หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 618-621
บทที่ 618 ผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่!
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ข่าวการกลับมาของหวังเป่าเล่อในฐานะศิษย์อุปถัมภ์เริ่มแพร่กระจายออกไป สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกๆ คนในสำนักวังเต๋าไพศาล คนที่ไม่รู้มาก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นก็เริ่มไปค้นหาดูในบันทึกเก่าๆ และพบว่าระดับศิษย์นี้ถือเป็นสถานะสูงส่งเท่าใดในอดีต
สถานะใหม่นี้แปลว่าหวังเป่าเล่อสามารถจะตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในสำนักวังเต๋าไพศาลได้อย่างง่ายดาย เพราะอย่างไรเสียผู้ที่มอบตำแหน่งนี้ให้เขาก็คือสำนักวังเต๋าไพศาลที่แท้จริง เหลือเพียงระดับขั้นพลังปราณปัจจุบันของเขาเท่านั้นที่หยุดไม่ให้เขาเข้าควบคุมสำนักวังเต๋าไพศาลทั้งหมดเอาไว้
ตอนนี้ไม่สำคัญอีกแล้วว่าเขาไม่ได้มาจากสำนักวังเต๋าไพศาล
ไม่ใช่เพียงหวังเป่าเล่อเท่านั้นที่สร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกๆ คน เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็ด้วย ทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าต่างก็กลับมาถึงในฐานะศิษย์สำนักในและศิษย์สำนักนอก ระดับของกงเต๋านั้นไม่ค่อยน่าตื่นตกใจเท่าใดนัก แต่ของเจ้าเยี่ยเหมิงทำเอาทุกคนแทบไม่เชื่อสายตา หากไม่ใช่เพราะความสำเร็จอันใหญ่หลวงของหวังเป่าเล่อที่บดบังอยู่ เจ้าเยี่ยเหมิงก็จะต้องเป็นที่สนใจอย่างใหญ่หลวงอย่างแน่นอน
สหพันธรัฐ…ในที่สุดก็ควบรวมกับสำนักวังเต๋าไพสาลเป็นเนื้อเดียว แทบจะเป็นไปไม่ได้แล้วที่จะแยกทั้งสองออกจากกัน เพราะอย่างไรเสียก็มีหวังเป่าเล่ออยู่ บุรุษไร้เทียมทานผู้ที่ไม่อาจถูกแทนที่ได้
สิ่งที่สำนักวังเต๋าไพศาลต้องตัดสินใจขณะนี้ก็คือตำแหน่งและหน้าที่ที่จะมอบให้หวังเป่าเล่อ ผู้คนเสนอความคิดเห็นหลากหลายเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผู้ที่ต้องปวดศีรษะกับเรื่องนี้อย่างใหญ่หลวงก็คือเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรัน รวมไปถึงศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ผู้ที่เพิ่งจะออกมาจากการถือสันโดษและนิ่งเงียบเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด
ถ้าที่เมี่ยเลี่ยจื่อกำลังปฐมพยาบาลตนเองจากอาการปวดหัว เฟิ่งชิวหรันก็กำลังสับสันอย่างหนัก นางไม่รู้เลยว่าจะทำอย่างไรกับหวังเป่าเล่อดี ผู้อาวุโสทั้งสามไม่ได้พูดเรื่องนี้กันแม้แต่น้อย เรื่องยุ่งยากทุกอย่างก็ยังคงอยู่ต่อไป
ทั้งสามรู้ดีว่าพวกเขาต้องทำอะไรสักอย่างไม่ช้าก็เร็ว มิเช่นนั้นจะเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน ศิษย์อุปถัมภ์มีอำนาจพอที่สั่งการต้นไฮยาซินและวงแหวนปราณของสำนักได้ หากที่นี่เป็นสำนักวังเต๋าไพศาลเช่นในอดีตแล้ว ก็ไม่มีใครเลยที่เหมาะสมจะได้เป็นผู้ติดตามของหวังเป่าเล่อเสียด้วยซ้ำ
ผู้อาวุโสทั้งสามพยายามจัดการกับเรื่องปวดหัวที่ดูจะทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ ระหว่างที่บรรดาผู้ฝึกตนทั้งหลายในสำนักวังเต๋าไพศาลก็ยังคงถกเถียงกันต่อไปอย่างเผ็ดร้อน หวังเป่าเล่อกลับไปถึงเกาะเพลิงเขียวเพื่อจัดการธุระให้เรียบร้อย ชายหนุ่มกำชับเจ้าลาหนักแน่นว่าห้ามก่อปัญหา ก่อนจะติดต่อไปหากงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิง ทั้งสามไปรวมตัวกันที่เกาะหลักและเตรียมจะนำสิ่งของที่เก็บมาได้ไปแลกเป็นแต้มการรบ
รายรับของพวกเขามากมายมหาศาล ทุกคนต่างก็หลีกทางให้พร้อมกับส่งสายตาแปลกแปร่งมาเมื่อพวกเขาเดินไปยังแผ่นหินรับภารกิจ ทันทีที่การแลกเปลี่ยนเริ่มขึ้น ทั้งสามก็หยิบเอาของออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่า แผ่นหินเริ่มสั่นสะท้านก่อนจะส่องแสงสว่างจ้า
ไม่ใช่เพียงแสงสว่างวาบเดียว แต่เป็นแสงสว่างจ้าที่ส่องอยู่ไม่หยุดหย่อน เพื่อนทั้งสามหยิบเอาของออกมาชิ้นแล้วชิ้นเล่าต่อไป ราวกับว่ากระเป๋าคลังเก็บของพวกเขาทั้งสามไร้ก้นบึ้งกระนั้น
ศิษย์สำนักวังเต๋ารอบกายพวกเขาตอนแรกๆ ก็ตกใจ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปพวกเขาก็เริ่มตกตะลึงจนอ้าปากค้าง สามสิบนาทีผ่านไป หวังเป่าเล่อและเพื่อนในที่สุดก็เอาของออกมาหมด เกิดความโกลาหลยิ่งใหญ่ขึ้น ณ บริเวณลานแผ่นหินรับภารกิจนั้น
ความวุ่นวายนั้นเกิดขึ้นอยู่ยาวนาน เสียงร้องโวยวายดังก้องออกมาได้ยินไปไกล หวังเป่าเล่อและเพื่อนเอาก็ตื่นเต้นไม่แพ้กัน แต้มการรบที่พวกเขาได้รับมาอยู่ที่ราวๆ หนึ่งล้านแต้ม พวกเขาสร้างปาฏิหาริย์ได้สำเร็จแล้ว!
เพื่อนทั้งสามแยกทางกันในอีกไม่นานนัก หวังเป่าเล่อลงแรงไปเยอะที่สุดในการสำรวจ ทั้งกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงต่างก็ยืนยันว่าให้ชายหนุ่มรับแต้มการรบไปทั้งสิ้นห้าแสนแต้ม ส่วนกงเต๋ารับไปอีกร้อยละสี่สิบของที่เหลือ ทิ้งอีกร้อยละหกสิบเอาไว้ให้เจ้าเยี่ยเหมิง
การแบ่งเช่นนี้ก็ดูสมเหตุสมผลดี กงเต๋าเองก็คิดว่าเป็นจัดการที่ยุติธรรม ชายหนุ่มกล่าวคำอำลาเพื่อนทั้งสองก่อนจะจากไปเพื่อนำแต้มการรบไปแลกสมบัติเวท เขาตั้งใจจะไปแลกเสื้อคลุมผ้าคลุมออกรบที่มีพลังทำให้ผู้สวมใส่หายตัวได้
เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็มีสิ่งที่ต้องการจะซื้อเช่นกัน นางจ้องมองไปทางหวังเป่าเล่อด้วยสายตาเปี่ยมความหมายและแก้มสีชมพูระเรื่อ ก่อนจะจากไป หวังเป่าเล่อเองก็รีบมุ่งหน้าไปยังหอตำรากระบวนเวทไพศาลพร้อมตราประจำตัวที่มีแต้มการรบอยู่เต็มเปี่ยม
ครั้งนี้ละ ข้าจะให้ต้วนมู่น้อยเรียกข้าว่าท่านบิดาให้จงได้! หวังเป่าเล่อคิดอย่างภาคภูมิใจ ตราบใดที่ชายหนุ่มยังแต้มการรบอยู่ เขาก็เสมือนมีพลังครองโลกได้ เขามาถึงหอตำรากระบวนเวทไพศาลจนได้ ด้วยการโบกมือเพียงครั้งเดียว ชายหนุ่มก็ซื้อตำรากระบวนเวทมาถึงสองร้อยชุดในพริบตา แม้ว่าในบรรดาตำรานั้นมีบางเล่มราคาสูงถึงหนึ่งพันแต้มการรบเลยก็ตาม!
หวังเป่าเล่อใช้แต้มการรบไปเกือบสามแสนแต้มไปกับตำรากระบวนเวท ชายหนุ่มไม่เดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างนั้นเขาก็ยังมีแต้มการรบอีกหนึ่งแสนห้าหมื่นแต้มที่ซุนไห่จะนำมาจ่ายในวันนี้ แถมการที่เขาไม่อยู่ชั่วระยะหนึ่งก็แปลว่ายังมีกำไรจากเกมให้เก็บอีกมาก แม้จะยังไม่ได้ถามเซี่ยไห่หยางว่าเท่าใด แต่หวังเป่าเล่อก็มั่นใจว่าจะต้องเป็นจำนวนไม่น้อยแน่นอน
ชายหนุ่มไม่ได้เครียดเรื่องการใช้จ่ายเงินแม้แต่น้อย เขาหยิบเอาตำรากระบวนเวททั้งสองร้อยเล่มไปยังวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายและส่งกลับไปสหพันธรัฐพร้อมกับในคราวเดียว หวังเป่าเล่อพอจะจินตนาการความตื่นตะลึงที่จะเกิดขึ้นในสหพันธรัฐหลังจากที่ได้รับตำรากระบวนเวทสองร้อยเล่มพร้อมๆ กันได้ ชายหนุ่มสงสัยว่าต้วนมู่ฉีจะอ้าปากกว้างเพียงใดเมื่อได้เห็น ความคิดนั้นทำให้เขาอารมณ์ดีขึ้นเป็นอย่างมาก
ต้วนมู่น้อย เจ้าหมดหนทางต่อต้านแล้ว เจ้าไม่ควรจะพยายามเล่นสกปรกเองตั้งแต่ต้น! หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นตบท้องอย่างภาคภูมิใจ ชายหนุ่มเชื่อมั่นในการไม่ยอมแพ้ เขาส่งตำรากระบวนเวททั้งสิ้นกว่าสามร้อยเล่มกลับไปยังสหพันธรัฐแล้ว หรือบางทีถ้านับแบบปัดเศษอาจจะบอกได้ว่าเขาส่งกลับไปห้าร้อยเล่นก็ย่อมได้!
ถ้าอย่างนั้นก็แน่นอนแล้ว!
เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ปิดวงแหวนปราณเคลื่อนย้ายก่อนจะกลับเกาะเพลิงเขียวไปอย่างเปี่ยมสุข ตามที่ชายหนุ่มคาดการณ์ไว้ เกิดความโกลาหลขึ้นครั้งใหญ่ในสหพันธรัฐเพราะตำราสองร้อยเล่มที่เพิ่งถูกส่งกลับไป
ความวุ่นวายบนดาวพุธและการผกผันของระบบจัดอันดับผลงานพันธุ์กล้าทำให้การทุ่มเถียงอย่างรุนแรงแพร่กระจายไปทั่วสหพันธรัฐ สำนักข่าวทั้งหลายต่างพากันตีพิมพ์และเผยแพร่บทความออกไป ผู้คนในสหพันธรัฐก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องนี้เช่นกัน ต้วนมู่ฉีถึงกับใบ้เบื้อไป เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าสถานะผู้นำแห่งสหพันธรัฐของเขา…คงจะอยู่อีกไม่นาน
สำนักข่าวหลายแห่งเริ่มพูดถึงคำสัญญาที่ต้วนมู่ฉีให้ไว้ แปลว่าใครก็ตามที่ติดตามข่าวอยู่เสมอก็จะรู้ว่า หวังเป่าเล่อจะได้รับการปูนยศอย่างใหญ่หลวงเมื่อเขากลับมา!
ผู้คนทั้งสหพันธรัฐก็พากันซุบซิบเรื่องนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งบรรดาผู้อาศัยในนครศักดิ์สิทธิ์ บิดามารดาของหวังเป่าเล่อเริ่มมีเพื่อนฝูงในเมืองบ้างและพวกเขาก็เริ่มติดตามข่าวเช่นกัน ชายหญิงชราทั้งคู่ต่างก็ดูข่าวด้วยหัวใจเต้นระทึก ไม่อาจจะวาดฝันไปถึงการที่บุตรชายคนเดียวจะได้ขึ้นเป็นผู้นำแห่งสหพันธรัฐได้เลย
แต่ทว่า สิ่งนั้นกำลังจะกลายเป็นความจริงแล้ว พวกเขารู้ดีว่าหากมันเกิดขึ้นจริงแล้ว ชีวิตของพวกเขาจะมั่นคงขึ้นเพียงใด ทั้งคู่ขณะนี้ก็ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนา แถมเพื่อนใหม่ๆ ที่เพิ่งรู้จักก็ดีจะเป็นมิตรขึ้นอย่างบอกไม่ถูก…
ขณะที่แผ่นดินสหพันธรัฐเกิดความวุ่นวายใหญ่หลวง ชีวิตของหวังเป่าเล่อบนกระบี่สำริดโบราณก็ค่อยๆ สงบลงอีกครั้ง ชายหนุ่มเริ่มการฝึกปราณอีกครั้งหนึ่ง
ตอนนี้เขาสามารถควบคุมพลังปราณขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดได้แล้ว และเริ่มวางแผนการบรรลุขั้นไปยังขั้นจุติวิญญาณ ยังคงมีปัญหาเรื่องวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคีขั้นที่สองอีกด้วย หวังเป่าเล่อยังวางแผนจะบรรลุขั้นสุดท้ายของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงด้วยเช่นกัน
ความคืบหน้าของเขาในวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิลักอัคคียังคงเชื่องช้า แต่กับกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงนั้นกลับรุดหน้าไปได้ดี อย่างไรก็ตามแต่ ความคืบหน้าในการฝึกกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงเองก็ชะลอตัวลงเช่นกัน แม้จะใกล้ถึงขั้นสุดท้ายแล้วก็ตามที พลังที่ชายหนุ่มจะได้รับมาเมื่อบรรลุขั้นสุดท้ายนั้นจะยิ่งใหญ่ยิ่งกว่ากระบวนเวทอื่นใดในตระกูลอัสนีนิรันดร์จำแลงด้วยกัน อันที่จริงแล้ว กระบวนเวทนี้ถือว่าแข็งแกร่งที่สุดในบรรดากระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงในขั้นกำเนิดแก่นในด้วยกัน
ชื่อของมันก็คือดัชนีอัสนีนิรันดร์!
สวรรค์และพื้นพิภพจะแปรเปลี่ยนไปเมื่อดัชนีอัสนีนิรันดร์ถูกปลดปล่อย! ขั้นที่สี่ของกระเบนเวทอันสีนิรันดร์จำแลงนี้มุ่งเน้นการรวมพลังไปของสายฟ้าเข้าสู่กายของผู้ใช้เพื่อสร้างดัชนีสายฟ้าที่ทรงพลัง ทำให้สามารถทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้ในพริบตา!
ความพยายามครั้งแรกๆ ของหวังเป่าเล่อทำให้เขาได้สัมผัสถึงพลังที่ถูกกักเก็บอยู่ภายในดัชนีอัสนีนิรันดร์นี้ ทำให้ชายหนุ่มมีกำลังใจในการฝึกฝนมากขึ้นไปอีก
ในที่สุดซุนไห่ก็รวบรวมแต้มการรบมาได้หนึ่งแสนห้าหมื่นแต้ม หลังจากที่ต้องทั้งร้องขอ ลักขโมย และประจบประแจง ในเวลาเดียวกันนั้น เซี่ยไห่หยางก็โอนแต้มการรบมาให้สองแสนแต้ม ที่ล้วนเป็นรายได้จากเกมทั้งสิ้น
ความร่ำรวยของหวังเป่าเล่อเพิ่มพูนขึ้นจนทะลุสี่แสนแต้มการรบไปแล้ว หากชายหนุ่มไม่ได้เป็นผู้ที่ร่ำรวยที่สุดในสำนักวังเต๋าไพศาล แต่ก็ต้องติดหนึ่งในสิบอย่างแน่นอน
หวังเป่าเล่อฝึกปราณต่อไป ในช่วงนี้ ปัญหาเรื่องสถานะของเขาก็ได้รับการแก้ไข เฟิ่งชิวหรันในที่สุดก็เสนอให้หวังเป่าเล่อรับตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุด เท่าเทียมกับอีกสามคนที่เหลือ ชายหนุ่มจะกลายมาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่แห่งสำนักวังเต๋าไพศาล เขาจะสามารถรวบรวมผู้คนมาเข้าฝ่ายของตนเองได้อีกด้วย!
หากเป็นเรื่องอื่น เมี่ยเลี่ยจื่อก็คงคัดค้านหัวชนฝา ตำแหน่งที่หวังเป่าเล่อได้รับนั้นเกินกว่าที่ชายชราจะยอมรับได้ แต่ทว่าขณะนี้นั้น…เพราะความกดดันจากสถานะของหวังเป่าเล่อที่เป็นถึงศิษย์อุปถัมภ์ เมี่ยเลี่ยจื่อทำได้เพียงต้องยอมรับข้อเสนออย่างขมขื่น เพราะในความเป็นจริงแล้ว หากสถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นในสำนักวังเต๋าไพศาลในอดีต เมี่ยเลี่ยจื่อเองก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ติดตามของศิษย์อุปถัมภ์ด้วยซ้ำ…
ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันดูเหมือนว่าจะมีมุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นของตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้พูดคุยแบ่งปันกับใคร ทั้งเฟิ่งชิวหรันและเมี่ยเลี่ยจื่อต่างก็เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ เพราะฉะนั้นก็คงไม่เป็นการควรหากโยวหรันจะแสดงความคิดเห็นอะไรอีกต่อไป เขาจึงนั่งเงียบอยู่ ขณะที่มีประกายเย็นเยียบสะท้อนอยู่ในแววตา
ผู้อาวุโสทั้งสามบรรลุฉันทามติซึ่งกันและกัน และเมื่อประกาศเรื่องนี้ออกไป ทั้งสำนักวังเต๋าไพศาลก็วุ่นวายเอิกเกริกเป็นการใหญ่!
ไม่มีใครสักคนในสำนักที่ไม่ตกตะลึงกับข่าวนี้ ทุกๆ คนรู้ดีว่าอะไรๆ ในสำนักวังเต๋าไพศาลก็กำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล!
บทที่ 619 ความทรงจำของต้นไฮยาซิน
ข่าวเรื่องผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ทำเอาสำนักวังเต๋าไพศาลวุ่นวายเป็นอันมาก และความโกลาหลยังคงแพร่กระจายต่อไป เฟิ่งชิวหรันประกาศว่าพิธีแต่งตั้งจะถูกจัดขึ้นในอีกสามวันให้หลัง บริเวณภายใต้ต้นไฮยาซินนั่นเอง!
ข่าวนี้ทำให้ศิษย์จากสหพันธรัฐในสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง หลี่อี้เงียบงันผิดปกติ นางถอนหายใจพลางพยายามควบคุมอารมณ์ แม้ว่านางจะเกลียดหวังเป่าเล่อเพียงใจ แต่นางก็ไม่อาจจะปฏิเสธช่องว่างระหว่างความสามารถที่ขวางกั้นทั้งสองอยู่ได้ เรียกได้ว่าสถานการณ์มาถึงจุดที่นางไม่อาจจะเกลียดเขาได้อีกต่อไป
นางเข้าใจสิ่งหนึ่งอย่างถ่องแท้ หลังจากพิธีการแต่งตั้ง หวังเป่าเล่อก็จะกลายเป็นผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ ชายหนุ่มจะกลายมาเป็นผู้นำของบรรดาศิษย์จากสหพันธรัฐไปโดยปริยาย!
บรรดาผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐทุกคน รวมไปถึงผู้ที่จะเข้ามาร่วมกับพวกเขาในอนาคต ก็จะล้วนตกอยู่ภายใต้การนำของหวังเป่าเล่อทั้งสิ้น พวกเขาจะกลายเป็นฝ่ายที่สี่ในสำนักวังเต๋าไพศาล ฝ่ายสหพันธรัฐ!
ในช่วงระยะเวลาสามวันต่อมา ประมุขสำนักสวีใช้เวลาส่วนใหญ่ไปที่เกาะเพลิงเขียวของหวังเป่าเล่อ เขาได้รับตำแหน่งผู้ดูแลหลักบนเกาะของหวังเป่าเล่อไปเรียบร้อย
ประมุขสวีทั้งยอมรับและรับรู้ว่าหวังเป่าเล่อมีตำแหน่งเหนือกว่า เมื่อเป็นทั้งศิษย์อุปถัมภ์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาลและผู้อาวุโสสูงสุดที่กระทั่งผู้นำแห่งสหพันธรัฐหรือผู้นำฝ่ายการเมืองใดๆ ต่างก็ต้องให้ความเคารพเป็นอย่างมาก
“หากต้วนมู่ฉีล่วงรู้เรื่องนี้ เขาจะต้องตกตะลึงอย่างแน่นอน…” ประมุขสำนักสวีพึมพำกับตนเอง ชายวัยกลางคนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกพึงใจกับเรื่องนี้อยู่อย่างลับๆ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะเคยทำลายแผนของเขาเมื่อครั้งอยู่บนดวงจันทร์โดยไม่ได้ตั้งใจ แต่แท้จริงแล้ว การแทรกแซงของต้วนมู่ฉีต่างหากที่เป็นต้นเหตุที่แผนของเขาต้องล้มเหลวไป
เพราะเหตุนี้ ประมุขสำนักสวีจึงแทบรอไม่ไหวที่จะได้เห็นต้วนมู่ฉีต้องประสบเคราะห์กรรม เขายังปรับท่าทีเมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่ออีกด้วย โดยการพยายามที่จะไม่ยกตำแหน่งหรืออาวุโสเข้าข่ม ประมุขสวีตอนนี้นั้นช่วยรับแขกเหรื่อที่เข้ามาเยี่ยมหวังเป่าเล่อกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งในช่วงสามวันนี้
หวังเป่าเล่อทั้งซาบซึ้งและสำนึกในความช่วยเหลือของประมุขสวีในครั้งนี้ การจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดทำให้ชายหนุ่มตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เขาสงสัยว่าสหพันธรัฐจะมีท่าทีเช่นไรหากเขาเดินทางกลับไปในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักวังเต๋าไพศาล
ชายหนุ่มรู้สึกมีกำลังใจขึ้นเป็นอันมาก เขายังคงรับแขกต่อไปตลอดระยะเวลาสามวัน สามวันให้หลัง พิธีการแต่งตั้งก็มาถึง!
ประชากรทั้งหมดในสำนักวังเต๋าไพศาล ประกอบด้วยผู้ฝึกตนหนึ่งล้านคน มารวมตัวกัน เป็นไปไม่ได้เลยที่เกาะหลักจะสามารถรองรับแขกเหรื่อทั้งหมดได้พอ เพราะฉะนั้น ผู้ฝึกตนจำนวนไม่น้อยจึงต้องลอยตัวอยู่กลางอากาศรอบๆ เกาะแทน สายตาทุกคู่จับต้องไปยังต้นไฮยาซินยักษ์เป็นตาเดียว!
ขณะนี้ ใต้ต้นไฮยาซินนั้นมีคนอยู่เพียงสามเท่านั้นคือเฟิ่งชิวหรัน ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน และเมี่ยเลี่ยจื่อ ทั้งสามยืนอยู่ใต้ต้นไม้ภายใต้สายตาประชาชนด้วยท่าทีขึงขัง เฟิ่งชิวหรันสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดออกมาช้า ด้วยน้ำเสียงดังสนั่นเปี่ยมด้วยอำนาจ
“ผู้อาวุโสสูงสุดหวัง โปรดก้าวออกมาข้างหน้า!”
เสียงของเฟิ่งชิวหรันดังกังวาลไปในอากาศ ไม่ว่าจะมีความรู้เช่นใดต่อเรื่องนี้ บรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่รายล้อมอยู่ก็พากันพูดตามนางเป็นเสียงเดียว
“ผู้อาวุโสสูงสุดหวัง โปรดก้าวออกมาข้างหน้า!”
สรรพสำเนียงจำนวนมหาศาลดังกึกก้องขึ้นและเงียบสงัดลง กำแพงเสียงน่าตื่นตะลึงสะท้อนก้องไปถึงสรวงสวรรค์ สายตาของทุกๆ คนหันไปยังยอดเขาหลักที่ปรากฏเงาร่างหนึ่งเดียวยืนอยู่
หวังเป่าเล่อสวมใส่ชุดสีขาวบริสุทธิ์ รูปของกระบี่สำริดเขียวโบราณที่เย็บติดอยู่กับอกส่องแสงสะท้อนไปมา ชุดคลุมของเขาดูคล้ายกับจะมีพลังประหลาดบางอย่างฉาบเคลือบอยู่ เมื่อหวังเป่าเล่อสวมใส่ชุดนี้ก็ดูราวกับว่ากายของเขาส่องแสงสว่างอันเจิดจ้าออกมาทำให้ไม่มีใครอาจจะมองไปทางเขาตรงๆ ได้
ชุดคลุมนี้เป็นสิ่งของที่สงวนเอาไว้เฉพาะผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้น ชุดคลุมเต๋าของผู้อาวุโสสูงสุด!
พิธีจะแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือหวังเป่าเล่อต้องเดินขึ้นภูเขาโดยมีทั้งสำนักเป็นสักขีพยาน เขาจะต้องไปถึงจุดในสุดของสำนักซึ่งก็คือบริเวณใต้ต้นไฮยาซิน ซึ่งเป็นจุดที่สงวนเอาไว้สำหรับผู้อาวุโสสูงสุดเท่านั้น!
จากนั้น ชายหนุ่มจะต้องเข้าคารวะต้นไฮยาซิน!
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วนจับจ้องไปที่หวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึกและอารมณ์หลากหลายที่ส่งมากับสายตาเหล่านั้น ความอิจฉา ริษยา สับสน และอื่นๆ แล้วก้าวขึ้นไป ชายพุ่งตัวขึ้นไปบนท้องฟ้า ไปถึงยอดเขาภายใต้สายตานับพันที่จ้องมอง และมาถึงหน้าผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสาม เขายืดตัวตรงและมองไปยังทั้งสาม
ผู้อาวุโสทั้งสามจ้องตอบ เมี่ยเลี่ยจื่อรู้สึกกระอักกระอ่วนและไร้พลัง เฟิ่งชิวหรันมียินดีอย่างจริงใจ ขณะที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันนั้นนิ่งสงบอย่างยิ่ง เขามีรอยยิ้มอ่อนโยนฉาบเคลือบอยู่บนใบหน้า และสายตาที่จ้องมองหวังเป่าเล่อนั้นก็เปี่ยมไปด้วยกำลังใจ
หวังเป่าเล่ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกตะหงิดๆ กับศิษย์แห่งเต๋าโยวหรัน ชายหนุ่มไม่อาจจะบอกได้ว่าความรู้สึกนี้มาจากไหน
“ผู้อาวุโสหวัง โปรดทำความเคารพต้นไฮยาซินเสีย ให้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นพยาน ว่าท่านจะกลายมาเป็นผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่แห่งสำนักวังเต๋าไพศาลโดยสมบูรณ์!” เฟิ่งชิวหรันพูดอย่างเนิบช้าด้วยสีหน้าจริงจัง
หวังเป่าเล่อผงกศีรษะ ชายหนุ่มหันกลับไปมองบรรดาศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนของสำนักวังเต๋าไพศาลที่รายล้อมตัวเขาอยู่ เขามองเห็นดวงตาทุกคู่ที่จับจ้องมองมา จากนั้น จึงหันกลับมาจ้องมองต้นไฮยาซินขนาดยักษ์ที่ยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า
ต้นไม้นี้นับเป็นต้นไม้ดึกดำบรรพ์ กาลเวลาได้ฝากร่องรอยแตกหักเอาไว้มากมายบนเปลือกไม้ที่ทั้งหนาและขรุขระ ราวกับว่าต้นไม้นี้เองก็เป็นหนึ่งในผู้อาวุโสของสำนักที่ดำรงอยู่มานานแสนนาน ที่เป็นทั้งผู้ปกปักรักษาและสักขีพยานแห่งความรุ่งโรจน์ของสำนักวังเต๋าไพศาลไปพร้อมๆ กัน
หวังเป่าเล่อจ้องมองต้นไฮยาซินก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ชายหนุ่มก้าวขาเข้าไปหาต้นไม้ยักษ์และยกมือขึ้นคารวะก่อนจะโค้งคำนับลงต่ำ ท่ามกลางสายตาของศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่รายล้อมอยู่
ทันทีที่ชายหนุ่มทำการคารวะนั้น ต้นไม้ก็เริ่มสั่นอย่างรุนแรง ท้องฟ้าและพื้นพิภพสั่นสะเทือน อากาศกลับหยุดนิ่งรวมถึงหมู่เมฆที่หยุดการเคลื่อนไหวไปจนสิ้น วงแหวนปราณแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลปรากฏขึ้นและทะเลเพลิงที่รายล้อมอยู่โดยรอบก็โหมคลั่ง ราวกับว่าโลกทั้งใบกำลังสั่นไหวอย่างรุนแรง
ทุกๆ คนมีสีหน้าตื่นตะลึง ผู้ที่ชั่งใจว่าจะยอมรับหวังเป่าเล่อในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดคนใหม่ก็พากันนิ่งงันไปสิ้น ต่างพากันจับจ้องมองดูหวังเป่าเล่อด้วยความตื่นตะลึงราวกับไม่เชื่อสายตาตนเอง
“ปราณกังวานของเขาเข้าไปเชื่อมต่อกับต้นไฮยาซินได้!”
“เขาถึงกับควบคุมวงแหวนปราณของสำนักได้เชียวหรือ!”
“ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้นเป็นของจริง!”
สถานการณ์คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นครั้งหนึ่งแล้วเมื่อหวังเป่าเล่อนำตราประจำตัวของเขาออกมาแสดงเป็นครั้งแรก แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ได้เห็นฉากนั้น ทำให้ไม่มีการตื่นตกใจเกิดขึ้นมากนัก มาบัดนี้ เมื่อทุกคนได้เห็นเองกับตา พวกเขาก็เต็มตื้นขึ้นมาจนเหลือจะกล่าว
ปราณกังวาลที่หวังเป่าเล่อเข้าถึงร่วมกันกับต้นไฮยาซินนั้นยิ่งใหญ่กว่าครั้งที่ผ่านมา ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสามยืนอยู่ใกล้ต้นไม้ที่สุดและมีระดับพลังปราณสูงที่สุด พวกเขาทั้งสามสัมผัสถึงการเชื่อมต่อระหว่างทั้งคู่ได้ชัดเจน
ทั้งสามมีสีหน้าตกใจ หวังเป่าเล่อตัวสั่นอย่างรุนแรง ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงดวงจิตประหลาดที่แยกตัวออกมาจากต้นไม้ มันลื่นไหลเข้าไปยังกระเป๋าคลังเก็บของเขาอย่างรวดเร็วก่อนจะเข้าไปในตราประจำตัวศิษย์อุปถัมภ์ที่อยู่ภายใน!
ราวกับว่าดวงจิตนั้นกำลังตรวจสอบอะไรบางอย่าง ไม่นานนัก มันก็จากมา ต้นไฮยาซินดูเหมือนว่าจะรู้ถึงสถานะของหวังเป่าเล่ออย่างแน่ชัด มันจึงเริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรงขึ้นไปอีก ก่อนที่ดวงจิตดวงเดิมนั้นจะพุ่งเข้าไปในใจของหวังเป่าเล่อ ก่อนจะฉายภาพมากมายขึ้นในศีรษะของเขา
หวังเป่าเล่อมีสีหน้าตกใจ ชายหนุ่มมองเห็นภาพมากมาย…หรืออาจจะเรียกได้ว่าเขาได้เข้าไปอยู่ในความทรงจำของต้นไม้ยักษ์ หวังเป่าเล่อมองเห็นเฟิ่งชิวหรันยืนอยู่หน้าต้นไม้เช่นเดียวกับเขานี้ แต่ในอดีต!
นางดูสาวกว่าตอนนี้ แถมยังอุ้มทารกคนหนึ่งเอาไว้ในอ้อมแขน!
เฟิ่งชิวหรันทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าต้นไฮยาซิน ด้วยสีหน้าสับสน นางพึมพำอยู่เงียบๆ ต่อหน้าต้นไม้ใหญ่!
ลมหายใจของหวังเป่าเล่อเริ่มรัวเร็ว มีอะไรบางอย่างไม่ชอบมาพากล ชายหนุ่มเริ่มจับใจความของเสียงพึมพำจากเฟิ่งชิวหรันได้…
“ข้าแต่ต้นไฮยาซินโบราณ ตระกูลไม่รู้สิ้นลอบจู่โจมพวกเราระหว่างการเดินทาง บรรดาผู้อาวุโสเจ็บหนักและเร้นกายไปจำศีล กระบี่สำริดเขียวโบราณเองก็หลุดออกจากเส้นทาง เข้าสู่ดินแดนหนึ่งที่รู้จักกันในนามระบบสุริยะ ในระบบจักรวาลนี้มีอารยธรรมอยู่ชื่อว่าสหพันธรัฐ พวกเขาค้นพบเศษด้ามกระบี่และได้เข้าสู่ยุคแห่งการฝึกปราณ…ข้าอยากจะนำทางพวกเขาสู่เส้นทางแห่งการฝึกตน และเมื่อพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น พวกเขาก็จะมาช่วยเหลือตอบแทนวังเต๋าไพศาล…สำนักวังเต๋าไพศาลก็จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลนี้ได้อย่างสมบูรณ์และลงหลักปักฐานเสียใหม่ พวกเราจะได้อยู่รอดและเติบโต และเริ่มปลูกฝังเมล็ดพันธุ์แห่งอารยธรรมของเราขึ้นใหม่ ณ ที่แห่งนี้!
“ยิ่งไปกว่านั้น ข้าสงสัยว่าอาจจะยังมีเศษซากของตระกูลไม่รู้สิ้นแอบแฝงอยู่ ณ วังเต๋าไพศาลแห่งนี้ ข้าจะหาพวกมันให้พบทั้งหมดเอง!
“เป็นเหตุว่าทำไม…ข้าจึงไม่กล้าเก็บเด็กคนนี้ไว้กับตัว ข้าอยากจะส่งเขาไปกับบรรดาผู้มาเยือนจากสหพันธรัฐ ข้าหวังจะให้เขาเติบโตขึ้นที่นั่น
“เด็กคนนี้สำคัญกับข้านัก ข้าเป็นคนเดียวในสำนักวังเต๋าไพศาลนี้ที่รู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา เขาก็คือ…ผู้ที่กลับชาติมาเกิดจากศิษย์แห่งสำนักเต๋าคนก่อน อู๋เฉิน เขาจะได้ความทรงจำทั้งหมดของเขากลับมาเมื่อเขาบรรลุขั้นเชื่อมวิญญาณ ข้าไม่กล้าให้เขาใช้ชีวิตอยู่ต่อไป ณ สำนักวังเต๋าไพศาล โปรดอนุญาตให้ข้าส่งเขาไปจากที่นี่ด้วยเถิด!
“ได้โปรดออกผลหนึ่งลูกหากท่านอนุญาต…”
บทที่ 620 เชื้อสายแห่งสหพันธรัฐ!
ภาพเหล่านั้นฉายชัดขึ้นมาในศีรษะของหวังเป่าเล่อ ราวกับว่าชายหนุ่มได้กลายเป็นต้นไฮยาซินไปในชั่วอึดใจและกำลังมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นด้วยตนเองอยู่กระนั้น!
คลื่นอารมณ์มากมายถาโถมอยู่ภายในใจหวังเป่าเล่อขณะที่เขาฟังถ้อยคำของเฟิ่งชิวหรัน ชายหนุ่มหายใจไปชั่วขณะ เขาจ้องมองไปยังเด็กทารกในอ้อมแขนของเฟิ่งชิวหรัน และมีเพียงชื่อเดียวอยู่ในใจ อู๋เฉิน!
ภาพนั้นเริ่มเลือนลางลง จากนั้นหวังเป่าเล่อมองเห็นผลไม้สุกลูกหนึ่งอยู่บนต้นไฮยาซิน มันร่วงหล่นลงมาตรงหน้าเฟิ่งชิวหรัน นางหยิบผลไม้นั้นขึ้นมาก่อนจะป้อนให้กับทารกกิน ผลไม้ละลายก่อนจะสลายหายไปอย่างรวดเร็วหลังจากที่เด็กน้อยดูดกินมันอย่างหิวกระหาย
เฟิ่งชิวหรันโน้มตัวลงคำนับอีกครั้งก่อนจาก ภาพสุดท้ายคือภาพของเฟิ่งชิวหรันที่กำลังเดินถอยห่างออกมา และภาพนั้นก็ค่อยๆ จางหายไป หวังเป่าเล่อตัวสั่นอีกครั้ง ราวกับว่าเขาเพิ่งจะตื่นขึ้นจากการท่องไปในถนนความทรงจำของต้นไฮยาซิน ดวงตาเขาเปิดชัดขึ้นอีกครั้ง เขากลับมาแล้ว มายืนอยู่บนยอดเขา ต่อหน้าศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลนับล้านที่จับจ้องมองอยู่
หวังเป่าเล่อเงียบงันอยู่นาน ชายหนุ่มต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่าจะสร่างจากอาการตื่นตะลึง เขายืนตัวขึ้นตรง หันหลังกลับไป และจ้องมองไปยังผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสาม พวกเขาดูนิ่งราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หวังเป่าเล่อได้ข้อสรุปว่า บางที…เขาอาจจะเป็นคนเดียวที่เคยเข้าไปถึงความทรงจำของต้นไฮยาซินในระหว่างที่ปราณกังวานเชื่อมเขาเข้ากับต้นไม้ยักษ์ก็เป็นได้ ด้วยเหตุที่เขาเป็นศิษย์อุปถัมภ์ ในขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสามคนเป็นเพียงศิษย์สำนักในเท่านั้น พวกเขาจึงไม่อาจจะเข้าถึงปราณกังวานที่แข็งแรงระดับเดียวกันกับชายหนุ่มได้ โอกาสที่พวกเขาจะเคยได้เห็นสิ่งที่หวังเป่าเล่อเพิ่งเห็นมานั้นมีต่ำมาก
แปลว่าเฟิ่งชิวหรันอาจจะเป็นเพียงคนเดียวที่รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงและตำแหน่งที่อยู่ของทารกคนนั้น แต่ตอนนี้หวังเป่าเล่อก็รู้แล้วเช่นกัน
หวังเป่าเล่อไม่รู้เลยว่า ศิษย์แห่งเต๋าอู๋เฉินมาปรากฏอยู่ในอ้อมแขนของเฟิ่งชิวหรันได้อย่างไร และนางอธิบายเรื่องนี้อย่างไร สิ่งเดียวที่เขารู้ก็คือผู้นำแห่งสหพันธรัฐคนก่อนหลี่ซิงเหวินเดินทางออกจากกระบี่สำริดเขียวโบราณกลับสู่สหพันธรัฐพร้อมกับทารกน้อยอยู่ในอ้อมแขน
หวังเป่าเล่อตัดสินใจกับตนเองว่าจะวางเรื่องดังกล่าวเอาไว้ก่อน ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองบรรดาผู้ฝึกตนแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลตรงหน้าเขา พวกเขาต่างเฝ้ามองดูขณะที่หวังเป่าเล่อเดินไปทางผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสาม ยกมือขึ้นประสานกัน ก่อนจะก้มโค้งคำนับต่ำ
“คารวะผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสาม”
เฟิ่งชิวหรันยิ้ม นางทักทายตอบ เมี่ยเลี่ยจื่อก็โค้งตอบอย่างไม่เต็มใจนัก ขณะที่ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันยกมือประสานตอบการคำนับเช่นกัน
“คารวะผู้อาวุโสสูงสุดหวังเป่าเล่อ!”
พวกเขายืนอยู่ข้างเคียงกันบนยอดเขานั้น การทักมายกันครั้งนี้ติดตรึงอยู่ในชั่วขณะนั้นและฝังลึกเข้าไปในความทรงจำของสานุศิษย์ที่รายล้อมอยู่ พวกเขาต่างก็เริ่มทำการคารวะตามมาในชั่วอึดใจ!
“คารวะผู้อาวุโสสูงสุดหวังเป่าเล่อ!”
เสียงของพวกเขาดังสนั่นราวกับฟ้าผ่า สะท้อนเป็นคลื่นกระจายผ่านท้องฟ้าไปไกลแสนไกล ระฆังแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลเริ่มตีเป็นเสียงก้อง พิธีการแต่งตั้งมาถึงจุดสิ้นสุด
ต่อแต่นี้เป็นต้นไป สำนักวังเต๋าไพศาลก็ไม่ถูกแบ่งออกเป็นสามฝ่ายอีกต่อไป เพราะพวกเขาได้มีผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่!
ศิษย์จากสหพันธรัฐเป็นกลุ่มที่ทำการคารวะอย่างตื่นเต้นและเสียงดังที่สุด ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ส่งยิ้มและพยักหน้าให้กันอยู่ไปมา เฟิ่งชิวหรันเป็นตัวแทนสำนักและประกาศเรื่องความเปลี่ยนแปลงและการเลื่อนตำแหน่งต่างๆ!
เกาะเพลิงเขียวจะกลายเป็นเกาะส่วนตัวของหวังเป่าเล่อ เกาะใหญ่อีกนับสิบเกาะรอบๆ สำนักวังเต๋าไพศาลก็จะไปอยู่ใต้การปกครองของเขาอีกด้วย วังหลังที่สี่สำหรับผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ก็จะถูกก่อสร้างขึ้นบนเกาะหลัก
วังนั้นจะเป็นสถานที่สำหรับให้หวังเป่าเล่อฝึกปราณ ทั้งขนาดและรูปแบบการก่อสร้างก็จะยึดถือตามมาตรฐานสูงสุดของสำนัก สำนักวังเต๋าไพศาลจะเป็นผู้หาวัตถุดิบในการก่อสร้างเองทั้งหมด
ยังมีเรื่องบรรณาการอีก หวังเป่าเล่อจะได้รับการปฏิบัติเฉกเช่นผู้อาวุโสสูงสุดคนอื่นๆ และจะได้รับสิทธิการลงคะแนนเสียงเรื่องทิศทางการพัฒนาสำนักอีกด้วย ชายหนุ่มจะได้รับมอบหมายหน้าที่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศระหว่างสหพันธรัฐกับสำนักวังเต๋าไพศาลเช่นกัน
หวังเป่าเล่อจะได้รับสิทธิการเข้าถึงข้อมูลอื่นๆ อีกด้วย ขณะนี้ อย่างน้อยๆ ก็ในนาม หวังเป่าเล่อได้กลายมาเป็นหนึ่งในสี่ผู้ปกครองสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลเรียบร้อยแล้ว!
ไม่มีใครคาดคิดเรื่องนี้มาก่อน ไม่มีใครเคยคิดเลยว่าในระยะเวลาเพียงสองปี หวังเป่าเล่อจะพัฒนาอย่างก้าวกระโดด จากคนนอกกลายเป็นผู้ที่กุมอำนาจใหญ่หลวงในสำนักได้
อันที่จริงแล้ว หากหวังเป่าเล่อบรรลุขั้นปราณไปสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณ เขาอาจจะกลายมาเป็นผู้คุมอำนาจหนึ่งเดียวในสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้ก็เป็นได้!
เฟิ่งชิวหรันประกาศจบเรียบร้อย และพิธีการแต่งตั้งก็สิ้นสุดลง ทุกๆ คนเฝ้ามองขณะที่ผู้อาวุโสสูงสุดทั้งสี่ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่ เฟิ่งชิวหรันยิ้มออกมาและส่งแผ่นหยกแผ่นหนึ่งให้หวังเป่าเล่อ
“ผู้อาวุโสหวัง ต่อไปคือการมอบตำแหน่งใหม่ ข้าให้ท่านประกาศก็แล้วกัน หากท่านต้องการจะเปลี่ยนอะไร ก็ขอให้หยุดการประกาศตรงนั้นเอาไว้ก่อน แล้วพวกเราค่อยคุยเรื่องการเปลี่ยนแปลงกันทีหลัง”
หวังเป่าเล่อมองไปทางเฟิ่งชิวหรัน แล้วความทรงจำของต้นไฮยาซินก็ซ้อนทับขึ้นมาในใจ ชายหนุ่มพยักหน้า ก่อนจะกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ แล้วจึงรับแผ่นหยกมาจากนาง หลังจากที่อ่านเนื้อความด้านใน เขาก็ยกศีรษะขึ้นจ้องมองนางอย่างตกใจ
เฟิ่งชิวหรันยิ้มอย่างเงียบเชียบขณะที่เมี่ยเลี่ยจื่อยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ศิษย์แห่งเต๋าโยวหรันเองก็มีท่าทีปกติธรรมดา แต่นัยน์ตาฉายแววให้กำลังใจ
สายตาของหวังเป่าเล่อกวาดผ่านผู้อาวุโสทั้งสามก่อนจะหันไปมองที่บรรดาศิษย์รอบกาย หลังจากที่เงียบอยู่ชั่วอึดใจ ชายหนุ่มก็เปิดปากขึ้น เสียงของเขาดังกังวานใสไปทั่ว
“กงเต๋า ก้าวออกมา!”
กงเต๋า ผู้ที่ยืนอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆ ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐ นิ่งงันไป ก่อนจะรีบรุดพุ่งตัวออกมา แล้วประสานมือทักทายหวังเป่าเล่อ
“คารวะผู้อาวุโสสูงสุด”
“ข้าขอแต่งตั้งกงเต๋าเป็นผู้อาวุโสรักษาการ และจะขึ้นเป็นผู้อาวุโสทันทีที่บรรลุขั้นจุติวิญญาณ!”
กงเต๋าตัวสั่น ก่อนจะรีบเปล่งเสียงขอบคุณทันที เขารู้ดีว่าผู้ฝึกตนในขั้นจุติวิญญาณเท่านั้นจึงจะได้เป็นผู้อาวุโสในสำนักวังเต๋าไพศาล ส่วนผู้ที่ไปถึงขั้นเชื่อมวิญญาณก็จะได้เป็นผู้อาวุโสสูงสุด…
สิทธิพิเศษต่างๆ ที่ผู้อาวุโสได้รับนั้นแตกต่างกับศิษย์ธรรมดาๆ อย่างเทียบไม่ติด แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ผู้อาวุโสรักษาการ แต่กงเต๋าเองก็สามารถจะได้รับสิทธิต่างๆ เทียบเท่ากับผู้อาวุโสคนอื่นๆ แม้จะไม่ใช่การรุดหน้าอย่างก้าวกระโดดแต่ก็ยังถือเป็นก้าวอันยิ่งใหญ่สำหรับตัวเขา
“เจ้าเยี่ยเหมิง ก้าวออกมา!” หวังเป่าเล่อยังประกาศไม่จบ เขาเรียกชื่อเพื่อนอีกคนหนึ่งหลังจากที่กงเต๋าถอยหลังไปแล้ว
เจ้าเยี่ยเหมิงเมื่อได้ยินชื่อตนเองก็สูดลมหายใจเข้าลึก นางกระโจนขึ้นไปบนอากาศก่อนจะยกมือประสาน
“ข้าขอแต่งตั้งเจ้าเยี่ยเหมิงเป็นผู้อาวุโสแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล!”
ศิษย์ที่รายล้อมอยู่แสดงอาการประหลาดใจออกมาอย่างเงียบๆ เมื่อได้ยินเสียงประกาศของหวังเป่าเล่อ ผู้อาวุโสของสำนักวังเต๋าไพศาลทุกคนต่างก็อยู่ในขั้นจุติวิญญาณ เจ้าเยี่ยเหมิงเพิ่งจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น แต่ทว่ามีหลายคนที่รู้แล้วว่าเจ้าเยี่ยเหมิงได้ตำแหน่งศิษย์สำนักในมาจากตำหนักวังบูชา จึงเข้าใจการตัดสินใจของสำนักในครั้งนี้
ระดับศิษย์สำนักในนั้นสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง ใครสักคนที่อยู่ในระดับที่สูงขนาดนั้นควรจะได้รับตำแหน่ง ไม่ควรเป็นเพียงศิษย์ธรรมดาๆ อยู่อีกต่อไป กระทั่งผู้อาวุโสรักษาการไม่ควรอย่างยิ่ง
ลมหายใจของเจ้าเยี่ยเหมิงเริ่มรัวเร็ว นางยกศีรษะขึ้นมองหวังเป่าเล่อ จากนั้นจึงยกมือขึ้นประสานแสดงความขอบคุณพร้อมกับยิ้มออกมาบางๆ แล้วจากไป หวังเป่าเล่อเริ่มอ่านต่อไป
“จากวันนี้เป็นต้นไป ผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐทุกคนที่บรรลุขั้นรากฐานตั้งมั่นขั้นสูงสุดจะได้โอกาสสามครั้งในการเข้าไปยังตำหนักแก่นในและขอความช่วยเหลือจากด้านในเพื่อบรรลุสู่ขั้นกำเนิดแก่นในได้!”
“ประมุขสำนักสวี ก่อนหน้านี้ท่านได้ยื่นคำร้องขอเข้าไปยังห้องจุติศาสตร์เวทเพื่อบรรลุขั้นการฝึกปราณ คำร้องของท่านได้รับการอนุมัติแล้ว!”
การประกาศอย่างต่อเนื่องส่งให้สำนักวังเต๋าไพศาลทั้งหมดสะเทือนไปด้วยความตื่นตะลึง บรรดาผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐต่างก็ตื่นเต้นกันเป็นอย่างมาก ของขวัญที่เฟิ่งชิวหรันมอบให้หวังเป่าเล่อชิ้นนี้ช่างเปี่ยมไปด้วยความเมตตาอย่างมาก นางให้โอกาสเขาได้อ่านประกาศ เพื่อเป็นโอกาสให้เขาแสดงถึงอำนาจและยืนยันสถานะของเขาไปในตัว!
พิธีการจบลงในที่สุด และผู้คนก็เริ่มจะสลายตัว หลังจากนั้นการก่อสร้างของโถงที่สี่ก็เริ่มต้นขึ้น หวังเป่าเล่อต้องกลับไปที่เกาะเพลิงเขียวก่อนเพื่อรอวังของเขาก่อสร้างเสร็จ ประมุขสำนักสวีก็จะเข้ามาจัดการเรื่องงานบริหารให้แทน
เมื่อกลับมาถึงเกาะเพลิงเขียว หวังเป่าเล่อก็กลับไปยังถ้ำที่พัก ก่อนจะเริ่มตัวสั่น ราวกับว่าเขาได้กักเก็บอารมณ์เอาไว้ภายในมานานเกินไป ทำให้มีอะไรบางอย่างระเบิดขึ้นภายในทำให้การหายใจเขาหนักหน่วง ความคิดมากมายไหลบ่าผ่านใจเขา
หลี่อู๋เฉิน…ต้องเป็นเขาแน่ๆ เขาจริงๆ หรือที่เป็น…ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลที่กลับชาติมาเกิด! ข้อมูลนี้สร้างความตื่นตระหนกให้หวังเป่าเล่อมากเกินไป ชายหนุ่มยังไม่อาจยอมรับได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าประสบการณ์ของเขาในตำหนักวังเต๋าไพศาล ชายหนุ่มรู้ดีว่าศิษย์แห่งเต๋าไพศาลนั้นมีอำนาจและพลังมากมายเพียงใด ศิษย์แห่งเต๋าไพศาลนั้นเรียกได้ว่าถือโลกทั้งใบเอาไว้ในกำมือ
ชายหนุ่มไม่อาจจะยอมรับได้ เขาคิดไปถึงความยากลำบาก สถานการณ์เฉียดตายที่เขาต้องผ่านมาเพื่อจะได้ระดับศิษย์อุปถัมภ์มาครอบครอง ฝ่ายหลี่อู๋เฉินนั้น เกิดมาก็เป็นศิษย์แห่งเต๋าไพศาลเลย…ที่ร้ายไปกว่านั้นก็คือความบาดหมางระหว่างทั้งคู่ หวังเป่าเล่อเริ่มจะปวดศีรษะ
ไม่ว่าใครที่มีตาก็บอกได้ว่าหลี่อู๋เฉินนั้นไม่หล่อ ไม่ได้ใจดี หรือใจกว้างเท่ากับข้า เขาทั้งใจแคบและเจ้าคิดเจ้าแค้น เขาจะต้องมาหาเรื่องข้าแน่ๆ เมื่อได้ความทรงจำกลับคืนมา…หวังเป่าเล่อหัวเสียเป็นอย่างยิ่ง
บทที่ 621 มังกรรูปหล่อเดียวดาย!
หวังเป่าเล่อคร่ำครวญกับความไม่ยุติธรรมของโชคชะตา ชายหนุ่มได้เพียงทอดถอนใจอย่างเหนื่อยหน่ายและรู้สึกไร้เรี่ยวแรงอย่างประหลาด
“คิดดูเสีย ข้า หวังเป่าเล่อ ผู้นำแห่งสหพันธรัฐ ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล ข้าทำงานเหนื่อยยากมาทั้งชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีขณะนี้ก็แลกมาด้วยโลหิต หงาดเหงื่อ และหยดน้ำตาสิ้น ข้าเดินลุยไฟ ทีละก้าวๆ โดยไม่มีใครคอยช่วยเหลือ ราวกับมังกรรูปหล่อผู้เดียวดาย ต่อสู้กับคมเขี้ยวของโชคชะตา กว่าจะมายืนอยู่ตรงจุดนี้ได้!” หวังเป่าเล่อยืนอยู่ตรงทางเข้าของถ้ำที่พัก ยกมือไพล่หลังและแหงนหน้ามองฟ้า คร่ำครวญกับตัวเองด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
ภาพของทั้งชีวิตเขาฉายชัดขึ้นมาในดวงตา หวังเป่าเล่อจำได้ถึงความเหงาอันลุ่มลึกที่เขารู้สึก ทั้งทางกายและทางวิญญาณ ขณะที่ชายหนุ่มเดินทางมาบนหนทางแห่งความเดียวดายตามลำพัง
“หลี่อู๋เฉินเสียอีก เกิดมาก็ได้ตำแหน่งศิษย์แห่งเต๋าแล้ว และก็จะได้ความทรงจำกลับคืนมาเมื่อเขาบรรลุขั้น เขาก็จะกลายมาเป็นผู้กุมอำนาจหนึ่งเดียวแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล!
“โชคชะตาช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!
“ชีวิตก็เป็นเช่นนี้ ช่างไร้ความเป็นธรรม!”
กำปั้นขวาของหวังเป่าเล่อพุ่งไปกระแทกกำแพงข้างๆ กายเขา ถ้ำที่พักทั้งหลังสั่นไหวอย่างรุนแรงพร้อมๆ กับภูเขาที่มันตั้งอยู่ ราวกับว่าหวังเป่าเล่อพยายามจะระบายความอัดอั้นตันใจออกมา
แต่เท่านั้นยังไม่พอ หวังเป่าเล่อกำลังจะร้องออกมาอีกครั้งให้กับความโกรธเกรี้ยวและเศร้าสร้อยที่เขารู้สึกและอยากจะร้องขอคำตอบจากสวรรค์เมื่อแม่นางน้อยกระแอมกระไอขึ้นมาในศีรษะเขา
“พอได้แล้ว! เจ้าเชื่อทุกอย่างตามที่เจ้าเพิ่งพูดมาจริงๆ อย่างนั้นหรือ เจ้าเป็นบ้าอะไรกัน…ข้าไม่ใช่มนุษย์หรืออย่างไร ศิษย์พี่ของเจ้าไม่ใช่มนุษย์หรือ แล้วหลี่ซิงเหวินเล่า เจ้านครอาณานิคมดาวอังคาร ลองพูดอีกสิว่าไม่มีใครคอยช่วยเหลือเจ้าเลย!”
หวังเป่าเล่อเงียบงันไปเมื่อได้ยินถ้อยคำของแม่นางน้อย แต่ชายหนุ่มก็ไร้ยางอาย เขากระแอมและไม่ได้ตอบนาง แต่กลับเลือกที่จะจมอยู่กับอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาก่อนหน้านี้ แม้ว่าอาจจะเป็นการยากสำหรับใครคนอื่น ที่เพิ่งถูกต่อว่าไปว่าสิ่งที่คิดนั้นไม่เป็นความจริง แต่สำหรับหวังเป่าเล่อแล้วช่างง่ายดายยิ่ง
“ถึงเจ้าหัวโล้นเฉินจะเป็นศิษย์แห่งเต๋า แต่เขาก็ยังไม่ตื่นขึ้นมา ส่วนข้านั้นขณะนี้เป็นศิษย์อุปถัมภ์อนาคตไกล เขาไม่เป็นปัญหาสำหรับข้าเลยแม้แต่น้อย ต่อให้เขาได้ความทรงจำกลับมาก็แล้วจะทำไมกัน ถึงเขาจะเป็นศิษย์แห่งเต๋า แต่ข้าก็เป็นบุตรแห่งความมืด อีกอย่าง เราก็ไม่มีความบาดหมางร้ายแรงต่อกันสักหน่อย” เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังเป่าเล่อก็ยกมือตบพุงอย่างและเลิกกังวลใจไปได้
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว การก่อสร้างวังของเขาก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นเพราะการทำงานหนักอย่างสม่ำเสมอของผู้ฝึกตนสำนักวังเต๋าไพศาล ขนาดและรูปแบบของมันเหมือนกับวังอีกสามแห่งของผู้อาวุโสสูงสุดอีกสามคนไม่มีผิดเพี้ยน ทั้งใหญ่โตโอฬารและหรูหรา พวกเขายังสร้างรูปปั้นของชายหนุ่มเอาไว้หน้าวังอีกด้วย
รูปปั้นนั้นจะช่วยให้ผู้ฝึกตนจากสำนักวังเต๋าไพศาลที่เดินผ่านไปผ่านมามีความกลัวเกรงและเคารพหวังเป่าเล่อยิ่งๆ ขึ้นไป ยังมีการหลอมวงแหวนปราณจำนวนมากขึ้นห้อมล้อมส่วนหลักของวังเอาไว้อีกด้วย วงแหวนปราณเหล่านั้นเชื่อมต่อกับวงแหวนปราณแห่งสำนักวังเต๋าไพศาลโดยตรง ตราบใดที่หวังเป่าเล่ออยู่ในวัง และตราบเท่าที่วงแหวนปราณนั้นเปิดอยู่ ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณก็ไม่อาจสัมผัสเขาได้แม้แต่ปลายก้อย!
ทรัพยากรที่ต้องใช้ไปกับการหลอมวงแหวนปราณและสร้างวังนั้นแน่นอนว่ามหาศาลนัก หลังจากที่ได้รับกุญแจสำหรับวงแหวนปราณ หวังเป่าเล่อก็รีบรุดไปตรวจดูความเรียบร้อยของวัง ชายหนุ่มปลื้มใจกับผลงานไม่ใช่น้อย
ไม่นานนักเขาก็ย้ายออกจากเกาะเพลิงเขียวเข้าไปอยู่ในวัง ศิษย์จากสหพันธรัฐก็เริ่มมาเยี่ยมเยียนเขาที่นั่นแทน ในเวลาหนึ่งสัปดาห์ทุกอย่างก็กลับมาเรียบร้อย ศิษย์คนอื่นๆ ในสำนักวังเต๋าไพศาลก็เริ่มจะชินกับตำแหน่งใหม่ของชายหนุ่มแล้วเช่นกัน
หวังเป่าเล่อได้ประกาศระหว่างพิธีว่าตำหนักแก่นในและห้องจุติศาสตร์เวทนั้นจะเปิดรับผู้ฝึกตนจากสหพันธรัฐที่พลังปราณถึงเกณฑ์ ศิษย์จากสหพันธรัฐมากมายก็เริ่มมาใช้ห้องทั้งสองนี้เพื่อพยายามจะบรรลุขั้นให้ได้
จั่วอี้ฟานเป็นคนแรกที่มาและยังคงถือสันโดษอยู่ ประมุขสำนักสวีจากสำนักรุ่งสางจักรพิภพก็เป็นคนแรกที่เข้าไปในห้องจุติศาสตร์เวทและพยายามจะบรรลุขั้น
หวังเป่าเล่อเองไม่ได้เข้าไปในห้องจุติศาสตร์เวทในทันที ชายหนุ่มเพิ่งจะบรรลุไปสู่ขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุด และพลังปราณของเขาตอนนี้ก็ยังไม่คงที่พอ สิ่งที่เขาต้องทำในขณะนี้ก็คือพยายามขัดเกลาพลังเทพของตนเองและฝึกพลังปราณให้ขึ้นไปสู่จุดสูงสุดของขั้นปัจจุบัน
เวลาผ่านไป สิ่งต่างๆ ก็เริ่มจะลงตัว หวังเป่าเล่อจะได้รับรายงานเป็นครั้งคราวจากศิษย์ของสหพันธรัฐบางคน แต่เขาก็หมดเวลาส่วนใหญ่ไปกับการฝึกฝนขั้นสุดท้ายของกระบวนเวทอัสนีนิรันดร์จำแลงและขั้นที่สองของวิชาสืบทอดเกราะจักรพรรดิ
ความคืบหน้าของการฝึกวิชาทั้งสองดำเนินไปอย่างเชื่องช้า หวังเป่าเล่อรู้ดีว่าเขาไม่ควรจะเร่งรีบเกินไปนัก ชายหนุ่มจึงค่อยๆ แกะไปทีละขั้นตอนอย่างไม่กดดันตัวเอง เหตุการดำเนินไปเช่นนี้อีกหนึ่งเดือน จั่วอี้ฟานออกมาจากการถือสันโดษ เขาบรรลุจากขั้นรากฐานตั้งมั่นสู่ขั้นกำเนิดแก่นในได้สำเร็จ!
ชายหนุ่มยังได้รับวิชาสืบทอดมาจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้นอีกด้วย ทันทีที่จั่วอี้ฟานเลิกถือสันโดษ หวังเป่าเล่อก็ติดต่อเฟิ่งชิวหรันทันที เพราะจั่วอี้ฟานเองก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้อาวุโสรักษาการเช่นเดียวกันกับกงเต๋า
จากนั้นหวังเป่าเล่อจึงส่งแต้มการรบให้จั่วอี้ฟานยืมไปจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยในการฝึกปราณ เหตุผลที่เขาให้ยืมแต่ไม่ให้ไปเปล่าเป็นเพราะว่า หวังเป่าเล่อเคยอ่านอัตชีวประวัติเจ้าพนักงานระดับสูงมา เขารู้ว่าเพื่อนไม่ควรให้เงินเพื่อนไปเปล่าๆ แม้ว่าในครั้งแรกอาจดูเหมือนเป็นการช่วยเหลือที่ควรค่าแก่การรู้คุณ ในครั้งที่สองเพื่อนก็คงจะชอบพอไม่น้อย แต่เมื่อหลายครั้งเข้า เพื่อนก็จะเริ่มเสียคน
อันที่จริงแล้ว หากอยากจะทำให้ใครสักคนหมดค่า วิธีที่ดีที่สุดก็คือทำให้เขาคุ้นเคยกับการได้รับโดยไม่ต้องลงทุนลงแรง ใครคนนั้น…ก็จะกลายเป็นขยะไปโดยสมบูรณ์
ด้วยอายุเพียงเท่านี้ หวังเป่าเล่อยังไม่อาจจะเข้าใจได้หมด แต่ชายหนุ่มก็มีนิสัยอยู่อย่างหนึ่ง หากมีสิ่งใดก็ตามที่เขาไม่รู้ไม่เข้าใจ เขาก็จะทำตามสิ่งที่ถูกเขียนเอาไว้ในอัตชีวประวัติเหล่านี้ จากที่ทดลองมาหลายครั้ง หวังเป่าเล่อก็ยังไม่เคยผิดหวังสักที
ความสำเร็จของจั่วอี้ฟานไม่เรื่องดีเรื่องเดียวที่เกิดขึ้นกับสหพันธรัฐ ไม่นานนัก ประมุขสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพ หนึ่งในผู้นำพายุคกำเนิดวิญญาณเข้าสู่สหพันธรัฐในยุคแรก ในที่สุดก็บรรลุขั้นการฝึกปราณหลังจากที่ถือสันโดษในห้องจุติศาสตร์เวท อาจเป็นเพราะรากฐานที่เขาได้วางมาไว้อย่างดีแล้วก็เป็นได้ จึงทำให้เขาบรรลุขั้นจุติวิญญาณได้อย่างไร้ปัญหา!
การบรรลุขั้นของเขาแตกต่างจากการบรรขั้นของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณจากสำนักวังเต๋าไพศาลคนอื่นๆ รากฐานที่เข้มแข็งนั้นทำให้มีแรงสั่นสะเทือนที่รุนแรงยิ่งกว่าใครสะท้อนออกไปไกล แม้ว่าเขาจะเพิ่งอยู่ในขั้นจุติวิญญาณขั้นต้น แต่พลังที่เปล่งออกมาจากกายนั้นก็เทียบเท่าผู้ฝึกตนในขั้นจุติวิญญาณขั้นกลางเลยทีเดียว
หวังเป่าเล่อตกตะลึงเมื่อได้มองเห็นการบรรลุขั้นนั้น ชายหนุ่มนึกย้อนไปถึงช่วงการบรรลุขั้นของหลี่ซิงเหวินและต้วนมู่ฉี ประสาทสัมผัสของเขาในตอนนั้นยังไม่ดีนัก จึงรับรู้ได้เพียงว่าทั้งคู่แข็งแกร่ง มาบัดนี้ เมื่อมีตัวเปรียบเทียบ หวังเป่าเล่อจึงเพิ่งจะได้รู้ว่าเขาอาจจะดูเบาทั้งต้วนมู่ฉีและหลี่ซิงเหวินมากเกินไป
ทั้งคู่ต่างก็มีพรสวรรค์สูงกว่าประมุขสวีอย่างเห็นได้ชัด พลังของพวกเขานั้นแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทั่วๆ ไปอย่างชัดเจน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขายังมีเวลาอีกสองปีในการควบคุมปราณให้เข้าที่ หวังเป่าเล่อก็ไม่อาจจะแน่ใจได้ว่าเขาจะสามารถต่อสู้เอาชนะทั้งคู่ได้หรือไม่หากต้องพบกันอีกครั้งหนึ่ง
หวังเป่าเล่ออดไม่ได้ที่จะรู้สึกถูกคุกคาม แต่ถึงกระนั้น การบรรลุขั้นของประมุขสำนักสวีก็เป็นข่าวดีสำหรับฝ่ายสหพันธรัฐในสำนักวังเต๋าไพศาล ชายหนุ่มมอบตำแหน่งผู้อาวุโสให้กับประมุขสำนักด้วยตนเอง บัดนี้ มีผู้อาวุโสภายใต้หวังเป่าเล่อแล้วถึงสองคน
เขายังได้มีรักษาการผู้อาวุโสอีกสองคนและศิษย์จำนวนนับไม่ถ้วนที่กำลังจะบรรลุขั้นกำเนิดแก่นใน แม้พวกเขาจะต้องการเวลาแต่ฝ่ายสหพันธรัฐก็เริ่มจะมีกำลังเข้มแข็งขึ้นทีละน้อย
หวังเป่าเล่อได้เสนอเรื่องการพาพันธุ์กล้าแห่งสหพันธรัฐรุ่นที่สามมาแล้ว การนี้จะช่วยเพิ่มพลังให้ฝ่ายเขาเป็นอย่างมาก การสนับสนุนจากเฟิ่งชิวหรันทำให้เมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้ซึ่งแม้จะไม่พอใจ ก็จำจะต้องเห็นด้วยกับข้อเสนอ หวังเป่าเล่อขณะนี้กลายมาเป็นเสี้ยนหนามที่คอยทิ่มตำเขาอยู่ไม่หยุดหย่อน
หลังจากที่ได้รับตำแหน่งผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ หวังเป่าเล่อก็เริ่มคิดอย่างจริงจังเกี่ยวกับอนาคตของฝ่ายตนเอง ชายหนุ่มได้ปรึกษาเรื่องนี้กับประมุขสำนักสวี หลังจากที่แต่งตั้งประมุขขึ้นเป็นผู้อาวุโส หวังเป่าเล่อก็ออกประกาศสามฉบับในฐานะผู้อาวุโสสูงสุด
ประกาศสามฉบับนั้นก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งสำนัก!
ฉบับแรกเป็นการประกาศการขยายตัวของเครือข่ายวิญญาณ หวังเป่าเล่อหนุนให้คนเริ่มลงทุนทำธุรกิจ ลดความยากในการเข้าถึง และยังอนุญาตให้ศิษย์สำนักวังเต๋าไพศาลเปิดร้านของตัวเองบนเครือข่ายวิญญาณได้อีกด้วย เป็นการกระตุ้นการแลกเปลี่ยนทรัพยากรแถมยังเป็นการเปิดโอกาสให้เหล่าศิษย์ได้ทำกำไรจากการค้าบนเครือข่ายวิญญาณอีกด้วย!
จินตั้วหมิงเคยลองทำเช่นนี้มาแล้วในอดีตแต่ไม่ประสบความสำเร็จนัก สาเหตุหลักคงเป็นเพราะการขาดอำนาจบารมี ทำให้ดูเหมือนกับว่าชายหนุ่มเอาแต่ตะโกนโวยวายเกี่ยวกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง ผลกระทบนั้นย่อมจะไม่รุนแรงเท่าประกาศอย่างเป็นทางการจากหวังเป่าเล่อในฐานะผู้อาวุโสสูงสุดแน่นอน
ขณะนี้ เมื่อมีการสนับสนุนจากหวังเป่าเล่อหนุนหลัง โอกาสเจริญเติบโตอย่างยั่งยืนของเครือข่ายวิญญาณจึงดูใกล้ความเป็นจริงขึ้น ทันทีที่รากฐานและโครงสร้างของมันพร้อม เครือข่ายวิญญาณก็จะกลายมาเป็นส่วนหนึ่งที่สำนักวังเต๋าไพศาลจะขาดไปเสียไม่ได้อย่างแน่นอน!
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น