หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา 612-617

 บทที่ 612 หลุมฝังศพแห่งหนึ่ง!

ทุกๆ คนมีสีหน้าตื่นตะลึงขึ้นมาอีกครั้ง เพราะหวังเป่าเล่อเสนอว่าไหนๆ พวกเขาก็ได้เป็นศิษย์แห่งวังเต๋าแล้วก็ไม่ควรจะรีบกลับ


ไหนๆ ก็เป็นโอกาสอันหายากที่จะได้มาเข้าไปยังพื้นที่ต้องสาป ควรจะเข้าไปยังที่ๆ ไม่เคยมีใครเคยไป แล้วไปตามหาสมบัติกันจะเหมาะกว่า


ทั้งวัตถุดิบและตราประจำตัวก็สามารถนำไปแลกเป็นแต้มการรบได้ทั้งสิ้น


ทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าที่ตกตะลึงก็พากันตกปากรับคำหวังเป่าเล่อทั้งๆ ที่ยังงงงัน พวกเขาตามหวังเป่าเล่อไปบนถนนพร้อมทั้งความรู้สึกตื่นตะลึงเช่นนั้น


ในความเป็นจริงแล้ว…หลังจากที่พวกเขาออกมาจากตำหนักวังบูชา การที่พวกเขามาเดินอยู่ในบริเวณตัวกระบี่นั้นเป็นอันตรายอันใหญ่หลวง รอยฉีกขาดของอวกาศและพื้นที่ต้องสาปจำนวนมากกระจัดการจายไปจนสุดลูกหูลูกตา


มีสองเหตุผลที่พื้นที่ต้องสาปจำนวนมากนั้นไม่เคยมีผู้ฝึกตนที่ได้ตำแหน่งศิษย์ในอดีตย่างกรายเข้าไป เหตุแรกก็เพราะระดับศิษย์ของพวกเขาไม่สูงพอ อีกเหตุหนึ่งก็เพราะว่าผืนแผ่นดินในโลกนี้เคลื่อนตัวอยู่บ่อยๆ


ด้วยเหตุนี้ บรรดาศิษย์คนอื่นๆ จึงรู้สึกว่าพื้นที่ส่วนนี้นั้นยากแก่การสำรวจเป็นอย่างยิ่ง เรื่องยุกยากเช่นนั้นไม่อยู่ในสายตาของหวังเป่าเล่อแม้แต่น้อย ชายหนุ่มย่างก้าวไปอย่างระมัดระวังในช่วงแรก แต่เมื่อเขาเข้าไปใกล้พื้นที่ต้องสาปแล้วคำสาปทั้งมวลในบริเวณก็จางสลายไป ทางเข้าที่ส่องแสงเรืองรางปรากฏขึ้นแทนที่…


ทุกสิ่งก็เปลี่ยนไปทันที


คำสาปหยุดทำงานเมื่ออยู่ต่อหน้าหวังเป่าเล่อ แม้กระทั่งพายุหมุนที่พัดผ่านอยู่เป็นนิจก็ยังสลายหายไปเมื่อชายหนุ่มเข้าไปในระยะ ราวกับว่ากลัวที่จะเข้ามาสัมผัสกับเขากระนั้น


แต่สิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นเรื่องเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรอยฉีกขาดของอวกาศที่กงเต๋าเข้าพอดีเมื่อมันมาปรากฏอยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อ ดูราวกับปากอ้ากว้างที่พร้อมจะกลืนกินชายหนุ่มเข้าไปทั้งตัว แต่ทว่า ก่อนที่มันจะได้สัมผัสเขา ก็ดูเหมือนกับว่าจะมีพลังประหลาดมาหยุดรอยฉีกนั้นเอาไว้ ปากของมันหุบแน่น มันต่อสู้ขัดดิ้นรนพยายามขณะที่หวังเป่าเล่อเดินทอดน่องผ่านไปได้อย่างปลอดภัย


ความรู้สึกที่ยากจะบรรยายบังเกิดขึ้นในใจกงเต๋า ราวกับว่าเป็นความรู้สึกไม่ยุติธรรมที่ทำให้เขาเหนื่อยหน่ายและสัมผัสได้ถึงความแตกต่างกันอย่างรุนแรงระหว่างตัวเขาและหวังเป่าเล่อ


ทะเลเพลิงและอสูรเพลิงอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน ราวกับว่าสถานที่นี้ทั้งหมดได้กลายมาเป็นบ้านของหวังเป่าเล่อไปแล้วก็ไม่ปาน กงเต๋ามีความรู้สึกว่า แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะหลับตาเดินตั้งแต่เหนือจรดใต้ เขาก็คงจะไม่ได้รับอันตรายใดๆ


ทั้งสามก้าวย่างเข้าไปในพื้นที่ต้องสาปแห่งแล้วแห่งเล่าและค้นหาต่อไป…


หม้อหลอมโอสถที่ไฟลุกท่วม แผ่นหยกกองแล้วกองเล่า เจดีย์ที่มีโอสถเก็บรักษาอยู่ด้านใน สนามรบเก่าและพื้นที่อื่นๆ ต่างก็เผยให้เห็นสมบัตินานาที่พร้อมจะให้หยิบฉวยไป ส่วนมากแล้ว พวกเขาเพียงแต่ต้องเก็บขึ้นมาก็เท่านั้น


ทั้งสามเก็บตราประจำตัว สมุนไพรที่มีประกายของพลังชีวิต และวัตถุดิบสำหรับการหลอมวัตถุเวทมาไว้เป็นกองที่สูงขึ้นทุกทีๆ สมบัติเหล่านี้หล่นกระจัดกระจายอยู่ทั่วทุกหนแห่ง…ยังมีสมบัติที่ดูแปลกประหลาดอยู่อีกมากมาย ทั้งประคำปิดมิติที่สามารถปิดสถานที่แห่งหนึ่งได้ชั่วระยะเวลาหนึ่งเพื่อขัดขวางไม่ให้คนที่โดนเข้าสามารถเคลื่อนย้ายไปได้ พวกเขาเจอประคำเหล่านี้นับสิบ ยิ่งพวกเขาเดินเก็บสมบัตินานไป ทั้งสามก็รู้สึกเหมือนอยู่ในความฝันมากขึ้นทุกที ทุกๆ สิ่งช่างดูเหนือจริง


แต่อย่างไรก็ดี ที่แห่งนี้ก็เป็นความจริง ทั้งสามออกเดินไปด้วยหัวใจที่เต้นแรงในตอนต้น แต่เมื่อใกล้จะจบการสำรวจ นัยน์ตาของพวกเขาก็เมื่อยล้าจากการความหาสมบัติที่มากขึ้นทุกทีๆ หนุ่มสาวทั้งสามลืมเรื่องการเดินทางกลับไปเสียสนิท


จนในที่สุดพวกเขาก็ต้องตัดสินใจ เมื่อกระเป๋าคลังเก็บของทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋าต่างก็เต็มจนเกือบๆ จะล้นปรี่ สมบัติดารดาษอยู่รอบกาย แต่กลับไม่มีวิธีการขนกลับเอาไป


“ทั้งกองนี้น่าจะมีค่าร่วมหลายแสน อาจจะเป็นล้านๆ แต้มการรบก็เป็นได้! หากเราแบ่งกันสามคน ก็ยังได้ตั้งหนึ่งแสนถึงสองแสนแต้มต่อคนเชียวนะ ข้าจะเอาแต้มไปไปซื้อ เสื้อคลุมนักแฝงเงาซึ่งเป็นอาวุธเวทระดับเก้ามาใช้เสียเลย!” กงเต๋าพึมพำอยู่ในลำคอ ชายหนุ่มยกมือขึ้นตบหน้าตนเองอย่างแรงเพื่อให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝัน จากนั้นจึงเริ่มหัวเราะราวกับเสียสติ


เจ้าเยี่ยเหมิงเองก็มีสีหน้าแปลกประหลาดใจ นางก้มลงมองกระเป๋าคลังเก็บในมือ ตามด้วยหวังเป่าเล่อ นางยังคงดูสับสนอยู่ไม่หาย…


การล่าสมบัติของทั้งสามในครั้งนี้จบลงด้วยวัตถุเวทคลังเก็บของทุกคนที่เต็มแน่นเสียจนใส่อะไรเพิ่มไม่ได้อีก พวกเขาถึงกับต้องทิ้งสมบัติที่มีมูลค่ารองๆ ลงมาไปเสีย จนกระทั่งไม่อาจจะทิ้งอะไรได้อีกจึงต้องหยุด


“พวกเราเอาของทั้งหมดออกไปจากตรงนี้กันก่อนดีไหม แล้วค่อยเตรียมการกลับมาที่นี่อีกครั้งหนึ่ง!” นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อฉายแสงแห่งความบ้าคลั่ง หลังจากที่ตัดสินใจได้แล้ว ชายหนุ่มก็จ้องมองไปยังพื้นที่ต้องสาปแห่งสุดท้ายตรงหน้า ก่อนจะพูดประโยคนี้ออกมา และก้าวเดินดุ่มๆ เข้าไป


กงเต๋ารีบตามไปอย่างลิงโลด หัวใจของเจ้าเยี่ยเหมิงก็เต้นรวดเร็วไม่แพ้กับความเร็วในการก้าวเดินของกงเต๋า แต่ทว่านางก็ยังรักษาท่าทีเอาไว้ได้ นางก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าว และทันใดนั้นเอง เมื่อนางเหลือบตาขึ้นมองพื้นที่ต้องสาปที่พวกเขากำลังก้าวเข้าไป คิ้วของนางก็ขยับขึ้นเล็กน้อยก่อนที่นางจะพูดขึ้นว่า “เป่าเล่อ ช้าก่อน!”


หวังเป่าเล่อชะงักทันทีที่ได้ยินเสียงนาง ความรู้สึกผ่อนคลายที่เขารู้สึกมาก่อนหน้านี้มลายหายไปในพริบตา เหลือแต่เพียงความระแวดระวังเท่านั้น กงเต๋าเองก็ปรับสภาพจิตใจอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเปิดใช้พลังปราณและสำรวจบริเวณโดยรอบตามสัญชาติญาณ ทั้งสามจ้องมองกันอยู่ไปมา ก่อนจะหันมองไปด้านหน้า ยังพื้นที่ต้องสาปแห่งสุดท้ายของพวกเขา


พื้นที่นั้นดูไม่ต่างไปจากแห่งอื่นๆ คำสาปกระจัดกระจายอยู่ตามซากภูเขา ต่างก็แค่เพียงมีหลุมฝังศพอยู่ตรงหน้าภูเขาเท่านั้น!


บนหลุมฝังศพนั้นมีป้ายหลุมศพศิลาตั้งอยู่ แต่มีส่วนหนึ่งหลุดหายไปและคำพูดบนนั้นก็ไม่ชัดเจน รอยแตกร้าวเป็นทางปรากฏอยู่บนด้านข้าง รอยแยกที่เล็กที่สุดก็ยังขนาดเท่าฝ่ามือ และรอบที่ใหญ่ที่สุดนั้นใหญ่พอให้ผู้ชายตัวโตๆ ลอดผ่านไปได้


หมอกสีเขียวไหลออกมาจากรอยแยกนั้นเป็นสาย แต่ไม่ได้ไหลผ่านไปไกล กลับไหลวนรายล้อมหลุมฝังศพอยู่เช่นนั้น ออกมาด้านนอกแล้วก็ถูกดูดกลับเข้าไปในรอยแยกดังเดิม ราวกับว่ารอยแยกเหล่านั้นเป็นปากขนาดมหึมาที่กำลังหายใจเข้าออกก็ไม่ปาน!


คำสาปมากมายไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เจ้าเยี่ยเหมิงรู้สึกถึงอันตราย…แต่หมอกสีเขียวที่พวยพุ่งออกมาจากหลุมฝังศพนั้นต่างหาก!


“ที่นี่มีบางอย่างไม่ชอบมาพากล…” หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ก่อนจะลองก้าวออกไปข้างหน้าสองสามก้าว คำสาปจางหายไป และประตูก็มาปรากฏตรงหน้าเขา หวังเป่าเล่อยืนอยู่หน้าประตูและไม่ได้ขยับตัวเข้าไปแม้แต่น้อง สถานการณ์นี้แม้จะคล้ายคลึงกับพื้นที่ต้องคำสาปอื่นๆ แต่ในครั้งนี้ มีรัศมีแปลกประหลาดที่ไม่มีอยู่ในพื้นที่ต้องสาปอื่นๆ มันไหลบ่าเข้าไปรวมกับอากาศรอบกายหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มรู้สึกถึงมันได้อย่างชัดเจน ความเชี่ยวชาญในด้านวัตถุเวทบอกเขาว่ารัศมีนี้แผ่ออกมาจากอาวุธเวทชิ้นหนึ่ง!


หวังเป่าเล่อเริ่มหายใจถี่ เขายกมือขวาขึ้นทันที และส่งเอากระบี่เหาะเหินระดับเจ็ดออกไปยังหลุมศพที่ปกคลุมไปด้วยหมอกสีเขียวทันที


ความเร็วของกระบี่เหาะเหินลดลงทันทีที่มันเข้าไปใกล้หลุมฝังศพนั้นและช้าลงจนกระทั่งสุดท้ายหยุดลอยค้างอยู่กลางอากาศ มันเริ่มจะแปรสภาพไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา มันกลายเป็นสีเขียวไปในบัดดล ลายที่มองดูคล้ายกับวงปีต้นไม้ปรากฏขึ้นรอบๆ กระบี่ทันที ทั้งหมดนี้ใช้เวลาไปไม่ถึงสิบลมหายใจเท่านั้นเอง สิ่งที่เคยเป็นกระบี่เหาะเหินที่ทำจากโลหะเมื่อครู่ตอนนี้ตกลงกระทบพื้นส่งเสียงทึบ


การเชื่อมต่อระหว่างหวังเป่าเล่อและกระบี่เหาะเหินถูกสะบั้นลงในพริบตา ราวกับว่าถูกลบหายไปจนสิ้น เทพเจ้าที่อยู่ภายในกระบี่ก็หายไปอีกด้วย พลังที่สถิตย์อยู่ภายในกระบี่เหาะเหินนั้นก็แปรสภาพจนกลายเป็นเสมือนกระบี่ธรรมดาไปเสียฉิบ


สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเสียงตอนที่กระบี่ตกกระทบพื้น


“โครงสร้างของมันเปลี่ยนไป!” กงเต๋าหายใจเข้าลึกก่อนจะพูดออกมา เจ้าเยี่ยเหมิงสังเกตเห็นสิ่งนั้นเช่นกัน เสียงของกระบี่เหาะเหินที่ตกกระทบพื้นไม่ใช่เสียงโลหะกระทบของแข็งแต่เป็นเสียงของไม้!


ใบหน้าของหวังเป่าเล่อหม่นหมองลงทันที ชายหนุ่มรู้สึกถึงสิ่งนี้มากกว่าใครทั้งสิ้น เขาเริ่มลังเลเกี่ยวกับพื้นที่ตรงนี้ แต่ก็ยังไม่อยากจะถอดใจไปง่ายๆ เช่นกัน


ดูเหมือนว่าเสียงของกระบี่ไม้ที่ตกลงพื้นไปปลุกบางสิ่งให้ตื่นขึ้นมา เสียงหายใจหนักหน่วงดังขึ้นมาจากพื้นใต้หลุมฝังศพนั้น


“ฟู่ว…ฟู่ว…ฟู่ว…”


เสียงนั้นฟังดูไม่เหมือนเสียงหายใจของมนุษย์ แต่คล้ายกับเสียงของอสูรร้าย สามสหายสัมผัสได้ถึงอันตราย ไม่มีการรอช้า พวกเขารีบล่าถอยทันที


เสียงเห่าหอนจำนวนนับไม่ถ้วนดังก้องอยู่ในศีรษะของพวกเขาขณะที่พวกเขาถอยหนี เสียงนั้นฟังดูคล้ายกับเสียงร้องด้วยความโกรธขึ้งและเจ็บปวดของคนจำนวนมหาศาล ฟังดูสมจริงเป็นอย่างยิ่ง คลื่นกระแทกที่แผ่กระจายออกมาบีบให้ทั้งสามต้องถอยร่นออกมาไกลขึ้นอีก โลหิตกระเซ็นออกมาจากริมฝีปากของทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหวังเป่าเล่อที่อาเจียนเอาโลหิตออกมาถึงเจ็ดครั้ง พวกเขาถอยออกมาอย่างทุลักทุเล จนกระได้พักหายใจหลังจากที่หนีออกมาได้ไกลระยะหนึ่ง


“ยิ่งพลังปราณแข็งแกร่งเท่าใด แรงกระแทกนั้นยิ่งรุนแรงขึ้นเท่านั้น!” เจ้าเยี่ยเหมิงยกมือขึ้นปาดโลหิตออกจากปาก นางจ้องมองหลุมศพจากห่างๆ เขม็ง หลังจากที่หายจากอาการตื่นกลัวแล้ว นางจึงหันหน้าไปจ้องหวังเป่าเล่อ


บทที่ 613 ไสหัวไปเจอปัญหาใหญ่!

เสียงหายใจน่าสะพรึงที่ดูเหมือนมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์ในเวลาเดียวกัน ไหนจะรัศมีที่เหมือนจะเป็นรัศมีจากอาวุธเวทอีก…หลุมฝังศพแห่งนี้น่าสนใจเสียจริง! หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง เขาจ้องไปยังประตูที่ส่องสว่างที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยเหล่าคำสาปแต่ตอนนี้หายไปอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับหลุมฝังศพที่ดูเหมือนจะกลับสู่สภาวะปกติ หลังจากที่เงียบอยู่นาน ชายหนุ่มก็ทอดถอนใจยาว


“มีบางอย่างแปลกๆ เกี่ยวกับหลุมฝังศพนี้ ด้วยระดับปราณของพวกเราในตอนนี้คงจะเป็นการยากที่จะหาความจริงได้ อาจจะต้องรอเมื่อพวกเราไปถึงขึ้นจุติวิญญาณ…พวกเราจึงค่อยกลับมาลองดูใหม่อีกครั้ง” เจ้าเยี่ยเหมิงจ้องมองไปยังหลุมฝังศพเบื้องหลังคำสาปเหล่านั้น นางนึกไปถึงลมหายใจจากสุสานและแรงกระแทกอันใหญ่หลวงที่นางเพิ่งประสบมาก่อนจะพูดอย่างหม่นหมอง


กงเต๋าเองก็คล้ายกัน ทั้งสามได้แต่จ้องมองกันอยู่ไปมาก่อนจะตัดสินใจยอมแพ้ พวกเขามุ่งหน้าตรงกลับตำหนักวังบูชาด้วยความตั้งใจจะเคลื่อนย้ายกลับบ้านจากที่นั่น แต่ด้วยเหตุผลบางประการ พวกเขาไม่อาจจะเคลื่อนย้ายตรงกลับสำนักวังเต๋าไพศาลได้ การเคลื่อนย้ายจะส่งพวกเขาออกไปถึงขอบของตัวกระบี่เท่านั้น จากนั้นพวกเขาจึงจะข้ามเขตพรมแดนออกไปยังด้ามกระบี่ได้


ถึงอย่างนั้น การเคลื่อนย้ายนี้ก็ยังช่วยประหยัดเวลาได้มาก พวกเขานิ่งเงียบขณะที่เดินทางกลับตำหนักวังบูชา สิ่งที่เกิดขึ้นที่สุสานนั้นยังชัดเจนอยู่ในใจ หวังเป่าเล่อรู้สึกได้ว่าเขาอาจจะพลาดบางอย่างไป ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่าคือสิ่งใดกระทั่งเดินทางกลับมาถึงตำหนักวังบูชา และเมื่อเริ่มใช้คาถาเคลื่อนย้าย เจ้าเยี่ยเหมิงก็พูดขึ้น


“อาจจะมีอีกวิธีที่จะช่วยเราไขความลับของหลุมฝังศพนั้นได้…วิธีนี้เกี่ยวกับไม้ หากเราสามารถพาผู้ฝึกตนที่มีรากฐานปราณเป็นไม้ พวกเราอาจจะสามารถต้านทานหมอกสีเขียวและเข้าไปในหลุมฝังศพนั้นได้…แต่ผู้ฝึกตนประเภทนี้มีน้อยนิด แถมยังมีความเสี่ยงสูง ผู้ฝึกตนคนนั้นต้องเป็นไม้ทั้งตัวเท่านั้นจึงจะมีโอกาสสำเร็จ” เจ้าเยี่ยเหมิงพูด แล้วก็ถอนใจ นางเพิ่งคิดเรื่องนี้ออกเมื่อมาถึงตำหนักนี่เอง


ไม้ทั้งตัวหรือ เมื่อได้ยินสิ่งที่เจ้าเยี่ยเหมิงพูด หวังเป่าเล่อก็ชูคอขึ้นมาทันที ในศีรษะโปร่งโล่งขึ้น ราวกับรอยแยกระหว่างหมู่เมฆฝน ความคิดของชายหนุ่มชัดเจน และเขารู้แล้วว่าสิ่งที่เขาพลาดไปเมื่อครู่นั้นคืออะไร มีแสงประหลาดส่องประกายอยู่ในดวงตา


สิ่งนั้นนั่นเองที่ข้ามองข้ามไป ผู้ฝึกตนรากฐานไม้…หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง ขณะที่ชายหนุ่มนิ่งคิดอยู่นั้น คาถาเคลื่อนย้ายก็เปล่งแสงขึ้นห้อมล้อมกายพวกเขา ทั้งสามค่อยๆ จากหายไปจากภายในตำหนักวังบูชา


แสงจากคาถานั้นอ่อนจางลงเมื่อพวกเขาจาก ในไม่ช้าทุกอย่างก็กลับคืนสู่สภาวะปกติ ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง มีเพียงแต่หลุมฝังศพ ที่ยังมีเสียงหายใจแผ่วจากดังมาให้ได้ยิน ท่ามกลางการเคลื่อนไหวขึ้นลงของหมอกสีเขียว


ในบริเวณเส้นเขตแดนของตัวกระบี่ ไม่ไกลจากอาณาเขตของด้ามกระบี่นัก คลื่นพลังของการเคลื่อนย้ายแหวกอากาศออกมา ตามมาด้วยการปรากฏตัวขึ้นของหวังเป่าเล่อและเพื่อน หลังจากที่มองดูว่าอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง พวกเขาก็เริ่มวิ่งทันที ไม่นานนักก็ออกมาพ้นเขตของตัวกระบี่และก้าวเข้าสู่ทะเลเพลิงในอาณาเขตของด้ามกระบี่


ความร้อนผะผ่าวพวยพุ่งเข้าใส่หน้าของทั้งสาม แต่ทว่าเพราะอุณหภูมิที่แตกต่างกันระหว่างตัวกระบี่และด้ามกระบี่ ลมร้อนนั้นก็รู้สึกเย็นสบายขึ้นอย่างประหลาด หวังเป่าเล่อสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะเอื้อมแตะกำไลคลังเก็บ ไม่เพียงแต่สมบัติจำนวนมหาศาลเท่านั้น ในนั้นยังมีตราประจำตัวสีม่วงอยู่อีกด้วย


เป็นสิ่งเลอค่าสูงสุดที่เขาได้มาในการเดินทางครั้งนี้!


ข้าเป็นศิษย์อุปถัมภ์แล้ว! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อแวววาวไปด้วยความตื่นเต้น ชายหนุ่มจ้องมองเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า ทั้งคู่ก็ดูเหมือนว่าจะรู้สึกคล้ายกัน ไม่ว่าจะเป็นศิษย์สำนักในหรือศิษย์สำนักนอก ทั้งคู่ก็เปรียบเสมือนดังที่สุดของที่สุดในสำนักวังเต๋าไพศาลยุคปัจจุบัน พวกเขาทั้งสามจะต้องได้รับการนับหน้าถือตาอย่างสูงในสำนักวังเต๋าไพศาลต่อจากนี้


แทบจะจินตนการถึงสถานะที่เปลี่ยนไปของพวกเขาทั้งสามเมื่อกลับไปถึงได้เลยทีเดียว


“กลับมาอีกครั้งกันเถอะ ครั้งหน้า ชวนจั่วอี้ฟานมาด้วย พวกเราจะได้มีกระเป๋าคลังเก็บเพิ่มอีกสักใบสองใบ แล้วไปล่าสมบัติกันอีก!” หวังเป่าเล่อวางความโลภที่เขามีต่อสิ่งที่อยู่ภายใต้หลุมฝังศพลงและพูดออกมา ชายหนุ่มดูเหมือนจะอยู่ในอารมณ์รื่นเริงถึงขีดสุด กงเต๋าเองก็ดูเหมือนจะปลดปล่อยตนเองออกจากอารมณ์หวาดกลัวที่เขามีต่อหลุมฝังศพได้สำเร็จ เขาคิดถึงสิ่งของที่เก็บมาได้และอนาคตอันสดใสเบื้องหน้าแล้วก็อดตื่นเต้นไม่ได้


เจ้าเยี่ยเหมิงยิ้มบางๆ นางจับปอยผมปอยหนึ่งที่ถูกลมกวาดกระจายไปทัดไว้หลังหู นัยน์ตาของนางเปี่ยมไปด้วยความหวังต่ออนาคต ทั้งสามแปรสภาพเป็นสายรุ้งและพุ่งทะยานข้ามท้องฟ้ามุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล


ระยะทางที่พวกเขาต้องเดินทางนั้นต้องใช้การเคลื่อนย้ายหลายครั้งหลายครา และยังต้องใช้เวลาร่วมสองสัปดาห์ พวกเขาไม่ได้เร่งรีบแต่อย่างได้ ต่างพากันพูดคุยและหัวเราะระหว่างเดินทางกลับ ช่างผ่อนคลายยิ่ง พวกเขาเคลื่อนย้ายอีกหลายครั้งจนอีกสามวันจะถึงสำนักวังเต๋าไพศาล เมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นเสียก่อน!


พวกเขาไม่ได้พบเจออันตรายแต่อย่างใด แต่ว่า…หวังเป่าเล่อได้ยินเสียงร้องไห้อย่างเจ็บปวดและหวาดกลัวอยู่ในศีรษะ!


เสียงร้องนั้นไม่ใช่ของมนุษย์ แต่เป็นของลา!


“ลูกข้า! ลูกข้า! ลูกข้า! ลูกข้า!”


เจ้าลาไม่มีแหวนสื่อสาร แต่ทว่ามันก็มีจิตเชื่อมโยงกับหวังเป่าเล่อ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะไม่สามารถสัมผัสถึงเจ้าลาได้อย่างชัดเจนเพราะระยะทาง แต่ทว่าเมื่อใกล้เข้า เขาก็เริ่มได้ยินมันชัดขึ้น


ขณะนี้ เจ้าลากำลังพยายามใช้จิตเชื่อมโยงกับหวังเป่าเล่อในการขอความช่วยเหลือ!


ไม่มีใครอื่นจะได้ยินเสียงร้องไห้นี้ได้ หรือหากได้ยิน พวกเขาก็จะไม่เข้าใจสิ่งที่ลากำลังจะพูด คงจะสัมผัสได้เพียงแค่ความวิตกกังวลและความกลัวอันใหญ่หลวงในน้ำเสียงเท่านั้น หวังเป่าเล่อสนิทกับเจ้าลาเป็นอย่างยิ่ง ชายหนุ่มรู้ทันทีว่าสิ่งที่เจ้าลาพยายามจะสื่อคือสิ่งใด เสียงร้องไห้ยาวนานนั้นแปลว่ามาเป็นภาษามนุษย์ได้คำเดียวว่า


“ช่วยด้วย!”


หวังเป่าเล่อชะงักทันที ชายหนุ่มเริ่มหายใจแรงและสีหน้าหมอง เขากำลังจะฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าลาแต่จิตเชื่อมต่อกลับถูกตัดไปเสียกอ่น!


เหมือนกับว่ามีพลังบางอย่างขวางระหว่างหวังเป่าเล่อและเจ้าลาอยู่เพื่อคอยขัดขวางการเชื่อมต่อนั้น!


หวังเป่าเล่อแอบตัวสั่นอยู่เงียบๆ ความวิตกกังวลก่อตัวในใจ ชายหนุ่มอาจจะเลี้ยงดูเจ้าลาอย่างโหดร้าย ด้วยทั้งการลงโทษและทุบตี แต่เขาก็ยังถือว่ามันเป็นลูกชาย เขาตีได้คนเดียวเท่านั้น ไม่ยอมให้ใครอื่นมารังแกมันได้


เสียงขอความช่วยเหลือจากเจ้าลานั้นช่างน่าสงสาร ราวกับมาดึงหัวใจของหวังเป่าเล่อก็ไม่ปาน ชายหนุ่มเร่งฝีเท้าไปข้างหน้าด้วยสีหน้าเขร่งขรึม


แม้ว่าจิตเชื่อมต่อของพวกเขาจะถูกสะบั้นลง แต่หวังเป่าเล่อก็ยังสามารถหาตำแหน่งของลาได้จากที่เขาได้สัมผัสเอาไว้ก่อนหน้านี้ มันอยู่ที่…สำนักวังเต๋าไพศาล!


เกิดอะไรขึ้นนะกันนะ…หวังเป่าเล่อแทบไม่อาจจะควบคุมแววตาเย็นชาในดวงตาตนเองได้ ขณะที่เขาวิ่งจ้ำออกไปทั้งเจ้าเยี่ยเหมิงและกงเต๋า ผู้ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ ก็สัมผัสได้ถึงรีศมีเย็บเยียบจากการของหวังเป่าเล่อ ทั้งสองจึงขนลุกและรีบเร่งฝีเท้าตาม


“เป่าเล่อ เกิดอะไรขึ้นหรือ” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เจ้าเยี่ยเหมิงก็อดไม่ได้ที่จะต้องถาม


“ไสหัวไปส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือมา!” หวังเป่าเล่อพูดออกมาอย่างยากเย็น เจ้าเยี่ยเหมิงกับกงเต๋ารู้จักชื่อเจ้าลาดี ความตกใจพาดผ่านนัยน์ตาของทั้งครู่เมื่อได้ยิน หวังเป่าเล่อหยิบเอาแหวนสื่อสารออกมาและติดต่อประมุขสำนักสวีแห่งสำนักรุ่งสางจักรพิภพ ผู้ที่ขณะนี้อยู่ในสำนักวังเต๋าไพศาลทันที!


ประมุขสำนักสวีไม่ทราบเรื่อง เขาเองก็ตกใจเมื่อได้ยินข้อความเสียงของอีกฝ่าย ชายวัยกลางคนบอกหวังเป่าเล่อให้ไม่ต้องกังวล เขาจะช่วยตามเรื่องให้ หวังเป่าเล่อยังคงเคลื่อนที่ต่อไปด้วยความเร็วเท่าเก่า มุ่งหน้าไปยังสำนักวังเต๋าไพศาล พลางส่งข้อความเสียงไปหาทุกๆ คน เพื่อหาข้อมูลเพิ่ม


ไม่นานนักทุกๆ คนก็รายงานเขาและชายหนุ่มก็ได้ล่วงรู้เหตุฉุกเฉินของเจ้าลา ลาดำไปกัดเอาหม้อหลอมโอสถของผู้อาวุโสขั้นจุติวิญญาณไปคำใหญ่ ผู้อาวุโสท่านนั้นมีชื่อว่าซุนไห่ เป็นลูกน้องของเมี่ยเลี่ยจื่อ หม้อหลอมโอสถนั้นหลอมขึ้นมาจากวัตถุดิบหายากราคาแพงมากมาย แต่กลับถูกทำลายไปจนเกือบหมดเพราะถูกลากัดเพียงครั้งเดียว


ซุนไห่จับเจ้าลาได้ด้วยความโกรธเคือง และวางแผนจะสังหารมันเสีย!


“เป่าเล่อ ข้าไปหารายชื่อคนที่รู้จักเขามาแล้ว ไม่มีประโยชน์หรอก ซุนไห่บอกว่าเขาจะไม่ฟังใครทั้งนั้น เขาตั้งใจจะใช้เจ้าลาเป็นวัตถุดิบหลอมโอสถเลือดเนื้อ!


หวังเป่าเล่อเริ่มปวดหัวหนึบขึ้นมาทันทีที่ได้ยิน ชายรู้จักลาของเขาดี มันทำอะไรแบบนี้อยู่เป็นประจำ ความตะกละทำให้มันตกที่นั่งลำบาก แต่มันก็ยังเป็นลูกชายเขา ชายหนุ่มหันหน้ามองกงเต๋าและเจ้าเยี่ยเหมิงทันทีที่ได้ยิน


“ข้าต้องไปแล้ว!” เมื่อพูดจบ เขาก็ปล่อยความเร็วสูงสุดออกมา เร็วเกือบจะเทียบเท่าการเคลื่อนย้ายทีเดียว ชายหนุ่มแปรสภาพเป็นสายรุ้งและพุ่งทะยานข้ามท้องฟ้าไป ความเร็วของเขาทำให้การเดินนั้นเร็วขึ้นเกือบสามเท่า หวังเป่าเล่อจะสามารถไปถึงตำหนักวังบูชาได้ภายในวันเดียวเท่านั้น


“ประมุขสำนักสวี ไม่ว่าท่านต้องทำอย่างไรก็ตามแต่ โปรดช่วยซื้อเวลาให้ข้าสักวันหนึ่งเถิด!”


“เป่าเล่อ ข้าจะพยายาม อย่าทำอะไรหุนหันเล่า ข้าเชื่อว่าหากเจ้ายอมจ่ายค่าชดเชยให้ก็น่าจะสะสางปัญหาได้ อีกอย่างหนึ่ง เจ้าเองก็เพิ่งจะกลับมาจากตำหนักวังบูชา สถานะของเจ้าตอนนี้ก็ยังไม่มั่นคง เราไม่สามารถตัดความเป็นไปได้ที่ว่าพวกตั้งใจจะให้เกิดเรื่องเช่นนี้ ระวังตัวด้วยเล่า!”


บทที่ 614 เลือกความอัปยศอดสูมากกว่าศักดิ์ศรี!

หวังเป่าเล่อหรี่ตาลง มีประกายเย็นยะเยือกสะท้อนอยู่ภายใน ขณะที่เขามุ่งหน้าไปนั้น ชายหนุ่มก็คิดคำนวณถึงความเป็นไปได้ว่าจะมีแผนการเบื้องลึกซ้อนอยู่ในเรื่องนี้ไปด้วย


ระมัดระวังตัวเอาไว้ไม่เสียหาย หากว่าจ่ายเงินแล้วจบเรื่องได้ ข้าก็ยินดีจ่าย จากการเดินทางครั้งล่าสุดของหวังเป่าเล่อ เขาก็น่าจะได้แต้มการรบมาหลายแสน ชายหนุ่มยินดีจะจ่ายค่าชดเชยให้


หากนี่เป็นกับดักแล้ว พวกเขาจะมาโทษข้าไม่ได้ละที่ป้องกันตัว! นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อสะท้อนแววเยือกเย็น ชายหนุ่มเปิดแหวนสื่อสารขึ้นและติดต่อเซี่ยไห่หยาง ครั้งนี้ เขาไม่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องเจ้าลา แต่ถามว่าหม้อหลอมโอสถของซุนไห่นั้นเสียหายมากน้อยเพียงใดแทน!


เซี่ยไห่หยางถามไปมาสักพักก็ได้รายละเอียดเกี่ยวกับความเสียหายมา


“หม้อหลอมโอสถนั้นราคาไม่ถูกเลยเป่าเล่อ มีราคาถึงห้าหมื่นแต้มการรบ!” เซี่ยไห่หยางพูด ไม่รู้เลยว่าหวังเป่าเล่อตอนนี้นั้นร่ำรวยเพียงใด เขาทอดถอนใจเมื่อได้ยินราคา


ห้าหมื่นแต้มงั้นหรือ… หวังเป่าเล่อพยักหน้าก่อนจะกล่าวขอบคุณ และวางสาย ห้าหมื่นแต้มการรบอาจจะไม่ใช่น้อยๆ สำหรับเขาแต่ทว่าก็ไม่ใหญ่เกินไป หวังเป่าเล่อผู้เตรียมใจไว้แล้วก็ยิ่งเพิ่มความเร็วมุ่งตรงไปข้างหน้า ข้ามทะยานผ่านสรวงสวรรค์ไป ในที่สุดก็มาถึงระยะที่จะถึงสำนักวังเต๋าไพศาลได้ในตอนเช้ามืดวันรุ่งขึ้น!


ชายหนุ่มส่งข้อความเสียงหาเซี่ยไห่หยางและประมุขสำนักสวีอยู่อีกพักใหญ่เพื่อยืนยันให้แน่ใจว่าเจ้าลาปลอดภัย ทุกๆ สิ่งเริ่มยืนยันให้เขาแน่ใจว่าเรื่องทั้งหมด…เป็นแผนที่หวังจะเล่นงานเขา!


น่าสนใจ รัศมีความรุนแรงแผ่ออกมาจากกายหวังเป่าเล่อแต่ก็ถูกกลบหายไปอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของชายหนุ่มยังคงนิ่งเฉยขณะที่เขาพุ่งผ่านท้องฟ้าและมาถึงสำนักวังเต๋าไพศาล คนแรกที่หวังเป่าเล่อไปพบก็คือประมุขสำนักสวี ผู้ซึ่งมารออยู่ก่อนแล้ว


“ตามข้ามา!” ประมุขสำนักสวีกล่าวทันทีที่เห็นหน้าหวังเป่าเล่อ เขาเดินนำไป หวังเป่าเล่อพยักหน้าและเดินตามประมุขสำนักสวี มุ่งหน้าตรงไปยังเกาะชั้นนอกที่ไม่ห่างออกไปนัก


ในสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณทุกคนมีเกาะเป็นของตนเอง เกาะของพวกเขานั้นโดยมากแล้วมีขนาดใหญ่และหนาแน่นไปด้วยปราณวิญญาณเข้มข้น เกาะเหล่านั้นเป็นสมบัติส่วนตัวของพวกเขา ศิษย์และผู้ติดตามมากมายของพวกเขาก็พากันมาอยู่อาศัยด้วยกันบนเกาะทั้งหมด


เกาะของซุนไห่ก็เป็นอย่างนั้นเช่นกัน แม้ว่าจะไม่ใช่เกาะที่ดีเลิศ แต่ก็ดูดีกว่าเกาะเพลิงเขียวของหวังเป่าเล่อ ทั้งในด้านตำแหน่งที่ตั้ง ปราณวิญญาณ หรือราคาก็เทียบกันไม่ติด


“นั่นคือเกาะอากาศศักดิ์สิทธิ์ของซุนไห่ เป่าเล่อ ฟังข้าให้ดี อย่าหุนหัน ทำตามแผน หากสามารถจบเรื่องได้โดยการจ่ายค่าเสียหายก็ถือว่าดี ข้าไปรวบรวมแต้มการรบมาได้จำนวนหนึ่ง น่าจะเพียงพอ!” เมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้เกาะ ประมุขสำนักสวีจึงต้องเตือนหวังเป่าเล่ออีกคราด้วยความกังวลฉายอยู่บนแววตา


พวกเขามองเห็นควันดำลอยละล่องขึ้นมาเป็นสายจากเกาะของซุนไห่ เสียงกัมปนาทดังสนั่นดังก้อนออกมาจากจัตุรัสสาธารณะบนเกาะ


หากแค่นั้นก็คงจะไม่เท่าใดนัก แต่ยิ่งพวกเข้าใกล้ขึ้นไปเท่าใด หวังเป่าเล่อก็ได้ยินเสียงร้องมาจากที่เดียวกับที่ควันดำกำลังพวยพุ่งออกมา


เสียงร้องนั้นมาจากลาของเขานั่นเอง!


นัยน์ตาของหวังเป่าเล่อเย็นเยียบ ก่อนที่ชายหนุ่มจะพุ่งตัวนำไปข้างหน้า ประมุขสำนักสวีถอนใจก่อนจะรีบตามติดไป ทั้งครู่มาถึงเกาะอากาศศักดิ์สิทธิ์แล้ว!


เกาะนั้นสั่นสะเทือนทันทีที่พวกเขามาถึง กำแพงแสงปรากฏขึ้นรอบเกาะ สร้างเป็นวงแหวนปราณที่กันไม่ให้คนนอกเข้ามาได้ แต่ทว่า เมื่อวงแหวนปราณนั้นแตะโดนหวังเป่าเล่อ ชายหนุ่มก็เรียกใช้งานปราณของเขาและก้าวออกไปข้างหน้าอย่างดุดัน เกิดเสียงระเบิดดังสนั่น และเขาก็แหวกเข้าไปอยู่ในวงแหวนปราณได้


การบุกรุกนั้นทำให้วงแหวนปราณสั่นคลอน แสงสว่างจ้าหลายดวงปรากฏขึ้นและล้อมพวกเขาเอาไว้ พร้อมกันดึงความสนใจของผู้ฝึกตนจากทั้งเกาะมารวมกัน พวกเขาเงยหน้ามองฟ้าและเห็นหวังเป่าเล่อลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศเหนือจัตุรัสสาธารณะนั่นเอง!


หวังเป่าเล่อหลุบศีรษะลง มีหม้อหลอมโอสถสูงร่วมสิบเมตรอยู่ตรงกลางจัตุรัส มีผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในนับสิบคนนั่งล้อมอยู่ พวกเขาใช้พลังปราณในการจุดไฟให้หม้อหลอมนี้ เปลวไฟเริ่มทำให้หม้อหลอมร้อนขึ้นทุกที เช่นเดียวกับเสียงร้องไห้ของลาที่ดังขึ้นเรื่อยๆ มาจากในหม้อหลอมนั้นเอง


เห็นได้ชัดว่าพวกเขาพยายามใช้ลาเป็นวัตถุดิบการหลอม ผู้อาวุโสคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าบรรดาผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในทั้งหมด เขาเป็นคนดูน่านับถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งดวงตาของเขา ที่ลึกโหลเข้าไปและมีสีสวยงามมหัศจรรย์ มันส่องสว่างเป็นสีแดง ผู้อาวุโสเงยศีรษะขึ้นทันทีที่หวังเป่าเล่อมาถึง ก่อนจะมองชายหนุ่มด้วยสายตาเย็นชา


หวังเป่าเล่อเดือดดาลขึ้นมาทันทีที่เห็นว่าลาของเขากำลังถูกหลอม ชายหนุ่มสังเกตเห็นว่าการหลอมนั้นต้องใช้เวลานานกว่าจะสมบูรณ์ หากว่าความช่วยเหลือมาถึงทันเวลา เจ้าลาก็จะเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นและจะไม่มีบาดแผลที่อยู่ยืนยาวแต่อย่างใด เป็นเหตุให้ชายหนุ่มต้องกลืนเอาก้อนความโกรธลงไปก่อนจะต้องมองผู้อาวุโสแล้วพูดว่า


“ข้าน้อยเป่าเล่อ คารวะผู้อาวุโสซุน”


“ชายชราผู้น่าเวทนาผู้นี้ไม่บังอาจกล้ารับคำทักทายจากศิษย์เอกผู้ทรงเกียรติจากสหพันธรัฐหรอก” ซุนไห่พูดอย่างเย็นชา ก่อนจะส่งยิ้มเสแสร้งมาให้ทีหนึ่ง


หวังเป่าเล่อขมวดคิ้วเล็กน้อย ชายหนุ่มแทบจะคุมอารมณ์เอาไว้ไม่อยู่ ทันใดนั้นเอง ประมุขสำนักสวีก็ส่งยิ้มพลางเดินมาเคียงข้างเข้า ก่อนจะพาหวังเป่าเล่อขึ้นบกมาต่อหน้าซุนไห่ ประมุขสำนักยกมือขึ้นคารวะผู้อาวุโส พลางพยายามจะผ่อนคลายสถานการณ์ด้วยความช่างพูดช่างคุย


“ผู้อาวุโสซุน ทั้งหมดเป็นการเข้าใจผิดกันเท่านั้น พวกเรานำสิ่งของเล็กน้อยมามอบให้แก่ท่านเป็นสัญลักษณ์ของความจริงใจจากเรา”


ซุนไห่นึกไปถึงของขวัญรายเดือนที่เขาเคยได้รับจากประมุขสำนักสวีแล้วก็เริ่มดูผ่อนคลายลงบ้าง ชายชราเหลือบมองดูหวังเป่าเล่ออย่างรังเกียจ เขาได้เห็นการต่อสู้ของหวังเป่าเล่อตอนที่อยู่ในการทดสอบและรู้ดีว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งเพียงใด แต่ทว่าเขาก็ยังแน่ใจว่าเขาจะกำราบชายหนุ่มได้อยู่หมัด


จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม ซุนไห่จึงไม่ได้ใส่ใจถึงความจริงที่ว่าหวังเป่าเล่อเพิ่งจะกลับมาจากตำหนักวังบูชา ที่นี่คือสำนักวังเต๋าไพศาล ไม่ใช่สหพันธรัฐ ซุนไห่ยิ้มเยาะก่อนจะถาม “สัญลักษณ์แห่งความจริงใจอย่างนั้นหรือ”


หวังเป่าเล่อเป็นคนอามรมณ์ร้อนอยู่ประมาณหนึ่ง แต่ชายหนุ่มก็ยังคิดไปถึงคำพูดของประมุขสำนักสวีว่าอาจจะมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลที่นี่และเขากำลังช่วยอย่างสุดกำลัง คงไม่เหมาะควรนักหากชายหนุ่มจะทำลายความพยายามนั้นเสีย เขาจึงสุดลมหายใจลึก ก่อนจะกลืนเอาความรำคาญใจลงไป และเบนสายตาไปมองซุนไห่ก่อนจะกล่าวออกมาแช่มช้า “ข้ายินดีจะจ่ายหกหมื่นแต้มการรบเป็นค่าเสียหายให้กับท่าน ห้าหมื่นแต้มแรกเป็นค่าหม้อหลอมโอสถที่เสียหายไป และอีกหนึ่งหมื่นเพื่อชดเชยให้กับความไม่สะดวกที่ท่านได้รับ!”


“หกหมื่นอย่างนั้นหรือ” แม้ว่าซุนไห่จะเป็นถึงผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ จำนวนนั้นก็ทำเอาเขาตั้งตัวไม่ทัน หกหมื่นแต้มการรบไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ไม่ว่าจะสำหรับใครในสำนักวังเต๋าไพศาลแห่งนี้


แต่ทว่า ในบางครั้งนิสัยชั่วร้ายของคนบางคนก็เข้ามาจัดแจงการตัดสินใจของตัวเขาเอง เมื่อต้องมาพบเจอกับคนเช่นนี้ ไม่ว่าจะย่อมอ่อนข้อให้เท่าใดหรือยิ่งแสดงความอ่อนแอ ก็จะยิ่งมีโอกาสสูงที่นอกจากเรื่องจะไม่จบลงแล้ว ยังต้องถูกกลั่นแกล้งเพิ่มขึ้นไปอีก!


ซุนไห่เป็นคนเช่นนั้น เขาแทบเสียอาการ ความโลภเข้าครอบงำความคิด ประมุขสำนักสวีคิดเรื่องนี้มากเกินไป ความจริงแล้วไม่มีเจตนาแฝงใดๆ เป็นเพียงความบังเอิญเท่านั้น แต่ทว่า ซุนไห่มองเห็นว่าศัตรูเปิดช่องว่าง เขาหรี่ตาลง จ้องมองหวังเป่าเล่ออยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะออกมา


“ห้าหมื่นแต้มการรบนั้น เจ้าต้องจ่ายแน่นอน แต่ทว่า เจ้าอสูรนั้นช่างไร้ยางอาย ข้าจำเป็นจะต้องสอนบทเรียนให้กับมัน ให้มันรู้ว่าสำนักวังเต๋าไพศาลไม่ใช่ที่ๆ จะมาเที่ยวเพ่นพ่านได้ตามอำเภอใจ!” ซุนไห่พูดถึงอสูรอยู่ไปมา เหมือนกับว่าจะพูดถึงเจ้าลา แต่ก็เห็นได้ชัดว่าที่จริงแล้วเขากำลังพูดถึงหวังเป่าเล่อ


ชายหนุ่มแทบจะข่มโทสะเอาไว้ไม่อยู่ นัยน์ตาของเขาเริ่มจะลุกโชนด้วยประกายเย็นยะเยือก เขาจ้องมองซุนไห่ก่อนจะถามช้าๆ “อย่างนั้นหรือขอรับ ท่านตั้งใจว่าจะทำอะไรกันหรือ”


ข้างๆ หวังเป่าเล่อนั้น ประมุขสำนักสวีเองก็เริ่มกังวลใจ เพราะดูเหมือนว่า ซุนไห่คนนี้หากไม่ได้กำลังทำตามคำสั่งของใครสักคน ก็จะต้องเป็นผู้ขาดเขลาเหลือประมาณ


“ข้าจะหลอมเจ้าอสูรตนนี้ให้กลายเป็นโอสถโลหิต หากเจ้าต้องการโอสถนั้น ข้าก็จะยอมขายให้ในราคาห้าหมื่นแต้มการรบ” ซุนไห่หรี่ตาลงพลางพยายามซ่อนแววตาโลภโมโทสัน หวังเป่าเล่อคงจะยอมเพิ่มเงินให้และยืนกรานคำเดิมว่าจะขอลากลับไป บางทีประมุขสำนักสวีอาจจะช่วยพูดให้ทั้งคู่ใจเย็นลงและยอมเลิกรากันไปด้วยการชำระหนึ่งแสนห้าหมื่นแต้มการรบแทน


ซุนไห่นั้นวางแผนทุกอย่างเอาไว้ในใจแล้ว แต่ทว่า ความเป็นจริงนั้นไม่ได้ดำเนินไปตามแผน…หวังเป่าเล่อหัวเราะหลังจากที่ได้ยินสิ่งที่ซุนไห่กล่าวออกมา


ช่างเป็นเสียงหัวเราะที่ไร้ซึ่งความอบอุ่น แต่กลับเย็นเยียบสุดประมาณ หวังเป่าเล่อหันไปส่งสายตาให้ประมุขสำนักสวี ผู้ที่ขณะนี้มีสีหน้าหม่นหมอง


“สหายร่วมสำนักเต๋าสวี ข้าลองพยายามวิธีของท่านแล้ว แต่มันไม่ได้ผล เมื่อเป็นเช่นนี้…ข้าคงไม่มีทางเลือกนอกจากจะทำตามวิธีของข้าเอง” หวังเป่าเล่อกล่าว พลังปราณของเขาปะทุขึ้นในบัดดล ก้อนเมฆเคลื่อนคล้อยอยู่บนท้องฟ้า สายลมรุนแรงพัดผ่านเข้ามาในทันใด และรัศมีอันน่าสะพรึงกลัวก็พวยพุ่งขึ้นไปสู่สรวงสวรรค์!


หวังเป่าเล่อไม่ได้พูดอีกแม้แต่คำเดียว รัศมีในกายเขาปะทุขึ้น ชายหนุ่มทิ้งร่างอวตารเอาไว้ที่ตำแหน่งเดิมของตัวเขาเผื่อเป็นแผนสำรองก่อนจะพุ่งเข้าใส่ซุนไห่ผู้ตกตะลึงทันที!


บทที่ 615 อ่อนแอ!

ซุนไห่คาดไม่ถึงว่าหวังเป่าเล่อจะกล้าโจมตีเขา เพราะเขาเป็นถึงผู้ถึงตนขั้นจุติวิญญาณ แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะปลดปล่อยพลังที่เทียบเท่าขั้นจุติวิญญาณในระหว่างการทดสอบ แต่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นใน…ก็ยังคงเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในอยู่นั่นเอง ไม่ว่าการฝึกปราณจะรุดหน้าไปเพียงใด เขาเองก็ยังไม่อาจจะเป็นคู่มือซุนไห่ได้หากยังไม่บรรลุขั้นจุติวิญญาณเสียก่อน


“หวังเป่าเล่อ เจ้ารนหาที่เสียแล้ว!” ซุนไห่หัวเราะอย่างบ้าครั้ง ชายชรายกมือขึ้นวาดเป็นผนึกก่อนจะส่งออกไปข้างหน้า ปลาหมึกสีดำทมิฬปรากฏขึ้น ก่อนจะพ่นหมึกสีดำสนิทใส่หน้าหวังเป่าเล่อก่อนจะส่งหนวดพุ่งตามเข้ามา


สิ่งนี้ไม่ใช่ปลาหมึกยักษ์ธรรมดา แม้ว่าจะเป็นภาพมายา แต่พลังที่มันแผ่ออกมานั้นก็เทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณเลยเชียว แม้ว่าจะไม่อาจจะเทียบได้กับผู้ฝึกตนจริงๆ แต่ก็ยังมีพลังมากกว่าผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดเสียอีก หากอีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในธรรมดาๆ การโจมตีเพียงครั้งเดียวนี้ก็จะจบการต่อสู้ได้ทันที!


พลังปราณของซุนไห่ยังเข้าไปทำให้มิติในบริเวณนั้นบิดเบี้ยว ราวกับว่ามีพลังลึกลับได้ปรากฏตัวออกมาจากเบื้องบน ผู้ใดก็ตามที่พลังปราณไม่แข็งกล้าเท่าซุนไห่ก็จะต้องทรุดเพราะแรงกดดันจากพลังปราณจากของเขา!


ทุกๆ สิ่งเกิดขึ้นในพริบตา การโจมตีของซุนไห่พุ่งสวนมาทันทีที่หวังเป่าเล่อเข้ามาใกล้ แต่นั่นไม่ใช่จุดจบของการโจมตีจากซุนไห่ ชายชราตั้งใจจะทำให้หวังเป่าเล่อได้รู้ซึ้งถึงราคาของการเข้าโจมตีผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ


หากข้าทำลายพลังปราณของเจ้าเสียคงจะเป็นการลงโทษที่สาสม! ประกายแห่งจิตสังหารสะท้อนอยู่ในดวงตาของซุนไห่ พลังปราณของเขาเริ่มหมุนวน และพลังของผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณก็ครั่นครืนก็ก่อนจะระเบิดขึ้น ชายชราประสานมือเข้าด้วยกันก่อนเป็นผนึกมือ และวาดกวาดออกไปรอบกาย!


น้ำทะเลปริมาณมหาศาลไหลบ่าเข้ามารายล้อมพวกเขาเอาไว้ ราวกับว่าจะท่วมกลบทั้งสวรรค์และพื้นพิภพ ก่อตัวกลายเป็นคลื่นยักษ์ที่มุ่งตรงเข้าหาหวังเป่าเล่อ ราวกับจะกลืนชายหนุ่มเข้าไป!


“เป็นแค่ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในกลับไม่เจียมตัว เห็นพลังนี้หรือไม่ นี่คือพลังของผู้ที่อยู่ในขั้นจุติวิญญาณอย่างไรเล่า!” เสียงของซุนไห่ดังก้องขึ้นมาปกคลุมความว่างเปล่า ราวกับว่าซุนไห่กลายเป็นเทพยดา ชายชราได้กลายเป็นมหาสมุทรคลั่งที่กำลังจะกลืนหวังเป่าเล่อลงไป


ผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในที่รายล้อมอยู่เฝ้ามองอย่างตื่นเต้น พวกเขาจ้องฉากตรงหน้าตาไม่กะพริบ มีความเสียดายฉายวับอยู่บนแววตา สำหรับพวกเขาแล้ว หวังเป่าเล่อนั้น…ได้ตายไปแล้วอย่างแน่แท้


ประมุขสำนักสวีโมโหเป็นอย่างยิ่ง เขาต้องการจะช่วย แต่พลังปราณขั้นจุติวิญญาณก็กดเอาพลังปราณของเขาเอาไว้ คงเข้าไปช่วยได้ไม่ทันการเป็นแน่


ดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งใดสามารถหยุนซุนไห่ได้อีก แต่ทว่า สีหน้าของชายชรากลับแสดงอาการตกใจ หวังเป่าเล่อ ผู้ซึ่งถูกหนวดปลาหมึกจับแถมยังโดนคลื่นถาโถม กลับเปล่งรัศมีอันน่าตื่นตะลึงออกมา!


จุดตันเถียนสีโลหิตและเศษกระดูกสีขาวโพลนพวยพุ่งออกมาด้านนอก ในพริบตาเดียว เกราะจักรพรรดิก็ออกมาห่อหุ้มหวังเป่าเล่อเอาไว้ จุดตันเถียนสีโลหิตและกระดูกขาวโพลนทำให้ชายหนุ่มดูน่าสะพรึงกลัว ผู้ชมโดยรอบพากันตกตะลึง หวังเป่าเล่อไม่ใส่ใจการโจมตีของปลาหมึก ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นจับมันเอาไว้


หวังเป่าเล่อไม่ได้สนใจหนวดที่เหวี่ยงสะเปะสะปะอย่างสิ้นหวังนั้นไม่ เขากำหมัดแน่นขึ้น สีหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ ปลาหมึกแห่งเฉาและถูกบีบจนสลายกลายเป็นหมอกแล้วก็จางหายไป


การต่อสู้ทั้งหมดดูง่ายดายยิ่ง ปลาหมึกยักษ์ดูราวกับว่าอ่อนแอ เหมือนดั่งกระดาษที่ชายหนุ่มจะขยี้ทิ้งเสียเมื่อใดก็ย่อมได้ หวังเป่าเล่อเงยศีรษะขึ้นจ้องมองซุนไห่ ขณะที่รัศมีที่แข็งแกร่งปะทุออกมาจากเกราะจักรพรรดิของเขา!


รัศมีนั้นเข้าปะทะกับแรงกดดันจากซุนไห่ เป็นการต่อสู้ที่มองไม่เห็น


แต่การต่อสู้นั้นก็ก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทดังต่อเนื่อง ราวกับว่ายักษ์ล่องหนสองตนกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดกระนั้น ขณะที่หวังเป่าเล่อปล่อยพลังออกมา ลมหายใจของผู้อาวุโสซุนไห่ก็เริ่มขาดห้วง เขากำลังพยายามจะหายจากอาการตื่นตะลึง จิตสังหารฉาบเคลือบอยู่ในแววตา ก่อนจะใช้ผนึกมืออีกครั้ง น้ำทะเลที่รายล้อมอยู่ไหลมารวมตั้วกันก่อเป็นรูปปั้นขนาดยักษ์ที่สูงร่วมร้อยเมตร!


รูปปั้นยักษ์นั้นเป็นรูปซุนไห่ มันพยายามจะเข้ามาล้มหวังเป่าเล่อด้วยพละกำลัง


ชายหนุ่มโคลงศีรษะ สีหน้าของเกราะจักรพรรดินั้นดูจะผิดหวังอยู่เล็กน้อย ขณะที่รูปปั้นนั้นเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มก็ก้าวขาออกมาข้างหน้า ก่อนจะยกกำปั้นขึ้นส่งออกไป


พลังของเขานั้นรุนแรงขึ้นเป็นสามเท่า และยิ่งรุนแรงขึ้นอีกด้วยพลังของเกราะจักรพรรดิ ยิ่งไปกว่านั้น ความแข็งแกร่งที่เพิ่มพูนขึ้นมาการจากบรรลุขั้นการฝึกตนก็แปลว่าหมัดที่หวังเป่าเล่อเพิ่งจะส่งไปนั้นรุนแรงกว่าที่เขาได้แสดงให้เห็นในการทดสอบอีกมากมายนัก อากาศสะเทือนเลื่อนลั่นเมื่อกำปั้นของเขาพุ่งออกไป และเกิดเป็นเสียงกัมปนาทดังราวกับสายฟ้าฟาดเมื่อมันกระทบเป้าหมาย มีเสียงแตกดังสนั่นตามมา


รอยแตกเริ่มจะปรากฏขึ้นบนรูปปั้นของซุนไห่ เพียงสองลมหายใจ รูปปั้นนั้นก็แตกสลาย ใบหน้าของซุนไห่ซีดขาว ก่อนจะล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว สายตาเขาแสดงความไม่อยากจะเชื่อออกมา แต่ชายชราก็ยังไม่ยอมแพ้ ขณะที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ เขาก็ยกมือขวาขึ้นทุบหน้าผากตนเองอย่างแรง มีลำแสงพวยพุ่งออกมาจากหน้าผากสร้างขึ้นเป็นกระจกบานหนึ่งตรงหน้าเขา


กระจกนั้นหันหน้าไปทางหวังเป่าเล่อและเงาสะท้อนของเขาก็ปรากฏขึ้น ซุนไห่ตะโกนก่อนจะซัดฝ่ามือใส่กระจกอย่างจัง เมื่อกระจกแตกสลายไป หวังเป่าเล่อก็ตัวสั่น มีประกายประหลาดสะท้อนอยู่ในแววตาก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าใส่ซุนไห่ทันที


ไม่ได้ผลงั้นหรือ เป็นไปไม่ได้! สีหน้าของซุนไห่แสดงความตกใจสุดขีด เขาถอยร่นไปพลางพยายามจะเรียกกระจกอีกบาน เขากำลังจะใช้การโจมตีจากกระจกอีกครั้งแต่หวังเป่าเล่อพุ่งออกมาก่อนที่กระจกจะได้ขโมยเงาของเขาไป ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นหยิบเอาหอกสีดำออกมา สายฟ้าแลบแปลบปลาบปกคลุมท้องฟ้า และสายฟ้าขนาดใหญ่ก็ฟาดลงมาพอดีกับที่เขาซัดหอกออกไป


เสียงระเบิดดังสะเทือนเลื่อนลั่นอยู่ในอากาศ เป็นเสียงของหอกที่ผ่าท้องฟ้าออกเป็นซีก มันพุ่งเข้าไปใส่กระจกด้วยพลังที่รุนแรงจนสามารถทำลายทุกสิ่งที่ขวางหน้าได้ ซุนไห่นัยน์ตาเบิกโพลง พยายามอย่างยิ่งที่จะดึงกระจกกลับมา แต่ก็สายไปเสียแล้ว หอกพุ่งทะลุกระจกก่อให้เกิดเสียงระเบิดรุนแรง ก่อนที่กระจกจะแตกเป็นเสียง ซุนไห่ลอยละลิ่วไป หลบแรงกระแทกได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด เขาปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งที่อีกด้านหนึ่งของจัตุรัสสาธารณะ ชายชราจ้องมองหวังเป่าเล่ออย่างไม่เชื่อสายตา


“ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณ ทำได้เท่านี้เองน่ะหรือ” หวังเป่าเล่อหันไปจ้องมองซุนไห่ ชายหนุ่มโคลงศีรษะอีกครั้งราวกับหมดความอดทน เขาไม่ได้อยากจะสู้กับผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณที่อ่อนแอ หวังเป่าเล่อย่างสามขุมเข้าไปที่หม้อหลอมโอสถ ที่เจ้าลาของเขาถูกกักขังอยู่ภายใน


ซุนไห่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ สีหน้าของเขาทั้งหม่นหมองและเปี่ยมไปด้วยโทสะเข้มข้น แต่ทว่าเขาก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าหวังเป่าเล่อนั้นแข็งแกร่งเกินไป


ความสามารถทางการยุทธและสมบัติเวทของเขานั้นเทียบเท่าผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณแล้ว ไม่แตกต่างกันเลย อันที่จริงแล้วความสามารถในการป้องกันของเขาน่าจะก้าวไปไกลกว่าขั้นจุติวิญญาณเสียอีก ชายหนุ่มสามารถจะป้องกันแรงกดดันของซุนไห่แถมยังโจมตีกลับได้รุนแรงยิ่งกว่า!


แต่ทว่า ถ้าหวังเป่าเล่อมาเอาลากลับไปได้ง่ายๆ ซุนไห่กลัวว่าหากเรื่องนี้แพร่งพราวออกไปในสำนัก เขาก็จะต้องอับอายเป็นยิ่งนัก เขาเสียใจที่ไม่ยอมยั้งมือไว้เมื่อยังมีโอกาส แต่ขณะที่ชายชรากำลังครุ่นคิดอยู่นั่นเอง ตาเขาก็เป็นประกายขึ้นมา


ไม่ใช่สิ เจ้านี่ยังมีจุดอ่อนเหลืออยู่อีก…เขาเคลื่อนย้ายไม่ได้!


เมื่อคิดได้เช่นนั้น ซุนไห่ก็หรี่ตาลง เขายกมือขวาขึ้นใช้ผนึกมือจำนวนมากอีกครั้ง น้ำทะเลมหาศาลปรากฏขึ้นทันตาและแปรสภาพกลายเป็นหอกพุ่งตรงเข้าใส่หวังเป่าเล่อ


ผู้อาวุโสหายตัวไปปรากฏอยู่ข้างๆ หวังเป่าเล่อ ใช้นิ้วมือทิ่มชายหนุ่มไปหนึ่งครั้งก่อนจะเคลื่อนย้ายหายไปโดยไม่รอดูผลจากการโจมตี


“น่ารำคาญเสียจริง” หวังเป่าเล่อไม่ต้องการจะสู้อีกต่อไป แต่ซุนไห่ที่ยังโจมตีไม่หยุดก็ทำให้ชายหนุ่มต้องขมวดคิ้ว ก่อนจะหยิบเอาประคำออกมาหนึ่งกำมือ…พวกมันก็คือประคำปิดมิติที่สามารถจะสร้างผนึกมิติชั่วคราวได้!


เพียงประคำลูกเดียวก็สามารถสร้างผนึกมิติออกมาได้ หวังเป่าเล่อเป็นคนมีน้ำใจ เขาจึงใช้ประคำไปนับสิบ ผลปรากฏว่า…มิติเวลารอบกายเขาหยุดนิ่ง ซุนไห่ ผู้ซึ่งก่อนหน้านี้เคลื่อนย้ายอยู่ไปมา ก็ถูกจับให้หยุดนิ่งอยู่กับที่!


ทุกสิ่งทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซุนไห่ไม่อาจจะตอบสนองได้ทัน มีความหวาดกลัวฉายขึ้นในแววตาเมื่อหวังเป่าเล่อเอื้อมมือขวาไปคว้าเอาศีรษะของซุนไห่ไว้


แต่ก่อนที่หวังเป่าเล่อจะได้โจมตี ก็มีคลื่นรัศอีกสองอันมุ่งตรงมาจากทางเกาะหลักอย่างเร่งรีบ เป็นพลังที่แข็งแกร่งเกินกว่าขั้นจุติวิญญาณ ถึงกับอยู่ในขั้นเชื่อมวิญญาณก็ว่าได้


เสียงของเมี่ยเลี่ยจื่อสะท้อนก้องไปบนท้องฟ้า ส่งผลให้เกิดคลื่นกระแทกระเบิดขึ้นระหว่างตัวชายหนุ่มกับซุนไห่


“หยุดเดี๋ยวนี้!”


บทที่ 616 คำตอบที่สั่นคลอนวังเต๋าไพศาล!

เสียงของเขาเปี่ยมไปด้วยพลังปราณของผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณ กระทั่งผู้ที่อยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในขั้นสูงสุดก็คงจะต้องสั่นสะท้านเมื่อได้ยิน เทียบได้กับการถูกฟ้าที่ต้องทุกข์ทรมานกับการรับคลื่นกระแทกซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนั้น


หากเมี่ยเลี่ยจื่อตั้งใจจะสังหารพวกเขาแล้ว เพียงเสียงตะโกนครั้งเดียวก็คงจะบดทับพวกเขาจนบี้แบน ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณอาจจะไม่ถึงกับตายทันที แต่ทว่าก็การเคลื่อนไหวก็คงจะถูกจำกัด ราวกับว่าวิญญาณถูกผนึกเอาไว้ก็ว่าได้


การโจมตีวิญญาณเช่นนี้เองเป็นพลังที่จำแนกให้ผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณนั้นแข็งแกร่งกว่าใคร การโจมตีประเภทนี้ช่างยากที่จะต้านทาน แม้กระทั่งหวังเป่าเล่อเองก็ถึงกับหูดับ ศีรษะตื้อตัน วิญญาณของเขาแทบจะปลิดปลิวออกจากร่าง ชายหนุ่มอยากจะโจมตีต่อไปแต่ก็ไม่อาจจะทำได้ เมื่อเขาพยายามจะถอยหนีก็พบว่าขยับไม่ได้เช่นกัน


ขณะที่หวังเป่าเล่อกำลังตัวสั่นและเพิ่งรู้สึกตัวว่าไม่อาจขยับได้นั่นเอง มีพลังงานอันยิ่งใหญ่สองแหล่งตื่นขึ้นในกายเขา แหล่งหนึ่งมาจากแม่นางน้อย อีกแหล่งหนึ่งนั้น…มาจากฝักกระบี่ของเขาเอง!


อาจเพราะว่าแม่นางน้อยสัมผัสได้ถึงพลังงานจากฝักกระบี่ นางจึงสงบลงทันที ในวินาทีนั้นเอง ฝักกระบี่ก็ปลดปล่อยเอาพลังที่ไม่ได้ออกมาจากกายหวังเป่าเล่อ แต่กลับหมุนวนอยู่ภายใน แรงกดดันจากผู้ฝึกตนขั้นเชื่อมวิญญาณสลายไปในทันที!


จิตใจชายหนุ่มเริ่มมั่นคง ความคิดก็ปลอดโปร่งขึ้น ทุกๆ สิ่งเกิดขึ้นในพริบตา ขณะที่เสียงของเมี่ยเลี่ยจื่อยังสะท้อนก้องอยู่ในอากาศและศีรษะของหวังเป่าเล่อเริ่มจะกลับคืนสู่สภาวะปกตินั้น ชายหนุ่มก็ไม่รอช้า เขารีบสลับตำแหน่งกับร่างอวตารที่ปล่อยออกมาเมื่อครู่ทันที!


ร่างจริงและร่างอวตารอัสนีสลับตำแหน่งกับอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าทั้งคู่ถูกเคลื่อนย้ายไป ร่างอวตารอัสนีไม่รอช้ารีบเอื้อมมือไปจับศีรษะซุนไห่อีกครั้งทันที หวังเป่าเล่อ ผู้ที่เคลื่อนย้ายไปอยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไปแล้ว ก็ยังไม่รีรอรีบเรียกเอากระบี่เหาะเหินสามสีออกมาและซัดเข้าไปที่เป้าหมายเดิม…คือซุนไห่!


ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทั้งหวังเป่าเล่อและร่างอวตารจู่โจมใส่พร้อมๆ กัน เมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้ซึ่งกำลังรีบร้อนพุ่งเข้ามาใส่ ก็ส่งเสียงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดมาจากกลางอากาศ


เสียงคำรามนั้นสะท้อนก้องอยู่ในอากาศ มีหัตถ์มายาขนาดมหึมาปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าและพุ่งตรงลงมา ก่อให้เกิดเสียงกัมปนาทดังสนั่น ร่างอวตารของหวังเป่าเล่อสุดจะต้านทาน ก่อนจะมันจะได้ต่อยซุนไห่ ก็ถูกหัตถ์ขนาดยักษ์นั้นทับไปเสียก่อน!


เมี่ยเลี่ยจื่อก็ยังช้าไปก้าวหนึ่ง กระบี่เหาะเหินที่หวังเป่าเล่อซัดออกมานั้นปักทะลุอกซุนไห่ ขณะที่อีกเล่มก็สะบั้นคอเขาขาดกระเด็นไป!


โลหิตกระจายฟุ้งไปทั่ว เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของซุนไห่ดังก้องไปทั่ว ผู้อาวุโสทอดทิ้งกายเนื้อของตนในวินาทีสุดท้ายและรอดไปได้ เมี่ยเลี่ยจื่อปรากฎตัวขึ้นบนท้องฟ้า แผ่นดินและสรวงสวรรค์เคลื่อนคล้อย มวลเมฆถอยกลับ ชายชราก้าวไปบนเกาะก่อนจะเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ วิญญาณจุติของซุนไห่ ก่อนจะยกมือขวาขึ้นคว้าเอาวิญญาณของซุนไห่ไปเก็บเอาไว้ในแขนเสื้อ ด้วยสีหน้าหม่นหมอง เมี่ยเลี่ยจื่อก้มลงมองดูร่างไร้วิญญาณของซุนไห่ ที่หน้าอกมีกระบี่เหาะเหินสามเล่มปักทะลุ อวัยวะภายในถูกหั่นจนเละไม่มีชิ้นดี จากนั้น ชายชราจึงลุกขึ้นและหันไปมองหวังเป่าเล่อ


“หวังเป่าเล่อ เจ้าคิดจะก่อกบฏต่อต้านสำนักหรืออย่างไร”


หวังเป่าเล่อเริ่มหายใจเร็วขึ้นนิดหนึ่ง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้กลัดกลุ้มใจมากนัก เขากลับเงยหน้าขึ้นมองฟ้า มองไปยังในทิศทางของพลังปราณขั้นเชื่อมวิญญาณที่กำลังเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็ว เมี่ยเลี่ยจื่อสัมผัสได้ถึงการมาถึงของเฟิ่งชิวหรัน หากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนการทดสอบแล้ว ชายชราก็คงฉวยโอกาสนี้สังหารหวังเป่าเล่อได้เลย


แต่ทว่า เขาได้มองเห็นความสามารถของหวังเป่าเล่อในระหว่างการทดสอบด้วยตาตนเอง และรู้ดีว่าหวังเป่าเล่อนั้นรับสืบทอดวิชามาจากดวงเนตรแห่งวิชาไม่รู้สิ้น นับได้ว่าชายหนุ่มเองก็เป็นศิษย์ที่แท้จริงของสำนักวังเต๋าไพศาลในระดับหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ได้มาจากสำนักโดยตรงหากแต่มาจากสหพันธรัฐก็เท่านั้น เมี่ยเลี่ยจื่อจึงจำเป็นต้องยั้งมือไว้ก่อน


เฟิ่งชิวหรันมาถึง นางถึงกับนิ่งงันไปเมื่อมองเห็นศพของซุนไห่ ในที่สุด นางก็ตัดสินใจเข้าข้างหวังเป่าเล่อ ก่อนจะหันไปหาเมี่ยเลี่ยจื่อแล้วพูดช้าๆ “เมี่ยเลี่ยจื่อ เจ้าควรระมัดระวังกับการพูดคำว่า ‘กบฏ’ ให้มากกว่านี้!”


“ข้าหรือที่ต้องระมัดระวัง ข้าสั่งให้เขาหยุดแล้ว แต่เขาก็ยังทำตามอำเภอใจอยู่นั่นเอง แถมยังทำกริยาเหี้ยมโหดทารุณสังหารเพื่อนร่วมสำนักด้วยกันเอง หากนี่ไม่ใช่การกบฏ แล้วจะให้ข้าเรียกว่าอย่างไรเล่า” มีความเด็ดเดี่ยวอยู่ในสายตาเย็นเยียบที่เมี่ยเลี่ยจื่อส่งไปให้หวังเป่าเล่อ


เฟิ่งชิวหรันนิ่งงันไป นางมาถึงสถานที่ช้าเกินไปและไม่รู้เรื่องทั้งหมด นางหันไปมองประมุขสำนักสวี ประมุขสำนักกำลังจะเอ่ยปากพูดแต่หวังเป่าเล่อยกมือขึ้นห้ามเสียก่อน ชายหนุ่มฉีกยิ้มก่อนจะกล่าว


“ผู้อาวุโสเมี่ยเลี่ยจื่อ ท่านเห็นข้าสังหารซุนไห่เท่านั้น ท่านจะไม่ถามซุนไห่สักหน่อยหรือว่าเขาได้ทำสิ่งใดกับข้าไว้บ้าง” หวังเป่าเล่อพูด ก่อนจะยกมือชี้ไปทางหม้อหลอมโอสถ


“ขณะนี้แล้ว อสูรศักดิ์สิทธิ์เฉพาะตัวของข้ากำลังถูกต้มทั้งเป็นอยู่ในหม้อหลอม ข้ามาที่นี่เพื่อเจรจาอย่างสันติ ข้าได้เสนอจะจ่ายค่าชดเชยราวหนึ่งแสนแต้มการรบให้แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ซุนไห่ก็ยังไม่ยอมประนีประนอม เขาโลภโมโทสันอยากจะได้แต้มการรบของข้า ก็ไม่เป็นไร เขายังเรียกข้าว่าอสูรอยู่ซ้ำไปซ้ำมา ข้าก็ไม่ปริปากบ่น เขายั่วยุจนข้าแทบจะหมดความอดทน แล้วสุดท้าย ก็ยังยืนยันจะหลอมอสูรของข้าเป็นโอสถโลหิตอยู่นั่นเอง!” น้ำเสียงที่เกรี้ยวกราดของหวังเป่าเล่อก้องกังวาล เมี่ยเลี่ยจื่อเบะปาก


ชายชราเองก็ไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นชัดเจนนัก แต่ทว่าเมื่อเห็นศีรษะที่หลุบต่ำของผู้ฝึกตนขั้นกำเนิดแก่นในรอบๆ และรู้สึกถึงสัญญาณชีวิตที่อยู่ในหม้อหลอม ทุกๆ อย่างก็เริ่มจะชัดเจนขึ้น และแม้หากหวังเป่าเล่อจะแต่งเติมเรื่องเพิ่มไปบ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มกำลังพูดความจริง


แต่เมี่ยเลี่ยจื่อก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อเจรจาหรือตามหาความจริง เขาไม่ได้สนใจว่าหวังเป่าเล่อเพิ่งจะกลับมาจากตำหนักวังบูชา ชายชราเชื่อว่าหวังเป่าเล่อคงไปถึงได้เพียงระดับศิษย์สืบทอดเท่านั้น หรือต่อให้ระดับศิษย์ของเขาจะสูงกว่าของเมี่ยเลี่ยจื่อ แต่พลังปราณเขาก็ยังไม่อาจจะเทียบได้ อันที่จริงแล้ว เป็นไปได้ด้วยว่า หวังเป่าเล่อไม่ได้รับกระทั่งระดับศิษย์สืบทอด แต่ไปถึงแต่ระดับศิษย์สำนักในเท่านั้น


หากเขาไปไม่ถึงระดับศิษย์เอกแล้วละก็…เมื่อคิดได้เช่นนั้น เมี่ยเลี่ยจื่อก็ยิ้มเยาะออกมา ก่อนจะพูดอยากเยือกเย็น “ข้าสนใจเพียงแค่ผลลัพธ์เท่านั้น ไม่สนใจเหตุ หวังเป่าเล่อล่วงเกินผู้อาวุโส เฟิ่งชิวหรัน ท่านคุ้มครองเขาไม่ได้หรอก พวกเราต้องเลือกว่าจะยึดตามกฎของสำนักหรือไล่เขาออก ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็อยากฟังคำตอบของท่านก่อนสิ้นวันนี้!”


ลักษณะนิสัยชอบใช้อำนาจบาตรใหญ่ของเมี่ยเลี่ยจื่อแสดงออกมาชัดเจนเมื่อเขาพูดประโยคนั้น เฟิ่งชิวหรันขมวดคิ้ว นางเริ่มคิดหาทางคลี่คลายสถานการณ์อย่างรวดเร็ว ข้างกายนางนั้น ประมุขสำนักสวีแอบลองมองหวังเป่าเล่ออย่างครุ่นคิด เขาไม่เหมือนกับเฟิ่งชิวหรัน เขาเชื่อว่าหวังเป่าเล่อไม่ใช่คนที่จะไม่รู้กาลเทศะ สำหรับใครสักคนที่ไต่เต้าผ่านระดับต่างของสหพันธรัฐมา ตั้งแต่เป็นศิษย์ธรรมดาๆ กระทั่งได้มาเป็นขุนนางระดับสองชั้นรอง ไม่มีทำผิดพลาดง่ายๆ เช่นนี้แน่


ความเป็นจริงนั้นไม่ไกลไปจากการคาดการณ์ของประมุขสำนักสวีสักเท่าใดนัก หวังเป่าเล่อมีเหตุผลสนับสนุนการกระทำชัดเจน หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเมี่ยเลี่ยจื่อ ชายหนุ่มก็หรี่ตาและเชิดคางขึ้นเล็กน้อย จากนั้นจึงกล่าวอย่างเยือกเย็นว่า “ท่านสนใจเพียงแค่ผลลัพธ์ แต่ไม่สนใจเหตุผลงั้นหรือ ข้าไม่ขัดข้องกับหลักการนั้นเลย…” เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็เปิดกำไลคลังเก็บขึ้น ก่อนจะหยิบเอาตราประจำตัวศิษย์สีม่วงเข้มออกมา และปล่อยพลังปราณให้หลั่งไหลเข้าในตราประจำตัวนั้น


ทันใดนั้นเอง ตราประจำตัวส่องสว่างขึ้นด้วยเป็นสีม่วงเข้ม แสงนั้นส่องสะท้อนขึ้นไปไกลถึงสรวงสวรรค์ แปรเปลี่ยนให้ท้องฟ้ากลายเป็นสีม่วงเข้มในบัดดล ท้องฟ้าเปลี่ยนสี หมู่เมฆก็พลันเคลื่อนถอยหลัง ต้นไฮยาซินโบราณบนเกาะหลักก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง!


ทุกๆ คนตื่นตะลึงกับภาพที่ได้เห็น เมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันก็มีสีหน้าที่ยากจะบรรยาย ความเปลี่ยนแปลงที่ตราประจำตัวของหวังเป่าเล่อสร้างขึ้นไม่จบเพียงเท่านั้น วงแหวนปราณของสำนักวังเต๋าไพศาลปรากฏขึ้น เครือข่ายอันกว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมทั้งสวรรค์และปฐพีนั้นปรากฏชัดแก่สายตาก่อนจะเริ่มสั่นไหว ราวกับว่าจะสะท้อนปราณกังวาลจากตราประจำตัวของชายหนุ่มก็ไม่ปาน!


ทั้งต้นไฮยาซิน วงแหวนปราณของสำนัก และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นนั้นเรียกความสนใจของทุกคนมารวมกันที่หวังเป่าเล่อในทันที ราวกับว่า…ชายหนุ่มสามารถจะยึดครองวงแหวนปราณของสำนักวังเต๋าไพศาลได้อย่างใจนึก อาจจะกล่าวได้ว่าหวังเป่าเล่อได้ยึดเอาสิทธิที่เคยเป็นของเฟิ่งชิวหรันและผู้อาวุโสอีกสองคนและกลายมาเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในสำนักวังเต๋าไพศาลไปเสียแล้ว!


กระทั่งกระบี่สำริดเขียวโบราณก็ยังได้รับผลจากการกระทำนี้ ทะเลเพลิงเดือดปะทุขึ้นรอบกายพวกเขา ส่งเสียงคำรามที่ทำให้ศิษย์ทุกคนพากันหวาดกลัว ท้องฟ้าเองก็ดูราวกับว่าจะถล่มลงมา ตัวตนที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าพวกเขาทุกคนช่างน่าประหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง!


“สิ่งนี้มัน…”


“เกิดอะไรขึ้นแน่”


บนเกาะอากาศศักดิ์สิทธิ์และเกาะหลักแห่งสำนักวังเต๋าไพศาล มีเสียงตะโกนร้องด้วยความตกตะลึงดังพร้อมกันทั่วไปหมด มีเงาร่างหลายร่างพุ่งออกมาจากเกาะหลัก บรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณมีสีหน้าไม่เชื่อสายตาตนเอง ก่อนจะมุ่งตรงไปยังจุดกำเนิดของแสงสีม่วงอย่างพร้อมเพรียงกัน ที่เกาะอากาศศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง


เมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรันมีสีหน้าตื่นตะลึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน คลื่นของอารมณ์หลากหลายถาโถมพลางลากเอาพวกเขาให้จมดิ่งลงไป สายตาของพวกเขาไม่อาจจะมองเห็นสิ่งอื่นใดนอกไปจาก…ตราประจำตัวศิษย์สีม่วง!


“ศิษย์อุป…อุปถัมภ์!” เมี่ยเลี่ยจื่อกล่าวออกมาอย่างยากเย็น ก่อนจะขยับปากพึมพำกับตนเองราวกับตกอยู่ในภวังค์


บทที่ 617 สถาปนาอำนาจ!

เมี่ยเลี่ยจื่อตัวสั่นเทา ตั้งแต่ขึ้นมาสู่ขั้นเชื่อมวิญญาณ เขาก็ไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวเช่นนี้มานานมากแล้ว ชายชราไม่ได้คาดหวังว่าสถานการณ์จะออกมาเช่นนี้แม้แต่น้อย ว่าคนอย่างหวังเป่าเล่อจะได้ระดับศิษย์อุปถัมภ์มาไว้ในครอบครอง!


เขาคาดการณ์ไว้ว่า หวังเป่าเล่อคงต้องลำบากอย่างหนักเพียงเพื่อจะไปให้ถึงระดับศิษย์สืบทอดได้ แต่ทว่าขณะนี้นั้น หวังเป่าเล่ออยู่ในระดับศิษย์อุปถัมภ์ สูงกว่าระดับศิษย์สืบทอดถึงสองขั้น เป็นรอดเพียงแค่ศิษย์แห่งเต๋าไพศาลเท่านั้น!


เมี่ยเลี่ยจื่อยังไม่อาจจะเชื่อสายตาตนเองได้ ในฐานะศิษย์ที่เคยเห็นช่วงเวลาที่สำนักวังเต๋าไพศาลรุ่งเรืองถึงขีดสุด เขาเคยได้เห็นว่าศิษย์สืบทอดนั้นมีสถานะสูงส่งเพียงใด ศิษย์เอก ที่ถือว่าสูงกว่าศิษย์สืบทอด ยังได้รับการยอมรับมากยิ่งกว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาเคยมีศิษย์เอกอยู่พร้อมๆ กันเพียงสามถึงห้าคนเท่านั้น


ศิษย์สืบทอดนั้น…เป็นตำแหน่งในตำนานของสำนัก แต่ละคนก็มีพลังอำนาจและสถานะอันสูงยิ่ง และไม่ใช่คนที่จะพบเจอได้ง่ายๆ ชายชราจำได้ว่าตัวเขาเองเคยเป็นผู้ติดตามของศิษย์เอกคนหนึ่งและเห็นว่าศิษย์เอกเหล่านั้นทุ่มตัวลงคำนับศิษย์สืบทอดจนหน้าผากจรดพื้น ราวกับว่าเป็นคนธรรมดาๆ ที่มาอยู่ต่อหน้าผู้ฝึกตนอย่างใดอย่างนั้น!


ความทรงจำเหล่านี้เป็นเหตุให้เมี่ยเลี่ยจื่อตกตะลึงไปเช่นนั้น ราวกับว่าถูกฟ้าผ่าเข้ากลางใจ เขาได้ยืนนิ่งตะลึงไปเช่นนั้น


เฟิ่งชิวหรันเองก็มีปฏิกริยาคล้ายคลึงกัน แต่เทียบกับเมี่ยเลี่ยจื่อแล้ว นางก็เคยเห็นตราประจำตัวศิษย์สีม่วงมามากกว่าบ้าง เพราะว่าผู้อาวุโสคนหนึ่งในตระกูลของนางเคยไปถึงระดับศิษย์อุปถัมภ์มาก่อน!


แต่ความทรงจำนั้นก็ยังทำให้นางอดใจหายไม่ได้ อันที่จึงแล้วเฟิ่งชิวหรันตกตะลึงมากกว่าเมี่ยเลี่ยจื่อหลายเท่าตัว นางเกือบจะยกมือคำนับหวังเป่าเล่อตามสัญชาติญาณที่ต้องทำความเคารพผู้อาวุโสกว่า


กระทั่งหวังเป่าเล่อเองก็ยังตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ชายหนุ่มรู้ดีว่าระดับศิษย์อุปถัมภ์นั้นสูงยิ่ง แต่ก็ยังคงเศร้าเสียใจไม่หายกับการพลาดตำแหน่งศิษย์แห่งเต๋าไพศาลไป เขาดึงเอาตราประจำตัวนี้ออกมาเพื่อจะจบการถกเถียงเรื่องของซุนไห่เท่านั้น


หวังเป่าเล่อไม่ได้คาดคิดว่าตราประจำตัวสีม่วงจะทำให้ต้นไฮยาซินสั่นไหวและวงแหวนปราณเข้ามาเป็นหนึ่งเดียวกันกับมันไปด้วย กระทั่งกระบี่สำริดเขียวโบราณก็ยังสั่นคลอนอยู่เบาๆ สีหน้าของเมี่ยเลี่ยจื่อและเฟิ่งชิวหรัน ดูราวกับว่าพร้อมจะทรุดตัวลงคุกเข่าก้มกราบหวังเป่าเล่ออยู่ทุกขณะ


หวังเป่าเล่อสูดเอาอากาศเย็นเยียบเข้าไปเฮือกใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ สงบใจลง จากนั้นเขากะพริบตาครั้งหนึ่งก่อนจะชูตราประจำตัวและกล่าวออกมาอย่างเนิบๆ ว่า “ผู้อาวุโสเมี่ยเลี่ยจื่อ ข้าอยากจะรู้ว่า ซุนไห่เป็นศิษย์สำนักในใช่หรือไม่ หรือเป็นศิษย์สืบทอด หรือเป็นศิษย์สำนักนอกกัน”


เสียงของหวังเป่าเล่อนิ่งสงบ ก่อนหน้านี้นั้น ชายหนุ่มไม่มีอำนาจเพียงพอ แต่มาบัดนี้ เมื่อเขามีสถานะศิษย์อุปถัมภ์ ทุกๆ คำที่เขาพูดก็มีความหมายและมีอำนาจขึ้นมาอย่างยิ่งยวด!


เมี่ยเลี่ยจื่ออ้าปากพยายามจะพูด แต่ก็สัมผัสได้เพียงรสขมปร่าอยู่ภายในปากเท่านั้น ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาแม้แต่น้อย เฟิ่งชิวหรันจึงชิงเอ่ยตอบชายหนุ่มเสียเอง


นางเองก็เพิ่งจะหายตกตะลึง นางยกมือประสานทำความเคารพหวังเป่าเล่อตามสัญชาติญาณก่อนจะตอบเบาๆ ว่า “ซุนไห่ไม่ใช่ศิษย์ที่แท้จริงของวังเต๋าไพศาลแต่อย่างใด เขาไม่มีสถานะตำแหน่งศิษย์แห่งสำนักวังเต๋าไพศาล…”


“เขาไม่มีอย่างนั้นหรือ” หวังเป่าเล่อพยักหน้า ประกายเย็บเยียบปรากฏขึ้นในแววตาของชายหนุ่ม


“หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็แปลว่าเขาเป็นเพียงข้ารับใช้ธรรมดาๆ เท่านั้น เมื่อมาคิดว่าคนรับใช้บังอาจมาล่วงเกินข้าและใช้อสูรประจำตัวของข้าเป็นวัตถุดิบหลอมโอสถ สิ่งนี้ต่างหากที่เหมาะจะเรียกว่าเป็นการกบฏ! เป็นการล่วงเกินผู้บังคับบัญชา ผู้อาวุโสเมี่ยคิดเห็นเช่นใดกับเรื่องนี้ เขาควรจะได้รับการลงโทษเช่นใดดี” หวังเป่าเล่อพูดอย่างวางโต ชายหนุ่มขณะนี้มีทั้งเหตุผลและอำนาจอยู่ข้างเขาสิ้น เขาพลิกสถานการณ์กลับได้โดยใช้เพียงวาจาเท่านั้น ทุกๆ คนเริ่มจะกังวล


โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณคนอื่นๆ ที่รู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากลจึงได้รีบรุดพากันมา พวกเขามีสีหน้าตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่หวังเป่าเล่อกล่าว สายตาที่พวกเขาจ้องมองไปทางชายหนุ่มในครั้งนี้เปลี่ยนแปลงไป


ทั้งหมดนี้เป็นเพราะ…ความยิ่งใหญ่และสถานะอันสูงส่งของระดับศิษย์อุปถัมภ์นั่นเอง!


กระทั่งซุนไห่ ผู้ที่รอดมาได้เพราะเมี่ยเลี่ยจื่อ ก็เริ่มตัวสั่นเทาแม้จะอยู่ในขั้นจุติวิญญาณก็ตาม ความรู้สึกถึงอันตรายที่กำลังย่างกรายเข้ามาทำเอาเขากังวลจนแทบคลั่ง ชายชราไม่คิดเลยว่าความโลภเพียงชั่ววูบจะทำให้เขาเสียกายเนื้อ แถมยังเข้าข่ายว่าได้กระทำผิดอย่างมหันต์ไปเสียฉิบ


เจ้านี่มีตำแหน่งศิษย์อุปถัมภ์ได้อย่างไรกัน บัดซบ เป็นไปไม่ได้!


ซุนไห่ตัวสั่นก่อนจะร้องขอให้เมี่ยเลี่ยจื่อช่วย อีกฝ่ายก็มีสีหน้ากระอักกระอ่วนยิ่ง เขาทั้งตะลึงทั้งประหม่า ไม่กล้าตัดสินใจแต่อย่างใด สถานะใหม่ของหวังเป่าเล่อทำเอาชายชราหัวหมุนไปหมด


แม้ว่าหวังเป่าเล่อจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้น แต่ทว่าสำนักวังเต๋าไพศาลให้ความสำคัญกับสถานะและระดับมาเป็นอันดับแรก เมี่ยเลี่ยจื่อรู้ดีว่าในสถานการณ์นี้ผู้ที่กุมอำนาจเหนือกว่านั้นคือใคร วังเต๋าไพศาลนั้นย่อยยับไปแล้วก็จริง แต่ผู้อาวุโสที่แก่ชราก็ยังคงมีชีวิตอยู่ พวกเขาอาจจะจำศีลอยู่ในดินแดนห่างไกลตรงปลายกระบี่แต่ทว่าวันหนึ่งพวกเขาก็ต้องตื่นขึ้นอย่างแน่นอน


เมี่ยเลี่ยจื่อเงียบงันเพราะความสับสน


หวังเป่าเล่อไม่ได้เร่งเร้าอีกฝ่าย ชายหนุ่มกระแอมหนึ่งครั้งก่อนจะเดินดุ่มๆ เข้าไปหาหม้อหลอมโอสถ ผู้ฝึกตนที่รายล้อมอยู่ก็ไม่มีใครกล้าหยุดเขา ต่างพากันถอยกรูดเมื่อหวังเป่าเล่อเดินเข้ามาใกล้ ชายหนุ่มยกมือขวาขึ้นโบก หม้อหลอมโอสถนั้นแตกออกเป็นสองซีกพร้อมเสียงดังสนั่นก่อนจะระเบิดเป็นเสี่ยง


ลาดำกระโจมออกมาจากหม้อหลอม มันดูทั้งอ่อนล้าและเศร้าสร้อย ขนจำนวนมากของมันก็ร่วงหายไป มันดูเซื่องซึมอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่า หวังเป่าเล่อก็สัมผัสได้ว่ามันได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยและไม่ได้มีอันตรายใดๆ หนักหนา


เจ้าลาดีใจที่ได้เจอหวังเป่าเล่ออย่างเห็นได้ชัด มันกำลังจะส่งเสียงร้องออกมาอีกครั้งแต่หวังเป่าเล่อจ้องมันถมึงทึง เจ้าลาจึงหลุบศีรษะลงต่ำพลางทำท่าทีเศร้าเสียใจ ก่อนจะเอาจมูกเข้ามาดุนขาหวังเป่าเล่อราวกับว่าจะขอความเมตตา


ข้าจะจัดการกับเจ้าตะกละนี่อย่างไรดี! หวังเป่าเล่อโกรธจัด ชายหนุ่มเป็นถึงศิษย์อุปถัมภ์ แถมยังเป็นบุรุษที่หล่อเหล่าที่สุดในสหพันธรัฐอีกต่างหาก เขายอมให้เจ้าตะกละนี่มาติดตามได้อย่างไรกัน ต้องเป็นการจับคู่ที่แปลกประหลาดในสายตาของผู้คนภายนอกอย่างแน่นอน ชายหนุ่มกำลังจะเตะสั่งสอนเจ้าลาสักทีแต่เมี่ยเลี่ยจื่อ ผู้ซึ่งมองเห็นว่าเจ้าลาไม่ได้บาดเจ็บมากมาย ก็พูดขัดขึ้นมาก่อนด้วยเสียงแหบพร่า


“หวัง…” ชายชราตะกุกตะกักพูดออกมาได้คำเดียว เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าต้องเรียกหวังเป่าเล่อว่าอย่างไร จึงชะงักงันอยู่ จากนั้นจึงตัดสินใจไม่คิดมากจนเกินไปนักก่อนจะกล่าว


“หวังเป่าเล่อ ซุนไห่มีความผิดจริงในกรณีนี้ ข้าจะให้เขาออกมาขอโทษเจ้าเดี๋ยวนี้” เมื่อพูดจบ เมี่ยเลี่ยจื่อก็ยกมือขวาขึ้นโบก วิญญาณจุติของซุนไห่พุ่งออกมาลอยคว้างอยู่กลางอากาศ ก่อนจะก้มลงคำนับหวังเป่าเล่ออย่างนอบน้อม สายตาน่าเวทนานั่นส่องประกายขณะที่ชายชราก้มศีรษะลงขอโทษอยู่ซ้ำๆ


“ผู้อาวุโสหวังโปรดเมตตาด้วย ศิษย์ไม่รู้ถึงสถานะของท่านจึงได้ล่วงเกิน ข้าขอขมากับความเลวทรามที่ข้าได้กระทำล่วงเกินท่านลงไปแล้ว…”


เมี่ยเลี่ยจื่อรู้สึกอึดอัดที่ต้องฟังซุนไห่กล่าวขอโทษอยู่ไปมา แต่ทว่าหวังเป่าเล่อนอกจากจะมีสถานะสูงกว่าแล้ว ยังมีเหตุผลรองรับการกระทำอีกด้วย การที่ให้ซุนไห่มาขอขมานั้นเป็นทางเดียวที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้อย่างสงบ


หลังจากที่เงียบกันไปชั่วอึดใจหนึ่ง เฟิ่งชิวหรันก็หันมามองหวังเป่าเล่อเช่นกัน นางและเมี่ยเลี่ยจื่ออาจจะอยู่คนละฝ่าย แต่ซุนไห่ก็ยังเป็นผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณของสำนักวังเต๋าไพศาล เฟิ่งชิวหรันเองก็มีสิทธิทัดทานหากหวังเป่าเล่อตัดสินใจจะลงโทษเขาเพิ่มเติม


หวังเป่าเล่อรู้ดีว่านางคิดอะไรอยู่ ชายหนุ่มยังรู้อีกด้วยว่าการจะสังหารซุนไห่นั้นทำได้ แต่ทว่าอาจจะต้องออกแรงกันสักหน่อย คงจะไม่ง่ายเท่ากับการหาโอกาสลอบสังหารเขาในคราวต่อๆ ไป


หวังเป่าเล่อจะไปยอมปล่อยซุนไห่ไปง่ายๆ เช่นนี้แน่นอน แต่ทว่า หลังจากที่นิ่งคิดอยู่อึดใจหนึ่ง ชายหนุ่มก็กล่าวออกมาช้าๆ “อสูรประจำตัวของข้าประสบกับเคราะกรรมอันใหญ่หลวงและไม่เป็นธรรม สิ่งนี้จะทำให้เกิดความ…” ซุนไห่รู้ทันทีว่าหวังเป่าเล่อกำลังพยายามจะทำสิ่งใด แม้ว่าชายหนุ่มจะยังพูดไม่จบก็ตาม ชายชราจึงรีบตะโกนแทรก “ผู้อาวุโสหวัง ศิษย์ผู้นอบน้อมคนนี้ยินดีจะชดใช้ให้…ข้าจะจ่ายให้ท่านห้าหมื่นแต้มการรบ!” หัวใจของซุนไห่รวดร้าวขณะที่ได้ยินจำนวนที่ตนเองตะโกนออกไป แต่อย่างไรเสีย สถานการณ์ก็ดูเหมือนว่าเขาคงไม่อาจจะรอดไปได้โดยไม่ต้องชดใช้


หวังเป่าเล่อกลอกตาก่อนจะพูดต่อไป


“…ความเจ็บปวดทางใจ จากความหวาดกลัวที่มันต้องเผชิญ ซึ่งจะไปฉุดรั้งโอกาสการบรรลุขั้นการฝึกปราณของมันต่อไปในอนาคต!”


เมื่อพูดจบ หวังเป่าเล่อก็หันไปบุ้ยใบ้ใส่เจ้าลาอยู่ลับๆ ลาดำกะพริบตา แล้วก็แหกปากร้องตะโกนก่อนจะล้มตัวลงกับพื้น น้ำลายเริ่มฟูมปาก ตีนทั้งสี่ก็กระตุกอยู่ไปมา เจ้าลานั้นดูเหมือนว่าพร้อมจะขาดใจได้ในทุกขณะ นับเป็นผลงานการแสดงชิ้นเยี่ยมของเจ้าลาเลยก็ว่าได้


เฟิ่งชิวหรันยิ้มอย่างอ่อนใจ ขณะที่เมี่ยเลี่ยจื่อต้องเบือนหน้าหนี เขาไม่อาจจะทนดูภาพนั้นได้ ผู้ฝึกตนขั้นจุติวิญญาณรอบๆ กายพวกเขามีสีหน้ากระอักกระอ่วนยิ่ง ซุนไห่ถึงกับใบ้เบื้อ หัวใจเขาจากที่ตอนแรกเจ็บปวดอยู่เฉยๆ ตอนนี้ราวกับถูกมีดกรีดจนเลือดอาบ ความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่ซุนไห่จะกัดฟันพูด “หนึ่งแสน หนึ่งแสนแต้มการรบ ข้าจะจ่ายชดเชยให้ท่านด้วยหนึ่งแสนแต้มการรบ!”


เมื่อเขาพูดจบ เจ้าลาก็ส่งเสียงร้องลั่นก่อนจะกระอักเอาโลหิตออกมาเต็มปาก


“หนึ่งแสนห้าหมื่น…” เสียงของซุนไห่สั่นเครือราวกับจะร้องไห้ จำนวนนั้นคือเงินทั้งหมดที่เขามี


“หนึ่งแสนห้าหมื่นแต้มการรบที่จะต้องจ่ายให้ครบภายในสามวัน จงจำเอาไว้ว่า ซุนไห่ แม้ว่าข้าจะไม่ติดใจเอาความเรื่องนี้เพราะนี่เป็นความผิดครั้งแรกของเจ้า แต่หากเจ้าทำอีกครั้งแล้วละก็…” หวังเป่าเล่อไม่พูดต่อให้จบ ชายหนุ่มจ้องไปยังซุนไห่อย่างเปี่ยมความหมายด้วยสายตากระหายเลือด จากนั้นเขาจึงยกมือคารวะเฟิ่งชิวรัน เก็บตราประจำตัว และหันหลังเดินจากไป ทิ้งให้กลุ่มผู้ฝึกตนจำนวนมากยืนมองหน้ากันไปมาด้วยสายตางุนงง


เจ้าลากระโจนวิ่งตามหวังเป่าเล่อไป มันไม่กระอักโลหิตอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้มันห้อตะบึงตามหวังเป่าเล่อจากไป เสียงร้องด้วยความยินดีของเจ้าลาดังก้องมาตามอากาศอยู่เป็นพักๆ บรรดาผู้ฝึกตนต่างก็เฝ้ามองหวังเป่าเล่อและฟังเสียงร้องของเจ้าลาจนพวกเขาลับสายตาไป ต่างก็คิดเหมือนกันเป็นหนึ่งเดียวว่า


ในอนาคตอันใกล้นี้ สำนักวังเต๋าไพศาล…อาจจะต้องเตรียมการต้อนรับผู้อาวุโสสูงสุดคนที่สี่ก็เป็นได้ แม้ว่าเขาจะอยู่ในขั้นกำเนิดแก่นในเท่านั้นก็ตามที!

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)