ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 614-629

 ตอนที่ 614 ฮีโร่ช่วยสาวงาม


แฮมเนื้อเป็นของตะวันตกที่พวกฝรั่งนำมาเผยแพร่ ซึ่งความจริงก็คือแฮมกระป๋องนั่นเอง เป็นอดีตเสบียงของทหารอเมริกัน เหล่าทหารอเมริกันทานจนเอียนเลยเผยแพ่สู่คนทั่วโลก และประเทศจีนคือหนึ่งในนั้น


เวลานี้แฮมเนื้อเป็นของที่หายากมาก  เพราะเป็นของจากตะวันตก กระป๋องหนึ่งราคาไม่ถูกเลย ต้องใช้เงินตั้งสองหยวน ครอบครัวธรรมดาไม่มีทางควักงินเพื่อซื้อมันมาทานอยู่แล้ว!


เงินสองหยวนซื้อเนื้อได้ตั้งหลายขีด แต่การซื้อแฮมเนื้อกระป๋องหนึ่งไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย!


คงมีแค่ครอบครัวที่มีเงินใช้ไม่ขาดมืออย่างสวี่ซาซาถึงยอมเสียเงินซื้อแฮมเนื้อมาทานกับขนมปัง เรียกว่าการใช้ชีวิตแบบคนรวย


“ของฉันยี่ห้อเหมยหลินเชียวนะ ยี่ห้อดัง อู่เยวี่ยเธอต้องหิวมากแน่ๆ ใช่มั้ย? ไม่เรียกพี่ซาซาก็ได้ งั้นเธอเลียนเสียงหมาเห่า แล้วฉันจะให้เธอกิน!”


สวี่ซาซาคว้ามืออู่เยวี่ยไว้ พลางพูดจาหยอกล้ออู่เยวี่ยเล่น ๆ


“สวี่ซาซาเธอปล่อยฉันนะ ก็แค่แฮมเนื้อกระป๋องเดียวจะมาวางมาดต่อหน้าฉันทำไม? หึ พวกคนรวยที่ไร้การศึกษา คิดว่าแฮมเนื้อคือของดี นั่นมันก็แค่ขยะที่พวกคนอเมริกันไม่เอา แม้แต่หมาที่อเมริกายังไม่กินเลย บ้านเธอถือเป็นของล้ำค่า ช่างน่าขำจริงๆ!”


สุดท้ายอู่เยวี่ยก็ทนไม่ไหวโพล่งโต้กลับไป  การพูดจาเสียดสีกระแนะกระแหน ต่อให้มีสวี่ซาซาสิบคนก็สู้เธอไม่ได้!


สวี่ซาซาเปลี่ยนสีหน้าทันที สิ่งที่เธอเกลียดที่สุดก็คือการที่คนอื่นเรียกบ้านเธอว่าบ้านรวยฉับพลัน  เพราะพ่อแม่เธอไม่มีการศึกษาอย่างที่ว่าจริงๆ อ่านหนังสือออกแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น


“อู่เยวี่ยพ่อแม่ของเธอมีการศึกษาเหรอ? มีการศึกษาแล้วคนหนึ่งยังเป็นขี้คุก อีกคนเป็นบ้า? คนยาจกอย่างเธอยังมีหน้ามาบอกว่าแฮมเนื้อคือขยะ? เธอลองซื้อสักกระป๋องให้ฉันดูสิ!”


เจินหวานหว่านรีบพูดเสริมขึ้นมาว่า “เธอจะซื้อแฮมเนื้อได้เหรอ? ขนาดกระดาษทิชชูยังไม่มีปัยญาซื้อเลย !”


“โถ่ ช่างน่าสงสาร ไม่มีเงินซื้อแม้แต่กระดาษทิชชูแล้วเหรอ ให้ฉันบริจาคเงินค่ากระดาษทิชชูให้เธอสักหยวนมั้ย!”


สวี่ซาซาล้วงเงินหนึ่งหยวนจากกระเป๋าโบกตรงหน้าอู่เยวี่ยไปมา อู่เยวี่ยตาแดงก่ำ เธอเคยโดนหยามแบบนี้เสียเมื่อไรกัน จนสุดท้ายทนไม่ไหวพลางแย่งเงินหนึ่งหยวนมาแล้วขยำเป็นก้อนก่อนจะโยนใส่หน้าสวี่ซาซา


“โอ๊ย!”


สวี่ซาซาอารมณ์เดือดพล่าน  ยกฝ่ามือตบศีรษะอู่เยวี่ยหนึ่งฉาดแล้วยกขาถีบหน้าท้องอู่เยวี่ยหนึ่งที ทั้งกำปั้นทั้งเท้าอู่เยวี่ยไม่มีทางตั้งรับไหว ถูกคนพวกนั้นผลักไปมาจนเวียนหัว แถมยังมีเสียงอื้ออึงดังก้องอยู่ในหู


“เธอสูงส่งมากไม่ใช่หรือไง? ไม่กินของที่คนอื่นให้? แต่ฉันจะให้เธอกิน อ้าปากรับเนื้อไปซะ นี่ฉันสงสารเพราะเห็นเธอไม่ได้กินเนื้อหรอกนะถึงตั้งใจซื้อมาฝากเธอ เชื่อฟังนะเด็กดี กินลงไปซะ ! ”


สวี่ซาซาเปิดฝากระป๋องใช้ช้อนควักก้อนเนื้อสีอมชมพูออกมายัดใส่ปากอู่เยวี่ย อู่เยวี่ยขย้อนออกมา สวี่ซาซาก็เก็บจากพื้นยัดใส่ปากเหมือนเดิม เธอเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ อู่เยวี่ยสู้เธอไม่ไหวหรอก จึงฝืนถูกยัดเนื้อเข้าปากไปหลายคำทีเดียว


“อร่อยสินะ ดูเธอกินอร่อยเชียว!”


สวี่ซาซาตบหน้าอู่เยวี่ยอย่างชอบใจ ไฟโทสะที่อัดอั้นมาหลายปีถึงเวลาระบายออกมาสักที พลางคิดว่าหลังจากนี้หากอารมณ์ไม่ดีจะมาลงที่อู่เยวี่ยให้หมด!


ขณะนั้นเองพวกกลุ่มเหมยเหมยที่มาทานข้าวละแวกแถวนั้นถูกดึงมาเพราะเสียงดังโวยวาย เห็นสวี่ซาซาป้อนเนื้อมื้อเที่ยงให้อู่เยวี่ยพอดี อู่เชาคิดจะเข้าไปช่วยแต่ถูกเหมยเหมยกระชากแขนไว้


“นายไม่ต้องไปหรอก ฮีโร่มาช่วยสาวงามแล้ว!”


เหยียนหมิงต๋าวิ่งมาอย่างร้อนใจ เห็นหญิงสาวผู้เป็นที่รักดวงตาแดงกล่ำถูกคนกลุ่มนั้นจับกดพื้นเพื่อหยามศักดิ์ศรี


“พวกเธอทำเกินไปแล้ว รีบปล่อยเยวี่ยเยวี่ย ไม่งั้นอย่าหาว่าฉันไม่เกรงใจ!”


เหยียนหมิงต๋าพุ่งเข้ามาคำรามด้วยความโกรธ ผลักสวี่ซาซาล้มไปกองกับพื้น แล้วพยุงตัวอู่เยวี่ยที่อาเจียนไม่หยุดขึ้นมา


…………………..


ตอนที่  615 เป็นตัวสำรองตลอดไป


สวี่ซาซาคลานลุกขึ้นมาจากพื้นเพราะถูกเหยียนหมิงต๋าผลักแรงไม่เบา ดีที่เสื้อกันหนาวในฤดูหนาวหนา จึงไม่ได้รับบาดแผลใด แต่ด้วยศักดิ์ศรีของเธอแล้วทนรับไม่ได้จริง ๆ


“เหยียนหมิงต๋านายโง่หรือไง?  ถึงได้ไปชอบสุนัขจิ้งจอกแบบนี้ ระวังวันหน้ามันจะสวมเขาให้นาย!”


พ่อแม่ของสวี่ซาซาล้วนเป็นชาวบ้านถึงได้พูดจาสองแง่สามง่ามอยู่บ่อยครั้ง สวี่ซาซาฟังมาตั้งแต่เด็กย่อมหลุดปากไปหลายคำ


เหมยเหมยที่อยู่ในดงดอกไม้มุมปากกระตุกเกือบกลั้นเสียงหัวเราะไม่ไหว สวี่ซาซานี่เหลือเชื่อจริงๆ แวบเดียวก็มองธาตุแท้ของอู่เยวี่ยที่ปรากฏออกมาได้อย่างทะลุปรุโปร่ง


ชาติก่อนเหยียนหมิงต๋าถึงได้ถูกสวมเขาโดยไม่รู้ตัวไงล่ะ!


“สวี่ซาซาเธอพูดบ้าอะไร รีบไสหัวไปซะ หลังจากนี้อย่าให้ฉันเห็นพวกเธอรังแกเยวี่ยเยวี่ยอีก ไม่งั้นอย่าหาฉันไม่เกรงใจ!”


เหยียนหมิงต๋าเขินจนหน้าแดงพลางเหวี่ยงหมัดขึ้นขู่สวี่ซาซา หากไม่ถึงที่สุดเขาไม่อยากลงไม้ลงมือกับผู้หญิงเลยจริงๆ แต่สวี่ซาซาทำน่ารังเกียจเกินไป มาเหยียดหยามเยวี่ยเยวี่ยแบบนี้ เขารักษาคติบ้าบออะไรนั่นไม่ได้แล้ว!


เจินหวานหว่านมองอู่เยวี่ยด้วยความโกรธแค้นริษยา ตกอยู่ในสภาพครึ่งผีครึ่งคนแล้วแท้ๆ เหยียนหมิงต๋ากลับยังไม่ลืมเธออีก โง่เขลาสิ้นดี!


“เหยียนหมิงต๋า นายช่วยมีสมองหน่อยเถอะ อู่เยวี่ยมีโรคทางจิตตามกรรมพันธุ์ ไหนจะมือไม้ที่สกปรก คิดร้ายใจดำอำมหิต อู่เยวี่ยกำลังหลอกใช้นาย นายเห็นมั้ยว่าเมื่อก่อนเธอไม่สนใจนายด้วยซ้ำ? พอตอนนี้ไร้ที่พึ่ง ไม่มีคนสนใจเธอ เธอก็แกล้งทำตัวน่าสงสารต่อหน้านาย เงินค่าขนมของนายให้อู่เยวี่ยไปหมดแล้วสินะ?”


เจินหวานหว่านมองเหยียนหมิงต๋าอย่างขุ่นเคืองไม่ชอบใจ ชอบใครไม่ชอบดันมาชอบผู้หญิงใจเหี้ยมอำมหิตอย่างอู่เยวี่ย!


เธอโมโหแทบตาย!


อู่เยวี่ยมองเจินหวานหว่านด้วยสีหน้าเย็นยะเยือก นางแพศยา การดูถูกเหยียดหยามที่เธอโดนในวันนี้เธอจะจดจำเอาไว้ !


พวกคนชั้นต่ำที่หยามเธอเหยียบย่ำเธอในตอนนี้ หลังจากนี้เธอจะเอาคืนเป็นร้อยเท่า!


สวี่ซาซายังคงเกรงกลัวเหยียนหมิงต๋า เพราะหมอนี่ตัวสูงร่างบึกบึนแถมยังเป็นคนคลั่งรัก เธอสู้ไม่ไหวหรอก คราวหน้ารอโอกาสที่อู่เยวี่ยอยู่คนเดียวค่อยแก้แค้นต่อแล้วกัน


พวกเขาเดินจากไปพร้อมเสียงคำกรนด่า เหยียนหมิงต๋าพยุงอู่เยวี่ยมานั่งบนเก้าอี้หินอ่อนและถามไถ่ด้วยความเป็นห่วง อู่เยวี่ยที่ทั้งโกรธปนอับอายโผเข้าซบอ้อมอกเขาปล่อยโฮร้องไห้สะอื้น ทำเอาเหยียนหมิงต๋าปวดใจแทบตาย


และนึกเกลียดตัวเองที่โดนคนขวางไว้ถึงไม่ทันมาช่วยหญิงรักได้ทันท่วงที!


“เยวี่ยเยวี่ยหิวแล้วสินะ กินข้าวของฉันสิ วันนี้มีเนื้อซี่โครงแถมฉันเติมข้าวมาเยอะเป็นพิเศษเลย เรามากินด้วยกันเถอะ!”


เหยียนหมิงต๋าเปิดกล่องข้าวเก็บความร้อนของเขา กับข้าวที่ถูกยัดไว้อัดแน่นเต็มกล่อง ไอร้อนลอยพุ่ง เหยียนหมิงต๋าแบ่งให้อู่เยวี่ยบางส่วนก่อนที่ทั้งคู่จะเริ่มลงมือทานข้าว


“เยวี่ยเยวี่ยกินเยอะๆ นะ พรุ่งนี้ฉันจะให้คุณย่าหมูตุ๋นน้ำแดงมาอีก เธอไม่ต้องเอาข้าวมาแล้ว หลังจากนี้ไปฉันจะเอาข้าวส่วนของเธอมาด้วยแล้วกัน”


เหยียนหมิงต๋าพูดอย่างกระตือรือร้น ความจริงเขาชอบอู่เยวี่ยในเวลานี้มากกว่า อ่อนแอเหมือนต้นหญ้าเล็กๆ ที่ไม่ว่าทำอะไรก็ต้องพึ่งพาเขา มันทำให้เขารู้สึกอิ่มเอมใจและรู้สึกภาคภูมิใจ


ไม่เหมือนอู่เยวี่ยในอดีตที่มักทำให้เขารู้สึกอยู่สูงเกินเอื้อม ไม่กล้าเข้าใกล้เลยสักนิด


อู่เยวี่ยกลับไม่เห็นด้วย “ฉันเอาข้าวมาเองดีกว่า จะกินของพี่ทุกวันก็ไม่ได้ ไม่งั้นพวกสวี่ซาซาจะพูดซี้ซั้วเข้าอีก!”


สำหรับเธอแล้วเหยียนหมิงต๋าเป็นเพียงตัวสำรองเสมอมา หากไม่จำเป็นจริงๆ เธอไม่อยากผูกมัดกับเหยียนหมิงต๋าเลยตลอดชีวิต เธอต้องปีนให้สูงกว่านี้!


จ้าวเสวียหลินมองธาตุแท้ของอู่เยวี่ยออกในแวบเดียวและอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเป็นปม ผู้หญิงคนนี้เล่ห์เหลี่ยมเยอะเกินไป น้องสาวของเขาแค่คนซื่อคนหนึ่ง  ไม่ใช่คนที่เธอจะสู้ด้วยไหว วันหลังเขาต้องระวังตัวเสียหน่อยแล้ว


เจินหวานหว่านกับสวี่ซาซาเก็บความแค้นไว้ในใจ หลังกลับไปก็เอาเรื่องอู่เยวี่ยบอกเล่าแพร่ออกไป ทำให้เรื่องของตระกูลอู่กลายเป็นที่พูดถึงมากที่สุดในโรงเรียนชั่วขณะ ไม่ว่าอู่เยวี่ยจะเดินไปที่ไหนก็มีคนชี้นิ้วใส่ จนทำให้เธออับอายถึงที่สุด


…………………


ตอนที่  616 ผู้ปกครองที่ไม่สนใจคะแนนสอบ


คะแนนสอบวัดผลเทอมใหม่ของเหมยเหมยยังพอเข้าวัดเข้าวา คะแนนภาษาอยู่ที่แปดสิบห้าคะแนนขึ้นไป ภาษาอังกฤษกลับได้เก้าสิบกว่าคะแนน ถือว่าอยู่ในระดับปานกลางค่อนไปทางยอดเยี่ยมของห้องแล้ว ครูประจำชั้นอู่พึงพอใจเหมยเหมยในตอนนี้เป็นอย่างมาก


วันหยุดสุดสัปดาห์เอาผลคะแนนกลับบ้านเพื่อให้ผู้ปกครองเซ็นรับทราบ


“แม่คะ เดี๋ยวทานข้าวเสร็จแม่เซ็นใบผลสอบให้หนูหน่อยนะคะ!” ระหว่างทานข้าวเหมยเหมยพูดย้ำขึ้นมา


คืนนี้ทานหม้อไฟเนื้อวัว นับแต่เหมยเหมยบอกว่าหลังจากนี้จะทานแค่เนื้อวัวกับไก่กุ้งปลา เมนูอาหารของตระกูลจ้าวส่วนมากเลยเน้นไปที่อาหารพวกนี้เป็นหลัก


เหมยเหมยลุกยืนคีบวุ้นเส้นขึ้นมา แต่วุ้นเส้นยาวเกินไปคีบไม่ได้สักทีจนเธอยืดแขนขึ้นเหนือศีรษะแล้ว


จ้าวอิงหัวกลั้นหัวเราะลุกขึ้นยืนช่วยคีบวุ้นเส้นใส่ถ้วยลูกสาวพลางพูดหยอกเย้าว่า  “ซินหย่า คราวหลังคุณช่วยตัดวุ้นเส้นให้สั้นหน่อย เหมยเหมยของเราแขนสั้น เอื้อมไม่ถึง!”


โดนตวัดตาใส่ทันที เหมยเหมยมองแขนสั้นๆ ของตัวเองอย่างปวดใจ ทั้งที่จ้าวอิงหัวกับเหยียนซินหย่าตัวสูงไม่น้อย  แถมจ้าวเสวียหลินเองก็ตัวสูงเกินเพื่อนวัยเดียวกัน ทำไมพอตาเธอถึงกลายเป็นคนเตี้ยไปเสียได้ล่ะ?


สวรรค์ไม่ยุติธรรม!


หลังทานข้าวเสร็จเหยียนซินหย่าลืมเรื่องผลสอบไปเสียสนิท  นั่งขดตัวถักเสื้อไหมพรมบนโซฟา  ส่วนจ้าวอิงหัวกำลังดูข่าว เขาต้องดูข่าวทุกวันเหมือนทำการบ้านที่ขาดไม่ได้แม้แต่วันเดียว


เหมยเหมยเริ่มหนักใจ ตั้งแต่สอบวัดผลจนถึงตอนนี้  เธอเอ่ยถึงมันไม่ต่ำกว่าสามครั้ง แต่สองสามีภรรยาคู่นี้กลับไม่เคยถามถึงคะแนนสอบเธอเลยสักครั้ง ไม่เห็นการสอบวัดผลไว้ในสายตาเลยนี่นา!


ความจริงสองสามีภรรยาคู่นี้คิดว่าผลสอบของลูกสาวคงไม่ดีเท่าไหร่นัก พวกเขาต้องพยายามสร้างสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายให้ลูกสาว ฉะนั้นจึงไม่ถามเรื่องการเรียนของลูกสาวที่บ้านเลยสักครั้ง!


อีกอย่างจิตใต้สำนึกพวกเขายังแอบหวังว่าลูกสาวจะสอบได้คะแนนแย่หน่อยถึงจะดี แบบนี้ก็ไม่ใช่อัจฉริยะที่แม้แต่พระเจ้ายังต้องอิจฉาอย่างไรล่ะ!


เหมยเหมยที่โดนเพิกเฉยอดถามไม่ได้ “พ่อแม่ไม่ถามคะแนนสอบหนูเลยเหรอ?”


เหยียนซินหย่าชะงักไปชั่วครู่ แล้วยิ้มอ่อนโยนตอบกลับไปว่า  “ลูกรัก คะแนนสอบไม่ใช่ทุกอย่าง มีคนดังตั้งมากมายที่ตอนเด็กเคยสอบได้ศูนย์คะแนน เราอย่าเอาเรื่องคะแนนมาใส่ใจมากเลยเนอะ”


“ใช่ ขอแค่ลูกพยายามที่สุดแล้วก็พอ ไม่ว่าจะสอบได้กี่คะแนนพ่อแม่ก็ภูมิใจในตัวลูกนะ!” จ้าวอิงหัวเองก็กล่าวอย่างนั้นเช่นกัน


น้ำเสียงของสามีภรรยาที่แสนจริงใจพร้อมสายตาที่มองเหมยเหมยอย่างใจดี ราวกับกำลังบอกว่า ‘ลูกเอ๋ย ต่อให้ลูกสอบได้ศูนย์คะแนนก็ไม่เป็นไร พ่อแม่ยังรักลูกเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน!’


เหมยเหมยมุมปากกระตุก พ่อแม่แท้ๆ ของเธอทำไมพึ่งไม่ได้เอาเสียเลย?


มีผู้ปกครองที่ไหนพูดกับเด็กว่าคะแนนสอบไม่สำคัญบ้าง?


เธอคร้านจะคุยกับพวกเขาต่อ วิ่งตึงตังไปเอาผลสอบสามใบจากชั้นบนลงมา ความจริงสำคัญกว่าสำนวนอันคมคาย คิดว่าเธอไม่รู้ทันความคิดสองสามีภรรยาคู่นี้หรือไง?


ก็เพราะคิดว่าคะแนนสอบเธอไม่ดีเลยจงใจพูดปลอบเธอนี่ไง!


เชอะ ดูถูกดูแคลนเกินไปแล้ว!


เหยียนซินหย่ารับผลสอบวิชาภาษาและวรรณคดีมาจู่ ๆ ก็เบิกตาโพลง กะพริบตาปริบมองซ้ำอีกทียังคงเป็น 88 คะแนน เลขมงคลอะไรเช่นนี้ เธอเปิดไปดูคะแนนสอบวิชาคณิตแล้วเบิกตาโพลงอีกครั้ง 87 คะแนน…


เปิดไปที่ผลสอบวิชาภาษาอังกฤษเหยียนซินหย่าเริ่มมือสั่น โอ้แม่เจ้า 92 คะแนน!


คะแนนพวกนี้ลูกสาวสุดที่รักของเธอเป็นคนสอบได้เองจริงๆ หรือ?


“อิงหัว คุณรีบดูเร็วเข้า !” เหยียนซินหย่ากระทุ้งศอกใส่สามีอย่างตื่นเต้นด้วยเสียงสั่นเครือ


จ้าวอิงหัวตะลึงมองคะแนนตรงหน้าตาค้างไปอีกคน คะแนนสูงลิ่วขนาดนี้จนถึงตอนนี้เขายังไม่เคยสัมผัสโดนเลยสักครั้ง จ้าวอิงหนานเจ้าคนเชื่อถือไม่ได้ พูดจาซี้ซั้วอยู่เรียน ลูกสาวเขาคะแนนแย่ตรงไหนกันล่ะ !


………………….


ตอนที่  617 ยีนส์กรรมพันธุ์แสนประหลาด


สองสามีภรรยาจ้าวอิงหัวพลิกดูผลสอบกลับไปกลับมาหลายครั้ง สุดท้ายก็เลือกที่จะเชื่อความจริงตรงหน้า–


ลูกสาวสุดรักของพวกเขา ไม่ใช่เด็กเรียนแย่ แต่เป็นคนเรียนเก่งที่พอจะให้พ่อแม่ไปพูดโอ้อวดให้ทุกคนฟัง!


แน่นอนว่านี่เป็นความคิดของสองสามีภรรยา เพราะไม่ว่าจะเป็นจ้าวอิงหัวหรือเหยียนซินหย่าต่างเป็นคนประเภทที่การเรียนไม่ดีนัก จ้าวอิงหัวยังดีกว่าหน่อยที่พอจะสอบได้มากกว่าแปดสิบคะแนนอยู่เป็นบางครั้ง ส่วนเหยียนซินหย่าคงไม่ต้องพูดถึง


เหมือนอย่างเหมยเหมยในชาติที่แล้วไม่มีผิด ไม่สิ ต้องบอกว่าเหมยเหมยในอดีตเคยสอบได้คะแนนที่แสนน่าสลดนั่นเป็นเพราะสืบทอดทางกรรมพันธุ์ของเหยียนซินหย่ามาเต็มๆ


เหยียนซินหย่าใช้ชีวิตมาครึ่งชีวิตแล้วยังไม่เคยได้คะแนนสอบผ่านเกณฑ์เลยสักครั้ง ส่วนสาเหตุที่ได้คะแนนแย่คงต้องสืบสาวไปที่คุณยายของเหมยเหมยแล้ว ท่านเป็นนักเต้นที่ยอดเยี่ยม แต่ไม่เคยได้คะแนนสอบเกินหกสิบคะแนนเลยตั้งแต่เด็ก


ฉะนั้นเมื่อเหยียนซินหย่าได้ยินจ้าวอิงหนานบอกว่าคะแนนสอบของลูกสาวไม่ค่อยดีนั้นไม่ได้รู้สึกแปลกใจแต่อย่างใด ไม่แม้แต่จะขมวดคิ้วข้องใจเลยสักนิด แต่เพราะยีนส์กรรมพันธุ์ครอบครัวเธอที่แสนประหลาด เหมยเหมยได้คะแนนสูงสิถึงน่าแปลกใจ!


แต่นีมันเรื่องอะไรกัน?


“เหมยเหมย คะแนนสอบนี่ของลูกจริงๆ เหรอ?”


เหยียนซินหย่าเลือกคำที่ใช้ถามอย่างระมัดระวังเพราะกลัวกระทบต่อจิตใจของลูกสาวสุดรัก


เหมยเหมยกระแอ้มเสียงอย่างโอ้อวดว่า “บนกระดาษผลสอบนั่นเขียนชื่อของหนูไว้แล้วไม่ใช่หรือคะ ครั้งนี้หนูไม่ได้ทำให้เต็มที่ ไม่งั้นหนูคงสอบได้ดีกว่านี้อีกหน่อย!”


จ้าวอิงหัวรีบชูนิ้วโป้งขึ้นกล่าวไปว่า  “ดีพอแล้วลูกรัก คะแนนสูงขนาดนี้แม้แต่แม่ของลูกเองให้เวลาสองชาติยังสอบไม่ได้เลย ลูกสาวของพ่อนี่เก่งจริงๆ!”


เหยียนซินหย่าทำหน้าไม่ถูก กระทุ้งศอกใส่ทันทีพร้อมพูดกระเง้ากระงอด “พูดเหมือนคุณจะสอบได้งั้นแหละ? จ้าวอิงหัว เมื่อก่อนคุณก็สอบแค่ผ่านเกณฑ์  ได้เจ็ดสิบแปดสิบคะแนนเป็นครั้งคราวไม่ใช่หรือไง? อย่าคิดว่าฉันไม่รู้!”


จ้าวอิงหัวหัวเราะแก้เก้อเขิน กระซิบข้างหูภรรยาเสียงเบา “ที่รักคุณอย่าเปิดโปงผมต่อหน้าลูกๆ สิ ผมต้องรักษาความน่านับถือของความเป็นพ่อของผมไว้!”


เหยียนซินหย่าพูดแค่นเสียงเบาออกมาว่า “แล้วคุณจะเปิดโปงฉันทำไม ฉันก็ต้องรักษาความน่านับถือของความเป็นแม่ของฉันด้วยนี่!”


เหมยเหมยฟังสองสามีภรรยากระซิบกระซาบ  ปากกระตุกจนเมื่อยไปหมด ยิ่งใช้เวลาอยู่กับพ่อแม่แท้ๆ มานานมากเท่าไรก็ยิ่งพบว่าสองสามีภรรยาคู่นี้พึ่งพาไม่ได้เลยจริงๆ!


หลายครั้งที่พูดๆ อยู่ก็เบี่ยงประเด็น โชว์หวานต่อหน้าลูกๆ เสียอย่างนั้น!


“พ่อคะแม่คะ ตกลงใครจะเซ็นให้หนู ?”


เหมยเหมยอ้าปากพูดเสียงดังขัดสองสามีภรรยาที่ตอนแรกเถียงกันอยู่เป็นหยอกเย้ากันสนุกสนาน ในมือกำปากกาแท่งหนึ่งไว้ ยืนจังก้าอยู่ตรงหน้าพวกเขา


“พ่อเซ็นเอง ลูกรักของพ่อสอบได้คะแนนดีขนาดนี้ก็ต้องให้พ่อเป็นคนเซ็นสิ !”


จ้าวอิงหัวรับปากกามายิ้มตาหยีเตรียมเซ็นชื่อ แต่กลับถูกเหยียนซินหย่าแย่งปากกาไป “ฉันเซ็นเอง ตัวหนังสือของฉันสวยกว่าของคุณตั้งเยอะ ตัวหนังสือทุเรศๆ ของคุณจะทำให้ลูกขายหน้าเอาได้ !”


“พูดเหลวไหล ผมเซ็นเอกสารทุกวี่ทุกวัน ตัวหนังสือสวยไม่รู้จะสวยยังไงแล้ว มีแต่คนชมผมทั้งนั้นแหละ !” จ้าวอิงหัวไม่พอใจกับคำดูถูกของภรรยาที่มีต่อตัวหนังสือของเขาอย่างมาก


“คนพวกนั้นชมคุณจากใจจริงเหรอ? ไม่รู้จักเจียมตัวเลยจริงๆ พอแล้วพอแล้ว คุณหลีกไปๆ อย่ามารบกวนฉันเซ็นชื่อ!”


เหยียนซินหย่าพูดขวางสามีอีกครั้งอย่างไม่ปราณี กระแซะตัวเบียดจ้าวอิงหัวไปชิดอีกด้าน  ก่อนจะเตรียมตัวเซ็นชื่อ เหมยเหมยปากกระตุกอีกครั้ง แค่เซ็นชื่อยังทะเลาะกันได้


พ่อแม่ของเธอพึ่งไม่ได้เลยจริงๆ!


เธอวิ่งตึงตังกลับไปหยิบปากกาบนชั้นสองอีกครั้ง แล้วเอามายัดใส่มือของจ้าวอิงหัว ผลสอบวิชาภาษาอังกฤษให้แม่ของเธอและผลสอบวิชาภาษาและวรรณคดีให้พ่อของเธอ ผลสอบวิชาคณิตที่เหลืออยู่วางไว้ตรงกลาง


“เซ็นคนละใบ ที่เหลือพ่อแม่เป่ายิ้งฉุบตัดสินเอาละกัน ไม่ต้องแย่งกันแล้ว !”


……………………


ตอนที่  618 พ่อแม่ที่พึ่งไม่ได้


นับตั้งแต่รับรู้ว่าลูกสาวตนไม่ได้เรียนแย่แต่เป็นเด็กเรียนเก่ง สองสามีภรรยาจ้าวอิงหัวก็เริ่มตื่นตัวอีกครั้ง เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะเคร่งเครียดอีกครั้ง  จู้จี้จุกจิกตลอดเวลา อย่างเช่น


“เหมยเหมยลงมือดูทีวีสิ มีเทพธิดาดอกไม้ที่ลูกชอบดูนะ!” จ้าวอิงหัวตะโกนเสียงดัง


“เหมยเหมย แม่ตุ๋นซุปดอกบัวให้ลูก รีบมาทานเร็ว!” เหยียนซินหย่าขานเรียกอย่างอ่อนโยน


“เหมยเหมย อากาศข้างนอกดี ให้พี่ไปเล่นชิงช้าเป็นเพื่อนนะ!” จ้าวเสวี่ยหลินตะเบ็งเสียงขึ้น


หรืออย่างเช่น


“เหมยเหมย อย่าหมกตัวอยู่แต่ในบ้าน มันไม่ดีต่อสายตา เราต้องดูแลสุขภาพด้วย ลูกรักออกไปผ่อนคลายหน่อยสิ!” ทั้งที่ครึ่งชั่วโมงก่อนเหมยเหมยเพิ่งกลับมาจากการผ่อนคลายข้างนอกแท้ๆ


“ลูกรัก เราต้องเรียนอย่างมีความสุข พ่อแม่ตั้งเกณฑ์ไว้ให้ลูกที่หกสิบคะแนน ลดระดับลงอย่างเหมาะสมสักหน่อยก็ได้ ลูกเกินเกณฑ์ไปมากแล้ว เราจะได้เล่นกันเต็มที่ไปเลยไง!”


……


สองสามีภรรยาคู่นี้มัวแต่กังวลว่าลูกสาวของตนจะสอบได้คะแนนดีเกินไป พยายามหาทางให้เหมยเหมยสอบได้คะแนนแย่ลงอยู่เรื่อยและกำลังพยายามให้ถึงเป้าหมายนี้อยู่ทุกวัน!


“พ่อแม่อยากให้หนูสอบได้ศูนย์คะแนนมากเลยสินะคะ?”


เหมยเหมยที่ทนเสียงรังควานอยู่ข้างหูไม่ไหวก็ตะโกนใส่สองสามีภรรยากลับคืนไปอย่างหมดความอดทน ตั้งแต่ตื่นเช้ามาถึงตอนนี้ผ่านไปครึ่งค่อนวันแล้วแท้ๆ แต่เธอกลับอ่านหนังสือไม่เข้าหัวสักตัว ทุกอย่างก็เพราะพ่อแม่ที่พึ่งพาไม่ได้ของเธอ


เหยียนซินหย่าหลุดปากอย่างไม่ทันคิด “ถึงจะสอบได้ศูนย์คะแนนก็ไม่เป็นไรนะ!”


จ้าวอิงหัวรีบกระทุ้งศอกใส่ภรรยาที่เผลอหลุดความในใจออกมา รีบยิ้มตาหยีช่วยกอบกู้ขึ้นว่า “ได้ยังไงล่ะ พ่อแม่เป็นห่วงลูกเรียนหนักเกินไป ยังไงเหมยเหมยลูกต้องจำไว้นะว่าบ้านเราไม่ยกยอคนเป็นฮีโร่จากคะแนนสอบ ต่อให้ลูกสอบได้ศูนย์คะแนนจริงๆ ลูกยังเป็นลูกรักของเราเหมือนเดิม!”


แม้ถ้อยคำเหล่านี้สร้างความซาบซึ้งแก่ใจเธอมากนัก แต่ตอนนี้เธอเอาชนะอุปสรรคด้านการเรียนได้แล้ว ต่อให้หลับตาสอบก็ไม่มีทางสอบได้ศูนย์คะแนน แล้วพวกเขาพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร?


“ไม่มีทางสอบได้ศูนย์คะแนนหรอกค่ะ เป้าหมายของหนูไม่ได้อยู่ที่หกสิบคะแนนแต่อยู่ที่แปดสิบคะแนนเป็นอย่างต่ำและพยายามให้ไปถึงเก้าสิบคะแนน!”


เหมยเหมยกล่าวคำประกาศิตดังกึกก้อง พวงแก้มอูมเสียยิ่งกว่าคุณลุงฉิวที่กำลังนั่งแทะลูกวอลนัทอยู่ด้านข้าง


เธอโมโหมาก ดูถูกกันเก่งเหลือเกิน!


“หนูไม่ใช่คนการเรียนแย่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว เปลี่ยนไปแล้วเข้าใจมั้ยคะ? ถ้าคราวหลังพ่อแม่ยังรบกวนหนูอ่านหนังสืออีกล่ะก็ หนู…หนู…หนูจะหนีออกจากบ้าน!”


สองสามีภรรยาจ้างอิงหัวมองลูกสาวที่โกรธจนแก้มพองก็รีบสำนึกผิด


ราวกับ—ว่า—พวกเขาจะใจร้อนเกินไปหน่อย!


“ลูกสาวของพ่อมีความปณิธานแรงกล้า พ่อสนับสนุนลูกเต็มที่ ลูกรักอ่านหนังสือต่อไปนะ พ่อแม่ไม่รบกวนลูกแล้ว!”


จ้าวอิงหัวพูดชมไม่ขาดปาก ฉุดแขนภรรยาให้ออกมาจากห้องของเหมยเหมย


“เราต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ไม่เห็นหรือไงว่าเหมยเหมยโมโหแล้ว หลังจากนี้ต้องวางแผนดีๆ จะใจร้อนไม่ได้!”


จ้าวอิงหัวเดินปลอบภรรยาขณะที่กำลังเดินลงบันได  พร้อมสอนยุทธศาสตร์การวางแผน สองสามีภรรยาใจรวมเป็นหนึ่งใจเดียวกัน พุ่งเป้าหมายไปที่ทำอย่างไรจะขัดขวางไม่ให้ลูกสาวเรียนหนังสือได้เก่ง !


เหมยเหมยที่อยู่ชั้นบนปิดหนังสือ แบกกระเป๋าเป้เตรียมตัวออกจากบ้าน


“เหมยเหมยไปไหนเหรอ?” จ้าวอิงหัวรีบถามขึ้น


“หนูนัดกับพี่หมิงซุ่นไว้ว่าจะออกไปเที่ยวตอนบ่าย นี่ก็ใกล้ได้เวลาแล้ว!” เหมยเหมยก้มลงใส่รองเท้าและไม่กังวลเลยว่าสองสามีภรรยาจ้าวอิงหัวจะไม่อนุญาตเธอออกไป


สองสามีภรรยาคู่นี้หวังอยากให้เธอออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้านอยู่ทุกวี่วัน!


ไม่ต่างจากที่คาดไว้…


จ้าวอิงหัวออกจะลังเลสักนิดเพราะอีกฝ่ายคือเหยียนหมิงซุ่น แต่เหยียนซินหย่ากลับใจป้ำและดีใจอย่างปิดไม่อยู่“ไปสิไ ปสิ แม่ให้เงินสองหยวนนะ ไม่ต้องรีบกลับบ้านนะ!”


……………………


ตอนที่ 619  มีนัดกับพี่หมิงซุ่น


เหมยเหมยเบะปาก รู้อยู่แล้วว่าแม่ของเธอต้องพูดแบบนี้ ไม่เคยเห็นพ่อแม่ที่ไหนไม่น่าพึ่งเท่าพ่อแม่ของเธอมาก่อนเลย!


ไม่รู้เหมือนว่ากันว่าพ่อของเธอปกครองเมืองใหญ่แบบนี้ได้อย่างไร?


ทั้งที่พึ่งไม่ได้ขนาดนั้น!


“หนูยังมีเงินอยู่ พ่อคะแม่คะ หนูไปนะ บ๊ายบาย!”


เหมยเหมยโบกมือลาอย่างร่าเริงและวิ่งไปข้างนอกอย่างไวดั่งนกจาบฝน ติดแค่ว่าจ้าวเสวียหลินไปเล่นบาสเกตบอลแล้วไม่อย่างนั้นเขาต้องตามไปอีกคนด้วยแน่ๆ น่ารำคาญชะมัด !


จ้าวอิงหัวมุ่นคิ้วเอ่ยถาม “เหมยเหมยสนิทกับเหยียนหมิงซุ่นเกินไปหรือเปล่า?”


เหยียนซินหย่าตอบอย่างไม่คิดมาก “พวกเขาเป็นเพื่อนกันไง จะสนิทกันก็ปกติ!”


“คุณไม่กลัวว่าเจ้าหมอนั่นจะแย่งลูกรักของเราไปเหรอ!” จ้าวอิงหัวตักเตือนภรรยาด้วยใจที่หวงลูกสาว เขาไม่อยากคิดเรื่องแบบนี้เลย แค่คิดว่าลูกรักของเขาจะต้องถูกผู้ชายอื่นแย่งไป


 หัวใจของเขา—ก็เหมือนโดนมีดกรีดแทง!


เหยียนซินหย่าฟังแล้วนึกขำ กลอกตาใส่สามีทีหนึ่ง “เหมยเหมยของเราเพิ่งอายุเท่าไหร่เอง คุณนี่กังวลมากเกินไปจริง ๆ อีกอย่างหมิงซุ่นก็ดีนี่นา ถ้าวันหน้าเหมยเหมยคบกับเขาขึ้นมาจริงๆ ฉันก็หมดห่วงแล้ว!”


รู้จักหัวนอนปลายเท้าของเหยียนหมิงซุ่นเป็นอย่างดี ทั้งหน้าตา นิสัยใจคอ และความสามารถล้วนครบครันไร้ที่ติ ที่สำคัญหมอนี่ซื่อสัตย์จริงใจกับลูกสาวตน เธอมีอะไรให้ต้องกังวลใจอีก!


“คุณนี่ยอมง่ายจริงๆ ลูกสาวของผมจะถูกใครที่ไหนไม่รู้มาแย่งไปง่ายๆ ไม่ได้ อย่างไรเสียวันหน้าถ้าเหมยเหมยจะแต่งงานก็ต้องผ่านด่านผมก่อน ไม่เข้าตาผมก็ไม่มีวันเห็นด้วยเด็ดขาด!”


จ้าวอิงหัวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ อย่างมากเขาจะเลี้ยงลูกสาวไปตลอดชีวิตเอง!


เหยียนซินหย่าคร้านจะสนใจเขา ลูกชายพอโตขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องของพ่อแม่อีกต่อไป หากลูกสาวอยากใช้ชีวิตกับคนอื่น พ่อแม่จะห้ามได้ที่ไหน?


สิ่งที่พ่อแม่อย่างพวกเขาทำได้มีแค่พยายามปกป้องลูกสาวให้มากที่สุดเพื่อไม่ให้เธอถูกคนปองร้ายหลอกเอาได้ !


เหยียนหมิงซุ่นมายืนรอที่หน้าประตูแล้ว เห็นเด็กสาวที่วิ่งมาอย่างร่าเริงเหมือนลูกกวางตัวน้อยแต่ไกลก็อดยิ้มไม่ได้


“วิ่งช้าๆ หน่อย มีเวลาเหลือเฟือ ไม่ต้องรีบ!”


เหยียนหมิงซุ่นรับกระเป๋ามาวางไว้หน้าตะกร้าจักรยาน อมยิ้มมองเหมยเหมยที่หายใจหอบเล็กน้อย


“พี่หมิงซุ่นไม่รู้สินะว่าพ่อแม่ฉันน่ารำคาญขนาดไหน ตั้งแต่เช้ามาก็…”


เหมยเหมยเล่าเรื่องผิดศีลธรรมที่สองสามีภรรยาจ้าวอิงหัวทำกันในวันนี้ด้วยเสียงเจื้อยแจ้วไม่หยุด ไฟโทสะที่เธอสั่งสมมาทั้งหมดจำต้องหาที่ระบายให้ได้ ไม่อย่างนั้นเธอต้องอัดอั้นจนตายแน่ๆ


“ถูกพวกเขากวนจนฉันไม่ได้อ่านหนังสือสักหน้า การบ้านก็ไม่ได้ทำ พี่หมิงซุ่นว่าทำไมถึงมีพ่อแม่ที่พึ่งพาไม่ได้อย่างพวกเขาได้ขนาดนี้ หวังจะให้ฉันสอบได้ศูนย์คะแนนด้วยซ้ำ”


เหยียนหมิงซุ่นคอยฟังเสียงพร่ำบ่นของสาวน้อยที่นั่งเบาะหลัง รอยยิ้มที่มุมปากฉีกกว้างขึ้นเรื่อยๆ พฤติกรรมของสองสามีภรรยาจ้าวอิงหัวนับว่าอยู่เหนือความคาดหมายของเขาเสียจริง!


“ลุงจ้าวกับน้าเหยียนน่าจะกังวลว่าเธอเรียนหนักเกินไปหรือเปล่า เหมยเหมยอย่าโกรธไปเลย”


“ฉันไม่ได้โกรธ ฉันแค่เอือมระอา เฮ้อ…มีพ่อแม่แบบนี้มันน่าเหนื่อยใจจริงๆ นะ!”


เหมยเหมยถอนหายใจยาวทำหน้ากลัดกลุ้มเหมือนผู้ใหญ่ตัวเล็กๆ จนทำให้เหยียนหมิงซุ่นขบขันได้สำเร็จ เขาดีใจแทนยายหนูมาก พวกเขาสองสามีภรรยาดูรักใคร่ลูกสาวเหลือเกิน หวังเพียงลูกสาวมีความสุข แม้แต่คะแนนสอบที่ผู้ปกครองมักให้ความสำคัญยังมองข้ามไปได้


พวกเขาไปแวะพบทันตแพทย์ก่อน ซึ่งคุณหมอได้ทำการตรวจให้เหมยเหมยอย่างละเอียดหนหนึ่งและได้อุดฟันผุให้เธอไปสองซี่ พร้อมสั่งให้เธอทานขนมหวานให้น้อยลง เช่นนี้แล้วจะได้ไม่ส่งผลต่อช่วงที่ผลัดเปลี่ยนฟัน


หลังออกจากโรงพยาบาลเหมยเหมยได้หาก๊อกน้ำหนึ่งบ้วนปาก  เพราะรู้สึกมีรสชาติแปลกๆ ในปาก อีกอย่างเศษเนื้อฟันที่ถูกขัดออกยังติดปากอยู่เลย ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกกระอักกระอ่วน


เหยียนหมิงซุ่นมองเหมยเหมยที่ทำหน้าเหมือนคนขับถ่ายไม่ออกอย่างขบขัน ขี้กลัวจริงๆ แค่พบทันตแพทย์แค่นี้แต่ทำอย่างกับออกศึกไปได้


“เยวี่ยเยวี่ย  ลูกเอาเงินที่ไหนมาตรวจหูเหรอ ?” เสียงคุ้นเคยดังแว่วมา


…………………..


ตอนที่ 620 คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนมีรองเท้าใส่


เหมยเหมยได้ยินจึงเงยหน้าขึ้น  กลับเห็นสองแม่ลูกเหอปี้อวิ๋นกำลังเดินมาทางเธอ ดูท่าทางจะมาตรวจอาการที่หู


นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เจอเหอปี้อวิ๋นหลังกลับจากเมืองหลวงอีกด้วย!


เหมยเหมยมองหญิงวัยกลางคนที่เดินใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ด้วยสายตาเย็นชา ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่ชุดที่สวมใส่ไม่ได้ดูน่าอนาถนัก  ในเมื่อยังมีเสื้อผ้าหลงเหลืออยู่บ้าง เพียงแต่ใบหน้าแก่เร็วเกินไปแถมยังผอมลงอีกมากจนแก้มซูบตอบจนขับให้กระดูกตรงแก้มเด่นชัดขึ้น ไม่เหลือความสง่าอย่างที่เคยมี ดูไม่ต่างจากสาวปากจัดอารมณ์ร้ายแถวตลาดเท่าไร


เหยียนหมิงซุ่นก้าวมาบังหน้าเหมยเหมยตามสัญชาตญาณ  สองแม่ลูกเหอปี้อวิ๋นเองก็เห็นพวกเขาในเวลาเดียวกันพลันสีหน้าก็เปลี่ยนไป สายตาฉายแววเกลียดชัง


ไฟริษยาอาฆาตแค้นโหมกระพืออยู่ในใจเหอปี้อวิ๋น เหมยเหมยสวมใส่เสื้อผ้าใหม่ หน้าตาขาวเนียนเหมือนก้อนแป้งกลมดิก  ซึ่งแตกต่างไปจากเด็กกะโปโลน่าสงสารที่เธอเคยเลี้ยงดูอยู่เคียงข้างราวฟ้ากับเหว


ส่วนเยวี่ยเยวี่ยของเธอที่เคยเปล่งประกายดั่งหงส์  ในเวลานี้กลับต้องใส่เสื้อผ้าตัวเก่า มือมีแต่รอยแผลจากสภาพอากาศที่หนาวเย็น ต้องกลายมาเป็นสาวรับใช้ไปเพราะนังนี้ เธอคับแค้นใจนัก!


เหยียนหมิงซุ่นก้มให้พวกเธอเล็กน้อยแต่ไม่ได้กล่าวทักทาย  เพราะไม่จำเป็น!


“เหมยเหมย เราไปกันเถอะ!”


เหมยเหมยถูกเหยียนหมิงซุ่นจูงแขนลากออกไปข้างนอก เธอเองก็ไม่มีอะไรอยากพูด เพราะหลังจากเห็นสภาพอันน่าสมเพชของเธอแล้ว ความแค้นและความเกลียดชังที่เธอมีต่อเหอปี้อวิ๋นก็จางลงมาก ในเมื่อเหอปี้อวิ๋นไม่ใช่ฆาตกรที่ฆ่าเธอโดยตรงเมื่อชาติที่แล้ว


มีเพียงอู่เยวี่ยที่ต่อให้ตายเธอก็ไม่ยอมรามือ!


อีกอย่างจะให้นางแพศยานี่ตายไปง่ายๆ ไม่ได้!


ช่วงเวลาเจ็บปวดที่สุดในชีวิตคนเราไม่มีอะไรมากไปกว่าการได้รับความหวังน้อยนิดก่อนจะตามมาด้วยการสูญเสียที่มากกว่า โดยให้คนคนหนึ่งจมปลักอยู่กับการได้มาและสูญเสียไปจนกระทั่งไม่มีอะไรให้เธอต้องเสียอีก แค่คิดก็ทรมานเสียจนไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว ต่อให้เป็นคนเข้มแข็งขนาดไหนก็ตามเถอะ!


ขณะที่เดินสวนไหล่กับพวกเธอจู่ๆ เหอปี้อวิ๋นก็ยื่นแขนอยากกระชากเหมยเหมยไว้แต่ถูกเหยียนหมิงซุ่นชิงขวางไว้ได้เสียก่อน เขายืนบังข้างหน้าเหมยเหมยพร้อมพูดเสียงเข้ม “ที่นี่ที่สาธารณะ ช่วยสำรวมด้วย!”


“สำรวมอะไร? ฉันทักทายลูกสาวของฉันไม่สำรวมตรงไหน? ถึงนังนี่จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของฉันแต่ฉันเลี้ยงมันมากับมือตั้งสิบสองปี  ดั่งคำที่ว่าบุญคุณที่ให้กำเนิดมาสู้บุญคุณที่เลี้ยงมาไม่ได้ มองเห็นฉันแต่กลับทำเป็นมองไม่เห็น เนรคุณจริง ๆ!”


เหอปี้อวิ๋นด่าอย่างแค้นใจ มองเหมยเหมยด้วยสายตามุ่งร้าย


เหตุการณ์นี้ดึงดูดคนไข้ที่มาหาหมอบางส่วนอย่างรวดเร็ว หลังจากได้ยินคำพูดของเหอปี้อวิ๋นแล้วดูจากเสื้อผ้าที่แตกต่างกันของเธอกับเหมยเหมย จึงต่างพาลหลงคิดว่าเหมยเหมยตามหาพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดที่มีฐานะร่ำรวยได้ แล้วทิ้งไม่สนใจใยดีพ่อแม่ที่เลี้ยงดูมาแต่ฐานะยากจน


คนส่วนมากมักสงสารคนอ่อนแอกว่าโดยเฉพาะเวลาที่ไม่รู้ความจริง คนเหล่านั้นมักยืนอยู่จุดสูงสุดของหลักคุณธรรมศีลธรรม คนที่ชอบคิดเออเองมันน่ารำคาญจริงๆ แต่คนแบบนี้กลับมีอยู่ถูกที่


เหอปี้อวิ๋นคอยฟังเสียงตำหนิเหมยเหมยจากคนรอบข้างก็อดแสดงทีท่าชอบใจออกมาไม่ได้!


อย่างไรเสียตอนนี้เธอก็ตกอยู่ในสภาพนี้แล้ว คนเท้าเปล่าไม่กลัวคนมีรองเท้าใส่ เธอมีชีวิตอย่างทุกข์ยากลำบาก นังนี่ก็อย่าหวังจะใช้ชีวิตสงบสุขเลย!


ในเมื่อทำอย่างอื่นไม่ได้ แต่สาดน้ำโคลนใส่ร้ายป้ายสียังพอทำได้!


“เฮ้อ ฉันก็ไม่หวังว่าเด็กนี่จะตอบแทนอะไรฉันหรอก แต่ยังไงก็เลี้ยงมาตั้งสิบสองปี ขนาดเลี้ยงหมาเลี้ยงแมวยังเกิดความรักได้ ยิ่งคนยิ่งไม่ต้องพูดถึงหรอก ฉันหวังแค่ว่าเด็กนี่อย่ารังเกียจที่บ้านฉันจนเลย หาเวลากลับมาเยี่ยมหาฉันกับพี่สาวของเธอสักหน่อยก็พอใจแล้ว!”


เหอปี้อวิ๋นพูดไปถอนหายใจไปด้วยท่าทางน่าสงสารเหลือเกิน คนรอบข้างที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่ยิ่งเห็นใจพวกเธอ ต่างตำหนิใส่เหมยเหมยกันถ้วนหน้า!


…………………


บทที่ 621 การโต้ตอบของเหยียนหมิงซุ่น


เหอปี้อวิ๋นแสร้งทำทีน่าสงสาร ก้มหน้าถอนหายใจอย่างเจ็บปวด มุมปากยกยิ้มอย่างพึงพอใจ ทำไมเธอช่างเป็นคนโง่เขลาเช่นนี้ ไม่ว่าจะทำสิ่งใดจะคิดเพียงแต่ว่าตนมีความสุขหรือไม่ โดยไม่คำนึงถึงผลลัพธ์หรือความสูญเสียมาก่อน


เช่นเดียวกับตอนนี้ สำหรับอู่เหมยแล้วเธอไม่ได้รับรู้ถึงความเจ็บปวดใดๆ เลย อย่างมากก็แค่ถูกบุคคลที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ มาต่อว่าไม่กี่ประโยค จนทำให้เกิดความโมโหในใจขึ้นบ้างก็เท่านั้น คนฉลาดจริงๆ มักจะไม่ทำเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้


แตกต่างกับเหอปี้อวิ๋นที่เป็นคนมีนิสัยที่ว่า หากฉันไม่สามารถมีชีวิตที่ดีได้ เธอก็ต้องไม่มีเช่นกัน จะดีหรือร้ายเธอไม่สนใจ ไม่สิ ต้องบอกว่าเธอไม่เคยนึกถึงเลยด้วยซ้ำ


ขอแค่ได้ระบายอารมณ์ขุ่นมัวในใจ เรื่องอื่นค่อยว่ากัน!


หากว่าเหอปี้อวิ๋นเป็นคนที่คิดหน้าคิดหลังมากกว่านี้ เธอคงไม่ได้ระหกระเหินมาอยู่ในจุดนี้หรอก!


แน่นอนว่าอู่เยวี่ยได้คิดถึงผลที่จะเกิดไว้อยู่แล้ว แต่เธอกลับไม่ได้ห้ามปรามเหอปี้อวิ๋น เพราะถึงอย่างไรแม่ของเธอก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรเธอได้ ก็ปล่อยให้เธอคอยสร้างเรื่องวุ่นวายให้จ้าวเหมยต่อไปก็แล้วกัน ทำให้จ้าวเหมยดูน่ารังเกียจก็ถือเป็นสิ่งดี


“เหมยเหมย เธอก็มาโรงพยาบาลเหมือนกันเหรอ? ไม่เจอเธอนานแล้ว ตอนนี้เธอคงไม่รู้ที่อยู่ใหม่ของฉันกับแม่สินะ? ”


อู่เยวี่ยพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม ส่งยิ้มให้อย่างอบอุ่น พร้อมกับจงใจยื่นแขนอันบวมเป่งทั้งสองข้างออกไป ทำทีเรียกร้องความเห็นใจจากคนรอบข้างได้เป็นอย่างดี


“จึ๊ๆ แม้แต่ที่อยู่อาศัยยังไม่รู้เลย ตั้งใจจะตัดความสัมพันธ์กันจริงๆ สินะ แม่สาวน้อยช่างใจดำยิ่งนัก!” เสียงคำนินทาพร้อมทั้งสายตาที่มองเหมยเหมยอย่างไม่พอใจ


แม้แต่อีกายังรู้จักทดแทนบุญพ่อแม่ แต่เด็กคนนี้หน้าตาก็สะสวย แต่เหตุใดจิตใจถึงแย่อย่างนี้นะ!


เหมยเหมยกลับไม่ได้ใส่ใจต่อคำนินทาของผู้คนรอบข้างสักเท่าไหร่ ต่างเป็นพวกที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ ต่อกัน ทำไมเธอจะต้องเก็บมาใส่ใจด้วยล่ะ!


เหยียนหมิงซุ่นไม่อาจทนฟังต่อได้ เขาไม่ชอบให้คนอื่นเข้าใจเหมยเหมยผิด  และยิ่งไม่ชอบที่เหอปี้อวิ๋นทั้งสองแม่ลูกคอยสาดโคลน ใส่เหมยเหมย แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยืนอยู่เฉยๆ ได้


“พวกคุณไม่รู้ความเป็นจริงก็อย่าเที่ยวเอาคนอื่นไปพูดตามใจปาก พวกคุณสามารถถามผู้หญิงคนนี้ได้ ว่าพวกหล่อนได้ทำอะไรกับน้องสาวของผมไว้บ้าง!” เหยียนหมิงซุ่นด้วยเสียงอันดัง


ผู้คนรอบข้างเงียบลงอย่างฉับพลัน พลางนึกสงสัยและหันไปมองเหอปี้อวิ๋นทั้งสองแม่ลูกที่มีสีหน้าเปลี่ยนไป บางคนที่ดูฉลาดหน่อยพอมองสถานการณ์ลับๆ ล่อๆ ออกก็เลือกที่จะไม่พูดอะไรอีก


เหอปี้อวิ๋นยังคงปากแข็งพูดขึ้นว่า “แล้วจะให้ฉันทำยังไง มีแม่คนไหนที่ไม่ด่าไม่ตีลูกบ้าง ยัยเด็กบ้านี่เรียนหนังสือก็แย่ ทั้งยังไม่เชื่อฟังอีก ฉันตีไปไม่กี่ครั้งจะเป็นไรไป?”


เหยียนหมิงซุ่นยิ้มเยาะพูด “แน่นอนพ่อแม่ย่อมอบรมสั่งสอนลูกได้ แต่คุณควรแยกแยะให้ชัดเจนอยู่สองอย่าง อย่างแรก เหมยเหมยไม่ใช่ลูกของคุณ และอีกอย่างคือคุณและสามีขโมยลูกของคนอื่นมา คุณทำร้ายเหมยเหมยโดยทำให้เธอต้องพลัดพรากจากอกคนเป็นพ่อเป็นแม่มาสิบสองปีเต็ม พ่อแม่ของเหมยเหมยต้องล้มป่วยเพราะตรอมใจคิดถึงลูกอยู่นาน ทั้งหมดเป็นเวรกรรมที่พวกคุณก่อขึ้น”


สีหน้าของคนรอบข้างเริ่มเปลี่ยนไป และที่เปลี่ยนท่าทีในทันที พวกเขาจ้องมองเหอปี้อวิ๋นด้วยความขุ่นมัว


ผู้หญิงคนนี้น่าชิงชังยิ่งนัก ตั้งใจพูดจาเพื่อเรียกร้องความเห็นใจจากพวกเขา นึกไม่ถึงว่าเด็กคนนี้จะเป็นเด็กที่ถูกเธอขโมยมา!


เด็กคนหนึ่งก็เป็นดั่งความหวังของคนทั้งตระกูล สัตว์ชั้นต่ำที่ขโมยลูกของคนอื่นมาจะต้องตกนรกอเวจี ถูกน้ำมันเดือดราดทุกๆ วัน ไม่ได้ผุดได้เกิดชั่วกัปชั่วกัลป์!


เหยียนหมิงซุ่นพึงพอใจต่อปฏิกิริยาของคนรอบข้างเป็นอย่างมากจึงพูดขึ้นต่อว่า “อย่างที่สอง แต่ก่อนที่คุณเคยปฏิบัติต่อเหมยเหมยเรียกว่าการอบรมสั่งสอนหรือ? สิ่งที่คุณทำเรียกว่าการทารุณกรรม กินก็ไม่อิ่ม เสื้อผ้าที่สวมก็ไม่อุ่น วันๆ ทำงานหลายอย่าง สามวันดีสี่วันไข้ก็ต้องถูกคุณตบตีอย่างทารุณ คุณยังกล้ามีหน้ามาทวงบุญคุณที่เลี้ยงดูเหมยเหมยมาด้วยเหรอ ?”


“และหากไม่เป็นเพราะเหมยเหมยเห็นแก่ความสัมพันธ์เก่าๆ คุณคิดว่าตัวเองจะยังมีหน้ามายืนอยู่ตรงนี้แล้วพูดจาทำลายเหมยเหมยเหรอ? ป่านนี้คงถูกตำรวจจับติดคุกติดตะรางไปแล้ว!”


ประโยคที่เหยียนหมิงซุ่นพึ่งพูดเสริมไป สามารถปลุกปั่นความโกรธของคนรอบข้างที่รู้สึกถึงความไม่เป็นธรรมได้สำเร็จ


……………………………………………………


บทที่ 622 การล้างแค้นของลูกผู้ชาย สิบปีก็ไม่นับว่าสาย


เหอปี้อวิ๋นพยายามที่จะพูดแก้ตัวให้กับตัวเองบ้าง แต่จะหาช่องว่างจากไหนให้เธอได้พูดกันล่ะ คนรอบข้างต่างพูดโยนกันไปมา ด่าทอเหอปี้อวิ๋นจนทำให้เธอแทบจะหมดแรงหายใจ


“เธอยังมีหน้ามาทวงบุญคุณกับคนอื่นเขาอีกหรอ? หากเป็นฉัน มีพวกชั่วช้าสามานย์ที่ไหนมาขโมยลูกไป ทั้งยังใจร้ายทารุณใส่เธอด้วยอีก คนอย่างฉันเนี่ยแหละจะเอามีดไปไล่แทงพวกมันทั้งตระกูล!”


“ใช่ๆ ลูกเป็นดั่งชีวิตของพ่อแม่ พวกคนที่ขโมยลูกหลานของคนอื่นไปจะต้องถูกฟ้าผ่าและไม่ได้ตายดี!”


“เห็นแก่ที่เธอเป็นผู้หญิง มิเช่นนั้นฉันคงได้ต่อยแกให้ล้มหน้าหงายไปแล้ว สิ่งที่คนอย่างฉันเกลียดที่สุดในชีวิตคือพวกพ่อค้ามนุษย์ ยิ่งเป็นหญิงค้ามนุษย์ฉันจะต่อยให้ร่วงไปทีละคนเลย!”


……


คนรอบข้างยิ่งพูดยิ่งเกิดอารมณ์โมโห มองเหอปี้อวิ๋นสองแม่ลูกอย่างโกรธเคือง ราวกับมองพวกเธอเป็นดั่งหนูเน่าเหม็น


“ไม่ใช่ฉันที่ขโมย ฉันไม่ได้ขโมยเด็ก ลูกของฉันต่างหากที่ถูกแม่ของมันทำให้ตาย ฉันต่างหากที่เป็นผู้ถูกกระทำ!”


เหอปี้อวิ๋นพูดเสียงดังเพื่อแก้ตัว สติสัมปชัญญะของเธอเริ่มลดน้อยลง สายตาเริ่มแสดงออกถึงความบ้าคลั่ง ใบหน้าบิดเบี้ยว ในจังหวะเดียวกันมือของเธอก็ยื่นออกไปเพื่อจะจับตัวเหมยเหมย


เหยียนหมิงซุ่นดึงเหมยเหมยถอยหลังได้ไม่กี่ก้าว พูดเสียงดังขึ้นว่า “เมื่อครู่ผมลืมพูดอย่างหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้มีสภาพจิตไม่ปกติ พออาการกำเริบก็จะฆ่าคน สามีของเธอเองยังเคยถูกตีหัวแบะไปตั้งสองครั้ง!”


พูดยังไม่ทันจบ คนรอบข้างต่างพากันถอยกรูออกห่างจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ต่างพึมพำกันว่าซวยแล้ว!


คนสติฟั่นเฟืองใครจะกล้าเข้าไปแหย่ หากไม่ใช่ว่าเกินจะทนไหว!


“ฉันไม่ได้บ้า ฉันเป็นคนปกติ ฉันไม่ได้ป่วยอะไร เยวี่ยเยวี่ยรีบบอกทุกคนไปสิ แม่ไม่ได้มีปัญหาทางจิต รีบพูดสิ!”


เหอปี้อวิ๋นตะโกนอย่างร้อนรน ทั้งยังให้อู่เยวี่ยช่วยอธิบาย ท่าทางกระวนกระวายยิ่งทำให้เธอดูเหมือนไม่ปกติ!


ไม่ว่าเธอจะตะโกนพูดเสียงดังสักแค่ไหน ก็ไม่มีใครเชื่อเธออีก!


คนบ้าที่ไหนจะยอมรับว่าตัวเองมีปัญหาทางจิตล่ะ?


ไม่ต่างจากฆาตกรฆ่าคน ก็ไม่ทางยอมรับว่าตัวเองเป็นฆาตกร!


อู่เยวี่ยหัวคิ้วผูกกันแน่น ในใจรู้สึกเบื่อหน่ายนัก แม่ของเธอช่างไม่ได้ช่วยรักษาหน้าตาอะไรกับเธอเลย อะไรก็พึ่งพาไม่ได้ ช่างน่ารำคาญ!


“แม่หยุดตะโกนได้แล้ว รีบไปเอาบัตรคิวเถอะค่ะ!” อู่เยวี่ยมีน้ำเสียงหนักขึ้นเล็กน้อย เหอปี้อวิ๋นจึงนิ่งงันไปเมื่อเห็นใบหน้าไร้ความพึงพอใจของลูกสาว ในใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จึงหันไปส่งยิ้มให้อู่เยวี่ยเพื่อเอาใจ


“เยวี่ยเยวี่ยอย่าโกรธเลยนะ แม่จะไปเอาบัตรคิวให้ลูกเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ เอ่อใช่ แล้วลูกเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ?”


“แม่จะถามให้มากความไปทำไม คุณย่าให้หนูมา!” อู่เยวี่ยเกิดความรำคาญใจ


เหอปี้อวิ๋นรู้สึกใจชื้นและถามอย่างมีหวัง “เยวี่ยเยวี่ยพูดกับคุณย่าของหนูได้ไหมว่าบอกให้พ่อกลับมารับเราสองคนแม่ลูกกลับไป?”


ไม่กี่วันมานี้คุณยายเหอเอาแต่ตามหาผู้ชายมาให้เธอ หากไม่ใช่พวกชายอัปลักษณ์ก็เป็นชายแก่ๆ รูปร่างสูงใหญ่กำยำทั้งดูห่ามและไร้การศึกษา ไม่เข้าตาเธอเลยแม้แต่คนเดียว เธออยากจะใช้ชีวิตร่วมกับอู่เจิ้งซือมากกว่า ต่อให้อู่เจิ้งซือจะไม่มีหน้าที่การงานใดๆ แต่เขาก็มีรูปลักษณ์สง่าผ่าเผย เฉลียวฉลาดดูมีความสามารถ  อีกทั้งเขายังมีบุพการีที่ยังได้รับเงินเกษียณอายุ ชีวิตความเป็นอยู่คงไม่ได้แย่นัก


อู่เยวี่ยยิ้มเยาะอย่างขอไปที เธอจ้องเหอปี้อวิ๋นอย่างหัวเสียและพูดประชดขึ้น “แม่ตีพ่อไปตั้งสองครั้ง แม่ยังคิดว่าคุณย่าจะยอมให้แม่กลับไปงั้นหรือ?”


เหอปี้อวิ๋นถูกขัดจนหน้าขาวซีด ก้มหน้าลงอย่างกลัดกลุ้มใจ ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าลูกสาว สายตาของลูกสาวมีแต่ความผิดหวังและเย็นชา ใช่ว่าเธอจะไม่รับรู้


เธอรู้ดีว่าตัวเธอทำให้ลูกสาวต้องได้รับความทุกข์ใจ หากเยวี่ยเยวี่ยจะเกลียดเธอก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทุกครั้งที่เห็นถึงความเย็นชาของอู่เยวี่ย ใจของเหอปี้อวิ๋นกลับรู้สึกเจ็บปวด


อู่เยวี่ยไม่ได้มีอารมณ์มากพอที่จะใส่ใจต่อหัวใจอันเปราะบางของเหอปิ้อวิ๋น กลับตระกูลอู่? เธอเองก็อยากกลับไป แต่กลับไปได้งั้นหรือ?


ตอนนี้คุณปู่เกลียดแม่เธอเป็นไหนๆ แม้กระทั่งลากเธอไปด้วยยังลำบาก ในเวลานี้ท่านไม่ยอมอนุญาตให้เธอกลับไปเป็นแน่ เธอจะต้องอดทนรอ!


สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือการรักษาหูให้หายดี ต่อให้ตอนนี้จะผ่าตัดไม่ได้ แต่เธอสามารถทำให้คุณหมอช่วยรักษาอาการของเธอให้คงที่ได้ เพื่อไม่ให้อาการทางหูต้องแย่มากไปกว่านี้ อีกหน่อยถ้าเธอมีเงินค่อยรักษาให้หาย


การล้างแค้นของลูกผู้ชาย สิบปีก็ไม่นับว่าสายไป


คนอย่างอู่เยวี่ยอดทนได้!


………………………………………………………….


บทที่ 623 ให้หมาอย่างพวกมันฟัดกันเอง


เหยียนหมิงซุ่นจูงมือเหมยเหมยเดินออกมาจากโรงพยาบาล แสงแดดระย้าทอประกายสอดส่องไปบนเรือนร่าง เพียงครู่เดียวก็สามารถชำระล้างเรื่องเลวร้ายออกไปจนหมด


“ตอนนี้ยังไม่ถึงบ่ายสองเลย อยากไปเดินเล่นที่ตลาดหนานสุ่ยไหม?”


เหยียนหมิงซุ่นยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา เมื่อเหลือบเห็นยัยตัวแสบที่ถูกแสงแดดส่องกระทบจนต้องทำตาหยี จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปแล้วบีบแก้มเหมยเหมย จากนั้นก็ยกขึ้นเพื่อบังแดดที่แยงตาให้เธอ


“ได้สิคะ ฉันรับปากกับพี่ชายไว้ว่าจะหามีดล้ำค่ามาให้เขาหนะ!”


เหมยเหมยตกปากรับคำอย่างยินดี เธอล้วงตัวฉิวฉิวที่หลับปุ๋ยออกมาจากกระเป๋า ช่วงนี้ตัวของคุณชายกลมขึ้นมาไม่น้อย วันๆ เอาแต่กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน แถมยังได้เข้าไปเล่นที่สวนใหญ่เขตราชการ คงจะเจอกับกระรอกตัวเมียสวยๆ ที่นั่นจึงทำให้ดีใจจนออกนอกหน้า


ฉิวฉิวสะบัดหางไปมา มันไม่ได้มีใจอยากไปที่ตลาดหนานสุ่ยนัก ครั้งก่อนเตียงเก่าๆ หลังนั้นได้ให้พละกำลังอันล้นเหลือของมันหลับไหลไปเกินกว่าครึ่งเดือน หนำซ้ำช่องว่างของหลุมพลังก็ฟื้นคืนกลับมามากถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์ หากต้องการจะเพิ่มพลังขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น มันจะต้องตามหาของล้ำค่าที่ให้พลังได้มากกว่านี้


ของล้ำค่าประเภทนี้ใช่ว่าจะเจอได้ด้วยการร้องขอแต่อย่างใด ซึ่งในเวลาอันสั้นเช่นนี้ไม่มีทางหาเจอได้!


เพราะงั้นคุณชายฉิวจึงไม่ได้รู้สึกยินดีนัก แม้ว่ากระเป๋าหน้าท้องของมันจะฟื้นคืนพลังมาได้แค่หกในสิบ แต่ของล้ำค่าธรรมดาก่อนหน้าที่เก็บไว้นั้นยังมีมากเหลือที่จะเอาออกมา


ของล้ำค่าธรรมดาในสายตาของคุณชายฉิวแท้จริงไม่ได้เป็นสิ่งธรรมดาเลยสักนิด ของเล่นเก่าๆที่มันเลือกแบบส่งๆยังสามารถทำให้ดวงตาคนทั้งโลกหลุดล่วงออกมาได้ คงไม่ต้องบอกว่าเป็นของล้ำค่าที่ทำให้มนุษย์โลกตกตะลึงได้ขนาดไหน แต่สำหรับคุณชายฉิวแล้ว มองว่ามันเป็นเพียงแค่ของล้ำค่าธรรมดาๆ ที่ไม่เข้าตามันเลยสักนิด!


มันยังรู้สึกรังเกียจที่จะต้องยัดใส่กระเป๋าหน้าท้องเลย!


“พี่หมิงซุ่น ฉันมีเรื่องหนึ่งจะบอกพี่ด้วย อู่เยวี่ยเธอหลอกเอาเงินของเหยียนหมิงต๋าไป ฉันสงสัยว่าเงินค่ารักษาพยาบาลก็เป็นเหยียนหมิงต๋าที่ให้มา!”


เหมยเหมยที่นั่งพูดคุยอยู่ท้ายรถก็อดไม่ได้ที่จะฟ้องเรื่องนี้ออกไป ในเมื่ออู่เยวี่ยช่วยเหอปี้อวิ๋นสาดโคลนใส่เธอ!


เหอะ หูหนวกแล้วยังไม่สำเหนียกที่จะอยู่อย่างสงบอีก!


นอกจากเรื่องเงินแล้ว เหมยเหมยยังได้ฟ้องเรื่องข้าวเที่ยงด้วย เหยียนหมิงซุ่นคิ้วผูกแน่นเป็นปม เรื่องเงินเขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร แต่เรื่องที่เหยียนหมิงต๋าพูดขอเงินจากเหยียนเต๋อเต๋อนั้นทำให้เขาเริ่มเกิดความสงสัย


แต่เขาก็นึกไม่ถึงว่าน้องชายผู้โง่เขลาของตนนั้น นอกจากจะเป็นเรื่องเงินแล้ว ยังรับที่จะเป็นฝ่ายเลี้ยงมื้อเที่ยงด้วย!


ไม่แปลกเลยที่ช่วงนี้คุณยายเหยียนจะบอกว่าเขาดูเจริญอาหาร จำนวนเม็ดข้าวในบ้านหมดไปอย่างรวดเร็ว ทำให้คุณยายเหยียนชื่นชมอยู่ไม่น้อย!


เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะเยาะไปที เดิมทีเขาไม่อยากเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ท่าทีเมื่อครู่ของเหมยเหมยทำให้เขารู้สึกโกรธเคือง เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอพูดจาไม่เคยคิดจะให้ร้ายต่อใคร!


“ไม่เป็นไรนะ ไว้พี่จะให้ถานซูฟางเข้ามาจัดการเรื่องนี้”


เหยียนหมิงซุ่นมุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างสุขใจ เรื่องจัดการอู่เยวี่ยไม่จำเป็นต้องให้ถึงมือเขาและเหมยเหมยหรอก เพราะยังมีถานซูฟางหนิ!


เกลียดกันทั้งคู่แบบนั้น ให้พวกเขาคอยแก่งแย่งกัดกันเองเถอะ!


เหมยเหมยยกยิ้มจนตาโค้งและพยักหน้ารับคำ “นั่นสิ ให้หมาอย่างพวกมันฟัดกันเอง พวกเรารอดูละครสนุกๆ อยู่ตรงนี้ดีกว่า!”


“เด็กดี!”


เหยียนหมิงซุ่นได้ทีก็ยกมือขึ้นหยิกหยอกแก้มกลมๆบนใบหน้ารูปไข่ของเหมยเหมย เขารู้สึกพึงพอใจมากอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ จึงได้กำชับว่า “เหมยเหมยต่อไปต้องกินเยอะๆ นะ พี่ว่าเธอดูผอมลงไปมาก”


เหมยเหมยตกปากรับคำอย่างไม่มั่นใจนัก เธอตั้งใจเอาไว้อย่างแน่วแน่ที่จะไม่เชื่อฟังเหยียนหมิงซุ่น เรื่องอื่นเธอพร้อมจะรับฟังเสมอ แต่เรื่องนี้เธอยืนหยัดที่จะเชื่อในตัวของเธอเอง!


ต่อให้สาวงามไซซี[1]ยังอยู่บนโลกนี้ ต่อให้อ้วนจนตัวกลมดิก เธอก็ยังน่าเกลียดยิ่งกว่าสาวงามไซซีเป็นแน่!


สตรีที่อ้วนท้วมไม่มีวันได้ดี [2]!


“พี่หมิงซุ่น คุณยายของพี่สุขภาพดีขึ้นบ้างหรือยังคะ?” เหมยเหมยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว เธอไม่ต้องการให้เหยียนหมิงซุ่นจับตามองเรื่องอาหารการกินของเธอ


“หมอกู้กำลังบำบัดโดยการใช้ยาน่ะ คงไม่เร็วขนาดนั้น แต่หมอกู้บอกว่าถ้าหาโสมพันปีได้ ร่างกายของคุณยายต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน ขอบใจเหมยเหมยมากนะ!”


เหยียนหมิงซุ่นรู้ดีว่าการที่ตระกูลจ้าวส่งโสมมาให้ เหมยเหมยต้องเป็นหนึ่งในแรงหนุนแน่ เพราะตระกูลจ้าวมีหลากหลายวิธีที่จะตอบแทนเขาได้ ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องเสียดายยกโสมดีๆ ให้กับเขา!


“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนี่คะ!” เหมยเหมยพูดขึ้นพร้อมทั้งยิ้มตาหยี สามารถช่วยเหลือเหยียนหมิงซุ่นได้ เธอเองก็มีความสุข!


…………………………………………………………………………………………..


[1] ไซ-ซี อ่านตามสำเนียงแต้จิ๋ว จีนกลางออกเสียงว่า ซี-ซือ เธอเป็นหนึ่งในสี่ของหญิงงามในแผ่นดินจีน เธอได้รับฉายานามว่า ‘มัจฉาจมวารี’ ความงดงามของเธอได้ทำให้แม้แต่ฝูงปลายังต้องจมสู่ใต้น้ำ


[2] เพราะน้ำหนักตัวที่มากเกินทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ จนต้องดูถูกตัวเอง เปรียบดั่งความสดใสในวัยเยาว์ได้เหือดหายมลายไป


บทที่ 624 จ้าวอิงหัวผู้ไร้ยางอาย


การตะลอนทัวร์ตลาดหนานสุ่ยในครั้งนี้ไม่ได้ถือว่าแย่อะไร แต่ของที่ได้เป็นเพียงของเล่นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หนึ่งในนั้นมีตะเกียบหนึ่งคู่ สีสันสดใสเป็นที่ต้องตา เมื่อฉิวฉิวได้เห็นตะเกียบคู่นี้ หางของมันส่ายสะบัดไปมาอย่างชอบใจ น่าจะได้มูลค่าพอควร


เหยียนหมิงซุ่นมองออกว่าเป็นกวานเหยา[1] ในสมัยราชวงศ์หมิง รายละเอียดเป็นอย่างไรเขาก็ไม่แน่ใจนักหรอก


“ฉันเอาไปให้แม่ดูดีกว่า แม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ดี แม่เคยบอกว่าแต่ก่อนคุณตาชอบสะสมของโบราณ แม่ตามติดคุณตาตั้งแต่เล็กๆ ความสามารถในการวินิจฉัยก็พัฒนาขึ้นตาม”


เหมยเหมยน้ำผ้าขึ้นมาห่อพันแก้วใบนั้นไว้ จากนั้นยัดไว้ในกระเป๋า ที่เหลือนั้นเป็นเพียงเหรียญกษาปณ์ จานเคลือบ กล่องเสียบปากกาดินสอจำพวกของเล่นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ถือว่าดวงดีไม่น้อยที่ทำให้เธอได้มีดล้ำค่ามาได้ แต่น่าจะไม่ได้เป็นของเก่าแก่ เพราะฉิวฉิวไม่ค่อยจะชื่นชอบต่อมีดเล่มนี้สักเท่าไหร่


เพียงแค่เหมยเหมยพูดกับมันว่าต้องการหามีด ฉิวฉิวจึงนำเธอมาถึงแผงลอยร้านนี้ ดูรวมๆ แล้วเป็นมีดที่มีคุณภาพ แต่อายุขัยของมันอาจไม่ได้นมนาน


ตัวมีดมีขนาดแคบแต่ยาว ซึ่งมีลักษณะคล้ายกับดาบ แต่ไม่ใช่ดาบ แถมยังไม่มีฝักมีดมาให้ อีกทั้งตัวมีดยังมีร่องรอยของสนิมปรากฏอยู่ไม่น้อย บ่งบอกได้ชัดเจนว่าไม่ได้รับการเก็บรักษาที่ดีพอ


แต่ทุกครั้งที่เข้าใกล้มีดเล่มนี้จะรับรู้ได้ถึงความเยือกเย็นที่ล่องลอยออกมาจากตัวมีด เย็นจนสั่นสะท้าน


“ยี่สิบหยวน มีดเล่มนี้มีความแหลมคมมาก เจ้าของคนเก่าของมีดเล่มนี้ใช้มันไปกับการตัดฟืน!” เจ้าของร้านพูดราคาออกมา อย่างไม่อาจจะต่อรองราคาได้


เหมยเหมยก็ไม่ได้คิดจะต่อราคาแต่อย่างใด ในเวลาไม่ถึงหนึ่งนาทีก็จัดการซื้ออย่างเสร็จสรรพ


เหยียนหมิงซุ่นกลับไม่เห็นด้วยนัก เขารับรู้ได้ถึงความดุร้ายที่แผ่ซ่านออกมาจากมีดเล่มนี้ บ่งบอกได้ว่ามีดเล่มนี้ดื่มเลือดเข้าไปเป็นจำนวนไม่น้อย หากเป็นคนไม่มีวาสนาจะไม่สามารถทนต่อมันได้ กลับกันที่จะถูกความดุร้ายปะทะเข้าใส่แทน และเป็นผลเสียต่อสุขภาพ


“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ชายน่ะพลังหยาง[2]เฟื่องฟู จะต้องรับมือได้อย่างแน่นอน!”


เหมยเหมยใบหน้าปรากฏถึงความมั่นใจ แต่เธอไม่ได้เชื่อมั่นว่าพี่ชายตัวเองมีพลังเฟื่องฟูอะไร เพียงแต่เธอเชื่อมั่นต่อฉิวฉิว และมั่นใจว่ามันสามารถหาวิธีรับมือได้


เหยียนหมิงซุ่นนึกถึงฉิวฉิวขึ้นมาได้จึงหัวเราะออกมาไม่หยุด และไม่ได้พูดอะไรอีก


หลังจากที่กลับถึงบ้านเหมยเหมยไม่ได้ยัดเตาใส่กระเป๋าหน้าท้องของฉิวฉิว แต่เธอกลับเอามีดเล่มนั้นส่งให้จ้าวเสวียหลินดูก่อน แต่ใครจะรู้ว่ามีดเล่มนี้ไม่เข้าตาเขาเลย


“มีดตัดไม่เล่มนี้ขายต่อให้พวกคนเก็บของเก่ายังไม่เอาเลย เหมยเหมยไม่ควรจะล้อเล่นกับพี่ชายแบบนี้นะ!”


เหมยเหมยโมโหมากจนต้องเดินเข้าไปในห้องครัวแล้วหยิบเอากระดูกวัวที่เหยียนซินหย่าซื้อไว้ในตอนเช้าเพื่อเตรียมทำซุปกระดูกวัวออกมา จากนั้นวางกดทับลงกับโต๊ะน้ำชา พูดขึ้นด้วยท่าทีกระฟัดกระเฟียด “เบิกดวงตาของพี่ให้กว้างแล้วดูให้ดีล่ะ!”


เธอพูดออกไปพร้อมกับยกมีดในมือขึ้น ออกแรงอันน้อยนิดแล้วสับลงเบาๆก็สามารถทำให้กระดูกวัวแยกออกเป็นสองท่อน มีลักษณะสมส่วน ไม่มีแม้แต่เศษกระดูก ส่วนชิ้นกระดูกอีกท่อนนกระเด็นกระดอนตกอยู่บนพื้น เสียงเพี้ยะที่ดังขึ้นเรียกคนที่กำลังตกอยู่ในภวังค์ให้ตื่นขึ้นมา


จ้าวยิงหัวที่มีปฏิกิริยาตอบสนองเร็วสุด เมื่อเห็นมีดที่อยู่ในมือของเหมยเหมยเป็นสิ่งที่ตนชอบ จึงออกแรงสับกระดูกที่เหลือเพียงครึ่งท่อนนั้น กึก! จนขาดออกเป็นสองท่อน


“โอ้โหพ่อ ขอผมลองบ้างสิ!”


จ้าวเสวียหลินรู้สึกคันไม้คันมือ จึงแย่งมีดไปแล้วลงมือสับบ้าง ราวกับเป็นการสับเต้าหู้ กระดูกวัวที่มีความยาวราวๆ ครึ่งเมตรถูกเหล่าคุณชายทั้งสองสับแหลกจนกลายเป็นดั่งไพ่นกกระจอก


“มีดนี่ดีจริงๆ ช่างเป็นมีดที่ดีนัก ขอบใจมากเป่าเป้ย[3]ที่ให้ของขวัญชิ้นนี้กับพ่อ พ่อชอบมากๆ เลย!”


จ้าวอิงหัวเก็บมีดเล่มนั้นไว้อย่างไม่นึกละอายใจ สีหน้าเรียบนิ่งแม้แต่ขนคิ้วยังไม่กระดิก


เหมยเหมยกลอกตาไปมา เมื่อครู่เหมือนกับว่าเธอพูดออกไปแล้วว่ามอบให้จ้าวเสวียหลินนี่?


เหตุใดหนังหน้าของจ้าวอิงหัวถึงได้หนามากเช่นนี้?


“พ่อครับ มีดเล่มนี้เหมยเหมยซื้อให้ผม คนเราไม่ควรทำตัวหน้าไม่อายขนาดนี้สิ!” จ้าวเสวียหลินตะโกนใส่เขาด้วยความโมโห


“เมื่อครู่นายบอกว่าไม่เข้าตาไม่ใช่หรือ? ทั้งยังบอกอีกว่าขนาดคนเก็บของเก่ายังไม่คิดจะเก็บมีดเก่าๆเล่มนี้ไว้เลย พ่อไม่รังเกียจ มีดเล่มนี้พ่อจะเอาไปให้คนช่วยดูแลรักษาให้ จากนั้นค่อยหาฝักมีดมาใส่แล้วแขวนไว้ในห้องหนังสือของพ่อ จึๆ !”


จ้าวอิงหัวพูดเป็นต่อยหอย ไม่แม้แต่จะสนใจลูกชายของเขาที่ทำหน้าดำคร่ำเครียดยืนอยู่ข้างๆ


……………………………………………………..


บทที่ 625 หลอกล่อกันไปมา


จ้าวเสวียหลินโมโหผู้เป็นพ่อจนแทบระเบิดอารมณ์ออกมา ความหน้าไม่อายของนักการเมืองและความใจดำอำมหิตต่างปรากฏอยู่บนตัวของพ่อเขาเสียหมด!


“พ่อครับ ผมเป็นลูกพ่อนะ อย่าเอาแต่ได้แบบนี้สิ!” จ้าวเสวียหลินพยายามระงับอารมณ์พร้อมพูดออกไป


จ้าวอิงหัวชื่นชมมีดล้ำค่าอย่างสำราญใจ แม้แต่หางตายังไม่เหลือบขึ้นมอง “ถ้าแกเป็นลูกของพ่อ พ่อยังต้องเลี้ยงดูแกอีก? ตาแก่อย่างฉันเลี้ยงดูแกมาสิบหกปี ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่แกจะต้องทดแทนบุญคุณพ่อแล้ว!”


จ้าวเสวียหลินโกรธมากกระทั่งตับไตเครื่องในแทบระเบิดออก เขาจึงหันไปมองผู้เป็นแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ หวังว่าแม่จะมีความเมตตาสักนิด แต่แล้ว…


เหยียนซินหย่าที่ยิ้มตาหยีมองบรรยากาศครึกครื้นอยู่ตั้งแต่แรก พอจ้าวเสวียหลินหันหน้ามา เธอจึงทำทีเป็นก้มหน้าก้มตาถักเสื้อไหมพรมต่อไป แสร้งทำเป็นไม่เห็นสายตาที่น่าสงสารของลูกชาย


จ้าวเสวียหลินร้องไห้อย่างไร้น้ำตา เขาแทบกระอักออกมาเป็นเลือด…


เหยียนซินหย่าเห็นท่าทีนั้นก็อดไม่ได้ที่จะสะกิดจ้าวอิงหัวที่มีท่าทีได้ใจ เตือนเขาให้ระวังพฤติกรรมบ้าง อย่าใช้มีดแทงขั้วหัวใจของลูกอีก


“เหมยเหมย ครั้งหน้าหนูหามีดดีๆ สักเล่มมาให้พี่เขาด้วยล่ะ!”


เหยียนซินหย่ากำชับลูกสาว เหมยเหมยจึงรีบพยักหน้ารับ อดไม่ได้ที่จะมองไปยังรองผู้ว่าราชการเมืองจิน ที่แท้เป็นคนที่แย่งแม้กระทั่งของของลูกชายตัวเองอย่างไม่แยแสใดๆ ทั้งสิ้น ยอมจริงๆ เลย!


“พี่ไม่ต้องเสียใจไป ครั้งหน้าหนูจะหาที่ดีกว่านี้มาให้!”


เหมยเหมยพูดปลอบอยู่ข้างหูพี่ชายตัวเอง น่าสงสารยิ่งนัก ไม่ว่ายังไงจะตามีดดีๆ อีกสักเล่มมาปลอบหัวใจอันเปราะบางของพี่ให้ได้


จ้าวเสวียหลินจะทำอะไรได้ นอกจากต้องจำนนตบปากรับคำเธอ ทั้งยังกำชับอีกว่าขอเป็นกริชหรือมีดด้ามสั้นที่ง่ายต่อการพกพา เพราะเขาสามารถพกติดตัวไว้อวดคนอื่นได้


“ถ้างั้นต้องค่อยๆ หา ไม่รับประกันว่าจะได้มาเมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับโชคชะตาด้วย” เหมยเหมยออกปากพูดกันเอาไว้ก่อน


“ขอแค่มีก็พอ พี่รอได้!” จ้าวเสวียหลินอารมณ์ดีขึ้นมาทันที เขาเบื่อที่จะใส่ใจพ่อตนเอง


จ้าวอิงหัวพูดกับตัวเอง “พรุ่งนี้ต้องให้เลขาโจวช่วยหาคนมาจัดการมีดเล่มนี้แล้วก็หาฝักมีดมาใส่ด้วย เฮ้อ แม้ว่าพวกชาวญี่ปุ่นจะไม่เท่าไหร่ แต่ฝีมือในการทำมีดถือว่าดีทีเดียว!”


เหมยเหมยถามด้วยความสงสัย “พ่อคะ มีดเล่มนี้เป็นของพวกชาวญี่ปุ่นเหรอ?”


“ใช่ ชัดเจนมากว่าเป็นอาวุธจำพวกมีดของพวกชาวญี่ปุ่น อีกทั้งฝีมือในการทำนี้บ่งบอกได้ว่าเจ้าของคนเก่าต้องเป็นชนเผ่าที่สูงส่งสักเผ่าหนึ่ง คนทั่วไปไม่มีปัญญาใช้มีดแบบนี้ได้ คงเป็นช่วงที่เกิดความวุ่นวายในสงครามแล้วเหลือรอดมาถึงหัวเซี่ย!”


จ้าวอิงหัวถือว่าเข้าใจเรื่องมีดเป็นอย่างดีทีเดียว เขานั้นมาจากตระกูลของชายชาติทหาร และพ่อของเขาก็ชอบมีดแต่ละประเภทมากๆ ในบ้านสะสมมีดล้ำค่าเป็นจำนวนไม่น้อย เขาเองจึงซึมซับมาด้วยไม่มากก็น้อย


อารมณ์ของจ้าวเสวียหลินยังไม่คงที่ความรู้สึกดีใจกระตุกวูบ และหันไปมองท่าทางชอบอกชอบใจจนออกนอกหน้าของจ้าวอิงหัว มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ออกมา


เหอะ! พ่อหลอกลูกอย่างผมได้ ผมก็จะให้คุณปู่มาหลอกพ่อคืนบ้างเหมือนกัน!


ช่วงนี้ต้องหาเวลาโทรหาคุณปู่ แล้วบอกว่าพ่อเพิ่งจะได้มีดล้ำค่าที่เป็นมีดของพวกชาวญี่ปุ่นมา คุณปู่จะต้องบอกให้พ่อประเคนให้ท่านแน่นอน!


พ่อของเขาเก่งแต่ข่มใส่เขา แต่พออยู่ต่อหน้าคุณปู่พ่อก็กลัวเป็นหมาจุกตูด!


เหมยเหมยพูดขึ้น “พ่ออย่าไปหาคนมาทำเลย พี่หมิงซุ่นรู้จักคนที่ทำเกี่ยวกับของพวกนี้ดี พ่อเอามีดมาให้หนู แล้วหนูจะให้พี่หมิงซุ่นหาคนมาจัดการให้ ทำฝักมีดให้พ่อทีเดียวเลย”


จ้าวอิงหัวเคาะนิ้วลงบนหัวเบาๆ เขาลืมเหยียนหมิงซุ่นไปเสียสนิท เด็กคนนี้ต้องมีช่องทางเป็นแน่ เพียงแต่เขากลับไม่รู้ว่า คนเก่งที่แท้จริงกำลังแทะวอลนัตอยู่ในอ้อมอกของลูกสาวอันเป็นที่รักของเขาอยู่


เหมยเหมยหยิบชามสีสันสดใสใบหนึ่งออกมา เหยียนซินหย่าที่ได้เห็นก็มองตาค้าง พร้อมกับหยิบชามใบนั้นขึ้นมา เธอจ้องมองอย่างใจจดใจจ่ออยู่พักใหญ่ ในมือเกิดอาการสั่นขึ้นเล็กน้อย


“ชามเฉิงฮว่าโต้ไฉ่[4] พระเจ้า เหมยเหมยลูกช่างเป็นดวงดาวแห่งความโชคดีเสียจริง!”


เหยียนซินหย่าวางชามใบนั้นลงบนโต๊ะน้ำชาด้วยความระมัดระวัง ทั้งยังบอกให้จ้าวอิงหัวและจ้าวเสวียหลินถอยออกให้ห่าง ราวกับการคำนับต่อพระโพธิสัตว์!


…………………………………………………………………………………………..


[1] เตาราชสำนัก คือ เตาทางการที่ผลิตภาชนะสำหรับราชสำนักอย่างหนึ่งที่มีชื่อเสียงในแต่ละยุคสมัยแต่ละราชวงศ์


[2] ทางแพทย์แผนจีนเรียก พลังของชีวิต พลังหยางจะค่อยๆสะสมขึ้นเรื่อยๆจนถึงช่วงที่โตจะมีพละกำลังคล่องแคล่วว่องไว พลังจะเพิ่มสูงสุดเมื่อถึงวัยกลางคน และจากนั้นพลังหยางจะเริ่มลดลงไปเรื่อยๆ


[3] หมายถึงของล้ำค่า คำเรียกคนรัก สามี ภรรยา ลูกหลาน


[4] ชามเคลือบที่มีลวดลายงดงาม เป็นสมบัติล้ำค่าในราชวงศ์หมิง ฮ่องเต้เฉิงฮว่าใช้เป็นแก้วเหล้าประจำพระองค์


บทที่ 626 เป็นเรื่องหลอกลูกชาย


เหมยเหมยจะรู้จักอะไรที่เรียกว่าชามเฉิงฮว่าโต้ไฉ่เสียที่ไหน แต่เมื่อได้เห็นท่าทีของเหยียนซินหย่าราวกับการบูชาเทพยดานั้น เธอจึงรับรู้ได้ว่าชามใบนี้ต้องมีที่มาไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน


“แม่ชอบชามใบนี้หรือคะ?” เหมยเหมยถาม


เหยียนซินหย่าแทบไม่กระพริบตา สายตาที่จับจ้องมองชามใบที่วางอยู่บนโต๊ะราวกับสายตาที่ใช้มองคนรักอย่างเม่อลอย เธอจะได้ยินคำพูดของใครเสียที่ไหน เหมยเหมยที่เห็นลักษณะท่าทางของเธอก็เข้าใจได้


“แม่คะ งั้นหนูยกชามใบนี้ให้แม่ แม่ค่อยๆเก็บไว้ดู ไม่มีใครมาแย่งหรอกค่ะ!” เหมยเหมยพูดอย่างใจกว้าง แค่ชามคู่หนึ่งเท่านั้นเอง เธอไม่ได้เก็บมาใส่ใจนัก


เหยียนซินหย่ากลับสะดุ้งตกใจ รู้สึกจนปัญญากับความใจกว้างของลูกสาวเป็นอย่างมาก พูดอบรมสั่งสอนเหมยเหมยจนปากเปียกปากแฉะ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องสอนเธอ ไม่ว่าของอะไรก็ไม่ควรจะยกให้คนอื่นไปทั่ว


“หนูไม่ได้โง่สักหน่อย ถ้าเป็นคนอื่นหนูไม่ยอมให้หรอก แต่แม่เป็นแม่ของหนูนี่!” เหมยเหมยกลอกตาไปมาอย่างเอือมระอา มองว่าเธอโง่นักหรือไง?


อีกทั้งเป็นเพราะจ้าวอิงหัว เหยียนซินหย่า และคนอื่นๆต่างทำดีกับเธอ เธอถึงใจกว้างขนาดนี้ ลองเปลี่ยนเป็น อู่เจิ้งซือ เหอปี้อวิ๋น ดูสิ แม้แต่เงินแดงเดียวเธอก็จะไม่ยอมยกให้!


เหยียนซินหย่าได้ยินคำพูดที่น่าสบายใจเช่นนี้ จึงพุ่งกอดรัดฟัดหอมลูกสาวไปยกใหญ่ แต่เธอก็ไม่ยอมเก็บชามคู่นี้ไว้


“แม่เก็บมันไว้แทนลูกเอง ทั้งหมดนี่เป็นของเหมยเหมย อีกหน่อยถ้าลูกโตขึ้น ลูกค่อยเก็บไว้เอง” เหยียนซินหย่าจงใจพูดออกไปเช่นนั้น เพราะยังไงในตระกูลยังมีจ้าวเสวียหลินอีกคน แม้ว่าสองพี่น้องจะสนิทสนมกันดี แต่บัญชีบางอย่างต้องคิดแยกให้มันชัดเจน หลีกเลี่ยงปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต แล้วทำให้สองพี่น้องต้องแตกหักกัน


เหมยเหมยกลับไม่ได้เห็นด้วยนัก แม้ว่าเธอจะให้ความสำคัญกับเงิน แต่เธอก็เห็นว่าครอบครัวนั้นสำคัญกว่า!


ขอเพียงแค่ใครก็ตามที่ทำดีกับเธอจากใจจริง เธอจะตอบแทนกลับเป็นร้อยเท่า ซึ่งถือว่าเงินไม่ได้เป็นส่วนเกี่ยวข้องตรงจุดนี้เลย!


เมื่อเทียบกับครอบครัวแล้ว สิ่งของนอกกายไม่เคยอยู่ในสายตาของเธอสักนิด!


รอเหยียนหมิงซุ่นให้คนทำฝักมีดสำเร็จ เหมยเหมยถึงได้นำมีดเล่มนั้นออกมาจากกระเป๋าหน้าท้องของฉิวฉิวแล้วส่งให้กับพ่อของตน จ้าวอิงหัวที่ได้เห็นมีดเล่มนั้นอันสมบูรณ์แบบราวกับมีดเล่มใหม่ ในใจพลันเต้นตุบๆอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ประคองราวกับการประคับประคองคนรักก็มิปาน เพียงแต่……


เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้น เป็นสายที่โทรเข้ามาจากคุณปู่จ้าว


“ได้ยินมาว่าช่วงนี้แกได้มีดแหลมคมของทหารชาวญี่ปุ่นมาหรือ?” คุณปู่พูดออกมาตรงๆ โดยไม่คิดจะอ้อมค้อมแต่อย่างใด


จ้าวอิงหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่กล้าแม้แต่จะปิดบัง เขาจึงบอกความจริงทุกอย่างออกไป


“เดือนหน้าเหมยเหมยจะเข้ามาแข่งขันที่เมืองหลวงมิใช่หรือ ให้หลานพกเอามีดมาให้ฉันด้วยล่ะ ฉันยังขาดมีดทหารชาวญี่ปุ่นอยู่พอดี!” คุณปู่พูดออกมาอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ


จ้าวอิงหัวลังเลเพียงชั่ววินาที คุณปู่กลับเกิดโทสะขึ้น “ทำไม ไม่เต็มใจ?”


“ใช่เสียที่ไหนล่ะ เต็มใจสิ เต็มใจร้อยเท่า พ่อครับ แต่ถ้าให้เหมยเหมยถือมีดไปคงจะดูไม่เข้าท่านัก อย่างนั้นช่วงตรุษจีนผมค่อยเอาไปให้พ่อเองกับมือดีไหม?”


จ้าวอิงหัวพูดจายกยอ พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย จ้าวเสวียหลินที่นั่งดูทีวีอยู่บนโซฟา คงไม่ต้องพูดถึงว่ารู้สึกสะใจแค่ไหน!


แย่งของเขาไป ใครก็อย่าหวังว่าจะได้เลย !


แน่นอนว่าคุณปู่ต้องรู้สึกเห็นใจหลานสาวไม่น้อย ให้เธอแบกมีดมาด้วยคงจะไม่เหมาะสมสักเท่าใด เขาจึงตบปากรับคำตามคำชี้แนะของจ้าวยิงหัวด้วยใจมุทิตาจิต และยินยอมให้เขาแขวนไว้ที่บ้านเป็นเวลาหนึ่งปี เมื่อถึงช่วงฉลองตรุษจีนค่อยนำกลับมาให้เขา


จ้าวอิงหัวเจ็บปวดเสียยิ่งกว่าสิ่งใด เขามองมีดเล่มนั้นที่เพิ่งจะได้มาครอบครอง ฉากละครก่อนหน้าที่เขาเล่นไปถือว่าเพียงพอแล้ว แต่จังหวะสุดท้ายกลับถูกคุณปู่แย่งไปเสียได้ โอ๊ย ช่างเจ็บปวดใจนัก!


ปัญหาอยู่ที่ว่าคุณปู่รู้ได้อย่างไรว่าเขามีมีดดีๆอยู่ในมือ?


จ้าวอิงหัวลองนึกเพียงชั่วครู่ก็พอจะเดาถึงใจความสำคัญในเรื่องนี้ได้ เห็นท่าทีปิดปากของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน มีหรือที่เขาจะไม่เข้าใจ!


“เจ้าเด็กแสบกล้านักที่จะทำลายพ่อตัวเองลับหลัง ซินหย่า หักค่าขนมของเจ้าเด็กแสบนี่ครึ่งปี!”


จ้าวอิงหัวโกรธจนถึงขีดสุดจนจำต้องใช้วิธีการลงโทษที่เด็ดขาด ท่าทีได้ใจก่อนหน้านี้ของจ้าวเสวียหลินได้เปลี่ยนไปเป็นสีหน้าอมทุกข์ในพริบตา น้ำเย็นสาดลงมาปานฟ้ารั่ว เปลวไฟและน้ำแข็งปะทะชนกัน!


เหมยเหมยเดินเข้าไปหาและกระซิบด้วยเสียงอันเบาว่า “พี่คะ หนูให้เงินพี่เอง”


จ้าวเสวียหลินจึงรู้สึกเบิกบานใจอีกครั้ง เขาฉีกยิ้มอย่างดีใจเจือด้วยความชั่วร้าย!


…………………………………..


บทที่ 627 นักเขียนการ์ตูน


ผ่านไปแล้วอีกหนึ่งสัปดาห์ แต่จ้าวอิงหัวไม่ได้พักผ่อนอะไรนัก เขาได้นำทีมเข้าไปสำรวจการเรียนรู้ที่ฮ่องกง โดยมีระยะเวลานานครึ่งเดือนถึงจะได้กลับมา และได้บอกไว้ล่วงหน้าว่าจะซื้อเสื้อผ้าสวยๆกับมาให้เหมยเหมยสองแม่ลูก


เหยียนซินหย่าบอกกับเขาให้ซื้อให้แค่เหมยเหมย ค่าเงินที่ใช้จับจ่ายใช้สอยในฮ่องกงไม่ใช่น้อยๆ เงินเดือนเล็กน้อยที่จ้าวอิงหัวได้รับนั้น เกรงว่าแม้แต่นาฬิกาเรือนแพงสักเรือนยังซื้อไม่ไหวเลย!


เหมยเหมยก็ไม่ได้ต้องการเสื้อผ้าชุดใหม่แต่อย่างใด อีกทั้งโรงงานเสื้อผ้าของเหยียนหมิงซุ่นก็ใกล้จะเปิดทำการแล้ว ทั้งหมดคือรูปแบบใหม่สไตล์ฮ่องกง  ต่อจากนี้ไปเธอคงไม่ต้องกลุ้มใจที่จะไม่มีเสื้อผ้าสวยๆใส่แล้ว!


“พ่อคะ หนูอยากกินช็อกโกแลต พ่อซื้อช็อกโกแลตมาให้หนูหน่อยสิคะ อืม ยังมีหนังสือการ์ตูนอีก พ่อซื้อกลับมาให้หนูด้วยสักสองสามเล่มนะคะ!”


ในตอนนี้อุตสาหกรรมแอนิเมชันของบางประเทศถือว่าเป็นที่คุ้นหูคุ้นตาพอสมควร เพียงแต่ในประเทศยังไม่ค่อยเป็นที่นิยมนัก เธอจึงได้ขอให้จ้าวอิงหัวซื้อหนังสือการ์ตูนกลับมาให้ จุดประสงค์หลักก็เพื่อที่จะใช้เรียนรู้


เป็นเพราะเมื่อไม่นานมานี้ เธอเพิ่งนึกได้ว่าในอนาคตเธอจะทำอะไร!


การวาดรูปเป็นสิ่งที่จำเป็น  เพียงแต่เธอต้องการวาดการ์ตูน ไม่ใช่การวาดแบบดั้งเดิม


เพราะตัวเธอเองชอบเขียนเล่าเรื่องราว ทั้งยังชอบการวาดรูป ซึ่งการวาดการ์ตูนสามารถนำเอาทั้งสองสิ่งนั้นมาผสมผสานเข้าด้วยกัน ดังนั้น……


ในอนาคตเธออยากเป็นนักเขียนการ์ตูนผู้ประสบความสำเร็จ แบบนั้นเธอก็สามารถทำในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบ ทั้งยังหาเงินได้อีกด้วย ยิงปืนนัดเดียวได้นกตั้งสองตัว ช่างดีนัก!


ในช่วงวันหยุดเหยียนซินหย่าได้พาทั้งลูกสาวและลูกชายไปยังบ้านพักหลังเก่าของเหยียนตานซิงที่ตั้งอยู่บนแถบถนนฮวายห่าย และยังได้สั่งให้จ้าวเสวียหลินนำพลั่วสำหรับขุดดินไปด้วย เหมยเหมยและจ้าวเสวียหลินต่างเกาหัวไปมา และทำตามผู้เป็นแม่สั่งด้วยท่าทีมึนงง


บ้านซอมซ่อหลังนี้ดูอ้างว้าง เหยียนซินหย่าบอกเพียงแค่รอให้อากาศร้อนมากกว่านี้หน่อย เธอจะหาช่างมาซ่อมแซมและบูรณะ หลายปีก่อนพ่อแม่ของเธอถูกกลับคำพิพากษา ทั้งยังได้รับเงินชดเชยคืนมาหนึ่งก้อน เหลือเฟือที่จะใช้สำหรับซ่อมแซม


เหยียนซินหย่าเดินนำพวกเขาตรงเข้าไปยังสวนด้านหลัง และเดินไปหยุดตรงต้นดอกเหมยที่มีลักษณะคดงอ และได้บอกให้จ้าวเสวียหลินขุดหลุมใต้ต้นนั้น


“ในปีนั้นคุณตาของพวกเธอคาดการณ์ไว้ว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้น จึงตัดสินใจนำของสะสมทั้งชีวิตและผลงานภาพวาดห่อด้วยกระดาษน้ำมันอย่างละเมียดละไม และซุกซ่อนมันไว้ในโถเคลือบใบนี้ พวกเราทั้งสามคนช่วยกันหามรุ่งหามค่ำฝังกลบมันไว้ใต้ต้นเหมยต้นนี้ ซึ่งวันถัดไปคุณตาคุณยายก็ถูกคนพาตัวออกไป และไม่กลับมาอีกเลย!”


เหยียนซินหย่าหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดวงตาของเธอแดงก่ำ ช่วงที่พ่อของเธอถูกเอาตัวไป เขาก็เลือกที่จะปิดปากเงียบมาตลอด เธอรู้ดี ว่าพ่อของเธอต้องการให้เธอมีชีวิตที่ดีต่อไป รวมทั้งยังสามารถปกป้องสิ่งของล้ำค่าเหล่านี้!


เหมยเหมยหุนหันเข้าไปหา และค่อยๆตบเบาๆที่แผ่นหลังของเหยียนซินหย่า ในใจเธอเองก็ไม่ได้รู้สึกดีสักท่าไหร่


คุณตาของเธอเสียชีวิตไปด้วยอายุเพียงสี่สิบกว่า ถือว่าอายุยังน้อย อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความสามารถ หากตอนนี้ยังมีชีวิตอยู่คงจะดีไม่น้อย คุณตาจะต้องออกแบบผลงานอันเลอค่าออกมาอีกมากเป็นแน่!


“แม่คะ คุณตาคุณยายถูกคนอื่นทำร้ายหรือคะ?” อู่เหมยอดไม่ได้ที่จะถาม


สีหน้าท่าทีของเหยียนซินหย่าเปลี่ยนไปเป็นเย็นชา เธอพูดขึ้นอยากเคียดแค้น “ถูกบุคคลอาชีพเดียวกันกับคุณตารายงานต่อทางการ ทั้งยังมีเด็กนักเรียนของคุณตาอีกสองคนเป็นพยานให้ เขาบอกว่าคุณตาเป็นชาวต่างชาติที่เข้ามาสอดแนม จากนั้นก็ตัดสินให้โทษกับคุณตาเสียแบบนั้น”


“แล้วสามคนนั้นเป็นใคร?” จ้าวเสวียหลินถามขึ้นอย่างโมโห แม่ไม่สั่งสอนหรือไง รอก่อนเถอะไอ้พวกชาติชั่วทั้งสาม ต่อไปนี้พวกมันต้องได้รับการแก้แค้นจากเขา


เหยียนซินหย่าขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตอบออกไป “ตานเหอเจิ้ง หร่วนหวาไฉ่ เจิ้งซื่อหลิน ชื่อของพวกมันทั้งสาม จนตายฉันก็ไม่มีวันลืม”


“แม่คะ แล้วตอนนี้สามคนนี้อยู่ที่ไหน?”  เหมยเหมยถาม


“แม่เคยให้พ่อไปถามมา ตอนนี้ ตานเหอเจิ้ง เป็นศาสตราจารย์ประจำมหาลัยQH เป็นบุคคลที่มีเกียรติ มีชื่อเสียงอย่างมากทั้งในและต่างประเทศ และตอนนี้ทั้ง หร่วนหวาไฉ่ และเจิ้งซื่อหลิน ต่างก็เป็นเด็กนักเรียนของเขา หากพูดง่ายๆคือมีชื่อเสียงในวงการภาพเขียน และวงการนักสะสม”


เหยียนซินหย่าเกลียดตัวเองที่ใช้ไม่ได้เอาเสียเลย เธอได้แต่มองดูพวกคนที่ทำร้ายบุพการีของตัวเองจนตาย โดยที่พวกมันยังมีชีวิตอยู่ได้ด้วยความชื่นมื่น เป็นเธอเองที่ไม่สามารถแก้แค้นพวกมันได้เลย ก่อนหน้านั้นจ้าวอิงหัวเคยบอกว่าจะหาคนมาช่วย แต่เธอกลับปฏิเสธออกไป


แม้ว่าตานเหอเจิ้งและพวกเขาทั้งสามจะไม่ใช่นักการเมือง เพียงแต่ในวงการงานศิลปะพวกเขามีฐานะที่ไม่ธรรมดาเลยสักนิด อีกทั้งยังมีเกียรติยศชื่อเสียงมากในต่างประเทศ แม้ว่าตระกูลจ้าวจะเป็นดั่งตะวันค่ำฟ้า แต่คนที่คอยจับตามองพวกเขาอยู่เบื้องหลังกลับไม่น้อย ดังนั้นจะให้ตระกูลจ้าวลงมือง่ายๆ เพราะสามคนนี้ไม่ได้เด็ดขาด


………………………………………………


บทที่ 628 เราจะสู้ไปด้วยกัน


จ้าวเสวียหลินเข้าใจความรู้สึกของแม่ตนดี ยิ่งในตอนนี้มีฐานะเป็นคนตระกูลจ้าว ทำการใดต้องมีความละเอียดรอบคอบ หากไม่ระวังตัวไว้ก็สามารถถูกผู้ไม่หวังดีขุดคุ้ยหลักฐานขึ้นมา และพร้อมที่จะใช้มีดแทงข้างหลังได้ทุกเมื่อ


ความจริงตระกูลจ้าวถูกมีดแทงจนหวาดกลัวไปหมดแล้ว!


พวกตานเหอเจิ้งทั้งสามคนนี้ แค่ได้ยินก็รู้เลยว่าเป็นพวกตีสองหน้า หน้าเนื้อใจเสือ ทั้งยังเป็นบุคคลอันมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จัก ใช่ว่าตระกูลจ้าวจะไม่สามารถจัดการพวกเขาทั้งสามคนได้ เพียงแต่นั่นมีความเสี่ยงสูง


หากถูกคนมีแผนการชั่วร้ายหลอกใช้จะทำเช่นไร  หากร่วมมือกับพวกตานเหอเจิ้งแล้วทำให้เรื่องเล็กกลับกลายเป็นเรื่องใหญ่ นั่นคงไม่ต่างไปจากขี้หมาที่สะบัดไม่หลุดจากก้น และวุ่นวายจนพลาดท่าได้!


อีกทั้งแม่ของเขาเป็นแค่ภรรยาของลูกชายในตระกูลจ้าวเท่านั้น คุณตาของเขาจึงถือเป็นเพียงญาติที่เข้ามาเกี่ยวดองกัน คุณปู่จ้าวคงไม่มีทางทำอะไรบุ่มบ่ามวู่วามเพื่อช่วยญาติโกโหติกาประเภทนี้ ญาติพี่น้องของตระกูลจ้าวก็มีอยู่ไม่น้อย หากว่าพวกเขาเปิดช่องโหว่ทางเหยียนซินหย่า แล้วญาติคนอื่นๆจะทำเช่นไรได้?


เมื่อถึงเวลานั้นตระกูลจ้าวคงไม่สามารถใช้ชีวิตอย่างสงบสุขได้อีก!


“แม่อย่าโกรธเลย รอให้หนูกับพี่โตขึ้น พวกเราจะแก้แค้นให้กับคุณตาแทนแม่เองค่ะ ทำให้ชื่อเสียงเกียรติยศของทั้งสามคนพังพินาศจนย่อยยับ เสื่อมเสียชื่อเสียงไปเลย!” เหมยเหมยพูดปลอบใจ


เหยียนซินหย่ายิ้มขึ้นอย่างชื่นชม “แม่เองก็จะพยายามจ้ะ!”


รอให้สุขภาพร่างกายดีขึ้นมากกว่านี้ เธอจะเริ่มจับพู่กันวาดภาพอีกครั้ง ทักษะการวาดของเธอถือว่าดีไม่น้อย แต่ก่อนยังเคยได้รับคำชมจากผู้เป็นพ่อ ท่านบอกว่าภาพวาดของเธอดูมีชีวิต แต่น่าเสียดายที่หลายปีมานี้ทิ้งมันไปเสีย เธอจะต้องถ่ายทอดภาพวาดของสำนักเหยียนให้เป็นที่ประจักต่อคนหมู่มากแทนผู้เป็นพ่อ!


จ้าวเสวียหลินขุดลงไปลึกเกินเมตรครึ่ง พลั่วกระทบเข้ากับสิ่งของบางอย่าง จนเกิดเสียงข่วนชวนอึดอัดขึ้น เขาจึงค่อยๆผ่อนจังหวะลง ระวังที่จะขุดดินบริเวณรอบๆ จนปรากฏให้เห็นโถเคลือบบรรจุน้ำที่มีขนาดใหญ่ราวครึ่งเมตร


ซึ่งไม่รู้เลยว่าในปีนั้น คุณตา คุณยาย รวมถึงแม่ของเขาขุดยังไงให้หลุมลึกได้ถึงเพียงนี้?


ช่วงปากโถน้ำถูกพันด้วยกระดาษน้ำมันอย่างแน่นหนา จ้าวเสวียหลินปัดเศษฝุ่นเศษดินออกจนสะอาด จากนั้นค่อยๆฉีกกระดาษน้ำมันนั้นทิ้ง เขาดึงเอาของที่มีลักษณะเหมือนๆกันออกมาทีละชิ้นสองชิ้น วางอยู่ด้านบนสุดส่วนใหญ่จะเป็นภาพวาดพู่กัน


มีผลงานของตัวเหยียนตานซิง และยังมีผลงานที่ถูกเขาเก็บสะสมไว้ ทั้งหมดต่างเป็นสิ่งของล้ำค่าที่หาได้ยากบนโลกใบนี้ ไม่ว่าภาพวาดภาพไหนถูกหยิบออกไปด้านนอกก็จะมีแต่คนพร้อมจะแย่ง ส่วนด้านล่างเป็นของชิ้นใหญ่พอควร ที่มีทั้งเครื่องหยก เครื่องเซรามิค และยังมีเฟอร์นิเจอร์หวงฮวาหลี[1] ในโถน้ำใบใหญ่ที่ถูกยัดเต็มด้วยสิ่งของ


เพราะใช้กระดาษน้ำมันห่อจึงไม่มีอากาศผ่านได้ แม้นว่าข้าวของในโถน้ำใบนี้จะถูกฝังมานานยี่สิบกว่าปี แต่กลับไม่มีความชื้นใดๆปรากฏอยู่ แม้แต่ภาพที่วาดด้วยพู่กันยังคงแห้งสนิท


เหยียนซินหย่าสั่งให้จ้าวเสวียหลินหยิบเพียงภาพวาดพู่กันออกมาไม่กี่ภาพ  ส่วนที่เหลือก็ให้วางคืนไว้ที่เดิม และใช้กระดาษน้ำมันห่อทับอย่างหนาแน่น และปิดทับลงไปให้สนิทอีกครั้ง


“สิ่งของล้ำค่าพวกนี้ เอาวางไว้แถวนี้น่าจะปลอดภัยบ้างเล็กน้อย รอให้ซ่อมแซมบ้านเสร็จ ค่อยหยิบขึ้นมาให้พวกมันได้เห็นเดือนเห็นตะวัน”


เหยียนซินหย่าถอดถอนหายใจไปครั้งหนึ่ง ของพวกนี้เปรียบดั่งพละกำลังทั้งชีวิตของท่าน เธอจะต้องรักษาไว้ให้ดี เธอจะทำให้ผู้เป็นพ่อที่นอนอยู่ใต้พื้นไม่สงบสุขได้รึ


อู่เหมยทนฟังอยู่นาน ท้ายสุดเธอจึงเลือกที่จะเงียบ ความลับของฉิวฉิวจะพูดออกมาให้พวกเขารับรู้ไม่ได้!


ภาพวาดพู่กันที่เหยียนตานซิงสะสมมีอยู่เยอะมาก เมื่อวางรวมกันเกือบสามารถเทียบเท่าหนึ่งร้อยชิ้น สามเปอร์เซ็นนั้นถือว่าเป็นของเธอ ที่เหลืออีกเจ็ดเปอร์เซ็นแน่นอนว่าต้องเป็นผลงานร่วมสมัยชิ้นเอกอันมีชื่อเสียง เหมือนกับปาต้าซันเหริน ซ่งเวยจง น่าหลานหรงรั่ว สือฉือ ถางโป๋หู่ เจิ้งป่านเฉียว[2] และจิตกรท่านอื่นอีกมากมาย สามารถพูดได้เลยว่าเป็นดั่งสิ่งของล้ำค่าจนไม่อาจตีค่าราคาได้


เหยียนซินหย่าเลือกหยิบภาพวาดเพียงไม่กี่ชิ้นออกมาเพื่อนำกลับไปเรียนรู้ ของอย่างอื่นเธอไม่ได้หยิบออกไป แต่กลับนำของทั้งหมดเก็บไว้ดั่งเดิม หลังจากที่นำเศษดินฝังกลบลงไปอีกครั้ง ทั้งสามคนแม่ลูกจึงเดินออกจากสวนเหมยไป


ไม่มีใครสังเกตเห็นฉิวฉิวที่แอบเล่นอยู่บนต้นเหมยในสวน มุดเข้าไปในดินอย่างง่ายดาย ไม่นานก็โผล่ออกมา


หากในเวลานี้กลับไปขุดดินบริเวณนั้นอีกครั้ง จะพบว่าสิ่งของในโถน้ำใบนั้นหายไปเกินกว่าครึ่ง!


คุณชายฉิวที่หมอบอยู่ในทรวงอกของเหมยเหมยเรอออกมาอย่างสบายใจ ดูแล้วเจ้านายของมันจะเกิดความกังวลอยู่ไม่น้อย มันจำต้องฝืนทนเก็บไว้เสียแล้ว!


ความจริงคือ ในโถน้ำใบนั้นมีสิ่งของที่มันต้องการอยู่ จึงถือโอกาสหยิบเอาของที่ดูมีราคาออกมาเก็บให้


……………………………………………..


บทที่ 629 แผนการเล็กๆ


ช่วงเวลาแห่งความสุขมักจะผ่านไปเร็วเสมอ ในเวลาเพียงไม่นานก็ย่างเข้าสู่เดือนเมษายน ซึ่งเหมยเหมยจะต้องออกเดินทางไปยังเมืองหลวง โดยมีสำนักการศึกษาประจำเมืองจินและสมาคมภาพวาดที่เป็นฝ่ายนำทีม หัวหน้าหลักที่ดูแลก็ไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นบุคคลที่คุ้นหน้าคร่าตากันดีอย่างคุณพ่อของเหยียนหมิงซุ่น เหยียนโฮ่วเต๋อ


เมื่อขึ้นมาบนรถแล้วเห็นรอยยิ้มที่ดูเสแสร้งของเหยียนโฮ่วเต๋อ เหมยเหมยจึงรู้สึกผะอืดผะอมอยากจะอวกเอาอาหารที่พึ่งกินเข้าไปเมื่อคืน


“ใช่ไหมเหมยเหมย ลุงเป็นพ่อของพี่หมิงซุ่นของหนู และเป็นผู้ดูแลกิจกรรมในครั้งนี้ เหมยเหมยมีปัญหาอะไรให้บอกกับลุงเหยียนเลยนะ!”


เหยียนโฮ่วเต๋อส่งยิ้มให้อย่างมีเมตตา เผยให้เห็นฟันซี่หน้าสีอมเหลืองซี่ใหญ่ๆ ทำให้เหมยเหมยรู้สึกขยะแขยง


“ขอบคุณค่ะ!”


เหมยเหมยขมวดคิ้วเล็กน้อย พร้อมส่งยิ้มให้อย่างเป็นมารยาท เธอไม่อยากพูดคุยกับคนเห็นแก่ตัวเหมือนคนประเภทเดียวกับอู่เจิ้งซือ เธอจึงหลับตาแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เดิมทีเหยียนโฮ่วเต๋ออยากพูดคุยกับลูกสาวของท่านรองผู้ว่าประจำเมืองเรื่องในครอบครัวของพวกเขา นั่นคือเหยียนหมิงซุ่น แต่เหมยเหมยมีท่าทีเช่นนี้ แน่นอนว่าเขารู้ดีอยู่เต็มอกว่าไม่สามารถพูดได้!


“เหมยเหมยพักผ่อนเถอะ มีปัญหาอะไรให้รีบบอกลุงเหยียนล่ะ ลุงอยู่ห้องข้างๆนี่”


เหยียนโฮ่วเต๋อจำต้องเดินออกไปอย่างเสียไม่ได้ เดินไปไม่กี่ก้าวจำต้องหันหลังกลับมามองอย่างอดอาลัยตายอยาก


หัวหน้าเหยียนกลับมาถึงห้องของตนก็เอาแต่พูดบ่นกับตัวเอง ลูกสาวของท่านรองผู้ว่าประจำเมืองสนิทชิดเชื้อกับลูกชายเขาอะไรกัน!


เมื่อครู่ที่เขาพูดถึงเหยียนหมิงซุ่น แม้แต่หนังตาของลูกสาวท่านรองผู้ว่ายังไม่แม้แต่จะขยับ เฉยชาคล้ายราวกับว่าไร้ซึ่งความรู้สึก หรือว่าที่เธอพูดจาแบบนั้นต่อเหยียนหมิงซุ่น คงเพราะลูกสาวท่านรองผู้ว่าดูถูกคนธรรมดาอย่างพวกเขา และไม่ควรจะข้องเกี่ยวด้วย?


เหยียนโฮ่วเต๋อประมวลความคิดของตนอย่างรวดเร็ว หากความสัมพันธ์ไม่ดีจริงจะโทรมาเพื่อสวัสดีปีใหม่ในช่วงต้นปีไปเพื่ออะไร?


ไม่แน่ว่าเหยียนหมิงซุ่นเกิดทะเลาะกับแม่สาวน้อย นิสัยใจคอของลูกชายตนก็เป็นคนไม่ยอมใคร และยังอวดดี แม้แต่ตัวเขาเองยังเอาไม่อยู่ ลูกสาวท่านผู้ว่าเสมือนกับหญิงสาวผู้ละเอียดอ่อนและมีไหวพริบ จะต้องเป็นเพราะลูกชายเขาทำอะไรให้ลูกสาวของท่านผู้ว่าโกรธเป็นแน่


ใช่แน่ๆ ต้องเป็นเช่นนี้!


เหยียนโฮ่วเต๋อวางใจลงได้บ้าง เพียงแต่เขาไม่ค่อยพอใจเหยียนหมิงซุ่นเท่าไรนัก เขาตัดสินใจว่าหลังจากกลับจากเมืองหลวง จะต้องสั่งสอนลูกชายคนโตเสียหน่อย เหตุใดถึงไม่ยอมๆให้แม่สาวน้อยเสียบ้าง?


แม่สาวน้อยเป็นถึงลูกสาวของท่านผู้ว่าประจำเมือง!


ยอมให้เธอสักร้อยครั้งคงไม่เกินไปหรอก!


“หัวหน้าเหยียน เด็กผู้หญิงหน้าตาสละสวยที่ชื่อว่าจ้าวเหมยอะไรนั่นเป็นญาติคุณหรือ?” คุณครูที่เดินทางพร้อมกับเขาถามขึ้นอย่างสนใจ


เหยียนโฮ่วเต๋อยิ้มอย่างอบอุ่น และพูดขึ้นอย่างพอใจ “ไม่ใช่ญาติหรอก แต่เป็นท่านรองผู้ว่าฝากฝังมา ให้ผมช่วยดูแลลูกสาวของท่านให้มากหน่อย”


แน่นอนว่าเขาจงใจพูดแบบนั้น เพื่อให้คนอื่นเข้าใจว่าเขามีความสัมพันธ์อันดีกับจ้าวอิงหัว ดีเสียจนถึงขั้นที่ต้องฝากฝังให้เขาดูแลลูกสาว แล้วแบบนี้คนอื่นจะคิดเช่นไร……


“ลูกสาวของท่านรองผู้ว่าจ้าว? ปัดโถ่ว ท่านรองนี่จริงๆเลย ไม่ออกปากพูดอะไรสักนิดเลย!” ครูท่านอื่นตกใจจนหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ทุกคนตกใจจนทำตัวไม่ถูก


เหยียนโฮ่วเต๋อยิ้มอย่างมีเลศนัย อ้าปากพูดว่า “ท่านรองผู้ว่าพอจะคาดเดาท่าทีของพวกคุณได้ ท่านจึงกำชับผมเป็นการส่วนตัว มิเช่นนั้นผมจะนำทีมมาด้วยตัวเองอย่างนี้หรือ!”


ทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจ จึงพูดออกมาด้วยความอิจฉา “รองหัวหน้าเหยียนกับท่านรองผู้ว่าดูสนิทกันดีเป็นการส่วนตัวนะครับ แต่ก่อนไม่เคยเห็นรองหัวหน้าพูดถึงมาก่อนเลย!”


“คุณก็พูดเกินไป เป็นแค่การรู้จักกันโดยส่วนตัว มีอะไรที่ควรพูดถึงหรือไง”


เหยียนโฮ่วเต๋อพูดอย่างถ่อมตัว แต่รู้สึกปลื้มใจเหมือนในช่องท้องกลับเบ่งบานด้วยดอกไม้ เขาเชื่อว่าหลังจากที่กลับจากเมืองหลวง ความสัมพันธ์ของเขาและท่านรองผู้ว่าคงจะกลายเป็นข่าวลือ เหมือนดั่งดอกปุยหยางที่พัดพาลอยไปทั่วทั้งเมืองในช่วงฤดูร้อน!


แผนการหลังจากนั้น เหมยเหมยรับรู้ได้ถึงท่าทีของคุณครูแต่ละคนที่เปลี่ยนไป และเอาใจใส่เธอมากเป็นพิเศษ ขาดเพียงแค่นิดเดียวคือยังไม่ได้กราบไหว้บูชาเธอราวกับพระโพธิสัตว์ เธอจึงไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก


…………………………………………………………………………………………..


[1] สิ่งที่ทำมาจากไม้จริงล้วนทั้งหมด ชนิดไม้ที่ใช้ทำมักเป็นไม่เนื้อแข็งแรง


[2] จูตา หรือ ปาต้าซันเหริน จิตกรผู้เลอชื่อในยุคปลายราชวงศ์หมิง-ต้นราชวงศ์ชิง จักรพรรดิซ่งเวยจงหรือซ่งฮุ่ยจง จักรพรรดิผู้เป็นเลิศด้านผลงานพู่กันจีนในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ น่าหลานหรงรั่วเป็นอีกหนึ่งท่านที่เป็นพหูสูตผู้มีพรสวรรค์มากล้นรอบรู้ทางด้านพู่กันจีน การแต่งกาพย์กลอน หรือเรียกนักประพันธ์แห่งราชวงศ์ชิง สือฉือเป็นจิตกรผู้เลืองลือในช่วงต้นราชวงศ์ชิง ถางโป๋หู่เป็นจิตกรชื่อดังแห่งราชวงศ์หมิง ผลงานชิ้นโดดเด่นจะเป็นการเขียนพู่กัน เจิ้งป่านเฉียวจิตกรและนักวรรณคดีแห่งราชวงศ์ชิง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)