ้า ต้นหญ้ารอบด้านสั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับคลื่นน้ำ จากนั้นก็ถูกถอนรากถอนโคน และกลายเป็นผุยผงในทันที
หลังจากเกิดเสียงดังราวกับฟ้าจะถล่มแผ่นดินจะทลาย อากาศก็สั่นไหวอย่างรุนแรง
พริบตานั้น สิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ทอดยาวติดต่อกันหลายร้อยลี้ ก็ค่อยๆ โผล่ขึ้นจากพื้นด้วยแรงสั่นสะเทือนขนาดใหญ่ เศษดินจำนวนมากกระเด็นไปทั่วทิศ
ขณะเดียวกัน สิ่งก่อสร้างภายในเมืองโบราณเทียนเหย่ ที่เดิมทีก็ถูกลมโกรกอย่างรุนแรงจนแทบจะล้มมิล้มแหล่ ก็ถูกสั่นสะเทือนจนเริ่มพังทลายลงมา เศษหินดินทรายกระเด็นไปทั่วทิศ
ดีที่ว่าคนที่อยู่ในเมืองล้วนเป็นผู้ฝึกฝน จึงไม่ถูกฝังอยู่ในก้อนหินเหล่านี้แต่อย่างใด
และพริบตาที่พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ก็มีเสียงดังก้องฟ้าดังขึ้นติดต่อกัน แสงหลบหลีกหลากสีพากันพุ่งขึ้นฟ้า
พริบตาเดียว ท้องฟ้าเหนือเมืองโบราณก็เต็มไปด้วยผู้ฝึกฝนจำนวนมาก และต่างก็มองไปยังกลุ่มสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่ปรากฏออกมาไม่ไกล
ท้องฟ้าเหนือเมืองโบราณเทียนเหย่ ราชาโลหิตกำลังยืนเอามือไขว้หลัง และจ้องมองลำแสงขนาดใหญ่ที่พุ่งขึ้นมาด้วยแววตาเยือกเย็น ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ถึงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ
“พวกเราไปกันเถอะ!”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ราชาโลหิตก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีแดงพุ่งไปยังซากโบราณ และผู้ฝึกฝนชุดดำหลายคนที่อยู่ด้านหลังของเขา ก็ตามติดไปอย่างไม่ลังเล
อีกด้านหนึ่ง เซียนหงส์ดำที่สวมชุดกระโปรงสีดำก็ลอยอยู่กลางอากาศ ดวงตางดงามทั้งคู่จ้องมองไปยังซากโบราณ หลังจากมีเสียงหัวเราะ “อิๆ!” ดังออกมา นางก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงสีดำม้วนตัวเอาร่างอันเย้ายวนของนางไว้ และกลายเป็นสายรุ้งสีดำพุ่งไปยังซากโบราณ
ท่ามกลางซากปรักหักพังที่พังทลายในเมืองโบราณ พอเผิงเยวี่ยที่สวมชุดผ้าหยาบๆ ได้ยินเสียงดังโครมครามที่ดังอยู่ไม่ไกล ก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว และเมฆสีเหลืองก็พาร่างของเขาพุ่งไปยังซากโบราณอย่างรวดเร็ว
เหนือเมืองโบราณเต็มไปด้วยผู้คนจำนวนมาก ชายวัยกลางคนที่มีใบหน้าสีเหลือง สวมชุดคลุมสีเหลืองกำลังลอยอยู่กลางอากาศ และมองปรากฏการณ์บนท้องฟ้าที่อยู่ไม่ไกลอย่างเงียบๆ ดวงตาของเขาเผยแววครุ่นคิดออกมา เขาก็คือหลิ่วหมิงที่ปลอมตัวมานั่นเอง
ผ่านไปสักพัก ผู้ฝึกฝนจำนวนมากก็ส่งเสียงตะโกน และปล่อยแสงหลบหลีกออกมา จากนั้นก็พุ่งไปยังซากโบราณด้วยความรวดเร็ว ขณะนี้หลิ่วหมิงถึงกระตุ้นเมฆดำด้วยสีหน้าสงบ และพุ่งไปยังซากโบราณพร้อมกับฝูงชน
ขณะที่ซากโบราณปรากฏออกมา เมฆหมอกบนท้องฟ้าเหนือซากโบราณก็ก่อตัวเป็นค่ายกลขนาดยักษ์ มีม่านแสงแวววาวปรากฏออกมารอบด้านซากโบราณ เห็นได้ชัดว่ามันคือชั้นจำกัดป้องกัน
ขณะเดียวกัน แสงหลบหลีกบนตัวผู้ฝึกฝนที่มาถึงก่อนก็ดับลง และพวกเขาก็ลอยอยู่ตรงหน้าซากโบราณ ไม่นานผู้ฝึกฝนจำนวนมากก็ล้อมรอบซากโบราณจนแน่นขนัด
“ที่แท้ก็เป็นซากโบราณเผ่าปีศาจในสมัยบรรพกาล!” ด้านหนึ่งของซากโบราณ มีแสงสีดำเปล่งประกาย และเผยให้เห็นร่างของหลิ่วหมิง เขามองผ่านม่านแสงเพื่อสังเกตดูซากโบราณขนาดมหึมาตรงหน้า และอุทานออกมาเบาๆ อย่างอดไม่ได้
แม้ไม่รู้ว่ามันผ่านมานานกี่หมื่นปีแล้ว แต่ซากโบราณแห่งนี้ยังคงมีสภาพสมบูรณ์ กำแพงสีม่วงเข้มอันแข็งแกร่งทอดยาวออกไปหลายร้อยลี้ มีพระราชวังขนาดใหญ่ที่มีโดมสีทองเหลืองอร่ามงามตาตั้งตระหง่านไปทั้งแถบ นอกจากนี้ยังมีหอขนาดเล็กแทรกอยู่ในนั้น หอต่างๆ ทับซ้อนกันแน่นขนัด พระราชวังสูงตะหง่าน มีลักษณะทรงพลังน่าเกรงขามราวกับมองเห็นภาพหมู่ปีศาจอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข
ทันใดนั้น ไม่รู้ว่าใครใช้กระบี่ฟันม่านแสงตรงหน้า ทำให้ผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ พากันนำอาวุธจิตวิญญาณออกมาโจมตีชั้นจำกัดอย่างบ้าคลั่ง
แสงดาบเงากระบี่หลากสีเปล่งประกายกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง ทำให้ม่านแสงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แต่มันยังคงมั่นคงแข็งแกร่งดังเดิม
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวแต่อย่างใด แต่กลับพุ่งถอยออกไปสิบกว่าจั้ง และสังเกตการเคลื่อนไหวของผู้คนอย่างเงียบๆ
ดูเหมือนว่าทุกๆ ระยะห่างไม่กี่สิบจั้ง จะมีผู้ฝึกฝนกลุ่มเล็กๆ รวมตัวกันโจมตีม่านแสง ชั่วเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชา สถานที่แห่งนี้ก็เต็มไปด้วยผู้ฝึกฝนนับพัน และกำลังร่วมมือกันจัดการกับสิ่งของขนาดมหึมาตรงหน้า
มีเสียงระเบิดดังออกจากจุดต่างๆ อยู่ไม่หยุด เป็นฉากที่ดูยิ่งใหญ่มาก
ขณะนั้นเองก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากทิศทางบางแห่ง
“ฮ่าๆ! ชั้นจำกัดบรรพกาลอะไรกัน มันก็แค่นั้นแหละ!”
พอผู้คนบริเวณรอบๆ ได้ยินก็มองไปทันที ผู้ที่กล่าวคำพูดนี้เป็นชายร่างผอมบางที่มีไอดำพวยพุ่งรอบตัว ม่านแสงแวววาวตรงหน้ามีรอยร้าวยาวฉื่อกว่าๆ ไอปีศาจสีดำเป็นกลุ่มๆ พวยพุ่งออกมา และถูกเขาดูดซับเข้าไปในร่างอย่างต่อเนื่อง
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง ชายชุดเขียวผู้หนึ่งกลับปรากฏตัวด้านข้างเขาในฉับพลัน และกระตุ้นพลังปีศาจดูดซับไอปีศาจจากรอยร้าวอย่างไม่เกรงใจ
ชายร่างผอมบางเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก เขากระตุ้นเคล็ดวิชาในทันที ทำให้ไอดำบนตัวกลายเป็นฝ่ามือยักษ์สีดำขนาดใหญ่ข้างหนึ่ง และฟันไปทางชายชุดเขียว
ดูเหมือนว่าชายชุดเขียวจะทำการป้องกันไว้ก่อนแล้ว เขาพุ่งถอยออกไปไกลหลายจั้ง และพ่นธงเล็กสีดำออกมา พอโบกสะบัด มันก็กลายเป็นธงยักษ์ที่สูงจั้งกว่าๆ มีภาพโครงกระดูกปรากฏอยู่บนนั้นอย่างชัดเจน
พอเขาสะบัดมันอย่างรุนแรง พายุบ้าระห่ำสีดำก็พัดไปทางชายร่างผอมบาง
ครู่เดียว ทั้งสองก็ทำการต่อสู้อยู่บริเวณรอยร้าวอย่างดุเดือด
ตอนที่ 623 เข้าไปในซากโบราณ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ไม่นาน นอกม่านแสงบริเวณอื่นๆ ก็มีเสียงต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา ยังไม่ทันเข้าไปในซากวัตถุโบราณของเผ่าปีศาจ ผู้ฝึกฝนสายปีศาจเหล่านี้ก็ต่อสู้กันเพื่อแย่งดูดซับไอปีศาจแล้ว
ผู้ฝึกฝนที่มีพลังค่อนข้างแข็งแกร่งจำนวนหนึ่งพากันเปิดม่านแสงกับลูกน้อง และบุกเข้าไปด้านใน
ในบรรดาผู้ฝึกฝนเหล่านี้ บ้างก็เป็นผู้ฝึกฝนสายปีศาจที่บุกเข้าซากวัตถุโบราณเพื่อดูดซับไอปีศาจ บ้างก็มาเพื่อสมบัติที่ถูกทิ้งอยู่ในซากวัตถุโบราณ และก็มีจำนวนหนึ่งที่ตั้งใจมาฆ่าคนเพื่อชิงสิ่งของ
ชั่วขณะนั้น ด้านนอกซากวัตถุโบราณของเผ่าปีศาจก็เกิดความวุ่นวายขึ้นมา มีการต่อสู้กันอยู่ไม่หยุด
หลิ่วหมิงไม่รู้สึกแปลกใจกับภาพตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย หลังจากสังเกตดูเล็กน้อยแล้ว ก็เตรียมจะไปหาจุดที่ไม่มีคนเพื่อเปิดชั้นจำกัด และจะได้ดูดซับไอปีศาจ
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง พลันมีเสียงหลัวโหวดังขึ้นข้างหู
“ไอปีศาจที่อยู่บริเวณรอบๆ เหล่านี้ เป็นแค่ไอปีศาจธรรมดาเท่านั้น ไม่มีไอปีศาจแท้แต่อย่างใด เจ้าก็ไม่ได้ฝึกฝนพลังปีศาจ ดูดซับไปก็ไม่มีประโยชน์ ไอปีศาจแท้คงจะถูกผนึกอยู่ในส่วนลึกของซากโบราณ ข้ารับรู้ได้อย่างลางๆ เจ้าเข้าไปใจกลางด้านในก่อนแล้วค่อยว่ากัน”
“ได้! ในเมื่อผู้อาวุโสกล่าวเช่นนี้ จะต้องไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว หลังจากตอบกลับด้วยจิตไปหนึ่งประโยคแล้วก็สะบัดแขนเสื้อ และกระบี่เล็กสีเขียวก็ลอยอยู่ตรงหน้าในทันที
“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!”
พอเขาตะโกนเสียงต่ำออกมา กระบี่เล็กสีเขียวก็เปล่งแสงในทันที แสงกระบี่แต่ละลำม้วนร่างเขาไว้ และกลายเป็นสายรุ้งยาวอันน่าตกใจฟันเข้าใส่ม่านแสงแวววาวตรงหน้า
“ตู๊ม!”
ภายใต้การโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของสายรุ้งสีเขียว ม่านแสงแวววาวก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ
หลิ่วหมิงขี่แสงกระบี่ตรงดิ่งเข้าไปด้านในภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีเขียว
ขณะที่หลิ่วหมิงเข้าไปในซากโบราณได้ไม่นาน แสงหลบหลีกสีดำก็มาปรากฏตัวในตำแหน่งที่หลิ่วหมิงเคยอยู่ เผยให้เห็นร่างของหญิงงดงามที่สวมชุดกระโปรงสีดำ ซึ่งก็คือเซียนหงส์ดำนั่นเอง
นางจ้องมองรอยโหว่ของชั้นจำกัดที่หลิ่วหมิงใช้วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งทะลวงเข้าไป และเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็กลายร่างเป็นแสงหลบหลีกสีดำพุ่งเข้าไปด้านใน
……
อีกด้านหนึ่งที่อยู่นอกม่านแสง ภายในระยะไม่กี่สิบจั้ง จะมองเห็นศพนอนอยู่บนพื้นหนึ่งถึงสองศพเป็นระยะๆ
ศพเหล่านี้ต่างก็มีใบหน้าซีดขาว ไร้ซึ่งโลหิตและลมปราณใดๆ ร่างกายเหี่ยวเฉาราวกับถูกบีบจนแห้ง
“ฟิ้ว!” มีศพแห้งเหี่ยวถูกโยนออกจากกลุ่มหมอกโลหิตที่อยู่ไม่ไกล
“คุณชาย ผู้ฝึกฝนในสถานที่แห่งนี้ถูกกำจัดไปพอประมาณแล้ว” พอมีเงาดำเปล่งประกาย ชายชุดดำที่หน้าเหมือนโจรก็ปรากฏตัวบริเวณหมอกโลหิต และรายงานอย่างนอบน้อม
“สิ่งที่ปะปนอยู่ในร่างของผู้ฝึกฝนสายปีศาจเหล่านี้ ล้วนเป็นไอปีศาจขุ่นๆ ไม่ค่อยมีประโยชน์มากนัก” หลังจากทะเลโลหิตพวยพุ่งอย่างรุนแรงอยู่ครู่หนึ่ง มันก็ถูกเก็บไป เผยให้เห็นชายหนุ่มรูปงามที่สวมชุดสีแดง ซึ่งก็คือราชาโลหิตนั่นเอง
เขาใช้พลังสายโลหิตสูบโลหิตบริสุทธิ์ของผู้ฝึกฝนสายปีศาจสิบกว่าคน จากนั้นใบหน้าซีดขาวของเขาก็ดูมีเลือดฝาดขึ้นมา
“พวกเจ้าสองสามคนรออยู่ด้านนอกสักครึ่งชั่วยาม ดูว่ามีปลาหลุดออกจากแหหรือไม่ ที่เหลือตามข้าเข้าไปในซากโบราณ” ราชาโลหิตกวาดสายตามองซากโบราณอย่างลึกซึ้งทีหนึ่ง และแลบลิ้นเลียริมฝีปากล่างก่อนสั่งออกมา
จากนั้นแสงสีเลือดก็เปล่งประกายบนตัวราชาโลหิต และกลายเป็นแสงสีแดงแวววาว “ฟู่!” ม่านแสงตรงหน้าเปิดออกมา ภายใต้แสงที่เปล่งประกาย เขาก็เข้าไปในซากโบราณอย่างรวดเร็ว
ขณะที่มีเสียงดังตรงด้านหลังของเขา ชายชุดดำหลายคนที่ถูกเขาดึงเป็นพวก ก็ค่อยๆ พากันตามเข้าไป
……
หลิ่วหมิงพุ่งไปมาในซากโบราณอย่างรวดเร็วโดยไม่หยุดพักเลยแม้แต่น้อย
พอเขาเข้าไปด้านในซากโบราณ ก็พุ่งไปยังใจกลางโดยไม่คิดจะหยุดพัก ชั้นจำกัดขัดขวางที่พบเจอกับระหว่างทาง ถูกเขาใช้กระบี่ทำลายเพื่อจะได้ประหยัดเวลา
ขณะนี้ เขาเข้าไปในซากโบราณเป็นเวลาหนึ่งมื้อข้าวแล้ว
“ระวังด้านหน้า!”
ขณะที่เขาทะลุผ่านวังเล็กๆ หลังหนึ่ง จนมาถึงระเบียงทางเดินอันเปล่าเปลี่ยวนั้น พลันมีเสียงหลัวโหวเตือนเข้ามาในหู
เมฆใต้เท้าหลิ่วหมิงหยุดชะงักทันที และเขาก็เขม้นตาจ้องมองไปด้านหน้า
ที่นั่นมีค่ายกลแปลกประหลาดที่มีสภาพไม่สมบูรณ์ประทับอยู่หลังหนึ่ง
ใจกลางค่ายกล มีแค่อักขระปีศาจสีม่วงแปลกประหลาดตัวหนึ่งเท่านั้น รอบด้านของมันเป็นลวดลายจิตวิญญาณสีเทาจางๆ จำนวนหนึ่ง หากไม่หาอย่างละเอียด ก็ไม่อาจค้นพบตำแหน่งของค่ายกลนี้ได้
“นี่คือ……” หลิ่วหมิงถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“นี่คือหนึ่งในค่ายกลปิดผนึกที่เผ่าปีศาจบรรพกาลทิ้งไว้ แม้จะบอกว่ามันชำรุดไปมาก แต่สามารถจัดการกับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวอย่างเจ้าได้เหลือเฟือ ต่อให้พลังของเจ้าจะแข็งแกร่งว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันไม่น้อย แต่หากถูกขังอยู่ในค่ายกลนี้ และมีเวลาไม่ถึงสองชั่วยามล่ะก็ ไม่อาจทำลายค่ากลเพื่อออกมาได้” หลัวโหวอธิบายอย่างราบเรียบ ประจักษ์ชัดว่าเมื่อเผชิญกับแรงกดดันในการทำลายผนึกของกรงขัง เขาก็ไม่ลังเลที่จะชี้แนะ
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เตือน” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วตอบกลับไป ขณะเดียวกันก็กระตุ้นเคล็ดวิชา และเดินอ้อมค่ายกลไป เพื่อเดินทางไปข้างหน้าต่อ
การเดินทางหลังจากนี้ มีหลัวโหวคอยเตือนจนสามารถหลบหลีกกับดักชั้นจำกัดหลายแห่งที่เผ่าปีศาจในสมัยบรรพกาลได้ทิ้งไว้ ไม่นานก็มาถึงหน้าทางเข้าพระราชวังที่ซ่อนตัวอยู่อย่างเร้นลับ หลังจากเลี้ยวไปเลี้ยวมาอยู่หลายครั้ง ก็เข้าไปในห้องลับแคบยาวหลังหนึ่งที่มีขนาดแค่สิบกว่าจั้ง
เพดานสีเทาด้านบนมีผลึกหินสีเทาฝังอยู่ และมันก็เปล่งแสงทรงกลดสีขาวจางๆ ออกมา ทำให้ห้องลับสว่างไสว
ผนังทั้งสี่ด้านก่อตัวขึ้นจากก้อนหินสีดำขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่าจะมีแค่ทางเข้า แต่ไม่ทีทางออกอื่นอีก
ตรงส่วนท้ายของห้องลับ กลับมีเสาหินที่ดูโบราณและเรียบง่ายอยู่ต้นหนึ่ง บนเสาหินมีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงประทับอยู่อย่างหนาแน่น
“ผู้อาวุโสหลัว ท่านแน่ใจว่าที่นี่มีไอปีศาจแท้หรือ?” หลิ่วหมิงมองดูห้องลับ และถามด้วยตาที่เป็นประกาย
“วางใจเถอะ! ในเมื่อข้าให้เจ้ามาที่นี่ ข้าย่อมรับรู้ถึงการมีอยู่ของไอปีศาจแท้แล้ว จะต้องไม่ผิดพลาดอย่างแน่นอน” หลัวโหวตอบกลับอย่างไม่เกรงใจ
หลิ่วหมิงพยักหน้าและสูดหายใจเข้าลึกๆ ขณะที่กำลังจะเดินไปสำรวจดูตรงหน้านั้น พลันมีเสียงดังมาจากเสาหินตรงด้านหลัง เงาสีเทาเงาหนึ่งหายวับออกมา ที่แท้มันก็เป็นอสรพิษยักษ์สีเทาตัวหนึ่งนั่นเอง
อสรพิษยักษ์ยาวสามสิบสี่จั้ง ร่างของมันแห้งเหี่ยวเป็นพิเศษ มีลวดลายจิตวิญญาณสีดำปกคลุมเต็มตัว มันหมุนตัวหนึ่งรอบและจ้องมองหลิ่วหมิงอย่างไม่ละสายตา มีเพียงแค่เปลวไฟสีเขียวสองจุดเปล่งประกายอยู่ในดวงตา
“ศพอสรพิษ”
พอหลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
“อสรพิษตัวนี้คงเป็นผู้พิทักษ์ที่กลายร่างมาจากกระดูกของปีศาจอสูรที่เผ่าปีศาจในสมัยบรรพกาลได้ทิ้งไว้ ตอนนี้ผ่านการบ่มเพาะของไอปีศาจมานับร้อยนับพันปี จึงกลายเป็นอสูรศพปีศาจตัวหนึ่ง ด้วยพลังของเจ้าในตอนนี้ แม้ว่าจะรับมือได้ไม่ยาก แต่สิ้นเปลืองเวลาเกินไป เจ้าเจาะทะลวงผนังหินทางด้านขวาของห้องลับ ก็เข้าถึงสถานที่ที่มีไอปีศาจแท้อยู่แล้ว” น้ำเสียงเยือกเย็นของหลัวโหวดังเข้ามาอีกครั้ง
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ศพอสรพิษตรงหน้ากลับหมุนวนบนพื้นหนึ่งรอบ และอ้าปากพ่นเปลวไฟสีดำใส่หลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดวิชาเงาสามส่วนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง หลังจากไอดำบนตัวพวยพุ่ง ก็มีเงาร่างเงาหนึ่งพุ่งออกไปรับมือกับอสรพิษยักษ์ และเขาก็แตะปลายเท้าลงพื้นด้านข้างก่อนพุ่งไปยังผนังหินทางด้านขวา ขณะเดียวกัน นิ้วมือนิ้วหนึ่งก็ชี้ไปยังผนังหินทางด้านขวา ปราณกระบี่รูปเกลียวพุ่งออกไปในพริบตา
“ตู๊ม!” มีเสียงดังเข้ามา ผนังหินทางด้านขวาเกิดเป็นโพรงขนาดจั้งกว่าๆ หลังจากหลิ่วหมิงบิดตัว ก็กลายเป็นเงาดำกระพริบผ่านโพรงนี้ไป จากนั้นก็มาถึงห้องโถงอีกแห่งที่ค่อนข้างกว้างขวาง
พอเขาร่อนลงพื้น ก็หมุนตัวปล่อยปราณกระบี่ออกไปสองสามสายในทันที “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”
ก้อนหินขนาดใหญ่บนผนังถูกปราณกระบี่โจมตีจนค่อยๆ ร่วงลงมา และปิดตายโพรงเมื่อครู่ไว้
ครู่ต่อมา มีเสียงโจมตีดัง “ตู๊มๆ!” อยู่ด้านนอกกองหิน ประจักษ์ชัดว่ามันเป็นการกระทำของปีศาจอสรพิษตัวนั้น
หลิ่วหมิงมองดูกองหินทีหนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีดำพุ่งไปยังส่วนลึกของห้องโถงอย่างรวดเร็ว
……
บนพื้นว่างเปล่าแห่งหนึ่งที่อยู่ด้านนอกซากโบราณ มนุษย์ทองแดงยักษ์ที่สูงสิบกว่าจั้งกำลังยืนอยู่ที่นั่น บนไหล่ของมนุษย์ทองแดงยักษ์มีชายหนุ่มรูปร่างเหมือนชาวนายืนอยู่บนนั้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ซึ่งเขาก็คือเผิงเยวี่ยนั่นเอง
เป็นเพราะว่าเผชิญกับเรื่องราวบางอย่างในระหว่างทาง เขาจึงล่าช้าไปชั่วขณะ ทำให้มาไม่ทันตอนที่ซากโบราณปรากฏออกมา
เมื่อเขามาถึงบริเวณนี้ พื้นดินนอกซากโบราณก็กลายเป็นหลุมเป็นบ่อแล้ว และยังมีซากศพที่มีสภาพไม่สมบูรณ์นอนอยู่บริเวณนั้นเป็นจำนวนมาก
ยันต์เก็บของบนตัวคนเหล่านี้ต่างก็ถูกปล้นไปจนหมดสิ้น และโลหิตบนตัวก็ถูกดูดไปจนเกลี้ยง
ตรงใต้เท้ามนุษย์ทองแดงยักษ์ คนชุดดำสองคนที่คิดจะลอบโจมตีเผิงเยวี่ยในก่อนหน้า ได้ถูกมนุษย์ทองแดงยักษ์สังหารอย่างง่ายดาย และถูกเหยียบจนกลายเป็นเนื้อเหลวๆ ไปแล้ว
เผิงเยวี่ยคิดไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระตุ้นพลังอย่างไม่ลังเล มนุษย์ทองแดงยักษ์ตรงใต้เท้า ก้าวไปด้านหน้าด้วยเสียงที่ดังโครมคราม พอสะบัดแขนข้างหนึ่ง เงากำปั้นจำนวนมากก็โจมตีม่านแสงหน้าอย่างบ้าคลั่ง
หลังจากเกิดเสียงดังติดต่อกัน ม่านแสงแวววาวก็ถูกเงากำปั้นโจมตีจนแตกกระจาย ก่อให้เกิดช่องโหว่ขนาดสิบกว่าจั้ง
เผิงเยวี่ยเห็นเช่นนี้ก็ขี่มนุษย์ทองแดงยักษ์เข้าไปด้านในทันที และพุ่งไปยังส่วนลึกของซากโบราณ
……
ภายใต้การชี้นำของหลัวโหว ในที่สุดหลิ่วหมิงก็มาถึงห้องโถงที่เต็มไปด้วยกระดูกของวิหคไม่ทราบชื่อ
ห้องโถงแห่งนี้มีขนาดใหญ่หลายหมู่ ลวดลายจิตวิญญาณสีเงินจางๆ ประทับอยู่บนผนังสีดำทั้งสี่ด้าน และใจกลางของห้องโถงก็เป็นแท่นบูชาสีดำที่สูงสามจั้งกว่า มีแสงทรงกลดลึกลับสีดำเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิว
ทั้งสี่ด้านของแท่นบูชาต่างก็มีเสาหินสีดำที่สูงกว่าแท่นบูชาตั้งอยู่ มีภาพอสูรแปลกประหลาดหลายตัวที่มีรูปร่างคล้ายค้างคาวยักษ์สลักอยู่บนเสาหิน ส่วนบนของเสาแต่ละต้นยังมีผลึกหินสีดำขนาดเท่ากำปั้นฝังอยู่หนึ่งก้อน
พื้นบริเวณรอบๆ แท่นบูชาก็มีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงกลมๆ สลักอยู่ และจัดเรียงคล้ายกับภาพค่ายกลลางๆ คงจะเป็นผนึกบางอย่าง
“ไม่ผิด! ไอปีศาจแท้อยู่ในแท่นบูชานี้แหละ แม้ว่ากลิ่นไอของมันจะไม่เล็ดลอดออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่สามารถบดบังการรับรู้ของข้าได้” มีน้ำเสียงราบเรียบของหลัวโหวดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิงอีกครั้ง
หลิ่วหมิงได้ยินก็หรี่ตาทั้งคู่ลง และสังเกตดูแท่นบูชาสีดำตรงหน้าอย่างละเอียด
ตอนที่ 624 แท่นบูชากับผนึก
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ศิลาปีศาจ?” หลิ่วหมิงมองดูสิ่งที่อยู่บนเสาหินแล้วขมวดคิ้วถาม
“นี่ไม่ใช่ศิลาปีศาจอะไร แต่เป็นผลึกหินสีดำที่พิเศษหน่อยก็เท่านั้น ในระหว่างผลึกหินชนิดนี้ สามารถเกิดการเชื่อมต่อบางอย่างได้ จัดวางในตำแหน่งที่แตกต่างกัน ก็สามารถสร้างเกราะป้องกันบางอย่างขึ้นมาได้ ตรงหน้าของเจ้าก็เป็นเกราะป้องกันบางอย่าง เป็นเพราะมีเกราะป้องกันนี้อยู่ แท่นบูชานี้ถึงยังคงมีสภาพสมบูรณ์มาจนถึงทุกวันนี้” หลัวโหวอธิบายอย่างราบเรียบ
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ หากข้าทำลายมัน ก็จะพบเจอกับไอปีศาจแท้แล้วใช่หรือไม่?” หลิ่วหมิงค่อยๆ ถามออกมา
“ไม่ผิด! ภาระอันเร่งด่วนในตอนนี้ก็คือ ก่อนที่คนอื่นจะมาถึง เจ้าต้องรีบทำลายเกราะป้องกันกับผนึกนี้ เพื่อให้ไอปีศาจแท้ไหลออกมา แต่ข้าขอเตือนเจ้าหนึ่งประโยค พอไอปีศาจแท้เปิดเผยออกมา มีความเป็นไปได้ที่ผู้ฝึกฝนสายปีศาจคนอื่นจะรับรู้ถึงมัน และจะหาที่นี่เจออย่างรวดเร็ว” หลัวโหวเตือนหลิ่วหมิงอีกครั้ง
หลิ่วหมิงได้ยินก็พยักหน้า และก้าวไปด้านหน้าสองสามก้าวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พอสะบัดแขนเสื้อมุกพลังวารีสองเม็ดก็ร่วงลงมา หลังจากเอามือทั้งสองถูกัน มันก็รวมกันเป็นหนึ่ง
หลังจากรวมมุกพลังวารีเข้าด้วยกัน และกำอยู่ในมือแล้ว หลิ่วหมิงก็เริ่มร่ายคาถาออกมา ไอดำพวยพุ่งออกจากแขน เขาตะคอกเสียงต่ำออกมา และทุบออกไปอย่างรุนแรง จากนั้นไอดำก็ม้วนตัวออกมาอย่างบ้าคลั่ง
“ตู๊ม!”
อากาศตรงหน้าแท่นบูชาสั่นสะเทือน ม่านแสงไร้รูปปรากฏออกมา การโจมตีของมุกพลังวารีที่เสริมด้วยเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ทำได้แค่เกิดระลอกคลื่นปรากฏบนม่านแสงเท่านั้น
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย พอยกแขนอีกข้างขึ้นมา และชี้นิ้วข้างหนึ่งไปทางอากาศ ปราณกระบี่รูปเกลียวก็พุ่งออกไปในพริบตา
“ฟิ้ว!”
ภายใต้การพุ่งออกไปของปราณกระบี่ มันสามารถทะลุม่านแสงได้อย่างง่ายดาย แต่พริบตาเดียวรูบนม่านแสงก็ปิดสนิทดังเดิม
“เกราะป้องกันของเผ่าปีศาจบรรพกาลไม่สามารถทำลายได้ง่ายดายเช่นนี้หรอก กระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณให้โจมตีจุดใดจุดหนึ่งอย่างต่อเนื่อง พอพลังของจุดนี้หมดสิ้น ก็ทำลายเกราะป้องกันได้แล้ว” หลัวโหวกล่าวอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นก็ไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมาอีก
หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรอีกเช่นกัน เพียงแค่กำมุกพลังวารีโจมตีเกราะป้องกันตรงหน้าอย่างต่อเนื่อง
……
ขณะเดียวกัน ภายในห้องโถงขนาดใหญ่บางแห่งในซากโบราณ ตรงหน้าชายสี่คนที่สวมชุดนิกายเดียวกัน มีอสูรคางคกสีดำ ลำตัวแห้งเหี่ยว สูงหนึ่งจั้งกว่าๆ นอนหมอบอยู่
เห็นได้ชัดว่าอสูรตัวนี้เป็นอสูรศพปีศาจเหมือนกับศพอสรพิษที่หลิ่วหมิงพบเจอในก่อนหน้า และมันก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออกมาไม่หยุด
“พี่รอง หากวันนี้พวกเราสามารถจัดการกับศพอสูรตัวนี้ได้ และนำแก่นปีศาจของมันมาปรุงเป็นโอสถยอดปีศาจระดับสูงได้สองสามเม็ดล่ะก็ การทะลวงคอขวดระดับผลึกคงจะมีความหวังขึ้นมาแล้ว” ชายที่ดูมุทะลุดุดันผู้หนึ่งจ้องมองอสูรยักษ์ตรงหน้า และหัวเราะก่อนกล่าวออกมาเบาๆ
“ร่างของอสูรตัวนี้ถูกไอปีศาจกัดกร่อนมานานแล้ว จึงกลายเป็นปีศาจตัวหนึ่ง ตอนนี้เพิ่งจะทะลวงระดับผลึก หากพวกเราทั้งสี่สามารถร่วมมือกันนำมันไปปรุงโอสถได้ ย่อมดีกว่าผู้ฝึกฝนที่ดูดซับไอปีศาจมาก แต่ว่าพิษของมันร้ายแรงมาก อย่าได้โดนตัวเป็นอันขาด” ชายร่างกำยำอีกคนเตือนอย่างระมัดระวัง
อีกสามคนที่เหลือได้ยินเช่นนี้ ก็ตอบรับและพากันนำอาวุธจิตวิญญาณออกมาโจมตีใส่อสูรคางคก
……
ห้องลับใต้ดินบางแห่งที่อยู่ในซากโบราณ ชายหนุ่มชุดคลุมยาวสีม่วงกำลังชื่นชมกระบี่โบราณสีดำที่ถืออยู่บนมือ ซึ่งมีสภาพชำรุดเล็กน้อย บนด้ามกระบี่มีภาพหัวปีศาจประทับอยู่หนึ่งตัว
“แม้ดาบเล่มนี้จะเสียหายจนไม่อาจใช้งานได้โดยตรง แต่มันหลอมขึ้นมาจากวัสดุล้ำค่าของเผ่าปีศาจบรรพกาล หากนำกลับไปหลอมใหม่ ไม่แน่อาจจะได้วัสดุล้ำค่าบางอย่างก็ได้” ชายหนุ่มชุดม่วงพูดพึมพำออกมา
ขณะนั้นเอง แสงโลหิตลำหนึ่งก็เปล่งประกายออกมา ชายหนุ่มไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนอง ก็มีรูเลือดขนาดครึ่งฉื่อปรากฎบนคอ หลังจากอ้าปากพะงาบๆ แล้ว ก็ล้มลงไปในกองเลือด มือขวายังคงจับกระบี่โบราณสีดำเล่มนั้นไว้แน่น
“ฮึ! ไม่คณามือ” ครู่ต่อมา แสงสีเลือดกลางอากาศบริเวณนั้นก็ดับลง เผยให้เห็นชายหนุ่มรูปงามเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก็คือราชาโลหิตนั่นเอง
เขาโบกมือข้างหนึ่งไปทางชายชุดม่วง ทันใดนั้นโลหิตก็ทะลักออกจากคอในทันที และกลายเป็นเส้นโลหิตจำนวนมากจมเข้าไปในมือของเขา
เวลาเพียงแค่สองสามอึดใจ ชายชุดม่วงก็ถูกดูดจนกลายเป็นศพแห้งๆ
ขณะนี้ พลันมีเสียงเท้าหนักหน่วงดังมาจากห้องโถงภายในห้องลับที่อยู่ไม่ไกล ทุกย่างก้าวราวกับภูเขาไท่ซานที่กดทับลงมา ทำให้พื้นบริเวณนั้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย มนุษย์ทองแดงยักษ์ที่สูงสิบกว่าจั้งพุ่งมาทางห้องลับอย่างรวดเร็ว
“มาอีกคนแล้วหรือ ช่างไม่รู้จักประมาณพลังของตนเองเลย?” พอราชาโลหิตได้ยินเสียงภายในห้องลับ ก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น หลังจากเก็บกระบี่โบราณที่ชำรุดเข้าไปแล้ว ก็พุ่งออกไปท่ามแสงแสงสีเลือดที่เปล่งประกาย
ครู่ต่อมา พอแสงสีเลือดดับลง เขาก็มาปรากฏตัวด้านนอกห้องลับ มนุษย์ทองแดงยักษ์ที่อยู่ไม่ไกลกำลังก้าวมาทางเขา
“ราชาโลหิต!”
พอเผิงเยวี่ยมองเห็นราชาโลหิต ก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย มนุษย์ทองแดงยักษ์ที่อยู่ด้านล่างก็หยุดนิ่งอยู่กับที่
“ที่แท้ก็เป็นเจ้า! ดีมาก ผู้ที่สามารถควบคุมหุ่นระดับนี้ได้ จะต้องเป็นศิษย์สายในนิกายเทียนกงอย่างแน่นอน โลหิตบริสุทธิ์ของเจ้าข้ารับไว้แล้ว” พอราชาโลหิตเห็นเผิงเยวี่ยก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นปราณโลหิตบนตัวก็ควบแน่นขึ้นมา พอยกมือข้างหนึ่งขึ้น ฝ่ามือโลหิตยักษ์ที่มีขนาดหลายจั้ง ก็ตบไปทางเผิงเยวี่ยทันที
เผิงเยวี่ยได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมลง ไม่เห็นว่าเขาจะมีการเคลื่อนไหวใดๆ แต่มนุษย์ทองแดงยักษ์ใต้ร่างกลับขยับแขนในฉับพลัน มือยักษ์สีเหลืองอร่ามพุ่งออกไปรับมือกับฝ่ามือโลหิต
“ตู๊ม!”
ภายใต้การม้วนตัวพวยพุ่งของแสงสีเลือดกับเมฆโลหิต ทำให้มนุษย์ทองแดงยักษ์สั่นสะเทือนเล็กน้อย และราชาโลหิตก็มีสีหน้าซีดขาวขึ้นมา ทั้งยังร่นถอยออกไปสองก้าวโดยไม่รู้ตัว
และขณะนั้นเอง ลวดลายจิตวิญญาณสีทองจางๆ บนร่างมนุษย์ทองแดงยักษ์ก็เปล่งประกาย มันยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบไปทางราชาโลหิต ความเร็วของมันรวดเร็วกว่าผู้ฝึกฝนที่แท้จริงสามส่วน
ราชาโลหิตทำเสียงฮึดฮัด และยังไม่ทำการหลบหลีก แต่กลับทำท่ามืออย่างรวดเร็ว แสงสีเลือดม้วนตัวเหนือศีรษะ และเมฆโลหิตกลุ่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา
เกิดเสียงดังขึ้น
เท้าขนาดใหญ่ของมนุษย์ทองแดงร่วงเหนือร่างราชาโลหิต แต่กลับไม่สามารถร่วงลงต่อไปได้อีก เพราะถูกต้านทานไว้กลางอากาศ
ราชาโลหิตยิ้มมุมปากเล็กน้อย ปราณโลหิตรอบตัวพวยพุ่งอยู่ครู่หนึ่ง เมฆโลหิตกลางอากาศหมุนวนหนึ่งรอบ จากนั้นก็กลายเป็นมือโลหิตยักษ์คว้าเท้าของมนุษย์ทองแดงไว้ และกระตุกอย่างรุนแรง
พลังมหาศาลพวยพุ่งใต้เท้ามนุษย์ทองแดงยักษ์ แสงสีทองรอบตัวเปล่งประกาย หลังจากร่นถอยออกไปสามสี่ก้าว ถึงพอจะทรงตัวไว้ได้
ขณะนี้ ไอหมอกรอบตัวราชาโลหิตกลับพวยพุ่งขึ้นมา และกลายเป็นมือยักษ์สีแดงสองข้างที่มีขนาดจั้งกว่าๆ และพุ่งไปยังหน้าอกของมนุษย์ทองแดงด้วยเสียงอันดัง
พอเห็นฉากตรงหน้า สีหน้าเผิงเยวี่ยก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาปล่อยพลังใส่มนุษย์ทองแดงยักษ์อีกครั้ง มนุษย์ทองแดงยักษ์อ้าปากพ่นลำแสงสีทองขนาดเท่าปากถ้วยออกมา
“ตู๊ม!”
ลำแสงสีทองปะทะกับฝ่ามือยักษ์สีเลือด จากนั้นก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีทองกับสีแดงก่อนระเบิดออกมา
หลังจากมีเสียงดัง “ตุบ!” มนุษย์ทองแดงก็ร่นถอยออกไปหลายก้าว รอยฝ่ามือตรงหน้าอกเห็นได้อย่างชัดเจน
“เจ้า……”
เผิงเยวี่ยดวงตาเป็นประกาย และเผยสีหน้าโมโหออกมา นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ ร่างขนาดใหญ่ของมนุษย์ทองแดงพร่ามัว และมาปรากฏตัวตรงหน้าราชาโลหิตเพียงลัดมือเดียว พอแขนทั้งสองพร่ามัว กำปั้นยักษ์จำนวนมากก็โจมตีออกไป
ราชาโลหิตเผยรอยยิ้มเยือกเย็น พอสะบัดไหล่ ปราณโลหิตก็พวยพุ่งออกจากร่างอย่างบ้าคลั่ง หลังจากม้วนตัวไปหนึ่งรอบ ระลอกคลื่นสีเลือดขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้นมา และม้วนเอาเผิงเยวี่ยกับมนุษย์ทองแดงยักษ์เข้าไปในนั้น
และราชาโลหิตเองก็จมหายไปในปราณโลหิตอย่างไร้ร่องรอย
……
มีเสียงดัง “โครมคราม!” บริเวณผนึกแท่นบูชา
ระลอกคลื่นกลางอากาศขยายออกไปรอบด้าน
ครู่ต่อมา เงาร่างสีเขียวก็เผยตัวตนออกมา ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง
ก่อนหน้านั้นเขาทำการโจมตีอยู่ไม่หยุด ในที่สุดก็อาศัยพลังของมุกพลังวารีกับพลังของตัวเอง ทำลายเกราะป้องกันไร้รูปที่ผนึกอยู่นอกแท่นบูชาได้
หลิ่วหมิงมองดูค่ายกลปิดผนึกสีม่วงใต้แท่นบูชาที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ทีหนึ่ง พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เล็กสีเขียวด้ามหนึ่งก็พุ่งยิงออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นกระบี่ยักษ์สีเขียวที่มีขนาดสองสามจั้ง
“ฟัน!”
เขาตะคอกเสียงออกมา
กระบี่ยักษ์สีเขียวฟันลงบนผนึกอย่างรุนแรง
“เพล้ง!” แท่นบูชาแตกกระจายออกมาราวกับเป็นชามกระเบื้อง
ค่ายกลแปลกประหลาดด้านล่างแท่นบูชากลับสั่นสะเทือนเล็กน้อย แสงสีม่วงหมุนวนอยู่บนพื้นผิวชั่วขณะหนึ่ง และมีรอยกระบี่ปรากฏอยู่จางๆ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เก็บกระบี่เล็กเข้าไป จากนั้นนิ้วทั้งสิบก็เปลี่ยนท่ามืออย่างรวดเร็ว ปลายนิ้วสีขาวทั้งสิบมีปราณกระบี่ไร้รูปก่อตัวขึ้นมา และพุ่งยิงออกไป “ฟิ้วๆ!”
เกิดเสียงระเบิดดังติดต่อกัน มุมหนึ่งของผนึกมีแสงสีม่วงเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด และเริ่มส่งเสียงดังหวึ่งๆ
พอเห็นว่าการโจมตีของตนเองได้ผล หลิ่วหมิงก็เผยแววตาดีใจออกมา ทันใดนั้นก็ดีดนิ้วทั้งสิบติดต่อกันด้วยท่าทีฮึกเหิม และมีเสียงดังติดต่อกันอย่างไม่ขาดสาย
ผ่านไปสักพัก ก็มีเสียงดังมาจากค่ายกล
ไม่นาน มุมหนึ่งของผนึกก็มีรอยร้าวขนาดฉื่อกว่าๆ ปรากฏออกมา
ขณะเดียวกัน ไอหมอกที่ดูคล้ายกับไหมดำก็ค่อยๆ พุ่งออกจากรอยร้าว และเปล่งแสงสีดำแวววาวออกมา
“ไม่ผิด! เป็นไอปีศาจแท้ที่บริสุทธิ์เป็นอย่างมาก!”
น้ำเสียงของหลัวโหวที่เต็มไปด้วยความดีใจดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง ขณะเดียวกัน ทะเลจิตวิญญาณตรงท้องของเขาก็สั่นสะเทือนขึ้นมา ฟองอากาศแวววาวปรากฏตัวอย่างไร้สุ้มเสียง
ไอปีศาจแท้ที่ดูคล้ายกับไหมดำเหล่านั้นดูราวกับมีชีวิตในทันที ทันใดนั้น มันก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง และจมหายไปในทะเลจิตวิญญาณของเขา
หากคนอื่นมองจากที่ไกลๆ จะรู้สึกเหมือนเห็นหลิ่วหมิงกำลังดูดซับไอปีศาจแท้เหล่านี้อยู่
……
ผ่านไปสักพัก
ท่ามกลางหอทรุดโทรมภายในซากโบราณ มีเงาดำเงาหนึ่งกำลังพุ่งไปอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ ซึ่งนางก็คือเซียนหงส์ดำนั่นเอง
ห่างออกไปด้านหน้าหลายสิบจั้ง มีแสงหลบหลีกสีเหลืองกำลังหลบหนีอยู่
ผู้ที่อยู่ท่ามกลางแสงสีเหลืองก็คือ เผิงเยวี่ยที่ต่อสู้กับราชาโลหิตอย่างดุเดือดในก่อนหน้านั้น
แต่ทว่าในตอนนี้ เสื้อผ้าของเขาไม่เพียงแต่จะขาดรุ่งริ่งเท่านั้น ทั้งยังกระอักเลือดออกมาอยู่ไม่หยุด มนุษย์ทองแดงยักษ์ที่ตามติดเขา ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
ตอนที่ 625 ต่อสู้อย่างรุนแรง
โดย
Ink Stone_Fantasy
การต่อสู้กับราชาโลหิตในก่อนหน้า ราชาโลหิตมีฝีมือเหนือกว่าขั้นหนึ่ง หุ่นมนุษย์ทองแดงจึงถูกทะเลโลหิตของฝ่ายตรงข้ามกักขังไว้ และถูกราชาโลหิตที่แฝงตัวอยู่ในนั้นโจมตีจนแก่นผลึกบริเวณหน้าอกแตกกระจาย
หลังจากเผิงเยวี่ยสูญเสียหุ่นมนุษย์ทองแดง เขาก็ปล่อยหุ่นสำรองตัวอื่นๆ ที่เตรียมไว้ออกมา แต่มันยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของราชาโลหิต สุดท้ายก็ถูกโจมตีจนได้รับบาดเจ็บ และต้องระเบิดหุ่นสองตัวสุดท้ายออกมา จากนั้นก็ใช้ยันต์หลบหนีสวรรค์ที่ผู้อาวุโสในนิกายมอบให้เพื่อทำการหลบหนี
แต่ก็ผีซ้ำด้ามพลอย แม้เขาจะอาศัยยันต์หลบหนีราชาโลหิตมาได้ แต่กลับเผชิญหน้ากับเซียนหงส์ดำในทางเข้าตำหนักบางแห่ง
พอนางเห็นฝ่ายตรงข้ามมีสภาพกระเซอะกระเซิงเช่นนี้ ย่อมไล่ล่าด้วยความดีใจ
เผิงเยวี่ยก็ได้แต่หลบหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น
ขณะนี้ เซียนหงส์ดำมองดูแสงหลบหลีกตรงหน้าที่เริ่มมีกลิ่นไอไม่มั่นคง และกระตุ้นพลังในทันที ความเร็วของนางเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางคิดที่ถือโอกาสนี้สังหารเผิงเยวี่ย เพื่อระบายความแค้นที่ถูกไล่ล่าในก่อนหน้านั้น
แต่เมื่อระยะห่างระหว่างทั้งคู่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เซียนหงส์ดำกลับหยุดชะงักในทันที และหันไปมองทิศทางบางแห่งด้วยสีหน้าฉงน
ทันใดนั้น นางก็คว้ามือข้างหนึ่งไปบนอากาศ และจานเข็มทิศสีขาวก็ปรากฏในมือ บนนั้นมีเข็มสีเงินวางอยู่อย่างเงียบๆ
เซียนหงส์ดำขยับนิ้วโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และดีดพลังไม่ทราบชื่อลงไปบนจานเข็มทิศ
เข็มสีเงินที่เดิมทีอยู่นิ่งๆ หมุนวนบนจานเข็มทิศอย่างรวดเร็วจนพร่ามัวเป็นแสงสีเงิน ขณะเดียวกันก็มีอักขระสีเงินเปล่งประกายบนจานเข็มทิศเป็นรูปวงกลม
เซียนหงส์ดำมองดูการเปลี่ยนแปลงบนจานเข็มทิศตาไม่กระพริบ ในที่สุดเข็มเงินก็หยุดชะงักลง “กึก!” เข็มทิศชี้ไปทางที่นางมองดูในก่อนหน้านั้น จานเข็มทิศถูกห่อหุ้มอยู่ในกลุ่มแสงสีเงิน และส่งเสียงดังหวึ่งๆ
“มีคนค้นพบไอปีศาจแท้ทางด้านนั้นจริงๆ ด้วย ถึงทำให้เข็มทิศปีศาจมีปฏิกิริยาเช่นนี้ ดูท่าไอปีศาจแท้ทางด้านนั้นจะต้องมีไม่น้อยอย่างแน่นอน” พอเซียนหงส์ดำเห็นปรากฏการณ์บนจานเข็มทิศ ก็พูดพึมพำออกมาด้วยสีหน้าดีใจ
พอแสงสีดำเปล่งประกายบนตัว นางก็ถือจานเข็มทิศพุ่งไปยังทางที่เข็มทิศชี้ โดยไม่สนใจเผิงเยวี่ยอีก
……
ด้านหนึ่งของสระน้ำสีดำมืด ชายชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่งกำลังนำแมลงปีกแข็งที่ไม่ขยับเขยื้อนตัวหนึ่งใส่เข้าไปในยันต์เก็บของ ทันใดนั้น เขาก็หันหน้ามองไปยังทิศทางบางแห่งด้วยแววตาดีใจ ไอหมอกสีเขียวพวยพุ่งตรงใต้เท้า จากนั้นร่างของเขาก็หายไปจากที่เดิม
……
ภายในศาลาที่สร้างขึ้นบนพื้นที่สูงบางแห่ง ก่อนหน้านั้นชายสองคนที่มีหมอกดำปกคลุมเต็มตัวยังต่อสู้กันอุตลุด แต่ครู่ต่อมากลับเก็บอาวุธจิตวิญญาณเข้าไปพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย และหยุดการต่อสู้ในทันที จากนั้นก็มองไปยังทิศทางบางแห่ง
“พี่เฟิง พวกเราต่อสู้กันไม่หยุดเพียงเพราะหยกปีศาจที่มีสภาพไม่สมบูรณ์ชิ้นนี้ คนอื่นกลับหาไอปีศาจแท้พบ อย่างที่รู้ว่าไอปีศาจทั้งหมดในสถานที่แห่งนี้ ยังไม่อาจสู้ไอปีศาจแท้กลุ่มเดียวได้ พวกเราทั้งสองใยต้องมาต่อสู้กันด้วยเล่า!” ชายวัยกลางคนที่ถือดาบสีดำละสายตากลับมา และกล่าวออกมาเช่นนี้
“ฮึ! ช่างเถอะ เรื่องที่เจ้าลอบโจมตีข้าในวันนี้ ค่อยคิดบัญชีหลังไปจากซากโบราณแห่งนี้ก็แล้วกัน” พอน้ำเสียงอีกคนสิ้นสุดลง ไอดำรอบตัวก็ม้วนตัวไปยังทิศทางบางแห่งทันที
คนในก่อนหน้านั้นเห็นเช่นนี้ ก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีดำพวยพุ่งตามไป
……
ขณะที่หลิ่วหมิงทำลายผนึกแท่นบูชาที่อยู่ใจกลางซากโบราณ และเริ่มดูดซับไอปีศาจแท้นั้น ผู้ฝึกฝนสายปีศาจที่อยู่ใกล้ใจกลางซากโบราณหน่อย ก็จะรับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของไอปีศาจแท้ และพากันพุ่งไปยังแท่นบูชาอย่างบ้าคลั่ง
……
หลิ่วหมิงยืนอยู่ข้างแท่นบูชาที่แตกละเอียด ไม่ว่าไหมดำจะจมเข้าไปบริเวณหน้าท้องเท่าใด เขาก็ยังไม่ขยับเขยื้อน
ขณะเดียวกัน ตรงทางเข้าห้องโถงก็มีเงาร่างพร่ามัวสองเงาซ่อนตัวอยู่ในความมืด และส่งเสียงสนทนากันอย่างรวดเร็ว
“คิดไม่ถึงว่าร่างจิตวิญญาณของข้าหมัวชิงซานที่มีความไวต่อไอปีศาจ ยังไม่อาจหาที่นี่พบเป็นคนแรก กลับถูกเจ้าเด็กนี่แย่งไปก่อน ไอปีศาจแท้ของที่นี่มีมากเช่นนี้ หากพวกเราได้มันไป ก็พอที่จะทำให้พวกเราทะลวงระดับผลึกได้ แม้กระทั่งสามารถฝึกฝนถึงระดับแก่นแท้ได้ด้วย” ชายวัยกลางคนหลังค่อมคนหนึ่งจ้องมองเส้นสีดำที่พุ่งออกจากผนึก และกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ไม่เป็นไร เพียงแค่พวกเราทั้งสองรีบสังหารเจ้าเด็กนี่ซะ ก็สามารถใช้วิชาวิญญาณสูบกลับมาให้พวกเราใช้ได้ เพียงแค่เสียเวลาเล็กน้อยเท่านั้น” เงาร่างค่อนข้างเล็กกลับกล่าวอย่างโหดเหี้ยม ซึ่งนางเป็นหญิงวัยกลางคนที่มีหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่ง
“ดี! งั้นตกลงตามนี้ เจ้ากับข้าร่วมมือกัน และแบ่งไอปีศาจแท้ในสถานที่แห่งนี้” ชายหลังค่อมที่เรียกตัวเองว่าหมัวชิงซานหัวเราะแล้วกล่าวออกมา พอพลิกฝ่ามือ ตรีศูลคู่หนึ่งก็ปรากฏออกมา
หญิงวัยกลางคนพยักหน้าตอบรับ และหยิบกริชสีดำไม่ทราบชื่อออกมาเล่มหนึ่ง
หมัวชิงซานเห็นเช่นนี้ ก็กระทืบเท้าทั้งคู่ และพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงในทันที
ขณะเดียวกัน หญิงวัยกลางคนก็สะบัดข้อมือ จากนั้นกริชสีดำในมือก็พร่ามัวหายไป
ตอนนี้แม้ว่าฟองอากาศจะดูดซับไอปีศาจอยู่ไม่หยุด แต่ด้วยพรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลังของเขา ย่อมรับรู้สถานการณ์รอบด้านได้อย่างชัดเจน
ขณะที่ชายหลังค่อมพุ่งเข้ามาด้วยความโหดร้ายนั้น เขาก็หันตัวมาทันที พอดีดนิ้วทั้งสิบก็เกิดเสียงดังขึ้น ปราณกระบี่สีเขียวสิบสายม้วนตัวออกไปราวกับคมดาบอันแหลมคม
ชายหลังค่อมตะโกนออกมา ตรีศูลในมือหลุดออกไป และกลายเป็นอสรพิษสีเทาสองตัวก่อนม้วนตัวออกไป
“ตู๊ม!”
อสรพิษยักษ์สีเทาปะทะกับปราณกระบี่ทั้งสิบสายจนระเบิดออกมาพร้อมกัน
ขณะนั้นเอง มีคลื่นก่อตัวขึ้นด้านหนึ่งของหลิ่วหมิง กริชสีดำโผล่ออกมา และกลายเป็นแสงสีดำทิ่มเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างรุนแรง
“ฟิ้ว!”
แสงสีดำทะลุผ่านศีรษะด้านหนึ่งของหลิ่วหมิง แต่มันเป็นเพียงแค่เงาร่างเท่านั้น
ขณะเดียวกัน มีเงาร่างเคลื่อนไหวด้านหลังชายหลังค่อม จากนั้นหลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวออกมาราวกับปีศาจ พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เล็กสีเขียวก็กลายเป็นสายรุ้งม้วนตัวออกไป
หมัวชิงซานส่งเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนา เขาไม่ทันได้ป้องกันตัวจึงถูกแสงกระบี่ปั่นจนกลายเป็นฝนโลหิต
“พี่ใหญ่!”
หญิงวัยกลางคนผู้นั้นเห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงปานใจจะขาด ดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ไอดำบนตัวพวยพุ่งออกมา พริบตาเดียวร่างของนางก็มีขนาดใหญ่กว่าเดิมหลายเท่า
แต่ทว่าในขณะนั้นเอง แสงสีแดงก็พุ่งออกจากหน้าอกของนางอย่างไร้สุ้มเสียง และถูกดึงกลับในทันที ทันใดนั้น โลหิตบริสุทธิ์ก็ทะลักออกจากรูบนหน้าอกของนาง
พอถูกโจมตีจุดสำคัญจนได้รับบาดเจ็บ กลิ่นไอของหญิงวัยกลางคนก็ดูอ่อนโรยเป็นอย่างมาก พอหันหน้าไปดูเล็กน้อย กลับพบว่าชายสวมสุดคลุมสีเทาที่มีเปลวเพลิงสีเขียวห่อหุ้ม กำลังถือหอกยาวสีแดงอยู่
“เฒ่าประหลาดเขียว คิดไม่ถึงว่าจะเป็นเจ้า……”
“เฮ่อๆ! ในเมื่อพี่ใหญ่ของเจ้าถูกสังหารไปแล้ว จะเหลือเจ้าไว้ทำไม ไปเป็นเพื่อนพี่ใหญ่ของเจ้าจะดีกว่า” ชายชุดเทาหัวเราะอย่างเยือกเย็น เปลวไฟสีเขียวพวยพุ่งรอบตัว หลังจากม้วนตัวกลับไปหนึ่งรอบแล้ว ก็เผาไหม้หญิงนางนี้จนกลายเป็นขี้เถ้า
“ท่านดูดซับไอปีศาจแท้มากเช่นนี้ ก็นับว่าลำบากมากแล้ว ตอนนี้มอบมันมาทั้งหมดเถอะ!” เฒ่าประหลาดเขียวหันมากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าดุร้าย
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เขาก็ปล่อยหอกยาวสีแดงออกไป และมันก็กลายเป็นแสงสีแดงที่ยาวห้าหกจั้งก่อนพุ่งใส่หลิ่วหมิง
ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงราบเรียบของหลัวโหวดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง
“ไม่ต้องต่อสู้ รีบให้กรงขังดูดซับไอปีศาจแท้ให้เพียงพอ ตอนนี้ผนึกถูกเจ้าทำลายแล้ว อีกสักครู่คนอื่นๆ คงจะแห่กันเข้ามา ทำให้เจ้ายุ่งจนไม่มีเวลา อีกอย่างไอปีศาจแท้ก็จะลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ด้วย”
หลิ่วหมิงได้ยินก็ขมวดคิ้ว ไอดำบนตัวพวยพุ่ง ทันใดนั้น มังกรกับพยัคฆ์หมอกอย่างละสามตัว ก็มาปรากฏตัวตรงด้านหลังของเขา
“ตู๊ม!” “ตู๊ม!” มังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกระเบิดตัวกลายเป็นแสงสีดำ
แสงสีแดงที่กลายร่างมาจากหอกยาวเปล่งประกายหายเข้าไปในนั้น
“เป็นไปได้อย่างไร……”
เฒ่าประหลาดเขียวส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ เขาขาดการติดต่อกับอาวุธจิตวิญญาณในทันที สีหน้าจึงดูอึมครึมขึ้นมา
ขณะที่เขากำลังจะทำการเคลื่อนไหวอื่นนั้น แสงสีดำเต็มฟ้าก็ม้วนตัวออกไปอย่างบ้าคลั่ง
เฒ่าประหลาดเขียวรู้สึกว่าตรงหน้ามืดลง และร่างของเขาก็มาปรากฏตัวในคุกมืดของหลิ่วหมิง รอบด้านล้วนเป็นสีดำมืด มีหนวดสัมผัสสีดำจำนวนมากพวยพุ่งเข้ามา
เฒ่าประหลาดเขียวรู้สึกเย็นสะท้านในทันที
ขณะเดียวกัน ร่างของหลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวบนขอบผนึกอีกครั้ง ฟองอากาศในทะเลจิตวิญญาณค่อยๆ หมุนตัว จากนั้นก็ดูดซับไหมดำที่พุ่งออกมา
ชั่วเวลาไม่ถึงครึ่งถ้วยชา ภายในคุกมืดที่อยู่ห่างหลิ่วหมิงสิบกว่าจั้ง พลันมีเปลวเพลิงสีเขียวคุโชนขึ้นมา
ไม่นานเปลวเพลิงสีเขียวก็ทะลักออกจากแสงสีดำ และก่อตัวเป็นใบหน้าอัปลักษณ์อย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ดิ้นรนอยู่ท่ามกลางแสงสีดำอยู่ไม่หยุด
“คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะมีความสามารถอยู่บ้าง สามารถแหวกคุกมืดได้”
หลิ่วหมิงเหลือบสายตามองดูทีหนึ่ง จากใช้ก็แสดงพรสวรรค์หนึ่งจิตสองพลัง พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เล็กสีเขียวก็พุ่งยิงออกไป หลังจากหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นแสงกระบี่ยักษ์ที่ยาวห้าหกจั้ง
“ไป!”
พอเขาชี้มือข้างหนึ่งไปทางอากาศ แสงกระบี่ก็ส่งเสียงดังฟิ้ว พริบตาเดียวก็ฟันใบหน้าที่สร้างขึ้นมาออกเป็นสองส่วน และจมหายไปในแสงสีดำ
ในใจหลิ่วหมิงย่อมรู้ดีว่า แม้คนผู้นี้จะใช้พลังปีศาจแหวกคุกมืดออกมาได้เล็กน้อย แต่ร่างของเขายังคงอยู่ในวิชามายา ซึ่งไม่อาจต้านทานการโจมตีด้วยพลังทั้งหมดของวิชาขี่กระบี่ได้
เป็นอย่างที่คาดไว้จริงๆ หลังผ่านไปสักพักก็มีเสียงร้องออกมาอย่างน่าเวทนาตามด้วยเสียงดัง “ตู๊ม!”
แสงสีดำในคุกมืดระเบิดออกมาในทันที เปลวเพลิงคุโชนสีเขียวแผ่ขยายไปรอบด้าน เผยให้เห็นร่างไร้ศีรษะของชายชุดคลุมสีเทา โลหิตที่พุ่งออกจากคอสูงถึงสามฉื่อ
เฒ่าประหลาดเขียวที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงในบรรดาผู้ฝึกฝนอิสระ ก็เสียชีวิตไปเช่นนี้
พอหลิ่วหมิงโบกมือข้างหนึ่ง แสงกระบี่สีเขียวก็หมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบก่อนพุ่งกลับมา
แต่ขณะที่กระบี่บินยังอยู่ระหว่างทางพุ่งกลับนั้น เขากลับยกมือชี้ผ่านอากาศอีกครั้ง
แสงกระบี่สีเขียวหมุนวนอย่างรวดเร็ว และม้วนตัวไปยังเสาหินยักษ์ที่อยู่ไม่ไกลอย่างรวดเร็ว
ตอนที่ 626 สู้กับเซียนหงส์ดำ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เต๊ง!”
แสงสีดำสองลำพุ่งออกจากด้านหลังเสาหิน และกระพริบไปรับมือกับแสงกระบี่สีเขียว หลังจากประสานกันไปมาอยู่ครู่หนึ่ง ต่างก็พุ่งยิงกลับไป
หลิ่วหมิงคว้ามือข้างหนึ่งไปทางอากาศ หลังจากเก็บกระบี่เล็กในมือแล้ว ก็มองไปทางเสาหินด้วยแววตาเยือกเย็น
อากาศด้านหลังเสาหินบิดเบี้ยวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเงาร่างอรชรสีดำก็ปรากฏออกมา เงาร่างนี้เป็นหญิงสาวใบหน้างดงามผู้หนึ่งที่สวมชุดกระโปรงสีดำ ในมือถือดาบสั้นสีดำอยู่สองเล่ม นางคือเซียนหงส์ดำนั่นเอง
“ท่านช่างปราดเปรื่องยิ่งนัก ห่างกันไกลขนาดนี้ ก็ยังมองเห็นวิชาซ่อนเร้นของข้าได้ แต่ว่าใบหน้าของสหายแตกต่างจากเดิมมาก วันนั้นท่านต่อสู้กับราชาโลหิตยังไม่รู้ว่าใครแพ้ชนะเลย วันนี้ดูท่าข้าจะหาเรื่องผิดคนแล้ว” นางซ่อนตัวอยู่ที่นี่มาพักหนึ่งแล้ว เดิมทีคิดจะรอให้หลิ่วหมิงต่อสู้กับคนอื่นๆ จนได้รับบาดเจ็บเสียก่อน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกค้นพบเข้า นางจึงรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย
พอหลิ่วหมิงได้ยินว่าฝ่ายตรงข้ามรู้สถานะของตนแล้ว ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่กลับกล่าวด้วยรอยยิ้มอันเยือกเย็น
“สหายหงส์ดำมาปรากฏตัวที่นี่ คิดว่าคงไม่ได้มาเพื่อไอปีศาจแท้เพียงอย่างเดียว คงมีเป้าหมายอื่นด้วยสินะ!”
เห็นได้ชัดว่าวิชาที่เซียนหงส์ดำฝึกฝนไม่ใช่พลังปีศาจ ไอปีศาจแท้ไม่มีประโยชน์ใดๆ กับนางเลย แต่เมื่อนางยังคงเข้ามาที่นี่ มีโอกาสเป็นไปได้แปดถึงเก้าในสิบส่วนว่า นางมาเพราะเขา
พริบตาที่หลิ่วหมิงพูดจบ เขาก็เอามือข้างหนึ่งลูบหน้าทันที จากนั้นก็พร่ามัวกลับคืนสู่รูปโฉมที่แท้จริง
“หากเป็นไอปีศาจแท้หนึ่งถึงสองกลุ่ม ข้าย่อมไม่ใส่ใจอย่างแน่นอน แต่ไอปีศาจแท้จำนวนมากเช่นนี้ หากรวบรวมมาได้ทั้งหมด มันก็สามารถแลกหินจิตวิญญาณในจำนวนที่ยากจะจินตนาการได้ ส่วนสหายนั้น ข้าย่อมไม่ปล่อยไปอย่างแน่นอน โอสถกระดูกนักรบพระโพธิสัตว์ เป็นสิ่งของสำคัญต่อความสำเร็จของข้าในอนาคตมาก” เซียนหงส์ดำหัวเราะอิๆ ก่อนกล่าวออกมา
“ฮึ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็ไม่มีอะไรต้องพูดแล้ว ข้ากับเจ้าจะต้องมีคนใดคนหนึ่งอยู่เท่านั้น” พอหลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึมในทันที เขาทำท่ามือโดยไม่พูดอะไรให้มากความ และไอดำก็พวยพุ่งออกจากตัว
เซียนหงส์ดำเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เริ่มร่ายคาถา ร่างของนางพร่ามัวกลายเป็นสอง พริบตาเดียวก็กลายเป็นสี่ ผ่านไปสักพักก็กลายเป็นเงาร่างสิบหกเงา และล้อมรอบหลิ่วหมิงไว้
ไม่รู้เป็นเพราะว่าพลังจิตของหลิ่วหมิงแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนระดับเดียวกัน หรือเป็นเพราะเคยฝึกฝนเคล็ดวิชาสามเงาที่เป็นวิชาประเภทเดียวกัน พอเซียนหงส์ดำเริ่มแบ่งร่าง เขาก็มองเห็นเงาร่างมายาเหล่านี้อย่างชัดเจน
ขณะนั้นเอง ร่างของหลิ่วหมิงก็พร่ามัว และพุ่งตรงเข้าหาร่างจริงของเซียนหงส์ดำอย่างรวดเร็ว
เซียนหงส์ดำหยุดร่ายคาถาในทันที เท้าทั้งคู่กระทืบลงพื้นแล้วพุ่งถอยออกไปด้านหลัง เงาร่างสิบห้าเงาที่เหลือแตกกระจายในทันที ขณะเดียวกัน ดาบคู่ในมือก็ถูกตั้งไขว้กัน จากนั้นลูกเปลวไฟสีดำสองลูกก็กลิ้งออกมา
หลิ่วหมิงขยับตัวหลบลูกเปลวไฟสีดำทั้งสองไปได้ และมาปรากฏตัวด้านหลังของนางราวกับปีศาจ มือข้างหนึ่งคว้าผ่านอากาศไปที่ไหล่ของนาง
เซียนหงส์ดำมีท่าทีตอบสนองรวดเร็วมาก นางบิดตัวและเอาเท้าข้างหนึ่งแตะพื้น และพุ่งถอยออกไปในทันที
ด้านหนึ่งเซียนหงส์ดำก็ทำการหลบหลีกไปด้วย อีกด้านก็โบกสะบัดดาบคู่ในมือ จนเกิดเป็นเปลวเพลิงสีดำในการต่อสู้กับหลิ่วหมิง
ตอนแรกหลิ่วหมิงยังกำมุกพลังวารีทั้งสองไว้ในมือ เพื่อที่จะรับมือกับเปลวเพลิงเหล่านี้โดยตรง แต่พอเปลวเพลิงนี้สัมผัสกับไอหมอกที่มุกพลังวารีในกำปั้นสร้างขึ้นมา มันก็ส่งเสียงดังฟิ้วๆ และกลายเป็นควันสีดำ
ลูกเปลวไฟสีดำที่ดาบคู่สีดำปล่อยออกมามีอานุภาพเป็นอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดทั่วไป และสามารถสัมผัสได้ถึงต้นแบบอาวุธเวทอยู่ลางๆ
แม้ว่าหลิ่วหมิงจะอาศัยกายเนื้ออันแข็งแกร่ง ทั้งยังมีมุกพลังวารีคอยช่วยเสริม แต่ก็พอที่จะรับมือกับการโจมตีได้ไม่กี่ครั้ง หากเป็นผู้ที่มีระดับการฝึกฝนต่ำหน่อยล่ะก็ คาดว่าคงถูกลูกเปลวไฟสีดำโจมตีจนกลายเป็นขี้เถ้าตั้งแต่แรกแล้ว
ดังนั้น หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ได้แต่อาศัยท่าร่างแปลกประหลาดหลบเปลวเพลิงสีดำเหล่านี้เท่านั้น
ไม่ว่าลูกเปลวไฟสีดำจะมีอานุภาพมากเพียงใด แต่ภายใต้การกระตุ้นติดต่อกันของเซียนหงส์ดำ ทำให้ความเร็วลดลงไปเล็กน้อย
หากเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันคนอื่นๆ ภายใต้สถานการณ์ที่เซียนหงส์ดำอาศัยท่าร่างอันน่าตกใจของตนเอง ย่อมไม่นับประสาอะไรกับความเร็วที่ลดน้อยลงไปเช่นนี้
ที่น่าเสียดายก็คือ ที่นางเผชิญในตอนนี้คือหลิ่วหมิง ผู้ที่เคยแลกมือกับระดับแก่นแท้และปีศาจอสูรมาก่อน
ขณะนี้ หลิ่วหมิงอาศัยท่าร่างแปลกประหลาดกว่าเดิม ทำการหลบหลีกเปลวไฟสีดำแต่ละกลุ่มไปได้ นอกจากนี้ยังปล่อยเงากำปั้นสีดำออกไปเป็นระยะๆ มืออีกข้างก็ปล่อยปราณกระบี่ออกไปเป็นสายๆ การโจมตีด้วยกำปั้นและดรรชนีกระบี่เช่นนี้ เป็นการโจมตีที่สมบูรณ์แบบมาก ทำให้เซียนหงส์ดำร่นถอยเป็นระยะๆ ไม่นานนางก็ตกเป็นเบี้ยล่าง
การต่อสู้ของทั้งสอง ทำให้ค่ายกลผนึกถูกโจมตีจนระเบิดออกมาไม่หยุด ส่งผลให้ซากโบราณของเผ่าปีศาจบรรพกาลสั่นสะเทือนเล็กน้อย แม้แต่ผู้ฝึกฝนจำนวนหนึ่งที่ไม่อาจสัมผัสกับไอปีศาจแท้ได้ ก็รับรู้ได้ถึงความผิดปกติของสถานที่แห่งนี้ และพากันค้นหา
……
ในระเบียงทางเดินเปิดโล่งที่อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่ไกล ชายชุดคลุมสีดำผู้หนึ่งกำลังถูกขังอยู่ในค่ายกลกับดักสมัยบรรพกาล โดยไม่อาจเคลื่อนไหวได้เลยแม้แต่น้อย
“คุณชาย ช่วยด้วย! เพียงแค่ข้าน้อยออกไปจากที่นี่ได้ จะต้องยอมสละชีพเพื่อคุณชายอย่างแน่นอน” ชายชุดคลุมสีดำขอความช่วยเหลือจากราชาโลหิตที่อยู่ข้างค่ายกลด้วยสีหน้าหวาดกลัว
“เจ้าพวกใช้ไม่ได้จริงๆ เลย เจ้าค่อยๆ รออยู่ที่นี่เถอะ! ไหนเลยข้าจะมีเวลาช่วยเจ้า อย่างไรซะค่ายกลนี้ก็ชำรุดไปนานแล้ว จะมีชีวิตรอดหรือไม่นั้น ต้องดูว่าดวงของเจ้าแข็งหรือไม่ พวกเจ้าตามข้ามา” ชายหนุ่มชุดแดงทำเสียงฮึดฮัด จากนั้นก็หันไปสั่งอีกสองคนที่เหลือ
ราชาโลหิตและลูกน้องสองคนกลายเป็นกลุ่มหมอกโลหิตก่อนพุ่งไปยังใจกลางซากโบราณ โดยไม่สนใจชายชุดดำคนนั้นอีก
……
ท่ามกลางม่านวารีสีดำที่มุกพลังวารีสร้างขึ้นมา หลิ่วหมิงกำลังหรี่ตามองทะเลเพลิงสีดำตรงหน้า และตรงไหล่บางแห่งก็ดำเกรียมไปทั้งแถบ
ท่ามกลางทะเลเพลิง เซียนหงส์ดำมีขนวิหคสีดำปกคลุมเต็มตัว แขนทั้งสองได้กลายเป็นปีกคู่หนึ่ง และเท้าทั้งสองกลับกลายเป็นกรงเล็บหนึ่งคู่แล้ว
ก่อนหน้านั้นนางต่อสู้กับหลิ่วหมิงอย่างดุเดือด แม้ว่าจะใช้เคล็ดวิชาแปลกประหลาดหลายอย่างติดต่อกัน แต่ยังคงถูกหลิ่วหมิงใช้เคล็ดวิชากระดูกดำกับวิชาขี่กระบี่ทำลายจนหมดสิ้น แม้กระทั่งดาบสั้นที่เป็นต้นแบบอาวุธเวทคู่นั้น ก็ถูกหลิ่วหมิงใช้พลังมหาศาลโจมตีจนได้รับความเสียหายอย่างหนัก และต้องเก็บมันเข้าไป จากนั้นจึงกลายร่างแปลกประหลาดเช่นนี้
และเซียนหงส์ดำที่กลายร่างเป็นหงส์ดำ ไม่ต้องใช้ดาบสั้นสีดำ ก็สามารถควบคุมเพลิงดำที่มีอานุภาพอันยิ่งใหญ่นี้ได้ เมื่อหลิ่วหมิงสัมผัสกับมัน ก็ต้องเสียเปรียบไม่น้อย และไม่กล้าดูเบามันเลย
ขณะนี้ เซียนหงส์ดำกระพือปีกอยู่ในทะเลเพลิงสีดำ แต่ดวงตาทั้งคู่กลับจ้องมองหลิ่วหมิงอย่างไม่ละสายตา ความรู้สึกผ่อนคลายในตอนแรกหายไปจนหมดสิ้น
บาดแผลบนตัวนางที่ถูกดรรชนีกระบี่ของหลิ่วหมิงทำร้ายในตอนแรก ก็สมานกันทันทีหลังจากกลายร่างแล้ว
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูค่ายกลผนึกในบริเวณนั้น ที่ยังคงมีไอปีศาจแท้พุ่งออกมา จากนั้นก็ถอนหายใจยาวๆ พอสะบัดแขนเสื้อ จุดแสงสีทองก็ม้วนตัวออกไป และกระพริบหายไปในอากาศ
เซียนหงส์ดำเห็นเช่นนี้ ดวงตาทั้งคู่ก็เป็นประกาย นางระแวดระวังความเคลื่อนไหวรอบด้าน แต่กลับไม่ค้นพบความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย จึงแสดงสีหน้าฉงนออกมาอย่างอดไม่ได้
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็เก็บม่านวารีบนตัว จากนั้นมันก็กลายเป็นมุกกลมๆ สีดำสองเม็ดและถูกกำไว้ในมือ พอเท้าทั้งคู่กระทืบพื้นอย่างรุนแรง ร่างของเขาก็พุ่งไปยังทะเลเพลิงสีดำทันที
เซียนหงส์ดำเห็นเช่นนี้ ก็ส่งเสียงร้องแหลมออกมา เปลวเพลิงสีดำตรงหน้าพวยพุ่งกลายเป็นกำแพงอัคคีดำที่สูงหลายจั้ง
หลิ่วหมิงไม่คิดจะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย แต่กลับกระตุ้นชั้นจำกัดทั้งหมดของมุกพลังวารีในพริบตา และขว้างมันออกไป
มุกกลมๆ สีดำทั้งสองกลายเป็นหมอกสีดำกลุ่มหนึ่ง พอสัมผัสกับกำแพงอัคคี ก็ส่งเสียงดัง “ฟู่ๆ!” ทำให้อานุภาพของกำแพงอัคคีอ่อนลงไป
“ตู๊ม!”
เงาภูเขาลูกเล็กที่กลายร่างมาจากมุกพลังวารีอีกเม็ดพุ่งเข้ามา
ทันใดนั้น เกิดระลอกคลื่นบนกำแพงอัคคีอยู่พักหนึ่ง และเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ใจกลางกำแพงถูกเงาภูเขาลูกเล็กเจาะทะลุ จนเกิดเป็นรูขนาดจั้งกว่าๆ
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงก็เคลื่อนตัวเข้าไปในรู และมาปรากฏตัวตรงหน้าเซียนหงส์ดำราวกับปีศาจ ไอดำที่พวยพุ่งอยู่บนตัวเขา ทำให้เปลวเพลิงรอบด้านหลบออกไปเล็กน้อย และเขาก็ปล่อยกำปั้นออกไปอย่างไม่ลังเล
บริเวณที่กำปั้นสีดำเคลื่อนตัวผ่าน มีหัวพยัคฆ์ขนาดใหญ่ปรากฏออกมาตัวหนึ่ง
ตั้งแต่ตอนที่หลิ่วหมิงขว้างมุกพลังวารีทั้งสองออกไปเปิดกำแพงอัคคี และมายืนอยู่ตรงหน้าเซียนหงส์ดำนั้น ทุกอย่างราบรื่นประดุจดังสายน้ำไหล
แม้เซียนหงส์ดำจะรู้ว่าหลิ่วหมิงมีกายเนื้อแข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังรู้สึกตกใจอยู่ดี
กำแพงอัคคีสีดำนี้สร้างขึ้นจากเปลวเพลิงชีวิต อานุภาพไม่ได้รุนแรงเหมือนกับเปลวเพลิงของต้นแบบอาวุธเวทคู่นั้น แต่กลับสามารถเปลี่ยนแปลงรูปร่างได้ดั่งใจ ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนโดยทั่วไปจะสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย
ด้วยเหตุนี้ พอเห็นหลิ่วหมิงบุกมาตรงหน้าและปล่อยกำปั้นโจมตีเข้ามานั้น นางก็ตกใจและโมโหจนไม่ทันได้แสดงวิชาอื่นออกมาต้านทาน ทำได้แค่เอาปีกทั้งสองมาประกบกันตรงหน้า และห่อหุ้มร่างกายไว้
“ตู๊ม!” เซียนหงส์ดำบินออกจากทะเลพลิง
ผ่านไปแค่อึดใจเดียวก็บินไปไกลเจ็ดแปดจั้ง จากนั้นถึงกระพือปีกอย่างบ้าคลั่ง และหยุดลง
ขณะที่นางกำลังโซซัดโซเซอยู่กลางอากาศนั้น พลันมีจุดแสงสีทองปรากฏขึ้นบริเวณรอบๆ พริบตาเดียวก็ขยายตัวกลายเป็นตาข่ายยักษ์สีทองห่อหุ้มร่างของนางไว้ สิ่งนี้ก็คือทรายทองคำร่วงที่หลิ่วหมิงปล่อยออกไปในก่อนหน้า และเมื่อมันรัดแน่นขึ้น นางก็ถูกห่อหุ้มไว้อย่างแน่นหนา
เซียนหงส์ดำอ้าปากพ่นเพลิงสีดำออกมาด้วยความตกใจ ขณะเดียวกันกรงเล็บแหลมคมทั้งคู่ก็ดิ้นรนอยู่ไม่หยุด
“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!”
ไอกระบี่อันน่ากลัวพุ่งขึ้นฟ้า ร่างหลิ่วหมิงกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวที่ยาวสิบกว่าจั้ง และม้วนตัวเข้ามาด้วยลักษณะที่ดุดัน
เซียนหงส์ดำที่อยู่ภายในตาข่ายสีทองขนาดใหญ่ แอบส่งเสียงร้องออกมา “แย่แล้ว!
นางพยายามกระตุ้นเปลวเพลิงสีดำบนตัวให้ทำลายตาข่ายสีทอง แต่ไม่สามารถทำลายทรายทองคำร่วงที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้
สายรุ้งสีเขียวเปล่งประกายอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็ทะลุออกจากรอยแยกของตาข่าย
ตอนที่ 627 สู้กับราชาโลหิตอีกครั้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
“เพล้ง!”
พอสายรุ้งสีเขียวพุ่งผ่านไป ก็ถูกแสงสีดำสองลำโจมตีจนกระเด็นออกไปเจ็ดแปดจั้ง พอแสงสีเขียวดับลง ก็เผยให้เห็นหลิ่วหมิงที่ถือกระบี่เล็กสีเขียวอยู่ในมือ สีหน้าของเขาดูประหลาดใจเล็กน้อย
เซียนหงส์ดำที่ถูกขังอยู่ในตาข่ายสีทอง กลับทำให้ปีกทั้งสองกลายเป็นแขนในช่วงเวลาสำคัญได้ พริบตาเดียวก็นำดาบสั้นสีดำทั้งสองออกมาอีกครั้ง และใช้มันรับการโจมตีของหลิ่วหมิงโดยตรง
แต่ภายใต้การโจมตีของวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง ทำให้ร่างอรชรและตาข่ายสีทองบนตัวพุ่งถอยออกไปทันที และกระแทกใส่เสาหินขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหลังอย่างรุนแรงจนกระอักเลือดออกมา
สีหน้าหลิ่วหมิงดูเด็ดขาดขึ้นมา ขณะที่สะบัดกระบี่เล็กสีเขียวในมือ เพื่อแสดงวิชาขี่กระบี่อีกครั้งนั้น พลันมีเสียงดัง “ตู๊ม!” ตาข่ายสีทองที่กลายร่างมาจากทรายทองคำร่วงแตกกระจายเป็นจุดๆ ขณะเดียวกัน เปลวเพลิงสีดำก็พวยพุ่งออกมา
“ฟัน!”
สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที กระบี่เล็กสีเขียวหลุดจากมือ จากนั้นก็กลายเป็นแสงกระบี่สีเขียวที่ยาวเจ็ดแปดจั้งท่ามกลางเสียงดังกังวาน และม้วนตัวออกไปราวกับสายฟ้าแลบ!
ขณะที่การโจมตีนี้ของหลิ่วหมิงสามารถสังหารคู่ต่อสู้ได้อย่างสิ้นเชิงนั้น เซียนหงส์ดำที่กำลังร่วงลงมาก็เบิกตาโพลงและส่งเสียงดังกังวานออกมา
“ฟู่!”
เปลวเพลิงสีดำพวยพุ่งออกจากร่างของนางอย่างบ้าคลั่ง หลังจากหมุนติ้วๆ แล้วก็ก่อตัวเป็นเงาร่างวิหคเพลิงสีดำในตำนาน และห่อหุ้มร่างของนางไว้ จากนั้นก็อ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีทองขนาดเท่าปากชามออกมา
“เพล้ง!”
แสงกระบี่สีเขียวถูกเปลวเพลิงโจมตีจนกลายเป็นกระบี่เล็กอีกครั้ง และแสงบนตัวก็ดับมืดลงก่อนร่วงลงพื้น
ขณะเดียวกัน เงาร่างของวิหคเพลิงสีดำก็กระพือปีกทั้งสองอย่างรุนแรง และพร่ามัวหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ตู๊ม!”
ผนังด้านหนึ่งภายในห้องโถงถูกอะไรบางอย่างเจาะทะลุ ทิ้งไว้เพียงรูขนาดใหญ่หลายจั้ง ตรงขอบของมันยังมีเปลวไฟสีดำลุกไหม้อยู่
ขณะนี้ มีเสียงราวกับกัดฟันพูดของเซียนหงส์ดำดังมาจากที่ไกลแสนไกล
“สหายมีพลังมหัศจรรย์มาก ครั้งนี้ข้ายอมพ่ายแพ้แต่โดยดี แต่หากได้พบกันอีกครั้ง จะต้องขอคำชี้แนะจากท่านอย่างแน่นอน”
จากนั้นเสียงของเซียนหงส์ดำก็หายไปทันที
และนางผู้นี้ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงมีสีหน้าเคร่งขรึมลง เขาเก็บกระบี่เล็กสีเขียวกลางอากาศกลับมา หลังจากตรวจสอบดูเล็กน้อยแล้ว ก็รู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
กระบี่เล่มนี้แค่สูญเสียพลังจิตวิญญาณเพียงเล็กน้อย และไม่ได้เสียหายมากนัก
ขณะที่เขาเก็บกระบี่เล็กเข้าไป และกำลังจะกลับไปดูดซับไอปีศาจแท้บนแท่นบูชาต่อนั้น พลันมีเสียงฝีเท้าดังมาจากประตูทางเข้าที่อยู่ไม่ไกล มีคนสองคนเดินเข้ามา แต่พอเห็นร่องรอยการต่อสู้อย่างรุนแรง ก็รู้สึกตกใจมาก
หนึ่งในนั้นเป็นชายชุดคลุมสีเทา อีกคนสวมชุดสีดำทั้งตัว ทั้งสองกวาดสายตามองดูภายในห้อง และหยุดลงบนตัวหลิ่วหมิงพร้อมกัน จากนั้นพวกเขาก็มีสีหน้าลังเลขึ้นมา
หลังจากหลิ่วหมิงใช้จิตกวาดดู ก็ค้นพบว่าทั้งสองมีระดับการฝึกฝนกับกลิ่นไอด้อยกว่าหลายคนในก่อนหน้ามาก ดังนั้นเขาจึงตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไอหมอกสีดำม้วนตัวออกมาสองสาย
“นายท่าน” หลังจากไอดำม้วนตัวออกมาแล้ว แมงป่องกระดูกสีเงินขนาดเล็ก ก็ร่วงลงบนไหล่ของเขา มันโบกสะบัดก้ามยักษ์ทั้งคู่ และส่งเสียงอ่อนนุ่มราวกับเสียงของเด็กสาว
หลังจากไอดำอีกสายม้วนตัวออกมา มันก็ควบแน่นเป็นหัวบิน ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงร้องแปลกประหลาดออก แลดูตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
จะว่าไปแล้วมันก็เป็นเรื่องปกติ อสูรเลี้ยงสองตัวไม่ได้ถูกเรียกมาต่อสู้กับศัตรูเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ตอนนี้มีโอกาสได้ออกมา ย่อมรู้สึกดีใจอย่างอดไม่ได้
“พวกเจ้าทั้งสองรีบจัดการสองคนนั้นให้เร็วที่สุดเถอะ!” หลิ่วหมิงสั่งด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ไปยังผนึกโดยไม่หันหน้ากลับมาอีกเลย
แมงป่องกระดูกกับหัวบินรับปากทันที จากนั้นตัวหนึ่งก็กระโจนออกไปพร้อมกับเสียงหัวเราะแปลกประหลาด อีกตัวก็กลายเป็นเงาร่างพุ่งยิงออกไป
พริบตาเดียว อสูรทั้งสองก็ต่อสู้กับคนทั้งสองที่เพิ่งมาใหม่
พอหลิ่วหมิงเดินไปถึงขอบค่ายกล ก็หยิบโอสถจินหยวนจากแหวนย่อส่วนมารับประทาน ฟองอากาศลึกลับที่หายตัวไปในตอนต่อสู้อย่างดุเดือด ก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ไอปีศาจแท้ที่พุ่งออกจากผนึกค่อยๆ จมเข้าไปในร่างของเขา
บริเวณทางเข้า แมงป่องกระดูกขยายร่างใหญ่หนึ่งจั้งกว่าๆ ท่ามกลางไอดำที่พวยพุ่งรอบตัว พอสะบัดหางตะขอ เงาตะขอจำนวนมากก็ปรากฏออกมา และอ้าปากพ่นเปลวเพลิงสีม่วงออกไปจำนวนมาก
ไม่รู้ว่าชายชุดดำตรงหน้าถือพัดขนวิหคตั้งแต่เมื่อใด และมันก็พัดพายุบ้าระห่ำสีดำออกไปหลายลูก
เกิดเสียงระเบิดดังรอบด้านในทันที ภายใต้การม้วนตัวของพายุบ้าระห่ำสีดำ มันก็ค่อยๆ ระเบิดออกมา
แมงป่องกระดูกบิดตัวจมหายไปใต้พื้นอย่างไร้สุ้มเสียง และยังใช้ก้ามยักษ์ทั้งคู่ลอบโจมตีคู่ต่อสู้ไม่หยุด
ชั่วขณะนั้น ชายชุดดำก็รู้สึกหมดแรงที่จะรับมือเล็กน้อยแล้ว
อีกด้านหนึ่ง ดูเหมือนว่าหัวบินจะไม่สงวนท่าทีเลยแม้แต่น้อย หลังจากไอดำบนตัวพวยพุ่ง มันก็กลายเป็นแบ่งร่างออกมาเป็นเก้าร่าง พอสะบัดผมยาวสีเขียว มันก็กลายเป็นเข็มแหลมสีเขียวจำนวนมาก และพุ่งไปทางชายชุดเทา
แต่ชายในชุดคลุมสีเทามีท่าทีค่อนข้างสงบมาก เขาหยิบโล่เล็กสีเหลืองออกมาด้วยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน มันขยายใหญ่ตามแรงลมจนมีขนาดหลายจั้ง และต้านทานไว้ตรงหน้า
“ฟิ้วๆ!” เส้นผมสีเขียวถูกโล่ยักษ์ต้านทานไว้ได้ แต่พอเผชิญหน้ากับการโจมตีถี่ยิบเช่นนี้ ดูเหมือนว่าชายชุดคลุมสีเทาจะมีแค่พลังป้องกัน และไม่มีเวลาว่างโจมตีเลย ตอนนี้เขาก็ถูกขังอยู่ในขนาดจั้งกว่าๆ
ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป มีเสียงร้องอย่างเวทนาดังขึ้นมาสองเสียง ชายสองคนถูกแมงป่องกระดูกกับหัวบินสังหารติดต่อกัน แต่ว่าอสูรเลี้ยงทั้งสองก็มีรอยบาดแผลเต็มตัวเช่นกัน
พวกมันทั้งสองเอาอาวุธจิตวิญญาณกับถุงย่อส่วนของชายทั้งสองมา จากนั้นก็กลายเป็นไอดำสองสายพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง และหายเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวเพื่อทำการพักผ่อน
หลังจากหลิ่วหมิงพูดปลอบขวัญไปสองสามประโยคแล้ว ก็รีบสกัดเอาพลังของโอสถที่ทานไปเมื่อครู่ และพอเห็นว่าไอปีศาจแท้มีมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็เผยสีหน้าดีใจอย่างอดไม่ได้
ที่นี่มีไอปีศาจแท้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก
ปกติซากโบราณขนาดเล็กเช่นนี้ สามารถดูดซับได้หนึ่งในสามส่วน ก็นับว่าไม่เลวแล้ว
แน่นอนว่าก่อนหน้านั้น ก็มีผนึกที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้น้อยมาก หลิ่วหมิงมีหลัวโหวคอยบอกทางจึงมาที่นี่ได้ทัน มิเช่นนั้นพอซากโบราณปรากฏออกมา ไอปีศาจแท้ก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคำนวณว่าในผนึกยังมีไอปีศาจแท้เหลืออยู่เท่าใดนั้น เสียงหอนยาวกระหายเลือดก็ดังขึ้นมา และพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว
พอหลิ่วหมิงได้ยินเสียงนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ดวงตาของเขาเป็นประกายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็รีบหันมองไปยังปากทางเข้าด้วยแววตาอันเยือกเย็นทันที
ผ่านไปไม่กี่อึดใจ แสงสีเลือดก็เปล่งประกายตรงทางเข้าห้องโถง เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือราชาโลหิตนั่นเอง
แต่ขณะนี้ เขามีสีหน้าโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก บนตัวเต็มไปด้วยกลิ่นไอสังหาร ดูเหมือนว่าจะแลกมือกับคนอื่นมาก่อน
“ที่แท้ก็อยู่ที่นี่ ดีมาก! ดีมาก! ครั้งนี้หัวของเจ้าก็จะเป็นของข้าแล้ว” พอราชาโลหิตเห็นหลิ่วหมิงก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
“ราชาโลหิต! วันนี้ข้ากับเจ้าจะมีแค่คนเดียวที่สามารถออกไปจากที่นี่ได้”
แม้หลิ่วหมิงจะเห็นเขาเป็นครั้งแรก แต่พอเขาเอ่ยปากออกมา ก็รู้ได้ทันทีว่าฝ่ายตรงข้ามคือราชาโลหิตอย่างไม่ต้องสงสัย
การต่อสู้กันเมื่อสองเดือนก่อน ทะเลโลหิตของราชาโลหิตได้ทิ้งความทรงจำอันลึกซึ้งไว้ให้กับเขา
และในครั้งนั้น ตัวเขาเองก็ยังไม่ได้ใช้ท่าไม้ตายแต่อย่างใด จึงไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย
แต่ราชาโลหิตตามติดเขามาถึงที่นี่ราวกับหนอนแมลงวันในกระดูกข้อเท้า จึงทำให้หลิ่วหมิงเกิดแรงสังหารขึ้นมา
“ก่อนหน้านั้นข้ากับเจ้าถูกคนอื่นก่อกวน ตอนนี้คงได้ต่อสู้กันจริงแล้วใช่หรือไม่?” ราชาโลหิตกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย
ครั้งนี้หลิ่วหมิงไม่ได้เอ่ยปากพูดอะไร พอเท้าทั้งคู่กระแทกลงพื้น ร่างของเขาก็พุ่งไปหาราชาโลหิตราวกับลูกธนู
ราชาโลหิตเห็นเช่นนี้ ก็เผยรอยยิ้มเล็กน้อย พอร่างของเขาสั่นสะท้าน หมอกโลหิตก็พวยพุ่งออกจากร่าง และกลายเป็นทะเลโลหิตอีกครั้ง มันปิดล้อมหลิ่วหมิงและพื้นที่ภายในระยะสิบกว่าจั้งไว้
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว มุกพลังโลหิตสองเม็ดปรากฏขึ้นในมือ หลังจากเอามาถูกันจนรวมเป็นหนึ่งแล้ว มันก็กลายเป็นม่านวารีสีดำปกคลุมร่างเขาไว้
ทะเลโลหิตอันพวยพุ่งถูกต้านไว้ด้านนอกในทันที และไม่อาจแทรกซึมเข้าไปในม่านวารีได้ชั่วขณะ
ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงที่มีม่านวารีของมุกพลังวารีปกคลุมอยู่ ก็เดินไปท่ามกลางทะเลโลหิตอย่างรวดเร็ว และแหวกคลื่นโลหิตต่างๆ ที่ม้วนตัวเข้ามา
ราชาโลหิตเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้ อย่างที่รู้ว่าทะเลโลหิตที่เขาสร้างขึ้นมา นอกจากตัวเขาเองที่สามารถเคลื่อนไหวได้ดังใจแล้ว แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับผลึก ก็ไม่อาจเคลื่อนย้ายได้ดังใจได้ ด้วยเหตุนี้จึงถูกเขาโจมตีสำเร็จมาโดยตลอด
การที่หลิ่วหมิงสามารถกีดขวางชั้นจำกัดของทะเลโลหิตได้ ล้วนเหนือความคาดหมายของเขาเป็นอย่างมาก
หลังจากหลิ่วหมิงเดินอยู่ครู่หนึ่ง จิตรับรู้ของเขาก็จับตำแหน่งของราชาโลหิตที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลโลหิตได้ พอชี้นิ้วข้างหนึ่งผ่านอากาศไป ปราณกระบี่รูปเกลียวโปร่งแสงก็พุ่งออกจากปลายนิ้ว และพุ่งไปยังตำแหน่งที่ราชาโลหิตอยู่
ราชาโลหิตส่งเสียงหัวเราะอย่างเยือกเย็น เขากระตุ้นให้ปราณโลหิตตรงหน้าควบแน่นอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นมันก็กลายเป็นโล่โลหิตสีแดงต้านอยู่ตรงหน้า
“เต๊ง!”
ภายใต้การโจมตีของปราณกระบี่รูปเกลียว ทำให้โล่โลหิตสั่นสะเทือนจนเกิดคลื่นจิตวิญญาณอยู่ครู่หนึ่ง
“ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” หลังจากมีเสียงดังติดต่อกัน ปราณกระบี่จำนวนมากก็พุ่งเข้ามาถึง!
หลังจากโล่ที่ควบแน่นมาจากหมอกโลหิต ถูกปราณกระบี่รูปเกลียวโจมตีอยู่หลายครั้ง มันก็แตกกระจายในที่สุด และกลายเป็นไหมโลหิตปกคลุมเต็มอากาศ
หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว พอขยับนิ้ว ปราณกระบี่โปร่งแสงที่มีขนาดเท่ากำปั้นก็ก่อตัวขึ้นบนปลายนิ้ว ขณะเดียวกัน เขาก็ร่ายคาถาออกมา ม่านวารีที่กลายร่างมาจากมุกพลังวารีก็มีแสงสีดำเปล่งประกาย จากนั้นก็ระเบิดตัวท่ามกลางทะเลโลหิต
นี่เป็นการกระตุ้นหมอกวารีสีดำในม่านวารีจนถึงขีดสุด พริบตาเดียวทะเลโลหิตตรงหน้าก็ถูกแหวกไปจนหมดสิ้น
ครู่ต่อมา ไอดำบนตัวหลิ่วหมิงก็พวยพุ่ง จากนั้นร่างของเขาก็พร่ามัวกลายเป็นสองเงาร่าง และพุ่งเข้าหาราชาโลหิตตามรอยแหวกของทะเลโลหิต
ตอนที่ 628 การโจมตีไร้รูป
โดย
Ink Stone_Fantasy
ราชาโลหิตเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา เขายกแขนทั้งสองข้างไปด้านหน้าทันที ทะเลโลหิตตรงหน้าพวยอย่างรุนแรง ฝ่ามือโลหิตจำนวนมากปรากฏออกมา และพุ่งเข้าหาเงาร่างทั้งสองของหลิ่วหมิงอย่างบ้าคลั่ง
แต่ว่าเงาร่างทั้งสองที่หลิ่วหมิงสร้างขึ้นมากลับเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับปีศาจ จนหลบฝ่ามือโลหิตส่วนใหญ่ไปได้ ต่อมาเงาร่างหนึ่งในนั้นก็ระเบิดตัวกลายเป็นหมอกดำม้วนตัวไปด้านหน้า และโอบล้อมฝ่ามือยักษ์ที่เหลือไว้ในนั้น
และเงาร่างอีกเงากลับถือโอกาสนี้ มาปรากฏตัวตรงหน้าราชาโลหิตที่ซ่อนตัวอยู่ จากนั้นเงาร่างที่แท้จริงของหลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมา พอเขายกแขนขึ้น ปราณกระบี่รูปเกลียวขนาดเท่าปากถ้วยก็พุ่งออกจากปลายนิ้ว และพุ่งไปยังหน้าอกของราชาโลหิตที่อยู่ตรงหน้า
ปราณกระบี่ยังไม่ทันเข้ามาถึง พายุหมุนก็แหวกทะเลโลหิตตรงหน้าออกเป็นสองส่วน เผยให้เห็นร่างของราชาโลหิตที่อยู่ในนั้น แต่ทว่าเขากลับเผยรอยยิ้มอันเยือกเย็นออกมา และไม่รู้สึกลนลานเลยแม้แต่น้อย
ครู่ต่อมาได้เกิดฉากอันน่าประหลาดใจขึ้น!
มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” เบาๆ
ปราณกระบี่รูปเกลียวจมหายไปบนหน้าอกของราชาโลหิตอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าถูกดูดเข้าไปในนั้น
พอหลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ ก็ทำท่ามือเคล็ดวิชากระบี่ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“ตู๊ม!”
ระลอกคลื่นปราณโลหิตพุ่งออกจากหน้าอกของราชาโลหิต ทำให้ราชาโลหิตระเบิดออกเป็นเสี่ยงๆ และแตกสลายไป
“แย่แล้ว!” พอหลิ่วหมิงเห็นฉากตรงหน้า ก็รู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยในทันที
ขณะนั้นเอง เขารู้สึกว่ามีพายุพุ่งมาจากด้านหลังอย่างรุนแรง ภายใต้ความตกใจ และรู้ตัวว่าไม่อาจหลบหลีกได้ทัน จึงได้แต่กระตุ้นพลังเวทไปด้านหลังเท่านั้น
ทันใดนั้น ไอดำก็พวยพุ่งออกมา ผิวหนังตรงหลังมีเกล็ดสีแดงปรากฏออกมาทับซ้อนกันหลายชั้น
ครู่ต่อมา มีเสียงระเบิด “ตู๊ม!” “ตู๊ม!” “ตู๊ม!” ดังอยู่ข้างหูของเขาหลายครั้ง พลังมหาศาลพุ่งเข้ามาจากด้านหลัง ปราณโลหิตพวยพุ่งอย่างรุนแรง และร่างของเขาก็ไม่มั่นคงจนต้องพุ่งไปด้านหน้า
ท่ามกลางทะเลโลหิตที่อยู่ห่างจากด้านหลังของเขาไปไม่ไกล มีร่างของราชาโลหิตปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เขาค่อยๆ ลดมือข้างหนึ่งลง แต่ดูเหมือนว่ากลิ่นไอจะอ่อนกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย และจ้องมองหลังของหลิ่วหมิงที่ดูมืดมนกว่าเดิม
สิ่งที่หลิ่วหมิงไม่รู้ก็คือ วิชาชั่วร้ายที่ราชาโลหิตฝึกฝนนั้น โดยปกติต้องอาศัยการดูดโลหิตบริสุทธิ์ของคนอื่นๆ มาหล่อเลี้ยงร่างของตนเอง ทะเลโลหิตที่สร้างขึ้นมา ก็มีโลหิตบริสุทธิ์ของผู้ฝึกฝนจำนวนมากแฝงอยู่ ขณะเดียวกันก็เชื่อมต่อกับจิตของเขาด้วย สามารถเคลื่อนย้ายตัวท่ามกลางทะเลโลหิตได้ภายในพริบตา
แต่ทว่าหากทำเช่นนี้ จะทำให้เขาสูญเสียพลังจิตไม่น้อย
แน่นอนว่าหลิ่วหมิงก็ไม่ใช่ผู้ที่สามารถรับมือได้ง่าย พอเห็นว่าตนเองจะพุ่งเข้าใส่ทะเลโลหิตตรงหน้า แต่ถูกขังไว้อีกครั้ง เขาก็อ้าปากพ่นโล่เล็กสีดำออกมา และยกมือข้างหนึ่งปล่อยพลังเข้าไป
โล่เล็กสีดำย่อมเป็นโล่เก้ากะโหลกที่เป็นต้นแบบอาวุธเวท ขณะที่ปล่อยพลังเข้าไปนั้น มันก็ค่อยๆ ขยายตัวตามแรงลมจนมีขนาดหลายจั้ง หัวกะโหลกบนพื้นผิวดูราวกับมีชีวิต ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีดำ มันก็ยื่นหัวออกมาดูดกลืนทะเลโลหิตตรงหน้า
และหลิ่วหมิงก็อาศัยพลังที่พุ่งไปด้านหน้า เอาเท้าทั้งคู่เหยียบโล่กะโหลกไว้ และอาศัยโอกาสตอนที่ทะเลโลหิตเบาบางลงพุ่งออกจากทะเลโลหิตอย่างรวดเร็ว “ฟิ้ว!”
พอไอดำม้วนตัว หลิ่วหมิงก็หันกลับไปและหยุดลงทันที เขาทานโอสถจินหยวนไปหนึ่งเม็ด ขณะเดียวกันก็หันกลับมาอีกครั้ง แต่จะเห็นว่าเกล็ดสีดำตรงหลังเขา มีรอยฝ่ามือโลหิตปรากฏอย่างชัดเจน
ขณะนั้น มีเสียงหัวเราะอย่างเยือกเย็นดังมาจากทะเลโลหิต ต่อมาทะเลโลหิตไร้ขอบเขตก็กลายเป็นหมอกโลหิตพวยพุ่งเข้าไปในร่างของราชาโลหิตอีกครั้ง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยกแขนเสื้อขึ้นมา มุกสีเหลืองสลัวๆ สี่เม็ดถูกโปรยลงพื้น แสงสีเหลืองเปล่งประกายอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็กลายเป็นหุ่นนักรบชุดเกราะที่เปล่งแสงสีทองสี่ตัว
หากราชาโลหิตยังคงกระตุ้นทะเลไร้ขอบเขตอยู่ ต่อให้ใช้หุ่นทั้งสี่ก็คงได้ผลไม่มากนัก แต่ทว่าในตอนนี้ราชาโลหิตกลับเก็บทะเลโลหิตเข้าไปแล้ว หลิ่วหมิงเดาว่าเขาคงไม่ได้รู้สึกว่าไม่มีโอกาสชนะ แต่คงเป็นเพราะว่าการกระตุ้นเคล็ดวิชาทะเลโลหิต ทำให้สูญเสียพลังเวทค่อนข้างมาก
หลังจากราชาโลหิตเห็นหุ่นนักรบทั้งสี่ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา แต่กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ เพียงแค่จ้องมองหลิ่วหมิงอย่างเยือกเย็นเท่านั้น
หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย เขายื่นนิ้วออกไปอย่างไม่ลังเล ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา
นิ้วของเขาค่อยๆ สั่นสะท้าน แสงสีทองกลุ่มหนึ่งปรากฏออกมาตรงปลายนิ้ว พอชี้ออกไป อักขระสีทองสี่ตัวก็จมหายไปในระหว่างคิ้วของหุ่นนักรบทั้งสี่อย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมา มีแสงสีทองเปล่งประกายบนตัวหุ่นนักรบทั้งสี่ ทันใดนั้น แรงกดดันจิตวิญญาณบางอย่างก็แผ่ออกมา แสงสีทองสี่ลำพุ่งขึ้นฟ้า ในที่สุดหุ่นทั้งสี่ก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว
“ฟิ้วๆ!” เงาร่างสีทองสูงใหญ่พร่ามัวพุ่งขึ้นฟ้า และร่วงลงรอบตัวราชาโลหิต
ราชาโลหิตเห็นเช่นนี้ ก็ยังคงมีท่าทีเช่นเดิม แสงสีเลือดเปล่งประกายในดวงตาอยู่ไม่หยุด พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง แสงสีเลือดก็เปล่งประกายบนมือ และควบแน่นออกมาเป็นมนุษย์โลหิตเล็กๆ ที่มีขนาดครึ่งฉื่อ ดูจากภายนอกแล้ว มันมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับราชาโลหิตไม่มีผิด
มนุษย์โลหิตจิ๋วมีแสงสีเลือดเปล่งประกายบนพื้นผิว กลิ่นไอของราชาโลหิตที่อ่อนลงเล็กน้อย ก็ฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ปราณโลหิตบนตัวก็พวยพุ่งขึ้นมา
ดวงตาหลิ่วหมิงดูเฉียบขาดมาก ขณะเดียวกัน ก็เรียกใช้พลังจิตที่หนอนพลังจิตสร้างขึ้น มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็ว พลังจิตสี่สายพุ่งออกจากระหว่างคิ้ว และจมลงบนหน้าผากของหุ่นสีทองทั้งสี่
ดวงตาของหุ่นทั้งสี่เป็นประกาย ลำแสงสีทองสี่ลำพุ่งออกจากร่าง มีมังกรเขียว พยัคฆ์ขาว หงส์แดง เต่าดำ ที่เป็นสัตว์เทพประจำทิศทั้งสี่ปรากฏอยู่รำไร
“ก็แค่ค่ายกลจตุรทิศเท่านั้น จะทำอะไรข้าได้!” ขณะที่พูด ราชาโลหิตกลับเก็บมนุษย์โลหิตจิ๋วในมือด้วยแววตาเคร่มขรึม ปราณโลหิตบนตัวพวยพุ่งออกมาอีกครั้ง และคิดที่จะห่อหุ้มร่างของหุ่นทั้งสี่ไว้
“เกาะตัว!”
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็เผยแววตาเฉียบขาดออกมา พอส่งเสียงตะโกนออกมาแล้ว ก็ทำท่ามือแปลกประหลาดทันที
หากยอมให้ราชาโลหิตกระตุ้นทะเลโลหิตอีกครั้ง จะเป็นศึกยาวนานที่ไม่อาจรู้แพ้ชนะได้ แต่สถานการณ์ตรงหน้านี้ เขายังต้องดูดซับไอปีศาจแท้ต่อให้เร็วที่สุด ด้วยเหตุนี้หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว เขาก็เตรียมแสดงท่าไม้ตายทันที
ครู่ต่อมา หุ่นสี่ทิศกลางอากาศก็เคลื่อนไหวอบ่างบ้าคลั่งราวกับมีชีวิต แสงบนตัวหุ่นสีทองทั้งสี่เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด
“ตู้มต้าม!”
แสงสีทองเปล่งประกายบนตัวหุ่นทั้งสี่ จากนั้นก็ระเบิดออกมาในฉับพลัน!
ท่ามกลางทะเลโลหิต กลิ่นไอที่สามารถทำลายฟ้าทลายดินได้ ก็พุ่งออกจากกลุ่มแสงสีทองทั้งสี่ที่อยู่ด้านล่าง เงาร่างสี่ทิศกลางอากาศเกาะตัวขึ้นมาราวกับมีชีวิต หลังจากหมุนวนไปหนึ่งรอบ ก็ขับไล่ทะเลโลหิตที่พวยพุ่งเข้ามารอบด้านได้ จากนั้นก็พุ่งตรงเข้าหาราชาโลหิตพร้อมกับกลิ่นไอทำลายล้างอันน่าหวาดกลัว
นี่ถึงเป็นชั้นจำกัดแท้จริงที่แฝงอยู่ในหุ่นสี่ทิศ หลังจากหุ่นระดับของเหลวขั้นปลายทั้งสี่จัดวางเป็นค่ายกลสี่ทิศแล้ว พลังของมันก็เข้าถึงระดับผลึกขั้นต้น แต่หากกระตุ้นให้ระเบิดตัว สามารถทำให้พลังของหุ่นสี่ทิศยกระดับถึงแก่นแท้ และโจมตีด้วยพลังทั้งหมดได้!
ราชาโลหิตเปลี่ยนเคล็ดวิชาด้วยความตกใจ ทะเลโลหิตรอบด้านม้วนตัวกลับมา และกลายเป็นเกราะป้องกันโลหิตหนาๆ หนึ่งชั้น
เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวอีกครั้ง!
เงาร่างสี่ทิศปะทะใส่ม่านโลหิตในทิศทางที่แตกต่างกัน ทันใดนั้นมันก็ระเบิดตัวเป็นกลุ่มแสงสีทอง แสงสีทองที่พวยพุ่งออกมาห่อหุ้มที่สิ่งที่อยู่ภายในม่านโลหิตไว้ จากนั้นอากาศก็บิดเบี้ยว และเกิดเสียงดังหวึ่งๆ
พอมีเสียงแตกร้าวดังขึ้น พื้นในห้องโถงก็มีรอยร้าวขนาดใหญ่ปรากฏออกมาสิบกว่าเส้น
แต่เมื่อแสงสีทองดับลง ก็เผยให้เห็นรังไหมสีแดงที่สูงสองจั้งกว่าๆ พริบตาเดียว มันก็แตกกระจายเป็นผุยผง
ราชาโลหิตปรากฏตัวออกมาด้วยสีหน้าซีดขาว แต่มีคราบโลหิตสีดำปรากฏอยู่ใต้จมูกอย่างรำไร ขณะเดียวกันก็ดูหน้าเขียวปัดเป็นอย่างมาก
ประจักชัดว่าการโจมตีเมื่อครู่ แม้จะแสดงเคล็ดวิชาบางอย่างต้านทานการระเบิดตัวโจมตีของหุ่นสี่ทิศแล้ว แต่ตัวเขาเองก็ได้รับความเสียหายไม่น้อย
ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงกลับแผดเสียงยาวออกมา พอสะบัดแขนเสื้อ กระบี่เล็กสีเขียวก็พุ่งขึ้นฟ้า และกลายเป็นแสงกระบี่อันครั่นคร้าม
หลิ่วหมิงกระโดดเข้าไปในม่านแสงสีทองทันที หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวที่ยาวสิบกว่าจั้ง และกระพริบไปอยู่ตรงหน้าราชาโลหิต
ราชาโลหิตคำรามด้วยความโมโห เปลวเพลิงโลหิตปรากฏบนตัว หลังจากพวยพุ่งรวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นชุดเกราะประณีตงดงามชุดหนึ่ง ในมือทั้งสองต่างก็ถือดาบวงพระจันทร์หนึ่งเล่ม ภายใต้การสั่นสะท้านเบาๆ จันทราโลหิตก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ครู่ต่อมาก็ปะทะกับสายรุ้งสีเขียวอันน่าหวาดกลัว
เกิดเสียงดังกังวานแสบแก้วหู สายรุ้งสีเขียวพุ่งไปพุ่งมาในจันทราโลหิต สุดท้ายก็หมุนวนหนึ่งรอบก่อนพุ่งยิงกลับไป
พอแสงกระบี่ดับลง ร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมาอีกครั้ง แต่สีหน้าซีดขาวอย่างหาที่เปรียบมิได้
การกระตุ้นวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่งติดต่อกันหลายครั้ง แม้ว่าเขาจะมีพลังเวทบริสุธิ์เป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่สามารถยืนหยัดได้นาน
ราชาโลหิตเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าดุร้ายออกมา และก้าวยาวๆ ไปหาหลิ่วหมิง
“สมกับเป็นผู้ที่มีรายชื่ออันดับหนึ่งในบัญชีความเป็นความตาย ไม่มีวิธีอื่นแล้ว คงได้แต่ใช้วิธีนี้เท่านั้น” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา และถอนหายใจพูดพึมพำกับตัวเอง
ราชาโลหิตได้ยินก็รู้สึกอึ้งทันที ขณะที่ยังไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงหมายความว่าอย่างไรนั้น หลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้าก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว ส่วนมืออีกข้างก็เอานิ้วชี้แตะระหว่างคิ้วของตัวเอง
“ฟิ้ว!” ดูเหมือนว่าจะมีอะไรบางอย่างพุ่งออกจากร่างหลิ่วหมิง
ราชาโลหิตเบิกตาโพลงด้วยความตกใจ แต่ตรงหน้ากลับว่างเปล่า ไม่มีสิ่งของใดๆ เลย
แม้เขาจะรู้สึกประหลาดใจมาก แต่ยังคงหัวเราะอย่างเยือกเย็น ขณะที่กำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างออกมานั้น พลันรู้สึกเย็นตรงหน้าอก และหัวใจของเขาก็ถูกอะไรแหลมคมบางอย่างเจาะทะลุไป
ราชาโลหิตส่งเสียงดังลั่น มือข้างหนึ่งกดบาดแผลตรงหน้าอกไว้อย่างรวดเร็ว และโซซัดโซเถถอยออกไป
ในระหว่างนิ้วทั้งห้า มีโลหิตบริสุทธิ์ทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ราชาโลหิตมีสีหน้าเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
หลังจากหลิ่วหมิงทำการโจมตีแล้ว ใบหน้าของเขาก็ไม่เหลือเลือดฝาดใดๆ อีก เขานำโอสถจินหยวนออกมาทานหนึ่งเม็ด ดูเหมือนว่าจะใช้พลังเวทที่เหลือในร่างจนหมดสิ้นแล้ว
การโจมตีราชาโลหิตในเมื่อครู่ คือตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุไร้รูปที่หลิ่วหมิงบ่มเพาะมาหลายปี
แม้ว่าการใช้ตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุในตอนนี้ จะทำให้อานุภาพที่บ่มเพาะมาถูกใช้จนหมดสิ้น ทั้งยังต้องใช้เวลาหลายปีถึงฟื้นคืนอานุภาพเดิมได้ แต่สถานการณ์ตรงหน้า หลิ่วหมิงจำเป็นต้องใช้ท่าไม้ตายนี้
ตอนที่ 629 ร่างแปลงปีศาจปรากฏตัวอีกครั้ง
โดย
Ink Stone_Fantasy
ราชาโลหิตที่จะล้มมิล้มแหล่เผยแววตาโหดร้ายออกมา เขาพลิกมือข้างหนึ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นมนุษย์โลหิตจิ๋วขนาดครึ่งฉื่อก็ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง
“ดี! ดีมาก! คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะบีบข้ามาจนถึงขั้นนี้ได้!”
ราชาโลหิตมองดูมนุษย์โลหิตจิ๋วในมือ และคำรามเสียงที่ดูไม่เหมือนกับเสียงของมนุษย์ออกมา จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงอาฆาตแค้น ครู่ต่อมาก็กลืนมนุษย์โลหิตจิ๋วเข้าไป และอ้าแขนทั้งสองออก ทำให้เห็นรูเลือดขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือบนหน้าอกอย่างชัดเจน
“ตู๊ม!”
ใบหน้าของราชาโลหิตกลายเป็นสีแดงเข้มผิดปกติ หมอกโลหิตพวยพุ่งออกจากตัวอย่างบ้าคลั่ง หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว ก็ก่อตัวเป็นพายุสีเลือดอันน่าตกใจ และห่อหุ้มร่างของเขาไว้
มีเสียงระเบิดดังท่ามกลางพายุอย่างต่อเนื่อง ปราณโลหิตรอบด้านที่ยังไม่สลายตัวก็ถูกม้วนไว้ในนั้น อานุภาพของมันแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก
หลิ่วหมิงรีบสะบัดแขนเสื้อด้วยความตกใจ คมวายุสีเขียวสิบกว่าสายพุ่งยิงออกไป แต่ล้วนจมหายไปในพายุอย่างไร้ร่องรอย
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกหวาดกลัวมาก ขณะที่ยังไม่ทันได้นำวิธีการอื่นออกมาใช้นั้น พลันมีเสียงฟ้าผ่าท่ามกลางพายุ ทันใดนั้นพายุบ้าระห่ำก็ม้วนตัวสลายไป เผยให้เห็นร่างของราชาโลหิตอีกครั้ง
ราชาโลหิตในขณะนี้ ดวงตาทั้งคู่หลับสนิท ปราณโลหิตรายล้อมรอบตัว และผลึกสีเลือดขนาดเท่าเม็ดถั่วแต่ละเม็ด ก็เกาะผลึกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ภายใต้การส่องสะท้อนของแสงสลัวๆ ในบริเวณนี้ ทำให้มีแสงแปลกประหลาดกระพริบออกมา
พอหลิ่วหมิงเห็นผลึกสีเลือดเหล่านี้อย่างชัดเจน ก็ต้องสูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน สีหน้าของเขาดูไม่ได้ในฉับพลัน
ขณะที่ราชาโลหิตผู้นี้ใกล้จะตาย ไม่รู้ว่ามนุษย์โลหิตจิ๋วที่เขากลืนลงไปนั้นคือสิ่งใด คิดไม่ถึงว่าจะร่วมมือกับเคล็ดวิชาของเขา ทำให้เกาะผลึกขึ้นมาได้
พอหลิ่วหมิงกวาดสายตามองออกไป ก็ค้นพบว่าผลึกสีเลือดเหล่านี้ มีมากถึงเจ็ดสิบสองเม็ด และในช่วงเวลาที่ความคิดของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนั้น มันก็หมุนวนรอบตัวราชาโลหิตหนึ่งรอบ และค่อยๆ จมหายไปในศีรษะอย่างไร้ร่องรอย
ราชาโลหิตลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา ขณะเดียวกันกลิ่นไอบนตัวก็เพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง หลังจากส่งเสียงคำรามออกมา มันก็พุ่งเข้าถึงระดับผลึก และพุ่งไปจนถึงระดับผลึกขั้นกลางแล้วถึงหยุดชะงักลง
ขณะเดียวกัน ปราณโลหิตรอบตัวก็ไปล้อมรอบรูเลือดบริเวณหน้าอกของเขา และบาดแผลที่ถูกตัวอ่อนกระบี่เขาพระสุเมรุทำร้าย ก็สมานกลับมาดังเดิมภายในพริบตา
ที่แท้ที่ราชาโลหิตวนเวียนอยู่ในระดับของเหลวขึ้นปลายเป็นเวลานานนับร้อยกว่าปี และไม่เข้าสู่ระดับผลึก ก็เป็นเพราะว่าเขาฝึกฝนเคล็ดวิชาเฉพาะบางอย่างที่อาศัยโลหิต ทำให้ระดับการฝึกฝนของตนเอง ถูกระงับไว้ที่ระดับของเหลวขั้นปลายชั่วคราว ขณะเดียวกัน ก็อาศัยการดูดโลหิตของผู้ฝึกฝนอยู่ไม่หยุด และบ่มเพาะร่างแบ่งที่ผสานเข้ากับโลหิตบริสุทธิ์ของตนเอง แต่พอเคล็ดวิชานี้สำเร็จ ก็จะกลืนกินมนุษย์โลหิตจิ๋วนี้เข้าไป ทำให้สามารถทะลวงคอขวดได้ในทีเดียว และเข้าสู่ระดับแก่นแท้โดยตรง
แต่ในช่วงเวลาสำคัญของชีวิตเช่นนี้ เขาไม่อาจสนใจการฝึกฝนเคล็ดวิชานี้ได้ แต่กลับกลืนกินเคล็ดวิชาแบ่งร่างในพริบตา ทำให้ตนเองทะลวงคอขวด และเข้าสู่ระดับผลึกขั้นกลางโดยตรง
เพียงแต่ว่าการกระทำเช่นนี้ หากราชาโลหิตจะยกระดับการฝึกฝนอีกครั้ง จะต้องบ่มเพาะมนุษย์โลหิตขึ้นมาใหม่ ซึ่งไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาอีกนานเท่าใด
พอหลิ่วหมิงรับรู้ได้ถึงการฝึกฝนของราชาโลหิตที่เข้าถึงระดับผลึกขั้นกลาง และบาดแผลก็ยังฟื้นฟูแล้วด้วย เขาก็รู้ดีว่าตนเองไม่มีโอกาสที่จะเอาชนะอีก
หลังจากสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายครั้ง แสงหรุบหรู่ก็ม้วนตัวออกมา พอขยับตัว ร่างของเขาก็พุ่งยิงใส่ผนังห้องโถงบริเวณนั้นราวกับลูกธนู
ร่างของเขาพุ่งไปยังไม่ทันถึงผนัง ก็ปล่อยกำปั้นชกผ่านอากาศออกไปก่อน
หลิ่วหมิงคิดที่จะทลายกำแพงแล้วหลบหนีลอยนวลไป
ราชาโลหิตเห็นเช่นนี้ ดวงตาก็เปล่งประกายเยือกเย็น เขาคว้ามือข้างหนึ่งไปข้างหน้า ขณะเดียวกัน หมอกโลหิตรอบตัวก็ม้วนตัวพวยพุ่งออกไป
ครู่ต่อมา พลันมีคลื่นก่อตัวบนอากาศเหนือศีรษะหลิ่วหมิง ฝ่ามือสีเลือดขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ ปรากฏออกมา และกางนิ้วทั้งห้าออกก่อนกดลงมา
อากาศรอบด้านหลิ่วหมิงหนาแน่นขึ้นมาทันที ร่างของเขาถูกพลังไร้รูปบางอย่างผูกมัดไว้กลางอากาศ ขณะเดียวกันแรงกดดันมหาศาลก็โจมตีลงบนศีรษะ ดูเหมือนว่าจะด้อยกว่าฝ่ามือของราชาปีศาจเจ้าสมุทรไม่เท่าไหร่
สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที ทำให้แค่พยายามอ้าปากพ่นโล่กระดูกขนาดเล็กออกไป
พอโล่กระดูกปรากฏตัว มันก็กลายเป็นเมฆดำกลุ่มหนึ่งต้านทานไว้กลางอากาศ
“ตู๊ม!”
เมฆดำเหนือศีรษะถูกกระเทือนจนสลายไป และมีพลังไร้รูปบางอย่างทะลุออกมาโจมตีลงบนตัวหลิ่วหมิงโดยตรง
หลิ่วหมิงส่งเสียงตะโกนออกมา กระดูกภายในร่างส่งเสียงแตกหักดังกร๊อบแกร๊บ จากนั้นก็กระอักเลือด และกระเด็นออกไป
ราชาโลหิตไม่คิดจะยั้งมือเพียงเท่านี้ พอยกมือข้างหนึ่งขึ้น ฝ่ามือโลหิตที่เหมือนกับก่อนหน้าไม่มีผิดก็ก่อตัวขึ้นมาอีกครั้ง และตบใส่หลิ่วหมิงที่ยังกระเด็นอยู่อย่างรุนแรง
ตั้งแต่ตอนที่ราชาโลหิตแสดงฝ่ามือออกมา จนถึงตอนที่ใช้ฝ่ามือโจมตีหลิ่วหมิงเป็นครั้งที่สองนั้น ใช้เวลาเพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้น
ขณะนี้ ต่อให้หลิ่วหมิงจะมีความสามารถแค่ไหน ก็ไม่อาจรอดพ้นไปได้
และด้วยอานุภาพอันน่าหวาดกลัวของฝ่ามือในก่อนหน้านี้ แม้หลิ่วหมิงจะมีกายเนื้อแข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ พอถูกโจมตีเช่นนี้ ก็เท่ากับสูญเสียชีวิตไปแล้วครึ่งหนึ่ง
ขณะที่หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้านนั้น พลันมีน้ำเสียงเยือกเย็นที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยินดังขึ้นข้างหู
“ร่างแปลงปีศาจ……”
หลิ่วหมิงรู้สึกตะลึงงัน ขณะที่เพิ่งจะเข้าใจความหมายนั้น ก็มีเสียง “ตู๊ม!” ดังขึ้นในหูทั้งสองข้าง พริบตานั้นเปลวเพลิงสีดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง ขณะเดียวกัน ลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงก็ปรากฏบนส่วนต่างๆ ของร่างกาย
‘ร่างแปลงปีศาจหลิ่วหมิง’ ได้ปรากฏออกมาอีกครั้ง
บริเวณที่แสงสีม่วงเปล่งประกาย ทำให้บาดแผลทั้งหมดหายไปอย่างรวดเร็ว
‘หลิ่วหมิง’ ส่งเสียงคำรามออกมา พอบิดตัว ร่างของเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ฝ่ามือโลหิตยักษ์โจมตีใส่ความว่างเปล่า จากนั้นก็พร่ามัวสลายไป
ราชาโลหิตมีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พอหันหลังกลับมาก็ค้นพบว่า ‘หลิ่วหมิง’ ที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง กำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาเยือกเย็น และไม่มีความรู้สึกใดๆ เลยแม้แต่น้อย
และหลิ่วหมิงในขณะนี้ ไม่เพียงแต่มีลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงปกคลุมเต็มตัว แต่ยังมีไอปีศาจพวยพุ่งรอบตัว ภายในร่างเต็มไปด้วยกลิ่นไอสังหารที่บอกไม่ถูก
ราชาโลหิตหรี่ตาทั้งคู่ลง สีหน้าดูเคร่งขรึมขึ้นมา ประจักษ์ชัดว่าเขาค้นพบกลิ่นไอแปลกประหลาดของหลิ่วหมิงเช่นกัน แต่ผ่านไปสักพัก ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“แม้จะไม่รู้ว่าเจ้าฝึกฝนพลังปีศาจอันใด ถึงสามารถฟื้นฟูได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้ แต่ระดับการฝึกฝนของเจ้าในตอนนี้ยังคงอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลาย อยากจะเอาชนะข้าในตอนนี้ คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เขาก็กระตุ้นพลังเวทจำนวนมากภายในร่างอีกครั้ง
“ฟู่!”
ฝ่ามือโลหิตที่มีขนาดใหญ่กว่าก่อนหน้านั้นหนึ่งเท่ากว่าๆ ปรากฏออกมา และร่วงลงด้วยเสียงอันดัง “หวู่ๆ!”
ฝ่ามือยักษ์ยังไม่ทันร่วงลงมาถึง พลังจองจำไร้รูปก็ม้วนตัวลงมาก่อน
หลิ่วหมิงที่แปลงร่างเป็นปีศาจเพียงแค่ยกมือขึ้นมาตอบรับ ไอปีศาจรอบตัวก็พวยพุ่งและควบแน่นเป็นฝ่ามือปีศาจสีดำที่มีขนาดเท่ากัน จากนั้นก็ยันขึ้นฟ้า
“ตู๊ม!”
ฝ่ามือยักษ์สีแดงกับสีดำปะทะกันกลางอากาศ เปลวเพลิงสีแดงดำสองกลุ่มปะทุออกมา และพวยพุ่งไปทั่วทิศ
ฝ่ามือทั้งสองคุมเชิงกันอยู่ครู่หนึ่ง มือยักษ์สีแดงก็ระเบิดออกมาเป็นปราณโลหิตปกคลุมเต็มฟ้าก่อนที่จะสลายไป
และฝ่ามือยักษ์ที่ก่อตัวขึ้นมาจากไอดำเพียงแค่มีกลิ่นไอด้อยกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย มันกระพริบแค่ทีเดียวก็มาปรากฏเหนือศีรษะของราชาโลหิต และคว้าลงมาอย่างไม่ปราณี
ราชาโลหิตย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก พอสะบัดแขนเสื้อ ปราณโลหิตรอบตัวก็ม้วนตัวกลายเป็นฝ่ามือโลหิตยักษ์ และโจมตีฝ่ามือยักษ์สีดำกลางอากาศจนสลายไป
แต่ขณะนี้ราชาโลหิตรู้สึกหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
หากว่าเขายังอยู่ในระดับของเหลว การที่หลิ่วหมิงสามารถรับมือเขาได้ ยังไม่นับประสาอะไร แต่ขณะนี้เขาทะลวงเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ทั้งยังทะลวงไปถึงสองขั้นด้วย แต่ฝ่ามือโลหิตที่สร้างขึ้นมากลับถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีอย่างง่ายดาย สิ่งนี้เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อเป็นอย่างมาก
ขณะนั้นเอง ร่างแปลงปีศาจของหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้า ก็แหงนหน้าแผดเสียงออกมา กลิ่นไออันน่าตกใจพุ่งขึ้นฟ้า และพุ่งเข้าหาราชาโลหิต
หลังจากราชาโลหิตถูกกลิ่นไอนี้กดดัน ก็ไม่อาจทรงตัวไว้ได้ และต้องร่นถอยไปสองก้าว
“เป็นไปได้อย่างไร!”
ราชาโลหิตคำรามเสียงออกมา แต่ร่างของเขาก็สั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุดโดยที่ไม่อาจควบคุมไว้ได้
แต่การที่เขาสามารถอยู่ในบัญชีความเป็นความตายของนิกายยอดบริสุทธิ์มาได้นานขนาดนี้ ย่อมไม่ใช่ผู้ฝึกฝนธรรมดาอย่างแน่นอน เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็สามารถสงบจิตไว้ได้ ดวงตาทั้งคู่เผยแววโหดร้ายออกมา เท้าทั้งสองกระแทกลงพื้นแล้วพุ่งขึ้นฟ้า แขนทั้งสองเคลื่อนไหวพร้อมกัน และฝ่ามือโลหิตขนาดจั้งกว่าๆ จำนวนมากก็พุ่งไปยังฝั่งตรงข้าม
ร่างแปลงปีศาจของหลิ่วหมิงหยุดแผดเสียงลง หลังจากลวดลายจิตวิญญาณบนตัวเปล่งประกายอีกครั้ง ร่างของเขาก็หายไปในทันที และมาปรากฏตัวอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง หลังจากเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอีกครั้ง ฝ่ามือโลหิตก็ถูกทิ้งเอาไว้ด้านหลังไกลๆ เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก แม้แต่ราชาโลหิตยังรู้สึกตาลายไปหมด
ราชาโลหิตรู้สึกใจร่วงหล่นดัง “ตุ๊บ!” เมื่อเขากระตุ้นพลังเวทไปที่ดวงตาอย่างบ้าคลั่ง ถึงมองเห็นหลิ่วหมิงอย่างชัดเจน
แต่ขณะนั้น ร่างของหลิ่วหมิงก็พร่ามัวมาปรากฏตัวตรงหน้าราชาโลหิตอย่างไร้สุ้มเสียง และดูเหมือนจะยกแขนขึ้นมาอย่างง่ายๆ จากนั้นฝ่ามืออัปลักษณ์ที่มีไอปีศาจห่อหุ้ม ก็โจมตีลงบนบาดแผลบริเวณหน้าอกในก่อนหน้านั้นอีกครั้งอย่างรวดเร็ว
ราชาโลหิตส่งเสียงร้องออกมา ร่างของเขาพุ่งออกไปด้านหลัง ขณะเดียวกันก็พ่นแสงโลหิตออกมากลุ่มหนึ่ง และกระพริบไปโจมตีหลิ่วหมิงที่แปลงร่างเป็นปีศาจ ที่แท้มันก็เป็นก้อนโลหิตกลมๆ หนึ่งลูก
“ตู๊ม!” ก้อนโลหิตระเบิดออกมาในพริบตา เปลวเพลิงโลหิตพวยพุ่งออกมาปกคลุมหลิ่วหมิงไว้
ขณะนี้ ราชาโลหิตถึงกวาดสายตามองหน้าอกของตนเองด้วยเหงื่อที่เปียกโชก บนนั้นมีรอยกรงเล็บยาวที่ลึกหนึ่งชุ่นกว่าๆ ปรากฏอยู่ห้าเส้น
การโจมตีที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายของหลิ่วหมิงในเมื่อครู่ เกือบจะควักเอาหัวใจเขาออกมาได้ โดยที่เกราะคุ้มร่างของเขาไม่อาจต้านทานไว้ได้เลยแม้แต่น้อย แล้วอย่างนี้จะไม่ให้ราชาโลหิตรู้สึกตกใจและโมโหได้อย่างไร
ขณะนี้ เปลวพลิงโลหิตตรงหน้าก็ดับลงไปในที่สุด แต่ในนั้นกลับว่างเปล่าไม่มีเงาร่างของผู้ใดหลงเหลืออยู่เลย
ราชาโลหิตรู้สึกตกใจมาก ยังไม่ทันได้คิดอะไรมาก พายุเย็นยะเยือกก็พัดมาด้านหลัง ไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงที่แปลงร่างเป็นปีศาจมาอยู่ด้านหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ และยังคว้ากรงเล็บใส่อย่างไม่ปราณี
เขาเองก็มีปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็วมาก เขาหันตัวกลับมาทันที แต่กลับรู้สึกเย็นบริเวณหน้าอก กรงเล็บปีศาจข้างหนึ่งเจาะทะลุหน้าอกข้างขวาของเขา
ราชาโลหิตส่งเสียงคำรามออกมา และคว้ากรงเล็บปีศาจที่จมเข้าไปในหน้าอกไว้แน่น ขณะเดียวกัน มืออีกข้างก็ควบแน่นดาบโลหิตด้ามหนึ่งขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และฟันใส่กรงเล็บที่เขาจับไว้อย่างโหดเหี้ยม
ตอนที่ 630 สังหาร
โดย
Ink Stone_Fantasy
ลวดลายสีม่วงบนแขนหลิ่วหมิงเปล่งประกายอีกครั้ง จากนั้นก็ดึงแขนออกจากหน้าอกของราชาโลหิตอย่างรวดเร็ว พอพลิกฝ่ามือ และบิดข้อมือไปในมุมที่คาดไม่ถึง ก็คว้าแขนของราชาโลหิตไว้ พอยกขึ้นด้านบน มันก็ปะทะกับดาบโลหิตที่ฟันลงมา
“ฉับ!”
ราชาโลหิตเก็บมือไม่ทัน ดาบโลหิตที่มือขวาถืออยู่ จึงฟันใส่แขนซ้ายของตนเอง
ขณะเดียวกัน แขนข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงก็กระชากลงด้านล่าง ทำให้แขนซ้ายของราชาโลหิตขาดออกมา
ท่ามกลางเสียงร้องอย่าน่าเวทนา ราชาโลหิตพุ่งถอยออกไปสิบกว่าจั้งทันที มือขวาของเขารีบเก็บดาบโลหิต และสร้างตราประทับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็จมหายไปในบาดแผลบริเวณไหล่ซ้ายที่มีโลหิตไหลออกมา
ขณะเดียวกัน ปราณโลหิตรอบตัวก็ถูกแยกออกมาหลายสิบสาย และหมุนวนรอบไหล่ซ้ายอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็เกาะตัวเป็นแขนใหม่อีกครั้ง
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จอย่างรวดเร็ว ราชาโลหิตก็จ้องมองหลิ่วหมิงที่ถือแขนข้างหนึ่งของเขาอยู่ด้วยความโมโหกว่าเดิม
ดวงตาของเขาเผยแววโหดร้ายออกมา พอแขนทั้งสองประกบกันแล้วแยกออกมาอีกครั้ง แสงโลหิตก็เปล่งประกาย แขนทั้งสองต่างก็ควบแน่นดาบโลหิตที่มีปราณโลหิตพวยพุ่งขึ้นมาหนึ่งเล่ม
จากนั้นเขาก็ส่งเสียงคำรามออกมา และกระตุ้นปราณโลหิตให้พวยพุ่งออกจากตัว ทำให้พื้นที่ในระยะหลายจั้งกลายเป็นทะเลโลหิตไปทั้งแถบ
หลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นปีศาจเห็นเช่นนี้ ก็แค่โยนแขนของราชาโลหิตทิ้งไป จากนั้นร่างของเขาก็พุ่งเข้าไปในทะเลโลหิต
‘หลิ่วหมิง’ ที่มีไอปีศาจปกคลุมเต็มตัวแหวกทะเลโลหิตตรงหน้าจนกลายเป็นทางเดินสายหนึ่ง ปราณโลหิตอันพวยพุ่งไม่อาจสัมผัสโดนร่างเขาได้เลยแม้แต่น้อย ตัวเขาเคลื่อนไหวไปในทะเลโลหิตตามอำเภอใจราวกับไม่มีสิ่งใดอยู่ในนั้น หลังจากเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าราชาโลหิต
ราชาโลหิตได้เตรียมการไว้ตั้งแต่แรกแล้ว ขณะที่หลิ่วหมิงมาปรากฏตัวนั้น แววตาของเขาก็ดูเฉียบขาดขึ้นมา แขนทั้งสองพร่ามัวฟันออกไปตรงหน้า จากนั้นเงาดาบโลหิตจำนวนมากก็ม้วนตัวตัดสลับกันออกมา ราวกับจะฟันหลิ่วหมิงออกเป็นชิ้นๆ
……
ด้านนอกห้องโถงอันเงียบสงัดที่หลิ่วหมิงกับราชาโลหิตอยู่ มีเงาร่างจำนวนไม่น้อยที่อยู่บริเวณนี้ และต่างก็จ้องมองทางเข้าห้องโถงด้วยแววตากระหาย
แต่ว่ามีเสียงต่อสู้ดังมาจากด้านในห้องโถงอยู่ตลอดเวลา และยังมีคลื่นพลังเวทรุนแรงที่ทำให้คนเหล่านี้เกิดความลังเลขึ้นมา
“พี่ใหญ่ เอาไงดี พวกเราต้องเข้าไปหรือไม่?” มีชายชุดแดงสามคนซ่อนอยู่ด้านหลังเสาหินที่อยู่ไม่ไกล ชายหนุ่มที่รูปร่างเตี้ยเล็กถามด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
ทั้งสามต่างก็สวมชุดแบบเดียวกัน ประจักษ์ชัดว่าเป็นคนนิกายเดียวกัน
พี่ใหญ่ที่ชายร่างเตี้ยพูดถึง เป็นชายหนุ่มผอมสูงที่ค่อนข้างรูปงามผู้หนึ่ง ขณะนี้เขากำลังจ้องไปยังห้องโถงตรงหน้า และไม่ได้กล่าวอะไรออกมา ดูเหมือนว่ายังลังเลอยู่
“ความร่ำรวยอยู่ท่ามกลางอันตราย พี่ใหญ่ท่านลองคิดดู เพื่อการสืบเรื่องซากโบราณแห่งนี้ พวกเราสูญเสียไปตั้งเท่าไหร่แล้ว ไม่ใช่เพื่อรวบรวมไอปีศาจแท้ในการทะลวงคอขวดระดับของเหลวหรอกหรือ แต่ตลอดทางที่ผ่านมา อย่าว่าแต่ไอปีศาจแท้เลย แม้แต่ไอปีศาจที่บริสุทธิ์จำนวนหนึ่ง ก็รวบรวมมาได้ไม่เท่าไหร่ หรือว่าพวกเราจะกลับไปตัวเปล่าเช่นนี้?” ชายชุดแดงอีกคนกล่าวออกมา
ดูเหมือนชายหนุ่มรูปงามจะรู้สึกใจเต้นขึ้นมา ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากออกมานั้น
พลันมีเสียงดังมาจากด้านในห้องโถง “ตู๊ม!” แม้แต่พื้นที่อยู่ไกลๆ ก็สั่นสะเทือนตามไปด้วย!
“แรงกดดันจิตวิญญาณรุนแรงเช่นนี้ เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึก!” ชายหนุ่มรูปงามหลุดปากออกมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที
อีกสองคนที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง
“ไป! ชายหนุ่มรูปงามหมุนตัวกลับไปอย่างไม่ลังเล ผู้ฝึกฝนระดับผลึกไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะสามารถงัดมือได้ ไม่ว่าตรงหน้าจะมีไอปีศาจบริสุทธิ์หรือไอปีศาจแท้หรือไม่ จะต้องมีชีวิตรอดก่อนถึงจะได้มา
และผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ ที่วนเวียนอยู่ในบริเวณนั้น ก็พากันจากไปด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที
ไม่มีใครเป็นคนโง่ ภายในทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ ไม่อนุญาตให้ผู้ฝึกฝนระดับผลึกเหยียบเข้ามา ไม่ว่าผู้ที่ต่อสู้อยู่ตรงหน้า จะเป็นผู้ฝึกฝนแข็งแกร่งที่บุกรุกเข้ามา หรือเป็นผู้ฝึกฝนของนิกายขวานทองคำหรือสระหมื่นปี ล้วนไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถยุแหย่ได้
หากผู้ที่อยู่ในนั้นเป็นผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่มีใจคอโหดเหี้ยมล่ะก็ เกรงว่าพวกเขาคงต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นี่แล้ว
ถ้าจะเสียเวลากับที่นี่ ไม่สู้ไปหาที่อื่นจะดีกว่า บางทีอาจจะโชคดีได้ผลประโยชน์อะไรมาบ้าง
ขณะเดียวกัน ด้านหลังสิ่งก่อสร้างขนาดเล็กที่อยู่ห่างจากห้องโถงไปไม่ไกล ชายหนุ่มชุดคลุมสีเทาที่มีใบหน้าธรรมดา ก็ดวงตาเป็นประกาย เขาพลิกฝ่ามือหยิบป้ายสีเงินออกมา และร่ายคาถาสองสามบท หลังจากแสงสีเงินเปล่งประกาย เขาก็เงียบลงอีกครั้ง
ขณะนี้ ชายหนุ่มชุดคลุมสีเทาถึงเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งขึ้นฟ้าท่ามกลางไอสีเทา และหมุนตัวพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง
……
ท่ามกลางห้องโถงอันเงียบสงัด ทะเลโลหิตขนาดใหญ่พวยพุ่งอย่างรุนแรง
ท่ามกลางทะเลโลหิต ร่างของราชาโลหิตเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด บริเวณหน้าท้องเปียกโชคไปด้วยเลือด มีรูขนาดเท่ากำปั้นปรากฏออกมา แต่แขนทั้งสองยังคงเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งยังส่งเสียงคำรามออกมา แต่ใบหน้าซีดขาวกลับดูหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
แขนทั้งสองของเขาฟันเงาดาบโลหิตใส่เงาร่างสีม่วงจางๆ ที่เคลื่อนไหวไปมาในทะเลโลหิตอยู่ไม่หยุด แต่ราวว่ากับฟันใส่ความว่างเปล่า
ประจักษ์ชัดว่าความเร็วของหลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นปีศาจ ได้เข้าสู่ระดับที่ไม่อาจคาดเดาได้แล้ว เงาดาบแน่นขนัดเหล่านี้ แตะต้องตัวเขาไม่ได้เลยแม้แต่น้อย!
พอเงาสีม่วงเปล่งประกาย หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวตรงหน้าราชาโลหิต หลังจากแขนทั้งสองพร่ามัว ก็เกิดเสียงดัง “เต๊ง!” “เต๊ง!” มือทั้งสองของเขาจับปลายดาบโลหิตทั้งสองไว้ และออกแรงที่นิ้วทั้งสิบพร้อมกัน
ราชาโลหิตส่งเสียงร้องออกมาอย่างเวทนา แขนทั้งสองที่กลายเป็นดาบโลหิต ถูกเขาบดขยี้จนระเบิดออกมา และก่อเกิดเป็นหมอกโลหิตปกคลุมเต็มฟ้า
แต่ตอนที่ราชาโลหิตพ่นโลหิตออกจากแขนที่ขาด และควบแน่นเป็นม่านสีเลือดม้วนร่างตัวเองไว้นั้น ร่างของเขาก็พุ่งออกจากทะเลโลหิต และพุ่งไปยังปากทางเข้าห้องโถงแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นเคล็ดวิชาโล่โลหิตบางอย่าง
แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นปีศาจไหนเลยจะปล่อยให้เขาหนีไปได้โดยง่าย
พอเปลวไฟสีเขียวเปล่งประกายในดวงตาทั้งสอง ร่างของเขาก็กลายเป็นเงาสีม่วงพุ่งยิงออกไป หลังจากพร่ามัวไม่กี่ที ก็ตามม่านสีเลือดทัน
ราชาโลหิตที่อยู่ในม่านสีเลือดเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจมาก ตั้งแต่เข้าก้าวเข้ามาในโลกของผู้ฝึกฝน ไม่เคยกระเซอะกระเซิงเท่าวันนี้มาก่อน ทันใดนั้น เขาก็อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมากลุ่มหนึ่ง และพุ่งออกจากประตูไปอย่างรวดเร็ว
แต่หลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นปีศาจกลับตามติดราวกับหนอนแมลงวันในกระดูกข้อเท้า ร่างของกระพริบแค่ทีเดียว ก็จมเข้าไปในม่านสีเลือดอย่างน่าประหลาดใจ และแขนข้างหนึ่งก็พร่ามัวคว้าใส่หลังของราชาโลหิต
“ข้าจะแลกชีวิตกับเจ้า!”
ราชาโลหิตส่งเสียงคำรามด้วยความโมโห ขณะเดียวกันก็หันหน้ากลับไปทันที ลำแสงสีเลือดขนาดเท่าปากถ้วยก่อตัวขึ้นระหว่างคิ้ว และพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิง
แสงโลหิตเป็นปราณโลหิตประจำตัวของราชาโลหิต อานุภาพย่อมน่าตกใจเป็นอย่างมาก
แต่หลิ่วหมิงที่กลายร่างเป็นปีศาจกลับมีแสงสีม่วงเปล่งประกายทั่วร่าง พอร่างของเขาพร่ามัวเล็กน้อย ก็หลบแสงสีเลือดไปได้อย่างน่าประหลาดใจ
พริบตาต่อมา เกิดเสียงดัง “ตู๊ม!” กำปั้นอัปลักษณ์ที่ถูกไอดำห่อหุ้มโจมตีลงบนตัวราชาโลหิต ทำให้เขาร่วงลงมากระแทกผนังด้านหนึ่งอย่างรุนแรง บริเวณหน้าอกของเขาบุ๋มลึกลงไป
ราชาโลหิตปล่อยการโจมตีเพื่อหนีตายไม่ได้ผล แต่กลับต้องเผชิญกับกำปั้นลูกนี้ ทำให้ต้องนอนปวกเปียกอยู่บนพื้น และกลิ่นไอก็อ่อนลงอย่างถึงขีดสุด
หลังจากหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวหนึ่งที ก็มาปรากฏตัวตรงหน้าราชาโลหิตอย่างรวดเร็ว พอสะบัดแขนข้างหนึ่งอย่างไม่ลังเล ม่านสีดำผืนหนึ่งก็เปล่งประกายออกมา และม้วนตัวผ่านบริเวณคอของราชาโลหิต
มีเสียงกลอกกลิ้งดังขึ้น!
ศีรษะของราชาโลหิตร่วงลงมาทันที โดยที่เขาไม่ทันได้ส่งเสียงร้องออกมาเลยแม้แต่น้อย
พอแขนอีกข้างของหลิ่วหมิงพร่ามัว เงากำปั้นสีดำจำนวนมากก็ก่อตัวขึ้นมา พริบตาเดียวก็พุ่งเข้าใส่ศพที่อยู่บนพื้นอย่างบ้าคลั่ง
เกิดเสียงดังติดต่อกัน!
ร่างไร้ศีรษะของราชาโลหิตระเบิดออกมาทันที และกลายเป็นเนื้อเหลวจำนวนมาก
ไอดำกลุ่มหนึ่งห่อหุ้มร่างพร่ามัวเล็กๆ ไว้ และพุ่งออกจากเนื้อเหลวเหล่านี้ แต่ยังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบสนองใดๆ ก็ถูกเงากำปั้นของเขาโจมตีจนแตกสลาย
ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายระดับของเหลวที่มีชื่อเสียงในแผ่นดินจงเทียนมาร้อยกว่าปี ก็จากโลกนี้ไปในที่สุด
หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ หลิ่วหมิงถึงกวาดสายตามองรอบๆ ห้องโถงอย่างเยือกเย็น และหยุดสายตาลงบนไอดำที่พุ่งออกมาจากค่ายกลผนึก
“ฟิ้ว!”
ร่างแปลงปีศาจของหลิ่วหมิงเคลื่อนไหวไม่กี่ที ก็มาปรากฏตัวบนขอบค่ายกลจนทิ้งเศษเงาไว้เบื้องหลัง และอ้าปากด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก ไอปีศาจแท้ที่พุ่งออกจากผนึกแยกออกเป็นสองส่วนในทันที ครึ่งหนึ่งจมหายไปในฟองอากาศแวววาวภายในร่าง อีกครึ่งพวยพุ่งเข้าไปในปากของเขาอย่างบ้าคลั่ง
ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ขณะที่ไอปีศาจแท้สายสุดท้ายจมเข้าไปในปากของหลิ่วหมิงนั้น พลันมีเสียงดัง “โครม!” ร่างของเขาล้มลงพื้นทันที
ลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงที่ปกคลุมเต็มตัว ก็หายไปในพริบตา กรงเล็บแหลมคมหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไอดำพวยพุ่งจมหายเข้าไปในร่างของเขา
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใดหลิ่วหมิงถึงลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง และค่อยๆ ลุกขึ้นจากพื้น หลังจากสังเกตดูรอบด้านแล้ว ก็รับรู้ถึงความเจ็บปวดภายในร่าง และพลังเวทที่เกือบจะแห้งเหือดจนต้องหัวเราะอย่างขมขื่น
แต่ว่าเขาก็หยิบโอสถออกมาทานหนึ่งเม็ดทันที จากนั้นก็กวาดสายตาดูผนึกที่แตกกระจายอยู่ตรงหน้า และพยายามฝืนตัวลุกขึ้นมา
……
ขณะที่ราชาโลหิตเสียชีวิตนั้น ภายในส่วนลึกของทะเลโลหิตอันเร้นลับแห่งหนึ่งในแผ่นดินจงเทียน
มียอดเขาสูงชันห้าลูกที่สูงพันจั้งยื่นออกมาจากก้นทะเล ยอดเขาทั้งห้าจัดวางเป็นมุมห้าเหลี่ยมราวกับนิ้วทั้งหน้าที่ประกบเข้าหากัน ใจกลางยอดเขามีแท่นบูชาหินสีดำโล่งๆ ตั้งอยู่
ลำตัวส่วนร่างของเงาร่างสูงใหญ่ที่มีผมสีเลือดกระจัดกระจาย ถูกฝังอยู่ใจกลางแท่นบูชา ลำตัวส่วนบนถูกเจาะด้วยโซ่จำนวนนับไม่ถ้วน และตรึงเขาไว้กับแท่นบูชาอย่างแน่นหนา โดยที่ไม่อาจขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย
ร่างของคนผมสีเลือดผู้นี้สั่นสะท้าน ราวกับว่ารับรู้ถึงอะไรบางอย่าง จากนั้นก็แหงนหน้าแผดเสียงโหยหวนอย่างรุนแรง
ทันใดนั้น กระแสน้ำวนขนาดใหญ่นับไม่ถ้วน ก็ปรากฏขึ้นทั่วก้นทะเล ขณะนั้นเอง ยอดเขาทั้งห้ารอบแท่นบูชาก็เปล่งแสงสีทองออกมา และเสียงแผดร้องก็ถูกระงับไว้
กระแสน้ำวนค่อยๆ สลายไป ก้นท้องทะเลกลับมาสงบอย่างรวดเร็ว
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น