หมอดูยอดอัจฉริยะ 612-625
ตอนที่ 612 ล้างมือในอ่างทองคำ (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้ว่าซ่งเฮ่าเทียนจะโมโหกับเรื่องที่เหลยเจิ้นเยวี่ยและลูกชายวางอุบายใส่ลูกสาวของตนอยู่เหมือนกัน แต่สำหรับคนระดับซ่งเฮ่าเทียน ปัญหาที่เขาจะต้องพิจารณา ไม่ได้มีแต่เฉพาะเรื่องทรัพย์สินเงินทองแล้ว
สมาคมหงเหมินเป็นกลุ่มองค์กรของคนเชื้อสายจีนที่ใหญ่ที่สุดในโลก จริงอยู่ที่ว่าสมาคมได้ถอนกำลังออกจากประเทศจีนไปนานแล้ว แต่กลับยังมีอิทธิพลอย่างใหญ่หลวงในทวีปยุโรปและโดยเฉพาะอย่างยิ่งในสหรัฐอเมริกา
ในบางช่วงเวลาสมาคมหงเหมินถึงขั้นสามารถควบคุมการตัดสินใจบางอย่างของนักการเมืองสำคัญๆ ในอเมริกาได้เลยทีเดียว ซึ่งจะมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อประเทศจีนที่กำลังพัฒนา
การติดต่อระหว่างตระกูลซ่งและสมาคมหงเหมินในต่างประเทศสมัยนั้น ซ่งเฮ่าเทียนเป็นผู้ดำเนินการเองทั้งหมด และในยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ เขาก็เคยให้การสนับสนุนต่อกิจกรรมทางการทูตบางอย่างของสมาคมหงเหมินในประเทศจีนไปมากแล้ว
ดังนั้นเมื่อได้ข่าวว่า ทันทีที่เยี่ยเทียนไปถึงอเมริกาก็ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในสมาคมหงเหมิน และพวกเหลยเจิ้นเยวี่ยที่ในอดีตมีความสัมพันธ์อันดีกับประเทศจีนมาตลอดก็ถอนตัวออกจากสมาคมหงเหมินกันหมด ซ่งเฮ่าเทียนจึงโมโหเดือดดาลขึ้นมาทันที
อีกทั้งเรื่องนี้ยังถึงขั้นทำให้ผู้นำสูงสุดท่านนั้นตื่นตระหนกไปด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะข่าวแพร่ไปถึงทางนั้นหลังจากผ่านไปสองวันแล้ว และตู้เฟยผู้ได้ขึ้นปกครองสมาคมหงเหมินมีความสัมพันธ์กับตระกูลซ่งอย่างลึกซึ้งแล้วละก็ สงสัยคราวนี้เยี่ยเทียนคงได้เจอดีแน่ๆ
“แม่ครับ ตาแก่นั่นจะโมโหกระทืบเท้าอยู่ที่บ้านแล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะครับ?” เยี่ยเทียนได้ยินอย่างนั้นก็เบะปาก แล้วถามว่า “กิจการของแม่ทางโน้นเป็นยังไงบ้างครับ? เสียหายไปเยอะรึเปล่า?”
“ความเสียหายทางการเงินน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ใจคนแตกแยกไปแล้ว ต่อไปก็คงจะควบคุมได้ยากแล้วละ!”
ซ่งเวยหลันฝืนยิ้มพลางส่ายหน้า เงินทุนก้อนนั้นแม้จะถูกสกัดไว้แล้ว แต่ถ้าจะกู้กลับมาละก็ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องใช้เวลาอีกครึ่งปีกว่า
และการจัดการกองทุนทรัสต์อย่างผิดกฎหมายนั้น ยังทำให้บริวารหลายคนที่เคยติดตามมาตั้งแต่ช่วงบุกเบิกสูญเสียความศรัทธาไปมาก ถ้าไม่ใช่เพราะซ่งเวยหลันมาจัดการได้ทันเวลา อาณาจักรธุรกิจอันใหญ่โตมหาศาลนั้นก็คงจะพังทลายไปแล้ว
ซ่งเวยหลันรู้ว่า ลูกชายไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ จึงอธิบายให้ฟังคร่าวๆ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ลูกแม่ แม่น่าจะต้องอยู่ที่นิวยอร์กต่ออีกสักระยะ ไว้พอแม่จัดการเรื่องนี้เสร็จแล้ว ต่อไปก็คงจะไม่มาทางนี้อีกแล้วละนะ”
“ไม่เป็นไรครับแม่ ผมก็จะอยู่ที่ซานฟรานซิสโกนี่ต่ออีกระยะหนึ่งเหมือนกัน พอทำธุระเสร็จหมดแล้วผมจะไปหาแม่ที่นิวยอร์กนะครับ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เมื่อเห็นว่าคนเริ่มมากันเยอะขึ้นเรื่อยๆ จึงบอกมารดาว่า “เราเข้าไปกันเถอะครับ พิธีล้างมือในอ่างทองคำของชาวยุทธนี่มันน่าสนุกตรงไหนก็ไม่รู้นะแม่ คนถึงได้มากันจัง?”
ซ่งเวยหลันขึงตาใส่เยี่ยเทียน “เจ้าลูกคนนี้นี่ แม่รู้หรอกว่าแกเก่ง แต่หลายปีมานี้ลุงเหลยเขาก็ช่วยเหลือแม่มาเยอะ เดี๋ยวลูกอย่าไปเสียมารยาทล่ะ”
“ครับผม ทราบแล้วครับ เดี๋ยวผมจะหุบปากทำเหมือนเป็นใบ้ไปเลยดีไหมล่ะ?”
เยี่ยเทียนส่ายหน้าอย่างไม่จริงจังนัก กล่าวทักทายสมาชิกของสมาคมหงเหมินที่อยู่แถวๆ นั้น แล้วเดินไปที่สวนซึ่งตั้งอยู่ตำแหน่งใจกลางของคฤหาสน์
ขณะนั้นที่นั่นมีแต่เสียงผู้คนพูดคุยกันดังอื้ออึง ผู้อาวุโสจากสาขาต่างๆ ที่มาร่วมงานประชุมใหญ่ของสมาคมหงเหมินในหลายวันที่ผ่านมาแทบจะมาชุมนุมกันครบทุกคน ในลานฝึกวรยุทธที่อยู่กลางสวนนั้น จัดวางโต๊ะเก้าอี้ไว้หลายสิบตัวโดยแยกออกเป็นสองแถว
สมาชิกสมาคมหงเหมินที่มีลำดับศักดิ์ต่ำกลุ่มหนึ่งกำลังสาละวนอยู่กับการรินน้ำชาให้แขก ส่วนเหลยเจิ้นเยวี่ยซึ่งเป็นตัวละครหลักในวันนี้ก็กำลังยืนอยู่ที่ทางเข้าสวนเพื่อคอยทักทายแขกที่มาถึง
นอกจากนี้ยังมีสมาชิกตำหนักอาญาที่มีอาวุธซ่อนไว้ที่เอวกลุ่มหนึ่งกำลังเดินลาดตระเวนอยู่รอบนอกสวนแห่งนั้น เพราะพวกเขากลัวว่าจะมีคนมาก่อความวุ่นวาย
การล้างมือในอ่างทองคำนั้นเป็นการประกาศว่าจะถอนตัวออกจากยุทธภพอย่างเป็นทางการ ต่อไปจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งในยุทธภพอีก และบุญคุณความแค้นต่างๆ ที่เคยมีมาก่อนหน้านั้นก็จะถูกลบล้างไปทันที
เพราะฉะนั้น หากผู้ใดมีความแค้นฝังลึกกับเหลยเจิ้นเยวี่ย ก็จะต้องมาจัดการก่อนที่เขาจะล้างมือในอ่างทองคำ ไม่อย่างนั้นหากมือทั้งสองข้างจุ่มลงไปในอ่างแล้ว ผู้อื่นก็จะไม่อาจมาแก้แค้นเหลยเจิ้นเยวี่ยได้อีก
ดังนั้นในยุทธภพสมัยก่อนยุคคอมมิวนิสต์ แม้จะมีคนล้างมือในอ่างทองคำอยู่ไม่น้อย แต่ที่จะดำเนินพิธีไปอย่างราบรื่นได้นั้นกลับมีอยู่ไม่มาก กระทั่งเกิดเหตุฆาตกรรมเลือดสาดกลางพิธีอยู่หลายครั้ง
เหลยเจิ้นเยวี่ยเคยผ่านศึกมานับครั้งไม่ถ้วน แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการปะทะกับกลุ่มแก๊งใต้ดินที่ต่างประเทศ แต่ก็มีศัตรูคู่แค้นที่มาจากวงการยุทธจักรในประเทศจีนอยู่เหมือนกัน ดังนั้นในพิธีล้างมือในอ่างทองคำครั้งนี้ สมาชิกของสมาคมหงเหมินที่มีหน้าที่เฝ้าระวังจึงเตรียมพร้อมราวกับจะต้องรับมือกับข้าศึกใหญ่ก็ไม่ปาน
“ท่านเยี่ย…”
ร่างอันสูงใหญ่ของเยี่ยเทียนเมื่ออยู่ท่ามกลางฝูงชนจึงดูสะดุดตากว่าคนอื่น หลังจากเหลยเจิ้นเยวี่ยเดินเข้าไปหาแล้วถึงเพิ่งจะเห็นว่าซ่งเวยหลันก็มาด้วย ใบหน้าชรานั้นแดงวาบขึ้นมา “เวยหลัน คราวนี้เป็นเพราะลุงเหลยเหลวไหลเอง ดันไปหลงเชื่อคำพูดยุยงของคนอื่นได้ ลุงเหลยรู้สึกผิดต่อเธอจริงๆ!”
ถ้าเปลี่ยนเป็นเหลยเจิ้นเยวี่ยในสมัยก่อน ถึงตีให้ตายเขาก็ไม่ยอมรับผิดแน่ แต่หลังจากที่พลังฝีมือเข้าสู่ระดับสูงสุด เขาก็เริ่มปล่อยวางกับเรื่องหลายๆ อย่างมากขึ้น
“เป็นความผิดของเวยหลันเองค่ะลุงเหลย ช่วงนั้นไม่ค่อยได้มาเยี่ยมลุงเลย ถึงได้ทำให้เกิดการเข้าใจผิดขึ้นมา” ซ่งเวยหลันเคารพนับถือเหลยเจิ้นเยวี่ยเสมอมา หลังจากที่เกิดเรื่องนี้ขึ้น เธอก็โทษตัวเองมาโดยตลอด
“ไม่ต้องพูดแล้วละ ลุงเหลยดีใจมากเลยนะที่เธอมาร่วมพิธีล้างมือในอ่างทองคำของลุงได้เนี่ย!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยเงยหน้าขึ้นหัวเราะเสียงดัง แต่แล้วสีหน้าก็ขรึมลงทันที “หลานชายเธอคนนั้นน่ะมันพวกกินบนเรือนขี้บนหลังคา ไม่ใช่คนดีหรอก เวยหลัน ให้ลุงเหลยช่วยจัดการมันให้เอาไหมล่ะ?”
ถ้าจะกล่าวถึงเรื่องนี้แล้ว ทุกอย่างก็เกิดขึ้นเพราะซ่งเสี่ยวหลงเป็นต้นเหตุ ต่อให้เหลยเจิ้นเยวี่ยจะใจกว้างสักขนาดไหน ก็ยังแค้นจนอยากจะจับซ่งเสี่ยวหลงมาแล่เนื้อเถือหนัง แล้วสับร่างมันเป็นหมื่นๆ ชิ้น
ซ่งเวยหลันยังไม่ทันพูดอะไร เยี่ยเทียนก็ชิงตอบก่อนว่า “เรื่องนี้ขอไม่รบกวนดีกว่าครับผู้อาวุโสเหลย ไว้พวกเราจะจัดการกันเองครับ!”
หลังจากถูกซ่งเสี่ยวหลงวางอุบายมาหลายต่อหลายครั้ง ความอดทนของเยี่ยเทียนก็ถึงขีดจำกัดแล้ว เขาตั้งใจไว้ว่าหลังจากเสร็จเรื่องที่อเมริกาแล้ว ก็จะเดินทางไปแอฟริกาเพื่อยุติความแค้นเหล่านี้ด้วยมือของตัวเอง
“ได้ อย่างนั้นเหล่าเหลยก็จะไม่เข้าไปยุ่งละนะ” เหลยเจิ้นเยวี่ยหัวเราะฮ่าๆ “ทั้งสองคนไปนั่งดื่มชาด้านในก่อนเถอะ เหล่าเหลยจะไปทักทายแขกคนอื่นๆ ต่อ”
ซ่งเวยหลันมองดูสีหน้าของลูกชายแวบหนึ่งแล้วถอนใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ตามเยี่ยเทียนไปนั่งเก้าอี้จุดที่ใกล้กับตำแหน่งประธานมากที่สุด
สิบกว่านาทีต่อมา เหลยเจิ้นเยวี่ยเห็นคนมากันเกือบครบแล้ว จึงไปยืนอยู่ตรงกลางลานแห่งนั้น แล้วประกาศเสียงดังกังวานว่า “พี่น้องสมาคมหงเหมินทั้งหลาย และพี่น้องเชื้อสายจีนทุกท่าน ขอขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่มาร่วมพิธีล้างมือในอ่างทองคำของเหลยเจิ้นเยวี่ย!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นรองประธานสมาคมหงเหมิน ขณะเดียวกันยังเป็นศิษย์คนสุดท้ายของ ‘เทพแขน’ จางเช่ออีกด้วย จึงมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับคนมากมายในวงการยุทธจักรที่ต่างประเทศ ดังนั้นนอกจากคนในสมาคมหงเหมินแล้ว จึงมีเจ้าของโรงฝึกวิชายุทธใหญ่ๆ แต่ละแห่งในสหรัฐอเมริกามาร่วมงานด้วย
“เหลยเจิ้นเยวี่ยอยู่ในยุทธภพมาเจ็ดสิบปี สังหารคนไปนับไม่ถ้วน วันนี้ขอล้างมือในอ่างทองคำ ยุติความแค้นทั้งหลายในอดีต แต่หากสหายท่านใดมีความแค้นกับผู้แซ่เหลยชนิดที่ไม่อาจเลิกราได้ ก็สามารถเข้ามาแทงผู้แซ่เหลยได้หนึ่งมีด!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยพูดเสียงดังมาก ถึงจะไม่ใช้ไมโครโฟน แต่ทุกคนก็ได้ยินเสียงอันดังกังวานนั้นอย่างชัดเจน
พอพูดจบ เหลยเจิ้นเยวี่ยก็ตวัดมือชักมีดเงินออกมา แล้วปักมีดเล่มนั้นลงบนโต๊ะสี่เหลี่ยมที่อยู่ตรงหน้า “เหล่าเหลยจะนับหนึ่งถึงสิบ หลังจากสิ้นเสียงนับสิบไปแล้ว ความแค้นทั้งหมดเป็นอันยุติ!”
เวลาชาวยุทธจะล้างมือในอ่างทองคำ ไม่ใช่เพียงแค่เชิญมิตรสหายมาร่วมพิธีเท่านั้น แต่ยังต้องเชิญศัตรูมาด้วย เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ศัตรูก็จะไม่ยอมรับ และสามารถตามมาล้างแค้นได้แม้ว่าจะผ่านพิธีล้างมือในอ่างทองคำไปแล้ว
“หนึ่ง สอง สาม…” เหลยเจิ้นเยวี่ยนับเลขอย่างเชื่องช้า แต่ละครั้งเว้นระยะถึงเจ็ดแปดวินาทีกว่าจะตะโกนเลขต่อไปออกมา
หลังจากเสียงตะโกนของเหลยเจิ้นเยวี่ยดังออกไป ฝูงชนก็เริ่มเอะอะวุ่นวายขึ้นมา เป็นที่รู้กันดีว่า คนเชื้อสายจีนนั้นไม่ค่อยจะกลมเกลียวกันเลย โดยเฉพาะพวกโรงฝึกวิชาบู๊ต่างๆ ยิ่งชอบไปแข่งกันสำแดงเดชตามที่ชุมชน และสมัยก่อนเหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นผู้ได้ชื่อว่าเป็นพวกคลั่งวิชาบู๊ก็เคยทำเรื่องแบบนั้นไปเยอะเหมือนกัน
“ไอ้เสือเหลย ตอนนั้นพ่อฉันโดนมวยสับงัดของแกทำร้าย นอนติดเตียงอยู่ครึ่งปีก็สิ้นใจไป แต่ฉันก็ไม่มีฝีมือพอที่จะมาล้างแค้นได้ วันนี้ขอยุติความแค้นนี้ด้วยการถ่มน้ำลายหนึ่งครั้งก็แล้วกัน!”
เมื่อเหลยเจิ้นเยวี่ยนับถึงเลขหก ชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบต้นๆ คนหนึ่งก้าวออกมาจากฝูงชน แล้วถ่มก้อนน้ำลายเหนียวข้นใส่หน้าเหลยเจิ้นเยวี่ยดัง “ถุย”
“แกกล้าเรอะ?!”
เมื่อเห็นภาพนี้ สมาชิกสมาคมหงเหมินที่อยู่ข้างๆ กลุ่มนั้นต่างพากันชี้นิ้วถลึงตาด้วยความเดือดดาล ดวงตาถลนจนแทบจะหลั่งโลหิตออกมาอยู่แล้ว เหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นผู้กล้ามาทั้งชีวิต สมควรแล้วหรือที่จะต้องมารับความอัปยศเช่นนี้?
พี่น้องในสมาคมบางคนที่เคยติดตามเหลยเจิ้นเยวี่ยมาก่อนกำลังผรุสวาทด่าทอ และตั้งท่าจะเข้าไปลงมือทำร้ายชายคนนั้นแล้ว
“หยุดมือ ถ่มน้ำลายหนึ่งครั้งทดแทนหนึ่งชีวิต เหล่าเหลยขอยอมรับเอง!” เหลยเจิ้นเยวี่ยตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “พี่น้องทุกท่านก็คงไม่อยากให้หลังจากเหล่าเหลยล้างมือในอ่างทองคำแล้ว ต้องไปเป็นศพอยู่กลางถนนหรอกนะ?”
“พี่เหลย!”
“ท่านเหลย!!”
หลายเสียงร้องออกมาอย่างรันทดใจ แต่คนเหล่านั้นก็ไม่กล้าก้าวออกไปอีกแล้ว เพราะถ้าวันนี้พวกเขาทำร้ายชายวันกลางคนผู้นั้น พิธีล้างมือในอ่างทองคำของเหลยเจิ้นเยวี่ยก็จะล่มไปเพราะพวกเขาเป็นต้นเหตุ
“เก้า!”
เมื่อตะโกนออกไปถึงเลขเก้า เหลยเจิ้นเยวี่ยก็หยุดนิ่ง แล้วกวาดสายาตาไปรอบๆ “ถ้าไม่มีคนอื่นแล้ว ผู้แซ่เหลยก็จะขอถอนตัวออกจากยุทธภพตั้งแต่บัดนี้ ความขัดแย้งใดๆ ในยุทธภพต่อจากนี้ไปจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับผู้แซ่เหลยอีก!”
ที่นั่นมีสมาชิกสมาคมหงเหมินชุมนุมกันอยู่มากมาย แม้จะยังมีบางคนที่มีความแค้นส่วนตัวกับเหลยเจิ้นเยวี่ยอยู่ แต่ก็ทำได้เพียงกล้ำกลืนลงไป และตอนที่ชายวัยกลางคนผู้นั้นถ่มน้ำลายไปเมื่อครู่ ก็ได้ช่วยให้ความเคียดแค้นในใจของพวกเขาสลายไปมากแล้ว
อ่างน้ำที่วางอยู่ตรงหน้าเหลยเจิ้นเยวี่ยใบนั้นเป็นอ่างทองคำของแท้ น้ำใสสะอาดในอ่างสะท้อนประกายสีทองแพรวพราว หลังจากตะโกนเลขสิบออกไปแล้ว เหลยเจิ้นเยวี่ยก็จุ่มมือทั้งสองข้างลงไปในอ่างทองคำ
เหลยเจิ้นเยวี่ยชำระล้างมือทั้งคู่ในอ่างทองคำซ้ำแล้วซ้ำอีก แล้วมองไปที่เยี่ยเทียน “อาละวาดในยุทธภพมาหลายสิบปี เข่นฆ่าผู้คนไปมากมาย ที่สามารถยุติได้ด้วยดีอย่างวันนี้ ก็ล้วนเป็นเพราะความเมตตาของท่านเยี่ยทั้งนั้น ขอเชิญท่านเยี่ยเป็นผู้เช็ดมือให้ผู้แซ่เหลยด้วย!”
ในช่วงสุดท้ายของพิธีล้างมือในอ่างทองคำนี้ จะต้องเชิญผู้อาวุโสที่มีคุณธรรมสูงส่งและเป็นที่เคารพมาเป็นผู้เช็ดมือให้ ซึ่งธรรมเนียมข้อนี้ก็เป็นการรับรองอย่างหนึ่งว่า ถ้าในวันหน้ามีคนมารังควานผู้ทำพิธีล้างมืออีก ผู้อาวุโสท่านนั้นก็จะช่วยออกหน้าขัดขวางให้
การที่เหลยเจิ้นเยวี่ยเชิญเยี่ยเทียนเป็นผู้เช็ดมือให้นั้น ก็ไม่ได้แฝงนัยอื่นใดนอกจากจะขอให้เยี่ยเทียนละเว้นเหลยหู่สักครั้ง เยี่ยเทียนเองก็เข้าใจในข้อนี้ดี ยามนั้นจึงลุกขึ้นมา
เยี่ยเทียนมองดูเหลยเจิ้นเยวี่ยแล้วถอนหายใจ “ผู้อาวุโสเหลย จมูกของเหลยหู่มีรอยเป็นเส้นแนวตั้ง เส้นขนคิ้วคดงอ เปลือกตาแคบ ดวงชะตาของเขาไม่ค่อยดีนัก จะต้องกักบริเวณเขาไว้สักห้าปี ไม่อย่างนั้นจะมีเคราะห์ร้ายแรงถึงชีวิต!”
เส้นแนวตั้งบนจมูกนั้นเป็นลักษณะห้าม้าแยกสังขาร ส่วนเส้นขนคิ้วคดงอและเปลือกตาแคบก็หมายความว่าคนผู้นี้มีนิสัยก้าวร้าวจิตใจคับแคบ ตามวิชานรลักษณ์ศาสตร์ของเยี่ยเทียน การที่เหลยหู่มีชีวิตมาถึงวันนี้ได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว
“ขอบคุณท่านเยี่ยที่ช่วยเตือน ผู้แซ่เหลยจะกลับไปอบรมอย่างเคร่งครัด!”
เหลยเจิ้นเยวี่ยฟังแล้วก็ใจหายวาบ วาจาที่ศิษย์ของปรมาจารย์นรลักษณ์ศาสตร์หลี่ซั่นหยวนเป็นคนกล่าวออกมานั้น เขาไม่กล้าที่จะประมาทเลยแม้แต่น้อย
ตอนที่ 613 เรือสำราญควีนอลิซาเบธ
โดย
Ink Stone_Fantasy
เยี่ยเทียนพยักหน้า ในใจกลับเบาใจลง มีสำนวนที่ว่าชะตาฟ้าลิขิต เรื่องบางเรื่องหมอดูสามารถทำนายอนาคตได้ แต่ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้
อย่างเช่น “ภาพดันหลัง” ถูกสืบทอดมาเป็นพันปี ในระหว่างพันปีนี้ยังไม่มีใครสามารถไขความลับของมันได้ ทั้งยังเป็นที่สนใจของเหล่าบรรพกษัตริย์อีกหลายพระองค์
แต่ประวัติศาสตร์อันยาวนานจนมาถึงวันนี้ สิ่งที่ต้องการพิสูจน์ก็ได้พิสูจน์หมดแล้ว เป็นสิ่งที่ผู้ล่วงรู้ชะตาฟ้าอย่างเยี่ยเทียนที่ถึงรู้แต่ทำอะไรไม่ได้
รูปลักษณ์ของเหลยหู่เป็นลักษณะอัปมงคล อายุไม่ยืนยาว ภายในสามปีห้าปีนี้จะต้องพบจุดจบแน่นอน เยี่ยเทียนพิจารณดูใบหน้าของเขาแล้ว เอ่ยเตือนผ่านเหลยเจิ้นเยวี่ย ถือว่าได้ทำในสิ่งที่ตนควรทำแล้ว
พอเช็ดน้ำจากมือจนแห้งแล้วถือว่าพิธีล้างมือในอ่างทองคำเป็นอันเสร็จสิ้น ตั้งแต่นี้ไป เหลยเจิ้นเยวี่ยจะออกจากยุทธภพ ไม่ข้องเกี่ยวกับเรื่องความแค้นในอดีตอีก
“ลุงเหลย ยินดีด้วย!”
“ผู้อาวุโสเหลย ยินดีด้วยครับ!”
“น้องสาม ต่อไปดูแลตัวเองด้วย!”
คนรอบข้างต่างเดินเข้าไปแสดงความยินดี ศิษย์ในสมาคมหงเหมินคนอื่นๆได้เห็นผู้ใหญ่แห่งยุคคนหนึ่งอยู่จนลงจากตำแหน่ง พวกเขาต่างรู้สึกสะท้อนใจ โบราณว่าไว้ คนในยุทธภพต่างไม่มีอิสระ ไม่รู้ว่าวันข้างหน้าอนาคตของตนจะมีจุดจบอย่างไร
เยี่ยเทียนกับซ่งเวยหลันแอบหลบออกมาจากกลุ่มคน ให้คนไปบอกลาตู้เฟยกับเหลยเจิ้นเยวี่ยแทน แล้วออกมาจากสถานที่แห่งนั้น
“แม่ จะพาผมไปไหนหรือครับ?”
เยี่ยเทียนขึ้นนั่งบนรถ แอนนาไม่ได้บอกอะไรก็ออกรถเลย เยี่ยเทียนจึงถามด้วยความแปลกใจ
“ลูกไม่อยากไปนิวยอร์ค แม่เลยหาที่อยู่ให้ลูก”
ซ่งเวยหลันยิ้มแล้วโยนกุญแจพวงหนึ่งให้เยี่ยเทียน บอกต่อว่า “เมื่อก่อนแม่ได้ซื้อบ้านไว้หลังหนึ่งแถวนี้ เวลามาที่ซานฟรานซิสโกแม่จะไปพักที่นั่น ปกติจะมีคนคอยดูแลทำความสะอาดไว้ ลูกเข้าไปอยู่ได้เลย”
ก่อนเกิดเรื่อง ซ่งเวยหลันกับสมาคมหงเหมินมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น ทุกปีเธอจะต้องมาซานฟราซิสโกอย่างน้อยปีละห้าหกครั้ง ดังนั้นจึงได้ซื้อบ้านเอาไว้
“ดีเลยครับ ผมกำลังอยากย้ายออกอยู่พอดี”
เยี่ยเทียนพยักหน้า เขาเข้าร่วมพิธีในตำหนักสุคนธ์ด้วยเพราะต้องทำอย่างเสียไม่ได้ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกดีกับสมาคมหงเหมินเลย ยิ่งได้พักอยู่กับตู้เฟยยิ่งรู้สึกไม่อิสระ
บ้านวิลล่าของซ่งเวยหลันอยู่ใกล้กับบ้านของเหลยเจิ้นเยวี่ยมาก ขับรถไม่ถึงห้านาทีก็ถึงแล้ว
บ้านวิลล่าเป็นตึกสองชั้น พื้นที่แม้ไม่ใหญ่มาก แต่ร่มรื่นเขียวชอุ่ม รอบบ้านมีต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นล้อมไว้ ยังมีเครือไม้เถาวัลย์พันเกี่ยวสูงขึ้นไปตามตัวตึก ให้ความรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา
“สภาพแวดล้อมมีผลกับพลังงานจริงๆ!”
เมื่อมาถึง เยี่ยเทียนพูดลอยๆออกมา ในบรยากาศของบ้านอบอวลไปด้วยพลังธรรมชาติอันอุดม ดีกว่าอากาศอับทึบในปักกิ่งเสียอีก ที่นี่มีพลังงานดีสะสมอยู่มากเทียบเท่ากับพลังงานบนภูเขาสูงที่หาได้ยากด้วย
เย็นวันนั้นซ่งเวยหลันร่วมรับประทานอาหารกับเยี่ยเทียนแล้วก็กลับไปนิวยอร์คอย่างไม่ค่อยเต็มใจ
ช่วงนี้ซ่งเวยหลันทำหน้าที่เหมือนเป็นน้ำทิพย์ที่คอยดับไฟ ไม่ว่าจะเป็นการปลอบโลมพนักงานเก่าแก่ ทั้งยังต้องติดต่อกับส่วนราชการในอเมริกาเพื่อรีบดำเนินการนำเงินก้อนนั้นกลับมาให้เร็วที่สุด
เมื่อส่งมารดาออกไปแล้ว เยี่ยเทียนโทรศัพท์กลับไปที่บ้าน พรรณนาถึงความคิดถึงต่ออวี๋ชิงหย่าจบถึงวางสาย แล้วกดไล่หาเบอร์โทรศัพท์ไปอีกเบอร์หนึ่ง
“ฮัลโหล ผมเยี่ยเทียนนะ!”
เบอร์โทรนี้เป็นเบอร์ปักกิ่งเหมือนกับของเยี่ยเทียน ซึ่งได้เปิดเป็นเบอร์สากลที่ใช้ได้ทั่วโลก ในปี 2000 คนที่จะเปิดเบอร์โทรศัพท์ประเภทนี้ได้มีไม่มาก
“เยี่ยเทียน ในที่สุดนายก็โทรมาเสียที? ฉันนึกว่านายจะไม่ไปงานมวยใต้ดินระดับโลกเสียแล้ว”
น้ำเสียงของจู้เหวยเฟิงทั้งร้อนรนและดีอกดีใจ “นายยังอยู่ที่ไชน่าทาวน์ ซานฟรานซิสโกใช่ไหม? ฉันจะไปรับนายเอง”
“หืม? ประธานจู้ ทำไมถึงรู้ว่าผมอยู่ที่ไชน่าทาวน์ล่ะ?” เยี่ยเทียนงุนงง เก็บความไม่พอใจไว้ คนอย่างเขาไม่ชอบการถูกสอดแนมเป็นที่สุด
“อะแฮ่ม นายอย่าเข้าใจผิดนะ ฉันไม่ได้ไปเฝ้าติดตามนายสักหน่อย!”
จู้เหวยเฟิงรีบบ่ายเบี่ยงอธิบายว่า “นายเข้าร่วมประชุมในตำหนักสุคนธ์น่ะ เรื่องนี้คนเชื้อสายจีนเขาลือกันทั้งเมือง ฉันไม่อยากจะรู้แต่ก็ต้องรู้นะสิ”
สมาคมหงเหมินมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับคนระดับสูงของประเทศจีน แล้วยังถูกให้ความสำคัญมาเป็นอันดับต้น แค่มีเรื่องหรือเหตุกาณ์อะไรเกิดขึ้น ก็จะมีข่าวลือแพร่สะพัดออกไปอย่างรวดเร็ว
คนอย่างจู้เหวยเฟิงมีภูมิหลังลึกซึ้ง ข่าวคราวพวกนี้แน่นอนว่ารวดเร็วอยู่แล้ว เรื่องที่เยี่ยเทียนกำราบเหลยเจิ้นเยวี่ยในตำหนักสุคนธ์นั้น เขารู้หลังคนอื่นบางคนแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น
แต่จู้เหวยเฟิงก็ไม่กล้าสั่งให้คนติดตามเยี่ยเทียนจริงๆ ไม่เช่นนั้นเขาจะไม่รู้ว่าเยี่ยเทียนเร่วมพิธีล้างมือในอ่างทองของเหลยเจิ้นเยวี่ยแล้วจะไม่กลับไปที่สมาคมหงเหมินอีก
“คุณอยู่ที่ซานฟรานซิสโกใช่ไหม? ผมไม่ได้อยู่แถวไชน่าทาวน์ คุณมาที่แถวชานเมือง….”
จากคำพูดของจู้เหวยเฟิงคล้ายกับว่าอยู่ไม่ห่างจากไชน่าทาวน์เท่าไหร่ เยี่ยเทียนคิดเล็กน้อยแล้วบอกที่อยู่ของตนแก่เขา
“ได้ อีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงฉันจะไปถึง!” จู้เหวยเฟิงจดที่อยู่ แล้ววางสายทันที
ยี่สิบนาทีต่อมา เยี่ยเทียนได้ยินเสียงเครื่องยนต์รถดังมาจากด้านนอกบ้านวิลล่า จู้เหวยเฟิงเดินนำชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำอีกสองคนลงจากรถ
“เยี่ยเทียน นายทำเอาฉันรอแทบไม่ไหวแล้ว!”
จู้เหวยเฟิงโอบกอดเยี่ยเทียนเข้าทีนึงอย่างสนิทชิดเชื้อ เงยหน้ามองดูบ้านวิลล่าของเยี่ยเทียนแล้วถึงกับตาลุกวาว “เยี่ยเทียน นายใช้ชีวิตสุขสบายดีจริง บ้านวิลล่าหลังนี้ทั้งร่มรื่นและทันสมัยแบบนี้ ในอเมริกากำลังเป็นที่นิยมเลย!”
จู้เหวยเฟิงเดินทางมาต่างประเทศบ่อย เขารู้ว่าบ้านวิลล่าแบบนี้ไม่ค่อยเข้าตาเขา แต่ราคาของมันสูงลิบลิ่ว ทั้งยังมีเจ้าของโครงการที่คอยมาดูแลสวนหลังบ้านให้อยู่เสมอ คนธรรมดาในอเมริกาสู้ราคาไม่ไหวหรอก
“ของแม่ผมน่ะ ไม่เกี่ยวกับผม เข้าไปคุยกันข้างในเถอะ!”
เยี่ยเทียนกวาดตามองดูคนที่เดินตามหลังจู้เหวยเฟิงแล้ว เอ่ยขึ้นว่า “สองท่านนี้เราเคยพบกันมาก่อน เข้ามาด้วยกันเถอะ”
ความจำของเยี่ยเทียนดีมาก ทั้งสองคนนี้เยี่ยเทียนเคยพบที่เวทีมวยใต้ดินในปักกิ่ง ซึ่งพวกเขาเป็นคนคุ้มกันของจู้เหวยเฟิงชนิดไม่ห่างกาย เยี่ยเทียนมองแวบเดียวก็รู้ได้ทันที
“ท่านเยี่ย สวัสดีครับ!” คนทั้งสองไม่กล้าทำตัวสนิทสนมเหมือนจู้เหวยเฟิง จึงได้แต่ทำมือคารวะเยี่ยเทียน
“หืม เป็นคนของสมาคมหงเหมินหรือ?” เยี่ยเทียนอึ้งไปครู่หนึ่ง เพราะมีแค่สมาชิกของสมาคมหงเหมินเท่านั้นที่จะเรียกเขาแบบนี้
“พวกเขาเคยอยู่ในแผนกพิเศษหนึ่งของอเมริกา เป็นคนของสมาคมหงเหมินจริงนั่นแหละ ตอนหลังถึงค่อยมาติตตามผม”
จู้เหวยเฟิงยิ้มอธิบายให้เยี่ยเทียนฟังอย่างกระจ่าง คนที่ร่ำรวยมาตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษอย่างเขา ตอนนี้เป็นทายาทรุ่นที่สามแล้ว จึงมีเครือข่ายครอบครัวไปตามต่างประเทศ
“อืม เข้ามานั่งข้างในก่อน!” เยี่ยเทียนพยักหน้า หมุนตัวกลับเข้าไปในห้องรับแขก พูดต่อว่า “ในห้องครัวมีกาแฟ ถ้าอยากดื่มชาก็ชงเองตามสบาย…”
“ไม่กล้ารบกวนท่านเยี่ยหรอกครับ!”
ชายวัยกลางคนทั้งสองกุลีกุจอเข้าไปหาใบชาและชุดชงชาในห้องครัว เพื่อจัดการชงชาให้ทั้งเยี่ยเทียนและจู้เหวยเฟิง ทั้งสองคนนี้หากแม้ไม่ได้ติดตามจู้เหวยเฟิงเข้ามา ด้วยฐานะสมาชิกสมาคมหงเหมินแบบเขาไม่มีทางได้ใกล้ชิดเยี่ยเทียนแบบนี้แน่นอน
เมื่อนั่งลงแล้ว เยี่ยเทียนมองดูจู้เหวยเฟิง ถามต่อว่า “ประธานจู้ คุณบอกว่าการประชุมมวยใต้ดินนั่น น่าจะจัดขึ้นในอีกสามสี่วัน? ผมไม่ได้พลาดไปใช่ไหม?”
“นายไม่ได้พลาดไปหรอก แต่สถานที่จัดงานเปลี่ยนไป ไม่ได้จัดที่ซานฟรานซิสโกแล้ว”
จู้เหวยเฟิงส่ายหัว ยื่นมือออกไปรับแก้วชากระดาษที่บอบบางนำมาลิ้มรส แล้วเอ่ยปากชม “ชารสชาติดี เป็นชาทิกวนอิมแท้ๆ ชาแบบนี้ผมเพิ่งเคยดื่มเป็นครั้งที่สอง”
“เอาล่ะ อย่ามัวแต่ลีลาอยู่เลย การประชุมมวยใต้ดินนั่นจัดขึ้นที่ไหนกันแน่? ถ้าคุณไม่บอก ผมก็ไม่ไปแล้ว!”
เยี่ยเทียนเหลือบมองจู้เหวยเฟิงอย่างไม่สบอารมณ์ ตอนนั้นเขาขโมยชาต้าหงเผามาจากอาจารย์ ชาชนิดนั้นต่างหากถึงจะเรียกว่าชาดี ชาทิกวนอิมนี้ถือว่าเป็นชาพื้นๆทั่วไป
“จัดที่นอกชายฝั่ง ถ้าฉันไม่ต้องรอนายฉันคงจะนั่งเรือออกไปแล้ว!”
จู้เหวยเฟิงถูกเยี่ยเทียนตวัดสายตาใส่แล้วก็ไม่กล้าอ้อมค้อมอีก ถ้าไม่มีเยี่ยเทียนไปด้วย เขาคงไม่ค่อยมีความมั่นใจนัก ไม่แน่ว่าอาจจะไม่ไปร่วมงานเลยก็เป็นได้
“นอกชายฝั่ง? ทำไมต้องเป็นนอกชายฝั่งด้วย?”
เยี่ยเทียนขมวดคิ้ว เอ่ยต่อว่า “กลางมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง ถ้าเกิดเหตุอะไรขึ้น อยากจะหนีคงหนียาก สถานที่จัดงานแบบนี้ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่?”
เวลาเยี่ยเทียนจะทำอะไร ไม่ชอบให้เกิดเรื่องที่อยู่เหนือการควบคุม
อย่างเช่นที่เขาต้องนั่งเครื่องบินหรือนั่งเรือพวกนี้ เขาต่างไม่ชอบทั้งนั้น เพราะว่าหากเกิดอันตรายไม่ว่าจากคนหรือจากธรรมชาติ ต่อให้เขามีความสามารถล้นเหลือแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้
จู้เหวยเฟิงรู้ว่าเยี่ยเทียนคิดอะไร หัวเราะตอบกลับว่า “เยี่ยเทียน ความปลอดภัยน่ะรับประกันอยู่แล้ว เรือสำราญเที่ยวนี้คือเรือสำราญควีนอลิซาเบธ ไม่มีใครกล้าลงมือทำอะไรบนเรือลำนี้หรอก!”
“เรือสำราญควีนอลิซาเบธ?”
เยี่ยเทียนถลึงตาทีหนึ่ง “คุณจะบอกว่าประเทศอังกฤษเป็นผู้สร้างเรือลำนี้น่ะหรือ หรือว่าเป็นเรือสำราญส่วนตัวของราชินีแห่งประเทศอังกฤษกันแน่?”
การใช้ชื่อเรือสำราญว่าควีนอลิซเบธได้มีอยู่สองกรณีนี้เท่านั้น
เรือส่วนตัวของราชินีนั้นมีชื่อว่า “เรือที่ไม่มีวันวันจม” อีกอย่างประเทศอังกฤษกำลังมีการคิดค้นพัฒนาเรือเหาะ แต่ต้องรอจนปี 2014 จึงจะได้ลงมือสร้าง
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง…”
จู้เหวยเฟิงยิ้มอย่างได้ใจ ตอบว่า “เรือลำนี้สร้างในปี1921 ตอนนั้นเคยไปเทียบท่าที่เซี่ยงไฮ้ มันมีความเกี่ยวพันกับประเทศอังกฤษหรือไม่นั้นผมไม่รู้ แต่ที่ใช้ชื่อนี้เพราะเบื้องหลังมีผู้อำนาจหนุนอยู่
จู้เหวยเฟิงไม่ได้รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรือสำราญควีนอลิซาเบธลำนี้มากนัก แต่เขากลับรู้ว่า เรือสำราญลำนี้มีเบื้องลึกเบื้องหลังพอตัว มีความเกี่ยวข้องกับเหล่าเจ้าของธุรกิจสินค้ารายใหญ่จากหลายประเทศอย่างแน่ชัด
ครึ่งศตรวรรษหลังมานี้ เป็นเรือสำราญที่พาเหล่าเศรษฐีออกท่องเที่ยวรอบโลก
พอมาถึงช่วงปี 80 มีกลุ่มอิทธิพลทางการเงินใหญ่เข้าแทรกแซงภายใน ทำให้เรือสำราญควีนอลิซาเบธกลายเป็นเรือที่ใช้จัดการประชุมมวยใต้ดินระดับโลก และกลายเป็นสวรรค์ของบรรดาผู้คลั่งไคล้มวยใต้ดิน
แน่นอนว่าคนที่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประชุมมวยใต้ดินบนเรือสำราญควีนอลิซาเบธนี้จะต้องเป็นระดับยอดฝีมือแห่งวงการทั้งนั้น
ตอนที่ 614 ขึ้นเรือ
โดย
Ink Stone_Fantasy
ตั้งแต่ยุคปี 80 เป็นต้นมา ทุกปีการจัดแข่งขันมวยใต้ดินระดับสากลนั้น ถูกจัดขึ้นบนเรือสำราญควีนอลิซาเบธทุกครั้ง
เพียงแค่พวกชาวต่างชาตินิยมความจริง พวกเขาไม่เหมือนข้าราชการในประเทศจีนที่รักหน้าตาชอบใช้เส้นสาย เมื่อก่อนวงการมวยใต้ดินในประเทศไม่ค่อยเฟื่องฟู ดังนั้นจึงไม่ได้รับการเชื้อเชิญ
ครั้งนี้ถ้าราชามวยโลกชาวรัสเซียอันเดรวิชไม่ได้พลาดท่ากลับไป และคนญี่ปุ่นคนนั้นที่ชื่อคาโต้ ทาคุมิที่ถูกตัดแขนขาในการต่อสู่ เกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้มาเยือนในงานมวยใต้ดินนี้อีกแล้ว
“งานเริ่มเมื่อไหร่?”
เรื่องของสมาคมหงเหมินเสร็จสิ้นลงแล้ว ความสนใจของเยี่ยเทียนจึงจดจ่ออยู่ที่งานประชุมมวยครั้งนี้ แค่คิดว่าจะได้เปิดหูเปิดตากับเหล่านักมวยฝีมือดีจากแต่ละประเทศแล้ว เยี่ยเทียนรู้สีกจิตใจพองโตด้วยความตื่นเต้น
จู้เหวยเฟิงหัวเราะเสียงแห้ง ตอบว่า “พรุ่งนี้จะมีการจัดงานสัมมนาของตัวแทนแต่ละประเทศก่อน วันมะรืนถึงจะเริ่มงานแข่งขันจริงเพื่อแย่งชิงตำแหน่งแชมป์โลก”
ตัวแทนผู้จัดงานได้ตามตัวจู้เหวยเฟิงให้ขึ้นเรือนานแล้ว เพียงแต่เขาติดต่อเยี่ยเทียนไม่ได้เสียที ถ้าวันนี้เยี่ยเทียนไม่ติดต่อมา จู้เหวยเฟิงคงต้องละทิ้งโอกาสการเข้าร่วมงานแข่งมวยใต้ดินระดับโลกครั้งนี้ไปเลย
การแข่งขันในปีนี้ไม่มีผู้เข้าร่วมแข่งขันจากประเทศจีนสักคน จึงดูด้อยกว่าผู้แข่งขันจากประเทศอื่น ถ้าเยี่ยเทียนไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วยแล้วละก็ จู้เหวยเฟิงคงไม่อยากไปให้เสียเวลา
“พรุ่งนี้? ทันเหรอ?”
เยี่ยเทียนอึ้งไป เขาเพิ่งเข้าใจว่าทำไมจู้เหวยเฟิงถึงร้อนใจตามหาตัวเขานัก เพราะว่าแทบไม่เหลือเวลาแล้วนั่นเอง
จู้เหวยเฟิงดูนาฬิกาข้อมือแล้วพูดว่า “ตอนนี้ยังทัน วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ให้ขึ้นเรือ ถ้าเลยเวลาไป จะถือว่าละทิ้งคำเชิญครั้งนี้!”
“ถ้างั้นรออะไรอยู่ ไปเร็ว!” เยี่ยเทียนยิ้มออกมา ลุกขึ้นยืนแล้วบอกว่า “ให้เวลาผมสามนาที ผมไปเก็บของก่อน!”
เยี่ยเทียนขึ้นบันไดไปที่ห้องนอนชั้นสอง คว้ากระเป๋าติดตัวมาใบหนึ่ง ในนั้นมีทั้งพาสปอร์ตและขวดยาเม็ดสองขวด หยุดคิดครู่หนึ่งแล้วหยิบเอาเสื้อผ้าไม่กี่ชุดยัดลงกระเป๋า
“เยี่ยเทียน เก็บของเสร็จแล้ว?”
ลงมาชั้นล่าง จู้เหวยเฟิงกับผู้ติดตามทั้งสองยืนรออยู่ข้างประตูแล้ว เยี่ยเทียนขึ้นรถเบนซ์คันสีดำออกไป
รถโลดแล่นอย่างรวดเร็ว ภายในครึ่งชั่วโมงก็มาถึงท่าเรือใต้สะพานโกลเด้นเกตอันลือชื่อของเมืองนี้แล้ว ท่าเรือเบื้องหน้ามีเรือยอร์ชขนาดกลางจอดเทียบท่าอยู่ บนเรือมีเงาคนที่กำลังเดินไปเดินมา
“ทุกท่าน กรุณาแสดงบัตรเชิญด้วยครับ!”
เยี่ยเทียนกับคนอื่นๆลงจากรถแล้วเดินไปถึงท่าเรือถูกชายชาวอเมริกาสวมชุดสูทสามคนขวางไว้ จากบนเรือมีแสงกระพริบแวววาวออกมา
“ให้ตายเถอะ นี่เรือยอร์ชหรือเรือรบกันแน่?”
เยี่ยเทียนไม่สนใจปืนพกที่เหน็บอยู่ตรงเอวของชายใส่สูททั้งสาม แต่กลับสังเกตเห็นว่าดาดฟ้าของเรือยอร์ชมีปืนใหญ่ที่ใช้ผ้าใบคลุมอยู่ นั่นน่าอันตรายยิ่งกว่าทำเอาเยี่ยเทียนใจเต้นโครมคราม
“พวกเราได้รับคำเชิญจากมิสเตอร์คลีเมตสัน นี่เป็นบัตรเชิญของพวกเรา!”
จู้เหวยเฟิงตอนอยู่ในประเทศจีนถือเป็นคนมีหน้ามีตา แต่เมื่อมาถึงต่างประเทศกลับทำตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด เมื่อถูกขวางทางไว้ เขาจึงล้วงเอาบัตรเชิญสีดำออกมาจากกระเป๋า
หนึ่งในชายใส่สูทมองดูบัตรเชิญ แล้วตอบว่า “ขอโทษครับ ทางฝ่ายท่านไม่ได้ส่งตัวผู้ลงแข่งขัน ตามกฎแล้ว ให้ได้แค่สองคนเท่านั้นที่ขึ้นเรือได้ แล้วก็ห้ามพกอาวุธด้วยครับ!”
“ให้ขึ้นเรือได้แค่สองคน?” จู้เหวยเฟิงได้ยินดังนั้นก็ลังเล
เขารู้ว่าผู้ติดตามคุ้มกันของเขาสองคนอาจจะไม่ได้ช่วยอะไร แต่ให้ความรู้สึกปลอดภัยมากกว่า
เมื่อไม่ให้ผู้ติดตามขึ้นเรือ ตั้งแต่ออกจากแผนกพิเศษนั้นแล้ว จู้เหวยเฟิงได้รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองมีคุณค่ามาก คิดลังเลไม่อยากจะขึ้นเรือแล้ว
“ประธานจู้ มาถึงขนาดนี้แล้วจะไม่ไปได้อย่างไร?” เยี่ยเทียนหัวเราะตบที่บ่าของจู้เหวยเฟิงเบาๆ เอ่ยต่อว่า “ผมได้ทำนายไว้แล้ว การเดินทางครั้งนี้ไม่มีอันตราย วางใจได้เลย!”
“ดี งั้นฉันจะออกเดินทางครั้งนี้ไปกับน้องเยี่ยก็แล้วกัน!”
จู้เหวยเฟิงพยักหน้าหนักแน่นรับคำเยี่ยเทียนอย่างเสียไม่ได้ ตอนแรกเป็นเยี่ยเทียนที่ขอติดตามตนเองไปร่วมงานด้วย พอมาตอนนี้กลับกันแล้ว?
หลังจากผ่านการค้นตัวอย่างละเอียด แผ่นสะพานถูกวางลงมาจากเรือยอร์ชเพื่อรับตัวเยี่ยเทียนกับจู้เหวยเฟิงขึ้นไป
พนักงานต้อนรับวัยรุ่นคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายต้อนรับ “คุณผู้ชายทั้งสองท่านครับ ก่อนออกเดินทางพวกคุณสามารถเดินเล่นบนดาดฟ้าเรือได้ แต่เมื่อออกเรือแล้วพวกคุณต้องอยู่แต่ในห้องโดยสารนะครับ!”
“เอ๋ พูดภาษาจีนได้ไม่เลวเลยนี่!”
เยี่ยเทียนมองบริกรตรงหน้าที่เป็นชาวฝรั่งผมทองอย่างประหลาดใจ ถามต่อว่า “คุณเรียนภาษาจีนมาจากที่ไหน พูดได้ชัดเจนดีจริง”
“ขอบคุณคุณผู้ชายที่ชมครับ ผมสามารถพูดได้เจ็ดภาษา ภาษาจีนเป็นแค่หนึ่งในนั้นครับ!”
พนักงานบริกรตอบกลับอย่างสุภาพ “ในบรรดาพนักงานบนเรือสำราญควีนอลิซาเบธ พนักงานแต่ละคนต้องพูดได้อย่างน้อยห้าภาษาครับ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีโอกาสทำงานบนเรือ”
คำตอบของบริกรทำเอาเยี่ยเทียนกับจู้เหวยเฟิงมองหน้ากัน คำโบราณว่าไว้ จะรู้ว่าต่างก็ต่อเมื่อมีตัวเปรียบเทียบ
บรรดาพนักงานบนเรือลำนี้ อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องแข่งมวยใต้ดินเลย เอาแค่เรื่องภาษาก่อน จู้เหวยเฟิงยังพูดได้แค่ภาษาอังกฤษแบบงูๆปลาๆ
หลังจากบอกกล่าวถึงข้อห้ามข้อปฎิบัติบนเรือแล้ว พนักงานคนนั้นก็ถอยออกไป ยังเหลือเวลาอีกครึ่งชั่วโมงกว่าเรือจะออก เยี่ยเทียนกับจู้เหวยเฟิงจึงขึ้นไปเดินเล่นที่ดาดฟ้าเรือ
แม้ว่าที่หัวเรือจะมีคนเฝ้าอยู่ แต่เยี่ยเทียนยังสามารถเลิกผ้าใบผืนใหญ่ขึ้นแอบดูปืนกลไฟลำใหญ่ที่อยู่ภายใน แม้แต่ลูกกระสุนสีเหลืองลูกใหญ่ที่ถูกบรรจุรางเตรียมพร้อมไว้แล้ว
อาจะเป็นเพราะเป็นเรือเที่ยวสุดท้ายที่รับคนไปส่งขึ้นเรือสำราญควีนอลิซาเบธ คนบนเรือจึงมีไม่มาก ถ้านับเยี่ยเทียนกับเพื่อน รวมทั้งเหล่าบริกรทั้งหมดประมาณสิบกว่าคนเท่านั้น เมื่อลงไปในห้องโดยสารแล้วไม่ถึงกับเบียดเสียดหนาแน่น
บนเรือมีตั้งแต่บาร์เครื่องดื่มแอลกอลฮอล์ไปจนถึงซิการ์ ฝ่ายผู้จัดงานนั้นวางแผนไว้อย่างรอบคอบ แม้แต่การเดินทางสั้นๆบนเรือยอร์ช ยังให้การบริการอย่างครบถ้วน
หรือจะพูดอีกอย่างคือ เยี่ยเทียนและคนอื่นๆที่เดินทางจากท่าเรือซานฟรานซิสโก จะต้องผ่านโกลเด้นเกตถึงจะออกสู่มหาสมุทรแปซิฟิคไปสู่จุดที่เรือควีนอลิซาเบธจอดทอดสมออยู่
ผ่านการเดินทางสองชั่วโมงกว่า เรือยอร์ชหยุดนิ่งลง เมื่อมองผ่านกระจกออกไปด้านหน้าปรากฏเป็นราชาแห่งท้องทะเล
ตอนนี้เป็นเวลาสี่ทุ่มกว่าแล้ว สภาพอากาศเลวร้าย ทัศนวิสัยย่ำแย่ แต่เรือสำราญลำใหญ่เบื้องหน้าที่สว่างไสวไปด้วยแสงไฟดูราวกับกลางวัน
“ทุกท่าน ออกมาได้แล้วครับ” พนักงานบริกรประกาศ แล้วเปิดประตูห้องโดยสารออกมา
เงยหน้ามองดูเรือสำราญลำใหญ่ที่สูงถึงห้าสิบเมตรเทียบเท่ากับตึกขนาดยี่สิบชั้น เยี่ยเทียนอดไม่ได้ที่จะรำพึงออกมา “ให้ตายสิ นี่หรือเรือสำราญควีนอลิซาเบธ ใหญ่โตอะไรขนาดนี้?”
ไม่ใช่ว่าเยี่ยเทียนเป็นคนโลกแคบ แต่การเดินทางของเขาส่วนใหญ่เป็นเครื่องบิน ไม่เคยขึ้นเรือสำราญมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นราชาแห่งท้องทะเลเป็นครั้งแรก
“คุณผู้ชายท่านนี้ คุณหมายถึงเรือสำราญควีนอลิซาเบธรุ่นสองเหรอ?”
บริกรข้างๆได้ยินคำรำพึงของเยี่ยเทียนแล้วก็หัวเราะ “เรือสำราญควีนอลิซาเบธรุ่นสองไม่ได้เป็นเรือส่วนตัวของราชินี แต่มันเป็นของบริษัทคาร์นิวาลแห่งอเมริกาที่เป็นกิจการของบริษัทขนส่งคูนาร์ทของอังกฤษ แต่เมื่อปี 1976 เริ่มหันมาใช้เรือสำราญควีนอลิซาเบธรุ่นสองออกมาดำเนินการ…
ส่วนเรือควีนอลิซาเบธลำนี้ เริ่มสร้างในปี 1921 และทำการปรับปรุงอีกครั้งในปี 1980 จึงมีขนาดและรูปแบบใหญ่กว่าเรือควีนอลิซาเบธรุ่นสองเล็กน้อย
คำอธิบายของบริกรทำให้เยี่ยเทียนค่อยๆหน้าแดงขึ้น เมื่อก่อนพอเขาได้ยินชื่อเรือสำราญวีนอลิซาเบธจะคิดว่าเป็นของราชินีแห่งประเทศอังกฤษไปเสียหมด ตอนนี้รู้สึกราวกับถูกบริกรให้คำสั่งสอน
ยังดีที่บริกรอธิบายด้วยถ้วยคำที่เป็นมิตรน้ำเสียงมีมารยาท ไม่ได้ตั้งใจจะกลั่นแกล้งดูถูกเยี่ยเทียนเลย เมื่อเรือใหญ่หย่อนบันไดลงมา ก็มีเสียงประกาศขึ้น “ทุกท่าน เชิญขึ้นบันไดมาได้เลยครับ ข้างบนมีคนคอยรับท่านอยู่!”
บันไดนี้รับน้ำหนักคนได้ครั้งละเจ็ดถึงแปดคน นอกจากพวกบริกรแล้ว คนอื่นๆบนเรือยอร์ชทยอยขึ้นไปกันหมด บันไดถูกดึงสูงขึ้นไป เยี่ยเทียนมองดูเรือยอร์ชเบื้องล่างที่ขนาดเล็กลงเรื่อยๆ
“นี่มันสุดยอดไปเลย!”
เมื่อขึ้นเรือแล้ว แม้ว่าจะอยู่กลางมหาสมุทร แต่ด้วยความโอ่โถงของเรือทำให้เยี่ยเทียนรู้สึกหวั่นไหว ความรู้สึกของการท่องทะเลแบบนี้ช่างต่างกับการบินอยู่บนท้องฟ้าสีครามอย่างสิ้นเชิง
“ทั้งสองท่าน เชิญเข้าพักที่โซน c ด้านซีวิว นี่เป็นคีย์การ์ดเข้าห้อง ขอให้ท่านทั้งสองอย่าได้ออกมาเดินเล่นในตอนกลางคืน ปีหน้าจะมีการส่งบัตรเชิญไปให้ท่านทั้งสองอีก”
เมื่อขึ้นเรือแล้ว มีพนักงานรับรองสถานะตัวตนของเยี่ยเทียนกับจู้เหวยเฟิง นำคีย์การ์ดห้องพักมอบให้ แต่เยี่ยเทียนสังเกตว่า คุณชายจู้มีสีหน้าแปลกไปจากเดิม
“เฮ้ วิวสวยไม่เบา” แม้ในตอนกลางคืน แสงไฟตกกระทบพื้นน้ำ แต่ด้วยสายตาของเยี่ยเทียนแล้ว สามารถมองเห็นได้ไกลกว่าคนปกติ
ห้องพักที่พวกเขาพักนั้นเป็นห้องคู่ นอกจากห้องรับแขกแล้วยังมีระเบียงยื่นออกไปด้านนอกด้วย เยี่ยเทียนพึงพอใจมาก
“ประธานจู้ เป็นอะไรไป?”
เยี่ยเทียนยืนอยู่นอกระเบียงครู่หนึ่งแล้วกลับเข้ามาในห้อง เห็นจู้เหวยเฟิงสีหน้าหมองคล้ำ แล้วแกล้งหัวเราะถามว่า “ฝ่ายผู้จัดงานเขาติดหนี้นายเท่าไหร่กันแน่? ทำไมตั้งแต่ขึ้นเรือมาไม่ค่อยดีใจเลย?”
“การเลือกปฏิบัติ ให้ตายเถอะ นี่เขาเลือกปฏิบัติกับเรา!”
ถ้าเยี่ยเทียนไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ก็แล้วไป แต่พอพูดขึ้นมาทำเอาจู้เหวยวเฟิงถึงกับนั่งไม่ติด “ให้ตายเถอะ คลีเมตสันไม่มาต้อนรับเราด้วยตัวเองก็อย่างหนึ่ง ยังให้เราพักในห้องโซน c อีก นี่ถือเป็นการไม่เห็นความสำคัญของกลุ่มมวยใต้ดินประเทศจีนเลย!”
กับการขึ้นเรือสำราญของเยี่ยเทียนนั้นช่างแตกต่าง จู้เหวยเฟิงผู้ซึ่งเคยนั่งเรือสำราญโดยสารที่หรูหรากว่านี้ล่องเที่ยวรอบโลกมาแล้ว เขาคุ้นเคยกับการแบ่งระดับห้องพักโดยสารในเรือเป็นอย่างดี
ตามหลักแล้ว เรือสำราญจะแบ่งห้องพักเป็นโซน A B C D ตามพยัญชนะภาษาอังกฤษ ระดับที่สูงที่สุดเป็นห้องพักที่ที่สุดหรูหราที่สุดแน่นอนว่าต้องเป็นโซน A
แต่ตอนนี้โซน A ยังไม่ต้องพูดถึง แม้แต่โซน B ยังไม่ได้ไปพักเลย ทำให้จู้เหวยเฟิงรู้สึกว่าถูกเลือกปฏิบัติอย่างมาก
ตอนที่ 615 เหยียดหยาม
โดย
Ink Stone_Fantasy
เมื่อร้อยกว่าปีก่อนประเทศจีนถูกนานาประเทศดูหมิ่นดูแคลน ไม่มีตัวตนในสายตาต่างชาติ แต่ตอนนี้เป็นปี 2000 แล้ว สถานะของประเทศจีนไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
จู้เหวยเฟิงหลังจากปลดประจำการแล้ว ด้วยฐานะประธานกลุ่มการค้าใหญ่ในประเทศจีน เคยไปเยือนมาแล้วหลายประเทศ ได้รับการต้อนรับอย่างแขกผู้มีเกียรติ เคยติดต่อคลุกคลีกับเหล่าสภาผู้แทนราษฎรของประเทศอังกฤษและอเมริกามาแล้วหลายคนไม่เคยถูกต้อนรับอย่างเมินเฉยเช่นนี้มาก่อน
สิ่งที่จู้เหวยเฟิงทนไม่ได้คือเรือสำราญหรูหราแบบนี้ ทุกเขตจะมีห้องอาหารที่ระดับแตกต่างกันไป
อย่างเช่นโซน C นี้ ก็จะมีห้องอาหารและการบริการเฉพาะของเขตโซน C ซึ่งสำหรับจู้เหวยเฟิงแล้วราวกับโดนตบหน้าฉาดใหญ่
“ให้ตายสิ เจ้าสารเลวพวกนี้ คิดว่าเราเป็นคนจีนเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้วหรือยังไง?”
คนมีฐานะอย่างจู้เหวยเฟิง ปกติแล้วมักจะซุกซนไปเรื่อย แต่เรื่องเกียรติยศของบรรพชนเขากลับให้ความเคารพอย่างสูง เมื่อถูกปฏิบัติเยี่ยงนี้ ทำให้เขารู้สึกว่าถูกลบหลู่
“ประธานจู้ จะไปสู้กับเหล็กกล้าต้องฝึกตนให้แกร่งก่อน จีนเรายิ่งใหญ่ เกี่ยวอะไรกับเรื่องพวกนี้ด้วยเล่า?”
เยี่ยเทียนเห็นจู้เหวยเฟิงก่นด่าสาปแช่งยกใหญ่ เยี่ยเทียนอดขำไม่ได้ บอกว่า “มวยใต้ดินในประเทศเราไม่มีใครลงแข่งเลยสักคน การมาร่วมงานครั้งนี้แค่เป็นผู้ชม คุณอยากจะได้การปฏิบัติแบบไหนกันเล่า?”
เยี่ยเทียนมองเหตุการณ์ได้ทะลุปรุโปร่ง การต่อสู้ของจีนและการต่อสู้ของคนต่างชาตินั้น สุดท้ายแล้วก็เน้นเรื่องความแข็งแกร่ง
ถ้ากลุ่มของใครมีความเข้มแข็งเป็นกลุ่มใหญ่มีนักมวยยอดฝีมือมาก แน่นอนว่าจะได้รับการเคารพและยอมรับมากกว่า ไม่เช่นนั้นก็จะถูกละเลยไม่ให้ความสำคัญ ซึ่งนั่นไม่ได้เกี่ยวข้องกับเบื้องหลังของแต่ละประเทศ
“ที่นายพูดก็ถูก กลุ่มนักมวยใต้ดินของจีนยังใช้ไม่ได้ แม้แต่ยอดฝีมือสักคนยังไม่มี”
จู้เหวยเฟิงถูกเยี่ยเทียนพูดจนหน้าหมอง ความพยายามของเขาในหลายปีมานี้ แม้ว่าจะหาเงินมาได้มากจนทุกปีมีเงินโอนเข้าบัญชีหลายร้อยล้าน แต่ถ้าเอ่ยถึงฝีมือของนักมวยในสังกัดแล้วยังต่างกับนักมวยใต้ดินต่างชาติราวฟ้ากับเหว
ดังเช่นคราวก่อนที่อันเดรวิชกับคาโต้ ทาคุมิได้เข้าร่วมในการแข่งขันมวยใต้ดินที่จู้เหวยเฟิงจัดขึ้น ถ้าตอนนั้นไม่ได้เยี่ยเทียนอยู่ด้วย เกรงว่าวงการมวยใต้ดินของประเทศจีนคงจะถูกดูหมิ่นดูแคลนอย่างถึงที่สุด
“ให้ตายเถอะ รอให้กลับไปก่อนนะ ฉันจะต้องไปตามหายอดฝีมือมาให้ได้!”
จู้เหวยเฟิงบดกรามเคี้ยวฟันอย่างโกรธเคือง ตอนนี้เขาอยากได้เงินก็ได้เงิน ต้องการสถานะทางสังคมก็ต้องได้ สิ่งที่เขารับไม่ได้เลยคือการถูกคนอื่นมองข้ามไม่ให้ความสำคัญ
“ประธานจู้ ตอนนี้ในประเทศจีนคนมีวรยุทธส่วนมากฝึกวิชาเพื่อป้องกันตัวเอง ถึงจะฝึกกังฟูได้เข้าขั้น แต่ไม่ค่อยมีโอกาสหาประสบการณ์ ถ้าให้พวกเขาสู้แบบมวยใต้ดินคงจะเป็นการไปรนหาที่ตาย
เยี่ยเทียนส่ายหัว ไม่สนใจคำตัดพ้อของจู้เหวยเฟิงนัก ด้วยวิชากังฟูของเยี่ยเทียนไม่แน่ว่าจะสู้กับคนบ้าพลังแบบนั้นไหว คำโบราณว่าไว้ว่ามีคนรุมซ้อมเหล่าอาจารย์วิชามวยจนตายมานักต่อนักแล้ว
อย่างเยี่ยเทียนกับหูหงเต๋อที่มีทั้งวิชากังฟูและเคยต่อสู่จริงมาก่อนนั้นมีน้อยนัก ดังนั้นหากจู้เหวยเฟิงอยากหาปรมาจารย์วิชามวยในยุทธภพได้สักคนหนึ่งนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้
“แล้วจะให้ทำอย่างไร? ค่ายมวยใต้ดินของฉันไม่ควรจะให้พวกคนต่างชาติมาชิงเจ้าเวทีอยู่ทุกปีไป?”
จู้เหวยเฟิงขมวดคิ้วมองเยี่ยเทียน ชายตรงหน้าเป็นคนที่เป็นทั้งยอดฝีมือและมีจิตใจเหี้ยมโหด เหมาะสมที่จะให้ลงแข่งเป็นที่สุด
แต่เมื่อคิดถึงสถานะของเยี่ยเทียนในประเทศจีนและตำแหน่งผู้อาวุโสชั้นสูงของสมาคมหงเหมินแล้ว ต่อให้จู้เหวยเฟิงกินดีหมีหัวใจเสือมา ก็ไม่กล้าเอ่ยปากขอร้องเยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนหยุดคิดเล็กน้อย หัวเราะพลางเอ่ยว่า “ไม่งั้น คุณคัดเลือกคนไปฝึกในค่ายมวยใต้ดินไซบีเรียในรัสเซียสิ คุณเองรู้จักที่นั่นดี อย่าบอกว่าไม่มีหนทางแล้วสิ!”
ตั้งแต่การล่มสลายของสหภาพโซเวียต ค่ายฝึกทหารของไซบีเรียได้กลายเป็นค่ายฝึกทั่วไปไปแล้ว พวกเขาฝึกวิชาสายอาชีพต่างๆ ตั้งแต่นักฆ่าไปจนถึงหน่วยกองพลพิเศษของประเทศต่างๆได้ใช้ที่นี่เป็นศูนย์ฝึกหัดทั้งนั้น
“เรื่องนี้ฉันก็เคยคิดมาก่อน แต่การฝึกมวยใต้ดินนี้ไม่เหมือนกัน ที่นั่นมีคนล้มตายจำนวนมาก ต้องเลือกคนที่มีจิตใจเข้มแข็งมากจึงจะอยู่ได้!”
จู้เหวยเฟิงไม่ใช่ไม่เคยคิดถึงข้อนี้ เพียงแต่เขาไม่มีหนทางแล้ว กลุ่มนักมวยใต้ดินของเขา ถ้าอยู่ในประเทศจีนตำแหน่งที่ยืนของกลุ่มนี้ถือว่าเป็นพี่ใหญ่สุดในบรรดาค่ายมวยใต้ดิน แต่เมื่อออกไปนอกประเทศจะไม่เป็นเช่นนั้นแล้ว
เป็นเหตุผลว่าประเทศจีนที่มีประชากรมากที่สุดในโลก แต่กีฬาฟุตบอลยังคงอ่อนหัด ในหนึ่งพันล้านคนจะหาคนสักสิบเอ็ดคนที่เก่งฟุตบอลยังไม่ได้แล้วนับประสาอะไรกับการแข่งขันระดับโลกจนถึงปี 2000 ยังไม่เคยได้แชมป์ในเอเชียเลย
ด้วยวัฒนธรรมของจีนนั้นทำให้ศิลปะการต่อสู้แบบดั้งเดิมพัฒนาได้อย่างจำกัด เมื่อรับลูกศิษย์ อาจารย์มักจะสอนลูกศิษย์ให้ฝึกการต่อสู้เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ปล่อยให้พวกเขาออกไปหาเรื่องคนอื่น
ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ฝึกกังฟูมา มักจะได้รับการปลูกฝังให้ปฏิบัติตนเยี่ยงสุภาพบุรุษ หากต้องการให้พวกเขาเข้าร่วมการแข่งขันชกมวยใต้ดินหรือไปเข้าร่วมการฝึกฝนที่ไซบีเรียนั้นยากยิ่งกว่ายาก
“เอาล่ะ อย่าคิดมาก คราวนี้ผมมาเพื่อดูนักมวยใต้ดินจากประเทศอื่น ส่วนคุณก็ควรมาเพื่อหาแรงบันดาลใจ”
เยี่ยเทียนโบกมือไปมา เขาสังเกตเห็นว่าจู้เหวยเฟิงอ้าปากจะพูดอะไรบางอย่างแต่แล้วก็ไม่พูดออกมา เขาพอจะเดาได้ว่าจู้เฟวยเฟิงคิดอะไรอยู่
แต่เยี่ยเทียนไม่ให้โอกาสนั้น ด้วยสภาพจิตใจของเยี่ยเทียนในตอนนี้ ถ้าเขาอยากจะทำอะไร เขาจะลงมือทำโดยไม่ต้องให้คนอื่นมาคอยบงการ
“เอาเถอะ นายรีบเข้านอนเถอะ พรุ่งนี้ยังต้องเข้าร่วมการสัมมนาอีก!” จู้เหวยเฟิงยิ้มแหยแล้วพยักหน้า ลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป
ถึงแม้จะเป็นห้องโซน C แต่ห้องพักก็ถูกจัดตกแต่งอย่างดีจนเยี่ยเทียนต้องจุ๊ปาก ในห้องนอนมีห้องอาบน้ำในตัว ไม่ต้องใช้ห้องน้ำร่วมกัน
นอกจากนี้ยังมีกางเกงชุดชั้นในใหม่เอี่ยมให้แขกได้เปลี่ยน หลังจากอาบน้ำเสร็จแล้วเยี่ยเทียนเอนตัวนอนลงบนเตียง เปิดโทรทัศน์ดู
ภาพที่ปรากฏขึ้นบนจอโทรทัศน์เป็นภาพของเรือสำราญควีนอลิซาเบธทั้งลำพร้อมเสียงแนะนำเป็นภาษอังกฤษ เมื่อฟังจบเยี่ยเทียนก็ได้ทำความรู้จักเรือลำนี้มากขึ้นอีกประการ
เดิมทีเรือลำนี้ได้รับการตั้งชื่อเมื่อปี 1921 แต่ในปลายยุคปี 70 เรือทั้งลำได้ถูกดัดแปลงปรับปรุงใหม่ทั้งหมด หรือจะว่าอีกอย่างคือ เรือสำราญควีนอลิซาเบธลำนี้เพิ่งได้ถูกปล่อยลงสู่ทะเลในช่วงปี 1980 นี้เอง
เรือสำราญควีนอลิซาเบธเป็นเรือสำราญที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จนทุกวันนี้ยังเป็นเรือที่แล่นด้วยความเร็วสูงสุดในโลกลำหนึ่งด้วย ตัวเรือยาว 312.83เมตร ใหญ่พอๆกับขนาดสนามฟุตบอลสามสนามรวมกัน มีความสูงถึง62 เมตร มีทั้งหมด 20 ชั้น ปริมาณการระบายน้ำทั้งหมดมากกว่า 7.5 หมื่นตัน
มีห้องพักรวมกันกว่า 1,020 ห้อง ซึ่งแบ่งเป็นห้องวิวทะเล 770 กว่าห้อง บรรทุกผู้โดยสารได้มากกว่า 2,000คน และลูกเรืออีก 986 คน มีสิ่งอำนวยความสะดวกและความบันเทิงครบครันทั้ง สระว่ายน้ำ สนามกอล์ฟ ห้องสมุด โรงละครเป็นต้น
การออกทะเลเป็นครั้งที่สองของเรือสำราญควีนอลิซาเบธนี้เป็นจุดสิ้นสุดของกิจการเรือเดินสมุทรท่องเที่ยวทั่วโลก แล้วเปลี่ยนกลายเป็นเรือคาสิโนแทน นอกจากเมืองลาสเวกัสและเกาะมาเก๊าแล้ว เรือลำนี้ได้เป็นสวรรค์ของนักพนันที่มีชื่อเสียงอีกแห่งหนึ่ง
แน่นอนว่าแตกต่างจากสถานที่ทั้งสองแห่งอย่างสิ้นเชิง การได้ขึ้นมาบนเรือลำนี้ได้ จะต้องเป็นระดับมหาเศรษฐี อย่ามองว่านี่เป็นเพียงเรือธรรมดา ในทุกปีได้สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำได้ไม่แพ้สถานที่สองแห่งดังกล่าวเลย
“ให้ตายเถอะ นี่สิถึงจะเรียกว่าคนมีเงิน เรือลำนี้ราคาจะสักกี่พันล้านดอลล่าร์เชียว?”
ฟังภาคบรรยายจบแล้ว เยี่ยเทียนอดไม่ได้สบถคำหยาบคายออกมา คิดว่าตนเองถือว่าเป็นคนมีเงินแล้ว แต่ตอนนี้ดูท่านอกจากพวกพนักงานบริกรบนเรือ ตัวเขาเองน่าจะเป็นคนที่จนที่สุดในเรือเลยก็ว่าได้
“เฮ้ย คนต่างชาตินี่ช่างอิสระเสรี!”
คลิปวีดีโอบันทึกเล่นจบแล้วภาพที่แสดงในฉากถัดไปทำเอาเยี่ยเทียนหน้าแดงเป็นลูกตำลึง ภาพของหญิงสาวที่เปลือยกายกลุ่มหนึ่ง บนร่างกายของพวกเธอมีเขียนหมายเลขเอาไว้อยู่
ตามมาด้วยเสียงอธิบายว่า ขอแค่ถูกใจหญิงสาวคนไหน ก็ยกหูโทรศัพท์ได้เลย ภายในสามนาที หญิงสาวที่เลือกไว้จะมาหาถึงในห้องนอน
แน่นอนว่าราคาของพวกเธอเหล่านี้ย่อมไม่ถูกแน่นอน เลขศูนย์ที่เรียงกันด้านหลังราคานั่นยังลงท้ายด้วยสัญลักษณ์ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐ
“นอน!”
เยี่ยเทียนรู้สึกว่าน้องชายของเขากำลังอยากจะผงาดขึ้นมา เขารีบกดปิดโทรทัศน์ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ บังคับให้ตัวเองจิตใจสงบลง
“บ้าจริง อยากจะทำอะไรกันตอนนี้?”
ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เยี่ยเทียนถูกเสียงร้องครวญครางอย่างหฤหรรษ์ปลุกให้ตกใจตื่น แม้ว่าผนังห้องจะแน่นหนาแต่ก็ไม่อาจปิดกั้นความหูไวของเยี่ยเทียนได้
เยี่ยเทียนฝึกวิชามาอย่างดีแต่ก็ไม่สามารถบังคับให้ตัวเองเข้าสู่ภวังค์ได้ เสียงเสพสมที่ดังมาจากห้องข้างๆ ทำเอาเยี่ยเทียนอยากจะจับจู้เหวยเฟิงโยนลงทะเลไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด
จู้เหวยเฟิงเหมือนจะไม่ได้เรียกมาแค่เพียงคนเดียว มีต่อเนื่องมาทั้งคืนจนฟ้าสาง เสียงรบกวนจึงจะสงบลง
“คุณยังเดินไหวอยู่เหรอ?”
วันรุ่งขึ้นเยี่ยเทียนเห็นจู้เหวยเฟิงแล้วก็โมโหขึ้นมา เขารบศึกหนักมาทั้งคืน แต่เช้านี้กลับดูกระปรี้กระเปร่าสดชื่นผิดปกติ
“น้องเยี่ย นายว่าอะไรน่ะ?”
จู้เหวยเฟิงตกใจ แต่เมื่อเห็นสีหน้าขัดเคืองของเยี่ยเทียนแล้วได้แต่ยิ้มแห้ง “อะแฮ่ม เมื่อวานคนที่ผมเรียกมาเป็นคนญี่ปุ่น นายเองก็ต่อต้านญี่ปุ่นเหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
เยี่ยเทียนสะบัดเสียงฮึ่มใส่ สีหน้าปองร้ายตอบกลับว่า “วันนี้อย่ามาเล่นไม้นี้กับผมนะ ไม่อย่างนั้นผมจะจับพวกคุณโยนลงทะเลไปให้ปลาฉลามกิน!”
“อย่านะอย่า น้องเยี่ย นานๆได้ออกมาที…”
จู้เหวยเฟิงยังคิดอยากจะลากเยี่ยเทียนไปด้วย แต่สัมผัสได้ถึงสายตาอาฆาตที่มองตอบกลับมาแล้วก็หยุดชะงัก ตอบกลับเสียงอ่อยว่า “เอาตามที่นายว่าก็แล้วกัน ตอนแรกว่าวันนี้จะเรียกสาวรัสเซียเสียหน่อย ไม่เรียกแล้ว!”
เป็นไปตามที่จู้เหวยเฟิงคิดไว้ไม่มีผิด โซน C นี้มีห้องอาหารแยกเฉพาะ โต๊ะอาหารวางเรียงยาวเต็มไปด้วยอาหารทะเลหลากหลายมากมาย
ผู้ที่มาใช้บริการห้องอาหารที่นี่มีประมาณสองร้อยกว่าคน น่าจะเป็นคนที่มาร่วมงานประชุมโดยที่ไม่มีนักมวยที่ร่วมลงแข่งด้วยกับพวกสมาชิก
เห็นดังนี้แล้วจู้เหวยเฟิงรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย อย่างน้อยก็เป็นคนประเภทเดียวกัน พวกเขาไม่ได้ถูกเหยียดหยามอย่างที่คิดไว้
ตอนที่ 616 รวมตัวแก๊งค์มาเฟีย
โดย
Ink Stone_Fantasy
ผู้ที่เป็นเจ้าภาพจัดงานแข่งขันมวยนี้ได้ จะต้องไม่ใช่คนธรรมดาและต้องมีเบื้องหลังที่ลึกซึ้งด้วย เพราะเวลาการพักผ่อนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นฝ่ายผู้จัดงานจึงตกลงให้งานประชุมเริ่มขึ้นตอน 11 โมงเช้า
หลังรับประทานอาหารเช้าเสร็จแค่ 9 โมงกว่าๆเท่านั้น เยี่ยเทียนกับจู้เหวยเฟิงไปเดินเล่นต่อที่ชั้นดาดฟ้า นี่เป็นครั้งแรกที่เยี่ยเทียนได้โดยสารเรือสำราญขนาดยักษ์สุดหรูระดับนี้ ทั้งวิวทิวทัศน์ท้องทะเลหรือว่ากิจกรรมสนุกสนานบนเรือชนิดต่างๆล้วนให้เยี่ยเทียนรู้สึกแปลกใหม่เพลิดเพลิน
มองดูเหล่ามหาเศรษฐีที่ใส่ชุดสูทเดินไปเดินมาบนดาดฟ้าเรือ เยี่ยเทียนหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ประธานจู้ บนเรือนี่มีเศรษฐีที่มีทรัพย์สินรวมกันไม่รู้กี่หมื่นล้าน คงไม่มีโจรสลัดมาปล้นเรือหรอกใช่ไหม?”
“โจรสลัด?”
จู้เหวยเฟิงเบ้ปากตอบว่า “พวกเราน่ะถอดเสื้อผ้าออกหมดรอให้เขามาปล้น พวกโจรสลัดก็ไม่กล้ามาหรอก นายคิดว่าใครจะมาก่อเรื่องบนเรือลำนี้ง่ายๆอย่างนั้นหรือ?”
โจรสลัดแม้จะดุร้าย แต่พวกนั้นมักจะกระทำกับคน พวกเขากล้าปล้นน้ำมัน กล้าปล้นสินค้าแต่ด้วยภูมิหลังของผู้โดยสารบนเรือแต่ละราย ไม่มีใครกล้ามาแตะต้อง
เมื่อก่อนเมืองลาสเวกัสก็เคยมีการออกเรือคาสิโน แล้วถูกโจรสลัดปล้นสดมภ์ไป
แต่หลังจากนั้นสามวัน กองกำลังทหารเกือบทั่วทุกมุมโลกได้เรียกรวมพล อีกไม่ถึงสัปดาห์ โจรสลัดกลุ่มนั้นที่เคยเป็นใหญ่ในท้องทะเลก็ถูกกำราบเสียหมดสิ้น
หลังจากเหตุการณ์นั้นพวกโจรสลัดจึงเกรงกลัวเรือสำราญประเภทนี้ การปล้นแย่งชิงทรัพย์สินเงินทองเพื่อใช้เสพสุข แต่ถ้าต้องเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงก็คงไม่คุ้ม
เรือสำราญประเภทนี้มักมีการติดตั้งอาวุธคุ้มกันเพิ่มเติม อย่างเรือสำราญควีนอลิซาเบธก็ได้ติดตั้งอาวุธหนักเอาไว้ด้วย ด้วยเหตุนี้เรือดังกล่าวจึงไม่เข้าเทียบท่าที่ชายฝั่งประเทศใดเลย เพียงแต่ให้เรือบรรทุกน้ำมันมาเติมให้เท่านั้น
“ท่านเยี่ย ทำไมคุณมาอยู่ที่นี่เล่า?”
เยี่ยเทียนกับจู้เหวยเฟิงกำลังยืนตากลมคุยกันอยู่ ได้ยินเสียงเรียกลอยมาข้างหู จึงหันหลังกลับไปดู แล้วก็ตะลึงตาค้าง
“คุณเป็นใครครับ?”
ชายคนนั้นเป็นคนเชื้อสายจีน อายุประมาณห้าสิบกว่าปี เนื้อขมับทั้งสองข้างโหนกนูน ดูแล้วเป็นคนมีวาสนาดี แต่เยี่ยเทียนนึกไม่ออกว่าเขาเป็นใคร
“ท่านเยี่ย ผมคือต่งเซิงไห่แห่งมอสโค!” เขาจับมือของเยี่ยเทียนไว้ นิ้วก้อยเด้งขึ้นมาแตะที่หลังมือของเยี่ยเทียนสามจุด
“พบเจอพี่น้องในสมาคมหงเหมิน?” เห็นกิริยาของผู้ที่มาเยือนแล้วเยี่ยเทียนก็ยิ้มออกมา
ในสมาคมหงเหมินมีธรรมเนียมปฏิบัติมากมาย เมื่ออยู่ในบางสถานการณ์ไม่เหมาะจะแสดงความเคารพ ดังนั้นจึงแสดงท่าทางเป็นสัญลักษณ์ให้รู้ว่าเป็นคนในสมาคมหงเหมิน ชายคนนี้ยื่นนิ้วก้อยออกมาแสดงว่าตัวเขาเป็นผู้น้อย แล้วแตะบนหลังมือของเยี่ยเทียนสามครั้งเพื่อเป็นการแสดงความเคารพ
ต่งเซิงไห่ยิ้มแย้ม เอ่ยว่า “ท่านเยี่ย ผมมาช้าไปหลายวัน คุณเข้าร่วมในพิธีตำหนักสุคนธ์นั้นผมมาไม่ทัน ส่วนพิธีล้างมือในอ่างทองคำของท่านเหลยผมได้มีโอกาสเห็นคุณครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่ทันได้ทักทาย คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันวันนี้!”
แม้จะไม่ได้เห็นเยี่ยเทียนแผลงฤทธิ์ในตำหนักสุคนธ์วันนั้น แต่ได้ยินมาจากเสียงซุบซิบกันทั่ว ทั้งท่าทีที่ทุกคนให้ความเคารพเยี่ยเทียน ต่งเซิงไห่ต่างเห็นมากับตา
“ขอโทษครับ คุณคือท่านไห่แห่งมอสโคใช่ไหมครับ?” จู้เหวยเฟิงที่ยืนฟังอยู่ข้างๆได้ยินว่าคนๆนั้นเป็นใครก็เอ่ยแทรกขึ้นมา
“คุณกล่าวเกินไปแล้ว ต่อหน้าท่านเยี่ย เรียกผมว่าท่านไห่ได้อย่างไรกัน!”
ต่งเซิงไห่เห็นจู้เหวยเฟิงมากับเยี่ยเทียนจึงยิ้มให้อย่างเป็นมิตร “ท่านนี้คงเป็นคนของสมาคมหงเหมินเช่นกันหรือ? ทำไมไม่คุ้นหน้าเลย?”
จู้เหวยเฟิงโบกมือปฏิเสธตอบว่า “ผมไม่ได้เป็นครับ ท่านไห่ ผมคือจู้เหวยเฟิงแห่งเทียนหลงกรุ๊ป เราเคยได้ติดต่อกันมาก่อน เรื่องของอันเดรวิชคุณยังจำได้อยู่ไหม?”
“อ๋อ ที่แท้ประธานจู้นี่เอง?”
รอยยิ้มของต่งเซิงไห่เหือดแห้งลง ยื่นมือออกไปจับกับมือของจู้เหวยเฟิงแล้วเอ่ยต่อว่า “ประธานจู้จัดงานประลองมวยใต้ดินในจีนถือว่าประสบความสำเร็จมากนะ แม้แต่อันเดรวิชยังต้องพ่ายแพ้กลับไป ไม่ทราบว่าครั้งนี้คุณส่งใครลงแข่งชิงแชมป์หรือเปล่า?”
“อะแฮ่ม ครั้งนี้ผมมาเพื่อเยี่ยมชมเท่านั้น ไม่ได้พานักมวยมาด้วย!”
คำพูดของต่งเซิงไห่ทำให้จู้เหวยเฟิงเคอะเขิน ตอนนั้นเพื่อปกป้องชื่อเสียงของค่ายมวยตัวเอง จึงไม่มีคนนอกได้รู้ถึงสถานะที่แท้จริงของหูหงเต๋อ คนนอกยังคิดว่าหูหงเต๋อเป็นนักมวยในสังกัดของเขา
“เฮ้อ ทำไมไม่พามาด้วยเล่า?”
ต่งเซิงไห่ไม่รู้เรื่องราวเหล่านั้น ถอนหายใจแล้วพูดว่า “น่าเสียดาย ผมว่านะน้องจู้ ครั้งนี้ถ้าคุณพาคนที่ล้มอันเดรวิชลงได้มาด้วย ไม่แน่ว่าผู้ที่ชนะรางวัลแชมป์อาจจะเป็นคนของคุณก็ได้”
“เดี๋ยวก่อน ทั้งสองท่าน พวกคุณกำลังพูดเรื่องอะไรกัน?” เยี่ยเทียนเห็นบทสนทนาของทั้งสองยิ่งร้อนแรงขึ้น จึงเข้าขัดจังหวะ
ต่งเซิงไห่นึกขึ้นได้เกือบลืมว่ามีเยี่ยเทียนยืนอยู่ตรงนี้ด้วยก็รีบแก้ต่าง “ท่านเยี่ย ผมกับน้องจู้เป็นเพื่อนกัน แต่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน ครั้งก่อนเขาเคยเชิญนักมวยของผมออกไปด้วยคนหนึ่ง
อย่าว่าอย่างนั้นเลย ถ้าในประเทศเรามีคนเก่งที่เอาชนะเจ้าอันเดรวิชได้ด้วย…”
ฟังจบเยี่ยเทียนถึงได้รู้ว่าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้ไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นหัวหน้าสมาชิกสมาคมหงเหมินในรัสเซีย ผู้ซึ่งได้ควบคุมกิจการใต้ดินมากมาย
ต่งเซิงไห่ได้อาศัยอยู่ที่มอสโคตั้งแต่ต้นปี 80 ตอนยุคสหภาพโซเวียตล่มสลายได้อาศัยการสนับสนุนจากสมาคม หงเหมินการค้าจึงรอดพ้นจากวิกฤตครั้งใหญ่มาได้ ต่งเซิงไห่ได้ครอบครองธุรกิจใต้ดินเกือบครึ่งในมอสโค
นิสัยคนรัสเซียชอบกีดกันคนที่แตกต่างจากพวกตนออกไป ต่งเซิงไห่เกือบก่อการจลาจลเล็กๆขึ้นในปีนั้นที่ทำให้เกิดการฆ่าฟันกันอย่างบ้าดีเดือด สุดท้ายจึงยืนหยัดอย่างมั่นคงได้ในมอสโค
แม้ว่าหลายปีมานี้จะเพลาๆลงบ้าง แต่ต่งเซิงไห่ยังคงควบคุมค่ายมวยปล้ำแห่งใหญ่ที่สุดในมอสโค อันเดรวิชเป็นแชมป์มวยในสังกัดของเขาเอง
จู้เหวยเฟิงอาศัยเส้นสายของคนอื่นติดต่อกับต่งเซิงไห่ ยอมจ่ายเงินจำนวนมหาศาลเพื่อเชิญอันเดรวิชมาประเทศจีน แต่กลับเกือบกลายเป็นการหาเรื่องใส่ตัว
“ท่านไห่ คุณอย่าพูดถึงเรื่องนี้อีกเลย”
ต่อหน้าเยี่ยเทียน จู้เหวยเฟิงรู้สึกอับอาย ยิ้มแห้งตอบกลับว่า “คนที่โค่นอันเดรวิชได้นั้นไม่ใช่คนของค่ายมวยผมหรอก แต่เป็นคนของเยี่ยเทียนต่างหากส่วนเจ้าคาโต้ ทาคุมิที่ถูกตัดแขนขานั่น ก็เยี่ยเทียนนี่แหละที่เป็นคนตัด!”
“อะ…อะไรนะ?”
ต่งซิงไห่ฟังที่จู้เหวยเฟิงพูดแล้วหันมองเยี่ยเทียนด้วยสายตาตกตะลึงอย่างไม่อยากเชื่อ
ได้ยินว่าเยี่ยเทียนทำให้เหลยเจิ้นเยวี่ยพ่ายแพ้ เขาก็ตกใจพอแล้ว แต่เหลยเจิ้นเยวี่ยเป็นชายชราอายุแปดสิบ อาจจะมีกำลังวังชาสู้เยี่ยเทียนไม่ได้
แต่อันเดรวิชนั้นไม่เหมือนกัน ต่งเซิงไห่รู้ว่าอันเดรวิชมีฝีมือร้ายกาจแค่ไหน ถ้าเขาเกิดบ้าคลั่งขึ้นมาจะกลายเป็นกระทิงดุ แต่กลับถูกลูกน้องของเยี่ยเทียนกำราบลงเสียโดยที่อาการบาดเจ็บของอันเดรวิชเพิ่งจะรักษาหายเมื่อไม่นานมานี้
ส่วนคาโต้ ทาคุมินั้น ต่งเซิงไห่พอเคยได้ยินชื่อว่าเขาเป็นนักดาบฝีมือดีของสำนักดาบคิตะมิยะในญี่ปุ่น ตอนนั้นได้ยินว่าถูกตัดแขนตัดขาไป ต่งเซิงไห่ยังคิดว่าเป็นความโชคร้าย แต่คิดไม่ถึงว่าจะเป็นฝืมือของเยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนหัวเราะแล้วส่ายหัว ส่งสายตาตักเตือนไปให้จู้เหวยเฟิงแล้วบอกว่า “อย่าไปฟังประธานจู้คุยโม้ คนนั้นเป็นเพื่อนของผม ไม่ใช่ลูกน้อง”
โบราณว่าไว้คนไม่กลัวมีชื่อเสียง หมูไม่กลัวแข็งแรง เยี่ยเทียนเป็นคนไม่แสวงหาทั้งชื่อเสียงและทรัพย์สินเงินทอง เขาไม่อยากให้ตัวเองตกเป็นเป้าสายตาของคนหมู่มาก ไม่เช่นนั้นจะเป็นการนำภัยมาสู่ตัว
“ท่านเยี่ย ด้วยผีมือของคุณ ถึงแม้จะไม่มีตำแหน่งในสมาคมหงเหมินก็สามารถขึ้นเป็นผู้อาวุโสได้เลย!”
ได้รับฟังชัยชนะของเยี่ยเทียนแล้วต่งเซิงไห่ก็อดให้ความนับถือไม่ได้ แต่นี่กลับทำให้เยี่ยเทียนประหลาดใจ “เหล่าต่ง คนมีฝีมือในสมาคมหงเหมินก็มีไม่น้อย? เมื่อไหร่กันที่จัดอันดับตามฝีมือ?”
“ท่านเยี่ย ในสมาคมหงเหมินหากอยากเลื่อนขั้น ต้องดูก่อนว่ามีคุณูปการแก่สมาคมหงเหมินมากหรือน้อย การลงแข่งมวยปล้ำนี้ก็ถือเป็นวิถีอีกทางหนึ่ง”
เยี่ยเทียนยังไม่ค่อยเข้าใจนัก ต่งเซิงไห่จึงอธิบายต่อว่า “การแข่งขันมวยใต้ดินแต่ละรุ่นในทุกๆปีนั้นจะมีการเพิ่มรางวัล บางทีจะเพิ่มเป็นเงินเดิมพัน บางทีจะใช้อาณาเขตเป็นเดิมพัน ท่านเหลยตอนปี 80 นั้นเคยเอาชนะคนเม็กซิโก แล้วไล่พวกเขาออกไปจากซานฟรานซิสโก….”
กลุ่มนักมวยปล้ำ มักจะเป็นมาเฟียผู้อาวุโสในเขตท้องถิ่น นอกจากเงินพนันแล้ว พวกเขายังเอาพื้นที่ของตัวเองลงเดิมพันด้วย เหตุการณ์อย่างนี้มักเกิดขึ้นอยู่เป็นปกติทุกปีในการแข่งขันมวยใต้ดินระดับโลก
ช่วงต้นยุคปี 80 คนเม็กซิโกใช้อำนาจบาตรใหญ่เข้ามาระรานพื้นที่ของคนเชื้อสายจีนในซานฟรานซิสโก หลังจากผ่านศึกที่สู้กันเลือดตกยางออก สุดท้ายใช้การแข่งขันมวยปล้ำมาตัดสินว่าใครจะได้ครอบครองพื้นที่แถบนี้
ตอนนั้นผู้ลงแข่งจากทางฝ่ายเม็กซิโกเป็นนักมวยชั้นเซียนที่เคยปะทะฝีมือกับราชาแห่งมวย อาลี มาก่อน เขาเดิมทีเป็นนักมวยมืออาชีพ ต่อมาเข้าสู่วงการมวยใต้ดิน มีประสบการณ์การต่อสู้อย่างโชกโชน
ส่วนผู้ลงแข่งจากฝ่ายสมาคมหงเหมินแน่นอนว่าต้องเป็นเหลยเจิ้นเยวี่ย สิ่งที่ทำให้ผู้ชมทั้งสนามต้องจับตามองคือภายในไม่ถึงสามยก นักมวยฝ่ายเม็กซิโกก็ถูกเหลยเจิ้นเยวี่ยใช้วิชาหมัดมวยสังหารจนตายคาเวที
หลังจากนั้นเหลยเจิ้นเยวี่ยยังได้สังหารนักมวยอีกสามคนที่ท้าประลองกับเขา แล้วก็ไม่มีใครกล้าออกมาท้าทายเขาอีกเลย ตำแหน่งแชมป์โลกในปีนั้นจึงตกเป็นของเหลยเจิ้นเยวี่ยผู้ที่ผงาดขึ้นราวกับเสือติดปีก
หลังจากปีนั้น คนเชื้อสายจีนก็ไม่มีใครได้มีหน้ามีตาในวงการมวยใต้ดินอีกเลย โดยทั่วไปแล้วแชมป์แต่ละปีจะเป็นคนยุโรป อเมริกันหรือแอฟริกันเท่านั้น ยังหลงเหลือเพียงผู้อาวุโสบางคนในวงการเท่านั้นที่ยังจดจำชัยชนะของเหลยเจิ้นเยวี่ยได้
“ที่ไหนมีคน ที่นั่นก็ต้องมียุทธจักร!”
เยี่ยเทียนหัวเราะพลางส่ายหัว ในใจคิดว่าเจ้าของเรือสำราญควีนอลิซาเบธลำนี้เป็นใครกันหนอ แค่อาศัยการจัดงานประชุมมวยใต้ดินระดับสากลปีละครั้งก็สามารถรวบรวมมาเฟียแก๊งใต้ดินมาจากทั่วทุกมุมโลกได้
นอกจากสมาคมหงเหมินแล้ว แก๊งค์มาเฟียในอิตาลี แก๊งค์ยากูซ่าของญี่ปุ่น จนถึงกลุ่มมาเฟียแห่งเม็กซิโกจะต้องมาร่วมในงานแข่งขันมวยใต้ดินนี้เกือบทุกปี
ถ้าหากประเทศใดประเทศหนึ่งเกิดเข้มงวดกวดขันขึ้นมา ทำการจมหรือระเบิดเรือลำนี้ทิ้งไปเสียตอนนี้แล้วละก็ ความสงบสุขของโลกเกือบทั้งใบคงจะหวนคืนกลับมาอย่างแน่นอน หรืออย่างน้อยคนที่ทำชั่วก็คงจะตายไปเสียแล้วครึ่งโลก
“มิสเตอร์ต่ง เพื่อนเก่าของฉัน นายมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
ตอนที่เยี่ยเทียนพูดคุยซักถามต่งเซิงไห่อยู่นั้น ได้มีชายชราผมสีดอกเลา ใบหน้าแดงปลั่งสวมชุดสูทสีขาวดูภูมิฐานเดินเข้ามา
ข้างกายของชายชรามีคนฝรั่งที่เป็นบอดี้การ์ดยืนล้อมหน้าล้อมหลังอยู่เจ็ดแปดคน แต่เยี่ยเทียนสังเกตว่ามีหลายคนมองดูต่งเซิงไห่ด้วยสายตาที่ไม่ค่อยเป็นมิตรนัก
ตอนที่ 617 เดิมพัน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“โอ้ คุณคลีเมตสัน ดีใจที่ได้พบคุณนะครับ!”
ต่งเซิงไห่เห็นชายชราคนนั้นแล้วก็ยิ้มแย้มยินดีกางแขนทั้งสองข้างออกโอบกอดชายคนนั้นอย่างอบอุ่น ส่วนบอดี้การ์ดของชายชรา ต่งเซิงไห่ไม่แม้แต่จะชายตามอง
เยี่ยเทียนได้ยินชื่อของชายชราแล้วก็หันไปสบตากับจู้เหวยเฟิง เขาจำได้ว่าตอนที่ขึ้นเรือมานั้นเคยได้ยินจู้เหวยเฟิงเอ่ยถึงชื่อ คลีเมตสัน
แต่ดูท่าทางของจู้เหวยเฟิงแล้วคล้ายกับว่าไม่รู้จักชายคนนี้ คงเป็นเหมือนกับต่งเซิงไห่ที่ได้คุยแต่ในโทรศัพท์หรืออีเมลแต่ไม่เคยพบหน้า
“คุณคลีเมตสัน ผมขอแนะนำเพื่อนทั้งสองของผม พวกเขามีภูมิหลังที่ไม่น้อยทีเดียว!”
ผละจากอ้อมกอดของคลีเมตสันแล้ว ต่งเซิงไห่ถอยออกมา เอ่ยต่อว่า “ท่านนี้เป็นผู้อาวุโสในสมาคมหงเหมิน คุณคลีเมตสัน ผมเรียกเขาว่าท่านเยี่ย ถ้าคุณจะนับตามลำดับขั้นแล้ว คุณต้องเรียกเขาว่าคุณปู่!”
ต่งเซิงไห่ไม่ได้โอ้อวดเกินจริงเลย สถานะของเยี่ยเทียนช่างสูงส่งจนน่าตกใจ ในที่ประชุมสมาคมหงเหมินต่างตกลงยินยอมให้เยี่ยเทียนได้รับเกียรติในการเป็นผู้อาวุโสชั้นสูง เยี่ยเทียนเองก็ยอมรับแล้ว
“ต่ง ลำดับขั้นของพวกคุณเข้าใจยากมาก หนุ่มน้อยคนนี้ จะให้เรียกเขาว่าคุณปู่ได้อย่างไร?”
คลีเมตสันได้ยินที่ต่งเซิงไห่แนะนำแล้วก็หัวเราะเสียงดัง เขามีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นดีมาก ภายในการพูดคุยไม่กี่ประโยคก็เหมือนเอาไม้กระบองทุบหัวเยี่ยเทียนไปทีหนึ่ง
คลีเมตสันผู้เป็นตัวแทนแห่งอำนาจเบื้องหลังเรือสำราญหรูหราลำนี้ได้พบปะผู้คนมาไม่น้อย แม้ว่าเยี่ยเทียนจะดูยังหนุ่มแน่น แต่เขาสังเกตจากใบหน้าของเยี่ยเทียนแล้วดูเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นแบบผู้นำซ่อนอยู่
อีกทั้งตำแหน่งผู้อาวุโสระดับสูงในสมาคมหงเหมิน ดังนั้นเมื่อเทียบกับจู้เหวยเฟิงที่ต่งเซิงไห่ไม่ได้แนะนำให้รู้จัก คลีเมตสันยิ่งให้ความสำคัญแก่เยี่ยเทียนมากกว่า จึงยื่นมืออกมาจับมือเยี่ยเทียน
คุณคลีเมตสันเกรงใจเกินไปแล้ว เรียกผมว่าเยี่ยเทียนก็พอ”
เยี่ยเทียนยิ้มให้เล็กน้อย ค่อยๆยื่นมือขวาออกไป การกระทำของเขาทำให้ผู้ติดตามของคลีเมตสันชักสีหน้าทันที
คลีเมตสันเป็นใคร? เบื้องหลังของเขามีทรัพย์สมบัติมหาศาลที่ครอบครองอยู่ เป็นกลุ่มผู้ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกกลุ่มหนึ่ง แม้แต่พวกแก๊งค์มาเฟียขวางโลกที่ขึ้นมาบนเรือยังไม่มีใครกล้าวางก้ามต่อหน้าเขาเลย
เมื่อเยี่ยเทียนเอื้อมมือออกไป เป็นการแสดงถึงความไม่เคารพต่อคลีเมตสัน แม้แต่ตัวคลีเมตสันเองยังตกใจ แต่เขาได้รับการปลูกฝังมาอย่างดีจึงจับมือเยี่ยเทียนไว้แล้วยิ้มให้
“สหาย ส่วนคนนี้เป็นคนดูแลกลุ่มนักมวยใต้ดินในประเทศจีน เขาชื่อว่า จู้เหวยเฟิง คิดว่าคุณคงจะพอรู้จักอยู่บ้างใช่ไหม?”
ต่งเซิงไห่คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะใจกล้าขนาดนี้ รีบหัวเราะกลบเกลื่อนแนะนำจู้เหวยเฟิงแก่คลีเมตสันเป็นคนต่อไป
“แน่นอนสิ คุณจู้ยังหนุ่มยังแน่นมีความสามารถ ทำให้วงการมวยใต้ดินในจีนพัฒนาขึ้นได้เป็นอย่างดี”
เมื่อปล่อยมือจากเยี่ยเทียนแล้ว คลีเมตสันได้ยื่นมือออกไปให้จู้เหวยเฟิง แต่ครั้งนี้เขายื่นมือออกไปข้างเดียว แต่ไม่ได้เป็นเพราะเขาเลือกปฏิบัติ แต่เกรงว่าจู้เหวยเฟิงจะเหมือนเยี่ยเทียน เขาจึงแสดงออกเป็นนัย
จู้เหวยเฟิงกุมมือของคลีเมตสันตามมารยาท ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณคลีเมตสันชมเกินไปแล้ว ความก้าวหน้าของวงการมวยใต้ดินในจีนนั้นเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน ยังต้องให้คุณคลีเมตสันช่วยชี้แนะอีกมาก”
“คนจีนชอบถ่อมเนื้อถ่อมตัวอยู่เสมอแหละ…”
คลีเมตสันส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ผมได้ยินว่าในค่ายมวยของคุณมีคนที่ล้มเจ้าอันเดรวิชราชามวยของ มิสเตอร์ต่งได้ด้วย ครั้งนี้ทำไมคุณไม่พาเขามาเข้าร่วมแข่งขันที่นี่ด้วย?”
“เหอะๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ผมมา ผมแค่อยากจะมาศึกษาดูงานเท่านั้น คราวหน้ายังมีโอกาสอีกมาก!”
จู้เหวยเฟิงอยู่ในวงการธุรกิจมานาน คุ้นเคยกับการหยั่งเชิงแบบนี้ดี คำตอบที่ให้กับคลีเมตสันไปเป็นการอุดปากไม่ให้คลีเมตสันถามต่อได้อีก
“หึ อันเดรวิชเขามีชื่อเสียงไม่เบาสินะ ในโลกมวยใต้ดินเขายังไม่ติดอันดับหนึ่งในสิบเลย แพ้แล้วจะเป็นอะไรไป?”
คลีเมตสันยังไม่ทันเอ่ยปาก คนข้างๆเขาชิงพูดเยาะเย้ยขึ้นมาก่อน คนที่พูดเป็นชายชาวฝรั่งรูปร่างสูงใหญ่ถึง 190เซนติเมตรขึ้นไปกำลังมองจู้เหวยเฟิงอย่างสบประมาท แล้วพูดต่อว่า “การต่อสู้แบบจีนของพวกคุณคงเหมาะกับการแสดงบนเวทีมากกว่า ไม่มีความน่าเกรงกลัวเลยสักนิด ถ้ามาลงแข่งก็คือการมารนหาที่ตายเท่านั้นเอง!”
“คุณเป็นใคร?”
จู้เหวยเฟิงถลึงตาเข้าใส่ ชายคนนั้นพูดภาษาอังกฤษ จากสำเนียงที่พูดยังไม่สามารถแยกได้ว่าเขาเป็นคนชาติไหน
ต่งเซิงไห่ตบไหล่จู้เหวยเฟิงที่กำลังคิดคำศัพท์ออกมาเถียงกับชายคนนั้น แล้วก้าวออกมาตรงหน้าคนฝรั่ง เอ่ยว่า “รูดอล์ฟ ลืมไปแล้วหรือว่าใครลงมือสังหารราชาแห่งมวยของพวกแก?”
ต่งเซิงไห่มีวิชากังฟูติดตัวอยู่ไม่น้อย แม้ว่ารูปร่างจะไม่สูงใหญ่เท่าฝ่ายตรงข้าม แต่กำลังวังชาไม่ได้ด้อยกว่ากันเลย กลับทำให้ชายฝรั่งคนนั้นถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ตอบว่า “คุณต่ง เมื่อปีที่แล้ว ผมพ่ายแพ้ให้แก่คุณ ปีนี้คุณยังกล้าเดิมพันอยู่อีกไหม?”
ต่งเซิงไห่ตอบอย่างไม่คิด “ยังจะเดิมพันอีก? คราวนี้คุณจะเอาอะไรมาเดิมพัน?”
เจ้ารูดอล์ฟขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตอบว่า “ถ้าปีนี้คนของผมแพ้ ค่ายมวยใต้ดินในมาเลเซียแล้วก็เรือคาสิโนอีกลำหนึ่งจะเป็นของคุณ!”
รูดอล์ฟเป็นเจ้าพ่อคาสิโนรายใหญ่ในลาสเวกัส เขามีกิจการมากมายกระจายไปตามประเทศต่างๆทั่วโลก
เมื่อสามปีก่อนเขาเตรียมจะลงทุนในกิจการมวยใต้ดินในมอสโค กลับถูกต่งเซิงไห่โจมตี เงินทุนจำนวนร้อยล้านดอลลาร์สูญสลายไปในพริบตา ทั้งยังสูญเสียลูกน้องฝีมือดีไปอีกหลายคน
สำหรับรูดอล์ฟเงินไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่จะให้เสียหน้านั้นยอมไม่ได้ การแข่งขันมวยปล้ำเมื่อปีก่อน เขากับต่งเซิงไห่ได้ตกลงสู้พนันกัน แต่กลายเป็นฝ่ายรูดอล์ฟที่ต้องพ่ายแพ้กลับไป
“รูดอล์ฟ คุณสมองเสื่อมไปแล้วหรือไง?”
ต่งเซิงไห่ส่ายหัว “ค่ายมวยในมาเลเซียกับค่ายมวยในมอสโคมันเทียบกันได้ที่ไหน? ต่อให้เพิ่มเรือคาสิโนเข้าไปอีกลำก็ไม่พอ รูดอล์ฟ ถ้าคุณอยากจะสู้จริง ก็ต้องแสดงความจริงใจมากกว่านี้!”
เอเชียอาคเนย์ได้รับอิทธิพลมาจากมาเก๊า ที่มีการลงทุนสร้างคาสิโนกับเรือคาสิโนส่วนบุคคล แต่เพราะขอบเขตที่จำกัดของแต่ละท้องที่ทำให้กิจการไม่ค่อยรุ่งเรืองเท่าไหร่
ส่วนมอสโคเป็นตลาดศูนย์กลางการค้าใหญ่ระดับนานาชาติ มีความสำคัญมากกว่าสถานที่เล็กๆในมาเลเซียนั้นไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ต่งเซิงไห่ไม่อยากรับคำท้าของรูดอล์ฟเลย
รูดอล์ฟหยุดคิดเล็กน้อย แล้วเอ่ยต่อ “เอาเถอะ คุณต่ง ผมเพิ่มค่ายมวยใต้ดินในอินโดนีเซียให้ด้วยเลย อย่างนี้พอได้หรือยัง?”
“ไม่พอ!” ต่งเซิงไห่ตอบอย่างไม่ใยดี
“คุณยังอยากได้อะไรอีก? ทั้งสนามมวยสองแห่งยังมีเรือคาสิโนอีกลำ ผมยอมให้คุณมากเกินไปแล้ว!”
รูดอล์ฟเริ่มโมโหเดินก้าวเข้ามาก้าวหนึ่ง แต่นึกได้ว่าเขาเคยแพ้ให้กับต่งเซิงไห่ครั้งหนึ่งแล้ว จึงรีบถอยหลังกลับไปสองก้าว ตอบว่า “เอาอย่างนี้ ผมเพิ่มหุ้นหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของโรงแรมในลาสเวกัสให้ด้วย น่าจะพอแล้วนะ?”
“จริงหรือ?” ฟังรูดอล์ฟพูดจบต่งเซิงไห่มีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นประหลาดใจ
โรงแรมลาสเวกัสที่ดึงดูดทั้งนักท่องเที่ยวและนักพนันจากทั่วโลก ที่นั่นราวกับเป็นเครื่องมือผลิตทองคำ ในทุกวันมีรายได้มหาศาลไม่รู้เท่าไหร่
อย่าดูถูกหุ้นแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์ของรูดอล์ฟ แค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์นี้ มีมูลค่าสูงถ้าห้าร้อยล้านดอลล่าร์เข้าไปแล้ว
เมื่อได้ยินถึงสิ่งที่ใช้เป็นเครื่องเดิมพัน พวกคลีเมตสันต่างตกตะลึง รู้สึกว่าสิ่งที่รูดอล์ฟนำไปใช้แลกเปลี่ยนนั้นยิ่งใหญ่เหลือเกิน
“แน่นอน ถ้าคุณแพ้ ต้องมอบค่ายมวยใต้ดินในตุรกีให้ผม!” รูดอล์ฟกัดฟันกรอดๆ “เป็นอย่างไร? กล้าพนันไหมเล่า?”
รูดอล์ฟถามออกมา ต่งเซิงไห่รู้สึกลังเล เขาไม่รู้ว่าทำไมรูดอล์ฟจึงวางเดิมพันไว้สูงเช่นนี้? ถ้าตัวเองเกิดแพ้ ความลำบากยากเย็นในธุรกิจที่สร้างมากับมือต้องยกให้เป็นของคนอื่นไป
แม้ผู้โดยสารบนเรือต่างเป็นพวกมาเฟียในโลกสีดำ ที่ฆ่าคนทำชั่วเป็นเรื่องปกติ
แต่พวกเขากลับเคารพในกฎเกณฑ์ที่ตั้งไว้ การพนันบนเรือนี่ต้องมีการแลกเปลี่ยน ไม่เช่นนั้นจะถูกคนอื่นๆโจมตี
เช่นค่ายมวยใต้ดินในตุรกีของต่งเซิงไห่ ความจริงแล้วปีที่แล้วชนะเดิมพันรูดอล์ฟ จึงได้มาครอบครอง คนที่แข็งแกร่งอย่างรูดอล์ฟก็ไม่อาจน้อมรับผลลัพธ์จากการแหกกฎได้
“คุณต่ง หรือคุณไม่เชื่อใจในหมีขั้วโลกแล้วใช่ไหม?”
รูดอล์ฟเห็นท่าทางลังเลของต่งเซิงไห่แล้วหัวเราะเยาะ “ถ้าไม่มั่นใจ ก็อย่าส่งหมีขั้วโลกลงแข่งเลย ได้ยินว่าเพิ่งพ่ายแพ้มาไม่นานนี่!”
วงการมวยใต้ดินก็มีอยู่แค่นี้ อย่างคาโต้ ทาคุมิที่ถูกตัดแขนขาหรืออันเดรวิชที่ถูกตีจนกระอักเลือด เรื่องแค่นี้ใครๆก็รู้กันทั่ว
“รูดอล์ฟ ผมไม่เชื่อว่าคุณจะหาใครที่เก่งกว่าอันเดรวิชได้อีกแล้ว!” ต่งเซิงไห่ถูกฝ่ายตรงข้ามยั่วมากเข้าก็ทนไม่ไหว กัดฟันรับปากจนได้
หากวิเคราะห์ตามความจริง ความสามารถของอันเดรวิชติดอันดับหนึ่งในสิบของตารางนักมวยใต้ดินทั่วโลกได้ แต่คนที่อันดับสูงกว่าอันเดรวิชนั้น ต่างกระจัดกระจายไปตามกลุ่มต่างๆ พวกเขาไม่อาจให้รูดอล์ฟยืมตัวนักมวยผู้เก่งกาจเหล่านั้นมาได้หรอก
อีกทั้งเดิมพันที่สูงของรูดอล์ฟช่างล่อตาล่อใจ ต่งเซิงไห่จึงยอมรับปาก ไม่เช่นนั้นคงยอมเสียหน้าดีกว่ารับคำท้าเดิมพัน
“ดี คุณคลีเมตสัน ขอให้คุณเรียกให้คนเอาสัญญามาให้ด้วยเถอะ!” รูดอล์ฟเห็นว่าต่งเซิงไห่รับปากแล้ว นัยตาเปลี่ยนเป็นเจ้าเล่ห์เพทุบายทันที
การแข่งขันมวยใต้ดินระดับโลกในทุกปี ที่ขาดไม่ได้เลยคือการพนันเดิมพัน โดยใช้เรือสำราญควีนอลิซาเบธเป็นคำยืนยันเพื่อรักษาสัญญาของทั้งสองฝ่าย
คลีเมตสันถ่ายทอดคำสั่งไปไม่นานก็มีบริกรถือเอาใบสัญญาที่ถ่ายเอกสารมาให้ถึงดาดฟ้าเรือ
“รูดอล์ฟ เขาดูเหมือนจะเพ่งเล็งมาที่คุณโดยตรงเลย ดูไม่ชอบมาพากล!”
เยี่ยเทียนมองดูกระดาษสัญญาที่วางอยู่บนเก้าอี้ชายหาดใบนั้นแล้วกระซิบกับต่งเซิงไห่ แม้เยี่ยเทียนจะไม่ได้ผูกดวงทำนาย แต่สัญชาตญาณบอกว่าเรื่องนี้มีบางสิ่งที่ไม่น่าไว้วางใจ
“ท่านเยี่ย ผมจะให้เขาได้ไม่คุ้มเสียเลย”
ต่งเซิงไห่รู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน แต่เมื่อเขาตกลงเดิมพันไปแล้ว อย่างน้อยอันเดรวิชเองก็ชนะมาหลายเวทีแล้ว
ตอนที่ 618 เจ้าแห่งสังเวียน
โดย
Ink Stone_Fantasy
“คุณระวังตัวเอาไว้เถอะ ชนะแล้วอะไรก็ดีหมด แต่ถ้าแพ้แล้วจะไม่เหลือแม้แต่อาชีพ!”
เยี่ยเทียนส่ายหน้า ถ้าไม่เห็นว่าเป็นคนเชื้อสายจีนอีกทั้งยังเป็นสมาชิกในสมาคมหงเหมินเหมือนกัน เขาคงขี้เกียจเตือน นานแล้วที่เยี่ยเทียนไม่ได้ผูกดวงทำนายให้ใคร
“คุณต่ง คุณเซ็นชื่อได้แล้ว คุณเป็นอะไร ไม่กล้าแล้วหรือ?”
เยี่ยเทียนกำลังกระซิบเตือนต่งเซิงไห่อยู่ฝั่งหนึ่ง อีกทั้งฝั่งรูดอล์ฟก็คว้าเอาใบสัญญามาลงชื่อของตัวเอง เหลือบหางตามองต่งเซิงไห่
“ท่านเยี่ย คนเราต้องต่อสู้เพื่ออยู่รอด!” ต่งเซิงไห่ตอบอย่างหนักแน่นว่า “ผมจะไม่ยอมให้คนต่างชาติมาดูถูกคนจีนอย่างเราเป็นอันขาด?”
ความจริงแล้วต่งเซิงไห่ไม่ได้รักชาติเข้าสายเลือดขนาดนั้น เพียงแต่เดิมพันที่รูดอล์ฟเสนอทำให้เขาไม่กล้าปฏิเสธต่างหาก
ถ้าค่ายมวยใต้ดินในมาเลเซียกับอินโดนีเซียตกอยู่ในมือของต่งเซิงไห่ทั้งคู่ เขาจะได้เป็นเจ้าของค่ายมวยที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย
ยังมีหุ้นของโรงแรมลาสเวกัสอีกหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ถึงตอนนั้นฐานอำนาจในสมาคมหงเหมินของเขาจะสูงขึ้นมีสิทธิ์มีเสียงมากขึ้น เขาไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธชิ้นเนื้อก้อนใหญ่ที่กำลังส่งเข้ามาในปาก
ส่วนคำเตือนของเยี่ยเทียนนั้น ไม่ได้ต้องการสิ่งอื่นนอกจากความช่วยเหลือจากเยี่ยเทียนในยามคับขัน อย่างน้อยเยี่ยเทียนสู้ชนะเหลยเจิ้นเยวี่ยได้แสดงว่าฝีมือการต่อสู้ต้องเหนือกว่าอันเดรวิชแน่นอน
เยี่ยเทียนเป็นคนระดับไหน เมื่อได้ฟังคำตอบของต่งเซิงไห่ก็ทราบได้ทันทีว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงไม่ได้ออกความเห็นอีก ได้แต่โบกมือพูดว่า “เอาเถอะ แล้วแต่คุณแล้วกัน เดี๋ยวให้อันเดรวิชระวังตัวไว้หน่อย”
“ท่านเยี่ย คุณวางใจได้ นอกจากการแข่งขันในจีนครั้งนั้น อันเดรวิชก็ไม่เคยแพ้อีกเลยมายี่สิบแปดครั้งแล้ว คนของรูดอล์ฟไม่มีทางชนะได้หรอก!”
เห็นเยี่ยเทียนไม่ตอบรับเห็นด้วยกับตน ต่งเซิงไห่รู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แต่ยังมีอันเดรวิชอยู่ทั้งคน เขายังมั่นใจในชัยชนะอย่างเต็มเปี่ยม
ในค่ายมวยใต้ดินนั้น ความพ่ายแพ้ย่อมหมายถึงความตาย นักมวยบางคนไม่เคยแพ้ในการต่อสู้มาเป็นร้อยครั้ง แต่เมื่อแพ้แค่ครั้งเดียว ก็จะมลายหายจากวงการตลอดไป
เมื่อสมัยก่อน ผู้ที่เป็นเจ้าครองค่ายมวยใต้ดินให้เป็นหนึ่งนั้นไม่ใช่คนยุโรป แต่เป็นคนจีนต่างหาก คนๆนั้นสร้างตำนานอันเลื่องลือในวงการมวยปล้ำ
เขาคนนั้นมีชื่อว่า ลินวิลล์ จาง เกิดในปี 1907 มีบันทึกไว้ว่าเขาได้ชนะการแข่งขันทั้งหมด 476 ครั้ง ในจำนวนนั้นมี 241 ครั้งที่เขาได้สังหารฝ่ายตรงข้ามทิ้ง
จางเกิดที่ประเทศจีน ส่วนสูง 182 เซนติเมตร น้ำหนัก 86 กิโลกรัม ยกลูกเหล็กท่านอนได้ 110 กิโลกรัม ยกน้ำหนักได้ 550 กิโลกรัม มีเทคนิคแพรวพราว แต่ไม่เผยแพร่ให้ใครรู้ การโจมตีด้วยท่อนขามีกำลังมาก
ในปี 1946 จางได้ออกจากวงการมวยใต้ดินโดยที่ไม่เคยพ่ายแพ้ ทำให้เกิดเป็นตำนานเรื่องเล่าสืบต่อกันมา
แต่ลินวิลล์ จางเสียชีวิตในปี 1971 ด้วยอายุเพียงหกสิบกว่าปีเท่านั้น คาดว่าน่าจะเกี่ยวกับชีวิตในวงการการต่อสู่มวยปล้ำของเขา
ยังมีแฟรงก์ เฉินที่เกิดในไต้หวัน เขาชอบให้คนอื่นเรียกว่าถังหลง(มังกรถัง) แต่คนที่เกรงกลัวเขาจะเรียกเขาว่าปลาฉลามมากกว่า
สมันนั้นไม่มีคำใดมาเปรียบเทียบความโหดเหี้ยมของเขาได้เลย ในยุคที่เขาขึ้นครองโลกแห่งมวยปล้ำ ถือเป็นยุคมืดที่สุดในประวัติศาสตร์มวยใต้ดิน
การผงาดขึ้นมาของแฟรงก์ เฉิน ถือว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในศตรวรรษที่ยี่สิบ ชัยชนะที่เขาได้รับมาทั้งหมดนั้น ใช้เวลาในการลงแข่งไม่ถึงสี่นาที แม้แต่นักมวยคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเมื่อมาเจอกับเฉินยังถึงกับอ่อนปวกเปียก
ถังหลงต่อสู้มาทั้งหมด 97 ครั้ง ชนะ 96 ครั้ง แพ้เพียงครั้งเดียว มี 95 ครั้งในนั้นที่เขาสังหารคู่ต่อสู้จนตาย ในบรรดานักมวยในยุคเดียวกัน เฉินมีฝันร้ายอยู่ครั้งหนึ่งคือการที่มีคู่ต่อสู้คนหนึ่งที่พ่ายแพ้ให้แก่เขาแต่มีชีวิตรอดลงจากเวทีไป
ในตำนานเล่าว่าถังหลงเคยสู้กับหลี่เสี่ยวหลง ทั้งสองประลองฝีมือกันแค่ห้าวินาที ถังหลงถูกหลี่เสี่ยวหลงซัดด้วยแรงขนาด 1600 ปอนด์จนกระเด็นออกไปนอกเวที ส่วนจะจริงหรือเท็จมีแต่คนทั้งสองเท่านั้นที่รู้
หลี่เสี่ยวหลงเคยแสดงภาพยนตร์ที่มีชื่อเสียงเรื่องหนึ่งชื่อ “พี่ใหญ่แห่งถังซาน” ในนั้นพระเอกชื่อถังหลงเหมือนกัน นี่เป็นการแสดงความเคารพยกย่องที่หลี่เสี่ยวหลงมีให้เป็นเกียรติแก่ถังหลงแห่งวงการมวยปล้ำ
แต่เมื่อการต่อสู้ครั้งที่ 97ของถังหลงนั้น เมื่อเขาเดินขึ้นไปบนเวทีแล้วก็ไม่ได้ลงมาอีกเลย คู่ต่อสู้ของเขาคือคริสตี้ พอลลีผู้มีฉายาว่า “รถกลบหน้าดิน”
ฝีมือของคริสตี้ พอลลีนั้นร้ายกาจเหลือเกิน พอเขาได้ขึ้นเวทีก็ใช้ความเร็วดังความเร็วแสงหลบการโจมตีของถังหลงได้ หลังจากนั้นสิบนาทีถังหลงหมดกำลังลง จึงถูกเขาลอบโจมตีจนเป็นจุดจบของราชาเจ้าเวทีอย่างถังหลง
หลังจากยุคปี 80 มา คนจีนที่เข้าร่วมแข่งขันในเวทีมวยปล้ำนั้นค่อยๆลดลง นอกจากเหลยเจิ้นเยวี่ยที่ชนะขาดลอยแล้วก็ไม่มีนักมวยจีนใดได้ตำแหน่งแชมป์มวยปล้ำอีกเลย
ในยุคปี 90 ตามการฝึกซ้อมด้วยกลวิธีต่างๆ ทำให้รูปแบบมวยใต้ดินเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง จนแทบไม่มีนักมวยคนไหนสามารถครองตำแหน่งเจ้าสังเวียนจนได้เป็นตำนานอีกเลย
ดังนั้นสำหรับต่งเซิงไห่แล้ว ขอแค่อันเดรวิชไม่เจอกับนักมวยสามอันดับแรกสุด โอกาสชนะก็ยังมีสูงมากอยู่
ต่งเซิงไห่ยื่นมือออกไปรับเอากระดาษสัญญามาจากรูดอล์ฟ เขากวาดสายตาดูเนื้อหารอบหนึ่ง นี่ไม่ได้เป็นแค่เรื่องล้อเล่น ถ้าเกิดถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นตุกติก เขาจะไม่สามารถแก้ต่างได้เลย
ตรวจสอบเงื่อนไขการเดิมพันที่รูดอล์ฟลงเอาไว้เรียบร้อยต่งเซิงไห่จึงลงชื่อตัวเองลงไป ใบสัญญามีทั้งหมดสามฉบับ นอกจากเขากับรูดอล์ฟที่ถือกันคนละฉบับแล้ว ยังมีอีกฉบับที่ต้องเก็บรักษาไว้บนเรือสำราญควีนอลิซาเบธ
“เรียบร้อย สหายของผม งานประชุมใกล้จะเริ่มแล้ว”
มองดูทั้งสองเซ็นสัญญากันเสร็จสิ้น คลีเมตสันตบมือประกาศว่า “ผมขอรับรองว่าการประชุมวันนี้จะกินเวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมง ตอน 11 โมงครึ่ง พวกคุณจะได้ลิ้มรสอาหารกลางวันกันอย่างอิ่มอร่อย
“คุณคลีเมตสัน มื้ออาหารกลางวันคงจะไม่มีการแบ่งโซนแล้วใช่ไหม?”
จู้เหวยเฟิงตั้งใจเอ่ยล้อเล่น เขาไม่เคยลืมว่าตนถูกจัดให้ไปอยู่ในห้องพักเขต C ซึ่งอย่างไรก็รู้สึกว่าถูกเลือกปฏิบัติอยู่ดี
“อ๋อ แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว”
คลีเมตสันหัวเราะออกมา ตอบว่า “พวกคุณอยู่ในโซน C รับประอาหารเช้าที่นั่นก็เพื่อความสะดวก ส่วนมื้อเที่ยงกับเย็นจะจัดงานเลี้ยงในห้องประชุมใหญ่
อีกอย่างหลังจากรับประทานอาหารเที่ยงกันแล้ว พวกคุณสามารถลงไปเล่นพนันได้ที่คาสิโน ที่นี่ยังออกแบบได้ดีกว่าที่ลาสเวกัสเสียอีก!”
ตามหลักแล้ว คลีเมตสันเป็นเพียงนักธุรกิจผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลัง การปฏิบัติที่ไร้มารยาทของเยี่ยเทียนเมื่อครู่ คลีเมตสันยังเก็บอาการไม่พอใจเอาไว้
“คลีเมตสัน ห้ามคุณแย่งการค้าของผมนะ ระวังผมไปฟ้องแฮนส์ฟอร์ด!”
รูดอล์ฟหลังจากเซ็นสัญญาแล้วก็ดูหน้าตายิ้มแย้มระรื่นคุยพูดคุยหยอกล้อกับคลีเมตสัน ราวกับว่าไม่รู้อารมณ์ดีมาจากไหน
“ไม่อยู่แล้ว ผมจะแย่งทำธุรกิจกับเพื่อนได้อย่างไร? พวกคุณคุยกันไปก่อน ผมจะเข้าไปเตรียมตัวสักเล็กน้อย”
คลีเมตสันยักไหล่ แล้วเดินนำขบวนของเขาไปทางห้องหัวเรือ ในนั้นมีบุคคลผู้เป็นใหญ่รวมตัวกันอยู่หลายคน เขาไม่กล้าให้คนเหล่านั้นรอนาน
ส่วนรูดอล์ฟถอยหลังไปสองก้าว เข้ามาแนบชิดกับต่งเซิงไห่ ยิ้มอย่างเยือกเย็นพูดว่า “คุณต่ง ฉันจะเตือนอะไรคุณไว้อย่างนะ!”
ต่งเซิงไห่ตกใจ ละล่ำละลักถามว่า “รูดอล์ฟ มีเรื่องอะไร? อย่าบอกนะว่าคุณจะกลับคำน่ะ?”
“ไม่…ไม่ ผมต่างหากที่กลัวคุณเปลี่ยนใจ”
รูดอล์ฟยื่นริมฝีปากเข้าไปข้างหูของต่งเซิงไห่กระซิบว่า “ผมลืมบอกคุณไป เมื่อเดือนที่แล้วแอนโทนี่ มาร์คัสได้เข้าร่วมในสังกัดของผมแล้ว!”
“คุณว่าอะไรนะ?!”
ต่งเซิงไห่ตกใจจนหน้าถอดสี คว้ามือไปรวบคอเสื้อของรูดอล์ฟไว้ แล้วตะโกนใส่หน้าเขาว่า “แอนโทนี่ มาร์คัสจะไปอยู่ในสังกัดแกได้ยังไง? เขาไม่ได้อยู่ที่อังกฤษมาตลอดเหรอ?”
“คุณต่ง เราต่างเป็นคนมีวัฒนธรรม อย่าลงไม้ลงมือกันเลย ไม่อย่างนั้นจะดูไม่ดี!”
รูดอล์ฟออกแรงผลักต่งเซิงไห่ออกให้ห่างตัว เอ่ยต่อว่า “คุณต่ง คุณควรจะรู้ว่าแอนโทนี่ มาร์คัสน่ะ เกิดที่มาเลเซีย ผมเองก็อยู่ที่นั่นตอนที่มีการแข่งมวยพอดี!”
หลังจากพูดจบรูดอล์ฟหัวเราะอย่างสะใจเสียงดัง แล้วเดินเข้าไปในห้องโดยสารไม่หันกลับมามองต่งเซิงไห่อีกเลย ราวกับว่าได้กุมชัยชนะเอาไว้ทั้งที่การแข่งขันยังไม่ทันเริ่มขึ้น
“เหล่าต่ง เกิดอะไรขึ้นหรอ? เจ้าแอนโทนี่นั่นเป็นใครกัน?”
ต่งเซิงไห่ยืนนิ่งค้างอยู่ที่เดิมอย่างหมดอาลัยตายอยาก เยี่ยเทียนตะโกนเรียกอยู่หลายครั้งเขาถึงจะรู้สึกตัวขึ้นมา
“ท่านไห่ ครั้งนี้แย่แน่ ทำไมจู่ๆถึงไปเจอเข้ากับเจ้าปีศาจฆ่าคนคนนั้น?”
แม้ว่าค่ายมวยของจู้เหวยเฟิงสร้างขึ้นจะเป็นชั้นปลายแถว แต่เรื่องราวในวงการนั้น เขาเคยได้ยินชื่อเสียงของแอนโทนี่ มาร์คัสมาบ้าง
เห็นได้ชัดว่าจู้เหวยเฟิงไม่สามารถฝากความหวังไว้ที่อันเดรวิชได้อีกแล้ว ตอนนี้เลยได้แต่โยกหัวไปมา เขาคิดว่ากิจการใหญ่โตที่ต่งเซิงไห่สร้างมาด้วยความยากเย็นกำลังจะถูกรูดอล์ฟชิงไปอย่างง่ายดาย
เยี่ยเทียนสนใจกับคำพูดของจู้เหวยเฟิงจึงถามอย่างฉงนใจว่า “เก่งขนาดนั้นเชียวเหรอ เขาเป็นใครมาจากไหนกัน?”
เยี่ยเทียนได้เห็นอันเดรวิชต่อสู้มากับตา แม้ว่าด้วยฝีมือของเขาจะกำราบอันเดรวิชลงได้ยังต้องลงแรงไปไม่น้อย แต่เมื่อได้ยินจู้เหวยเฟิงบอกว่าอันเดรวิชไม่ใช่คู่แข่งของคนๆนั้นเลย
จู้เหวยเฟิงส่ายหน้า ตอบว่า “เยี่ยเทียน เจ้านั่นมันไม่ใช่คน ถ้าจะบอกว่าตอนนี้มีใครที่เป็นเจ้าสังเวียนมวยได้ ก็คงมีแต่เขานี่แหละ!”
“คุณหมายถึงวงการมวยปล้ำนี่ล่ะสิ? คนที่เป็นเจ้าวงการมวยโลกต้องเป็นไทสันต่างหาก!” เยี่ยเทียนแก้คำพูดของจู้เหวยเฟิงใหม่ อาชีพนักมวยมืออาชีพกับมวยใต้ดินนั้นแตกต่างกันมาก
“ไทสัน? ไทสันกับแอนโทนี่เปรียบเทียบกัน เทียบกันได้ที่ไหน!”
ต่งเซิงไห่ผู้ที่ตอนแรกเหมือนหลุดภวังค์ไปครู่หนึ่งได้ยินคำพูดของเยี่ยเทียนแล้วพลางตะโกนโพล่งออกมา “ไทสันตอนอยู่ในคุกน่ะ ยังสู้กับนักมวยปล้ำสามคนไม่ได้เลย มีสิทธิ์อะไรไปเทียบกับแอนโทนี?”
“เหล่าต่ง อย่าเพิ่งตื่นตระหนก ไทสันเคยสู้กับนักมวยใต้ดินด้วยเหรอ?”
เยี่ยเทียนไม่ค่อยได้สัมผัสรับรู้ความลับของวงการมวยเท่าไหร่ แต่เขาเคยดูถ่ายทอดการแข่งขันของไทสัน ด้วยความเร็วในการออกหมัดแล้ว ไทสันนับว่าฝีมือไม่เลวเลย
“เคยอยู่แล้วสิ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่พูดอย่างนั้นหรอก”
ต่งเซิงไห่แม้ว่าหน้าจะเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเทาแล้ว แต่ก็ดึงสติกลับมาได้ เล่าเรื่องที่ไทสันเคยถูกนักมวยปล้ำร่างยักษ์ซ้อมให้เยี่ยเทียนฟัง
ตอนที่ 619 การท้าประลอง (1)
โดย
Ink Stone_Fantasy
สำหรับไทสัน คนที่พอจะใส่ใจในวงการมวยอยู่บ้างจะทราบดีว่าเขาเคยเป็นแชมป์มวยโลกอยู่หลายสมัย ชื่อเสียงโด่งดังไม่แพ้นักมวยชื่อดังอย่างอาลีในสมัยก่อน
ศึกนัดตัดสินแชมป์โลกระหว่างไทสันกับโฮลี่ฟิลอันล่ำลือ ที่จุดจบนั้นหักมุมจากสิ่งที่ผู้ชมเคยคาดเดา ทำเอาผู้ชมติดตาตรึงใจ เป็นเรื่องโด่งดังที่โจทก์ขานกันไปทั่ว
สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยคือไทสันเป็นนักมวยมืออาชีพผู้ยิ่งใหญ่ คนแบบเขาถ้ามาสู้กับนักมวยใต้ดิน ทำให้เยี่ยเทียนถึงรู้สึกแปลกใจ
ไทสันติดคุกทั้งหมดสองครั้ง เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้เป็นปี 91ด้วยเหตุที่เขาลวนลามหญิงสาวผิวดำชาวอเมริกันคนหนึ่งจนถูกพิพากษาให้จำคุก
เมื่อเข้าคุกไปใหม่ๆ ไทสันเป็นที่สนอกสนใจของเพื่อนนักโทษ พวกนักโทษคดีอุกฉกรรจ์ไม่เพียงจะไม่ดูแลปกป้องไทสัน แต่อยากจะรุมซ้อมเขาเสียให้หนำใจ
หนึ่งในนั้นมีคนชื่อคินฮัก เป็นนักมวยปล้ำที่เป็นทั้งนักฆ่าที่มีชื่อเสียง ก่อนเข้าคุกเคยได้ลงแข่งครั้งหนึ่ง เขาใช้ลูกเตะเตะคู่ต่อสู้เสียชีวิตคาที่
ไทสันเริ่มจะระวังตัวมากขึ้น เขาไม่เคยไปที่สนามซ้อมมวยเลย เพื่อไม่ให้ถูกมองว่าโอ้อวด เมื่อไหร่ที่เขาเดินผ่านโรงยิม ก็จะถูกพวกของคินฮักกลั่นแกล้งถูกเตะปัดขาหรือแกล้งชกศอกเข้าที่กระสอบทรายอย่างแรงเพื่อข่มขวัญราชาแห่งมวย
ไทสันรู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้กฎหมายใช้ไม่ได้ผล ทุกคนต่างให้ความเคารพต่อพละกำลังและการต่อสู้ ชื่อเสียงราชานักมวยที่ตนได้จากการต่อสู้แบบ “โลกแห่งอารยชน” กลับถูกพวกเขามองว่าเป็นศัตรู ราวกับตัวเขาเป็นตัวร้ายไปเสียอย่างนั้น
จนมีวันหนึ่ง ความโกรธแค้นที่ไทสันมีต่อคินฮักมาถึงจุดสิ้นสุด ทั้งสองจึงเปิดฉากต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ในการต่อสู้จริง จุดเด่นของไทสันที่เคยใช้บนเวทีมวยกลับหายไปหมด คินฮักเตะถีบศีรษะของเขาอย่างโหดร้าย ใช้เข่ากระแทกกระดูกซี่โครงของไทสัน แม้ว่าจะใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีสู้สวนกลับไปแต่ก็ยังบาดเจ็บสาหัส
จากการวินิจฉัย ศีรษะของไทสันได้รับความกระทบกระเทือนอย่างมาก กระดูกซี่โครงหักสามท่อน ทั้งยังมีรอยบอบช้ำไปทั้งตัว
ด้วยปัญหาด้านความปลอดภัย ไทสันจึงไม่สนใจเรื่องศักดิ์ศรีอีกต่อไป เขายอมจ่ายเงินหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐเพื่อจัดการปัญหาโดยการขออภัยจากพวกคินฮัก
ดังนั้นในสายตาของเจ้าของค่ายมวยใต้ดินอย่างต่งเซิงไห่ ฉายาเจ้าแห่งมวยโลกไทสันเป็นแค่เรื่องตลก เขาแค่ทำหน้าที่ให้ความบันเทิงในช่องโทรทัศน์ให้ผู้ชมบันเทิงใจเท่านั้น
“มวยสากลอาชีพมีข้อบังคับมากมาย ไทสันไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนักมวยใต้ดินหรอก”
พอนึกถึงอันเดรวิชเยี่ยเทียนก็พยักหน้า สำหรับไทสันหากได้มาเจอกับอันเดรวิชเข้า เกรงว่าแค่ยกเดียวคงจะถูก อันเดรวิชเอาชนะแบบน็อคเอาท์ เพราะชื่อเสียงของไทสันนั้นอันเดรวิชไม่ได้เห็นอยู่ในสายตาอยู่แล้ว
“เหล่าต่ง คนที่ชื่อแอนโทนี่ มาร์คัสนั่นเป็นใคร? เขายังเก่งกว่าอันเดรวิชอีกหรือ?”
หลังจากฟังเรื่องซุบซิบของไทสันแล้ว เยี่ยเทียนก็วกกลับเข้าหัวข้อสนทนาเดิมคือแอนโทนี่ เขาไม่ได้มีความรู้เรื่องมวยใต้ดินมามากนัก อันเดรวิชถือเป็นนักมวยใต้ดินที่ฝีมือดีที่สุดที่เขาเคยพบมาแล้ว
“แอนโทนี่ มาร์คัส เขา….เขาเป็นเครื่องจักฆ่าคน!”
เมื่อเอ่ยถึงแอนโทนี่ มาร์คัส ต่งเซิงไห่มีสีหน้าดูแย่ลงไปอีกครั้ง ราวกับว่าไม่อยากจะพูดถึงแอนโทนี่ มาร์คัสที่กำลังจะมาเป็นคู่ต่อสู้กับนักมวยของเขา
“ให้ผมเล่าต่อเองเถอะ เป็นคนที่รับมือยากมากคนหนึ่ง…”
จู้เหวยเฟิงเป็นผู้ติดตามข่าวสารแวดวงมวยปล้ำ เขาเคยได้ยินชื่อแอนโทนี่ มาร์คัสอยู่แล้ว จึงเล่าต่อจากต่งเซิงไห่ให้เยี่ยเทียนฟังถึงกิตติศัพท์การต่อสู้ของแอนโทนี่
แอนโทนี่ มาร์คัส เข้าวงการในปี 1988 ตั้งแต่นั้นมาจนบัดนี้ เขาเป็นคนที่ได้รับการขนานนามว่าเป็นนักมวยที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์มวลมนุษยชาติ
ฝีมือด้านการฆ่าคนนั้นไม่มีใครเทียบได้เลย เขาเป็นเครื่องมือฆ่าคนที่น่าเกรงขาม ในประวัติการต่อสู้ไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จเท่าเขามาก่อน ทั้ง “หมัดเหล็กและลูกเตะพิฆาต”นั้นทำให้คู่ต่อสู้สิ้นหวังมานักต่อนักแล้ว
คำโบราณว่าไว้ ผู้ที่อาจหาญย่อมชนะ การต่อยมวยปล้ำต้องใช้ทั้งพละกำลังและความเชื่อมั่น นักมวยใต้ดินทุกคนเมื่อขึ้นเวที่จะต้องมั่นใจว่าตนชนะ นี่เป็นแรงผลักดันให้พวกเขาสู้ต่อไป ถ้าหากจิตใจท้อแท้ ความตายจะมารออยู่เบื้องหน้า
แอนโทนี่ มาร์คัสสามารถเอาชนะคนที่มีความเชื่อมั่นที่สุดมาได้ เพราะเขาเป็นคนที่แทบไม่มีจุดอ่อนเลย
จนถึงตอนนี้ ไม่มีใครรอดพ้นจากลูกเตะมหาประลัยของเขาได้ ทุกคนมีโอกาสแค่ครั้งเดียว ถ้าถูกลูกเตะของเขาเข้า ก็จะทำได้แต่เพียงร้องขอชีวิต แม้แต่พวกนักฆ่าโดยกำเนิดพวกนั้นก็ไม่เว้น
หลายคนที่พยายามอาศัยจังหวะที่เขายกขาเตรียมจะตอบโต้ แต่ด้วยความเร็วที่เหนือมนุษย์นั้น ทำให้ไม่อาจจับจังหวะตอบโต้ได้
แอนโทนี่ตอนนี้ลงสู้มาทั้งหมด 167 ครั้ง ชนะทุกครั้ง ในนั้นมี 114 ครั้งที่คู่ต่อสู้ตายคาที่ เขาเคยเข้ารับการฝึกที่ไซบีเรียเช่นเดียวกับอันเดรวิช
แต่ตอนที่แอนโทนี่ มาร์คัสเข้าร่วมฝึกในค่ายฝึกนั้น อันเดรวิชได้ออกไปแล้ว ทำให้สุดยอดฝีมือของทั้งสองรุ่นไม่ได้พบกัน
แต่คนส่วนใหญ่ที่ดูการแข่งขันของแอนโทนี่ มาร์คัสต่างคิดเห็นตรงกันว่าแอนโทนี่น่าจะได้เป็นสุดยอดเจ้าแห่งมวยปล้ำที่สุด ส่วนอันเดรวิชน่าจะแก่ตายไปแล้ว
“เก่งขนาดนั้นเชียว?” ฟังจู้เหวยเฟิงพูดจบ เยี่ยเทียนกระดกลิ้น
กำลังโจมตีของอันเดรวิชนั้นถือเป็นยอดฝีมือชั้นสูงแล้ว ถ้าหากยังให้ยอดฝีมือที่เก็บซ่อนพลังของตัวเองเอาไว้ลงสู้กับอันเดรวิช ผู้ที่ไม่รอดน่าจะเป็นฝ่ายตรงข้ามมากกว่า
จากคำพูดของจู้เหวยเฟิง แอนโทนี่ มาร์คัสยังเก่งกว่าอันเดรวิชเสียอีก หมายความว่าเขาจะได้ต่อสู้กับนักฆ่าที่มีกำลังโจมตีรุนแรงที่สุดเลยเหรอ?
“ท่านเยี่ย ท่าทางครั้งนี้ผมต้องหมดตัวแน่เลย ให้ตายสิ ไม่คิดว่าเจ้ารูดอล์ฟจะเจ้าเล่ห์เพทุบายขนาดนี้?”
ตั้งแต่รู้ว่าคู่ต่อสู้ของอันเดรวิชคือแอนโทนี่ มาร์คัส ต่งเซิงไห่ก็ทำหน้าหมดอาลัยตายอยาก เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เชื่อมั่นในนักมวยของตัวเองเลย
“เหล่าต่ง ยังไม่ได้สู้เลย จะรู้ได้อย่างไรว่าใครแพ้ใครชนะ?”
เยี่ยเทียนตบบ่าต่งเซิงไห่ เอ่ยปลอบว่า “ตอนนั้นถังหลงก็ยังโดนคนวางแผนลอบกัดเลยไม่ใช่เหรอ คุณให้อันเดรวิชศึกษาดีๆ ไม่แน่ว่าอาจจะได้ใช้จริง”
ต่งเซิงไห่ฝืนยิ้ม ส่ายหัวตอบว่า “ไม่มีทาง อันเดรวิชเป็นพวกบ้าพลัง ถ้าให้เขาหลบซ้ายหลีกขวา เกรงว่าเขาจะตายเร็วกว่าเดิม”
“เข้าประชุมงานนี้จบค่อยว่ากันต่อเถอะ การแข่งขันของพวกคุณเป็นคืนพรุ่งนี้ไม่ใช่เหรอ ยังพอมีเวลาคิดหาทางออก”
มองดูรอบๆดาดฟ้าเรือ เหลือแต่กลุ่มพวกเขาแล้ว เยี่ยเทียนจึงเดินเข้าไปในห้องโดยสาร พลางเอ่ยว่า “ถ้าไม่ได้จริงๆก็ให้อันเดรวิชยอมแพ้เสีย อย่างไรก็แล้วแต่ชีวิตย่อมสำคัญกว่าเงินทองอยู่แล้ว!”
“ไม่ได้ ถึงจะแพ้ ก็ต้องแพ้บนเวที งานประชุมนี่ผมไม่เข้าร่วมแล้ว ผมจะไปหารือกับอันเดรวิชสักหน่อย!”
ต่งเซิงไห่เห็นว่าธุรกิจที่ลงทุนลงแรงไปสิบกว่าปีกำลังจะหายไป เขายังมีจิตใจจะไปนั่งฟังการประชุมอยู่อีกหรือ เขาเอ่ยลาพวกเยี่ยเทียนแล้วรีบร้อนจากไป
“เยี่ยเทียน นายไม่คิดจะช่วยเขาบ้างเหรอ?”
รอให้ต่งเซิงไห้เดินไปไกลแล้ว จู้เหวยเฟิงถึงถามขึ้นมา “ยังไงพวกนายก็เป็นคนในสมาคมหงเหมินเหมือนกันนะ ไม่อย่างนั้นฉันให้คนไปรับท่านหูมาดีไหม?”
ชื่อเสียงเรื่องความโหดร้ายของแอนโทนี่ มาร์คัสฟังแล้วช่างข่มขวัญ จู้เหวยเฟิงไม่กล้าพูดตรงๆว่าให้เยี่ยเทียนลงสนามเอง แต่อ้างถึงหูหงเต๋อขึ้นมา ไม่แน่ว่าหูหงเต๋ออาจจะเอาชนะแอนโทนี่ มาร์คัสได้
“คุณอย่าเสนอความคิดเห็นไม่ได้เรื่องแบบนี้อีกนะ ไม่อย่างนั้นผมจะไม่คุยกับคุณแล้ว!”
ได้ฟังความคิดเห็นของจู้เหวยเฟิงแล้ว เยี่ยเทียนถึงกับสะดุ้ง ถ้าให้หูหงเต๋อมาก็เท่ากับว่าให้เขารนมาหาที่ตาย
หูหงเต๋อกับอันเดรวิชเคยสู้กันมาก่อน ถ้าไม่ใช่เพราะเยี่ยเทียนอัญเชิญเทพเจ้ามาประทับ หูหงเต๋อคงจะสู้อันเดรวิชไม่ได้ แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับแอนโทนี่ มาร์คัสได้เล่า?
ท่าทีปฏิเสธรุนแรงของเยี่ยเทียนทำให้จู้เหวยเฟิงเก้อเขินไป “ได้ ถือว่าผมไม่ได้พูดก็แล้วกัน ไปเถอะ คนอื่นเข้าไปหมดแล้ว”
การบริการบนเรือสำราญควีนอลิซาเบธเป็นไปอย่างรัดกุม เมื่อทั้งดาดฟ้าเรือเหลือแต่เยี่ยเทียนกับจู้เหวยเฟิงก็ยังมีบริกรที่ยืนอยู่ไม่ห่าง เมื่อเห็นพวกเขาออกเดิน บริกรก็เดินนำทางพวกเขาไป
การประชุมมวยปล้ำระดับโลกที่จักขึ้นทุกปีความจริงแล้วคือการแบ่งเขตและฐานอำนาจในแต่ละพื้นที่ ส่วนมาตรฐานการตัดสินคือ ใครมีอำนาจขอบเขตมากสุด ใครมีนักมวยเก่งในมือมากสุด
ดังนั้นการประชุมจึงไม่ได้เป็นทางการนัก เพียงแต่จัดในห้องประชุมใหญ่ ในห้องประชุมนี้สามารถบรรจุคนได้หนึ่งพันที่นั่ง ตอนนี้มีผู้เข้าร่วมเพียงสามร้อยกว่าคนเท่านั้น บรรยากาศจึงดูโหวงเหวง
จู้เหวยเฟิงมองไปรอบๆแล้วกระซิบกับเยี่ยเทียนเสียงเบาว่า “พวกนักมวยไม่ได้มาด้วย ตอนกลางคืนยังมีพวกมหาเศรษฐีระดับโลกที่จะมาลงพนันมวยด้วย ตอนนี้คงมีแต่พวกผู้ดูแลค่ายมวยจากที่ต่างๆเท่านั้น”
“ให้ตายเถอะ ไม่มีคนดีๆเลยสักคน!”
เยี่ยเทียนกวาดตามองไปรอบๆแล้วเห็นว่าหน้าตาของคนในวงการมวยปล้ำแต่ละคนนั้นหน้าตาดุร้ายโหดเหี้ยม มีอีกหลายคนที่สวมแว่นดูเป็นผู้ทรงภูมิ แต่เยี่ยเทียนกลับสัมผัสได้ถึงพลังชั่วร้ายจากตัวของคนเหล่านั้น
“ท่านสุภาพบุรุษและสุภาพสตรี ดีใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบกับทุกท่านในที่นี้….”
เยี่ยเทียนมาช้าไปเล็กน้อย พอนั่งลงกับที่ เสียงของคลีเมตสันก็ดังขึ้น
“กฎระเบียบนั้นทุกท่านคงจะทราบกันดี การแข่งขันจะจัดขึ้นทั้งหมดสามวัน คืนนี้จะเป็นการแข่งขันศึกชิงแชมป์เจ้าสังเวียน ที่จะใช้จัดอันดับนักมวยในปีหน้า ส่วนพรุ่งนี้กับวันมะรืนนี้จะเป็นการท้าประลอง สหายที่ได้ลงในใบสัญญา จะได้ลงแข่งขันในวันพรุ่งนี้
เอาล่ะ ผมทราบดีว่าอาหารอันโอชาที่ทุกท่านรออยู่นั้นย่อมน่าสนใจกว่าตาแก่อย่างผม งั้นผมจะไม่พูดมากแล้ว หวังว่าสหายทุกท่านจะสนุกสนานกับการแข่งขันทั้งสามวันนี้!”
คลีเมตสันใช้เวลาอภิปรายสั้นกว่าที่เขาเคยบอกไว้มาก ไม่ถึงหนึ่งนาทีเนื้อหาใจความสำคัญก็ถูกถ่ายทอดจนครบ เพราะว่าตั้งแต่ก่อนมาจนถึงก่อนงานประชุมพวกเขาต่างได้รับแจ้งถึงกำหนดการและกฎเกณฑ์อย่างชัดเจนแล้ว
“ผมสงสัยว่า การท้าประลองคืออะไรหรือ? ถ้าไม่ได้ลงนามในสัญญาก็สามารถท้าประลองได้ด้วยหรือ?” ในบรรดาผู้เข้าร่วมทั้งหมดเห็นจะมีแต่เยี่ยเทียนคนเดียวที่ไม่รู้กติกา
“ใช่ ถึงไม่มีสัญญาก็สามารถท้าประลองได้ ว่าง่ายๆก็คือการช่วงชิงพื้นที่กันนั่นเอง คนอื่นอยากได้พื้นที่ของนายก็สามารถมาท้านายสู้ได้ แน่นอนว่าคุณก็ปฏิเสธได้เช่นกัน”
จู้เหวยเฟิงพยักหน้า ความจริงแล้วเหตุผลหลักในตอนแรกที่เขาไม่อยากเข้าร่วมงานประชุมมวยใต้ดินครั้งนี้ก็คือกลัวการท้าประลองนั่นเอง
ตอนที่ 620 การท้าประลอง (2)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ถ้าสู้ไม่ไหวก็ปฏิเสธไป ไม่เห็นน่าอับอายตรงไหนเลย”
เยี่ยเทียนมองดูจู้เหวยเฟิง รู้สึกหงุดหงุดที่จู้เหวยเฟิงลากเขามางานแข่งมวยปล้ำครั้งนี้ ก็เพื่อเหตุผลแค่นี้เองหรือ? คนที่เป็นลูกหลานของคนมียศศักดิ์อย่างจู้เหวยเฟิงความคิดความอ่านไม่ธรรมดาเอาเสียเลย
“เอ้อ เยี่ยเทียน นายอย่าเข้าใจผิดนะ”
จู้เหวยเฟิงเป็นคนฉลาด พอเห็นสีหน้าของเยี่ยเทียนแล้วก็รีบอธิบายยกใหญ่ “ฉันไม่ได้หมายความว่าจะให้นายลงแข่ง แต่ฉันไม่ได้พานักมวยมาด้วย ถ้ามีคนอื่นมาท้าสู้ ฉันก็สู้ไม่ได้อยู่ดี!”
ถ้ายังไม่นับเรื่องที่เยี่ยเทียนเป็นหลานชายของซ่งเฮ่าเทียน อาศัยเพียงตำแหน่งระดับสูงในสมาคมหงเหมินก็ทำให้จู้เหวยเฟิงไม่กล้าคิดไม่ดีกับเยี่ยเทียน ไม่เช่นนั้นด้วยอิทธิพลของสมาคมหงเหมินทั่วโลก จู้เหวยเฟิงคงไม่กล้าออกนอกประเทศอีกเลย
“คนอย่างพวกนายนี่ ใช้ชีวิตยากเย็นจริงๆ”
เยี่ยเทียนส่ายหัวพลางทอดถอนหายใจ คนที่ฝึกวิชายุทธมักให้ความสำคัญกับความสงบสุขของจิตใจ นี่คงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่เหล่านักสู้ทั้งหลายไม่มีความปรารถนาในลาภยศสรรเสริญหรือตำแหน่งยศศักดิ์
“คนที่อยู่ในวงการนี้ ไม่สามารถทำตามใจตัวเองได้นี่ เยี่ยเทียน ฉันล่ะอิจฉานายจริงๆ!”
จู้เหวยเฟิงถอนหายใจตาม ชีวิตของเขาไม่ได้เสพสุขและสุขสบายอย่างภาพภายนอกที่แสดงออก ปกติแล้วต้องระมัดระวังตัวเพราะกลัวว่าถ้าก้าวพลาดก้าวเดียวชีวิตจะจบสิ้น
ภูมิหลังครอบครัวก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ใช้เป็นยันต์คุ้มครองได้ แต่มันก็เป็นดาบสองคม
ถ้าหากจู้เหวยเฟิงเกิดฝ่าฝืนกฎหรือทำผิดพลาดขึ้นมา เกรงว่าจะถูกโจมตีทันที ถึงตอนนั้นไม่เพียงแต่การพนันมวยที่เป็นเรื่องเสื่อมเสียเล็กน้อยแบบนี้ก็จะถูกคิดบัญชีรวบยอด ยิ่งกว่านั้นคือทำให้ครอบครัวพลอยได้รับผลกระทบไปด้วย
อีกทั้งครอบครัวของจู้เหวยเฟิงยังอยู่ในประเทศจีน หากเกิดเรื่องอะไรขึ้น เขาไม่มีทางหนีออกนอกประเทศได้ เขายังมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอันใหญ่หลวง
แต่เยี่ยเทียนไม่เหมือนกัน เงินทองที่เขาได้มานั้นมีแหล่งที่มาไม่โปร่งใส ไม่ได้ทำลายผลประโยชน์ของประเทศชาติ ในประเทศจีนยังมีซ่งเฮ่าเทียนอยู่ทั้งคน จะทำอะไร ไม่ได้ง่ายดายนัก
ถ้าเยี่ยเทียนเกิดอยู่ในประเทศต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ด้วยฐานะทางการเงินของซ่งเวยหลัน เยี่ยเทียนไม่ว่าจะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศไหนก็ได้เสพสุขราวเศรษฐีผู้มั่งคั่ง ความอิสระแบบนี้จู้เหวยเฟิงไม่มีทางได้ใฝ่ฝันถึง
“เอาเถอะ คุณอย่าเสแสร้งเลย ประธานจู้อยู่ในประเทศ มีใครไม่รู้จักบ้าง?”
เยี่ยเทียนเบ้ปาก มองดูบริกรชาวต่างชาติยกอาหารขึ้นเสิร์ฟบนโต๊ะอาหาร แล้วกวักมือเรียก “กินอาหารก่อนเถอะ นี่เป็นอาหารมื้อใหญ่ของฟรี ถ้าไม่กินคงเสียดายแย่”
หลายปีมานี้ความเป็นอยู่ของเยี่ยเทียนสุขสบายขึ้น และเดินทางไปฮ่องกงไต้หวันบ่อย ได้กินของดีของอร่อยมานับไม่ถ้วน แค่มองดูก็รู้แล้วว่า เมนูอาหารทะเลที่พวกเขาเตรียมขึ้นมานั้นล้วนแล้วแต่เป็นของดีราคาแพง
อย่างเช่นกุ้งล็อบสเตอร์จากออสเตรเลีย ปลาหิมะจากชิลี หอยเชลล์จากญี่ปุ่น หอยเป๋าฮื้อสด ยิ่งไปกว่านั้นยังมีไข่ปลาคาเวียร์ที่ราคาแพงกว่าทองคำกับเห็ดทรัฟเฟิลป่า ทำเอาเยี่ยเทียนน้ำลายสอ อาหารที่มีไขมันสูงพวกนี้เป็นแหล่งพลังงานชั้นยอด
“กินฟรี? นาย…นายรู้ไหมว่าพวกเรามาร่วมงานครั้งนี้ต้องจ่ายเงินไปตั้งเท่าไหร่?”
ฟังเยี่ยเทียนจบแล้ว จู้เหวยเฟิงแทบอยากร้องไห้ออกมา เรือสำราญควีนอลิซาเบธลำนี้ไม่ได้ใจดีมีเมตตาถึงขนาดให้ขึ้นเรือฟรี ความสะดวกสบายเหล่านี้ต้องใช้เม็ดเงินอัดฉีด
นอกจากนักมวยที่ขึ้นเรือมาเพื่อเข้าร่วมแข่งขัน คนอื่นๆในเรือทุกคนจะต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่งล้านดอลลาร์สหรัฐ ถ้านับเงินค่าตั๋วขึ้นเรือของเยี่ยเทียนไปด้วย จู้เหวยเฟิงต้องจ่ายทั้งหมดยี่สิบล้านหยวนเลยทีเดียว
“ให้ตายเถอะ อย่างนี้ต้องกินให้คุ้ม!”
เยี่ยเทียนหยิบจานเดินไปเลือกอาหาร จู้เหวยเฟิงกระโดดลุกจากเก้าอี้แล้วพุ่งไปที่โต๊ะที่มีไข่ปลาคาเวียร์กับเห็ดทรัฟเฟิลป่าวางอยู่
หยิบอาหารจนเต็มจานแล้ว จู้เหวยเฟิงยังไม่ลืมที่จะเลี้ยวไปที่บาร์เครื่องดื่มเพื่อหยิบไวน์ชาโตร์ ลาฟิต รอธส์ชิลด์ปี 82 มาขวดหนึ่ง คนรุ่นราวคราวเดียวกับจู้เหวยเฟิงเรื่องกินเรื่องเที่ยวไม่ได้ด้อยกว่าคนชั้นสูงทางยุโรปเลย
“เหล่าต่งไม่มากินด้วย น่าเสียดายออก”
แม้ในจานจะมีอาหารไม่น้อย แต่กิริยาการรับประทานอาหารของจู้เหวยเฟิงยังรักษาไว้ซึ่งมารยาท เมื่อหันมามองเยี่ยเทียนแล้วถึงกับตะลึงตาค้าง
ตรงหน้าของเยี่ยเทียนมีจานอาหารวางอยู่ห้าใบ แต่ละใบพูนไปด้วยอาหารทะเลที่ปรุงเสร็จแล้วแต่ละชนิด แต่ตอนนี้สี่ใบในนั้นว่างเปล่าลง ส่วนใบสุดท้ายก็กำลังใกล้จะหมดลงเช่นกัน
ไม่เพียงแต่จู้เหวยเฟิงที่ตะลึง คนต่างชาติคนอื่นที่เดินผ่านไปผ่านมามองด้วยความประหลาดใจ แม้พวกเขาจะอยู่ในโลกธุรกิจมืด แต่ตอนนี้ก็พอมีฐานะหน้าตาทางสังคมแล้ว จึงต้องระวังเรื่องมารยาทเป็นอย่างดี
ท่าทางการกินอย่างเอร็ดอร่อยของเยี่ยเทียน ทำให้คนอื่นๆมองดูแล้วรู้สึกจนน้ำลายไหลตาม ทุกคนหยิบเอาไวน์แดงขึ้นมากินดื่มกันอย่างเต็มที่
การรับประทานอาหารก็เหมือนโรคระบาด ถ้าทุกคนรับประทานกันอย่างอิ่มเอมเต็มที่ อาหารที่เตรียมไว้ตั้งแต่แรกก็จะไม่เพียงพอ
ปริมาณอาหารมื้อนี้คืออาหารที่กักตุนไว้สำหรับสามวัน เรือสำราญอลิซาเบธต้องรีบสั่งอาหารทะเลชั้นดีมาจากแหล่งต่างๆทั่วโลกเพื่อเติมคลังเสบียง
แน่นอนว่าเรื่องนั้นเอาไว้ทีหลัง เยี่ยเทียนคนเดียวก็รับประทานเข้าไปมากเทียบเท่ากับปริมาณอาหารของคนสิบคน แต่ท้องก็ไม่ได้ป่องออกมา แถมยังดื่มไวน์แดงลงไปสองขวดเต็มๆจึงจะเสร็จสิ้นมื้ออาหาร
คนอื่นๆเฝ้าดูอย่างอิจฉา แต่พวกเขาก็ไม่อาจรับประทานอาหารได้มากเท่าเยี่ยเทียน ทำได้แต่เพียงมองดูเยี่ยเทียนเดินเรอเอิ้กอ้ากออกไปจากห้องอาหาร
“ตอนบ่ายมีกิจกรรมอะไรหรือเปล่า?”
ออกมาจากห้องประชุมแล้วก็ขึ้นไปที่ดาดฟ้าเรือ เยี่ยเทียนบิดขี้เกียจทีหนึ่ง การใช้ชีวิตแบบคนมีเงินช่างสุขสบายแบบนี้นี่เอง กินอิ่มแล้วก็ขึ้นมาตากลมชมวิวอย่างอารมณ์ดี
เมื่อครู่เยี่ยเทียนได้ยินที่คลีเมตสันประกาศว่า การแข่งมวยคู่แรกจะเริ่มขึ้นตอนสามทุ่ม ตอนนี้ยังมีเวลาก่อนการแข่งขันจะเริ่ม บรรดาแขกที่เหลือสามารถเลือกกิจกรรมบันเทิงบนเรือได้ตามใจชอบ
“กิจกรรม? มีเยอะแยะเลย”
จู้เหวยเฟิงยิ้มออกมา แต่เยี่ยเทียนกลับรู้สึกว่ารอยยิ้มของจู้เหวยเฟิงดูแปลกๆยังไงชอบกล
“น้องเยี่ย บนเรือนี่มีหญิงสาวมาจากแต่ละประเทศมากมาย อายุก็ยังไม่เกินยี่สิบทั้งนั้น ทั้งสาวสวยใส่ถุงน่องตาข่ายสีดำ หรือเครื่องแบบชุดนักเรียน หรือหยดน้ำตาเทียน นายอยากเล่นแบบไหนก็ได้ทั้งนั้น”
จู้เหวยเฟิงกระซิบเสียงต่ำ “เมื่อวานฉันใช้บริการสาวฝาแฝดที่มาจากสาธารณเช็ค ฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว สาวญี่ปุ่นก็ใช้ได้ นายอยากจะลองดูสักหน่อยไหม?”
แม้ตอนอยู่ในประเทศจีน จู้เหวยเฟิงอยากได้อะไรก็ต้องได้ แต่ยังมีขอบเขตอยู่ เขาไม่สามารถเสพสุขกับการบริการทางเพศได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นเมื่อคืนเขาจึงใช้บริการอย่างหนักหน่วงทั้งคืน
“ ในสมองคุณนอกจากผู้หญิงแล้วยังมีเรื่องอย่างอื่นอีกไหม?”
จู้เหวยเฟิงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีกก็แล้วไป แต่พอพูดขึ้นมาเหมือนปลุกไฟโทสะในใจของเยี่ยเทียน เสียงดังรบกวนเมื่อคืนทั้งคืนทำเอาเขาไม่ได้พักผ่อน เยี่ยเทียนเกือบจะเกิดจิตสังหารต่อจู้เหวยเฟิงแล้ว
เห็นเยี่ยเทียนไม่สนใจ เขาจึงตอบกลับอย่างเหงาหงอยว่า “อย่างอื่น ไม่มีอะไรน่าสนุกแล้ว นั่งเรือสปีดโบ๊ทออกไปตกปลา หรือลงพนันสักสามสี่ตา แล้วแต่นายเลือกเลย”
จู้เหวยเฟิงจู่ๆก็นึกบางสิ่งขึ้นได้ พูดอย่างกระตือรือร้นว่า “ใช่แล้ว ยังมีการแสดงระบำเปลื้องผ้าด้วย ไม่งั้นเราไปดูระบำเปลื้องผ้ากันดีไหม?”
“ดูคุณสิ ไป ไปดูในคาสิโนเสียหน่อย!”
เยี่ยเทียนตวัดสายตาใส่จู้เหวยเฟิงที่ในหัวมีแต่เรื่องใต้สะดือ แล้วกวักมือเรียกบริกรให้นำทางเขาทั้งสองไปที่คาสิโนบนเรือ
เดิมทีเรือสำราญควีนอลิซาเบธเป็นเรือคาสิโน เยี่ยเทียนแม้ไม่ได้มีความชื่นชอบ แต่เมื่อได้มาถึงแล้วอยากจะไปดูไปเรียนรู้เสียบ้าง
“คาสิโนมีอะไรน่าดู น้องเยี่ย นายนี่ไม่เข้าใจความรักเลย เอ๋? คาสิโนก็ไม่เลวนี่!”
จู้เหวยเฟิงเคยไปคาสิโนมาหลายแห่ง ไม่ค่อยสนใจเรื่องพนันเท่าไหร่ แต่เมื่อเข้าไปถึงคาสิโนแห่งนี้แล้วก็ตาลุกวาว
คาสิโนตั้งอยู่ที่ชั้นใต้ดินชั้นหนึ่ง กินพื้นที่ทั้งหมดหลายพันตารางเมตร พรมบนพื้นหนานุ่ม ทั้งคาสิโนถูกตกแต่งอย่างหรูหราโอ่อ่าอลังการ
สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่สิ่งสำคัญคือพนักงานบริการทุกคนในคาสิโนตั้งแต่บริกรจนถึงคนแจกไพ่ล้วนแล้วแต่เป็นสาวสวย ทั้งยังเปลือยกายล่อนจ้อน มีเพียงผ้าผืนน้อยที่แขวนไว้ที่เอวเพื่อปกปิดที่ลับเท่านั้น
“บ้าเอ๊ย นี่มันเป็นสถานที่แบบไหนกันแน่?”
เยี่ยเทียนเมื่อเข้าไปแล้วได้แต่มองตาค้าง ความชื่นชอบของพวกคนต่างชาติพวกนี้ถ้าไม่ใช่เรื่องการพนันก็คือเรื่องผู้หญิง คาดว่าแม้แต่การออกทะเลไปตกปลา บนเรือยังต้องมีผู้หญิงหลายคนตามไปรับใช้
“ดีจริงๆ น้องเยี่ย นี่นายเลือกเองนะ นายจะหนีไปไหนไม่ได้แล้ว!”
จู้เหวยเฟิงเห็นเยี่ยเทียนทำท่าจะถอยหลังกลับจึงรีบรั้งแขนไว้ หัวเราะอย่างขบขันว่า “เยี่ยเทียน วันนี้พี่ลงทุนเอง นายไปลงพนันได้เลย พนันได้เท่าไหร่ยกให้นายใส่กระเป๋ากลับบ้าน เสียเท่าไหร่ให้พี่เป็นคนจัดการเอง!”
“พูดจริงหรือ?”
เยี่ยเทียนแม้ว่ายังคงตื่นตาตื่นใจกับภาพตรงหน้า แต่เขาก็ไม่ใช่เด็กหนุ่มที่ใสซื่อไม่เคยผจญโลกมาก่อน อีกทั้งยังผ่านการฝึกจิตมาอย่างดี เรื่องแบบนี้เขาอดกลั้นไว้ได้
“แน่นอนสิ ใช่แล้ว นายเล่นเป็นไหม? อย่าตั้งใจเล่นให้ฉันเสียเงินล่ะ!” จู้เหวยเฟิงเตือนเยี่ยเทียนด้วยสายตา เงินของเขาไม่ใช่ว่าลมพัดฟ้าผ่าหอบมาให้
“เล่นพนันผมเล่นเป็น แต่ที่สำคัญคือนายจ่ายไหวหรือเปล่า?” เยี่ยเทียนยิ้มแล้วชี้ไปที่มุมแลกเหรียญตรงข้างประตูทางเข้า
“โอ้โห อย่างน้อยต้องหนึ่งแสนดอลลาร์?”
จู้เหวยเฟิงเงยหน้ามอง สีหน้าหมองลงทันที แม้ว่าเขาจะมีทรัพย์สินหลายพันล้านหยวน แต่ไม่มีสิทธิ์จะมาเล่นพนันที่นี่
ไม่ว่าจะเล่นพนันชนิดไหน ต้องมีเงินแสนดอลลาร์เป็นค่าเริ่มต้น จะแพ้หรือชนะเงินทีละหลานแสนได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งนั่นเป็นเงินครึ่งหนึ่งของทรัพย์สมบัติทั้งหมดของตระกูลเขา
“ไปเถอะ เราไปสูดอากาศข้างนอกกัน!” เยี่ยเทียนหัวเราะใหญ่ ดึงแขนจู้เหวยเฟิงออกไปด้านนอก
“ทั้งสองท่าน ทำไมไม่ลองเล่นสักครั้งล่ะครับ?” เพิ่งเดินพ้นประตูออกมา ชายผิวขาวคนหนึ่งเดินเข้ามาทัก เป็นใครไปไม่ได้นอกจากรูดอล์ฟผู้ที่วางแผนจะจัดการต่งเซิงไห่นั่นเอง
สำหรับเจ้าของบ่อนการพนันใหญ่ในลาสเวกัส จู้เหวยเฟิงไม่ได้รู้สึกดีด้วย ยิ่งเห็นว่าพรรคพวกของฝ่ายตรงข้ามเข้ามาขวางประตูไว้ก็ขมวดคิ้วถามว่า “พวกเราไม่สนใจ ขอทางหน่อย!”
“มีสำนวนของคนจีนอยู่ประโยคหนึ่งที่ว่า อย่าปฏิเสธคนที่อยู่ทางไกลไม่ใช่เหรอ”
รูดอล์ฟกระหยิ่มยิ้มย่อง “คุณคือคุณจู้ที่มาจากประเทศจีนใช่ไหม? ครั้งนี้ผมมาหาคุณโดยเฉพาะ!”
“หาผม? มีธุระอะไร?” จู้เหวยเฟิงมองรูดอล์ฟอย่างหวาดระแวง เขากับเจ้าฝรั่งผีนี่ไม่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน
ตอนที่ 621 การท้าปละลอง (3)
โดย
Ink Stone_Fantasy
“อ๋อ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องคือคุณผู้ชายทั้งสองคนนี้ตั้งใจจะมาหาคุณ….”
รูดอล์ฟยักไหล่แล้ว หลีกทางให้ชายสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา “ผมแค่จะแนะนำให้พวกคุณรู้จักกันไว้!”
ความสูงของรูดอล์ฟอยู่ที่ 190 กว่าเซนติเมตร ไหล่กว้างเอวกลม เมื่อยืนขวางทางอยู่รู้สึกราวกับมีกำแพงหนาๆปิดกั้นทางไว้ ส่วนชายสองคนที่ยืนอยู่เบื้องหลังเขารูปร่างเตี้ยสันทัด จนแม้แต่เยี่ยเทียนยังไม่ทันสังเกตเห็นพวกเขา
“พวกคุณเป็นใคร? มาหาผมมีธุระอะไร?” จู้เหวยเฟิงมองชายทั้งสองแล้วอดไม่ได้ที่จะงงงวย
แม้รูปร่างจะไม่ต่างกันมาก แต่คนทั้งสองหน้าตาแตกต่างกันมาก คนหนึ่งมีใบหน้าแบบคนเอเชีย ถ้าจู้เหวยเฟิงเดาไม่ผิดน่าจะเป็นคนญี่ปุ่น
ส่วนอีกคนหนึ่งมีใบหน้าที่เป็นจุดเด่นผสมผสานของคนเอเชียและยุโรป จู้เหวยเฟิงไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนชาติไหน
“คุณจู้ คนนี้มาจากญี่ปุ่นชื่อว่าคุณฮิราโนะ อิจิโร่ คนนั้นเป็นคนอินเดียชื่อฟรุส ส่วนเรื่องที่พวกเขามีธุระอะไรกับคุณนั้นผมก็ไม่ทราบแล้ว!”
รูดอล์ฟผายมือออก ให้คนทั้งสองแนะนำตัวต่อจู้เหวยเฟิง แต่ในสายตาของเยี่ยเทียน เขามองเห็นรอยยิ้มประสงค์ร้ายที่มีสิ่งแอบแฝง
“พวกคุณหาผมมีธุระอะไร?” จู้เหวยเฟิงก้าวออกไปด้านหน้า ใบหน้าเรียบเฉย เขารู้สึกได้ว่าทั้งสองคนนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์มาดี
“ผมเป็นตัวแทนของกลุ่มมวยปล้ำในญี่ปุ่น ขอท้าประลองกับกลุ่มมวยปล้ำของประเทศจีน หวังว่าคุณจู้จะมีจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ โปรดยอมรับคำท้าของกระผมด้วยครับ!”
ชายชาวญี่ปุ่นที่ชื่อฮิราโนะ อิจิโร่หยิบเอาเอกสารฉบับหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ยื่นด้วยมือทั้งสองให้จู้เหวยเฟิง แล้วเอ่ยต่อเป็นประโยคภาษาอังกฤษที่ถึงแม้จะฟังดูแปลกๆ แต่จู้เหวยเฟิงก็เข้าใจความหมายดี
“ท้าประลอง? พวกเขาเป็นใคร?”
ไม่เพียงแต่จู้เหวยเฟิง แม้แต่เยี่ยเทียนยังเข้าใจความหมายของฮิราโนะ อิจิโร่ พวกนักพนันคนอื่นที่อยู่ในละแวกเมื่อได้ยินก็พากันกรูมามุงดู
การท้าประลองในวงการมวยใต้ดินต่างพัวพันไปถึงผลประโยชน์ ทุกการท้าประลองเป็นตัวบ่งบอกว่าฐานอำนาจจะรุ่งเรืองขึ้นหรือดับสูญลง ทั้งยังเป็นการแสดงถึงทิศทางของมวยใต้ดินระดับสากลด้วย
“คนญี่ปุ่นท้าประลองกับคนจีน พวกเขาต่างเป็นศัตรูกันมาช้านาน!”
รูดอล์ฟเอ่ยเพราะจงใจจะให้ข่าวลือแพร่สะพัดอย่างรวดเร็ว ผู้ที่มุงดูอยู่โดยรอบเข้าใจเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้น
เจ้าของค่ายมวยปล้ำล้วนแล้วแต่เป็นมาเฟียเก่ามาก่อน ไม่มีคนดีสักคน ดูจากรอยยิ้มกระหยิ่มได้ใจ ยิ่งพูดยิ่งเป็นการยั่วยุทั้งสองฝ่าย
“ขออภัยด้วย ผมมาครั้งนี้เพียงเพื่อชมการแข่งขันเท่านั้น ไม่สามารถรับคำท้าประลองได้ อีกอย่างผมไม่ได้พานักมวยของผมมาด้วย พวกคุณคงต้องผิดหวังแล้ว!”
ได้ยินคำของฮิราโนะ อิจิโร่กับเสียงวิจารณ์จากรอบข้างแล้ว จู้เหวยเฟิงตีหน้าขรึมลงทันที เกือบจะต้องเอ่ยทวนประโยคเมื่อครู่ออกมาอีกครั้ง
อับอายขายหน้า ตอนนี้จู้เหวยเฟิงรู้สึกได้เพียงแต่ความอับอายขายหน้า!
การถูกท้าประลอง แล้วยังเป็นคนญี่ปุ่นที่เป็นศัตรูกันมานาน จู้เหวยเฟิงอกแทบระเบิด เกือบรับคำท้าของคนญี่ปุ่น ลงสนามประลองด้วยตัวเอง
แต่ความโกรธในใจของจู้เหวยเฟิงถูกกดข่มลงไป เขารู้ดีว่าความสามารถของเขา ในค่ายมวยนั้นเทียบกับใครก็ไม่ได้ จะต้องโดนคนอื่นตีตายแน่ พื้นที่ของตัวเองก็ต้องเสียไป
“ไม่เป็นไร เราสามารถประลองกันอีกทีหลังจากงานประชุมนี้จบลง เวลาและสถานที่ให้คุณจู้เป็นผู้กำหนด ขอเพียงแค่ลงนามในใบสัญญานี้ก็พอแล้ว!”
ฮิราโนะ อิจิโร่เงยหน้าขึ้น ใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม แต่คำพูดกดดันบังคับขู่เข็ญ ราวกับกำลังใช้มือตบหน้าจู้เหวยเฟิงไม่หยุดหย่อน
ครั้งนี้จู้เหวยเฟิงหน้าเปลี่ยนสี ข้ออ้างของเขาถูกฝ่ายตรงข้ามตีตกไป ถ้ายังไม่รับคำท้าอีก ก็เท่ากับยอมแพ้ให้แก่คนญี่ปุ่น
จู้เหวยเฟิงรู้ดีว่านักมวยใต้ดินในสังกัดของเขาแต่ละคนเทียบไม่ได้กับนักมวยใต้ดินระดับสากลเลย ถ้าหากรับคำท้า โอกาสชนะแทบเป็นไปไม่ได้
“ประธานจู้ ถึงจะยอมแพ้ไป พวกเขาจะริบเอาพื้นที่ของคุณไปได้หรือ?”
ตอนที่จู้เหวยเฟิงไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไร เยี่ยเทียนพูดแทรกขึ้นกะทันหัน ถามต่อว่า “ที่นั่นเป็นพื้นที่ของคนจีนเรา พวกเขาจะทำอะไรได้?”
เยี่ยเทียนถึงจะไม่ใช่คนภายในพื้นที่ และไม่ใช่คนทำการค้าแต่เขาเข้าใจดีว่าการทำกิจธุระกับคนจีนนั้นต้องอาศัยความสัมพันธ์และเส้นสาย
ดังนั้นถึงจู้เหวยเฟิงเป็นฝ่ายแพ้ เยี่ยเทียนก็เชื่อว่าฮิราโนะ อิจิโร่ไม่มีทางแทรกซึมอิทธิพลเข้าไปในถิ่นของประเทศจีนได้ แม้จะได้ครอบครองพื้นที่แต่ก็เหมือนไม่ได้อะไรเลย?
จู้เหวยเฟิงยิ้มแห้ง “เยี่ยเทียน นายไม่เข้าใจ ถ้าหากแพ้ ฉันก็จะไม่ได้ครอบครองค่ายมวยปล้ำในประเทศจีนอีก แม้แต่พวกลูกค้าของฉันก็ต้องถ่ายโอนไปด้วย เรื่องของพื้นที่นั่น ไม่ได้หมายถึงพื้นที่ในประเทศอย่างเดียว…”
สิ่งที่สำคัญที่สุดของมวยปล้ำคือเงินทุน หรือก็คือพวกลูกค้าที่เข้าลงพนันแข่งมวยนั่นเอง
หากเขาเกิดแพ้ ฮิราโนะ อิจิโร่จะได้ครอบครองเงินทุนส่วนของลูกค้าเหล่านั้น เขาสามารถจัดการประลองสนามมวยปล้ำขึ้นได้อีกในน่านน้ำสากลที่ไม่ห่างจากประเทศจีนมาก
อีกทั้งความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยลงรอยกันของสองประเทศ ฮิราโนะ อิจิโร่สามารถใช้เป็นข้ออ้างในการแย่งชิงตลาดมวยใต้ดินไปได้อย่างรวดเร็ว
รอให้คนอื่นยอมรับผลการแข่งขันแบบนั้นแล้ว เขาถึงจะถอยไปอยู่เบื้องหลัง แล้วหาคนจีนเข้ามาดูแลแทน เพียงแต่คอยรับเงินผลประโยชน์อยู่อย่างเดียว
จู้เหวยเฟิงรู้กฎของวงการมวยปล้ำดี เขาไม่อยากตกปากรับคำท้าของฮิราโนะ อิจิโร่ง่ายเกินไป เพราะเกรงจะพลาดท่าเหมือนกับต่งเซิงไห่ ที่ถูกคนอื่นวางกับดักให้ตกหลุมพราง
เยี่ยเทียนกวาดสายตามองดูเจ้าคนอินเดียที่ยืนอยู่ข้างฮิราโนะ อิจิโร่นั่น ในมือของเขาก็ถือเอกสารเอาไว้ฉบับหนึ่งเหมือนกัน เยี่ยเทียนจึงถามอย่างแปลกใจว่า “ใช่แล้ว แล้วคุณต้องการอะไร?”
“ผมมาจากอินเดีย ชื่อฟรุส ผมอยากจะเสนอคำท้าต่อคุณจู้ด้วยเหมือนกัน”
ท่าทางของเจ้าคนอินเดียดูหยิ่งผยองกว่าฮิราโนะหลายเท่า เขาสะบัดใบสัญญาในมือไปมา พลางเอ่ยว่า “ผมเป็นเจ้าของสังกัดของค่ายมวยปล้ำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ถ้าหากคุณจู้ยินยอม ผมจะใช้ที่นั่นเป็นเดิมพันเพื่อตัดสินการแข่งขันประลองในครั้งนี้!”
คำพูดของฟรุสทำให้ทุกคนอึ้งตะลึง ไม่ใช่เพราะฟรุสต้องการจะท้าประลองกับจู้เหวยเฟิง แต่เป็นเพราะไม่เชื่อว่าฟรุสจะยอมใช้ค่ายมวยในเมืองไทยเป็นเดิมพัน
ถ้าจะบอกว่ามวยใต้ดินในเอเชียนั้นรุ่งเรืองเฟื่องฟู ประเทศไทยเป็นอีกสถานที่หนึ่งมีชื่อเสียงด้านนี้ แม้คนไทยจะนับถือศาสนาพุทธเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับเด็กหนุ่มที่ยากจนนั้น การต่อยมวยถือเป็นความฝันสูงสุดอย่างหนึ่ง
ประเทศไทยเป็นบ้านพี่เมืองน้องกับจีน กีฬามวยไทยได้รับความนิยมอย่างสูง นอกจากการใช้หมัดแล้ว ยังใช้ศอก เท้า เข่า เข้าต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม
เมื่อมีพื้นฐานมวยดีแล้ว การพนันจึงตามมา มีคนไทยมากมายที่เข้าร่วมในการประลองมวยใต้ดิน เพื่อหาเงินทุนสนับสนุนการต่อยมวยของตัวเองต่อไป
นักมวยที่โดดเด่นจะมีแฟนคลับคอยติดตาม เหล่าแฟนคลับมีทั้งเงิน ทั้งอำนาจและมีหน้ามีตา
ตั้งแต่ระดับลูกชายนายกรัฐมนตรีไปจนถึงลูกชาวนา ต่างได้ตั้งความหวังในตำแหน่งราชาแห่งมวยไทยทั้งนั้น สำหรับลูกชาวนาพวกเขาอยากจะอาศัยมวยไทยเป็นเส้นทางให้ครอบครัวหลุดพ้นจากความยากจน นักมวยฝีมือดีคนไทยส่วนมากมักจะมาจากจังหวัดในถิ่นทุรกันดารหรือไม่ก็ชุมชนยอดดอยทางภาคเหนือ
ดังนั้นในประเทศไทย ใครๆก็อยากจะลองเดิมพันทั้งนั้น โดยเฉพาะวงการมวยใต้ดิน ทั้งคนยุโรปอเมริการต่างหมายปอง
แต่ฟรุสมีความสัมพันธ์อันดีกับกษัตริย์ของประเทศไทย พวกเขาไม่มีทางสอดมือเข้าไปได้ หลังจากฟังข้อเสนอของ ฟรุสแล้ว หลายๆคนต่างเกิดความโลภไปตามๆกัน
“ฟรุส คุณกล้าเอาค่ายมวยใต้ดินเมืองไทยมาเป็นเดิมพันเชียวหรือ ไม่งั้น ผมใช้หุ้นสามเปอร์เซ็นต์ของโรงแรมลาสเวกัสลงด้วย ลงสู้กับคุณสักตั้งเป็นไง?”
ในสายตาของคนพวกนี้ ไม่มีใครเป็นมิตรที่แท้จริง พวกเขาต่างอาศัยผลซึ่งกันและกัน หลังจากหายตะลึงแล้ว รูดอล์ฟรีบเสนอคำท้าต่อฟรุสทันที
“รูดอล์ฟตามกฎแล้ว การแข่งขันในแต่ละปีสามารถท้าประลองได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น คุณได้เซ็นสัญญากับต่งเซิงไห่แห่งรัสเซียไปแล้วไม่ใช่หรือ?”
จู่ๆก็มีชายวัยกลางคนสวมแว่นตากรอบทองดูเป็นคนแก่คนหนึ่งก้าวออกมาเอ่ยว่า “ฟรุส ผมจะนำค่ายมวยในอังกฤษพนันกับคุณ นอกจากนี้ยังมีม้าแข่งที่ได้รางวัลชนะเลิศระดับโลกในปีที่แล้วอีกหนึ่งตัวเป็นไง?
ฟรุสส่ายหัวหัวเราะ “คัลเดคอต เงื่อนไขของคุณเยี่ยมยอดมาก แต่ถ้าคุณจู้ยอมรับคำท้าของผม คุณจะไม่มีทางได้เซ็นสัญญากับผม!”
ฟรุสดูราวกับหวาดระแวงคนอย่างคัลเดคอต จึงยังไม่ตอบรับคำท้าของเขาเสียทีเดียว
“เจ้าคัลเดคอตนั่นเป็นใครกันหรือ?” เยี่ยเทียนกระซิบถามจู้เหวยเฟิง ตอนนี้คนในที่นั้นต่างให้ความสนใจไปที่ฟรุสและชาววัยกลางคนๆนั้น
“เขาเป็นเจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ในอังกฤษ ในมือมีทีมฟุตบอลที่มีนักเตะชื่อดังอยู่หลายคน ส่วนม้าตัวที่พูดถึงนั้นราคาประมาณสามร้อยล้านดอลลาร์ขึ้นไป!”
สำหรับจู้เหวยเฟิงแล้ว คัลเดคอตกับสถานภาพของเขาในวงการมวยใต้ดินนั้น เปรียบเทียบได้กับนักกีฬาบาสเกตบอลมือใหม่ที่เพิ่งได้เข้าร่วม NBA กับไมเคิล จอร์แดน ก่อนที่จะเข้าร่วมงานประชุมครั้งนี้ ในสายตาของจู้เหวยเฟิง คัลเดคอตเป็นแค่บุคคลในตำนาน
“คุณจู้ ผมขอยื่นคำท้าประลองกับคุณก่อน หวังว่าคุณจะไม่ปฏิเสธ!”
เมื่อเห็นว่าตัวเองกลายเป็นตัวประกอบไป ฮิราโนะ อิจิโร่แสดงความไม่พอใจ เขาตะโกนเพื่อเรียกร้องความสนใจจากทุกคนว่า “จีนกับญี่ปุ่นมีบุญคุณความแค้นต่อกันมานาน ผมหวังว่าการประลองครั้งนี้จะเป็นตัวตัดสินว่าใครที่ยิ่งใหญ่กว่ากัน!”
“คุณว่าอะไรนะ?”
จู้เหวยเฟิงได้ยินคำประกาศของฮิราโนะแล้วก็ตาตั้งขึ้นมา การท้าประลองแบบนี้จะเป็นการต่อสู้ระดับประเทศไปได้อย่างไร แม้รู้ว่าเขากำลังยั่วยุตน แต่จู้เหวยเฟิงก็ทนไม่ไหวแล้ว
“ใจเย็นก่อน!”
ตอนที่จู้เหวยเฟิงกำลังจะตอบตกลงนั้น เยี่ยเทียนตบที่บ่าของเขาแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ให้ฉันจัดการเอง!”
แม้ว่าตอนแรกจะทำท่าไม่อยากสนใจในเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตนแล้ว แต่ด้วยคำพูดเยาะเย้ยของฮิราโนะ ก็ทำให้เยี่ยเทียนทนไม่ได้เหมือนกัน
“เยี่ยเทียน ฉันขอร้องให้ครั้งนี้นายออกโรงแทน ขอแค่ชนะ กิจการทรัพย์สินของฉันยกให้นายทั้งหมดเลย!” ได้ยินสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดแล้วจู้เหวยเฟิงถึงกับตาแดง
“ผมจะเอาทรัพย์สินของคุณไปทำอะไร?” เยี่ยเทียนหัวเราะ ประกายตาฉายแววเยือกเย็น
ตอนที่ 622 สัญญาไตรภาคี
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ถ้าฉันถูกดูหมิ่นคนเดียวไม่เป็นไร แต่คนจีนทั้งประเทศจะถูกเหยียดหยามไม่ได้!”
จู้เหวยเฟิงตาแดงขึ้นมาแล้วพูดว่า “เยี่ยเทียน ถ้านายไม่ช่วยฉัน ฉันก็จะยอมลงสนามโดยเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่ให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย!”
จู้เหวยเฟิงไม่ได้จะข่มขู่เยี่ยเทียน เขากำลังพูดความจริงจากใจ
จู้เหวยเฟิงได้ฟังเรื่องราวมากมายตั้งแต่เรื่องของเหล่าบรรพชนผู้ต่อสู้เพื่อปกป้องประเทศจากคนญี่ปุ่น และเกลียดคนญี่ปุ่นเข้ากระดูกดำ เขาจึงอยากจะสู้ตายบ้าง
“ประธานจู้ อย่าเพิ่งวู่วาม วางใจเถอะ คนญี่ปุ่นน่ะผมจัดการมามากแล้ว ไม่รังเกียจถ้าจะเพิ่มอีกคนสองคน”
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของเยี่ยเทียนช่างดูเยือกเย็นผิดปกติ เขาได้รับการปลูกฝังมาจากอาจารย์หลี่ซั่นหยวน จึงไม่ถูกชะตากับคนญี่ปุ่นนัก ไม่อย่างนั้นตอนที่อยู่พม่าคงไม่ฆ่าคนญี่ปุ่นทิ้งไปมากมาย
ปลอบโยนจู้เหวยเฟิงแล้ว เยี่ยเทียนก้าวออกไปด้านหน้า พูดว่า “ฮิราโนะ อิจิโร่ ผมอยากจะรับคำท้าของคุณ แต่คุณฟรุสจากอินเดียก็ยื่นคำท้าต่อพวกผมเหมือนกัน ทำให้ผมเลือกอย่างลำบากใจ!”
“เอ๋? ดีนี่ ทำไมฉันคิดไม่ได้นะ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนกำลังพูดอยู่นั้น จู้เหวยเฟิงก็คิดออก แอบตำหนิตัวเองในใจ ในเมื่อทั้งสองต้องการจะประลองกับเขา ทำไมไม่ให้พวกเขาสู้กันเองก่อน!
“คุณเป็นใคร?”
ฮิราโนะ อิจิโร่มองดูเยี่ยเทียน เมื่อครู่เขายั่วยุจู้เหวยเฟิงให้โมโหได้แล้ว กลับมีชายหนุ่มอีกคนออกมาพลิกสถานการณ์เสียได้
เยี่ยเทียนตอบว่า “ผมแซ่เยี่ย เรียกผมว่าเยี่ยเทียนก็ได้ คำว่าเยี่ยที่แปลว่าใบไม้ เทียนที่แปลว่าท้องฟ้า คุณเคยได้ยินชื่อของผมไหม?”
“คุณคือเยี่ยเทียน!”
ฮิราโนะได้ยินก็ตกตะลึง เพื่อการประลองครั้งนี้เขาเตรียมตัวมาอย่างดี แน่นอนว่าเขาเคยได้ยินชื่อของเยี่ยเทียนมาก่อน
แม้ว่าครั้งก่อนที่เยี่ยเทียนประลองกับคาโต้ ทาคุมินั้นข่าวไม่ได้แพร่กระจายออกไป แต่ฮิราโนะสืบมา ได้ความว่าคนที่ตัดแขนขาของคาโต้คือเจ้าหนุ่มที่ชื่อเยี่ยเทียน
“คุณสามารถลงเป็นตัวแทนกลุ่มมวยปล้ำแห่งประเทศจีนได้หรือ?”
ความจริงแล้วฮิราโนะมีความหวาดระแวงในตัวเยี่ยเทียนอยู่มาก เพราะเรื่องคาโต้ครั้งนั้นถึง คาโต้ ทาคุมิจะไม่ใช่นักมวยชั้นสูงของญี่ปุ่น แต่วิชาดาบของเขาไม่มีอาวุธของผู้ใดเทียบเท่าได้
เทพแห่งนักดาบอย่างเขากลับถูกเยี่ยเทียนตัดแขนตัดขา แสดงถึงความเก่งกาจของเยี่ยเทียน อย่างน้อยก็วิชาดาบของเยี่ยเทียนคาโต้ ทาคุมิสู้ไม่ได้
“คุณเยี่ยแน่นอนว่าจะต้องลงเป็นตัวแทนกลุ่มนักมวยแห่งชาติจีน เขามีหุ้นอยู่ในวงการมวยใต้ดินจีนอยู่สามสิบเปอร์เซ็นต์!”
จู้เหวยเฟิงก้าวออกมาตอบกลับฮิราโนะ เพื่อให้เยี่ยเทียนต่อสู้อย่างสมศักดิ์ศรี เขาถึงกับเอ่ยปากมอบหุ้นของตัวเองให้กับเยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนมองดูจู้เหวยเฟิงแล้วส่ายหัวเล็กน้อย “คุณฮิราโนะ ในเมื่อคุณกับฟรุสสนใจในค่ายมวยใต้ดินของจีน ผมคิดว่า พวกเราควรจะเซ็นสัญญาไตรภาคีเลยดีไหม?”
“สัญญาไตรภาคี เซ็นยังไง?”
ข้อเสนอของเยี่ยเทียนทำให้ทั้งฮิราโนะและฟรุสงงงัน ไม่เข้าใจความหมายของเยี่ยเทียน
“ง่ายมาก คุณฮิราโนะสามารถสู้กับคุณฟรุสก่อน ฝ่ายที่ชนะค่อยมาเซ็นสัญญากับผม อีกทั้งของเดิมพันในครั้งแรกทั้งหมดจะมีผลในการแข่งขันครั้งที่สองด้วย!”
สีหน้าของเยี่ยเทียนแม้จะมีรอยยิ้ม แต่ในใจกำลังโกรธอยู่ ตอนนี้เป็นยุคศตวรรษที่ 21เข้าไปแล้ว คนต่างชาติยังกล้ามองประเทศจีนเป็นชิ้นเนื้อที่อยากจะแย่งรุมทิ้งกันอยู่
ไม่ต้องพูดถึงคนญี่ปุ่นซึ่งมีความหยิ่งผยองมาโดยตลอด แม้แต่คนอินเดียยังกล้าที่จะท้าทายกับคนจีน เยี่ยเทียนพยายามที่จะทำลายความตั้งใจของพวกเขา
“เราจะสู้กันก่อนแล้วค่อยสู้กับคุณ?”
ฟรุสเข้าใจอย่างรวดเร็วว่าเยี่ยเทียนหมายถึงอะไรและส่ายหัวไปมาตอบว่า “ไม่ได้ มันไม่ยุติธรรมเกินไป เดิมพันที่เราได้รับหลังจากการต่อสู้นั้นมากกว่ามูลค่าของมวยใต้ดินของจีนเสียอีก!”
ฟรุสเป็นนักธุรกิจและเขาสามารถยอมรับการแข่งขันกับคนญี่ปุ่นก่อน แต่ถ้าเขาชนะก็ไม่คุ้มที่จะใช้มวยใต้ดินของญี่ปุ่นและไทยไปกับการเดิมพันกับของจีน
“ คุณฮิราโนะ คุณว่าอย่างไร?” เยี่ยเทียนไม่ตอบคำถามของฟรุส แต่มองไปที่ฮิราโนะอิจิโร่
เห็นได้ชัดว่าฮิราโนะ อิจิโร่ไม่ต้องการเผชิญหน้ากับฟรุสจึงส่ายหัวพร้อมกับพูดว่า “คุณฟรุสพูดถูก มันไม่ยุติธรรมเลย!”
นักมวยใต้ดินของไทยนั้นขึ้นชื่อเรื่องความเก่งกาจในระดับสากล แม้ว่าฮิราโนะ อิจิโร่จะเชื่อมั่นในนักสู้ของเขามาก แต่เขาก็ไม่มีความมั่นใจว่าจะเอาชนะฟรุสได้
“การแข่งขันไม่สมน้ำสมเนื้อ?”
เยี่ยเทียนหัวเราะลอยๆแล้วพูดว่า “ผมเข้าใจว่าถ้าเดิมพันเท่ากันคุณจะยอมรับสัญญาไตรภาคีนี้ใช่ไหม?”
ฟรุสแตะมือบนกรอบแว่นสีทองพร้อมกับนัยน์ตาเจ้าเล่ห์ตอบกลับว่า “แน่นอนว่ามวยใต้ดินต้องการการส่งเสริมที่มากขึ้น ตราบใดที่คุณสามารถเดิมพันได้ ผมคิดว่ายังมีอีกหลายคนจะเต็มใจที่จะเดิมพันกับคุณ!”
“แล้วคุณล่ะ? คุณฮิราโนะ คุณไม่ต้องการใช้การประลองครั้งนี้เพื่อชี้แพ้ชนะระหว่างจีนกับญี่ปุ่นหรือ” เยี่ยเทียนมองไปที่ ฮิราโนะอิจิโร่แล้วเริ่มเอ่ยคำยั่วยุคืนฝ่ายตรงข้าม
สายตาทุกคู่จดจ้องไปที่เขาฮิราโนะ อิจิโร่ เขาจึงกัดฟันพูด “ผมเห็นด้วยเหมือนกัน แต่นักมวยในการต่อสู้สามารถต่อสู้ด้วยมือเปล่าเท่านั้น ห้ามใช้อาวุธใดๆ!”
ประสบการณ์อันน่าสังเวชของคาโต้ ทาคุมิทำให้ฮิราโนะ อิจิโร่ระวังเยี่ยเทียนเป็นอย่างมาก เงื่อนไขที่เขาเสนอนั้นมุ่งเป้าไปที่เยี่ยเทียนผู้เดียว
ไม่ว่าจะเป็นวิชาเคนโด้หรือวิชาดาบต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบหรือยี่สิบปีในการฝึกฝนอย่างหนักถึงจะได้ถึงระดับคาโต้ ทาคุมิ
ต่อให้เยี่ยเทียนเทียนเป็นอัจฉริยะ แต่ฮิราโนะ อิจิโร่คิดว่าฝีมือหมัดมวยของเยี่ยเทียนคงไม่ดีเท่าวิชาดาบ ในสายตาของฮิราโนะ อิจิโร่เยี่ยเทียนที่ไม่มีอาวุธก็เหมือนกับเสือที่ไม่มีเขี้ยวเล็บ
“ ใช้อาวุธไม่ได้หรือ?” เยี่ยเทียนตะลึงเล็กน้อยเขาไม่คาดคิดว่าฮิราโนะ อิจิโร่จะตั้งคำถามนี้ เขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะใช้อาวุธในการต่อสู้อยู่แล้ว
เมื่อเห็นเยี่ยเทียนลังเล ฮิราโนะคิดว่าเขาจี้ถูกจุดสำคัญของอีกฝ่าย จึงพยักหน้าและพูดว่า “ใช่แล้ว คุณไม่สามารถใช้อาวุธต่อสู้ได้ ถ้าคุณเห็นด้วยผมจะตกลงที่จะเซ็นสัญญาไตรภาคี!”
“ได้ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องใช้อาวุธ”
เยี่ยเทียนพูดอย่างเฉยเมย ทำให้ฮิราโนะ อิจิโร่งุนงงเล็กน้อย “แล้ว … เดิมพันของคุณเล่า เดิมพันของคุณไม่เทียบเท่ากับเราเลย!”
ฮิราโนะ อิจิโร่ไม่กลัวนักมวยใต้ดินของจีน แต่เขามีความรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อต้องเผชิญหน้ากับฟรุส เขาไม่อยากยอมรับเงื่อนไขของสัญญาไตรภาคี ถึงได้เรียกร้องตามคำขอ แต่คิดไม่ถึงว่าเยี่ยเทียนจะรับปากอย่างว่าง่าย
“ประธานจู้ ผมลงแรงเพื่อคุณ ส่วนเรื่องเงินต้องอาศัยคุณแล้วล่ะ?”
เยี่ยเทียนหันหน้าไปมองจู้เหวยเฟิง หลังจากเสร็จสิ้นการตกแต่งบ้านพักฮวงจุ้ยในฮ่องกงแล้ว เยี่ยเทียนไม่เหลือเงินในมือมากนัก รู้หรือไม่ว่าการเดิมพัน 30-50 ล้านดอลลาร์ถือเป็นเรื่องตลกที่นี่
“ไม่มีปัญหา เยี่ยเทียน เงินนี่…ฉันออกเอง!”
จู้เหวยเฟิงพยักหน้า หลังจากคำนวณในใจแล้วพูดว่า “นอกจากเวทีมวยใต้ดินของจีนแล้ว ผมวางเดิมพันเพิ่มอีก 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไม่ทราบว่าพวกคุณสองคนพอใจหรือไม่?”
ประเทศไทยและญี่ปุ่นต่างเป็นสถานที่ที่มวยปล้ำได้รับความนิยมมากที่สุดในเอเชีย กำไรสุทธิในแต่ละปีอยู่ที่ประมาณ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
จู้เหวยเฟิงจ่ายเงินเพิ่ม 800 ล้านนั้นเทียบเท่ากับรายได้ของทั้งสองแห่งเป็นเวลาสองปี นี่เป็นมาตรฐานทั่วไปสำหรับการประเมินมูลค่าในโลกมวยใต้ดิน
ในความเป็นจริงจู้เหวยเฟิงไม่มีเงินมากขนาดนั้น แต่เขามีรากฐานที่มั่นคงในประเทศและเขายังสามารถจัดหาเงินได้ด้วยความสัมพันธ์บางอย่าง แต่เพื่อศักดิ์ศรีแล้วจู้เหวยเฟิงยอมสละได้แม้แต่ชีวิตของเขา
“800 ล้านดอลล่าร์หรือ?” ฟรุสหยุดคิดครู่หนึ่งพยักหน้าตอบ “ผมเห็นด้วย ผมต่อสู้กับญี่ปุ่นก่อนแล้วผู้ชนะจึงจะสามารถท้าทายจีนได้!”
ในฐานะเจ้าของที่อยู่เบื้องหลังวงการมวยปล้ำในประเทศไทยและอินเดีย ฟรุสมีภูมิหลังที่ลึกซึ้งหลายคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่านักมวยสามในสิบอันดับแรกของวงการนักมวยใต้ดินล้วนอยู่ในสังกัดของเขา
ดังนั้นฟรุสจึงมั่นใจมากพอที่จะต่อสู้ในทั้งสองนัด แม้ว่านักสู้คนแรกจะพ่ายแพ้ ตราบใดที่เขาสามารถชนะได้เขาก็ยังสามารถส่งนักสู้อีกคนไปแข่งขันกับนักสู้จีนได้
“ แล้วคุณล่ะ? คุณฮิราโนะ อิจิโร่ คุณไม่กล้าหรือ? ถ้าคุณกลัวละก็ คุณแค่บอกว่านักสู้ของญี่ปุ่นนั้นด้อยกว่านักสู้ของจีนเพื่อที่ผมจะได้รับคำท้าของคุณฟรุสได้โดยตรง”
เยี่ยเทียนส่งสายตาเย้ยหยันไปให้ฮิราโนะ คนๆนี้เมื่อครู่ตั้งใจเรียกร้องความสนใจจากคนอื่นจนทุกคนหันมามอง เยี่ยเทียนจะไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆแน่
“เจ้าโง่ ! ญี่ปุ่นมีนักมวยที่ติดอันดับหนึ่งในสิบของโลก!”
ต่อหน้าเจ้าแห่งวงการโลกมวยปล้ำระดับโลก หากฮิราโนะ อิจิโร่แสดงความอ่อนแอ การท้าทายของเขาในวันนี้จะกลายเป็นเรื่องตลกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เขาจึงทำได้เพียงแค่กัดฟันกรอดและจำใจยอมรับมัน
“งั้นก็ดี เรามาเซ็นสัญญากันเถอะ”
เยี่ยเทียนพยักหน้า ไม่ให้โอกาสฮิราโนะ อิจิโร่เปลี่ยนใจ เขาหันไปประกาศต่อฝูงชนว่า “คุณคลีเมตสัน คุณยืนดูอยู่นานแล้ว ไม่ทราบว่าสัญญาไตรภาคีฉบับนี้จะเป็นการฝ่าฝืนกฎหรือไม่?”
ตามหลักแล้ว กลุ่มอำนาจต่างๆที่เข้าร่วมการแข่งขันมวยปล้ำสามารถต่อสู้ได้ปีละครั้งเท่านั้น แต่สัญญาไตรภาคีอยู่นอกเหนือขอบเขต ดังนั้นเยี่ยเทียนจึงต้องขอความเห็นจากคลีเมตสัน
“การจัดงานของเรานั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีกฎตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ตราบใดที่คุณทั้งสามฝ่ายเห็นด้วยผมก็ไม่ขัดข้อง!”
คลีเมตสันยิ้มเหมือนจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์ สำหรับเขายิ่งการต่อสู้ที่ร้อนแรงจะยิ่งดึงดูดค่าตัวของผู้เล่นให้สูงมากขึ้น การต่อสู้ของทั้งสามฝ่ายนี้เชื่อว่าจะทำให้เหล่าบรรดาอภิมหาเศรษฐีลงเดิมพันกันอย่างล้นหลาม
“งั้นดีเลย เชิญคุณคลีเมตสันทำสัญญาได้!” เยี่ยเทียนไม่ยอมให้ฮิราโนะ อิจิโร่มีคำถามใดอีก รีบตัดบทในเรื่องนี้ทันที
แม้ว่าจะไม่มีต้นแบบสำหรับการต่อสู้ด้วยสัญญาไตรภาคี แต่ก็มีการระบุสิ่งเดิมพันตามเงื่อนไขการกำหนดสัญญานั้นอย่างชัดเจน ในเวลาเพียงห้านาทีได้มีพนักงานส่งสัญญาฉบับแก้ไขใหม่มาให้ถึงที่
ตอนที่ 623 ลงนาม
โดย
Ink Stone_Fantasy
เงื่อนไขในข้อตกลงง่ายๆ รอบที่หนึ่ง คนของฮิราโนะ อิจิโร่เจอกับคนของฟรุส เมื่อได้ผู้ชนะ ฝ่ายที่ชนะสามารถขอท้าปะลองกับสนามของจู้เหวยเฟิง ส่วนจู้เหวยเฟิงห้ามปฏิเสธคำท้า
แต่หลังจากตรวจทานข้อตกลงเสร็จ ทั้งฮิราโนะ อิจิโร่และฟรุสต่างก็ขมวดคิ้ว และมองออกว่าในข้อตกลงมีเนื้อหาที่ไม่เหมาะสม
“คุณจู้ แล้วสถานที่กับเวลาปะลองกับฝั่งคุณ วางแผนไว้ยังไง?”
ครั้งนี้ฮิราโนะอิจิโร่พานักมวยมาร่วมการแข่งขันทั้งหมดสามคน ส่วนฟรุสก็มีนักมวยในจำนวนที่เพียงพอ ทั้งสองฝั่งพร้อมแข่งขันทุกเมื่อ
แต่จู้เหวยเฟิงเหมือนไม่ได้พานักมวยมาด้วย มันเลยทำให้พวกเขารู้สึกงุนงงเล็กน้อย ถ้าการแข่งขันจบแล้วจู้เหวยเฟิงไม่ยอมจัดการแข่งขัน งั้นพวกเราก็โดนหลอกน่ะสิ?
“เอ่อ?” จู้เหวยเฟิงมองเยี่ยเทียนทันทีหลังจากฮิราโนะ อิจิโร่พูดแบบนั้น เพราะเรื่องนี้เขาตัดสินใจเองไม่ได้
เยี่ยเทียนหัวเราะแห้ง ๆ และพูดกับฮิราโนะ อิจิโร่ว่า “หลังจากการแข่งขันของทั้งสองฝั่งจบลง เริ่มแข่งขันมวยใต้ดินของพวกเราได้ทุกเมื่อ!”
“ทุกเมื่อ?” คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้ฟรุสอึ้งเล็กน้อย และถามว่า “พวกคุณไม่มีนักมวยขึ้นมาบนเรือ จะเริ่มการแข่งขันได้ยังไง?”
ฟรุส ถือว่าเป็นบุคคลอาวุโสที่ใหญ่ที่สุดในวงการมวยใต้ดิน ฉะนั้นตลาดจีนจึงเป็นตลาดที่เขาอยากได้มานานมาก
เขาสนใจจู้เหวยเฟิงกับเยี่ยเทียนตั้งแต่สองคนนี้ลงเรือ แต่ตอนลงเรือจู้เหวยเฟิงกับเยี่ยเทียนไม่ได้ลงทะเบียนไว้ในนามนักมวย
เยี่ยเทียนมองและพูดกับฟรุสด้วยน้ำเสียงนิ่ง ๆ ว่า “ผมมาร่วมการแข่งขันครับ!”
“คุณจะขึ้นชก?!”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้ฟรุสอึ้งมาก และเริ่มมองเยี่ยเทียนอย่างจริงจัง ผ่านไปครู่นึงก็ถามเยี่ยเทียนต่อว่า “คนหนุ่ม ทุก ๆ ปี อัตราการตายในสนามมวยใต้ดินเป็นเท่าไหร่ รู้มั้ย? ”
“ไม่รู้ครับ!” เยี่ยเทียนตอบด้วยความซื่อและส่ายหัว
“ร้อยละ 98 นั่นหมายความว่า การแข่งขัน100 รอบ มีผู้แพ้เพียง 2 คนเท่านั้นที่รอดชีวิต ถึงแม้จะรอด แต่สองคนนี้ก็อาจกลายเป็นคนพิการ!”
เวลานี้ความสุภาพของฟรุสหายไปจากใบหน้าแล้ว ใบหน้าของเขาแทนที่ด้วยความบ้าคลั่ง เขาอยากเห็นเยี่ยเทียนตกใจกับข้อมูลนี้จนฉี่ราด
“ผู้ชนะย่อมไม่ตาย ผมไม่ใช่ผู้แพ้แน่นอน!”
แต่ฟรุสผิดหวังเร็วมาก หน้าของเยี่ยเทียนไม่มีอารมณ์ใด ๆ แสดงออกมาและยังตอบด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ ราวกับว่าตัวเองชนะแน่นอน
“คนหนุ่มคนนี้มันบ้าไปแล้ว!”
“สมองไม่ปกติจริง ๆ เห็นสนามมวยใต้ดินเป็นสถานที่อะไร?”
“ตัวแค่เนี้ยเหรอ ขึ้นเวทีปุ๊ปก็คงถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ แล้วมั้ง!”
คนที่รู้สึกประหลาดใจไม่ได้มีเพียงฟรุส แม้แต่คนที่มุงดูก็ยังรู้สึกว่าเยี่ยเทียนมั่นใจมากเกินไป
พวกเขาเป็นเจ้าของดูแลสนามวยใต้ดินทั้งนั้นและรู้จักวงการนี้เป็นอย่างดี คนที่กล้าแข่งมวยใต้ดิน ก่อนอื่นจะต้องเป็นคนกล้าและมั่นใจว่าไม่มีใครฆ่าได้
นี่คือพื้นฐานที่นักมวยทุกคนต้องมี ถ้าไม่มี เวลาที่ขึ้นชก อาจจะไม่กล้าลงกับมือคู่ต่อสู้
ในฐานะที่เป็นนักมวยคนนึง ร่างกายต้องแข็งแรง ถังหลงเองก็เป็นผู้ชายที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม
แต่เยี่ยเทียนไม่มีรังสีใด ๆ แผ่ออกมา เนื้อหนังใต้ร่มผ้าก็ไม่มีกล้ามเนื้อโผล่ให้เห็น ถ้าจะบอกว่าเขาเป็นนักศึกษาหรือพนักงานบริษัทก็คงจะเชื่อ แต่ไม่ใช่นักมวยแน่นอน
ฉะนั้นนอกจากฮิราโนะ อิจิโร่กับจู้เหวยเฟิงที่รู้รากเหง้าของเยี่ยเทียนนิดหน่อย คนอื่น ๆ จะคิดว่าสมองของเยี่ยเทียนต้องมีปัญหาแน่ ๆ
“ไอ้หนุ่ม พูดอะไรไว้ต้องรับผิดชอบด้วยนะ จะขึ้นชกมวยใต้ดินจริงเหรอ?“ เมื่อเห็นเยี่ยเทียนไม่สะทกสะท้านกับเสียงรอบข้าง สีหน้าของฟรุสเริ่มซีเรียส
คนที่ไม่หวั่นไหวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นต้องเป็นคนบ้าแน่ ๆ หรืออาจจะเป็นคนที่มีความมั่นใจสูงมาก
รูปร่างหน้าตาและกิริยาของเยี่ยเทียนไม่เหมือนคนบ้าสักนิด งั้นมีความเป็นไปได้อย่างเดียวเท่านั้น เขาเป็นคนที่ซ่อนความเก่งเอาไว้
หลังจากฟรุสพูดเสร็จ คนที่มุงดูอยู่ก็คิดตาม เสียงหัวเราะเริ่มเบาลง สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่เยี่ยเทียน
เยี่ยเทียนพูดต่อด้วยสีหน้าเรียบว่า “ใช่ ถ้าไม่เชื่อ เขียนชื่อผมเอาไว้ด้วยก็ได้นะ”
“โอเค งั้นพวกเราเซ็นข้อตกลงกันตอนนี้เลย!”
ฟรุสเป็นคนอินเดียแต่ไม่เชื่อในศาสนาพุทธ ฉะนั้นเขาไม่มีความคิดเรื่องทำความดีสะสมคุณธรรม มีแต่อยากส่งเยี่ยเทียนขึ้นเวทีเพื่อให้เยี่ยเทียนตาย เพราะถ้าตายตลาดในจีนก็เหมือนได้มาฟรี ๆ
“คุณเยี่ย ผมขอย้ำอีกครั้ง การแข่งขันในครั้งนี้เป็นการต่อสู้มวยปล้ำโดยการใช้มือเปล่า ห้ามใช้อาวุธนะครับ!”
ฮิราโนะ อิจิโร่เป็นคนที่ระมัดระวังมากกว่าฟรุสหน่อย เพราะเขารู้ว่าการใช้อาวุธจะช่วยลดพลังงานลงได้เยอะ แม้ว่าเยี่ยเทียนจะไม่มีจุดเด่นแต่เขาอาจกลายเป็นปรมาจารย์เคนโด้ก็ได้
“ไม่เป็นไรครับคุณฮิราโนะ อิจิโร่ คุณกลัวเหรอครับ?”
เยี่ยเทียนพยักหน้าและทำสีหน้ากวน ๆ ออกมา พูดต่อว่า “ตอนนี้ยังไม่ได้เซ็นข้อตกลง คุณยกเลิกได้นะ ผมแข่งกับคนของฟรุสก็พอ !”
คำพูดประชดประชันของเยี่ยเทียนทำให้ฮิราโนะ อิจิโร่หน้าแดง แต่ก็ข่มความโกรธเอาไว้เพราะคำพูดของเยี่ยเทียนอีกเช่นกัน จึงตอบกลับไปว่า “ตกลง งั้นพวกเรามาลงนามกันตอนนี้เลย!”
แม้ในใจจะรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ฮิราโนะ อิจิโร่เป็นคนที่เด็ดขาด มั่นใจ แน่นอนว่าตลาดของประเทศใหญ่อย่างจีนและไทยต่างหากที่เป็นสาเหตุหลัก
ให้คนแก้ไขข้อตกลงโดยเพิ่มเวลาการแข่งขันและสถานที่เข้าไป หลังจากที่ฟรุสกับฮิราโนะ อิจิโร่ตรวจทานเสร็จ ทั้งสองก็ลงนาม
จู้เหวยเฟิงลงนามเสร็จ ข้อตกลงทั้งสามฉบับถือว่าเสร็จสมบูรณ์ มีทั้งหมดสี่ชุด ทั้งสี่ชุดนี้นอกจากผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งสามเอาไปคนละชุดแล้ว คลีเมตสันเอาไว้อีกหนึ่งชุดในฐานะพยาน
ส่วนเวลาแข่งขันถูกกำหนดไว้เป็นคืนพรุ่งนี้ตอนสามทุ่ม รอบแรกเป็นฮิราโนะ อิจิโร่กับฟรุส ผู้ชนะจะปะลองกับเยี่ยเทียนอีกทีตอนเที่ยงคืน
“ตกลง ทุกท่านครับ ผมจะเข้านอนแล้ว เราเจอกันตอนกลางคืนครับ!”
เมื่อมองเห็นจู้เหวยเฟิงเก็บข้อตกลงแล้ว เยี่ยเทียนร่ำลาทุกคนและเดินออกไป ที่จริงการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ยังไม่กดดันเท่ากับผู้หญิงเปลือยที่อยู่ในห้องนี้
สำหรับท่าทีของเยี่ยเทียน ผู้คนไม่ได้พูดอะไรต่อ เพราะทุกคนที่เที่ยวหาความสำราญบนเรือล้วนเป็นเจ้าของสนามมวยจากที่ต่าง ๆ สำหรับผู้เข้าแข่งขันทุกคนล้วนกำลังเติมพลังและเตรียมพร้อมสำหรับสงครามที่จะมาถึง
หลังจากข้อตกลงร่วมกันลงนามเป็นที่เรียบร้อยจู้เหวยเฟิงไม่มีอารมณ์เล่นกับผู้หญิงแล้วเหมือนกันกัน เพราะก่อนเริ่มการแข่งขัน เดิมพันของเขาจะต้องกลายเป็นจริง ส่วนเงินจำนวน 800 ล้านดอลล่าร์ก็เป็นจำนวนเงินที่ทำให้เขาล้มละลายได้เช่นกัน
“เห้ แค่เข้าร่วมการแข่งขัน การรับรองก็ดีกว่าเมื่อกี้แล้วนะ?”
ตอนที่เยี่ยเทียนกับจู้เหวยเฟิงกลับถึงห้องรับแขก พวกเขาถูกพนักงานพาไปยังโซน A ซึ่งอยู่ชั้นบนสุดของเรือสำราญ ความหรูหราของห้องนี้ยิ่งกว่าโซน C อีก
“ตกลง เอาของวางไว้ตรงนี้แหละ ออกไปเถอะ!”
หลังจากยื่นทิปให้กับพนักงานที่ช่วยยกกระเป๋าเดินทางเสร็จ เขาเดินไปดึงเยี่ยเทียนที่กำลังชมวิวทะเลกลับเข้ามา และพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นกังวลว่า “เยี่ยเทียน นายมีความมั่นใจแค่ไหน? ทำไมเร่งให้ฉันเซ็นขนาดนั้น?”
ข้อตกลงที่อยู่ในกระเป๋า เหมือนภูเขาอันหนักอึ้งกดทับมาที่หัวของจู้เหวยเฟิง ยังไม่พูดถึงเงินเดิมพัน 800 ล้านดอลล่าร์ แค่ความปลอดภัยของเยี่ยเทียนก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะรับได้
แม้ว่าเยี่ยเทียนจะเคยแสดงความสามารถอันยอดเยี่ยมที่สนามมวยในประเทศมาแล้วก็ตาม แต่ที่นี่คือสนามมวยระหว่างประเทศ ความมั่นใจที่มีต่อเยี่ยเทียนในตอนแรกหายไป ตอนนี้กลับกลายเป็นความกังวลมากถึงมากที่สุด
ถ้าหากเยี่ยเทียนแพ้จริง ๆ จู้เหวยเฟิงไม่รู้จะรับความโกรธของตระกูลซ่งได้อย่างไร ส่วนเยี่ยเทียนมาโผล่อยู่บนเรือสำราญควีนอลิซาเบธได้อย่างไร ก็เพราะเขาล่อลวงขึ้นมาน่ะสิ
“คุณนี่ เมื่อครู่ลืมว่าตัวเองเป็นใครจนจะเอาเป็นเอาตายเหลยเหรอ?”
เยี่ยเทียนขำจู้เหวยเฟิง และพูดว่า “คุณชายที่เกิดบนกองเงินกองทองอย่างคุณยังมีใจรักชาติ ผมช่วยคุณรับภาระนี้ไว้แล้วจะเป็นอะไรไปล่ะ!”
พูดตามตรง ท่าทีของจู้เหวยเฟิงทำให้เยี่ยเทียนมองเขาเปลี่ยนไป คุณชายที่พึ่งพาอำนาจของบรรพบุรุษคนนี้ ก็มีข้อดีอยู่บ้างแหละ
“ผมอยู่บนกองเงินกองทอง? ตอนนั้นผมก็ต้องฝ่าฝนฝ่าหนาวมาก่อนนะ!”
คำพูดของเยี่ยเทียนทำให้จู้เหวยเฟิงเกือบทำหน้าไม่ถูก และพูดอย่างจริงจังว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ แพ้พนันฉันยังพอรับได้ แต่ถ้านายเป็นอะไรไป ฉันตายแน่ ๆ !”
“ไม่เป็นไรหรอก ถ้าไม่ชนะ วิธีป้องกันตัวผมก็พอมีบ้างน่า”
เยี่ยเทียนสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของจู้เหวยเฟิง ครุ่นคิดไปสักครู่และพูดว่า “เอาแบบนี้ คุณไปหาเหล่าต่ง และหาข้อมูลทุกอย่างของนักมวยฮิราโนะ อิจิโร่กับนักมวยของฟรุสมาให้หมด ยิ่งละเอียดยิ่งดี!”
เมื่อก่อนเคยมีผู้ยิ่งใหญ่เคยกล่าวไว้ว่า เมื่อวางแผนกลยุทธ์สามารถดูหมิ่นศัตรูได้ แต่เมื่อใดที่ต่อสู่กับศัตรูต้องสนใจศัตรู เยี่ยเทียนไม่ใช่คนเหย่อหยิ่งจองหอง เขาไม่เคยคิดว่าการที่ตัวเองฝึกถึงระดับหลอมปราณสู่จิตได้แล้วจะเก่งที่สุด
“ตกลง ฉันจะไปจัดการให้เดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวกลับมา!”
จู้เหวยเฟิงพยักหน้า เมื่อก่อนเขาเคยทำข่าวกรอง เขาจึงรู้ว่าข้อมูลเหล่านี้สำคัญแค่ไหน หลังจากออกจากห้อง เขาโทรศัพท์ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็เร่งฝีเท้าไปยังห้องต่งเซิงไห่
“เฮ้อ ถ้าศิษย์พี่ใหญ่เห็น ต้องว่าเราสังหารหมู่อีกแล้ว”
เยี่ยเทียนนั่งอยู่ที่ห้องรับแขก มองตัวเองในกระจกและยิ้มอย่างฝืด ๆ โดยไม่ทันตั้งตัว คิ้วที่กระดกขึ้นได้แสดงความอาฆาตสูงสุดออกมาแล้ว
คนที่ฝึกศิลปะต่อสู้ สิ่งที่สำคัญสำหรับพวกเขาคือความเด็ดขาด ถ้าต้องเผชิญเรื่องแบบนี้แล้วต่อต้านเจตจำนงของใจละก็ ตลอดชีวิตของเขา ก็คงยากที่จะพัฒนาด้านจิตใจขึ้นสูงได้
ตอนที่ 624 ใจที่อยากชนะ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ท่านเยี่ย ทำไมถึงบ้าขนาดนี้? ฮิราโนะ อิจิโร่กับฟรุสไม่ใช่คนที่ควรจะยุ่งด้วยเลยนะ! ”
ต่งเซิงไห่ที่เดินตามหลังจู้เหวยเฟิงมา พอเข้ามาถึงห้องเขาไม่ทักทายตามมารยาทแต่เริ่มกล่าวโทษเยี่ยเทียน เพราะเขาอยู่ในวงการมวยใต้ดินมา 20 กว่าปี เขารู้ดีว่าการแข่งขันแบบนี้มันโหดร้ายและนองเลือดแค่ไหน
ต้องเข้าใจว่าการแข่งขันมวยใต้ดิน คนที่มีกำลังภายในสูงไม่ได้แปลว่าจะชนะเสมอไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือจิตใจ จิตใจที่ป่าเถื่อนดุจหมาป่า มองข้ามความเป็นและความตายเท่านั้นถึงจะอยู่รอด
ต่งเซิงไห่รู้ว่าเยี่ยเทียนเคยแข่งแล้ว แต่นั่นไม่ใช่มวยปล้ำที่ไร้กฎระดับโลก ตอนนั้นเยี่ยเทียนมีอาวุธที่เป็นตัวช่วย ฉะนั้นต่งเซิงไห่จึงไม่คิดว่าเยี่ยเทียนจะสามารถชนะในครั้งนี้ได้ ถ้าพลาดแค่นิดเดียวชีวิตของเขาก็จบลงด้วย
“เหล่าต่ง โมโหอะไรขนาดนั้น?”
เยี่ยเทียนหัวเราะอยู่ พอมองขึ้นไปถึงกับตะลึงไปครู่นึง และพูดว่า “อันเดรวิช คุณก็มาด้วยเหรอ?”
สำหรับคนที่มีความสามารถและไม่เป็นปรปักษ์กับตนเอง เยี่ยเทียนจะให้ความเคารพอยู่เสมอ แม้คนตัวใหญ่คนนี้จะฉีกจางซานออกเป็นชิ้น ๆ ตอนที่แข่งในประเทศ แต่มวยใต้ดินโหดร้ายแบบนี้แหละ ถ้าความสามารถไม่ถึง ตายไปก็สมควรแล้ว
“คุณเยี่ย ขอบคุณยาเม็ดวิเศษของคุณ ถ้าไม่มียานั่น ผมคงไม่สามารถมาโผล่ที่นี่!”
เมื่อมองเห็นเยี่ยเทียน อันเดรวิชรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย ตั้งแต่ที่ได้รับบาดเจ็บครั้งก่อน เขานึกว่าตัวเองต้องลาวงการมวยใต้ดินซะแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่า ใช้เวลาแค่หนึ่งเดือนร่างกายของเขาก็กลับมาเป็นปกติ
“อันเดรวิช ถ้าคุณไม่มา อาจจะดีกว่านี้!”
เยี่ยเทียนมองเห็นสีหน้าของอันเดรวิช เขารู้สึกประประหลาดใจอย่างไม่ทันตั้งตัว เพราะจุดอิ้นถังของเขามีพลังลมปราณสีดำปรากฏขึ้น ในสายตาของเยี่ยเทียนนั่นคือลมปราณแห่งความตาย
“คุณเยี่ย นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะเข้าร่วมการแข่งขันมวยใต้ดิน เถ้าแก่ตอบตกลงไว้ว่าถ้าจบการแข่งขันครั้งนี้ ผมจะออกจากวงการมวย และไปใช้ชีวิตอันสงบสุข!” ใบหน้าของอันเดรวิชเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ภาษาอังกฤษของเขาไม่ได้ดีมาก และไม่เข้าใจสิ่งที่เยี่ยเทียนจะสื่อด้วย
“เหล่าต่ง คุณบอกเขาหรือยังว่าคู่แข่งของเขาคือใคร?” เยี่ยเทียนมองไปที่ต่งเซิงไห่ เป็นสายตาแห่งการตำหนิ
“บอกแล้วสิ ท่านเยี่ย คุณมองผมเป็นคนยังไงเนี่ย?”
ต่งเซิงไห่เข้าใจความหมายของเยี่ยเทียน พูดอย่างขมขื่นไปว่า “อันเดรวิชเป็นคนโสด เขากำลังคุยอยู่กับสาวรัสเซียคนนึง เตรียมตัวจะแต่งงานกันแล้ว ฉะนั้นเขาก็เลยอยากแข่งขันมวยใต้ดินเป็นครั้งสุดท้าย และเอาเงินไปใช้ชีวิตตามแบบที่เขาอยากใช้”
อันเดรวิชเข้ามาในวงการมวยใต้ดินเพราะปัญหาทางบ้าน แต่เพราะเขาได้รับบาดเจ็บในครั้งนี้ทำให้ได้พบกับพยาบาลรัสเซียคนนึง ไป ๆ มา ๆ ทั้งสองคนก็มีใจให้กัน จึงเป็นเหตุผลให้อันเดรวิชมีความคิดอยากลาวงการมวยใต้ดิน
แต่เงินที่เขาหามาได้เป็นเงินหามาง่ายแต่ก็ใช้ไปเร็วเหมือนกัน เงินที่มีอยู่ตอนนี้ก็ไม่พอที่จะใช้ชีวิตหลังจากนี้ แล้วเขาถนัดฆ่าคนเท่านั้น เขาจึงทำได้เพียงใช้วิธีนี้เพื่อให้ได้เงินมา
“คุณเยี่ย คุณไม่ต้องเป็นห่วงนะ แอนโทนีมาร์คัสมาจากค่ายฝึกไซบีเรีย แม้ผมจะไม่เคยฝึกเขามาก่อน แต่ผมรู้จุดอ่อนและมั่นใจว่าจัดการเขาได้!”
แม้ว่าภาษาอังกฤษของอันเดรวิชไม่ดีเท่าไหร่ แต่ภาษาจีนก็พอเข้าใจเล็กน้อย ตอนที่ได้ยินบทสนทนาของเยี่ยเทียนกับต่งเซิงไห่ ตาของเขาเผยความตื้นตันออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
ในสายตาของเถ้าแก่กับแขกเหล่านั้น นักมวยเป็นเพียงอาวุธที่ใช้ฆ่าคนเท่านั้น พวกเขามีความกลัวแต่พวกเขาจะไม่เคารพนักมวยเด็ดขาด และจะไม่สนใจว่าการแข่งขันครั้งต่อไปจะเป็นหรือจะตาย
แต่อันเดรวิชมองสายตาของเยี่ยเทียนแล้วเข้าใจว่าเขาคิดเผื่อตัวเองจริง ๆ ทำให้อันเดรวิชรู้สึกตื้นตันจากข้างในแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
“แอนโทนี มาร์คัสมีจุดอ่อนเหรอ? จุดอ่อนคืออะไร รู้ได้ไง?” เมื่อเห็นความมั่นใจของอันเดรวิช เยี่ยเทียนจึงรู้สึกสงสัย
“จุดเด่นของแอนโทนี มาร์คัสก็คือท่าฟาดขาของเขา แต่เพราะการโจมตีของเขามีแค่นั้น ขอแค่ได้เข้าใกล้ ผมก็หักคอเขาได้แล้ว ครูฝึกในค่ายไซบีเรียของเขา เคยเป็นลูกน้องของผมมาก่อน!”
ใบหน้าของอันเดรวิชมีความโหดเหี้ยมออกมา ในใจของนักมวยพวกนี้ไม่เคยมีความปราณี เพราะความปราณีจะทำให้พวกเขาตาย เวลาที่อยู่บนเวที อย่าว่าแต่ลูกศิษย์เลย แม้แต่พี่น้องแท้ ๆ ก็ต้องสู้กันให้ตายกันไปข้างนึง
“อันเดรวิช คุณ ไม่ใช่คู่ต่อสู้แอนโทนี มาร์คัส ถ้าคุณขึ้นเวที คุณตายแน่นอน!” เยี่ยเทียนรู้สึกเสียดายและมองดู อันเดรวิชที่กำลังหัวเราะชอบใจ เขาชอบคนร่างใหญ่คนนี้จริง ๆ แต่เขาไม่อยากให้คน ๆ นี้ถูกฆ่าตายอยู่บนเวที
“คุณเยี่ย แม้ว่าผมจะสู้เพื่อนคุณไม่ไหว แต่ผมเชื่อว่า แอนโทนี มาร์คัสก็สู้ตาแก่คนนั้นไม่ไหวเหมือนกัน คุณไม่ควรดูถูกผมเพราะเหตุผลนี้!” หลังจากได้ยินสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด อันเดรวิชไม่พอใจเล็กน้อย เขามีนิสัยแบบคนรัสเซียชัดมาก ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข ทุกอย่างจะปรากฏอยู่บนใบหน้า
“ท่านเยี่ยเทียน อันเดรวิชก็มีความสามารถนะ ครั้งก่อนที่แพ้ให้กับคนของคุณเสร็จ ตอนนี้เขาสามารถยกน้ำหนักท่าสวคอทเพิ่มขึ้นอีก 50 กิโลกรัม ตอนนี้ยกน้ำหนักได้สูงถึง 450 กิโลกรัมแล้วนะ แม้จะเอาไปเทียบกับแอนโทนีมาร์คัส ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่แล้ว!”
เมื่อได้ยินเยี่ยเทียนสงสัยในความสามารถของอันเดรวิช ต่งเซิงไห่ถึงกับลืมตัวว่ามาทำอะไรที่นี่ เขาเอ่ยปากโต้เถียงความสามารถของอันเดรวิช เพราะเขาไม่อยากให้อันเดรวิชต้องพ่ายแพ้ในการแข่งขัน ไม่เช่นนั้นสนามมวยที่ดูแลมาเป็นสิบยี่สิบปีก็ต้องยกให้คนอื่นฟรี ๆ
“เหล่าต่ง แอนโทนี มาร์คัสอายุเท่าไหร่ อันเดรวิชอายุเท่าไหร่?”
เยี่ยเทียนส่ายหัว มองอันเดรวิชและพูดว่า “ผมรู้ว่าคุณเคยเป็นครูฝึกในค่ายไซบีเรียมาก่อน คุณก็น่าจะรู้ นักเรียนพวกนั้นโหดเหี้ยมแค่ไหน แล้วหลายปีที่ผ่านมาคุณหลุดพ้นจากชีวิตแบบนั้นแล้ว คุณไม่ใช่คู่ต่อสู้ของแอนโทนี มาร์คัสจริง ๆ!”
สีหน้าของอันเดรวิชเปลี่ยนไปทันทีหลังจากได้ยินสิ่งที่เยี่ยเทียนพูด ก็เหมือนกับที่เยี่ยเทียนพูดไว้ การฝึกที่โหดเหี้ยมในค่ายไซบีเรียไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเขา มันเป็นเหมือนนรกชัด ๆ
ที่มาของนักมวยในค่ายไซบีเรียค่อนข้างหลากหลาย มีทั้งพวกนักมวยปล้ำที่ฝึกไม่เชื่อง พวกจิ๊กโก๋ตามข้างถนน พวกเขาจะกลายเป็นหุ่นยนต์มวยปล้ำทันทีที่ก้าวเข้าไปในค่าย ในค่ายมีตาข่ายไฟ ทุ่นระเบิด คนลาดตระเวนที่สะพายปืนกับกระสุนไว้ ความตายอาจถึงตัวเองได้ทุกเมื่อที่มีการต่อต้าน
ตั้งแต่วันแรก นักมวยทุกคนต้องเผชิญหน้ากับตัวเลือกระหว่างมีชีวิตกับความตาย
นักมวยทุกคนจะต้องยกน้ำหนัก 100 กิโลกรัม ในท่าสควอทจำนวน 600 ครั้งให้เสร็จภายในสองชั่วโมง เตะท่อนไม้ขนาด 30 นิ้วให้หักภายในสี่ชั่วโมง ต่อสู้กับหมาป่า 6 ตัวด้วยมือเปล่าในห้องปิดกั้น ต่อสู้กับครูฝึกสองคนที่ถือไม้กระบองด้วยมือเปล่า มีนักมวยหลายคนที่ตายไปในระหว่างการฝึก
คนที่ตายกับบาดเจ็บหนักจนรักษาไม่หายจะถูกจัดการ คนที่ปฏิเสธการฝึกจะถูกสังหารทันที เมื่ออยู่ที่นี่เงื่อนไขที่ไม่มีเหตุผลที่สุดก็ยังถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ฉะนั้นนักมวยเป็นเพียงสินค้าของที่นี่ ถ้าสินค้าไม่ได้มาตรฐานก็จะถูกกำจัดทิ้ง
และครูฝึกมักจะแอบเข้าห้องพักของนักมวยและใช้แส้ฟาดพวกเขา หลังจากนั้นนักมวยจึงเรียนรู้การตอบสนองอย่างว่องไวเมื่อมีการเคลื่อนไหวจากเหตุการณ์นี้ นักมวยที่ทำตามเงื่อนไขไม่ผ่านจะถูกทุบตีอย่างรุนแรง การลงโทษที่หนักที่สุดก็คือการกำจัดทิ้งตอนนั้นเลย
ในวงการมวยใต้ดิน แค่ได้ยินคำว่า “นักมวยจากไซบีเรีย” ก็เพียงพอให้คนที่ได้ยินหวาดกลัว และนักมวยระดับโลกที่อยู่สิบอันดับแรก ก็มาจากค่ายไซบีเรียทั้งหมด
อันเดรวิชอายุสี่สิบแล้ว เขารู้ดีว่าร่างกายของเขาสู้เมื่อก่อนไม่ได้ หลายปีมานี้เขาใช้ประสบการณ์ที่มีเอาชนะคู่แข่งมาตลอด ฉะนั้นสิ่งที่เยี่ยเทียนพูดทำให้ความมั่นใจของเขาสั่นคลอน
“คุณท่านเยี่ย คุณ……คุณทำแบบนี้ได้ยังไง?!”
เมื่อเห็นอันเดรวิชนิ่งลงเพราะคำพูดของเยี่ยเทียน ต่งเซิงไห่เริ่มเป็นกังวล
เพราะคนที่เขามีอยู่ในมือตอนนี้มีแค่อันเดรวิชคนเดียวเท่านั้น แล้วความสามารถของอันเดรวิชด้อยกว่าแอนโทนีมาร์คัสอยู่แล้ว ถ้าแม้แต่ใจที่คิดว่าต้องชนะยังไม่มี งั้นคงไม่มีโอกาสแล้วจริง ๆ
เยี่ยเทียนพึมพำครู่นึงและพูดต่อว่า “เหล่าต่ง คุณมาห้ามผมแบบนี้ ผมอยากรู้ว่าความสามารถของแอนโทนี มาร์คัสกับคนของฮิราโนะอิจิโร่ ใครเก่งกว่ากัน?”
“แอนโทนี มาร์คัสอยู่แล้วสิ ตอนนี้เขาเป็นอันดับหนึ่งของโลกนะ ถ้าไม่ใช่เพราะผมโดนรูดอล์ฟหลอก ผมจะกล้าเซ็นข้อตกลงได้ยังไงล่ะ!”
ต่งเซิงไห่เผยสีหน้าโมโห เมื่อก่อนเขาเชื่อว่าอันเดรวิชจัดการแอนโทนี มาร์คัสได้ ที่จริงมันเป็นเพียงการปลอบใจตัวเองอย่างหนึ่งก็เท่านั้น
“อันดับหนึ่งของโลก แล้วพลังโจมตีของเขาสามารถทะลุระดับสูงขั้นหลอมปราณสู่จิตได้มั้ย?”
เยี่ยเทียนแสดงสีหน้าแปลก ๆ ออกมาอย่างบอกไม่ถูก เขามั่นใจว่าพลังโจมตีของแอนโทนี มาร์คัสน่าจะพอ ๆ กับยอดฝีมือที่ฝึกถึงระดับหลอมปราณสุ่จิตแล้ว แต่จะเก่งถึงระดับไหน เยี่ยเทียนไม่รู้
ครั้งนี้ยอมช่วยจู้เหวยเฟิง นอกจากเหตุผลที่ฮิราโนะ อิจิโร่กับฟรุสดูถูกจีนแล้ว อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะใจที่อยากเอาชนะของเยี่ยเทียน หลายปีมานี้ เยี่ยเทียนเป็นยอดฝีมือผู้เงียบเหงา เขาอยากประลองกับนักมวยปล้ำระดับโลกสักครั้ง
“เหล่าต่ง ในฐานะเพื่อนร่วมสมาคม อย่าหาว่าผมไม่ให้โอกาสคุณนะ!”
หลังจากคิดไตร่ตรองเสร็จ เยี่ยเทียนพูดว่า “ถ้าคุณสามารถย้ายเวลาแข่งขันกับแอนโทนี มาร์คัสเป็นวันที่สาม แล้วผมไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ จากการแข่งขันในวันพรุ่งนี้ ผมจะไปสู้กับแอนโทนี มาร์คัสให้!”
ถ้าจะสู้ ต้องสู้กับอันดับหนึ่งของโลก คนที่ฝึกศิลปะต่อสู้ หากสู้กับท่อนไม้และถุงทรายอย่างเดียว ยังไงก็ไม่มีวันประสบความสำเร็จ มีเพียงสู้อยู่ระหว่างความเป็นและความตายเท่านั้นถึงจะทะลุได้จริง ๆ เยี่ยเทียนฝึกถึงระดับสูงหลอมปราณสู่จิตมานาน เขาอยากใช้โอกาสครั้งนี้ฝึกจิตของตัวเอง
ส่วนความจริงอันโหดเหี้ยมในการแข่งขันนั้น เยี่ยเทียนไม่แม้แต่จะคิดถึงมัน ถ้ายังไม่ทันสู้แล้วแพ้เพราะคำพูดตัวเอง ไม่มีใจที่อยากชนะ งั้นเขาไม่จำเป็นต้องขึ้นเวที เพราะเขาต้องตายอยู่ดีในตอนจบ
ตอนที่ 625 เกมส์แห่งความตาย
โดย
Ink Stone_Fantasy
แม้เยี่ยเทียนจะมีวิชาเก่งกล้า ตั้งแต่เริ่มออกสู่ยุทธภพเขาคุ้นเคยกับภาพนองเลือดมาบ้างแล้ว และเขามีใจแห่งผู้กล้าตั้งนานแล้วด้วย
แต่การเผชิญหน้ากับหุ่นยนต์นักฆ่าอย่างคนพวกนี้ เยี่ยเทียนไม่ค่อยมั่นใจว่าจะมีชีวิตรอดมาได้จริง ๆ เพราะในโลกของธรรมชาตินั้นหมาป่าที่หิวโหยไม่น่ากลัวเท่าหมาป่าที่ใกล้ตาย เพราะการลอบกัดในวินาทีสุดท้ายนั่นแหละคือสิ่งที่ทำให้คนตายได้
ฉะนั้นเยี่ยเทียนจึงอยากพูดสิ่งที่ฟังดูแย่ที่สุดออกมาก่อน ถ้าเขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการแข่งขันละก็เขาจะไม่ยุ่งเรื่องของต่งเซิงไห่อีก
“ท่านเยี่ย คุณพูดอะไรนะ?”
ต่งเซิงไห่ไม่กล้าเชื่อคำพูดของเยี่ยเทียน จึงถามไปว่า “คุณจะแข่งสองรอบ เอ่อ….ไหวจริงเหรอ?”
“ทำไมล่ะ? มีกฎเขียนไว้ว่าห้ามแข่งสองรอบเหรอ?” เยี่ยเทียนแปลกใจและมองไปที่ต่งเซิงไห่ ในเมื่อการแข่งขันแบบนี้ไม่มีกฎอะไรอยู่แล้ว แล้วยังจะมีอะไรอีก?
“ก็ไม่ใช่แบบนั้น มันไม่มีข้อจำกัดข้อนี้หรอก!”
ต่งเซิงไห่ส่ายหัว และพูดต่อว่า “นี่เป็นการแข่งขันที่อาจตายได้เลยนะท่านเยี่ย นักมวยทั่วไปยังต้องใช้เวลาหนึ่งถึงสองเดือนในการฟื้นตัว คุณจะขึ้นชกสองรอบภายในสองวัน ล้อกันเล่นรึเปล่า? ”
ถ้ามวยใต้ดินเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง ไม่ต้องมีข้อสงสัยใด ๆ เลยว่าอัตราการตายของกีฬาชนิดนี้จะมีอัตราการตายสูงที่สุดในโลกเลยก็ว่าได้ เพราะทุกครั้งที่มีการแข่งขันจะต้องมีคนตาย บางทีอาจจะตายทีเดียวทั้งคู่เลย
ในสถานการณ์แบบนี้ นักมวยที่เข้าร่วมการแข่งขันล้วนต้องใช้เวลาระยะหนึ่งในการปรับสภาพ เพื่อแสดงศักยภาพที่ดีที่สุดของตัวเองตอนแข่งขัน เพราะแบบนี้เยี่ยเทียนจึงไม่เห็นนักมวยเพ่นพ่านบนเรือสำราญ
การที่เยี่ยเทียนจะเข้าร่วมการแข่งขันสองรอบ มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แล้วคู่ต่อสู้ทั้งสองรอบของเขามีความเป็นไปได้สูงมากที่จะอยู่ในสิบอันดับของโลก มันจึงทำให้ต่งเซิงไห่รู้สึกว่ารับไม่ได้
เมื่อเห็นสีหน้าของต่งเซิงไห่ เยี่ยเทียนหัวเราะ “ถ้าพลังของคู่ต่อสู้ไม่ได้มากจนผมรับไม่ได้ การขึ้นสู้สองรอบก็งั้น ๆ แหละ”
ตั้งแต่เข้าสู่ระดับหลอมปราณสู่จิต ความสามารถด้านการสัมผัสสิ่งรอบตัวของเยี่ยเทียนเหมือนจะเข้าสู่ระดับสูงที่สุดแล้ว เขาไม่กลัวนักมวยที่เก่งเรื่องความเร็ว เพราะความเร็วของคนเหล่านั้นเวลาอยู่ในสายตาของเยี่ยเทียน มันช้ากว่าประสาทสัมผัสของเยี่ยเทียนอีก
แต่พลังของนักมวยจะไม่เหมือนกัน ถ้าพลังโจมตีของพวกเขาแกร่งถึงขั้นทะลุแรงกั้นของเยี่ยเทียนได้ และสู้กันแบบหมัดต่อหมัด เยี่ยเทียนอาจจะเสียเปรียบพอสมควร การที่ทั้งสองฝ่ายได้รับบาดเจ็บก็เป็นเรื่องปกติ
แต่ด้วยความสามารถของเยี่ยเทียนที่มีอยู่ทำให้เขาสามารถระเบิดพลังกล้ามเนื้อที่แกร่งที่สุดออกมาโดยใช้เวลาที่สั้นที่สุดได้ เยี่ยเทียนจึงมั่นใจว่าตัวเองก็คงไม่แย่ไปกว่านักมวยที่ออกมาจากค่ายนรกนั่นเท่าไหร่หรอก
“นักมวยของฮิราโนะ อิจิโร่เป็นนักมวยที่เด่นเรื่องความเร็ว ส่วนฟรุสมีนักมวยที่อยู่อันดับแปดของโลก พลังมากกว่าอันเดรวิช แต่เขาเพิ่งเข้าวงการมาได้ไม่นานเท่าไหร่ ถ้าเขาสู้กับอันเดรวิชละก็ คนที่แพ้น่าจะเป็นเขาแน่นอน!”
มวยใต้ดินจะเน้นเรื่องกำลังและเทคนิค ส่วนประสบการณ์ก็มีความสำคัญเหมือนกัน และนี่เป็นเหตุผลว่าอันเดรวิชอายุสี่สิบกว่าแล้ว ทำไมถึงอยู่วงการมวยใต้ดินได้นานขนาดนี้ แน่นอนว่าการเผชิญหน้ากับแอนโทนี มาร์คัสที่มากประสบการณ์และเทคนิค อันเดรวิชอาจจะไม่ใช่คนที่ได้เปรียบเสมอไป
“หืม? เหล่าต่ง อันเดรวิชชนะนักมวยที่เด่นเรื่องพลังคนต่อไปแน่นอนใช่มั้ย?” หลังจากได้ยินสิ่งที่ต่งเซิงไห่พูด เยี่ยเทียนใจสั่นคลอนเล็กน้อย
ต่งเซิงไห่พยักหน้าตอบว่า “น่าจะไม่มีปัญหานะ คนนั้นไม่ได้มาจากค่ายไซบีเรีย แม้กำลังโจมตีจะมากแต่นิสัยต่างจากนักเรียนที่ออกมาจากค่ายไซบีเรียเยอะ”
ต่งเซิงไห่หาเงินกับคนพวกนี้อยู่แล้ว ฉะนั้นปกติจะทำความเข้าใจนักมวยจากประเทศต่าง ๆ และนำมาเปรียบเทียบกัน เวลาที่พูดถึงเรื่องแบบนี้เขาจะรู้ดีที่สุดและไม่ต้องไปหาข้อมูลเพิ่มก็ได้
เยี่ยเทียนครุ่นคิดไปสักครู่และพูดว่า “หรือเอาแบบนี้ อันเดรวิชไปสู้กับคนของผม ผมสู้กับแอนโทนีมาร์คัส พวกคุณคิดว่ายังไง?”
ถ้าพลังโจมตีของแอนโทนี มาร์คัสเทียบได้กับยอดฝีมือที่อยู่ระดับหลอมปราณสู่จิต และเขาต้องสู้กับปีศาจแบบนี้ เยี่ยเทียนก็กดดันพอสมควร สู้ให้อันเดรวิชช่วยเขาสู้หนึ่งรอบยังจะดีกว่า เพราะในการแข่งขันมวยใต้ดินแบบนี้ การยืมมือนักมวยก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก
“จริง ๆ มันก็ได้แหละ แต่ท่านเยี่ย คุณมั่นใจมั้ยว่าเอาชนะแอนโทนี มาร์คัสได้จริง ? ”
จากคำพูดของต่งเซิงไห่ ดูออกว่าเขามีความลังเลเล็กน้อย เพราะอันเดรวิชชนะมาหลายครั้งแล้ว แต่สำหรับความสามารถของเยี่ยเทียนเขาได้ยินจากปากคนอื่นอีกที แล้วเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสนามมวยในมอสโค ต่งเซิงไห่จึงไม่มั่นใจเยี่ยเทียนเท่าไหร่
“ผมพูดแค่นี้แหละ ยอมหรือไม่ยอมก็แล้วแต่คุณละกัน!” เยี่ยเทียนส่ายหัวเบา ๆ ถ้าไม่ใช่เพราะเห็นแก่การเป็นคนในหงเหมินเหมือนกัน เขาจะไม่ยุ่งเรื่องต่งเซิงไห่เลย
“เถ้าแก่ ความสามารถของคุณเยี่ย แกร่งกว่าผมอีก!” อันเดรวิชที่นิ่งมาตลอด จู่ ๆก็พูดขึ้นมาประโยคนึง
จนถึงวันนี้ อันเดรวิชเคยเข้าร่วมการแข่งขันมาแล้วกว่า 200 ครั้ง การสัมผัสถึงวิกฤตของเขาจึงแข็งแกร่งมาก แต่พลังลมปราณพิฆาตที่กระจายออกจากตัวของเยี่ยเทียน ทำให้อันเดรวิชรู้สึกได้ทันทีว่า ถ้าเขาสองคนปะทะกัน คนที่ตายต้องเป็นเขาแน่นอน
“จริงเหรอ?”
คำพูดของอันเดรวิชทำให้ต่งเซิงไห่ตัดสินใจได้ในตอนสุดท้าย “ท่านเยี่ย เอาตามที่คุณว่าละกัน ถ้าคุณเอาชนะรอบนี้ได้ หุ้นส่วนของสนามมวยในอินโดนีเซียกับมาเลเซีย คุณเอาไปเลยร้อยละ 80 ผมเอาแค่ร้อยละ 20 เป็นค่าดูแลจัดการก็พอ”
ตอนที่ได้ยินว่าแอนโทนี มาร์คัสจะขึ้นชก เดิมทีต่งเซิงไห่รู้สึกสิ้นหวังไปแล้ว แต่ตอนนี้แสงแห่งความหวังก็สว่างขึ้นอีกครั้ง เขาไม่ได้เสียดายของเดิมพันพวกนั้น แต่ขอให้มั่นใจว่าพื้นที่ในมอสโคจะไม่ถูกแย่งไป เท่านี้ก็พอใจแล้ว
เยี่ยเทียนส่ายหัวและตอบไปว่า “ผมขอร้อยละ 1 ของรูดอล์ฟก็พอครับ!”
สำหรับเยี่ยเทียน การแข่งขันมวยใต้ดินรอบนี้ สาเหตุมีสองข้อ หนึ่งคือไม่แข่งไม่ได้ สองคืออยากฝึกจิตของตัวเอง ที่จริงเขาไม่อยากเข้าวงการมวยใต้ดินเลยสักนิด และไม่อยากเป็นเถ้าแก่ที่เหมือนผีดูดเลือดพวกนี้
แน่นอนว่าเยี่ยเทียนจะไม่เหนื่อยฟรี ๆ ยังไงก็ต้องเก็บค่าเหนื่อยบ้าง เขาเชื่อว่ารูดอล์ฟยอมใช้เงินสดแลกหุ้นส่วนร้อยละ 1 แน่นอน
“ไม่มีปัญหา ท่านเยี่ย หุ้นส่วนร้อยละ 1 จะเป็นของคุณ นอกจากนี้ ถ้าคุณชนะ หุ้นส่วนร้อยละ 50 ของทั้งสองสนามนั้นจะเป็นของคุณด้วย!” ต่งเซิงไห่พยักหน้า
“การแข่งขันจบแล้วค่อยว่ากันเถอะ เหล่าต่ง คุณพาอันเดรวิชไปเตรียมตัวก่อน ผมต้องการปรับสภาพเหมือนกัน คืนนี้ไปดูการแข่งขันรอบแรกกัน!”
หลังจากคุยกันเคลียร์หมดแล้ว เยี่ยเทียนขอเชิญแขกออกจากห้อง แม้แต่จู้เหวยเฟิงก็ยังถูกไล่ออกไป และเริ่มโคจรลมปราณในห้องคนเดียว
ในขณะที่ทุกคนกำลังสนุกกับความบันเทิงต่าง ๆ บนเรือสำราญควีนอลิซาเบธ คลีเมตสันกลับยุ่งวุ่นวายมากเป็นพิเศษ เพราะเฮลิคอปเตอร์จากทั่วทุกทิศบินมาจอดอย่างไม่ขาดสาย
ส่วนคนที่ลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ ไม่มีใครไม่ใช่คนรวย แม้แต่คลีเมตสันเองที่มีพื้นหลังยิ่งใหญ่แค่ไหน เวลาที่เจอคนพวกนี้เขายังต้องใช้รอยยิ้มต้อนรับ ซึ่งมันดูต่ำต้อยจนเหมือนพ่อบ้านแก่ ๆ ปานนั้น
ที่จริงคนที่ลงเรือสำราญควีนพวกนี้ ไม่ได้เป็นพวกมหาเศรษฐีตามที่ประกาศออกสู่ภายนอก ชื่อเสียงก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น แต่เงินทุนที่พวกเขาควบคุมอยู่ มันมากเกินกว่าที่มหาเศรษฐีระดับโลกพวกนั้นจะมาเทียบได้
ก็เหมือนกับราชาพนันโพกหัวขาวจากอาหรับพวกนั้น แม้เขาจะไม่เคยติดอันดับมหาเศรษฐี แต่ทุกคนก็รู้ดีว่าเขารวยกว่าบิลเกตส์อีก
คนพวกนี้จะต่างจากบิลเกตส์ผู้ซึ่งร่ำรวยจากการทำธุรกิจรุ่นแรก แต่คนพวกนี้ส่วนใหญ่เป็นลูกหลานของนักลงทุนคนเก่าแก่
ก็เหมือนกับจอห์น เดวิดสัน ราชาน้ำมัน ผู้สืบทอดรุ่นนี้ของตระกูลร็อกกี้เฟลเลอร์ แล้วก็ลูกหลานของตระกูลรอธส์ไชลด์ ซึ่งมาลงเรือสำราญควีนอลิซาเบธทุกคน
คนเหล่านี้เวลาทำอะไรจะไม่ทำเอิกเกริก แต่อิทธิพลของพวกเขาแม้แต่บิลเกสต์ก็ไม่อาจเปรียบเทียบได้ เหมือนกับครอบครัวรอธส์ไชลด์ จนถึงขณะนี้ธนาคารของครอบครัวก็ยังปฏิเสธที่จะเข้าตลาด ซึ่งหมายความว่าไม่จำเป็นต้องเผยแพร่รายงานประจำปีให้ใครทราบ สองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา มีเพียงสมาชิกหลักของครอบครัวเท่านั้นที่รู้ว่าพวกเขาลงทุนทางธุรกิจไปเท่าไหร่และพวกเขาทำเงินได้เท่าไหร่
ในส่วนของการต้อนรับ แม้แต่คลีเมตรสันที่มีพื้นหลังแกร่งแค่ไหนก็ยังไม่กล้าละเลย ถึงกับต้องจัดการทุกอย่างให้กับพวกเขาด้วยตัวเอง
หลังจากจัดการพวกเขาเสร็จ ข้อมูลอย่างละเอียดของนักมวยทุกคนกับอัตราต่อรองต่าง ๆ ถูกจัดส่งไปให้กับคนเหล่านี้ พูดอีกอย่างก็คือคนเหล่านี้ต่างหากที่เป็นพระเอกของงาน
ปีที่แล้ว เงินเดิมพันที่มาจากคนพวกนี้สูงถึง 6 หมื่นล้านดอลล่าร์ และกำไรที่เรือสำราญควีนอลซาเบธได้มาก็ไม่ต่ำกว่าหมื่นล้าน จึงเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมเรือสำราญควีนอลิซาเบธถึงอยู่ได้เพราะเรือลำเดียว
เรือสำราญควีนอลิซาเบธลำนี้มีทั้งหมด 8 ชั้น 7 ชั้นเป็นห้องวิวทะเลทั้งหมด ใช้เพื่อรองรับแขกที่มาเข้าพัก ส่วนชั้นที่ 1 เป็นร้านอาหารกับห้องสัมมนา
และชั้นใต้ดินก็คือบ่อนที่ไม่มีอะไรกีดขวางและก็เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเรือลำนี้นั่นเอง ส่วนชั้นที่ 3 และ 4 จะเป็นสนามที่ใช้จัดการแข่งขันมวยทั้งหมด การแข่งขันที่สำคัญ ๆ จะถูกจัดขึ้นที่ชั้นใต้ดินชั้นที่ 2
พอถึงสองทุ่ม ชั้นใต้ดินชั้นที่ 2 ก็ค่อย ๆ เต็มไปด้วยผู้คน นอกจากที่นั่งสำหรับเจ้าของสนามจากที่ต่าง ๆ แล้ว ห้องวีไอพีบนชั้นสองที่สูงกว่าเวทีเล็กน้อยก็เริ่มมีเงาคนขยับไปมา
“สุภาพบุรุษ สุภาพสตรีทุกท่าน ดีใจเป็นอย่างมากที่เวลาของเกมส์แห่งความตายมาถึงอีกครั้ง ในสามวันหลังจากนี้ จะมีผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดถือกำเนิดขึ้นอีกครั้ง และเขาจะนำความตื่นเต้นและความสะใจมาให้กับพวกคุณ ขอให้ทุกท่านสนุกให้เต็มที่!”
เวลาผ่านมาถึงสามทุ่ม สปอร์ทไลท์ส่องไปยังกลางเวที ประโยคที่ยั่วยุดังขึ้นพร้อมกับการปรากฏตัวของคลีเมตสันผมสีเงิน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น