ยอดไทเฮาเขย่าวังหลัง 615-624
ตอนที่ 615 สิ่งที่โผล่ออกมาจากกระถางด...
พอนางขยับตัวถึงได้รู้สึกว่าทั่วทั้งร่างระบมจนปวดไปทั้งหลังไหล่ ราวกับว่าถูกเครื่องมือหนักๆบางอย่างกดทับ
ความรู้สึกเช่นนี้ทำเอานางต้องตื่นตระหนกขึ้นมา….
เมื่อคืนนี้ เอาแล้วไง ดูท่าคงจะเกิดเรื่องอะไรที่มิได้คาดฝันขึ้นมากระมัง?
หรือว่าเมื่อคืนนางจะโดนวางยาบางอย่าง จากนั้นก็ไปกระโดดโลดเต้นอยู่กลางลานกว้างกับพี่สาวต๋าจี่?
เพราะว่า แววตาที่พี่สาวต๋าจี่มองมาที่นางในตอนนี้ ช่างเปี่ยมล้นไปด้วยความรักอันร้อนแรงเสียเหลือเกิน!
พอได้สติ สิ่งที่นางทำคือจับชายแขนเสื้อของตนเองขึ้นมา ยื่นส่งไปที่เบื้องหน้าของต๋าจี่
“ในเมื่อเรื่องก็เกิดขึ้นไปแล้ว …..พี่สาวต๋าจี่มิสู้ประทับชื่อลงบนตรงนี้หน่อยเป็นไง?”
ถึงอย่างไรก็เคยไปกระโดดโลดเต้นบนลานมาด้วยกัน…..
ซูจี่ “……”
ตอนที่เจ้าเสือดำกลับมา ก็บอกว่าสมองของฮ่องเต้หญิงผู้นี่ค่อนข้างมีปัญหา ตอนแรกนางยังไม่คิดจะเชื่อ แต่ว่าตอนนี้ดูแล้ว สิ่งที่เจ้าเสือดำเล่าออกมามิได้มีสิ่งใดเป็นเท็จแม้แต่อย่างเดียว
คาดว่า สมองของนางคงจะถูกลาถีบมาอย่างแน่นอน
“เมื่อคืนนี้…. เจ้าดูดซับพลังของบุปผาวิญญาณของข้าไปจนหมด” ซูจี่คือจิ้งจอกเก้าหางที่ไม่เคยพูดจาอ้อมค้อมมาก่อนอยู่แล้ว
ท่อนขาที่เรียวยาวของนางพาดอยู่บนหัวเตียงของตู๋กูซิงหลัน
เรียวขาที่ทั้งยาวตรงและขาวสะอาด ดูแล้วนุ่มนวลเหมือนดั่งเต้าหู้!
ตู๋กูซิงหลันมองดูจนตกตะลึงไปแล้ว
ขาที่สวยงามขนาดนี้ ….ไม่ได้ไปถีบจักรยานสามล้อ ดูแล้วช่างน่าเสียดายเสียเหลือเกิน!
ตู๋กูซิงหลันได้แต่แสร้งเป็นโง่งม ทำหน้าหนาไม่เข้าอกเข้าใจอะไรทั้งสิ้น
นางไม่รู้จริงๆว่าเมื่อคืนนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้น เมื่อตนใช้กลยุทธ์สงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว พี่สาวต๋าจี่ย่อมต้องเป็นฝ่ายบอกออกมา
พอนางค่อยๆยกมือขึ้นมา แต่มือก็เหมือนถูกทับจนบี้แบน
ทำให้นางนึกถึงเรื่องในความฝันขึ้นมาได้ นางถูกอาจารย์ซัดใส่ไปหนึ่งฝ่ามือ
ที่กระดูกยังไม่หักจนหมดสิ้นก็ต้องนับว่า ในโชคร้ายมีความโชคดีอย่างที่สุดแล้ว
ความฝันนั้น…..จนถึงตอนนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกมึนงงอยู่ไม่หาย
นางรู้สึกว่ามันสมจริงจนเกินไป
ซูจี่เห็นสีหน้าที่งุนงงของนาง ก็เอ่ยอีกว่า “ข้าเคยได้ยินเสี่ยวเยาบอกว่า เจ้ามีคฑาที่พิเศษอย่างยิ่งอยู่ด้ามหนึ่ง”
ซูจี่เข้าใจไปว่าไม้คฑาของนางดูดซับพลังวิญญาณในสวนดอกไม้ทั้งหมดเข้าไป
หุบเขาหมื่นปีศาจทั้งหมดอาศัยบุปผาวิญญาณเหล่านี้หล่อเลี้ยง ตอนนี้อยู่ๆก็ถูกดูดซับจนแห้งเหือดไปในคืนเดียว นางย่อมต้องหาสาเหตุออกมาให้ได้
ตู๋กูซิงหลันรีบส่ายศีรษะขึ้นมาในทันที “ไม่มีทางเป็นเพราะมัน”
คฑาแห่งความมืดด้ามนั้น ไม่เคยปรากฏตัวขึ้นมาด้วยตนเองมาก่อน ทุกครั้งล้วนเป็นนางใช้พลังวิญญาณของตนเองปลุกมันขึ้นมา มันถึงได้กลายเป็นศาสตราวุธ
หากไม่มีการชักนำจากนาง คฑาแห่งความมืดด้ามนั้นก็จะเป็นเหมือนท่อนไม้ชิ้นหนึ่ง ไม่มีประโยชน์ใดๆทั้งสิ้น
มันย่อมไม่สามารถไปดูดซับพลังวิญญาณจนหมดสิ้นภายในค่ำคืนเดียว
ทันใดนั้น ตู๋กูซิงหลันก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ ร่างน้อยๆของนางนั่งตัวตรงขึ้นมาในทันที
นางยื่นมือลงไป ฉวยเอาถุงเฉียนคุนขึ้นมา
นับตั้งแต่ที่ท่านเจ้าสำนักผู้นั้นปรากฏตัวขึ้นมา นางก็หอบหิ้วกระถางดอกไม้ใบนี้ออกมาดูอยู่หลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ไม่ปรากฏผลอะไร จนนางไม่ได้นำกระถางใบนี้ออกมาดูพักหนึ่งแล้ว
เพราะในจิตสำนึกของนางยึดถือเอาท่านเจ้าสำนักผู้นี้เป็นร่างที่หลอมรวมกันของจีเฉวียนและอาจารย์ไปแล้ว
ทั้งยังพยายามคิดหาหนทางให้เขาฟื้นฟูความทรงจำอีกด้วย
แต่ว่าในโลกนี้สิ่งที่สามารถดูดซับพลังวิญญาณได้ก็คือสิ่งมีชีวิต
หากจะพูดถึง ‘สิ่งมีชีวิต ’ ที่อยู่ในถุงเฉียนคุนของนาง ก็คงจะมีแต่ศิลาโลหิตที่อาจารย์ทิ้งไว้ให้
ขณะที่คลำเจอกระถางดอกไม้ หัวใจของนางก็เต้นเสียงดังตึกตักขึ้นมา
นางผิดหวังไปแล้วหลายต่อหลายครั้ง ความผิดหวังในแต่ละครั้งล้วนรุนแรง
เมื่อความผิดหวังยิ่งทียิ่งมาก ในใจก็ยิ่งไม่กล้าจะไปคาดหวังอะไรอีกแล้ว
แต่ว่าครั้งนี้ ความรู้สึกยามที่สัมผัสถูกกระถางดอกไม้กลับไม่เหมือนเดิม
มันอุ่นจนร้อนระอุ ราวกับว่าผ่านการหลอมออกมาจากเปลวไฟ
ไม่รู้ว่าทำไม มือของนางถึงได้เกิดอาการแข็งค้างขึ้นมา
หรือว่าครั้งนี้ ศิลาโลหิตจะผลิบานขึ้นมาจริงๆ?
ตู๋กูซิงหลันคิดเช่นนี้อยู่ในใจ
กระถางดอกไม้ถูกยกออกมาจากถุงเฉียนฉุนเพียงครึ่งเดียว
กระถางหยกที่เคยเป็นสีขาวใส ยามนี้เปลี่ยนเป็นสีดำทองไปแล้ว
หัวใจของตู๋กูซิงหลันต้องเต้นเร็วกว่าเดิม มันแทบจะกระดอนออกมาจากลำคออยู่แล้ว
นางกลั้นลมหายใจเอาไว้ ไม่กล้าหยิบกระถางดอกไม้ออกมาอย่างเร็วๆ ได้แต่นำมันออกมาทีละนิดๆ
ซูจี่ที่มองดูอยู่ด้านข้างต้องรำคาญใจขึ้นมา
เอาออกมาทีละนิดๆเช่นนี้ ช่างทรมานผู้คน!
ดังนั้นนางจึงคว้าท่อนแขนของตู๋กูซิงหลันกระชากขึ้นอย่างแรง
ทันทีที่ดึงขึ้น กระถางทั้งใบก็ปรากฏออกมาสู่สายตาของพวกนาง
กระถางดอกไม้กลายเป็นสีดำอมทองทั้งใบ จากเดิมทีที่เป็นกระถางหยก ตอนนี้มันกลับดูเหมือนหลอมขึ้นจากทองคำมากกว่า
รอบนอกของกระถางมีหมอกดำรายล้อมอยู่ชั้นหนึ่ง หมอกดำนั้นเข้มข้นอย่างยิ่งจึงทำให้มองไม่เห็นสภาพของสิ่งที่อยู่ภายใน
คราวนี้ แววตาของตู๋กูซิงหลันถึงกับเป็นประกายแวววาวขึ้นมา
ในที่สุดกระถางดอกไม้ที่ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆมานานปีก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงแล้ว!
ในใจของนางเกิดความคาดหวังขึ้นมาทันที แม้แต่ลมหายใจก็ชะงักไปหลายส่วน เพราะกลัวว่าจะไปรบกวนสิ่งที่อยู่ภายในกระถาง
นางยื่นปลายนิ้วออกมา ส่งเข้าไปในหมอกสีดำ จากนั้นก็ขยับไปมาคลำดูอย่างแผ่วเบา
ปลายนิ้วสัมผัสกับอะไรที่เรียบลื่น มีเนื้อนุ่มนิ่ม
ในชั่วแวบนั้น นางพลันเกิดความสงสัยขึ้นมา อย่าบอกนะว่ากระถางดอกไม้นี้…..กำลังมีก้อนเนื้องอกเงย
อืม เกือบจะคิดอย่างนั้นขึ้นมาแล้ว
ซูจี่เห็นสีหน้าของถึงกับเปลี่ยนแปลงไปอย่างหลากหลาย แต่ไม่ว่าจะเปลี่ยนเป็นแบบไหน ก็ล้วนแล้วแต่มีความระมัดระวังและตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา
ที่นางถือเอาไว้ในมือ มันก็แค่กระถางดอกไม้ใบหนึ่ง ไยต้องทำเหมือนว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดบนโลกใบนี้
นางสงสัยจริงๆ กระถางดอกไม้ใบหนึ่ง มันจะสามารถมียอดบุรุษโผล่ออกมาได้หรืออย่างไร?
ไม่อาจโทษว่าซูจี่ที่คิดไปไกลเช่นนั้น เพราะในยามนี้ดวงตาน้อยๆทั้งคู่ของตู๋กูซิงหลันกำลังแฝงความหมายอยู่เช่นนี้จริงๆ
ด้านตู๋กูซิงหลันก็ลูบๆคลำอยู่หลายครั้ง สัมผัสดูก้อนเนื้อในนั้นจดเกิดความแน่ใจ
เป็นก้อนเนื้อนุ่มๆ ที่มีขนเยอะจนฟูหนา
แต่ไม่รู้ว่าทำไม ความรู้สึกที่ได้ถึงได้ดูเหมือนคุ้นมือเช่นนี้
กลับเป็นซูจี่ที่ทนดูต่อไปไม่ไหว โบกมือครั้งหนึ่ง จนเกิดลมพัดหอบใหญ่ออกมา
ตู๋กูซิงหลันรีบกอดกระถางใบนั้นเอาไว้ ด้วยเกรงว่าลมจะหอบมันลอยออกไป
แต่แล้วหมอกสีดำที่รายล้อมอยู่รอบกระถางกลับถูกสายลมที่รุนแรงพัดกระจายไปจนหมดสิ้น
สิ่งที่อยู่ข้างในเริ่มกระดุกกระดิกไปมา จากนั้นก็ขดตัวเป็นก้อนกลม กลิ้งออกมาจากกระถาง
ก้อนดำๆกลมๆนั้น กลิ้งหลุนๆไป ราวกับด้วงมูลตัวใหญ่
ตู๋กูซิงหลันมองดู ‘ด้วงมูล’ ที่กลิ้งไปจนทั่วทั้งห้อง ทั้งมุมปากและหางตาถึงกับกระตุกไม่ยอมหยุด
ซูจี่หรี่ดวงตาจิ้งจอกทั้งคู่ลง สองมือกอดอกเอาไว้ พิงร่างกับขอบเตียง
“ตกลงแล้ว กระถางดอกไม้ที่เจ้าเฝ้าทนุถนอมมาตลอด ปลูกเจ้าของเล่นนั้นเอาไว้หรือ?”
พอมองดูเจ้าก้อนกลมๆที่เหมือนกับด้วงมูลนั่น ซูจี่ก็ต้องสงสัยขึ้นมา
ไม่ใช่ว่านางอยากจะดูถูกหรอกนะ เพียงแต่รู้สึกว่ามันน่าขำอยู่บ้าง
ช่างเป็นเรื่องบังเอิญเหลือเกิน ที่ซูจี่และตู๋กูซิงหลันต่างก็คิดใคร่ครวญจากรูปร่างว่าสิ่งนี้คืออะไรไปนทางเดียวกัน
“หุบเขาหมื่นปีศาจของข้าก็มีปีศาจด้วงมูลอยู่เหมือนกัน แต่ดูไปแล้วยังหน้าตาดีกว่าเจ้านี่มากนัก เจ้าลองเลี้ยงดูมันไปอีกสักพันแปดร้อยปี ถึงตอนนั้นพอกลายเป็นปีศาจ หน้าตาก็คงจะพอดูได้อยู่บ้าง”
ตู๋กูซิงหลัน “…..”
ตอนนี้นางรู้สึกตกอยู่ในวังวนของความงุนงงหนักกว่าเดิม
แล้วอาจารย์ที่เคยบอกว่าจะกลับมาละ?
ไอ้ก้อนเนื้อนั่นไม่ได้ช่วยอะไรเลยหรือ?
ทำไมถึงได้มีด้วงอึตัวหนึ่งกระโดดออกมาแทน?
ตอนที่ 616 พันธมิตรแห่งการแก้แค้น
หลังจากที่กลิ้งไปกลิ้งมาจนทั่วห้องอยู่ครู่หนึ่ง ‘ด้วงมูล’ ที่ถูกโฉมงามล้ำโลกทั้งสองคนจับจ้อง ก็ค่อยกลิ้งมาหยุดลงที่ข้างเตียงของตู๋กูซิงหลัน
ร่างอ้วนกลมเป็นลูกบอลนั้นค่อยๆคลายตัวออก เผยให้เห็นดวงตาเล็กๆกลมๆราวเมล็ดถั่วคู่หนึ่ง
จากนั้นมันก็กางสองมืออ้วนป้อมออกมา ใช้สองขาเตี้ยๆของมันป่ายปีนขึ้นมาบนเตียงและโผเข้าไปในอ้อมอกของตู๋กูซิงหลัน
“เย้ เย้ เย้ อั้วกลับมาแล้ว! ว่าไงล่ะสาวน้อย ตกใจไหมเล่า?”
มันพูดพลาง ดวงตาก็ทอประกาย
สองมือป้อมๆนั้นชูขึ้นอยู่ในอ้อมแขนของตู๋กูซิงหลัน ขอให้อุ้มขึ้นไป
ตู๋กูซิงหลันมองดูเจ้าวิญญาณทมิฬในอ้อมแขนอย่างไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น ถึงกับพูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
นางคงจะประสาทไปแล้ว พอเห็นอะไรที่กลมๆสักอย่าง ก็อยากจะทุบให้บี้แบนลงไป
อย่างเช่นเจ้าวิญญาณทมิฬที่อยู่ตรงหน้า
นางไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ศิลาโลหิตที่เฝ้าทนุถนอมมาโดยตลอด สุดท้ายแล้วจะงอกออกมาเป็นมัน เจ้าวิญญาณทมิฬที่หายหัวไปนานแล้ว
ยามนี้ ตู๋กูซิงหลันถึงกับบอกไม่ถูกเลยว่าสมควรจะดีใจหรือเสียใจดี
วิญญาณทมิฬหายสาปสูญไปเนิ่นนาน แต่นางก็ไม่ได้รีบร้อนตามหามัน เนื่องเพราะว่ามันคือสัตว์อสูรในพันธะสัญญาของนาง ขอเพียงดวงจิตไม่แตกดับ ตู๋กูซิงหลันย่อมสามารถรู้สึกถึงการคงอยู่ของมันได้
ความรู้สึกนั้นแม้ว่าจะอ่อนจาง แต่อย่างไรก็ยังรู้สึกได้อยู่ จึงไม่จำเป็นต้องกังวลใจ
พอมองดูเจ้าวิญญาณทมิฬที่ตัวกลมๆ ตู๋กูซิงหลันก็รู้สึกว่าน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก….
ตกลงแล้วที่ปลูกไว้งอกออกมาเป็นเจ้านี้จริงๆนะหรือ?
ดูมันแล้ว เหมือนกับว่า ตอนนี้มันได้ผ่านการกำเนิดมีร่างเนื้อขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
แม้แต่ซูจี่เองก็รู้สึกประหลาดใจอยู่เช่นกัน พอมองดูให้ดีๆ เจ้าวิญญาณทมิฬตัวนี้ย่อมไม่ใช่ด้วงมูล มันเพียงแต่ตัวอ้วนกลมเท่านั้น
หากดูจากรูปร่างภายนอก ยังไม่อาจระบุได้ว่าเป็นตัวอะไร
“ว่าไง ข้าอุตส่าห์กลับมาแล้ว เจ้าจะไม่มีปฏิกริยาใดๆบ้างเลยหรือ? ไหนเคยพูดเสียดิบดีว่ารักข้าไง ฮือ ฮือ ฮือ เจ้าหลอกลวงข้าอีกแล้ว!”
พอไม่ได้รับคำตอบจากตู๋กูซิงหลัน วิญญาณทมิฬก็แสนจะชอกช้ำใจ
มีแต่ฟ้าดินเท่านั้นที่รู้ว่า กว่าจะได้กลับมายังโลกใบนี้อีกครั้ง มันต้องไปฝ่าฟันอะไรมาบ้าง
ขณะที่ตู๋กูซิงหลันจับจ้องไปที่มัน ก็อดไม่ได้ที่จะคว้าเท้าเล็กๆของมันเอาไว้ ถามว่า “อาจารย์ล่ะ?”
เจ้าวิญญาณทมิฬสะบัดเท้าเล็กๆนั้นออกไป ถลึงตาใส่นาง “ชิ เจ้าไม่สนใจข้าเลยสักนิดเดียว”
ถึงจะทำแง่งอนใส่ แต่ว่ามันก็ไม่กล้าทำล้อเล่นกับตู๋กูซิงหลัน สายตาของมันหันไปมองดูต๋าจี่ที่อยู่ข้าง
“แม้เจ้าโว้ย! ปีศาจจิ้งจอกตัวนี้สวยสะเด็ดไปเลยเว้ย ”
แค่คำว่าปีศาจจิ้งจอกสามคำ ก็สามารถทำให้หนังตาของต๋าจี่กระตุกได้สำเร็จ
ไอ้แสบนี่ ตัวก็ไม่ได้ใหญ่ แต่ใจช่างกล้านัก
“หลันหลัน เจ้านี่ช่างจะเจ้าชู้ใหญ่แล้ว กระทั่งปีศาจจิ้งจอกก็ยังไม่เว้นหรือ?” วิญญาณทมิฬรู้จักนิสัยตื้นลึกหนาบางของนางเป็นอย่างดี ทั้งละโมภโลภมากและบ้ากาม
เจอนางปีศาจจิ้งจอกที่งดงามล้ำเลิศถึงเพียงนี้ มีหรือนางจะยอมปล่อยไปเฉยๆ
“อย่าได้พูดจาพร่ำเพรื่อ นี่คือพี่สาวต๋าจี่”
ตู๋กูซิงหลันขยำลงไปบนตัวมันอยูหลายครั้ง นางอยากจะดูให้มั่นใจเสียหน่อยว่านี้คือร่างใหม่ของมันจริงๆ
ก่อนหน้านี้วิญญาณทมิฬตายจนตัวเย็นชืดไปพร้อมๆกับนาง เหลือแต่ดวงจิตที่ติดตามนางมา เดิมทีการจะเกิดใหม่และมีร่างเนื้อได้นั้น อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลาร้อยปี หรือนานถึงพันปี คิดไม่ถึงว่ามันจะสามารถเกิดใหม่เช่นนี้ได้
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่แปลกๆอยู่บ้าง
“ต๋า…ต๋า แต๋อะไรนะ?”
วิญญาณทมิฬตกตะลึงไป ดวงตากลมๆเป็นเมล็ดถั่วนั้นหันไปจ้องดูซูจี่
“คือนางปีศาจที่ ‘เป็นต๋าจี่ของท่านที่ ล่มบ้านล้างเมือง สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า ทำลายแผ่นดินของท่านและทำลายล้างท่านไปด้วย’ ตัวนั้นนะหรือ?”
วิญญาณทมิฬมิได้รู้สึกเลยว่าตนเองกำลังแขวนชีวิตไว้กับความเป็นความตายอีกครั้ง
พอมันพูดประโยคนั้นออกไป อุณหภูมิในห้องก็ลดลงไปอย่างฮวบฮาบ ไอปีศาจท่วมท้น กดทับจนคนแทบจะหายใจไม่ออก
ตราประทับจิ้งจอกบนหน้าผากของซูจี่กลายเป็นสีเข้มขึ้นมาอีกหลายส่วน หางจิ้งจอกสีแดงทั้งเก้าเส้นกวาดไปมา ขนบนหางจิ้งจอกแต่ละเส้นชี้ขึ้นมาราวปลายเข็ม
“ อ๋อ? นังปีศาจที่ล่มบ้านล้างเมือง สร้างความเดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้ากระนั้นน่ะหรือ?”
นางหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาคำหนึ่ง ด้วยรอยยิ้มที่งดงามอย่างที่สุด แต่กลับทำให้ใครต่อใครต้องรู้สึกขนลุกขึ้นมา
อยู่ๆวิญญาณทมิฬก็รู้สึกหนาวสั่นอย่างไม่มีสาเหตุ ว่ากันตามจริง นอกจากหลันหลันแล้ว มันก็ยังไม่เคยรู้สึกถึงแรงกดดันอันน่าสะพรึงกลัวจากร่างของสตรีคนใดเช่นนางปีศาจตนนี้มาก่อนเลย
ดังนั้นตอนนี้วิญญาณทมิฬจึงฉีกยิ้มออกมาดุจดอกไม้ที่ผลิบาน “ก็นั่นเป็นคำชื่นชมเจ้ามิใช่หรือ? ความงามของต๋าจี่เป็นที่กล่าวขานสืบกันมาในใต้หล้า พวกสาวๆในโลกปัจจุบันต่างก็ยึดเอาท่านเป็นแบบอย่าง ขอแค่ได้มีรูปโฉมที่งดงามเช่นท่านสักหนึ่งในร้อย ทุกคนก็ดีใจแทบตายแล้ว”
ตู๋กูซิงหลัน “…..” ความสามารถในการประจบสอพลอของเสี่ยวถวนจื่อก้าวหน้าไปตามวันเวลาจริงๆ
ซูจี่คร้านที่จะไปเอาเรื่องกับมัน นางในตอนนี้คิดแต่จะสืบเสาะให้ชัดเจนว่า ตกลงแล้วพลังวิญญาณในสวนดอกไม้ไปอยู่ ณ ที่ใดกันแน่
ในเมื่อมิได้ถูกอาวุธของตู๋กูซิงหลันดูดกลืน ทั้งยังไม่ได้ถูกร่างกายของนางดูดกลืน ตอนที่ได้เห็นกระถางดอกไม้ใบนั้นต๋าจี่จึงคิดอยู่ว่ามีความเป็นไปได้
แต่ว่าพอเจ้าตัวที่เหมือนด้วงมูลนี้กระโดดออกมา ความเป็นไปได้ทั้งหมดก็ดับสิ้น
ตู๋กูซิงหลันเองก็คิดจะซักไซร้วิญญาณทมิฬสักรอบหนึ่ง แต่ติดอยู่ที่ตอนนี้มีต๋าจี่อยู่ด้วย นางจึงไม่กล้าถามไถ่อะไรให้มากความ
นางอุ้มวิญญาณทมิฬเอาไว้ในอ้อมแขน พลางหันไปเอ่ยกับซูจี่ว่า “ฟ้ากำลังจะสว่าง ข้าสมควรจะพาพี่รองจากไปได้แล้ว”
“หืม? พอดูดซับเอาพลังวิญญาณในสวนดอกไม้ของข้าไปจนหมด ก็คิดจะจากไป?”
ซูจี่สองมือกอดอกเอาไว้ นางก็มิได้ขี้งกจนถึงขั้นจะฆ่าเจ้าด้วงมูลนี่หรอกนะ
ตู๋กูซิงหลันได้แต่ยิ้มอย่างจืดชืด “ได้รับอนุญาตให้พำนักในหุบเขาหมื่นปีศาจ นับว่าเป็นบุญวาสนามากแล้ว ไม่กล้ารบกวนอีกต่อไป”
“เมื่อวานนี้บอกให้เจ้าไปเสีย เจ้าก็ไม่ยอมไป วันนี้คิดจะรีบร้อนจากไป สายไปแล้ว”
ซูจี่สีหน้าเย็นชา “ไม่ว่าพลังวิญญาณในสวนดอกไม้จะหายไปอยู่ที่ใด แต่ข้าถือว่าตนเองเห็นเจ้าดูดกลืนมันไปจนหมดสิ้นกับตา เจ้าต้องรั้งอยู่ที่นี่ จนกว่าบุปผาวิญญาณจะงอกเงยขึ้นมาใหม่”
“ทั่วทั้งหุบเขาหมื่นปีศาจล้วนต้องพึ่งพาพลังของบุปผาวิญญาณในสวนดอกไม้ เจ้าจะต้องไปแช่น้ำพุร้อนทุกๆวัน จงใช้ร่างกายของเจ้ามาหล่อเลี้ยงหุบเขาหมื่นปีศาจให้ข้า”
คำพูดนี้ของซูจี่ ไม่ได้คิดจะขอคำปรึกษากันเลยสักนิด
แต่ว่าเมื่อตู๋กูซิงหลันได้เห็นแววตาของนาง ก็ไม่มีความกล้าจะขัดขืนเช่นกัน
“พี่สาว ท่านอาจจะไม่รู้ว่า หากข้ายังรั้งอยู่ที่นี่ ก็จะชักนำพวกเทพในแดนสวรรค์ลงมา ให้ข้าจากไป หุบเขาหมื่นปีศาจจึงจะสงบสุขและปลอดภัย”
ซูจี่ได้ยินแล้ว ก็เปลี่ยนเป็นหันด้านข้างให้กับเตียง
“หากเจ้าจากไป สรรพชีวิตในหุบเขาหมื่นปีศาจของข้าก็ต้องดับสูญ นั่นก็ไม่ต่างอะไรกับเภทภัยที่ต้องเผชิญกับไอ้พวกเทพสวรรค์งี่เง่านั่นอยู่แล้ว”
คำว่าเทพสวรรค์งี่เง่า ทำเอาตู๋กูซิงหลันอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้
ในเมื่อนี่เป็นความต้องการของพี่สาวต๋าจี่ นางย่อมไม่อาจจากไปแล้ว
“เรื่องในอดีตเหล่านั้น ข้ารู้หมดแล้ว” ตู๋กูซิงหลันเองก็มิได้รีบร้อน นางจ้องไปที่ซูจี่ พลางถามว่า “หากว่าไอ้พวกงี่เง่าเหล่านั้นบุกเข้ามา ท่านจะไม่กลัวหรือ?”
“ใครมันมาพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้ากัน?”
แววตาของซูจี่แฝงความอันตราย ตั้งแต่แรกนางก็ระแวดระวังกลุ่มของตู๋กูซิงหลันอยู่แล้ว หากมิใช่เพราะซูเยา เกรงว่านางคงลงมือสังหารคนไปตั้งแต่แรกแล้ว
ไม่รอให้ตู๋กูซิงหลันได้ตอบคำถาม ในใจของนางก็มีคำตอบออกมาอยู่แล้ว
เรื่องในตอนนั้น นอกจากเจ้าเสือดำกับตัวนางแล้ว ในหุบเขาหมื่นปีศาจยังจะมีผู้ใดที่รู้เรื่องอีกกัน
ตอนนั้น เสี่ยวเยายังเล็กมาก จนแทบจะจำเรื่องราวไม่ได้แล้ว
“ปากของมันปิดไม่เคยสนิทเลย”
แน่นอนว่าที่ซูจี่หมายถึง ย่อมต้องเป็นเจ้าเสือดำ
“มันทำเพื่อท่าน เพื่อหุบเขาหมื่นปีศาจ ไม่จำเป็นต้องไปตำหนิหรอก”
ในใจของทั้งสองต่างมีคำตอบ ย่อมไม่จำเป็นต้องให้ใครเอ่ยชื่อเสือดำออกมาทั้งสิ้น
ตู๋กูซิงหลันลงมาจากเตียง เข้าไปยืนอยู่ที่ข้างกายซูจี่
ตอนที่ 617 กำแพงนี้ ข้าจะทะลวงมันออกไ...
ดวงตาดอกท้อจับจ้องไปที่นางอย่างเอาจริง “ พี่สาว แดนสวรรค์กับข้ามีแค้นไม่อาจอยู่ร่วมฟ้าดิน ข้าย้อมต้องบุกขึ้นมาเข่นฆ่าสังหาร ท่านพอจะมีความสนใจ อยากเข้าร่วมขบวนด้วยหรือไม่?”
ว่าแล้ว นางก็หัวเราะออกมา “ชื่อนั้น ข้าคิดเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เรียกว่า ‘ภาคีฝ่ายล้างแค้น’ เป็นไง”
วิญญาณทมิฬที่อยู่ในอ้อมแขน “…..” ภาคีฝ่ายล้างแค้นบ้าบออันใด เจ้าจ่ายค่าลิขสิทธ์คำศัพท์ให้ MW[1] เค้าแล้วหรือยัง?
บางทีอาจเป็นเพราะดวงตาดอกท้อคู่นั้นสามารถดึงดูดผู้คนมากเกินไป ยามถูกนางจดจ้อง จึงเหมือนวิญญาณก็ถูกตรึงเอาไว้ด้วย
แม้แต่ซูจี่ยังต้องตกตะลึงไป
“ฝ่ายล้างแค้น….” นางทบทวนชื่อนั้นอยู่หลายครั้ง แววตาที่มองไปยังตู๋กูซิงหลันเปลี่ยนไปหลายส่วน
อักษรหลายคำนั้นสื่อความหมายหนักแน่น ไม่จำเป็นต้องให้ตู๋กูซิงหลันพูดออกมา ตนก็สามารถคาดเดาได้ ว่านางแบกภาระใดเอาไว้บ้าง
“เจ้ายังอายุน้อยจนเกินไป จึงมองทุกสิ่งเป็นเรื่องง่ายๆ”
เนิ่นนาน ซูจี่ถึงได้เอ่ยตอบ
นางขยับไปด้านหน้าอีกก้าวหนึ่ง ไอปีศาจในร่างรายล้อมตู๋กูซิงหลันเอาไว้ “พลังของแดนสวรรค์ทั้งชั่วร้ายและแข็งแกร่ง เป็นสิ่งที่เจ้าไม่อาจต้านทานได้”
“ มดแดงจะเขย่าต้นมะม่วงได้หรือไม่ ไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้อย่างไร?”
ดวงหน้าของตู๋กูซิงหลันมีรอยยิ้ม พอคิดถึงจีเฉวียนและซื่อมั่วที่ได้พบกันในความฝัน นางก็ปวดร้าวเข้าไปถึงในกระดูก
“ในใต้หล้าในเลยจะมีมดแดงเขย่าต้นมะม่วงกัน ก็มีแต่เอาไข่ไปกระทบหินเท่านั้น เมื่อต้องเผชิญกับพลังเช่นนั้นตรงหน้า เจ้าก็ได้แต่ทำอะไรไม่ได้ทั้งสิ้น”
ซูจี่ปิดตาลง ถอนหายใจเนิ่นนาน
มิใช่ว่านางไม่เคยคิดจะไปสังหารเพื่อล้างแค้น
แต่ต่อให้นางกลับไปฆ่าแล้ว แล้วยังจะได้อะไร?
นางรู้สึกชื่นชมในความกล้าหาญของตู๋กูซิงหลัน แต่ก็ไม่ต้องการเห็นตู๋กูซิงหลันเดินไปสู่ทางตัน
นางมองเห็นเงาที่คล้ายกับของตนเองจากในร่างของตู๋กูซิงหลัน
ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ไม่ชนกำแพงทิศใต้ก็ไม่หันกลับ[2]
คำที่โบราณว่าเอาไว้คือคนจำพวกนางนั่นเอง
“ข้าไม่เชื่อหรอกว่าในใต้หล้าจะมีผู้แข็งแกร่งที่ไม่มีวันล้มลง ยิ่งไม่เชื่อว่าใจผู้คนในใต้หล้าไม่ใฝ่หาความเสมอภาค”
“สวรรค์ไร้ความยุติธรรม เห็นสรรพชีวิตไร้ค่าดุจสุนัข หากว่าแม้แต่พวกเรายังเต็มใจยอมเป็นสุนัข อนาคตในวันข้างหน้า ก็ยิ่งมีแต่ต้องทนทรมาน”
“หากไม่มีใครกล้าลุกขึ้นยืน ก็คงต้องคุกเข่าไปตลอดกาล”
ตู๋กูซิงหลันกับซูจี่ตัวสูงพอๆกัน เมื่อยอดโฉมงามในใต้หล้าทั้งสองมายืนอยู่เคียงกันเช่นนี้ ย่อมเป็นภาพที่ตราตรึงใจผู้คน
คำพูดเหล่านี้ของนาง ล้วนกระแทกสู่ใจของซูจี่อย่างแรง
ในอดีต ตนก็เคยขึ้นไปยืนอยู่บนหอสอยดาว มองดูผู้คนที่เกลือกกลิ้งอย่างสุขสบายอยู่บนสรวงสวรรค์ ด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกันกับนาง
ในใต้หล้านี้คนที่ไร้หนทางจะช่วยเหลือที่สุด ก็คือคนที่เต็มใจจะเป็นเพียงสุนัข
นางมองดูตู๋กูซิงหลัน ด้วยแววตาที่จิตนาการไม่ออกเลยว่า สาวน้อยผู้นี้จะต้องเผชิญกับประสบการณ์และความกดดันเช่นไรมา ถึงได้เป็นเช่นนี้
สายลมพัดผ่านมาทางหน้าต่าง เป่าเส้นผมของทั้งจนพันเข้าด้วยกัน
สีดำอมเงินและสีแดงดุจเพลิงนั้น กลับดูกลมกลืนกันได้อย่างประหลาด
“พี่สาว ข้าจะไปชนกำแพงทิศใต้ หากมันพังลง หุบเขาหมื่นปีศาจของท่านก็จะสงบสุขไปตลอดกาล หากไม่พัง ก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับท่าน แดนสวรรค์ไม่มีข้ออ้างที่เหมาะสมใดจะลงมือ”
วิญญาณทมิฬที่ซุกอยู่ในอ้อมแขนของตู๋กูซิงหลัน ถึงกับสะท้านขึ้นมาทั้งร่าง
ไม่ได้เจอกันมาพักหนึ่ง ฝีปากของสตรีผู้นี้ช่างก้าวหน้าจนสามารถชักจูงภูติผี ปีศาจได้เช่นนี้แล้ว
เรียกว่าสามารถชักจูงได้ทั้งกายใจและจิตวิญญาณ!
เพียงแค่ครู่เดียว ก็ปลุกเร้าจนมันเลือดลมพลุ่งพล่าน คิดจะบุกตะลุยไปพร้อมๆกับนางเสียเดี๋ยวนี้เลย
ต่อให้เบื้องหน้าจะเป็นหนทางแห่งความตาย ก็ยังคงดีกว่าห่อเ**่ยวตายอยู่ในบ้านมากนัก
“โลกจะมีสันติสุขได้ ย่อมต่องมีใครสักคนเป็นผู้บุกเบิก และย่อมต้องการผู้ปกป้องรักษา”
ธรรมชาติของโลกนั้น ย่อมต้องมีคนกลุ่มหนึ่งเฝ้ารักษาและคนกลุ่มหนึ่งที่รับหน้าที่บุกทะลวงไปข้างหน้าอยู่แล้ว
เช่นนี้สรรพชีวิตในโลกจึงจะสามารถผดุงความสงบสุขเอาไว้ได้ มิใช่หรือ?
หัวใจของนางมิได้เพียงแต่เกลียดชังแดนสวรรค์ หากเปี่ยมไปด้วยความเมตตาสงสารต่อทุกข์ชีวิตในใต้หล้าอีกด้วย
ซูจี่จ้องดูพลังวิญญาญมากมายไหลลงไปสู่ร่างกายของตู๋กูซิงหลันอย่างไม่อาจป้องกันหรือยับยั้งมาตลอดทั้งคืน
เดิมทีในใจของนางเต็มไปด้วยความคับข้อง ไม่พอใจ แต่เพราะว่าในตอนนั้นไม่อาจเข้าใกล้ได้ จึงคิดจะหาหนทางคิดดอกเบี้ยกับตู๋กูซิงหลันอยู่ตลอด
ตอนนี้เมื่อได้เห็นปณิธานที่ยิ่งใหญ่ของนาง อยู่ๆจึงรู้สึกละอายใจขึ้นมา
ซูจี่เงียบงันไปเนิ่นนาน ในที่สุดก็สะบัดหน้ากลับไป พลางโบกมือกล่าวว่า “มิว่าจะอย่างไร ตอนนี้เจ้าก็ไม่อาจไปจากหุบเขาหมื่นปีศาจ”
ทันทีที่สิ้นเสียง นางก็กลายร่างเป็นจิ้งจอกเก้าหางตัวหนึ่ง ทะยานหายไปในอากาศ
กระทั่งเมื่อนางหายลับไปแล้ว จึงได้ยินเสียงสะท้อนดังมาในอากาศว่า “ตัวข้าซูจี่ ไม่ใช่พวกรักตัวกลัวตาย”
เมื่อซูจี่จากไปแล้ว แสงสว่างในห้องก็อ่อนจางลงไปหลายส่วน
ตู๋กูซิงหลันยังคงยืนอยู่ที่เดิม ในอ้อมแขนโอบอุ้มวิญญาณทมิฬเอาไว้ รู้สึกเหมือนถูกกีดกันจากโลกภายนอกอยู่บ้าง
พี่สาว ก็เป็นพวกเด็ดเดี่ยว และกล้าหาญเช่นกัน
ผ่านไปอีกพักหนึ่ง นางถึงได้ค่อยๆนั่งลงที่ข้างโต๊ะเตี้ย
จับเจ้าวิญญาณทมิฬในอ้อมแขนวางลงบนโต๊ะ
สองตาคู่นั้นจ้องไปที่มัน “บอกออกมาสิ ตกลงแล้วเกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
เจ้าถวนจื่อถึงแม้ว่าจะมีร่างกายแล้ว แต่ว่าหากดูจากภายนอก กลับดูแล้วไม่ต่างอะไรกับพวกตัวมาสคอต
การที่มันเติบโตขึ้นมาจากในกระถาง ย่อมต้องมีสาเหตุ
วิญญาณทมิฬ หย่อนก้นลงนั่งบนโต๊ะเตี้ย เหวี่ยงขาป้อมๆสั้นๆของมันไปมา พอสองแขนเล็กๆกอดเข้าหากันก็กลมจนมองไม่เห็นมืออีกแล้ว
“อืม….ก็เอ่อ ตอนที่อยู่ในโลกปัจจุบันโน่น เจ้าเอาแต่ใกล้ชิดสนิทสนมกับฮ่องเต้ผู้นั้นมิใช่หรือ?”
มันลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยยอมเปิดปากออกมา “ก็ข้าเห็นท่านอาจารย์เปล่าเปลี่ยว เงียบเหงาอยู่เพียงลำพัง ดูแล้วช่างน่าสงสาร ก็เลยติดตามเข้าไป….”
ตู๋กูซิงหลัน “บอกความจริงมา?”
วิญญาณทมิฬเป็นอสูรที่อยู่ในความฝัน ยามปกติเขมือบความฝันของผู้อื่นเป็นอาหาร มันกลืนกินภูติ ผี ปีศาจเพื่อดำรงชีพ จะมาบอกว่าเกิดความสงสารเห็นใจ ใครจะเชื่อ
หากมันบอกว่าสงสารซื่อมั่วก็นับว่าแปลกแล้ว
มันเป่าปากถอนลมหายใจออกมายืดยาว พอเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นตู๋กูซิงหลันที่คุกรุ่นจนใกล้จะระเบิดอยู่แล้ว
วิญญาณทมิฬรีบปกปิดหัวน้อยๆกลมๆของมันเอาไว้ ทำซุ่มเสียงเป็นเจ้าตัวทารกที่น่าสงสาร “หงิงๆ หงิงๆ….”
ตู๋กูซิงหลัน “เจ้าก็รู้ดี แต่ไหนแต่ไรข้าก็ชอบใช้หมัดมาสงสารอยู่แล้ว”
วิญญาณทมิฬหุบปากเงียบไปในทันที หากมันยังร้องเป็นต้องโดนทุบแน่ คิดๆดูแล้ว ซื่อมั่วยังอ่อนโยนกว่าสตรีผู้นี้มากมาย อย่างน้อยๆเขาก็ไม่เคยทุบตีมัน”
อยากมาก็แค่ อะไรๆก็ส่งมันไปเกิดใหม่เท่านั้นเอง
“อย่าได้ใช้กำลัง ข้าพูดแล้ว ข้าจะบอกเจ้าเดี๋ยวนี้เลยยยย!”
มันพูดไปก็เขยิบก้นถอยออกไปเรื่อยๆ บอกเล่าด้วยน้ำเสียงปานจะร้องไห้ว่า “ยังมิใช่เพราะว่าซื่อมั่วแข็งแกร่งอย่างยิ่งหรือไง พอข้าไปอยู่ข้างกายเขา ก็จะได้กัดกินความฝันของเขามากๆสักหน่อย ดูดซับพลังวิญญาณของเขาให้มากอีกสักนิด จะได้กลายร่างได้เร็วขึ้นยังไงเล่า”
อืม พูดเช่นนี้ ตู๋กูซิงหลันย่อมเชื่อมันขึ้นมา
ด้วยนิสัยแสบๆของวิญญาณทมิฬ มันย่อมสามารถทำเรื่องสุนัขหน้าด้านเช่นนี้ได้อยู่แล้ว
หรือว่าท่านอาจารย์จะเกิดใจดีมีเมตตา ปล่อยให้มันทำเช่นนั้นจริงๆ?
“แล้วยังไงต่อ?”
ตู๋กูซิงหลันหันไปมองดูกระถางดอกไม้ที่วางอยู่ข้างกายแวบหนึ่ง กระถางดอกไม้เปลี่ยนเป็นสีดำอมทอง ทั้งๆที่อุณหภูมิต่ำลงแล้ว แต่ว่ากระถางใบนั้นก็ไม่ได้เปลี่ยนสีกลับไป
ขนาดวิญญาณทมิฬที่ติดตามท่านอาจารย์อยู่ตลอด ยังสามารถงอกออกมาจากกระถางได้ แล้วอาจารย์ล่ะ?
“ภายหลัง ซื่อมั่วมิใช่ว่าแดดิ้นจนดับสูญไปแล้วหรือ?” วิญญาณทมิฬแคะจมูกอย่างเมามัน “ยังดีที่ตัวข้ามีบุญญาธิการสูงส่ง…..”
ตู๋กูซิงหลัน “พูดให้เข้าประเด็น”
……………………..
[1] MW: เกมชื่อดังสไตล์ Battle Royal จากซีรีส์ FPS ที่มีชื่อเกมส์ว่า Call of Duty: Modern Warfare
[2] 不撞南墙不回头。: (หมายถึง คนที่ตั้งมั่นอย่างดื้อดึง คิดจะฝ่าฟันอุปสรรคไปให้ได้ หากไม่ถึงที่สุดก็ไม่ขอยอมแพ้ ) แล้วทำไมต้องเป็นกำแพงทิศใต้? บ้านผู้ดีในเมืองจีนจะจัดสร้างในลักษณะเรือนสี่ประสาน ที่เรียกว่า ซื่อเหอย่วน (四合院 sìhéyuàn) ตัวบ้านจะต้องหันหน้าไปทางทิศใต้และประตูใหญ่ (ประตูที่ติดถนนใหญ่) ตั้จะงอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้เสมอ (ทิศมงคล) เมื่อเดินผ่านประตูใหญ่เข้ามาจะเห็น ‘กำแพงชั้นใน’ (南墙 หนานเฉียง,กำแพงทิศใต้) ซึ่งทำหน้าที่บังสายตาไม่ให้คนภายนอกมองเห็นลานบ้านและอาคารหลัก ดังนั้นเวลาจะออกจากจากบ้านทุกคนจึงต้องเดินอ้อมกำแพงทิศใต้นี้อยู่เสมอ โดยจะเดินไปทางขวา
ตอนที่ 618 ฐานะที่แท้จริง
นางไม่คิดจะทนฟังวาจาไร้สาระทั้งหลายของวิญญาณทมิฬอีก
วิญญาณทมิฬ “ข้าอุตส่าห์กลับมาแล้ว เจ้าไม่ดีใจหรอกหรือ? ในใจของเจ้าเฝ้าคิดถึงแต่บุรุษอื่น…. หงิงๆๆ”
ตู๋กูซิงหลัน “เจ้าไม่ใช่มนุษย์”
วิญญาณทมิฬ “แล้วมันใช่ปัญหาเสียที่ไหนกัน”
พอเห็นว่าระเบิดในตัวสตรีผู้นี้ใกล้จะปะทุออกมาแล้ว วิญญาณทมิฬก็รีบเก็บกริยาหาเรื่องตายของมันเอาไว้ก่อน จากนั้นก็เอ่ยว่า “จิตวิญญาณของเขามิได้ดับสูญ แถมยังมีเจ้าฮ่องเต้สุนัขของเจ้าผู้นั้นอีกด้วย…..ทั้งสองกลายเป็นหนึ่งคืนสู่ร่างเดียว ดีจะตายไป”
พอตู๋กูซิงหลันได้ฟัง ก็โล่งใจจนถอนใจยาวออกมา
วิญญาณทมิฬแม้จะพึ่งพาอะไรไม่ได้ แต่พอเป็นเรื่องใหญ่ก็ยังรู้จักแยกแยะชัดเจน ไม่มีทางมาโกหกนางด้วยเรื่องนี้
“ท่านอาจารย์ซื่อมั่วไม่ได้โกหกเจ้า ศิลาโลหิตชิ้นนั้น ก็คือร่างใหม่ของพวกเขา ตอนนี้เมื่อได้ดูดซับพลังวิญญาณจำนวนมากเข้าไป ย่อมสามารถกำเนิดใหม่ได้อีกครั้ง”
คำว่ากำเนิดใหม่สองคำนั้น ทำเอาดวงตาของตู๋กูซิงหลันเปล่งประกายจนแทบจะมีหยาดน้ำตาไหลออกมา
นางไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า ใต้หล้ายังมีคำสองคำที่น่าฟังเช่นนี้อยู่
“แล้วคนล่ะ?” นางไปปล่อยให้ตนเองดีใจจนฟุ้งซ่าน ทั้งๆที่ปลูกจนงอกขึ้นมาได้แล้ว แต่กลับไม่เห็นคนแม้แต่เงา นี่มันไม่ถูกต้อง
วิญญาณทมิฬยังคงใช้มือสั้นของมันแคะจมูกอย่างเมามันต่อไป ตอนนี้มันกลับมีร่างอีกครั้งแล้ว ย่อมรู้สึกแคะจมูกได้อย่างมีรสชาติมากกว่าเดิม
“เกิดใหม่ก็ส่วนเกิดใหม่ เจ้าก็รู้นี่ว่า พวกเขาแข็งแกร่งมากขนาดไหนมิใช่หรือ… จะมีร่างเนื้อก็ย่อมต้องการเวลากลับไปสู่จุดกำเนิดสักช่วงเวลาหนึ่ง ถึงจะถือว่าเกิดใหม่อย่างสมบูรณ์”
จากนั้น วิญญาณทมิฬก็กระโดดลุกขึ้น แล้วกระโดดผึงขึ้นไปบนหัวไหล่ของตู๋กูซิงหลัน ใช้มือสั้นๆของมันที่พึ่งจะแคะจมูกมาตบลงไปบนบ่าของนาง “เจ้าก็อย่าได้ใจร้อนสิ เขาบอกไว้แล้วไง ว่าอีกไม่นานจะกลับมาพบเจ้า”
“ถึงอย่างไร ข้าที่พึ่งกำเนิดขึ้นมาใหม่ก็รั้งอยู่เป็นเพื่อนเจ้าแล้ว ไม่ใช่หรือ?”
“หลันหลัน เจ้าต้องรักข้าให้มากๆ ดูแลข้าให้ดี ไม่เช่นนั้นเจ้าอาจจะสูญเสียข้าไปได้ง่ายๆนะ”
ตู๋กูซิงหลันเหลือบตามองไปที่บนบ่าของตนเองแวบหนึ่ง ทันได้เห็นขี้มูกก้อนเล็กๆที่เกาะอยู่บนเส้นผมของนาง
ทำเอานางอยากจะโกนผมทิ้งไปขึ้นมาทันที!
นางยื่นสองนิ้วออกมาคีบเจ้าตัวน้อยนั่นไว้ หิ้วมันออกไปจากบ่า ตู๋กูซิงหลันตัดเส้นผมกระจุกที่ถูกมันป้ายขี้มูกลงไปออกมา จากนั้นก็พันเข้ากับลำคอของมันรอบหนึ่ง จนวิญญาณทมิฬแทบจะหายใจไม่ออก
“แล้วต้นกำเนิดของเขาอยู่ที่ใดกัน?”
ตู๋กูซิงหลันอยากพบเขาจนทนไม่ไหว
ตอนนี้นางยังไม่มีกระใจจะไปคิดว่า ‘ทั้งสองกลายเป็นหนึ่งคืนสู่ร่างเดียว’ นั้น แล้วมันจะเป็นอย่างไร
นางเข้าใจแต่เพียงว่า พวกเขามิได้สูญสลาย ต่างก็ยังมีชีวิตอยู่
“เขาก็ไม่ได้บอกเอาไว้…. สั่งแต่ให้เจ้าดูแลข้าให้ดีๆ อย่าให้ข้าต้องตกระกำลำบาก หรือถูกรังแก….”
วิญญาณทมิฬแลบลิ้นสีแดงออกมา ทำตาเหลือกราวกับว่าจะถูกนางรัดคอตายอย่างไรอย่างนั้น
อืม มิว่าอย่างไร ต่อให้สองคนรวมเป็นหนึ่งแล้วก็ตาม เขาก็ยังห่วงเป็นบ้าเป็นหลัง กลัวว่านางอาจจะถูกรังแกได้อีก
ดังนั้นจึงได้ทิ้งมันเอาไว้ ให้คอยปกป้องดูแลนาง
“เขายังบอกอีกนะว่า เจ้าไม่ต้องไปหาเขา อีกไม่นานพวกเจ้าก็จะได้พบกันแล้ว”
เรื่องนี้วิญญาณทมิฬย่อมบอกไปตามจริง
“หลันหลัน เจ้าต้องให้เวลาเขาบ้างนะ การพักฟื้นมันก็ต้องใช้สักระยะหนึ่งเหมือนกัน มิใช่หรือ?”
พอวิญญาณทมิฬพูดจบประโยคสุดท้าย ตู๋กูซิงหลันก็เงียบงันไปชั่วครู่
มิว่าจะอย่างไร ตอนนี้นางก็ได้ทราบข่าวคราวของเขาแล้ว นี่นับเป็นข่าวดีที่สุดนับตั้งแต่ที่นางเฝ้ารอมาเนิ่นนาน
ในที่สุดใบหน้าของนางก็สามารถมีรอยยิ้มแห่งความยินดีขึ้นมาได้แล้ว “ข้าเชื่อเขา ข้าจะรอเขา”
……………….
ที่เก๋งแปดเหลี่ยม ในสระน้ำพุบุปผาวิญญาณ
ซูจี่ยังคงอยู่ในร่างจิ้งจอก นอนหมอบอยู่บนยอดเก๋งแปดเหลี่ยม
บุปผาวิญญาณทั้งหมดร่วงโรยเ**่ยวเฉาไปแล้ว พอสายลมพัดมาก็สลายเป็นฝุ่นผงไป
ท่ามกลายเศษฝุ่นมากมายนั้น สามารถมองเห็นผงสีขาวกองหนึ่งได้อย่างชัดเจน นั่นย่อมไม่ใช่เศษฝุ่นผงของบุปผาวิญญาณ
ในตอนนั้นเอง เสือดำก็ก้าวย่างออกมา
มันยื่นปลายเล็บออกมา เขี่ยเศษผงเหล่านั้นด้วยความระมัดระวัง แววตาก็จับจ้องอยู่บนละอองสีขาวเหล่านั้นราวกับถูกดึงดูดเอาไว้
“นั่นคือเจ้าคนตายผู้นั้น” ซูจี่เอ่ยออกมา “ เกิดมาจากธุลี ก็กลับคืนสู่ธุลี ไม่จำเป็นต้องให้ข้าลงมือแม้แต่น้อย”
เสือดำตกตะลึงไป แต่ที่มันมาที่นี่ ไม่ใช่เพราะจะมาคุยกับนางเรื่องนี้
“นายหญิง ฮ่องเต้หญิงผู้นั้น ท่านไม่ไล่นางไปหรือ?”
ตอนแรกตกลงกันเอาไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้กลับกลายมาเป็นเช่นนี้ เสือดำเกือบจะสงสัยขึ้นมาว่า ทั้งหมดนี่เป็นความจงใจของตู๋กูซิงหลันใช่หรือไม่
ซูจี่นอนแผ่อยู่บนยอดเก๋งที่เย็นสบาย มองดูผงธุลีเหล่านั้นอย่างใจลอยอยู่บ้าง
“ข้าคิดว่า สมควรจะจับฮ่องเต้หญิงผู้นั้นมาฆ่าเสีย ใช้โลหิตสดๆของนางราดรดให้ทั่วพื้นที่แห่งนี้ ให้บุปผาวิญญาณได้งอกเงยขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หุบเขาหมื่นปีศาจของข้าก็จะได้สงบสุขปลอดภัยไปด้วย”
พอเสือดำคิดว่าตู๋กูซิงหลันกลับคำขึ้น มันก็โกรธแค้นจนต้องขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
ตอนแรกมันยังคิดว่านางมีน้ำใจร้อนระอุอยู่บ้าง จึงได้รู้สึกนับถืออยู่ไม่น้อย แต่ใครจะคิดว่าทุกอย่างกลายเป็นเช่นนี้ไป?
ซูจี่มองดูมันแวบหนึ่ง “ดูโหดร้ายไปอยู่บ้าง”
เสือดำกล่าวตอบนางว่า “มีเมตตาต่อผู้อื่น ก็คือโหดร้ายต่อตนเอง นายหญิง ขอท่านอย่าได้ลืมเลือนเรื่องราวในตอนนั้น…”
หางจิ้งจอกของซูจี่สะบัดเอาๆ ดวงตากระตุกขึ้นมา เรื่องในตอนนั้นนางย่อมไม่เคยลืม
“นางไม่เหมือนกัน”
พอเอ่ยคำนั้นออกมาจากปาก เสือดำก็ชะงักไปเล็กน้อย
ฮ่องเต้หญิงผู้นั้น ย่อมไม่เหมือนกันจริงๆ นางเจ้าเล่ห์ร้ายกาจ มีแผนการร้ายกาจอยู่มากมาย
ที่สำคัญคือ ฝีปากนั้นช่างยอดเยี่ยม สามารถหลอกลวงคนได้ง่ายดายอย่างที่สุด เกรงว่าในใต้หล้าคงจะไม่มีใครที่สามารถทำได้เช่นนี้แล้ว
“ เสี่ยวเฮย[1] เจ้าเชื่อว่าในโลกนี้มีความยุติธรรมหรือไม่?” ซูจี่มองออกไปจนไกล เขตอาคมของหุบเขาหมื่นปีศาจกำลังเคลื่อนไหวเบาๆอยู่ โลกภายนอกของหุบเขา นางไม่ได้เห็นมานานเท่าไหร่แล้วนะ?
จำไม่ได้เสียแล้ว น่าจะตั้งแต่ตอนที่นางขึ้นไปฆ่าล้างบนสวรรค์ แล้วก็ถูกเขาฟันทิ้งลงมากับมือ นางก็ไม่เคยย่างเท้าก้าวออกไปไหนอีกเลยละมั้ง?
เอาเถอะ นางเองก็ชมชอบอยู่แต่ในขุนเขากว้างใหญ่สายธารไกลยาว สายน้ำสงบดุจภาพวาดอยู่แล้ว
“ความยุติธรรมรึ?” เสือดำหัวเราะออกมา “นี่จะต้องเป็นวาจาหลอกลวงของฮ่องเต้หญิงผู้นั้นอย่างแน่นอน หากว่าในใต้หล้านี่มีความยุติธรรมอยู่จริง แล้วในใต้หล้าจะยังมีปีศาจอย่างพวกเราไปทำไม?”
ซูจี่พูดอะไรไม่ออก
หากว่านางยังอ่อนเยาว์กว่านี้อีกหลายหมื่นปี และยังคงเป็นปีศาจจิ้งจอกเก้าหางที่เลือดร้อน บางที นางอาจจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่แตกต่างไปก็เป็นได้ กระมัง?”
“ช่างเถอะ” นางปิดตาลง ขดตัวเป็นวงกลม แม้อยู่ท่ามกลางสายลมหนาวพัดโหม แต่ก็สามารถหลับไหลอยู่บนยอดเก๋งได้อย่างสบาย
เสือดำยืนอยู่ด้านล่าง ใบหน้าที่มีรอยมีดบาดนั้นถูกลมพัดเข้าใส่จนรู้สึกเจ็บช้ำ
มันเงยหน้ามองขึ้นไป จดจ้องไปที่ซูจี่บนยอดเก๋ง ผ่านมาก็ต้องนานหลายปีแล้ว ในใจของนางยังคงมีความหวังอยู่อีกหรือ?”
………………
ตู๋กูซิงหลันรั้งอยู่ที่หุบเขาปีศาจเป็นวันที่สามแล้ว ตลอดสามวันนี้นางไม่เห็นท่านเจ้าสำนักผู้นั้นเลย นางออกตามหารอบหนึ่ง วิญญาณทมิฬที่พึ่งจะได้รู้เรื่องทีหลังถึงได้เล่าความจริงให้นางฟัง
การคงอยู่ของท่านเจ้าสำนัก เป็นเรื่องที่ทั้งแปลกประหลาดและพิลึกพิลั่น
หากจะบอกว่าเขาคือร่างแบ่งภาค ก็ยังไม่อาจนับได้
อย่างมากเพียงสามารถพูดได้แค่ว่าเป็นแค่ของทดแทน เป็นเพียงสิ่งจำลองที่เกิดขึ้นจากพลังของซื่อมั่วและจีเฉวียนเท่านั้น
ประโยชน์ของการที่เขาดำรงก็เพียงเพื่อคอยปกป้องตู๋กูซิงหลัน
เพียงเพราะว่าตอนนั้นทั้งสองต่างก็ ‘หายสาปสูญ’ ไปพร้อมๆกัน พลังที่คงเหลืออยู่จึงไม่เพียงพอที่จะให้ ‘ของทดแทน’ นี้รองรับความทรงจำของพวกเขา
ดังนั้นท่านเจ้าสำนักที่อยู่ๆปรากฏตัวขึ้นมา นอกจากจะถ่ายทอดนิสัยและพลังที่แข็งแกร่งของคนทั้งสองไว้แล้ว ก็เป็นเพียงแค่เปลือกนอกที่ว่างเปล่าเท่านั้น
………………
[1] “小黑: เจ้าดำน้อย
ตอนที่ 619 หนทางรอดของตู๋กูซิงหลัน
ยามที่เขาได้พบกับตู๋กูซิงหลัน ก็หลงรักนางตั้งแต่แรกเห็น นี่เป็นเรื่องที่ถูกกำหนดเอาไว้อยู่แล้ว
เมื่อทุกสิ่งกลับคืนสู่ที่มา การสิ้นสุดของเขาย่อมเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
มีแต่ต้องให้ทุกสิ่งกลับคืนมา จึงจะกลายเป็นจีเฉวียนที่สมบูรณ์
ตู๋กูซิงหลันได้ฟังคำอธิบายจากวิญญาณทมิฬแล้ว จิตใจก็รู้สึกสับสนอย่างยิ่ง
คนเรานั้น แข็งแกร่งจนเกินไปก็อาจจะมิใช่เรื่องที่ดี ก็เหมือนกับท่านอาจารย์ …..หากมิใช่เพราะว่าเขาแข็งแกร่งจนถึงขั้นต้องลงมาเกิด เช่นนั้นก็จะไม่มีร่างแบ่งอย่างจีเฉวียน
แต่นางก็รู้สึกว่าตนเองช่างย้อนแย้งอยู่เหมือนกัน หากไม่มีการแบ่งภาคลงมาเกิด เช่นนั้นแล้วนางจะได้เจอกับจีเฉวียนได้อย่างไร….
เรื่องราวในใต้หล้าล้วนไม่มีสิ่งใดถูกหรือผิดเพียงด้านเดียว ทั้งหมดล้วนมีทั้งสิ่งที่ดีและร้ายปะปนกัน
ท่านเจ้าสำนัก……
สุดท้ายแล้วตู๋กูซิงหลันก็ได้แต่ทำป้ายรำลึกขึ้นมาที่ข้างเก๋งแปดเหลี่ยม เป็นเพียงป้ายเล็กๆ
บนนั้นสลักอักษรจีต้าฉุยเอาไว้เพียงสามคำเท่านั้น
และเพราะท่านเจ้าสำนักกำเนิดมาในโลกด้วยระยะเวลาเพียงสั้นๆ ยังไม่ทันจะได้รากฐานของตนเอง บทจะสาบสูญก็สูญสลายไปในทันที
แม้จะจบเรื่องของท่านเจ้าสำนัก ตู๋กูซิงหลันก็ยังมิได้อยู่ว่างอย่างน่าเบื่อหน่าย นางไปที่เก๋งแปดเหลี่ยมกรีดเลือดออกมาเล็กน้อยอยู่หลายวัน
เผื่อว่านี่อาจจะพอช่วยฟื้นฟูชีวิตของบุปผาวิญญาณในสวนดอกไม้ของหุบเขาหมื่นปีศาจได้บ้าง
ถึงแม้ว่าที่จริงแล้วจิตวิญญาณเหล่านั้นมิได้ถูกนางดูดกลืนไปเลยสักนิด แต่ว่าในเมื่อร่างกายของนางแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ โลหิตในกายของนางก็คงจะมีพลังที่แข็งแกร่งเช่นกัน
พอกรีดเลือดออกมาหลายวันเข้า ในสวนดอกไม้ก็ดูเหมือนจะเริ่มมีแววฟื้นฟูขึ้นมา
ท่ามกลางละอองธุลีเหล่านั้น เกิดต้นอ่อนงอกเงยไม่น้อย
ทุกสิ่งที่นางกระทำลงไป ซูจี่ล้วนเห็นอยู่ในสายตา แต่กับตู๋กูซิงหลัน นับตั้งแต่วันนั้นนางก็ทำเหมือนตู๋กูซิงหลันคือมนุษย์ล่องหน ไม่ให้ความสนใจใดๆ และไม่ยุ่งเกี่ยวด้วย
ปล่อยทิ้งไว้เฉยๆ
ในหุบเขาหมื่นปีศาจ ตู๋กูซิงหลันมีอิสระเสรี
ซูเยาย่อมเป็นคนที่มีความสุขที่สุด เขาไปหาตู๋กูซิงหลันตลอดเวลา แต่ว่าเวลาส่วนใหญ่ ตู๋กูซิงหลันใช้มันไปกับการสร้างยันต์โลหิตของนาง
ซูเยาเองก็รู้ความดี จึงเพียงยืนมองดูอยู่ที่ด้านข้าง ไม่ไปรบกวนนาง
แต่หากนางมีคำสั่งใดออกมา เขาย่อมเป็นคนแรกที่พุ่งเข้าไปช่วยเหลือ
จะว่าอย่างไรดีละ นับตั้งที่ท่านเจ้าสำนักผู้นั้นหายสาบสูญไป สองหูก็รู้สึกสบายขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ความรู้สึกที่ไม่มีผู้ใดมาคอยรบกวนเขากับอาหลัน ช่างดีเหลือเกิน
ฟ่านอิงก็แทบจะไร้ร่องรอย เขาเก็บตัวอยู่ในห้องตลอดเวลา มีแต่ยามที่ตู๋กูซิงหลันไปเยี่ยมเขา เขาถึงได้เอ่ยตอบออกมา
ทุกสิ่งคล้ายจะผ่านไปอย่างเงียบสงบ มีแต่พิษในกายของพี่รองทำท่าจะกำเริบออกมาอยู่หลายครั้ง
ยันต์โลหิตของตู๋กูซิงหลันตระเตรียมเอาไว้จนเกือบจะพร้อมหมดแล้ว
นางย่อมไม่มีทางนั่งอยู่เฉยๆรอให้จีเฉวียนมาหานาง
แผนเดิมที่วางเอาไว้คือคิดจะใช้งานเยี่ยเฉินเพื่อขึ้นไปบนแดนสวรรค์ แผนการนี้ย่อมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ตลอดช่วงเวลาสั้นๆที่ผ่านมา ตู๋กูซิงหลันตระเตรียมยันต์โลหิตเอาไว้อยู่ทุกค่ำคืน เพื่อจะได้ควบคุมจิตมังกรของเยี่ยเฉินได้อย่างสมบูรณ์
“ก้าวต่อไปเจ้าคิดจะทำอะไร?” วิญญาณทมิฬหมอบอยู่ข้างกายนาง ตลอดหลายวันมานี้มันต้องประหลาดใจอยู่เรื่อยๆ การเติบโตของตู๋กูซิงหลันยังรวดเร็วกว่าที่มันคาดคิดเอาไว้มากมาย
วิชาที่ยากเย็นอย่างยันต์หุ่นเชิด นางไม่เพียงแต่ทำได้อย่างชำนิชำนาญ แต่ยังสามารถควบคุมจิตมังกรตัวหนึ่งได้ด้วยซ้ำ เฮอะ เฮอะ นี่ต้องนับว่าร้ายกาจอย่างยิ่ง
สิ่งมีชีวิตในใต้หล้า ล้วนแล้วแต่มีจิตวิญญาณด้วยกันทั้งสิ้น
เผ่าหมิง (ภูติ) ก็มีจิตของภูติ
เผ่าเทพ ก็มีจิตของเทพ
เผ่าปีศาจก็มีจิตของปีศาจ
เผ่ามังกร แน่นอนว่าต้องมีจิตของมังกร
มีแต่พวกมนุษย์ธรรมดาถึงมีจิตที่เรียกว่าจิตวิญญาณ
ขอเพียงจิตวิญญาณถูกควบคุมเอาไว้ เช่นนั้นคนย่อมถูกควบคุมเอาไว้จนหมดสิ้น
เมื่อถึงตอนนั้น นางก็สามารถจะ ‘ทำอะไร’ กับคนผู้นั้นก็ได้ทั้งสิ้น
“นับตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าก็คือ ‘เยี่ยเฉิน’ แล้ว” ตู๋กูซิงหลันเอ่ยโดยไม่สบตาวิญญาณทมิฬ
“หืม? คงไม่ใช่ว่าเจ้าคิดจะ….”
วิญญาณทมิฬตื่นเต้นตกใจขึ้นมา
“ถอดวิญญาณ” ตู๋กูซิงหลันเอ่ยออกมาอย่างเรียบเฉย “มีแต่ถอดวิญญาณอกไปควบคุมร่างนั้นด้วยตนเอง จึงจะสามารถผ่านอุปสรรคที่สำคัญเข้าออกแดนสวรรค์ได้อย่างอิสระ”
มิว่าจะกล่าวเช่นไร แต่ข้อมูลของแดนสวรรค์ในตอนนี้ก็ยังมีอยู่น้อยจนเกินไป
มีแต่ต้องรู้เขารู้เราจึงจะสามารถรบได้โดยไม่มีแพ้
จุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดของการเดินทางในครั้งนี้ก็คือ ตามหายาถอนพิษให้กับพี่รอง
วิญญาณทมิฬได้แต่กระพริบตากลมๆปริบๆ “ข้ารู้สึกว่าวิธีนี้ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่….”
มันโคลงหัวกลมๆของตนเองไปมา “ถ้าเกิดเจ้าพบเจอปัญหาในแดนสวรรค์ขึ้นมา แล้วกลับมาไม่ได้…..เช่นนั้นเจ้าฮ่องเต้สุนัขที่พึ่งจะเกิดใหม่มิร้องไห้ตายหรอกหรือ?”
“เจ้าเคยเห็นข้ากระทำเรื่องที่ไม่มีความมั่นใจมาก่อนหรือ?”
ตู๋กูซิงหลันขยี้หัวของมันเบาๆ “ช่วงนี้ เจ้าจงอยู่ในหุบเขาหมื่นปีศาจเฝ้าร่างของข้าเอาไว้ อย่าให้ผู้ใดมารบกวน”
เรื่องที่นางหยิบยืมร่างของเยี่ยเฉินขึ้นไปยังแดนสวรรค์ นอกจากวิญญาณทมิฬแล้ว นางก็ไม่ได้บอกผู้ใดทั้งสิ้น
แม้แต่ซูเยาก็ยังไม่รู้
ด้วยนิสัยของซูเยา หากรู้ว่านางจะไปเสี่ยงอันตราย ต่อให้นางพูดอย่างไรก็คงยังไม่ยอมให้นางไป ดังนั้นตู๋กูซิงหลันจึงปิดบังเขาไว้
วิญญาณทมิฬยังคงไม่วางใจ “แต่ว่าข้าพึ่งจะกลับมา ไม่อยากแยกจากเจ้านี่น่า ฮือ ฮือ ฮือ….”
วิญญาณทมิฬกอดแขนของนางเอาไว้ ราวกับหมีโคอาล่า ดวงตากลมๆของมันใกล้จะมีน้ำตาหยดออกมาอยู่แล้ว
มันกลัวว่าหากตนเองไม่ดูแลนางให้ดี รอจนฮ่องเต้สุนัขกลับมาเมื่อไหร่ มีหวังจะต้องลอกหนังของมันออกมาเป็นชั้นๆ
น้ำตาหยดนี้มันอุทิศให้กับตนเอง
หากมิใช่ว่าตู๋กูซิงหลันเข้าใจนิสัยแสบสันของมันเป็นอย่างดี ก็คงจะซาบซึ้งไปกับมันเข้าแล้ว
“ข้าได้วางค่ายกลเรียกวิญญาณเอาไว้ในห้องนี้แล้ว หากว่าผ่านไปสิบวันแล้วข้ายังไม่กลับมา เจ้าก็จุดตะเกียงเรียกวิญญาณที่อยู่บนค่ายกลเรียกวิญญาณนี้ ดวงวิญญาณของข้าก็จะกลับคืนสู่ร่างกาย”
ตู๋กูซิงหลันพูดพลางก็นำเจ้าวิญญาณทมิฬเดินวนรอบๆห้อง ชี้แนะขั้นตอนการเรียกวิญญาณทั้งหมดรอบหนึ่ง
“ตะเกียงเรียกวิญญาณนี่มีอยู่ทั้งหมดแปดดวง ไม่อาจจุดตามใจชอบ เจ้าต้องไล่เรียงตามลำดับ เริ่มจากทางตะวันออก ไล่ไปตามเข็มนาฬิกาไปเรื่อยๆจนถึงดวงสุดท้าย”
ค่ายกลเรียกวิญญาณนี้ถูกจัดวางเอาไว้รอบห้อง ทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเหนือล้วนมีตะเกียงวิญญาณอย่างละหนึ่งดวง
ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ ล้วนมีอย่างละหนึ่งดวง
นี่คือหนทางรอดที่ตู๋กูซิงหลันตระเตรียมเอาไว้ให้ตนเอง
นางไม่อาจคาดคะเนได้ว่าจะต้องพบเจอสิ่งใดในแดนสวรรค์ หากว่าจิตวิญาณของตนเองเกิดประสบปัญหาในแดนสวรรค์ ค่ายกลเรียกวิญญาณนี้ก็จะเป็นหนทางเอาตัวรอดของนาง
วิญญาณทมิฬรับฟังอย่างละเอียด มันเข้าใจนิสัยของตู๋กูซิงหลันเป็นอย่างดี เรื่องใดก็ตามที่นางตัดสินใจไปแล้ว ต่อให้เป็นวัวสิบตัวก็ยังรั้งเอาไว้ไม่อยู่
มันได้แต่ยอมเคารพการตัดสินใจของนาง
เสี่ยวถวนจื่อน้ำตานองหน้า “ข้าจะคอยเฝ้ารักษาร่างกายของเจ้าเป็นอย่างดี”
มันได้แต่กลัวว่าจะเกิดเหตุแทรกซ้อน….คิดดูสิ มันเคยหาเรื่องฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นไปมากมายเพียงไหน แถมฮ่องเต้สุนัขผู้นั้นยังเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างที่สุด ตอนนี้เขากลายเป็นร่างหลักไปแล้ว เกรงว่ามีแต่จะคอยหาโอกาสสั่งสอนมันอยู่ตลอดเวลา
“เด็กดี” ยากนักที่ตู๋กูซิงหลันจะแสดงบทมารดาผู้ปรานี ลูบหัวของมันด้วยความอ่อนโยน
เพราะตอนนี้เท่ากับว่าชีวิตของนางตกอยู่ในกำมือของเจ้าวิญญาณทมิฬแล้ว จะอย่างไรเสียย่อมต้องดีกับมันบ้าง
วิญญาณทมิฬเงยหน้าขึ้นมา ทั้งสองยิ้มให้แก่กันด้วยดวงตาที่มีน้ำตาคลอหน่วย ทั้งยังรู้สึกว่าระยะห่างระหว่างกันแคบลง
………………….
วันที่ตู๋กูซิงหลันถอดวิญญาณออกจากร่าง ท้องฟ้ามีหิมะโปรยปราย
การถอดวิญญาณออกจากร่าง เป็นกระบวนการที่แสนจะเจ็บปวด
ก่อนหน้านี้ตอนที่นางพึ่งจะมาถึงต้าโจวใหม่ๆ อ่อนแอจนป้อแป้ก็เคยทำมาแล้วครั้งหนึ่ง
อืม ตอนนั้นที่นางต่อสู้กับศพคืนชีพชรานั่นไง…..
แต่ว่าตอนนี้ร่างกายของนางแข็งแกร่งมากแล้ว ดังนั้นความเจ็บปวดที่ได้รับจึงบรรเทาลงไปมาก
ตอนที่ 620 ศาสตร์แห่งวิชาบำเพ็ญเซียนจ...
การถอดวิญญาณของนางนับว่าเป็นไปอย่างราบลื่น
และเพราะว่าเยี่ยเฉินมีสายเลือดเดียวกันกับนางอยู่ครึ่งหนึ่ง การสิงร่างจึงง่ายดายขึ้นมาก
ตู๋กูซิงหลันใช้เวลาอยู่เกือบครึ่งวันในที่สุดก็สามารถควบคุมร่างใหม่นี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ
สามารถบอกได้ว่า ในตอนนี้นาง ‘ยึดครอง’ ร่างไปเรียบร้อยแล้ว
และการยึดครองนี้ต้องถือว่านางเบียดบังดวงจิตของร่างเดิมจนสิ้นหนทาง หลงเหลือเอาไว้แต่เพียงจิตมังกรของเยี่ยเฉินเท่านั้น
ไม่เพียงสามารถยึดครองร่างกายนี้เอาไว้ได้ และเพราะว่าตั้งแต่ตอนที่นางใช้ยันต์โลหิตหุ่นเชิด จิตมังกรของเยี่ยเฉินก็ถูกนางควบคุมเอาไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นนางจึงยังสามารถรับรู้ความทรงจำบางส่วนของเยี่ยเฉินได้อีกด้วย
…………….
ทั้งยังได้ทราบว่า วิธีการ ‘กลับ’ ไปยังแดนสวรรค์ จะต้องพึ่งพา ‘สายฟ้า’
อาศัยสายฟ้าที่ฟาดลงมาจากสรวงสวรรค์ ชักนำเขากลับไป
แม้ว่าเขาจะเป็นไท่จื่อแห่งเผ่ามังกรทมิฬ แต่ว่าในแดนสวรรค์คุณสมบัตินี้นับว่ายังคงไม่เพียงพอ ไม่มีสิทธิ์จะเข้าออกแดนสวรรค์ได้อย่างอิสระเสรี
จิตวิญญาณของตู๋กูซิงหลันสิงสถิตย์อยู่ในร่างของเขา อาศัยยามค่ำคืนอันมืดมิดที่สายลมพัดโหมหลบออกไปจากหุบเขาหมื่นปีศาจ
ก่อนหน้านี้เยี่ยเฉินถูกนางทุบตีจนอเน็จอนาถ เอ็นข้อมือข้อเท้าขาดสะบั้น ยังดีที่ ความสามารถในการรักษาตัวของเขายอดเยี่ยมมาก นอกจากเสียมือซ้ายไปข้างหนึ่ง และผิวหนังที่ถลอกปอกเปิกไปบางส่วนแล้ว ร่างกายที่เหลือยังปกติดีอยู่
ตู๋กูซิงหลันเสาะหาสถานที่รกร้างแห่งหนึ่ง เริ่มนั่งขัดสมาธิลงบนพื้นราบนั้น
จากนั้นนางก็นำป้ายหยกชิ้นหนึ่งออกมา ส่งพลังวิญญาณเข้าไปกระตุ้นมัน
ป้ายหยกแผ่นนั้นก็เรืองแสงสว่างวาบขึ้นมา แสงสีทองระยิบระยับครอบคลุมร่างสร้างเป็นเขตอาคมส่งขึ้นไปยังแดนสวรรค์
นั่นเป็นวิธีการติดต่อกับแดนสวรรค์ของ ‘กองทัพเทพ’
และเป็นกุญแจกลับสู่แดนสวรรค์
เมื่อนางนั่งอยู่ในสถานที่รกร้าง ท้องฟ้าก็พลันเกิดความเคลื่อนไหว ขณะที่ได้ยินเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น สายฟ้าที่มีรัศมีประมาณหนึ่งเมตรสายหนึ่งก็ฟาดเปรี้ยงลงมา
สายฟ้าสีทองฟาดลงมาบนร่าง แต่นางกลับไม่ได้รับความเจ็บปวด
ในทางกลับกันนางรู้สึกได้ถึงแรงดึงดูดที่เข้มแข็งสายหนึ่งดึงนางเข้าไปในสายฟ้าฟาด จากนั้นร่างทั้งร่างก็พุ่งตามสายฟ้ากลับขึ้นไปสู่แดนสวรรค์
เมื่อตู๋กูซิงหลันมองลงมา ก็เห็นทัศนียภาพเบื้องล่างถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว
อืม…..ความรู้สึกนั้น มันเหมือนกับว่าตนเองกลายเป็นจรวดลำหนึ่งพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟากฟ้าอย่างไรอย่างนั้น
สายฟ้าเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็ว เพียงพริบตาเดียวภูเขาและสายน้ำด้านล่างก็กลายเป็นเพียงแผนที่แห่งหนึ่ง
จากนั้นร่างทั้งร่างก็หลุดออกไปจากชั้นบรรยากาศ…..จักรวาลที่เวิ้งว้างมีแต่ความหนาวเย็น จิตวิญญาณของตู๋กูซิงหลันควบคุมร่างอย่างสมบูรณ์ แม้แต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับร่างกายของเยี่ยเฉิน นางก็สามารถสัมผัสได้
ความหนาวเย็นทะลวงผ่านแสงสายฟ้า แทรกซึมเข้าไปในลำคอ แม้แต่ผิวหนังก็ยังมีน้ำแข็งเกาะอยู่ชั้นหนึ่ง
ทำให้นางเกิดความสงสัยอย่างหนักหน่วงขึ้นมาว่า นี่นางจะหลุดออกไปอยู่ในจักรวาลอื่นหรือไม่?
จริงๆแล้ว นางรู้สึกราวกับว่าตนเองกลายเป็นนักบินอวกาศที่ปราศจากเครื่องป้องกันใดๆ
ครู่ต่อมา รอบกายของนางก็เต็มไปด้วยดวงดาวมากมายที่กำลังส่องสว่างอยู่
มองออกไป เห็นดวงดาวขนาดเท่ากำปั้นจำนวนมากมายกระพริบอยู่รอบกาย ดวงดาวที่เป็นที่ตั้งของแดนสวรรค์ คล้ายจะเหยียบย่ำดวงดาวเหล่านี้เอาไว้ใต้ฝ่าเท้า
มองเห็นดวงดาวสีน้ำเงิน ที่แสนจะงดงามกำลังเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ
ดูคล้ายกับดาวโลกอย่างยิ่ง
แต่ว่ามันมีขนาดใหญ่กว่าดาวโลกมากมาย
ยิ่งสูงขึ้นไป ดวงดาวต่างๆในแดนสวรรค์ยิ่งมีขนาดเล็กลงเรื่อยๆ ทั้งยังมีดวงดาวที่มีสีสันต่างๆมากมาย
จักรวาลอันวิจิตรงดงาม ทำให้ดวงตาของนางต้องเบิกกว้าง
แม้ว่ายามที่อยู่ในโลกปัจจุบัน ตู๋กูซิงหลันจะเก่งกาจอย่างยิ่งแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมิได้เก่งกาจจนถึงขั้นที่จะสามารถโบยบินอยู่ในอวกาศได้
เมื่อได้เห็นภาพตรงหน้า ถึงได้ประจักษ์แก่สายตาว่า จักรวาลนั้นกว้างใหญ่เพียงใด สามารถทำให้ผู้คนตื่นตะลึงได้ถึงเพียงไหน
เมื่ออยู่ในจักรวาลอันเวิ้งว้างและกว้างใหญ่ไพศาล นางถึงได้รู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงหยดน้ำหยดหนึ่งในห้วงมหาสมุทร
หยดเล็กๆ ที่มิได้แตกต่างอันใดกับละอองธุลีเลย
ภาพนี้ คงจะเป็นภาพที่งดงามที่สุดที่นางเคยเห็นมาแล้วกระมั้ง
อ้อ หากมิใช่ว่ามีซากศพลอยเคว้งคว้างอยู่ในจุดต่างๆละก็ ภาพตรงหน้านี้ก็คงจะเป็นภาพที่งดงามที่สุดจริงๆ
แม้ว่ายามนี้สายฟ้ายังคงพานางพุ่งทะยานไปอย่างรวดเร็ว แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า สิ่งที่ลอยเคว้งคว้างท่ามกลางหมู่ดาวอยู่ในอวกาศก็คือซากศพนั่นเอง
ไม่รู้ว่าพวกนั้นตายมานานเท่าไหร่ แต่ดูแล้วศพยังคงใหม่และสมบูรณ์มาก เพียงแต่ว่าสภาพการตายของแต่ละคนต่างน่าหวาดกลัว ทั้งยังมีอยู่หลายคนที่ท่าทางเหมือนกำลังบีบลำคอของคนเองเอาไว้
สายตาของตู๋กูซิงหลันเหลือบไปเห็นป้ายที่ลอยผ่านมาป้ายหนึ่ง คล้ายจะเขียนไว้ว่า ‘ซ่งxx วังตันติ่งกง’
‘หลี่xx สำนักหยินหยาง’
‘หวังxx ตำหนักซิวหลัวเตี้ยน’
และยังมีชื่อ ‘xxx’ อื่นๆที่ไม่รู้จักอีกมากมาย
ตู๋กูซิงหลัน “…..”
นางยื่นมือออกไปคว้าป้ายที่อยู่ใกล้ตัวมาป้ายหนึ่ง บนนั้นเขียนเอาไว้อย่างชัดเจนว่า ‘ซ่งฉางชิง วังตันติ่งกง’
ปลายนิ้วสัมผัสโดนเพียงเบาๆ ป้ายชิ้นนั้นก็สลายกลายเป็นผุยผง ผุยผงเหล่านั้นกระจายไปในอวกาศ กลายเป็นภาพที่แปลกประหลาด
หากว่านางจำได้ไม่ผิดละก็ ซ่งฉางชิงผู้นี้ก็คือบรรพชนของซ่งชิงอีกระมัง
ที่เล่าลือกันว่าฝึกฝนจนสำเร็จ เหาะขึ้นสวรรค์กลายเป็นเทพเซียนไปแล้ว
ที่แท้ก็มาตายอยู่ในจักรวาลอันไพศาลแห่งนี้นั่นเอง?
ในใจของตู๋กูซิงหลันบังเกิดความคิดที่บ้าบิ่นบางอย่างขึ้นมา
นางยื่นศีรษะออกไปนอกลำแสงของสายฟ้าเล็กน้อย
ก็รู้สึกได้ว่าเหมือนจะถูกดูดลมหายใจออกไปในอึดใจเดียว
นอกลำแสงสายฟ้านั้น ไม่มีอากาศแม้แต่นิดเดียว!
ตู๋กูซิงหลันรีบดึงศีรษะของตนเองกลับมา ตบลงไปบนอกเบาๆ ทอดถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “วิทยาศาสาตร์ในโลกปัจจุบันไม่ได้เป็นเรื่องโกหก ในอวกาศไม่มีอากาศอยู่จริงๆ”
ว่าแล้ว นางก็หันไปมองดูศพเหล่านั้นอีกหลายครั้ง “มิน่าเล่า เหล่าผู้แข็งแกร่งที่ทะยานขึ้นสู่เบื้องบนไม่มีผู้ใดสามารถกลับมาได้สักคน ผู้ที่ไม่สามารถก้าวข้ามเส้นกีดขวางไปได้ล้วนตกตายอยู่ในอวกาศนี่เอง”
ตู๋กูซิงหลันโคลงศีรษะไปมา “วิทยาการของเทพเซียนช่างลึกล้ำ”
นางดูถูกวิทยาการของแดนสวรรค์เกินไปแล้ว สายฟ้านี้ มิใช่สายฟ้าธรรมดาทั่วไป
มันไม่เพียงแต่สามารถลดทอนความเหน็บหนาวลงไปได้ ภายในยังมีอากาศเพียงพอต่อการหายใจ ตู๋กูซิงหลันชักจะสงสัยแล้วว่า หรือแดนสวรรค์จะมีวิทยาศาสตร์ที่ล้ำหน้าอย่างสุดยอดอยู่
เพราะว่า นางเองก็ไม่อาจอธิบายการสร้างสายฟ้าเช่นนี้ออกมาได้อย่างชัดเจนนั่นเอง
สายฟ้าพานางพุ่งไปไกล จนนานถึงเพียงใดก็ไม่รู้ แต่ว่าเส้นทางระหว่างดวงดาวเหล่านี้ เหมือนดั่งโพรงหนอนที่ถูกกำหนดเอาไว้อย่างแน่นอน สายฟ้าฟาดทะลวงผ่านโพรงหนอนแห่งหนึ่งไปยังโพรงหนอนอีกแห่งหนึ่ง
หลังจากเปลี่ยนแปลงอยู่หลายครั้งทิวทัศน์เบื้องหน้าของตู๋กูซิงหลันก็กลายเป็นทัศนียภาพอีกแบบหนึ่ง
โลกเบื้องหน้ามีแต่ความขาวโพลน ราวกับว่าหมู่เมฆทั้งหมดได้มารวมตัวกันอยู่ในที่นี่
ในมือนอกจากลำแสงของสายฟ้าแล้ว ยังสัมผัสได้ถึงเมฆหมอกเหล่านั้นอีกด้วย
สัมผัสที่ได้รับจากฝ่ามือ นุ่มละมุน
พอใช้ปลายนิ้วแทงลงไป มันก็ไม่ได้สลายตัว
หลังจากลำแสงของสายฟ้าพานางทะลวงหมู่เมฆที่หนาทึบออกมา มันก็สลายหายไปจนหมดสิ้น
ปลายเท้าของตู๋กูซิงหลัน เหยียบย่ำลงไปบนหมู่เมฆที่นุ่มนิ่มเหล่านั้น
และเบื้องหน้าก็มีหมู่เมฆเกาะกลุ่มจนกลายเป็นบันได บันไดเมฆทอดยาวขึ้นไปสู่ด้านบน เส้นทางที่คดเคี้ยวนั้นนำไปสู่หมู่เมฆที่ลอยสูงขึ้นไป
ในจักรวาลที่กว้างใหญ่และแตกต่าง ที่นี่ก็มีอากาศอยู่เหมือนกัน ทั้งยังมี ‘ไอทิพย์’ ที่แข็งแกร่งอย่างที่นางไม่เคยได้เห็นในที่ใดมาก่อน
นับตั้งแต่ที่นางออกจากดินแดนจิ่วโจวจนมาถึงที่แห่งนี้ ที่จริงแล้วใช้เวลาไปเพียงหนึ่งก้านธูปเท่านั้น
นางยืนอยู่บนก้อนเมฆ มองดูความว่างเปล่าที่มีแต่สีขาวโพลนไปทั้งแถบอยู่พักใหญ่ จึงค่อยก้าวไปยังด้านหน้าก้าวหนึ่ง
ที่นี่ยังแตกต่างจากแดนสวรรค์ที่นางเคยคิดภาพเอาไว้มาก
ตอนที่ 621 พบกับซือเป่ยอีกครั้ง
โลกปัจจุบันมีตำนานเรื่องเล่าอยู่มากมาย แต่ส่วนใหญ่แล้วจะรู้มาอย่างผิดๆทั้งสิ้น
รายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับแดนสวรรค์ที่เคยคิดเอาไว้พวกนั้น ดูเหมือนว่านางจะจินตนาการไว้มากไป
รอบด้านล้วนว่างเปล่า นางได้แต่เดินตามบันไดที่คดเคี้ยวขึ้นไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ก้าวขึ้นไป ละอองธุลีจากโลกเบื้องล่างที่อยู่บนกายของเยี่ยเฉินก็จะหลุดลอกออกไป
จนกระทั่งเดินขึ้นมาถึงสุดบันได สายตาจึงสามารถมองเห็นทิวทัศน์อีกอย่างหนึ่ง
นางยังไม่ทันได้มองดูอย่างละเอียด ก็เห็นนักรบสวรรค์ในชุดเกราะสีทองสองคนปรากฏกายขึ้นมาเบื้องหน้านาง
“เยี่ยเฉิน นายท่านรอเจ้าอยู่นานแล้ว”
สองนักรบสวรรค์จ้องมาที่เขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย วาจายิ่งแห้งแล้งปราศจากน้ำใจไมตรีแม้แต่น้อย
ตู๋กูซิงหลันพยักหน้า “จะไปเดี๋ยวนี้”
นางพึ่งจะมาถึงที่นี่ ย่อมไม่กล้าพูดอะไรมาก ยิ่งพูดเยอะยิ่งผิดพลาด เมื่ออยู่ในสถานที่แปลกประหลาดอย่างแดนสวรรค์ย่อมถูกคนจับพิรุธได้โดยง่าย
‘นายท่าน’ ที่พวกเขาเอ่ยถึง ตู๋กูซิงหลันพอจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าคือผู้ใด
สมควรเป็นซือเป่ยผู้นั้นแน่นอน
ทั้งสองไม่เสียเวลาเอ่ยวาจาไร้สาระกับเยี่ยเฉิน ต่างแยกย้ายกันมาประกบข้างกายนาง ต่างคนต่างคว้าแขนไว้คนละข้าง พริบตาเดียวก็กลายเป็นลำแสงพุ่งออกไป เพียงแวบเดียวก็นำตัวตู๋กูซิงหลันไปยังมาถึงตำหนักแห่งหนึ่ง
ใช่แล้ว เป็นตำหนักแห่งหนึ่ง
ตำหนักที่สร้างขึ้นจากทองคำ แม้แต่พื้นก็ยังปูด้วยทองแท้!
แม้ว่ามองดูคล้ายทองคำ แต่ว่าที่จริงแล้วสร้างขึ้นจากการหลอมรวมทองคำกับหินวิญญาณ
แววตาของตู๋กูซิงหลันจุดประกายความคิดขึ้นมาในทันที เจ้าแคว้นทองในดินแดนจิ่วโจวผู้นั้น ยังติดค้างภูเขาทองคำกับนางอยู่หลายลูกมิใช่หรือ?
เอาไว้กลับไปได้เมื่อไหร่ นางจะทวงเอาภูเขาทองคำของนางมาบ้าง จะปล่อยให้เจ้าจินฮั่นฮั่นผู้นั้นอยู่สบายๆได้อย่างไร
ตู๋กูซิงหลันครุ่นคิดอย่างเงียบๆอยู่ในใจ เกรงว่าพื้นที่สร้างขึ้นจากทองคำและหินวิญญาณเหล่านั้นคงจะดึงดูดสายตามากเกินไป นางจึงคิดอยู่ว่า ยามที่หลบหนีกลับไป สมควรหยิบติดไม้ติดมือไปหลายๆชิ้นดีกว่าหรือไม่?
กระทั่งเมื่อได้เหลือบเห็นเงาหลังของร่างในชุดเกราะนักรบสีทอง สายตาของนางจึงได้เงยขึ้นมา และหยุดอยู่ที่ร่างของคนผู้นั้น
แม้จะเห็นเพียงแค่เงาหลัง แต่ว่าตู๋กูซิงหลันก็สามารถที่จะจดจำได้ตั้งแต่ในแวบแรก
พู่ขนนกที่ปักอยู่บนศีรษะนั่น ช่างเตะตาเกินไปแล้ว
“นายท่าน คนถูกนำมาแล้วขอรับ” พอได้พบเขา ทหารเทพทั้งสองก็ทำความเคารพ คุกเข่าลงไปข้างหนึ่ง
“ถอยไปได้” คนผู้นั้นยังคงหันหลังอยู่ และโบกมือให้กับพวกเขาเบาๆ
จากนั้นทั้งสองก็รีบลุกขึ้นและล่าถอยจากไป
ตู๋กูซิงหลันยืนนิ่งอยู่ที่เบื้องหน้าเขา จนกระทั่ง ทหารทั้งสองหายลับไปแล้ว ซือเป่ยถึงค่อยหันร่างกลับมา
ตอนพบกันที่หุบเขาปีศาจ เขาดูระยิบระยับจนบาดตา ร่างในชุดเกราะสีทองภายใต้แสงสว่างเจิดจ้า ทั่วทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยจิตแห่งทวยเทพที่เข้มข้น
ตู๋กูซิงหลันเคยคิดเอาไว้ว่าหากตนเองได้พบซือเป่ยอีกครั้ง นางคงจะเกลียดชังจนไม่อาจจะควบคุมตนเองเอาไว้ได้
น่าจะพลุ่งพล่านเสียจนพุ่งเข้าไปฉีกกระชากเขาออกเป็นแปดส่วน แล้วสับให้กลายเป็นเนื้อบดไปเลย
แต่ว่าในตอนนี้ หัวใจของนางกลับสงบเงียบได้อย่างน่าประหลาด
แม้แต่ความรู้สึกที่ว่าระดับการเต้นของหัวใจก็ไม่ได้รุนแรงขึ้น ไม่มีเลยด้วยซ้ำ
นางยืนอยู่เบื้องหน้าซือเป่ย มองดูใบหน้าที่คล้ายกับพี่ใหญ่ของตนเองอย่างสงบนิ่ง
ครู่ต่อมา ก็ค่อยประคองหมัดขึ้นคำนับเขาครั้งหนึ่ง “ท่านแม่ทัพ”
“อืม “ซือเป่ยรับคำอย่างไม่ดังไม่เบา จากนั่งก็หันกายไปนั่งลงบนเก้าอี้สีทองตัวใหญ่ตัวหนึ่ง
สายตาของเขารั้งอยู่บนร่างของตู๋กูซิงหลันครู่หนึ่ง “มือด้วนไปแล้ว?”
ตู๋กูซิงหลันเหลือตามองดูมือซ้ายแวบหนึ่ง มือทั้งหมดถูกตัดทิ้งไปจนเสมอข้อมมือ บาดแผลสมานตัวเรียบร้อยแล้ว
“ข้าประมาทไปชั่วขณะ” นางเอ่ยต่อไป “แต่จะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้วขอรับ”
“ครั้งหน้า?”
ซือเป่ยหัวเราะเสียงเย็นชาคำหนึ่ง “เจ้าคงจะไม่รู้กระมั้งว่า เมื่อทำงานใต้บัญชาของข้าผู้เป็นแม่ทัพ ผู้ที่ผิดพลาดไม่อาจมีชีวิตอยู่อีกต่อไป?”
“ตอนนั้นท่านแม่ทัพได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ ในเมื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อไป ย่อมต้องมีประโยชน์” ตู๋กูซิงหลันไม่รีบร้อนแก้ตัว เมื่ออยู่ต่อหน้าซือเป่ย นางไม่สมควรแข็งขืนหรือยอมสงบจนเกินไป
ทีท่าเช่นนี้ เป็นทีท่าที่เยี่ยเฉินมีต่อเขาอยู่แล้ว
ตู๋กูซิงหลันเป็นถึงราชินีจอเงินแห่งโลกปัจจุบัน ทุกการกระทำที่แสดงออกมาทั้งคำพูด น้ำเสียง ท่าทางและความเคลื่อนไหวล้วนแล้วแต่สมจริงอย่างที่สุด
“ชีวิตนี้ท่านแม่ทัพได้ช่วยเอาไว้ ต่อให้ต้องตายไป ก็สมควรตายอย่างมีประโยชน์ต่อท่านแม่ทัพจึงจะสมควร”
ตู๋กูซิงหลันเอ่ยต่อไปว่า “ในเมื่อแผนการอันยิ่งใหญ่ของท่านแม่ทัพยังไม่สำเร็จ การสูญเสียฐานกำลังย่อมมิใช่ยุทธการอันดี”
พอซือเป่ยได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ ก็ต้องยิ้มออกมา
“เจ้ากลับมาจากจิ่วโจวรอบนี้ ดูเหมือนว่าจะฉลาดขึ้นอยู่บ้าง”
ตู๋กูซิงหลัน “ทั้งหมดล้วนเพราะได้รับการชี้แนะจากท่านแม่ทัพ”
ผู้ที่สูงส่งเช่นซือเป่ย ย่อมมั่นใจในความสามารถของตนเองอยู่เสมอ หากรู้จักประจบให้ดี ย่อมไม่มีขาดทุน
ซือเป่ยนั้งอยู่บนเก้าอี้ทองคำตัวใหญ่ หน้าต่างภายในห้องเปิดเอาไว้เพียงครึ่งหนึ่ง พอความสว่างภายนอกส่องเข้ามาแสงสีทองบนร่างของเขาก็ยิ่งทอประกายระยิบระยับกว่าเดิม
พอซือเป่ยมองออกไปที่นอกหน้าตา ตู๋กูซิงหลันก็หันตามไปเช่นกัน
ทิศทัศน์เหนือหมู่เมฆเบื้องหน้า แตกต่างกับความขาวโพลนอันเวิ้งว้างในยามที่นางมาถึง
เพริดแพร้วพร่างพราว วิจิตรงดงาม
สถานที่ที่พวกเขาอยู่ในยามนี้ คือตึกทองคำที่สูงมากหลังหนึ่ง
เมื่อมองลงไปจากบนตึกสูง เบื้องล่างมีแต่แสงระยิบระยับ หมู่เมฆมากมาย และตำหนักต่างๆจำนวนนับไม่ถ้วน
ในหมู่เมฆแต่ละช่องชั้น มีอาคารสูงที่วิจิตรงดงามต่างๆตั้งอยู่
และด้านหลังของอาคารสูงเหล่านั้น คือดวงดาวจำนวนมากเหลือคณาจนไม่อาจจะนับได้
ดวงดาวเหล่านี้แตกต่างไปจากดวงดาวที่เคยได้เห็นจากบนโลก ดวงดาวเหล่านี้เหมือนจะเคลื่อนที่อยู่ระหว่างหมู่เมฆไปเรื่อยๆ
เมื่อมองให้ไกลออกไป สามารถมองเห็นดวงดาวขนาดใหญ่กว่าเดิม
ความรู้สึกที่ได้เห็น เหมือนกับว่ายืนอยู่บนดวงจันทร์แล้วได้เห็นดาวโลกมากมายจนนับไม่ถ้วนไม่มีผิด
คงจะเป็นเพราะพลังแห่งเทพ จึงได้ทำให้พวกเขาสามารถสร้างวังและตำหนักของแดนสวรรค์เอาไว้ในสถานที่เช่นนี้ได้
“เจ้าจงดูตำหนักต่างๆในแดนสวรรค์นี่สิ ทั้งยิ่งใหญ่และตระการตาเกินกว่าใดจะเปรียบ แม้แต่ตำหนักของเทพสงครามเช่นข้า ก็เป็นเพียงแค่สถานที่ธรรมดาในมุมหนึ่งเท่านั้น”
เพื่อให้นางสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน ซือเป่ยจึงผลักหน้าต่างบานนั้นออกไปจนสุด และปล่อยให้นางได้ชมดูอย่างละเอียด
“ถัดจากการบำเพ็ญเพียรเพื่อเป็นนักพรต ทุกคนล้วนทุ่มเทอย่างสุดกำลัง มุ่งหมายจะข้ามผ่านไปยังโลกใหม่ แม้ว่าจะต้องฝ่าฟันอุปสรรค์นับพัน ผ่านการหล่อหลอมและฝึกฝนอันยากลำบากมานับไม่ถ้วน แต่คนที่มีบุญจนสามารถผ่านพ้นมาได้ก็มีน้อยยิ่งกว่าน้อย ผู้คนส่วนมากล้วนพักผ่อนตลอดกาลอยู่ในความมืดมิด”
อืม ตู๋กูซิงหลันพอจะเข้าใจอยู่ว่า ความมืดมิดที่เขาหมายถึงก็คือ ‘อวกาศ’นั่นเอง
ก็จะไม่ให้พักผ่อนชั่วนิรันดร์ได้อย่างไร?
ที่นั่นมันไม่มีอากาศอยู่เลยนี่!
ในบรรดาเหล่านักพรตและผู้ฝึกตนทั้งหลาย ต่อให้มีคนรู้วิชาเต่าจำศีล แต่ก็แทบจะไม่เคยมีผู้ใดสามารถมีชีวิตรอดอยู่ในอวกาศได้
ซือเป่ยยืนอยู่บนตึกสูง มองออกไปด้านนอกพลางกล่าวว่า “ต่อให้มีบุญญาธิการสามารถเหาะมาถึงนี่ได้ ก็ต้องเริ่มจากการเป็นเทพเซียนชั้นต่ำอยู่ดี เซียนสวรรค์ เซียนสวรรค์ชั้นสูง เซียนสวรรค์ร่างทอง ไต่ขึ้นมาเรื่อยๆตามลำดับ ต้องผ่านวันเวลาอันยาวนานจึงจะได้กลายเป็นเทพเซียน”
“เทพในโลกหล้า เทพศักสิทธิ์ และเทพเบื้องบน….ขึ้นมาจนถึงระดับเดียวกันกับแม่ทัพสวรรค์เช่นข้า จึงจะได้เป็นเทพสวรรค์”
“เจ้าว่า ไม่ง่ายดายเลยใช่หรือไม่?”
ตู๋กูซิงหลันมองดูเขา แม้ในใจจะหัวเราะอย่างเย็นชา แต่ภายนอกยังแสดงออกอย่างเรียบร้อย “ท่านแม่ทัพ เปี่ยมไปด้วยบุญญาธิการและพรสวรรค์ เรื่องนี่ย่อมมิใช่เรื่องยากเย็น”
บอกมาเถอะ ในเมื่อการบำเพ็ญเพียรจนสำเร็จเป็นเทพเซียนช่างยากลำบากจนถึงเพียงนี้ แล้วยังจะทำไปเพื่ออะไร?
ต่อให้สามารถเหาะขึ้นมาถึงที่นี่ได้ ก็ต้องเริ่มทีละก้าวอีกครั้ง จากลูกไก่จนสยายปีกเป็นวิหค
ที่ยากลำบากยิ่งกว่านั้น หากไม่ทันระวังพลาดพลั้งขึ้นมาก็ต้องถูกขับไล่ไปเป็นทาสรับใช้ของเหล่าเทพเซียนทั้งหลาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้รั้งอยู่ในโลกหล้า เป็นเทพเซียนที่มีอิสระเสรีให้ผู้คนสักการะจะไม่ดีกว่าหรือ
ดังนั้นหนทางที่ตู๋กูซิงหลันฝึกฝน จึงมิใช่ทั้งวิถีแห่งเซียนและยิ่งไม่ใช่วิถีแห่งเทพ
ตอนที่ 622 ตำหนักของซือมิ่ง (เทพพยากรณ์)
ดังนั้นจึงไม่จำเป็นจะต้องไล่ล่าไปตามกฏเกณฑ์เหล่านี้เลย
ยิ่งไปกว่านั้น นางเองก็ไม่เคยคิดจะเป็นเทพเซียนอันใดเลยด้วยซ้ำ
นางยืนอยู่ด้านหลังซือเป่ยอย่างเงียบๆ ไม่ได้เอ่ยปากอะไร
ถึงแม้ว่าในตอนนี้ นางจะสามารถยืนอยู่ต่อหน้าเขาด้วยจิตใจที่สงบนิ่งได้แล้ว แต่ความความเกลียดชังที่ฝังลึกในแก่นกระดูก ย่อมไม่อาจถอดถอนออกไปได้ง่ายๆ
ดังนั้นย่อมคร้านที่จะพูดคุยอะไรที่ไร้สาระกับเขา
ซื่อเป่ยเองก็เป็นผู้ที่ฉลาดล้ำผู้หนึ่ง หากว่ายามอยู่ต่อหน้าเขา ตู๋กูซิงหลันเกิดพูดอะไรที่ผิดพลาดออกไปคำหนึ่ง ก็อาจจะชักนำให้เกิดภัยได้
ซือเป่ยหันหลังให้นาง พลางมองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่าง ผ่านไปครู่หนึ่ง ค่อยหัวเราะออกมาอย่างเย็นชาคำหนึ่ง “ไม่ใช่เรื่องยากอะไรกระนั้นรึ พูดได้ดี”
“ที่เจ้าพูดมาก็ถูกอยู่ ข้าเป็นถึงแม่ทัพเทพ ไม่ใช่พวกมดปลวกเหล่านั้น สิ่งที่พวกมันใฝ่ฝัน ก็เป็นเพียงสิ่งที่ข้าแค่เอื้อมมือออกไปก็คว้ามาในมือได้ง่ายๆชิ้นหนึ่งเท่านั้น”
เขาเอ่ยด้วยสีหน้าอย่างผู้ครอบครองที่อยู่เหนือกว่าอยู่เสมอมา
ตู๋กูซิงหลันในตอนนี้คือ ‘เยี่ยเฉิน’ ย่อมไม่อาจจะไปขัดคอเขาได้
นางไม่ต่อบทสนทนา เพียงรับฟังอย่างเงียบๆ ปล่อยให้เขาผายลมไปเรื่อยๆ
“น่าเสียดาย ที่เท่านี้ยังไม่เพียงพอหรอกนะ”
ในใจของตู๋กูซิงหลันร้องออกมา “เฮอะ”
ยามที่ซือเป่ยหันกลับมา ก็เห็นนางก้มศีรษะมองดูพื้นอยู่
“ในหมู่นักรบสวรรค์ที่เดินทางร่วมไปยังแดนจิ่วโจว มีเจ้ากลับมาแต่เพียงผู้เดียว”
ตู๋กูซิงหลัน “นี่ถือเป็นบทเรียน”
“ไม่พบกันเพียงช่วงสั้นๆ เด็กสาวนั่นก็แข็งแกร่งขึ้นมากมาย” เขาเอ่ยอย่างยืนยัน
ตู๋กูซิงหลันพยักหน้าต่อไป “นางเป็นตัวประหลาด ในมือยังเพิ่มไม้คฑาด้ามหนึ่งเป็นอาวุธ พวกเราล้วนหลงกลพ่ายแพ้ให้แก่อาวุธนั้น….เหลือแต่ผู้น้อยที่รอดมาเพียงผู้เดียว แต่ก็ต้องสูญเสียมือไปข้างหนึ่งอย่างน่าเสียดาย”
พอพูดถึงตรงนี้ ตู๋กูซิงหลันก็ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันขึ้นมา
“หากว่ามีโอกาส ข้าจะต้องสับนางเป็นชิ้นๆด้วยตนเอง!”
“เกรงว่าเจ้าคงจะไม่มีความสามารถเช่นนั้น เป็นเพราะว่าข้าคาดหวังในตัวเจ้ามากไป” ซือเป่ยโบกมือ ราวกับว่ากำลังรำคาญเขาเต็มที่แล้ว
“ไปเถอะ รักษาตัวให้ดี ช่วงนี้ข้าไม่ต้องการเห็นหน้าเจ้าอีก”
ตู๋กูซิงหลันคิดในใจว่า นี่มิใช่ว่าบังเอิญหรอกหรือ?
นางเองก็ไม่อยากจะเห็นหน้าเขาอยู่พอดี
อย่าได้ถามว่าทำไมตอนนี้นางจึงยังไม่ลงมือกับซือเป่ย ตู๋กูซิงหลันมิใช่คนโง่ ซื่อเป่ยนั้นแข็งแกร่งอย่างยิ่ง เรื่องนี้นางรู้ดี
จุดประสงค์ที่มาแดนสวรรค์ในครั้งนี้ ก็เพื่อเสาะหายาแก้พิษให้กับพี่รองและสำรวจสถานการณ์ในแดนสวรรค์
ศัตรูของนางย่อมมิได้มีแต่ซือเป่ยเพียงผู้เดียว
เมื่ออยู่ในคราบของเยี่ยเฉิน ตู๋กูซิงหลันย่อมเชื่อฟังคำสั่งเป็นอย่างยิ่ง
กระทั่งเมื่อนางไปจากตำหนักของเทพแห่งสงครามแล้ว ซือเป่ยก็มิได้หันกลับไปมองนางอีกเลย
หากมิใช่เพราะว่าอดีตไท่จื่อแห่งเผ่ามังกรทมิฬผู้นี้ยังพอจะมีประโชน์ต่อเขาอยู่บ้าง เขาคงไม่มีทางปล่อยให้มันรอดไปหรอก
เขาหันร่างกลับไป มองดูตำหนักต่างๆในแดนสวรรค์ ด้วยแววตาซับซ้อน และทะเยอทะยาน
ตระกูลซือของพวกเขา ……..กำลังจะกลับสู่ความรุ่งเรืองเหมือนดั่งในอดีต เจ้าขยะอย่างซือหนาน ถูกเขาลบทิ้งไปเนิ่นนานแล้ว
………….
ตู๋กูซิงหลันล่าถอยออกจากตำหนักเทพสงคราม อาศัยความทรงจำของเยี่ยเฉินกลับไปยังที่พักของเขา
ภาพที่เห็นยากที่จะเชื่อได้ว่าเป็นจริง เหนือศีรษะเบื้องบนมิใช่ท้องฟ้าสีคราม แต่ว่าเป็นดวงดาวพร่างพราวทั่วท้องฟ้า ดวงดาวที่ล่องลอยอยู่ด้านหลังแต่ละดวงล้วนมีขนาดใหญ่โต ตำหนักแต่ละหลังล้วนวิจิตรงดงามกว้างใหญ่อลังการตั้งอยู่ในหมู่เมฆ เปล่งประกายแวววาวราวกับภาพที่มีอยู่แต่ในคอมพิวเตอร์เท่านั้น
ก่อนหน้านี้เพียงแค่เมืองว่านฮวาเฉิงก็งดงามจนสร้างความตื่นตะลึงให้กับตู๋กูซิงหลันได้แล้ว แต่ที่นี่กลับต้องเรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้าขึ้นไปอีก
เมืองสวรรค์ของแดนสวรรค์ช่างเหนือล้ำกว่าที่นางคาดคิดเอาไว้มากมาย
ท่ามกลางปุยเมฆ ยังสามารถมองเห็นเหล่าเทพธิดาที่สวมใส่ชุดฮั่นฝู ยามที่เหล่าเทพธิดาเหาะเหินไปในอากาศ ด้านหลังของพวกนางจะมีประกายของรัศมีสีรุ้งออกมา
หากดูจากภายนอก วังของแดนสวรรค์ช่างงดงามเลิศล้ำอย่างที่สุดจริงๆ
……………….
เยี่ยเฉินถูกซือเป่ยช่วยเอาไว้ ย่อมต้องถูกจัดสรรให้พักอยู่ในเขตของกองทัพเทพแห่งแดนสวรรค์
ตำหนักเทพสงคราม ลานตะวันตกที่สาม
แม้เยี่ยเฉินจะจดจำได้อย่างแม่นยำ แต่ว่าตู๋กูซิงหลันก็ไม่ได้กลับไปที่แห่งนั้นเป็นที่แรก
สายตาของนางกวาดไปทั่ววังเทพในแดนสวรรค์
ตำหนักเทพสงครามมีสิบแปดชั้น จัดสร้างขึ้นจากทองคำและหินวิญญาณ ตั้งอยู่ในฟากตะวันออก
ตามหลักฮวงจุ้ยในประวัติศาสตร์ของโลกปัจจุบัน ทิศตะวันออกถือเป็นตำแหน่งอันยอดเยี่ยม และสูงส่ง ซือเป่ยคือเทพสงครามของแดนสวรรค์ ฐานะของเขาย่อมไม่ธรรมดา
นางพึ่งจะลงมาจากชั้นสิบแปดของตำหนักเทพสงคราม แม้แต่ว่าบันไดของแต่ละชั้นมีจำนวนอยู่กี่ขั้น ตู๋กูซิงหลันก็ยังจดจำได้จนขึ้นใจ
ตำหนักที่ตั้งอยู่ใกล้กับตำหนักของเทพสงครามมากที่สุด มองดูแล้วมิได้ใหญ่โตเท่าใดนัก แม้จะตั้งอยู่ในหมู่เมฆเช่นกัน แต่ว่าก็มีเพียงสามชั้นเท่านั้น ดูท่าเจ้าของคงจะมิใช่เทพที่มีฐานะสูงส่งสักเท่าใด
เนื่องเพราะมีเมฆหมอกปกคลุมอยู่ ตู๋กูซิงหลันจึงเข้าไปหยุดอยู่ใกล้ตำหนักหลังนั้นที่ด้านหน้าครู่หนึ่ง จากนั้นถึงได้เห็นชัดเจนว่า ป้ายบนตำหนักเขียนอักษรคำว่า ‘ตำหนักซือมิ่ง’ สามคำเอาไว้
นางย่อมคิดไปถึงต้าซือมิ่งแห่งตำหนักซิวหลัวเตี้ยนในทันที
หากยึดตามที่เยี่ยเฉินเคยพูดออกมา เมื่อต้าซือมิ่งตาย จิตวิญญาณจึงกลับสู่แดนสวรรค์ และเพราะต้าซือมิ่ง ซือเป่ยถึงได้รู้เรื่องความเคลื่อนไหวของนาง จากนั้นก็ส่งเยี่ยเฉินและนักรบเทพกลุ่มหนึ่งลงมา คิดจะจับตัวนางไป
หรือไม่ก็…..ฆ่านางทิ้ง
พิษของพี่รองเป็นฝีมือของต้าซือมิ่ง วิธีที่นางจะได้ยาถอนพิษมาโดยเร็วที่สุด ก็คือต้องตามหาดวงวิญญาณของต้าซือมิ่ง….ฝีมือในการบีบคั้นความลับออกมา ตู๋กูซิงหลันย่อมมีอยู่มากมาย
ขอเพียงเสาะหาดวงวิญญาณของต้าซือมิ่งให้พบเท่านั้น
หากว่าหาไม่พบจริงๆ ย่อมต้องเลือกลงมือกับซือเป่ย หรือไม่ก็ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา
ตู๋กูซิงหลันก็มิได้เตร็ดเตร่ไปมา พอเดินไปถึง ‘ตำหนักซือมิ่ง’ นางก็หยุดลง
ขณะที่สำรวจดูบริเวณโดยรอบ ก็ได้เห็นนักรบสวรรค์ผ่านมาบ้างประปราย
นักรบสวรรค์เหล่านั้นไม่ได้สนใจนางแม้แต่น้อย พวกเขาจากไปโดยไม่คิดจะเสียเวลาหันมามองดูด้วยซ้ำ
ตู๋กูซิงหลันก็ไม่ได้เสี่ยงอันตรายมากจนเกินไป หลังหยุดอยู่ที่ด้านนอกของ ‘ตำหนักซือมิ่ง’ ชั่วขณะ นางก็อาศัยความทรงจำของเยี่ยเฉินกลับไปยังสวนที่สามในเขตตะวันตกของตำหนักเทพสงคราม
ถึงอาณาบริเวณของลานแห่งนี้มิได้ใหญ่โต แต่ก็มีขนาดพอๆกับจวนอ๋องในโลกมนุษย์แห่งหนึ่ง
แต่ถึงกระนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับตำหนักต่างๆในแดนสวรรค์แล้ว ที่นี่กลับดูทรุดโทรมกว่ามากนัก
ราวกับว่าตำหนักเหล่านั้นก็คือวังหลวง ส่วนที่นี่เป็นเพียงแค่ลานหญ้ารกๆ
ดังนั้นหากเอ่ยถึงความหรูหราฟุ้งเฟ้อของแดนสวรรค์แล้ว ย่อมเห็นเกินกว่าที่คนจะจินตนาการเอาไว้มากมายนัก
ลานตะวันตกที่สามนี้อย่างน้อยๆจะต้องเป็นที่พักของนักรบสวรรค์นับร้อยคน พวกเขาล้วนขึ้นตรงกับซือเป่ย
ห้องพักของเยี่ยเฉินอยู่ในมุมอับที่สุดของที่แห่งนี้ อาจเป็นเพราะว่าเขาเข้ามาทีหลัง ทั้งยังถูกเทพสงครามรับตัวเข้ามา ทุกคนจึงพากันไม่สนใจเขาสักเท่าไหร่
เพราะว่าจะได้เข้ามามีตำแหน่งเป็นนักรบสวรรค์ คนส่วนใหญ่ล้วนต้องผ่านการฝ่าฟันและมุ่งมั่นมานานไม่รู้ว่ากี่ปีต่อกี่ปี
ผู้ที่อยู่ที่นี่ โดยมากมักเป็นเผ่าสวรรค์ ที่มีความสูงส่งมาตั้งแต่กำเนิด แต่ละคนต่างก็รู้สึกว่าตนเองเหนือชั้นกว่าอยู่แล้ว
แต่ว่าในสายตาของพวกเขา เยี่ยเฉินก็เป็นเพียงแค่ของชั้นต่ำที่ชอบใช้ทางลัดเท่านั้น
ไม่มาสนใจก็นับว่าดี ตู๋กูซิงหลันชักเท้าเดินจากไปจากสายตาพวกที่ชอบ ‘สอดส่อง’ เหล่านั้น
แดนสวรรค์ก็มีแบ่งกลางวันและกลางคืนเช่นกัน
เมื่อความมืดมาเยือน ทั่วทั้งเมืองสวรรค์ก็มืดมิดลงไป
ดวงดาวบนท้องฟ้ากระพริบแสงสว่างมากกว่าเดิม ดาวดวงใหญ่เหล่านั้นยังคงเคลื่อนที่ด้วยตนเองต่อไป หากว่าฟังดูให้ละเอียดย่อมสามารถได้ยินเสียงดวงดาวที่กำลังเคลื่อนที่อย่างต่อเนื่องได้เลย
นอกจากเสียงที่ส่งออกมาแล้ว ก็ยังมี ‘ไอทิพย์’ ที่กำจายอยู่ตลอดเวลา
ใช่แล้ว เมื่อถึงยามค่ำ ตู๋กูซิงหลันถึงได้พบว่า ไอทิพย์ที่มีอยู่อย่างเข้มข้นและมากมายในแดนสวรรค์ล้วนส่งออกมาจากดวงดาวเหล่านั้น
ตอนที่ 623 ดวงดาวที่ถูกพันธนาการ
แม้จะบอกว่าเป็นการซึมซับ แต่ตู๋กูซิงหลันก็ยังรู้สึกเหมือนกับว่า ไอทิพย์จากดวงดาวเหล่านั้น ถูกวังและตำหนักของแดนสวรรค์สูบพลังออกมา
นางปิดประตูลง เปิดหน้าต่างเอาไว้ครึ่งหนึ่ง ในห้องมีเพียงเตียงหลังหนึ่งและของใช้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน
โดยพื้นฐานแล้วพวกเทพบนสวรรค์ล้วนอิ่มทิพย์ ไม่จำเป็นจะต้องกินอาหาร และไม่ต้องการการพักผ่อน
สิ่งที่พวกเขาต้องการ ก็คือไอทิพย์หรือพลังวิญญาณนั่นเอง
ดูดซับไอทิพย์เหล่านั้นเข้าไปในร่างกายอย่างไม่หยุดยั้งเพื่อเพิ่มพูนพลังวิญญาณของตนเอง ยิ่งต้องการไอทิพย์จำนวนมหาศาลเพื่อสร้างความเสถียรให้กับการคงอยู่ของแดนสวรรค์
และเพราะมีพลังเช่นนี้ พวกเขาจึงสามารถรักษาสถานะของผู้ปกครองทั้งหกภพภูมิไปได้ตลอดกาล
ส่วนดวงดาวที่ถูกพันธนการเอาไว้เหล่านั้น ผิวนอกของมันล้วนแตกราวออกมา ราวกับร่างที่ถูกโซ่ตรวนรัดและบีบเค้นเอาไว้อยู่ตลอด จนต้องจำต้องยอมส่งมอบไอทิพย์ออกมา
ในบรรดาดวงดาวเหล่านั้น มีอยู่ดวงหนึ่งที่มีสีน้ำเงินดูคล้ายกับดาวโลกอย่างยิ่ง
ตู๋กูซิงหลันมองดูโซ่พลังวิญญาณที่ร้อยรัดดาวเหล่านั้น สำหรับพวกมันแล้ว ก็มิได้ต่างอะไรกับโซ่เหล็กเลยแม้แต่น้อย
อยู่ๆในสมองของตู๋กูซิงหลันก็คิดไปถึงคำพูดของเสือดำขึ้นมา
ในยุคของพี่สาวต๋าจี่ เผ่ามนุษย์ก็ต้องถวายบรรณาการแด่เผ่าเทพอยู่เสมอ
ภาพที่เห็นในตอนนี้ ก็ทำให้นางรู้สึกว่า ดวงดาวเหล่านั้นก็กำลังถูกบังคับให้ส่งมอบสิ่งที่มีออกมาเช่นกัน
พลังพิภพและฟ้าดินของดวงดาว ก็คือของขวัญและสิ่งล้ำค่าที่สุดของทุกชีวิต ไม่มีแบ่งแยกเผ่าพันธุ์ ไม่แบ่งแยกชนชั้นต่ำสูง
สิ่งมีชีวิตทุกอย่างล้วนดำรงอยู่ได้ด้วยพลังชีวิต
หากว่าพิภพที่ใด หรือดาวดาวใดพลังชีวิตสูญสิ้น ผลลัพธ์ที่ต้องเผชิญก็คือความล่มสลาย
วิธีการของแดนสวรรค์ ไม่ต้องคาดเดาก็รู้เลยว่ากำลังผลักดาวเหล่านี้ไปสู่ความล่มสลาย
เมื่อดาวดวงหนึ่งแตกดับ สิ่งมีชีวิตมากมายก็ต้องสูญสิ้นไปด้วย
เทพที่สูงส่งอยู่เบื้องบน กลับเอาแต่มองดูผู้อื่นเป็นมดปลวกเบื้องล่างอย่างปราศจากน้ำใจใดๆทั้งสิ้นอยู่เสมอ
แล้วยังจะคงเรียกขานว่าเป็นเทพอีกได้อย่างไร
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกว่านี้ช่างเป็นเรื่องน่าขบขันและน่าอนาถใจไปพร้อมๆกัน
แต่ว่านางในตอนนี้ ก็ไม่มีกำลังจะไปทัดทานเช่นกัน
ในเมื่อนอนไม่หลับตลอดคืน
นางก็ได้แต่นั่งสมาธิอยู่บนเตียง
พอถึงวันใหม่ฟ้าสว่าง ก็มีคนมาเคาะประตูห้องของนาง
เป็นนักรบสวรรค์ที่คอยรับตัวนางที่หน้าบันไดคู่นั้น
คนหนึ่งสูงผอมเรียกว่า หยูเซิน อีกคนที่ดูแข็งแกร่งกว่าหน่อยเรียกว่า สือจี่
เมื่อทั้งสองได้เจอนาง สีหน้าก็มิได้มีความยินดี
หยูเซินพอยกมือขึ้นมาก็โยนกุญแจดอกหนึ่งให้นาง “วันนี้เป็นเวรของเจ้าไปป้อนอาหารให้เจ้านกยักษ์”
กุญแจดอกนั้นมีขนาดใหญ่ประมาณฝ่ามือของผู้หนึ่ง หนักพอสมควรเลยทีเดียว
เจ้านกยักษ์……
ตู๋กูซิงหลันทบทวนความทรงจำอยู่ชั่วขณะ ก็นึกได้ว่ามันคือเจ้าตัวที่ใช้กรงเล็บแทงละทุอกของท่านอาจารย์ไปนั่นเอง
“ข้าพึ่งจะกลับขึ้นมา แถมยังสูญเสียมือไปข้างหนึ่ง นกยักษ์ตัวนั้นดุร้ายโหดเ**้ยม ข้าจะป้อนอาหารมันได้อย่างไร?”
นางถือกุญแจเอาไว้ ด้วยท่าทางที่เหมือนคนจนปัญญาผู้หนึ่ง
หยูเซินยิ้มออกมาในทันที
“เจ้ารู้หรือไม่ว่านักรบสวรรค์มีฐานะสูงส่งเพียงไร นักรบสวรรค์ตั้งมากตั้งมายเดินทางลงไปพร้อมๆกับเจ้า แต่ว่าลูกหลานของพวกกบฏต่ำทรามอย่างเจ้ากลับยังรอดกลับมาเพียงผู้เดียว ให้เจ้าไปป้อนอาหารนกยักษ์ยังจะถือว่าลำบากเจ้าอีกหรือ?”
“ใช่แล้ว เหล่าพี่น้องของพวกเรากลับต้องสละชีพไป!” สือจี่ยิ้มเย็นชาออกมา
“อย่าได้คิดว่ามีนายท่านคุ้มครอง เจ้าก็จะสามารถอยู่ในแดนสวรรค์ได้อย่างสุขสบาย ดูให้ดี บนแดนสวรรค์แห่งนี้ มีผู้ใดมิใช่ผู้ยอดเยี่ยมกัน เป็นแค่สวะจากโลกเบื้องล่างแท้ๆ จะมาเสแสร้งทำสูงส่งอันใด!”
สือจี่พูดพลาง ก็ผลักใส่ตู๋กูซิงหลันครั้งหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันมิได้หลบหลีก นางเพียงแต่รับเอาไว้ถ่ายเดียว
ฝ่ามือนี้มีพละกำลังมิใช่น้อย กระแทรกใส่ทรวงอกจนอึดอัดไปหมด
นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่นางเผชิญหน้ากับนักรบสวรรค์ ในระยะประชิด พอทนรับฝ่ามือนี้ไปก็สามารถประเมินพลังของนักรบสวรรค์ได้
แม้มิได้ใช้พลังอย่างเต็มที่ แต่ว่าพลังนี้ก็ไม่ถือว่าอ่อนแอ
ในเมื่อได้รับไอทิพย์จากดวงดาวต่างๆอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แล้วจะอ่อนแอได้อย่างไร?
‘ร่างกาย’ ของนางโอนเอนไปมาอยู่ครู่หนึ่งถึงค่อยกลับมายืนได้อย่างมั่นคง
แววตาเผยความ ‘ไม่ยอมสยบ’ แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
ดูท่าแล้ว วันเวลาในแดนสวรรค์ของ เจ้าพ่อพันธุ์ม้าคงมิได้สุขสบายสักเท่าไร คำพูดเมื่อครู่ทำให้นางจับประเด็นสำคัญได้ขึ้นมา
‘ลูกหลานของพวกกบฏต่ำทราม’
ข่าวสารนี้วิเคาระห์ได้ถึงสามส่วน
ประการแรก: ซือเป่ยมิได้ปิดบังฐานะของเยี่ยเฉิน
ประการที่สอง: ซือเป่ยมีอำนาจมากพอที่จะคุ้มครอง ‘ลูกหลานกบฏ’ เช่นเขา แสดงว่าฐานะของซือเป่ยในแดนสวรรค์จะต้องแข็งแกร่งกว่าที่นางคิดเอาไว้มาก
ประการที่สาม: กบฏพวกนั้น คือบิดาคนงาม หรือว่าหวาชางสุ่ย?
ก่อนหน้านี้บิดาคนงามก็เคยเล่าเรื่องของหวาชางสุยเอาไว้บ้าง ตระกูลของหวงชางสุยคือเผ่าเทพของแดนสวรรค์ ต่อมากระทำความผิด ทั้งตระกูลจึงถูกล้มล้าง นางที่เป็นลูกหลานของนักโทษจึงถูกส่งมาแต่งงานกับบิดาคนงาม
ส่วนบิดาคนงามนั้น แต่ไหนแต่ไรก็ไม่เคยได้รับความชื่นชมจากพวกเผ่าเทพบนสรวงสรววค์อยู่แล้ว มิเช่นนั้นจะถูกบีบบังคับอย่างหนักหน่วงให้ต้องกักบริเวณอยู่แต่ในก้นทะเลลึกหรอกหรือ?
“ที่นี่คือแดนสวรรค์ ทำอะไรก็รู้จักเจียมตนสักหน่อย จะได้ใช้ชีวิตดีๆกับเขาได้บ้าง ไอ้ลูกผสม สั่งให้เจ้าทำงานอะไร เจ้าก็ต้องรู้จักวิ่งให้คล่องหน่อย” หยูเซินสองมือกอดอกไว้ แววตามีแต่ความดูถูกเหยียดหยาม
ตู๋กูซิงหลันกำกุญแจดอกนั้นเอาไว้แน่น กัดฟันกรอด ด้วนท่าทางเสมือนว่า ‘ข้ายังทนได้ ต่อให้ข้าต้องถูกเหยียดหยามสักเท่าไหร่ก็ยังคงทนได้’
สองคนนั้นคร้านที่จะพูดกับนางให้มากความ
“อ้อ มันต้องกินปลามังกรที่สดใหม่ เจ้าต้องไปจับที่สายธารดวงดาว อย่าให้น้อยกว่าร้อยตัวเล่า”
“นกยักษ์ต้องได้กินอาหารตรงเวลาทุกๆวัน หากว่าไปสาย เจ้าก็จงเป็นอาหารของมันเสียเถอะ!”
ทั้งสองยกยิ้มมุมปาก เผยรอยยิ้มไม่แยแสออกมา
จากนั้นก็หัวเราะอย่างเย็นชาพลางเดินจากไป ทอดทิ้งตู๋กูซิงหลันเอาไว้ที่เดิม
นางกำลังหาข้ออ้างในการออกไปสำรวจให้ทั่วไม่ได้อยู่พอดี มิใช่หรือ?
หากนางวิ่งไปทั่วแดนสวรรค์แล้วถูกจับได้ขึ้นมามีหวังแก้ตัวไม่ออก เมื่อมีภาระหน้าที่ ‘ป้อนอาหารเจ้านกยักษ์ ’ ย่อมสะดวกต่อการเคลื่อนไหวแล้ว
สายธารดวงดาว
ในความทรงจำของเยี่ยเฉิน สายธารดวงดาว อยู่ที่ฝากตะวันตก
แดนสวรรค์มีแม่น้ำสวรรค์เพียงสายเดียว ไหลจากฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตก
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางย่อมสามารถท่องไปทั่วแดนสวรรค์รอบหนึ่ง
ตู๋กูซิงหลันกำกุญแจในเมื่อเอาไว้แน่น สวมหมวกเกราะของนักรบสวรรค์ลงไป หยิบหอกที่วางอยู่ในห้องของเยี่ยเฉินออกมาเล่มหนึ่งก็ทะยานออกไปในทันที
ยามที่ผ่านไปทางตำหนักของซือมิ่งนางยังหยุดดูอยู่ครู่หนึ่ง
เมื่อคืนนี้ นางใช้ยันต์โลหิตไปชิ้นหนึ่ง เป็นยันต์ติดตาม
บนนั้นยังมีเส้นผมของต้าซือมิ่งเส้นหนึ่งอยู่ด้วย ยังดีที่ก่อนหน้านี้นางไม่ได้ทิ้งมันไป แต่เก็บ
สิ่งนั้นเอาไว้ในถุงเฉียนคุน
บนแดนสวรรค์ แม้แต่การจะใช้ยันต์นางก็ยังระมัดระวัง ดังนั้นพอลงมือก็เลือกใช้ยันต์โลหิตแต่แรก
หากว่าดวงวิญญาณของต้าซือมิ่งอยู่ในตำหนักของตนเอง ยันต์ติดตามย่อมกลับมาแจ้งแล้ว
หลังหยุดดูอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ออกเดินทางอีกครั้ง
ตำหนักต่างๆในแดนสวรรค์ล้วนมีเอกลักษณ์ ขนาดใหญ่เล็กแตกต่างกัน ระหว่างตำหนักต่างๆมีระยะห่างระหว่างกันประมาณหลายพันเมตร
แต่เพราะทุกคนต่างใช้วิธีเหาะเหินอยู่ตลอดเวลา ระยะห่างหลายพันเมตรนี้จึงไม่นับว่าไกล
ตำหนักของซือมิ่งค่อนไปทางตะวันตก เป็นตำหนักเล็กสามแห่งเชื่อมเข้าหากัน แยกได้เป็น ตำหนักเฉี่ยนหยุนกง ตำหนักผีซากง และตำหนักซานชิงกง
ชื่อของตำหนักเล่านี้ฟังดูแล้วช่างคุ้นเคยอยู่บ้าง ตู๋กูซิงหลันลองทบทวนดูอยู่ครู่หนึ่ง
ดูเมื่อว่าในตำนานเทพยาดาของโลกปัจจุบันมีบันทึกอยู่
นอกจากสามตำหนักเล็กแล้ว ก็ยังมีตำหนักกลางหลังใหญ่อีกแห่งหนึ่ง
ตำหนักโตวซ่วยกง
ตู๋กูซิงหลัน “หืม?”
ตำหนักโตวซ่วยกงที่มีชื่อในการหลอมยาตันนะหรือ?
นางเหลือบมองดูด้วยความประหลาดใจอีกหลายครั้ง
ขณะที่กวาดตามองไป พอดีได้เห็นเทพธิดาในชุดสีขาวผู้หนึ่งกำลังเดินออกมา
เส้นผมทั้งหมดถูกหวีสางจนเรียบกริบ ไม่มีหลุดลุ่ย เหนือศีรษะมีรัศมีสีขาวกระจายออกมา ชุดของนางพริ้วไปในสายลม ดูแล้วน่ามองอย่างยิ่ง
ตอนที่ 624 ซวงซิว (ร่วมฝึกฝน)
คนผู้นั้นก็หันมามองดูตู๋กูซิงหลันเช่นกัน
ทั้งสองต่างสบตากัน
เมื่อได้เห็นอย่างชัดเจน ตู๋กูซิงหลันแทบอยากจะขยี้ตาตนเอง นางพลันเกิดความสงสัยว่าตนเองตาฝาดไปหรือไม่
สตรีผู้นั้น….จะว่าอย่างไรดี เหมือนกับซ่งชิงอีไม่มีผิดเพี้ยน
ตอนที่อยู่ในอวกาศ นางได้เห็นซากศพของคนตระกูลซ่งมาไม่น้อย
เดิมทียังคิดว่าไม่มีผู้ใดสามารถก้าวผ่านความว่างเปล่าเหล่านั้นมาได้เสียอีก
หากมิใช่ว่าได้เห็นสตรีผู้นี้กับตา ตู๋กูซิงหลันก็คงคิดว่าพวกเขาดับสิ้นกันไปหมดแล้ว
ตอนนี้ก็ได้พบแล้ว แต่ว่าเพียงแค่รูปลักษณ์ก็ยังไม่แน่ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกัน
“จ้องมองข้าทำไม” สตรีผู้นั้นเหาะมาถึงข้างกายนาง “ผู้อาวุโสเช่นข้าเป็นถึงเทพโอสถ ซ่งเจียเหริน ใช่ผู้ที่เทพน้อยอย่างเจ้าจะมาจดจ้องได้หรือ?”
ตู๋กูซิงหลัน “….” ซ่งเจียเหริน ว่าแล้วไง นางเป็นรุ่นบรรพชนของตระกูลซ่งจริงๆด้วย
นางรีบก้าวถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ด้วยท่าทางสุภาพ ดวงตาและหัวคิ้วมีรอยยิ้ม เอ่ยว่า “นี่ย่อมต้องเป็นเพราะว่าท่านเทพธิดางดงามน่าประทับใจ จนผู้คนต้องเหลือบดูให้มากอีกหน่อย ขอเทพธิดาอย่าได้ถือสา”
“ด้วยรูปโฉมของเทพธิดา เทพบุตรองค์ใดในแดนสวรรค์ได้พบพาน ย่อมต้องอยากมองดูด้วยกันทั้งนั้น ผู้น้อยเพียงชื่นชมด้วยความบริสุทธิ์ใจ มิได้คิดอกุศลใดๆทั้งสิ้น”
หากว่าพูดถึงรูปโฉมภายนอก รูปลักษณ์และหน้าตาของเยี่ยเฉินนับว่าอยู่ในระดับยอดเยี่ยม
โครงหน้าส่วนนูนโหนกล้วนสมสัดส่วน ปากคอคิ้วคางคมสัน ทั้งยังมีเส้นผมสีน้ำเงินดำยาวที่งดงามอย่างยิ่ง
ดวงตาคู่นั้นลึกล้ำดุจน้ำทะเล เหมาะสมกับการเป็นบุรุษเจ้าสำราญอย่างแท้จริง
ยิ่งเมื่อมีร่างกายที่สวยงามราวกับนายแบบระดับโลก รูปลักษณ์ของเยี่ยเฉินย่อมโดดเด่นจนเหนือล้ำกว่าเหล่านักรบสวรรค์ทั่วไป
ท่าทางที่สุภาพนุ่มนวล ชื่นชมอย่างจริงใจไม่หยาบคาย ย่อมสามารถทำให้ซ่งเจียเหรินพอใจอยู่บ้าง
“เห็นแก่ที่เจ้าเป็นนักรบสวรรค์ที่พึ่งมาใหม่ ยังไม่รู้จักกฎเกณฑ์ ข้าจะบอกให้ว่า ยอดพธูของแดนสวรรค์ ย่อมต้องเป็น เทียนโฮ่ว[1] ต่างหาก”
แม้ว่าจะพูดออกไปเช่นนั้น แต่ในใจของซ่งเจียเหรินก็ยังคงยินดี “เห็นแก่ที่เจ้าพึ่งมาไม่รู้เรื่องราว ข้าจะไม่ถือสาเอาความกับเจ้า ตำหนักโตวซ่วยกงมิใช่สถานที่ที่เจ้าควรจะมา จงรีบไปเสีย”
“ขอบคุณในความปรารถนาดีของเทพธิดา” ตู๋กูซิงหลันพยักหน้า นางเองก็ไม่คิดจะสร้างความกระโตกกระตากใดที่นี่
พอหมุนตัวกลับ เหาะออกไปยังไม่ทันถึงสองก้าว ก็ถูกซ่งเจียเหรินเรียกเอาไว้อีก
“เจ้ามีชื่อว่าอะไร?”
ตู๋กูซิงหลันชะงักเท้าหยุดลง หันกลับมา นางคลี่ยิ้มสดใสราวลูกหมาย้อย “ผู้น้อย เยี่ยเฉิน เป็นนักรบสวรรค์ใต้บัญชาของเทพสงคราม”
“เยี่ยเฉิน…..” ซ่งเจียเหรินทวนชื่อนั้นเบาๆ นางถูกรอยยิ้มสดใสราวลูกหมาน้อยของเจ้าหนุ่มนั่นทำเอาใจเต้นโครมคราม “เหมือนว่าจะเคยได้ยินจากที่ใดมาก่อน…”
ในแดนสวรรค์ เพียงแบ่งลำดับชั้นอย่างเข็มงวด แต่การแบ่งแยกระหว่างชายหญิงกลับมิได้ชัดเจน
นี่อาจมิใช่เรื่องของความรัก แต่เพื่อการบำเพ็ญเพียร ในแดนสวรรค์จึงมีการจับคู่เพื่อฝึกฝนอยู่มากมาย
มีทั้งที่เต็มใจร่วมกันฝึกฝน และแบบทั้งที่บีบบังคับให้ฝึกฝนร่วมกัน
ซ่งเจียเหรินพึ่งบอกลากับคู่ฝึกคนก่อน จัดว่าอยู่ในช่วงพึ่งโสด[2] นางกำลังคิดจะหาหนุ่มเนื้ออ่อนมาร่วมกันฝึกฝนซวงซิว นี้มิใช่ว่าช่างบังเอิญพอดีหรอกหรือ
ขณะที่นางพึมพำอยู่กับตนเอง ตู๋กูซิงหลันก็เหาะออกไปไกลแล้ว
เหาะผ่านตำหนักโตวซ่วยกง ก็ได้เจอหมีหลัวกง กว่างหมิงกง เมี่ยวเหยียนกง ไท่หยางกง ฮว่าเล่อกง หยุนโหลกง อูฮ่าวกง ถงหวากง
ตำหนักเหล่านั้นล้วนครึกครื้น มีเทพธิดาและเทพบุตรเหาะไปมาอย่างคึกคัก
ตำหนักต่างๆในแดนสวรรค์มิได้อยู่ในระดับเดียวกันทั้งหมด
แต่ละตำหนักแยกออกจากกัน ล้วนตั้งอยู่บนหมู่เมฆ และระหว่างดวงดาวต่างๆ
หลังจากเหาะผ่านตำหนักนั้นตำหนักนี้ สายตาของนางก็มองไปเห็นตำหนักที่วิจิตรงดงามที่สุดในแดนสวรรค์
มังกรสีเขียวหยกเก้าตัวบินผงาดนำทางอยู่ด้านหน้า ตำหนักที่ใหญ่โตโอ่อ่าหลังหนึ่งตระหง่านอยู่เหนือหมู่เมฆ
มังกรทองขนดทั้งแปดสิบแปดตัวแทบจะทะลวงหมู่เมฆเบื้องบนออกไป
ท่ามกลางหมู่มังกรขนดเหล่านั้น คือบันไดที่สูงตระหง่านแห่งหนึ่ง
บันไดสร้างขึ้นจากหยกขาวมีทั้งหมดสิบแปดชั้น
ที่อยู่เบื้องหลังของบันไดคือวังที่วิจิตรงดงามตระการตาหลังหนึ่ง
วังขนาดใหญ่ที่สูงหลายร้อยเมตรหลังหนึ่ง ตำหนักหลักตั้งอยู่ตรงกลาง อักษรขนาดใหญ่ ‘หลิงเซียวเป่าเตี้ยน’ สี่ตัวลอยพลิ้วอยู่เบื้องบน
รอบข้างของตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนยังมีตำหนักน้อยอีกหลายหลัง
รอบนอกของตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนทั้งหลังมีเขตอาคมที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งคุ้มครองอยู่
งดงามอลังการ สวยสง่าล้ำโลก
เหตุที่ยามตู๋กูซิงหลันอยู่บนตำหนักของเทพสงครามแต่กลับมองไม่เห็นตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนแห่งนี้ ก็คงจะเป็นเพราะว่ามีเขตอาคมบังตาอยู่นั่นเอง
หากเอาเกณฑ์ของโลกปัจจุบันมาใช้ สิ่งก่อสร้างที่สูงประมาณร้อยเมตร สมควรมีทั้งหมดสามสิบชั้น
และตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนแห่งนี้ อย่างน้อยๆต้องสูงกว่าหกร้อยเมตรแล้ว
กะกะดูแล้วก็ต้องมีขนาดเทียบเท่ากับตึกสองร้อยชั้นในโลกปัจจุบัน
ตู๋กูซิงหลัน “….”
หากว่ามิได้เห็นด้วยตาของตนเอง นางคงต้องคิดว่านี่มันเกินจริงไปแล้ว
บนตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยน มีอัญมณีหลากสีสัน แต่ละอย่างต่างก็แข่งขันกันเปล่งประกายสุดชีวิต
ตอนแรกนางก็คิดว่าซือเป่ยหรูหรามากแล้ว
ตอนนี้ดูๆไปแล้ว ตำหนักเทพสงครามก็แค่ของเด็กเล่นเท่านั้น
หากหยิบเอามุกมณีบนตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนสักเม็ดออกมา ก็สามารถเขวี้ยงใส่ตำหนักเทพสงครามจนเป็นรูโบ๋ได้แล้ว
ที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ ตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนแห่งนี้มิได้อยู่นิ่ง!
ตอนแรกตู๋กูซิงหลันเข้าใจไปว่า มังกรทั้งเก้าที่อยู่ตรงหน้าตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนสร้างขึ้นจากหยกเขียว
แต่ความคิดนั้นต้องถูกปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
นั่นคือมังกรจริงๆ!
บนลำคอของพวกมันยังมีโซ่ขนาดใหญ่หนาเท่าท่อนแขน มังกรทั้งเก้าถูกล่ามเอาไว้ด้วยกัน พอแส้จากท้องฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาครั้งหนึ่ง ก็จะได้ยินเสียงร้องคำรามสะเทือนฟ้าสะท้านดินจากมังกรเขียวหยกเหล่านั้น
เสียงคำรามเหล่านั้นบีบรัดเข้าไปในหัวใจของตู๋กูซิงหลัน
นางรู้สึกได้ถึงความสิ้นหวังและเสียงวิงวอนดังสะท้อนไม่สิ้นสุดจากเสียงคำรามที่ได้ยิน
ในกายของนางมีสายเลือดของมังกรทมิฬไหลเวียนอยู่ครึ่งหนึ่ง อีกทั้งบิดาคนงามยังยกตำแหน่งประมุขเผ่ามังกรทมิฬให้กับนาง
ภาษาของมังกร นางในตอนนี้จะฟังไม่เข้าใจได้อย่างไร?
เพียงแต่ว่าทั้งที่ได้ยินเป็นครั้งแรก แต่ว่าจิตใจกลับได้รับความสะเทือนใจถึงเพียงนี้
พวกมังกรที่ถูกบังคับให้มีชีวิตอยู่เช่นนี้ ช่างสงสารอย่างยิ่ง
แส้สวรรค์แต่ละเส้นที่ฟาดลงไป ฉีกเนื้อหนังของพวกมันออกมา
แต่แล้วบาดแผลบนร่างของพวกมันก็ประสานคืนดังเดิมอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็ฉีกขาดอีกครั้ง แล้วก็ประสานคืนอีก
โซ่แต่ละเส้นทะลวงเข้าไปในลำคอของพวกมัน ถูกพวกมันลากดึงวังที่วิจิตรงดงามแต่หนักยิ่งกว่าภูเขาลูกหนึ่งเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ
และเหล่าเทพองค์อื่นๆที่เห็นอยู่ ต่างก็มีรอยยิ้มอยู่ในหน้า
“เจ้าสัตว์เดรัจฉานเหล่านี้กรีดร้องอยู่ทั้งวี่ทั้งวัน ช่างหนวกหูจริงๆ”
“เทียนตี้และเทียนโฮว่ทรงมีพระเมตตา มิได้ตัดลิ้นของพวกมันทิ้งไป เผ่ามังกรกระทำความผิดมีโทษมหันต์ แต่แค่ถูกจับกลับมาลากตำหนักหลิงเซียวเป่าเตี้ยนเท่านั้น ยังจะน่าอนาถในที่ใด?”
“ที่น่าสงสารก็คือหูของพวกเรา ที่ต้องทนทรมานฟังเสียงร้องคำรามของพวกมันอยู่ทุกวัน”
ในหูของตู๋กูซิงหลันมีแต่เสียงของเทพเหล่านั้นดังกลับไปกลับมา
ในตอนนี้ นางได้แต่กำหมดแน่น
แม้แต่เยี่ยเฉินที่มีกำเนิดจากเผ่ามังกรทมิฬก็ยังคำรามอยู่ภายในไปพร้อมๆกับนาง
ตู๋กูซิงหลันรู้สึกได้ถึงจิตมังกรที่ถูกผนึกเอาไว้ของเยี่ยเฉินกำลังร้องคำรามอย่างเกรี้ยวกราด
ถึงแม้ว่าเยี่ยเฉินจะมิใช่ตัวดีงามอะไร แต่ก็มิใช่ผู้ที่จะยืนเฉยทนดูเผ่าเดียวกันถูกทรมาน
“ข้าขอสาบานในฐานะประมุขแห่งเผ่ามังกร สักวันหนึ่งจะต้องปลดปล่อยพวกเจ้าออกมา ให้ได้รับอิสระ”
เมื่อได้มองดูมังกรหยกเหล่านั้น ตู๋กูซิงหลันก็ได้แต่เอ่ยความคิดนี้อยู่ในใจ
ขณะที่มังกรหยกทั้งหลายลากวังเหาะผ่านนางไป พวกมันก็เหมือนรู้สึกได้ถึงบางสิ่งจึงพากันหันมามองดูนางแวบหนึ่ง
……………………………
[1] ชายาเอกของจักรพรรดิสวรรค์
[2] [kōngchuāngqī] (ช่องว่างระหว่างบานหน้าต่าง): = ช่วงที่ร่างกายได้รับเชื้อจนถึงเริ่มแสดงอาการ ภายหลังถูกนำมาใช้กับความรัก คือช่วงโสด พึ่งจบกับรักเก่า และกำลังรอคอยรักใหม่
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น