ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 611-617

 ตอนที่ 611 เขาถานกวง

โดย

Ink Stone_Fantasy

ในขณะที่ชายหนุ่มรูปร่างกำยำควบคุมปีศาจกระดูกนั้น มันก็จัดวางเป็นค่ายกลรบหลังหนึ่ง และอาศัยพลังของค่ายกลบางอย่างกักขังฝ่ายตรงข้ามไว้


ปีศาจหัววัวที่มู่ตวนหลงสิงร่างอยู่กลับขยายร่างใหญ่ขึ้น ภายใต้การดิ้นของเส้นสีดำขนาดใหญ่บนผิวหนัง แขนขนาดใหญ่ทั้งสองก็โบกสะบัดอย่างรุนแรงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โจมตีปีศาจกระดูกทั้งสี่จนกระเด็นออกไป ราวกับว่าถูกลมฤดูใบไม้ร่วงพัด หนึ่งในนั้นยังกระแทกลงบนตัวชายหนุ่มรูปร่างกำยำอย่างรุนแรง จนชายหนุ่มต้องกระอักเลือดออกมา และล้มลงพื้นทันที


“ราชาปีศาจ!” มีคนหลุดปากออกมา


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา


สำหรับเขาแล้วย่อมไม่รู้สึกแปลกหน้ากับคำว่า ‘ราชาปีศาจ’ แต่อย่างใด ตอนอยู่ในนิกายปีศาจ เขาเคยควบคุมราชาปีศาจไร้หัวที่ปรมาจารย์ลิ่วยินทิ้งไว้ ซึ่งพลังของมันพอที่จะเทียบเท่ากับระดับผลึกได้ จุดนี้เขาย่อมรู้ดี และกลิ่นไอที่ราชาปีศาจแผ่ออกมาหลังจากกลายร่าง ก็ดูเหมือนจะแข็งแกร่งกว่าราชาปีศาจไร้หัวในก่อนหน้าหลายส่วน


ศิษย์ระดับของเหลวคนอื่นๆ ก็ค่อยๆ เผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา และไม่มีใครขึ้นไปท้าทายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง


อินจิ่วหลิ่งเห็นเช่นนี้ ก็รอจนมีคนนำร่างของชายหนุ่มร่างกำยำลงไปแล้ว เขาจึงเลิกคิ้วเตรียมประกาศผลการท้าสู้ และผู้คนในบริเวณนั้นก็เงียบลงทันที


“ข้าแซ่หลิ่วด้อยความสามารถ หวังว่าศิษย์พี่จะช่วยชี้แนะให้เล็กน้อย”


พอน้ำเสียงสิ้นสุด ก็มีคนผู้หนึ่งค่อยๆ ก้าวออกมาท่ามกลางสายตาประหลาดใจของฝูงชน และหายวับไปปรากฏตัวในลานประลอง


อินจิ่วหลิงเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาประหลาดใจออกมาเช่นกัน แต่ก็แค่พยักหน้าเล็กน้อยเท่านั้น


ผู้อาวุโสระดับแก่นแท้ทั้งสองต่างก็สบตากันทีหนึ่ง จากนั้นก็ดูมีท่าทีสนใจเป็นอย่างมาก


“อ๋อ! ก็นึกว่าใคร ที่แท้ก็เป็นศิษย์น้องหลิ่วนั่นเอง ได้ยินว่าศิษย์น้องหลิ่วเข้าเป็นศิษย์สายในโดยการบุกเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหก คิดว่าคงมีฝีมือไม่เบา ข้าเองก็อยากขอคำชี้แนะมานานแล้ว” พอมู่ตวนหลงเห็นหลิ่วหมิง เขาก็ไม่มีสีหน้าสะทกสะท้านแต่อย่างใด แต่ใจกลับเต้นโครมคราม


หากเขาเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ย่อมไม่รู้สึกหวาดกลัวกับผู้ที่มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณอย่างใด แต่ภายใต้สถานการณ์ที่เผชิญหน้ากับผู้ฝึกฝนระดับเดียวกัน ทั้งยังผ่านด่านเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกมาด้วย ถ้าจะบอกว่าไม่รู้สึกหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย ย่อมเป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน


“ก่อนหน้านั้นศิษย์พี่ต่อสู้อย่างดุเดือดมาหลายรอบ ไม่ทราบว่าต้องการพักผ่อนสักหน่อยหรือไม่” หลิ่วหมิงถามออกไปหนึ่งประโยค


“ไม่ต้องแล้ว พวกเราเริ่มกันเถอะ!” มู่ตวนหลงกล่าวออกมาอย่างเฉียบขาด จากนั้นก็พร่ามัวหายไปในร่างของราชาปีศาจอีกครั้ง


พอเขากระตุ้นพลังเวท แสงสีม่วงก็เปล่งประกายในดวงตาทั้งสองของราชาปีศาจหัววัว ไอหมอกสีเทาพวยพุ่งออกจากตัว เท้าทั้งคู่กระทืบลงพื้นอย่างรุนแรง และร่างของมันก็พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงราวกับก้อนหินยักษ์


หลิ่วหมิงกลับยืนรออยู่ที่เดิมอย่างไม่รีบร้อน พอทำท่ามือด้วยมือทั้งสอง ไอหมอกสีดำก็พวยพุ่งออกมา มือเท้าทั้งสี่สั่นไหวกลายเป็นเงาร่างสองเงา และหลบการโจมตีของราชาปีศาจได้อย่างง่ายดาย


ราชาปีศาจที่พุ่งเข้าใส่ความว่างเปล่าส่งเสียงคำรามออกมา แขนขนาดใหญ่ทั้งสองโบกสะบัดใส่เงาร่างทั้งสองของหลิ่วหมิงอีกครั้ง


“ฟู่!”


เงาร่างสลายไปทันที


มีเสียงคำรามดังขึ้นบนแท่นประลอง และเกิดเสียงดังติดต่อกันไม่หยุด ปราณหยินพวยพุ่งอย่างต่อเนื่อง


ทันใดนั้น มีเงาร่างก่อตัวขึ้นด้านหลังราชาปีศาจ และร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏออกมา พอเขาส่งเสียงตะโกน เสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามก็ดังไปทั่วขอบฟ้า จากนั้นมังกรหมอกดำสามตัวที่ยาวเจ็ดแปดจั้งก็พุ่งออกจากหลัง และม้วนตัวไปทางด้านหลังของราชาปีศาจยักษ์


มู่ตวนหลงรีบเปลี่ยนท่ามือด้วยความตกใจ หลังจากราชาปีศาจหันหน้ากลับมา ไอหมอกสีเทาบนตัวก็พวยพุ่ง และก่อตัวเป็นหัววัวขนาดใหญ่ต้านทานอยู่ตรงหน้า


หลังจากมังกรทั้งสามกระโจนเข้ามา ก็มีเสียงระเบิดดังจนหูแทบหนวก!


ไอหมอกสีเทากับสีดำม้วนตัวออกไปอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เผยให้เห็นราชาปีศาจที่ร่นถอยอยู่ไม่หยุด แขนสีขาวโพลนทั้งสองถูกระเบิดจนแตกละเอียด นอกจากนี้ยังมีรูขนาดใหญ่ตรงหน้าอก ร่างของมันโซซัดโซจนดูเหมือนว่าใกล้จะล้มลงพื้นแล้ว


“หยุด……ข้ายอมแพ้!” มีเสียงร้องด้วยความตกใจของมู่ตวนหลงดังออกจากปากราชาปีศาจ จากนั้นก็มีเงาร่างคนเคลื่อนไหวบนหัววัว และร่างของเขาก็ปรากฏออกมา


ราชาปีศาจตัวนี้ติดตามเขาตั้งแต่ระดับศิษย์จิตวิญญาณ และยังได้พบกับความโชคดีไม่น้อย จนกระโดดเข้าสู่ระดับราชาปีศาจ และยังรวมร่างกับเขาได้ชั่วคราวโดยผ่านเคล็ดวิชาบางอย่างที่ฝึกฝน


เขาไม่อยากทำลายราชาปีศาจ เพียงเพราะว่าต้องการออกไปประลองข้างนอก


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย


เขาย่อมไม่คิดว่าราชาปีศาจจะมีฝีมือแค่นี้ แต่ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามยอมแพ้แล้ว เขาก็ประสานมือกล่าวอย่างถ่อมตัวสองสามประโยค โดยไม่พูดอะไรมาก


“คิดไม่ถึงว่าศิษย์พี่มู่จะพ่ายแพ้แล้ว……”


“วิชาที่หลิ่วหมิงผู้นี้ฝึกฝนคือเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ดูท่าจะฝึกฝนขั้นที่สามจนสมบูรณ์แบบแล้ว และพลังเวทก็ดูเหมือนจะเหนือกว่าหนึ่งขั้น”


“แค่ศิษย์น้องมู่มีราชาปีศาจอยู่ในมือ คิดไม่ถึงว่าจะพ่ายแพ้รวดเร็วเช่นนี้ ดูท่าศิษย์น้องหลิ่วที่มาใหม่ผู้นี้คงมีความสามารถสมคำร่ำลือ”


ศิษย์ที่ชมการประลองอยู่บริเวณนั้น ต่างก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง และทำการกระซิบกระซาบกันเบาๆ โดยเฉพาะศิษย์ระดับผลึกจำนวนหนึ่ง ต่างก็มองหลิ่วหมิงอย่างระมัดระวัง


ศิษย์พี่ใหญ่อย่างเสี่ยวอู่ก็รู้สึกแปลกใจกับผลลัพธ์ในครั้งนี้มาก และใช้สายตาแปลกประหลาดพิจารณาหลิ่วหมิงอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกรอบ


พอมู่ตวนหลงโบกมือ ราชาปีศาจก็กลายเป็นควันสีดำ และกลายเป็นธงปีศาจอันหนึ่ง จากนั้นเขาก็กลืนมันลงไป หลังจากหันไปประสานมือคารวะอินจิ่วหลิงแล้ว ก็กระโดดลงจากลานประลองทันที


อินจิ่วหลิงเองก็มีสีหน้าประหลาดใจกับชัยชนะของหลิ่วหมิงเล็กน้อย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแล้วก็กล่าวออกมา


“ยังมีศิษย์ท่านใดไม่ยินยอมบ้าง สามารถท้าสู้หลิ่วหมิงต่อได้เลย”


หลังจากเห็นพลังของหลิ่วหมิงแล้ว ศิษย์ระดับของเหลวคนอื่นๆ ย่อมไม่คิดจะขึ้นไปท้าสู้กับหลิ่วหมิงอีก เพราะไม่มีใครคิดว่าตนเองจะมีพลังเหนือกว่าราชาปีศาจระดับผลึก


“ในเมื่อไม่มีคนท้าสู้ ก็จะตัดสินตามนี้แล้ว ครั้งนี้เสี่ยวอู่กับหลิ่วหมิงไปกับข้าก็แล้วกัน” อินจิ่วหลิงเห็นเช่นนี้ ก็ประกาศด้วยสีหน้าสงบ


จากนั้นเขาก็กระโดดลงมาจากอากาศ และหลังจากกำชับผู้อาวุโสทั้งสองแล้ว ก็พาหลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่ออกไป


ไม่นานเรือเหาะกระดูกเขียวลำหนึ่งที่มีขนาดสิบกว่าจั้ง ก็พาคนทั้งสามออกไปจากยอดเขาลั่วโยว


“คิดไม่ถึงว่าแค่เวลาสั้นๆ ไม่กี่ปี ศิษย์น้องหลิ่วก็บรรลุถึงระดับของเหลวขั้นสมบูรณ์แบบแล้ว” เสี่ยวอู่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหลังของเรือเหาะ และกล่าวกับหลิ่วหมิงที่อยู่ด้านข้างด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม


“ศิษย์พี่ห้าชมเกินไปแล้ว สองปีมานี้ข้าก็แค่โชคดีทะลุคอขวดได้เท่านั้น” หลิ่วหมิงตอบกลับอย่างถ่อมตัว


เสี่ยวอู่เบะปากเล็กน้อย ประจักษ์ชัดว่านางไม่เชื่อคำพูดของหลิ่วหมิง แต่ก็ไม่ได้ซักถามต่อแต่อย่างใด


“ใช่สิ! ไม่ทราบศิษย์พี่ห้ารู้หรือไม่ว่า ท่านผู้ควบคุมยอดเขาจะพาเราไปประลอง ณ สถานที่แห่งใด?” หลิ่วหมิงเอ่ยปากถามในฉับพลัน


“เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้เช่นกัน พอถึงเวลาเจ้าจะรู้เอง” ขณะที่พูด เสี่ยวอู่ก็มองอินจิ่วหลิงที่ยืนอยู่ตรงส่วนหน้าของเรือ และหลับตาทั้งคู่ลง


พอหลิ่วหมิงเห็นว่านางไม่อยากพูดอะไรมาก เขาก็ยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็หลับตาพักผ่อน


อินจิ่วหลิงพาทั้งสองผ่านค่ายกลส่งตัวของนิกายยอดบริสุทธิ์อยู่หลายครั้ง และนั่งเรือเหาะราวๆ ครึ่งเดือน ถึงมาถึงป่าเถื่อนวังเวงแห่งหนึ่ง


หลิ่วหมิงสังเกตมาตลอดทาง ที่นี่คงจะเป็นสถานที่บางแห่งในแผ่นดินจงเทียนที่มีผู้คนมาถึงน้อยมาก


ขณะที่เรือเหาะมาถึงเหนือหุบเขาเขียวขจีแห่งหนึ่งนั้น อินจิ่วหลิงที่ยืนอยู่ส่วนหน้าของเรือก็กระตุ้นท่ามือในฉับพลัน เรือเหาะกระดูกเขียวกลับทิศทางในทันที จากนั้นก็ร่อนลงด้านล่าง


“ฮ่าๆ! สหายอิน ในที่สุดท่านก็มา ช่างเชื่องช้าเสียจริง พวกข้ารออยู่ที่นี่มาหนึ่งวันแล้ว” ขณะที่ทั้งสามเพิ่งกระโดดลงจากเรือเหาะกระดูกเขียว ก็มีคนสองสามคนรออยู่ในหุบเขาก่อนแล้ว และผู้อาวุโสใบหน้าเหี่ยวย่นที่มีเครายาวถึงหน้าอก ก็เดินออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดูใจดี


“สหายกู่เจวี๋ยล้อข้าเล่นแล้ว เดิมทีพวกเราก็นัดประลองกันวันนี้ ข้าไม่ได้มาช้า แต่เป็นท่านต่างหากที่มาเร็วไปหนึ่งวัน” อินจิ่วหลิงโบกแขนเสื้อเก็บเรือเหาะเข้าไป และกล่าวด้วยเสียงหัวเราะ


หลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่ก็ยืนเงียบๆ อยู่ด้านหลังอินจิ่วหลิง


หนึ่งวันก่อน อินจิ่วหลิงได้พูดเรื่องเกี่ยวการประลองให้เขากับเสี่ยวอู่ฟังแล้ว กู่เจวี๋ยตรงหน้าผู้นี้เป็นหัวหน้าสายาย่อยแห่งหนึ่งของสำนักเฮ่าหราน มีตำแหน่งเทียบเท่ากับผู้ควบคุมยอดเขาของนิกายยอดบริสุทธิ์


หลิ่วหมิงมองดูผู้อาวุโสเครายาวครั้งหนึ่ง จากนั้นก็มองคนที่อยู่ด้านหลัง


จะเห็นว่าในหุบเขานี้ยังมีคนอยู่อีกสามคน หนึ่งในสองคนนั้นเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง


ผู้ชายมีอายุราวๆ สามสิบกว่าปี รูปร่างสูงใหญ่ เส้นผมและคิ้วล้วนเป็นสีแดง สวมชุดบัณฑิตสีเหลือง แลดูเก่งกาจยิ่งนัก และหญิงสาวผู้นั้นก็สวมชุดสีขาวทั้งตัว รูปร่างกระจุ๋มกระจิ๋ม นางก้มหน้าเล็กน้อยทำให้เห็นใบหน้าไม่ชัดเจน


เสื้อผ้าที่ทั้งสองสวมอยู่แตกต่างจากบัณฑิตหนุ่มที่หลิ่วหมิงพบเจอในตลาดฉางหยางเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเป็นชุดศิษย์สำนักบนของสำนักเฮ่าหราน


หลิ่วหมิงเคยทำความเข้าใจเกี่ยวกับสำนักเฮ่าหรานจากหอเก็บคัมภีร์มาก่อน รู้ว่ามันก็เหมือนกับนิกายยอดบริสุทธิ์ โดยแบ่งเป็นสำนักบนกับสำนักล่าง ศิษย์สำนักล่างเทียบเท่ากับศิษย์สายนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์ และศิษย์สำนักบนก็มีตำแหน่งเทียบเท่ากับศิษย์สายในของนิกายยอดบริสุทธิ์


และยังมีหลวงจีนหัวโล้นคนหนึ่งที่ดูอ่อนเยาว์มาก ใบหน้าสวยสดงดงามราวกับสาวพรหมจารี สวมจีวรสีขาว มีจุดอยู่บนศีรษะหกจุด


ด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิง สามารถมองเห็นระดับการฝึกฝนของศิษย์สำนักเฮ่าหรานทั้งสองได้อย่างง่ายดาย ชายผู้นั้นมีการฝึกฝนระดับผลึก และหญิงสาวที่อยู่ด้านข้างก็มีการฝึกฝนระดับของเหลว


แต่หลวงจีนหนุ่มรูปนั้นไม่แสดงกลิ่นไอบนตัวเลยแม้แต่น้อย มีท่าทีเยือกเย็น คงจะมีการฝึกฝนระดับแก่นแท้เหมือนกับอินจิ่วหลิง และผู้อาวุโสกู่เจวี๋ย


ดูเหมือนว่าอินจิ่วหลิงก็สังเกตเห็นหลวงจีนหนุ่มผู้นี้เช่นกัน


“มาๆ ข้าจะแนะนำให้สหายอินสักหน่อย ท่านนี้เป็นคนของเขาถานกวงที่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนาในแผ่นดินจงเทียน” ผู้อาวุโสเครายาวหัวเราะฮ่าๆ ก่อนกล่าวออกมา


“อาตมาคืออวิ๋นกังจากเขาถานกวง วันนี้ได้รับเชิญจากสหายกู่เจวี๋ยให้มาเป็นผู้ตัดสินการประลอง” หลวงจีนหนุ่มประนมมือคารวะอินจิ่วหลิง


ตอนที่ 612 กวางจิตวิญญาณเก้าสี

โดย

Ink Stone_Fantasy

“ที่แท้ก็เป็นสหายอวิ๋นกังจากเขาถานกวง ข้าได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว วันนี้นับว่าโชคดีมากที่ได้มาเจอท่าน” อินจิ่วหลิงได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็ตอบกลับไปด้วยสีหน้าเคร่งขรึม


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย


แม้แต่ระดับการฝึกฝนและสถานะของอินจิ่วหลิงกับกู่เจวี๋ย ยังดูเหมือนจะเกรงใจหลวงจีนหนุ่มรูปนี้เป็นอย่างมาก


เรื่องราวเกี่ยวกับเขาถานกวง หลิ่วหมิงเองก็เคยอ่านจากบันทึกในคัมภีร์มาจำนวนหนึ่ง


ว่ากันว่าเขาถานกวงเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ทางพระพุทธศาสนา และก็เป็นหนึ่งในกลุ่มอิทธิพลใหญ่ของแผ่นดินจงเทียน แม้ว่าจะไม่ได้มีชื่ออยู่ในอันดับสี่ยอดนิกายใหญ่ แต่ว่ากันว่าพลังที่แท้จริงไม่ได้ด้อยไปกว่าสี่ยอดนิกายใหญ่เท่าไหร่


อีกอย่างพระพุทธศาสนามีต้นกำเนิดมาแต่สมัยบรรพกาล พลังวิเศษบางอย่างในนั้น ทำให้ผู้ฝึกฝนทั่วไปปวดหัวอยู่ไม่หยุด ภายใต้สถานการณ์ปกติ ต่อให้เป็นสี่ยอดนิกายใหญ่ ก็ไม่มีใครอยากจะล่วงเกินหลวงจีนเหล่านี้


ดูจากท่าทีในวันนี้ ชื่อเสียงของเขาถานกวงคงจะเหนือกว่าคำร่ำลือ


พลังอภินิหาริย์ทางพระพุทธศาสนา หลิ่วหมิงก็เคยพบเจอมาหลายครั้ง ช่างลี้ลับมหัศจรรย์อย่างยิ่ง นึกถึงเปลวไฟผู่ถัวของราชาปีศาจสมุทรที่เกือบจะทำให้หัวปีศาจยักษ์ได้รับบาดเจ็บ และค่ายกลพุทธะที่เจียหลานแสดงในทะเลหนานไห่แล้ว ยิ่งทำให้เขารู้สึกเป็นทุกข์ไม่น้อย


“สหายอินกล่าวเกินไปแล้ว วันนี้อาตมาเป็นแค่คนกลางเท่านั้น เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้เห็นการแลกเปลี่ยนพลังวิเศษระหว่างทั้งสอง” หลวงจีนหนุ่มกล่าวอย่างถ่อมตน


“เอาล่ะ! พวกเราไม่ต้องมาเยินยอกันเองแล้ว สหายอิน พวกเราตกลงกันว่าวันนี้จะประลองกันที่นี่สามรอบ เพื่อตัดสินว่าใครจะเป็นเจ้าของลูกกวางจิตวิญญาณเก้าสีตัวนั้น คนของท่านที่จะเข้าร่วมประลองก็คือสองคนนี้ใช่หรือไม่?” กู่เจวี๋ยเห็นทั้งสองทักทายกันอย่างอบอุ่น ก็แสดงสีหน้าทนไม่ไหว และเอ่ยปากแทรกขึ้นมา สายตาของเขาก็มองไปยังหลิ่วหมิงทั้งสองที่อยู่ด้านหลัง


“ถูกต้อง เจ้าทั้งสองยังไม่รีบมาคารวะสหายกู่เจวี๋ยอีก” อินจิ่วหลิงกวักมือเรียกทั้งสองโดยไม่พูดอะไรมาก


“คารวะผู้อาวุโสกู่!” หลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่รีบก้าวมาโค้งคารวะอย่างไม่รอรี


“ศิษย์หลานเสี่ยวมีการฝึกฝนระดับผลึก คาดว่าใกล้จะเข้าสู่ระดับแก่นแท้แล้วสินะ สมกับเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่มีชื่อเสียงจริงๆ ศิษย์หลานผู้นี้ดูแปลกหูแปลกตาเล็กน้อย เป็นศิษย์ในสังกัดของสหายอินเช่นกันหรือ?” กู่เจวี๋ยสังเกตดูเสี่ยวอู่ทีหนึ่ง หลังจากพยักหน้าแล้ว ก็ละสายตามามองหลิ่วหมิง


“ศิษย์หลิ่วหมิง เพิ่งเข้ายอดเขาลั่วโยวในช่วงหลายปีมานี้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ


“ศิษย์หลานหลิ่วก็ฝึกฝนถึงระดับของเหลวอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว มีคุณสมบัติไม่ธรรมดาจริงๆ” กู่เจวี๋ยกล่าวออกมาสองประโยค จากนั้นก็ละสายตามามองเสี่ยวอู่อีกครั้ง


ประจักษ์ชัดว่าผู้แข่งแกร่งระดับแก่นแท้ของสำนักเฮ่าหรานผู้นี้ ยังคงรู้สึกสนใจศิษย์พี่ใหญ่ของยอดเขาลั่วโยวมากกว่าหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน ผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ช่างมีสายตาหลักแหลมยิ่งนัก เขายังไม่ได้กระตุ้นพลังเวทเลยแม้แต่น้อย ก็ถูกฝ่ายตรงข้ามเห็นระดับการฝึกฝนของตนเองแล้ว


และขณะเดียวกันเขาก็รู้สึกงุนงง พอหันหน้าเล็กน้อยก็พบกับสายตาที่เป็นประกายของอวิ๋นกังพอดี


พอหลวงจีนหนุ่มผู้นี้เห็นหลิ่วหมิงมองมา กลับยิ้มให้เล็กน้อย


หลิ่วหมิงรู้สึกอึ้งทันที แต่ก็ยิ้มตอบอย่างสุภาพ


“เอาล่ะ! สหายกู่อย่าพูดจาไร้สาระอีกเลย ข้าได้ยินมาว่าทางท่านเองก็ได้รับศิษย์ที่มีดวงตาแห่งความว่างเปล่ามาคนหนึ่ง คิดว่าวันนี้คงพามาด้วยเช่นกัน” อินจิ่วหลิงให้หลิ่วหมิงทั้งสองถอยกลับไป และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“ข่าวสารของพี่อินช่างรวดเร็วยิ่งนัก พวกเจ้าทั้งสองก็มาคารวะผู้อาวุโสนิกายยอดบริสุทธิ์กันหน่อย” กู่เจวี๋ยได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แต่ก็รีบกล่าวด้วยรอยยิ้มในฉับพลัน


ชายหญิงสองคนที่อยู่ด้านหลังได้ยินเช่นนี้ ก็รีบก้าวเข้ามากุมมือคารวะอินจิ่วหลิง


“ศิษย์ฉินอี้ กู่ฉิน คารวะผู้อาวุโสอิน”


หลิ่วหมิงกวาดสายตาดูทั้งสอง พอมองไปยังศิษย์หญิงผู้นั้น ถึงค้นพบว่านางมีใบหน้าธรรมดา ตาดวงตาทั้งคู่เป็นสีเขียวสลัวๆ แทบจะไม่สามารถแยกแยะรูม่านตากับตาขาวได้ แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก


แต่ก่อนเขาก็เคยได้ยินคนพูดถึงเรื่องดวงตาแห่งความว่างเปล่ามาก่อน ดูเหมือนจะเป็นร่างจิตวิญญาณชนิดหนึ่งที่พบเจอได้น้อยมาก พลังของดวงตาแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง เชี่ยวชาญในด้านการจับกระแสพลังเวท ได้ชื่อว่าไม่มีวิชาใดสามารถหลบพ้นการมองเห็นของดวงตานี้ได้ ด้วยเหตุนี้จึงได้ชื่อ ‘ดวงตาแห่งความว่างเปล่า’


มีแม้ว่าร่างจิตวิญญาณระดับนี้ ไม่ค่อยได้เปรียบในด้านของการฝึกฝน แต่ในด้านการประลองพลังเวทกลับถือเบี้ยเหนือกว่ามาก


“สหายกู่ ศิษย์ทั้งสองของท่านก็ไม่ธรรมดานี่” อินจิ่วหลิงดวงตาเป็นประกาย และกล่าวด้วยรอยยิ้ม


“เอาล่ะ เวลาก็ไม่เช้าแล้ว เริ่มการประลองกันเถอะ!หลิ่ว” กู่เจวี๋ยค่อยๆ กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“ได้! แต่ก่อนอื่นเจ้ากับข้าควรนำเจ้าสิ่งนั้นออกมาก่อน” อินจิ่วหลิงพยักหน้าแล้วกล่าวออกมา


กู่เจวี๋ยย่อมไม่มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด


……


ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หน้าต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งภายในหุบเขา กู่เจวี๋ยกับอินจิ่วหลิง คนหนึ่งถือคทาหยกหนึ่งอัน อีกคนก็คีบป้ายสีเงินอันหนึ่งอยู่ และกำลังร่ายคาถากระตุ้นอยู่ไม่หยุด


คทาหยกกับป้ายพ่นแสงสีขาวและสีเงินใส่ลำต้นบนต้นไม้ใหญ่ ทันใดนั้นคลื่นสั่นสะเทือนไร้รูป ก็ก่อตัวขึ้นรอบต้นไม้ใหญ่


กลุ่มแสงห้าสีพุ่งออกจากต้นไม้ใหญ่ มีอะไรบางอย่างถูกห่อหุ้มอยู่ในนั้น


“ฟิ้ว!” กลุ่มแสงห้าสีหลุดออกจากต้นไม้ใหญ่โดยสมบูรณ์ พริบตาเดียวก็กลายเป็นกรงห้าสี และค่อยๆ ร่วงลงหน้าต้นไม้ใหญ่


หลิ่วหมิงเขม้นตามองออกไป ถึงมองเห็นว่าสิ่งที่อยู่ในกรงเป็นกวางจิตวิญญาณตัวหนึ่งที่มีความสูงเท่ากับคนหนึ่งคน บนตัวเปล่งแสงหลากสีแวววาวออกมา เขาบนหัวดูสั้นอย่างน่าประหลาดใจ ดูท่าจะยังเป็นลูกกวางน้อยอยู่ บนหน้าผากมียันต์สีเหลืองติดอยู่หนึ่งผืน มันกำลังนอนหมดสติอยู่ในกรง


“นี่ก็คือกวางจิตวิญญาณเก้าสีหรือ?” หลิ่วหมิงแอบอุทานอยู่ในใจ และมองดูอย่างอดไม่ได้


กวางจิตวิญญาณเก้าสีเป็นอสูรกลายพันธุ์ในหมู่ปีศาจอสูร หลังจากเติบโตแล้วจะมีพลังถึงระดับผลึก และค่อยๆ ฝึกฝนจนถึงระดับแก่นแท้ได้ อีกอย่างปีศาจอสูรชนิดนี้มีความสามารถในขับไล่สิ่งชั่วร้ายโดยกำเนิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันมีพลังในการควบคุมภูติผีปีศาจเป็นอย่างมาก


ที่อินจิ่วหลิงฝึกฝนก็คือวิชาสายปีศาจ หากมีกวางจิตวิญญาณเก้าสีติดตัว ก็สามารถใช้สยบปีศาจได้อย่างดี และก็ยกระดับพลังของตนเองได้อย่างมาก


ส่วนกู่เจวี๋ย แม้จะไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่เมื่อเผชิญกับอสูรระดับนี้ ใครก็ไม่ยอมให้ตกอยู่ในมือของคนอื่นอย่างแน่นอน


ด้วยเหตุนี้ทั้งสองจึงนัดหมายกันประลองเพื่อลูกกวางตัวนี้


“ข้าเป็นผู้ดำเนินการประลองในครั้งนี้ตามคำเชิญของพี่กู่ ตามวิธีการที่ทั้งสองนัดหมายไว้ในก่อนหน้า การประลองในครั้งนี้แบ่งออกเป็นสามรอบ แข่งสามชนะสอง สองในสามรอบนี้ต้องเป็นศิษย์ในสังกัดของทั้งสอง ฝ่ายที่ชนะจะได้กวางจิตวิญญาณตัวนี้ไป ท่านทั้งสองคงไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ใช่หรือไม่?” อวิ๋นกังก้าวมาด้านหน้าหนึ่งก้าว และกล่าวออกมา


อินจิ่วหลิงกับกู่เจวี๋ยต่างก็พยักหน้า


“ถ้าอย่างนั้นก็ดี อาตมาจะเริ่มแล้วนะ” อวิ๋นกังประนมมือทั้งสองร่ายคาถาอย่างเงียบๆ แสงสีทองพุ่งออกจากจีวรของเขา ที่แท้มันก็เป็นลูกประคำเส้นหนึ่ง


ภายใต้การกระตุ้นพลังเวทของอวิ๋นกัง ลูกประคำก็ขยายใหญ่หนึ่งหมู่กว่าๆ แสงสีทองพุ่งออกจากลูกประคำ ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็ก่อตัวเป็นค่ายกลรูปวงกลมหลังหนึ่ง อากาศสั่นสะเทือนเล็กน้อย และได้ยินเสียงสวดมนต์ดังออกมาอยู่รำไร


“ให้ทำการประลองภายในค่ายกล ใครออกนอกวงกลมนี้ก็ถือว่าแพ้” อวิ๋นกังหยุดแสดงวิชาแล้วกล่าวออกมา


“ถ้าอย่างนั้นรอบแรกก็ให้พวกข้าทั้งสองประลองก่อนเถอะ ถือเสียว่าเป็นตัวอย่างให้กับศิษย์ของตนเอง” กู่เจวี๋ยหัวเราะฮ่าๆ เท้าของเขาขยับเล็กน้อย จากนั้นก็หายตัวเข้าไปด้านในค่ายกล


อินจิ่วหลิงเผยแววตาเคร่งขรึมออกมา จากนั้นก็หายวับเข้าไปด้านในเช่นกัน


“สหายทั้งสองต่างก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ ทำการประลองเล็กๆ สักรอบก็พอ มิเช่นนั้นค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์ของข้าคงไม่อาจต้านทานได้” อวิ๋นกังเห็นเช่นนี้ก็รีบกล่าวด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น


หากผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ต่อสู้กันด้วยพลังทั้งหมด เทือกเขาในรัศมีร้อยลี้อาจจะกลายเป็นผุยผงได้ และภายใต้สถานการณ์ที่มีพลังพอๆ กัน ก็ใช่ว่าจะรู้แพ้ชนะได้ภายในสองสามกระบวนท่า


“สหายอวิ๋นกังกล่าวได้มีเหตุผล สหายอินวันนี้พวกเราทำการประลองเล็กๆ สักรอบเป็นไง?” กู่เจวี๋ยกล่าว


“สหายกู่มีคำแนะนำดีๆ อย่างไรบ้าง?” อินจิ่วหลิงหรี่ตาทั้งคู่ลง และถามด้วยสีหน้าสงบ


“ได้ยินมาว่าร้อยกว่าปีก่อน สหายอินปราบมังกรกระดูกระดับผลึกขั้นสุดยอดได้ตัวหนึ่ง ไม่สู้พวกเราใช้อสูรจิตวิญญาณมาประลองกัน เพื่อตัดสินชัยชนะในครั้งนี้ดีหรือไม่?” กู่เจวี๋ยดวงตาเป็นประกาย ในระหว่างที่โบกมือนั้น สุนัขสีเขียวตัวหนึ่งที่สูงจั้งกว่าๆ ก็ปรากฏออกมาตรงหน้า กลิ่นไอป่าเถื่อนแผ่ออกมาจากตัวของมัน


แม้แต่หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ที่อยู่นอกค่ายกล ก็รับรู้ถึงแรงกดดันจิตวิญญาณที่ทำให้รู้สึกหายใจอึดอัด สุนัขสีเขียวตัวนี้มีพลังแข็งแกร่งมาก มันเป็นปีศาจอสูรระดับผลึกขั้นปลายตัวหนึ่ง


“ที่แท้สหายก็อยากจะประลองอสูร เช่นนี้ก็ดี” อินจิ่วหลิงเผยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม และตกปากรับคำโดยไม่ต้องคิด


พอกล่าวจบ แขนเสื้อของเขาก็พองขึ้นมา ลูกแสงสีดำขนาดเท่ากำปั้นพุ่งออกจากในนั้น


มีเสียงคำรามดังขึ้น!


มังกรกระดูกสีดำที่ยาวสิบกว่าจั้งพุ่งออกจากลูกแสงในทันที กลิ่นไออันแข็งแกร่งของมันไม่ได้ด้อยไปกว่าสุนัขสีเขียวเลยแม้แต่น้อย


หลิ่วหมิงมองดูคนทั้งสองที่อยู่ในค่ายกลด้วยสีหน้าตื่นเต้น การที่ได้เห็นผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ต่อสู้กันเช่นนี้ นับว่ามีโอกาสน้อยมาก


ครู่ต่อมา การต่อสู้ภายในค่ายกลก็เริ่มขึ้น


ดูเหมือนว่าสุนัขสีเขียวจะได้รับคำสั่ง หลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ร่างของมันก็พร่ามัวกลายเป็นเงาร่างสีเขียวพุ่งออกไปทันที


อินจิ่วหลิงดวงตาเป็นประกาย พอชี้นิ้วออกไป ดวงตาสีแดงทั้งคู่ของมังกรกระดูกดำที่อยู่ตรงหน้าก็เปล่งประกายอย่างโหดเหี้ยม มันอ้าปากพ่นลำแสงสีดำราวกับหมึกใส่สุนัขสีเขียวโดยตรง


สุนัขสีเขียวก็ไม่อ่อนแอเช่นกัน มันอ้าปากขนาดใหญ่พ่นเปลวไฟสีเขียวออกมาปะทะกับลำแสงสีดำ


“ตู๊มตาม!”


แสงสีดำกระเด็นไปทั่วทิศ และพากันระเบิดออกมา อานุภาพน่าตกใจเป็นอย่างมาก แต่ขณะที่คลื่นที่เหลือสั่นสะเทือนมาถึงขอบค่ายกลนั้น ลูกประคำสีทองที่อยู่ด้านล่างก็เปล่งแสงสีทองเป็นประกาย เสียงสวดมนต์ดังขึ้นมา คลื่นของแสงสีดำที่มีลักษณะดุดันในก่อนหน้านั้น หายไปราวกับหิมะละลาย


พอแสงสีดำเปล่งประกาย มังกรกระดูกก็ลากยาวเป็นเส้นสีดำ พริบตาเดียวก็พุ่งมาอยู่เหนือหัวสุนัขสีเขียวโดยไม่คาดคิด กรงเล็บกระดูกอันแหลมคมคว้าไปยังดวงตาทั้งสองของสุนัขสีเขียวอย่างรวดเร็ว


ตอนที่ 613 ศึกของเสี่ยวอู่

โดย

Ink Stone_Fantasy

สุนัขสีเขียวหยุดชะงักเล็กน้อย แต่ก็ยังตอบสนองได้ทัน แสงสีเขียวหมุนวนอยู่ลูกในตาสีเขียวทั้งสอง ทันใดนั้นแสงสีเขียวสองลำก็พุ่งยิงออกไป


“เปรี๊ยะๆ!” มีเสียงโจมตีดังขึ้นกลางอากาศ


กรงเล็บกระดูกถูกแสงสีเขียวสั่นสะเทือนจนกระเด็นออกไปเล็กน้อย แต่เป็นเพราะสุนัขสีเขียวช้าไปก้าวหนึ่ง แสงสีเขียวจึงก่อตัวอย่างกระชั้นชิดเกินไป ทำให้พลังโจมตีไม่เพียงพอ


กรงเล็บกระดูกทั้งคู่ของมังกรกระดูกดำถูกเบี่ยงเบนตำแหน่งเล็กน้อย จึงทิ้งรอยแผลยาวๆ ไว้บนหลังสุนัขสีเขียวสองเส้น


ดูเหมือนว่าสุนัขสีเขียวจะถูกกระตุ้นให้โมโห มันสะบัดหัวขนาดใหญ่ และอ้าปากพ่นเปลวไฟสีเขียวออกมา


ร่างที่ยาวสิบกว่าจั้งของมังกรกระดูกบิดตัวกลางอากาศ หางที่มีไอดำปกคลุมสะบัดใส่เปลวไฟอย่างรวดเร็ว


“ตู๊มตาม!” เกิดเสียงดังขึ้น ค่ายกลสีทองสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง แต่ภายใต้การเปล่งประกายของลูกประคำที่อยู่ด้านล่าง ครู่เดียวมันก็กลับมาเป็นปกติ


ครู่ต่อมา จะเห็นว่าแสงสีดำปะทะกับแสงสีเขียวราวกับฟ้าผ่า เวลาที่มันปะทะกันจะทำให้แผ่นดินสะเทือนทุกครั้ง และปลดปล่อยแรงกดดันจิตวิญญาณออกไป แม้ว่าจะมีค่ายกลต้านทานอยู่ แต่ยังคงทำให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ต้องร่นถอยออกไปโดยไม่ตั้งใจ


ด้วยสายตาระดับหลิ่วหมิง ก็เกือบจะมองไม่เห็นอสูรจิตวิญญาณสองตัวนี้


เมื่อเทียบกับอสูรแปลกประหลาดสองตัวนี้แล้ว แมงป่องกระดูกกับหัวบินในมือเขายังห่างชั้นเป็นอย่างมาก


ขณะนั้นเอง หลวงจีนอวิ๋นกังที่อยู่ไม่ไกล ก็มองมาทางหลิ่วหมิงโดยแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้


แม้หลิ่วหมิงจะไม่ได้หันหน้ากลับมา แต่ด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่ง ก็สามารถรับรู้ได้อย่างชัดเจน


เขาดูเหมือนจะมีสีหน้าปกติ แต่ในใจกลับรู้สึกเย็นสะท้าน ไม่รู้ว่าว่าหลวงจีนแห่งเขาถานกวงสนใจอะไรในตัวเขากันแน่


ขณะนั้นเอง เสียงร้องคำรามด้วยความเจ็บปวดก็ดังมาจากด้านในค่ายกล จะเห็นว่าเงาร่างสีดำกับสีเขียวแยกจากกัน จากนั้นก็กลายเป็นมังกรกระดูกดำกับสุนัขสีเขียว และยืนอยู่คนละฝั่ง


สุนัขสีเขียวในขณะนี้ ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมาก บาดแผลสิบกว่ารอยปกคลุมเต็มตัว แม้ว่าบนตัวมังกรกระดูกดำจะได้รับความเสียหายสองสามแห่ง แต่โดยรวมแล้วดูดีกว่าสุนัขสีเขียวมาก


หลังจากมังกรกระดูกแหงนหน้าส่งเสียงคำรามออกมา ไอดำบนตัวก็พวยพุ่ง และหลุดออกจากตัวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก่อตัวเป็นลูกแสงสีดำมืด


ไอดำบนตัวมังกรกระดูกยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นมังกรกระดูกขาวหิมะ และกลืนลูกแสงสีดำลงไปทันที


ครู่ต่อมา กลิ่นไออันน่าตกใจแผ่ออกจากร่างมังกรกระดูก พลังของมันพุ่งขึ้นมาเป็นระยะๆ ในที่สุดก็ทะลุระดับผลึกขั้นปลาย และเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน


“เอ๊ะ?” หลวงจีนอวิ๋นกังเผยแววตาประหลาดใจออกมา การเปลี่ยนแปลงของมังกรกระดูกเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก


อินจิ่วหลิงเผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา


เหตุผลที่เขาตอบรับการประลองอสูรอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ ก็เพราะว่าช่วงนี้มังกรกระดูกฝึกฝนวิชาใหม่ซึ่งเหมาะสมกับไอปีศาจลึกลับบนตัว สามารถทำให้พลังของตนเองเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้ชั่วคราว


แม้ว่าพลังเช่นนี้จะถูกยกระดับได้ชั่วคราว แต่ก็ทิ้งผลกระทบไว้ไม่น้อย แต่การเอาชนะสุนัขสีเขียวระดับผลึกขั้นปลายตนนี้คงไม่มีปัญหาอะไร


กู่เจวี๋ยเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็มีสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย


แต่พอมังกรกระดูกอ้าและหุบปากขนาดใหญ่ของมัน ไอดำเข้มข้นก็ถูกพ่นออกมา และพุ่งยิงไปยังสุนัขสีเขียว


ประจักษ์ชัดว่าสุนัขสีเขียวก็สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาดของมังกรกระดูก พอเห็นไอดำพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ร่างขนาดมหึมาของมันก็พร่ามัว และคิดจะกระโดดออกไปด้านข้าง


แต่ทว่าฉากอันน่าประหลาดใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!


ไอดำเข้มข้นราวกับมีชีวิต ขณะที่ร่างของสุนัขสีเขียวเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น มันก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งยิงไปด้วย


“ตู๊ม!”


ภายใต้สถานการณ์ที่สุนัขสีเขียวไม่ทันได้ระวัง ถึงถูกไอดำโจมตีหน้าอกโดยตรงจนหกคะเมนตีลังกาออกไป หน้าอกของมันราวกับโดยกัดกร่อนจนเป็นบาดแผลจางๆ


ครู่ต่อมา เงาสีขาวเปล่งประกายกลางอากาศ มังกรกระดูกกระโจนเข้ามา “ฟู่!” ลำตัวสิบกว่าจั้งรัดพันสุนัขสีเขียวไว้ ขณะเดียวกันพอมันอ้าปาก คมเขี้ยวอันแหลมคมก็กัดไปยังคอหอยของสุนัขสีเขียว


ขณะนั้นเอง แสงสีเขียวก็เปล่งประกายเจิดจ้าบนตัวสุนัขสีเขียว วงกลมแสงสีเขียวดันร่างของมังกรออกไป


ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีเขียว ทำให้สุนัขสีเขียวหลุดพ้นจากพันธการของมังกรกระดูก และกระโดดขึ้นบนอากาศ ขณะเดียวกันแสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนพื้นผิว


อินจิ่วหลิงเห็นเช่นนี้ก็หรี่ตาทั้งคู่ลงทันที


ใบหน้าอึมครึมของกู่เจวี๋ยผ่อนคลายลง


เกิดเสียงดัง “ฟู่ๆ!” บนผิวสุนัขสีเขียวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มีเกล็ดสีเขียวค่อยๆ ปรากฏบนผิวที่เต็มไปด้วยบาดแผล


หลังจากแสงบนตัวดับลง อสูรประหลาดที่มีลักษณะคล้ายกิเลนก็ปรากฏต่อหน้าผู้คน กลิ่นไอบนตัวของมันก็ทะลุถึงระดับแก่นเสมือนแล้ว และยังดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่ามังกรกระดูกหนึ่งขั้น


“เจ้า……” พออินจิ่วหลิงอ้าปากก็มีเงาร่างสีเขียวเปล่งประกายตรงหน้า ครู่ต่อมากิเลนก็พุ่งมาถึงตรงหน้ามังกรกระดูก


ภายใต้สถานการณ์ที่มังกรกระดูกขาวไม่ทันได้ป้องกัน กรงเล็บคู่หนึ่งจึงคว้าไปด้านหน้าอย่างรุนแรง เพื่อที่จะต้านทานโจมตี


ดวงตาทั้งคู่ของกิเลนสีเขียวเป็นประกาย ภายใต้การอ้าปาก เปลวไฟสีเขียวก็ม้วนตัวออกมาโจมตีกรงเล็บจนแยกออกจากกัน ขณะเดียวกัน มีเงาร่างกระพริบผ่านกรงเล็บด้านหน้า พริบตาเดียวก็กดคอของมังกรกระดูกไว้ และอ้าปากกัดจนขาด


ร่างขนาดใหญ่ของมังกรกระดูกดีดดิ้นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ฟาดลงกลางค่ายกล และไม่ขยับเขยื้อนอีก


อินจิ่วหลิงขมวดคิ้ว และชี้นิ้วผ่านอากาศ


ไอดำมืดพุ่งออกจากร่างมังกรกระดูก และห่อหุ้มมังกรน้อยแวววาวตัวหนึ่งไว้ จากนั้นก็พุ่งมาทางเขา


อินจิ่วหลิงคว้าไอดำไว้ในมือ จากนั้นก็เก็บวิญญาณไว้ในตลับหยกใบหนึ่ง และใส่เข้าไปในแขนเสื้อก่อนกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


“สหายกู่เจวี๋ยเก็บซ่อนได้มิดชิดมาก ที่แท้สุนัขสีเขียวตัวนี้ก็มีสายเลือดของกิเลนในสมัยบรรพกาล มิน่าถึงได้เสนอให้ประลองอสูรจิตวิญญาณ การประลองในรอบนี้ข้าขอยอมแพ้”


“สหายอินชมเกินไปแล้ว ข้าก็แค่โชคดีเท่านั้น” กู่เจวี๋ยแสยะยิ้มและหัวเราะก่อนกล่าวออกมา พอโบกมือข้าหนึ่ง แสงสีเขียวก็เปล่งประกายบนตัวของกิเลนเขียว จากนั้นก็กลับมาเป็นสุนัขสีเขียวอีกครั้ง และกลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งกลับเข้าไปในถุงที่อยู่บนเอว


อินจิ่วหลิงทำเสียงฮึดฮัด จากนั้นร่างของเขาก็หายวับมาปรากฏตัวด้านข้างซากมังกรกระดูก พอโบกแขนเสื้อเก็บมังกรกระดูกเข้าไปแล้ว ก็หายวับมาปรากฏตัวด้านนอกค่ายกลอีกครั้ง


มังกรกระดูกนับว่าเป็นปีศาจที่มีชีวิต เพียงแค่เก็บวิญญาณที่สมบูรณ์ของมันไว้ ก็สามารถสร้างร่างใหม่ และให้กำเนิดมันได้อีกครั้ง


แน่นอน เช่นนี้แล้วพลังของมังกรกระดูกก็จะสูญเสียไปมาก แม้กระทั่งอาจจะหล่นลงไปหลายขั้น ไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานเท่าใดถึงจะฟื้นฟูให้กลับมามีพลังดังเดิมได้


“การประลองรอบแรก สำนักเฮ่าหรานชนะ” หลวงจีนอวิ๋นกังที่อยู่ด้านนอกประกาศผลออกมา และการประลองรอบที่สองก็เริ่มขึ้น


การประลองรอบต่อมา ย่อมเป็นเสี่ยวอู่กับชายรูปร่างสูงใหญ่ของสำนักเฮ่าหรานผู้นั้น ซึ่งต่างก็มีการฝึกฝนระดับผลึก


เสี่ยวอู่มีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับผลึกขึ้นปลาย และจากการวินิจฉัยของหลิ่วหมิง ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผู้นั้น ก็คงจะมีการฝึกฝนระดับเดียวกับเสี่ยวอู่


แม้ว่าอินจิ่วหลิงจะยังมีท่าทีสงบที่สูญเสียชัยชนะในรอบแรก แต่ตอนนี้แพ้ไปแล้วหนึ่งรอบ หากแพ้อีกรอบล่ะก็ กวางจิตวิญญาณเก้าสีก็จะตกเป็นของฝ่ายตรงข้ามแล้ว


“อาจารย์วางใจเถอะ! ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะเป็นใคร ข้าก็จะไม่แพ้อย่างแน่นอน” เสี่ยวอู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม


“อืม! เจ้าฝึกฝนอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดอย่างธงตาข่ายหยินสิบสองอันสำเร็จแล้ว ผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันที่เป็นคู่ต่อสู้กับเจ้าคงมีน้อยมาก แต่ก็อย่าได้ชะล่าใจไป” อินจิ่วหลิงได้ยินก็กำชับศิษย์รักของตนเองอย่างราบเรียบ


เสี่ยวอู่พยักหน้า จากนั้นก็กระโดดเข้าไปในค่ายกล ขณะเดียวกัน ชายรูปร่างสูงใหญ่ผู้นั้นก็เดินเข้ามาจากอีกด้านเช่นกัน


“เริ่มการประลองได้” หลวงจีนอวิ๋นกังกวาดสายตามองทั้งสองที่อยู่ในค่ายกล และประกาศออกมาอย่างไม่ลังเล


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เสี่ยวอู่ก็ยกแขนทั้งสองขึ้นโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไอสีขาวเทาสิบกว่าจั้งพุ่งออกจากตัว และพวยพุ่งอย่างรุนแรง พริบตาเดียวก็กลายเป็นอสรพิษยักษ์สีขาวเทาตัวหนึ่ง มันอ้าปากและกระโจนเข้าหาชายรูปร่างสูงใหญ่อย่างโหดเหี้ยม


ชายรูปร่างสูงใหญ่รู้สึกใจเย็นสะท้าน คิดไม่ถึงว่าเสี่ยวอู่จะลงมือรวดเร็วเช่นนี้ เขารีบทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว แสงเพลิงเปล่งประกายบนตัว ม่านแสงร้อนแรงชั้นหนึ่งปรากฏออกมา


อสรพิษยักษ์สีขาวเทาชนลงบนม่านแสง และระเบิดออกมา


อินจิ่วหลิงขมวดคิ้วทันที เห็นได้ชัดว่าชายรูปร่างสูงใหญ่ผู้นี้ฝึกฝนวิชาธาตุไฟ ซึ่งสามารถควบคุมวิชาสายปีศาจได้พอดี


พอชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่เห็นว่าม่านแสงป้องกันตรงหน้าไม่เป็นอะไร เขาก็เผยแววตาเยือกเย็นออกมา พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง ก็มีวงแหวนสีแดงแวววาวปรากฏอยู่ในมือ


พอชายหนุ่มยกมือข้างหนึ่งขึ้น วงแหวนสีแดงก็ทิ้งเงาสีแดงไว้บนอากาศจำนวนหนึ่ง ภายใต้การรวมตัวกันของเงาสีแดง มันก็กลายเป็นเมฆอัคคีอันร้อนแรง และพุ่งไปด้านหน้าด้วยอานุภาพดุดัน บริเวณอากาศที่มันพุ่งผ่านเกิดการบิดเบี้ยวขึ้นมา


หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย เขามองออกอย่างรวดเร็วว่าวงแหวนสีแดงนี้เป็นต้นแบบอาวุธเวทชิ้นหนึ่ง


ดวงตางดงามของเสี่ยวอู่เป็นประกาย นางอ้าปากพ่นแสงสีดำออกมาเรียงอยู่ด้านหน้า ขณะเดียวกัน นิ้วทั้งสิบก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ธงกระดูกสีดำสิบสองอันปรากฏขึ้นตรงหน้า ท่ามกลางเสียงร้องหวึ่งๆ ไอดำก็พุ่งออกจากผิวธงที่มีขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ


เมฆอัคคีอันร้อนแรงปะทะเข้ากับไอดำจนเกิดเสียงดัง “ฟู่ๆ!” ทั้งสองต่างก็ควบคุมกันและกัน และค่อยๆ ละลายลง


ในที่สุดเมฆอัคคีก็อ่อนแอกว่าเล็กน้อย เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็ถูกไอดำพวยพุ่งปกคลุมไว้


ครู่ต่อมา ไอดำจำนวนมากพวยพุ่งไปด้านหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง ครู่เดียวก็ปกคลุมไปทั่วค่ายกลสีทอง


ชายรูปร่างสูงใหญ่มีสีหน้าหนักอึ้ง เขารีบโยนวงแหวนสีแดงในมือขึ้นไปเหนือศีรษะ ทันใดนั้นมันก็ก่อตัวเป็นม่านแสงสีแดงปกคลุมรอบตัว และต้านทานไอดำอันพวยพุ่งไว้ด้านนอก


“ฟู่ๆ!” ภายใต้การพวยพุ่งของไอดำไร้ขอบเขต มันก็กลายเป็นอสรพิษยักษ์สิบกว่าตัวพุ่งออกไปโจมตีม่านแสงจากรอบด้าน


“เพล้ง!” “เพล้ง!” เกิดเสียงดังติดต่อกัน ม่านแสงสีแดงเพียงแค่สั่นสะท้านเล็กน้อย จากนั้นก็กลับมามั่นคงอย่างรวดเร็ว


ตอนที่ 614 ดวงตาแห่งความว่างเปล่า

โดย

Ink Stone_Fantasy

แม้ว่าม่านแสงสีแดงจะไม่เป็นอะไรอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่ชายรูปร่างสูงใหญ่ยังคงเผยสีหน้าเคร่งขรึมออกมา จากนั้นก็ยกแขนปล่อยพลังใส่วงแหวนเหนือศีรษะ


ภายใต้การเปล่งประกายของวงแหวนสีแดง วงแหวนไฟก็ก่อตัวขึ้นและขยายออกไปรอบด้าน พออสรพิษสีดำสิบกว่าตัวสัมผัสกับมัน ก็ลุกไหม้สลายไปทันที


และภายใต้อานุภาพของวงแหวนไฟ ไอดำที่พวยพุ่งอยู่รอบด้านก็ถูกโจมตีจนสลายไปไม่น้อย พอชายรูปร่างสูงใหญ่เขม้นตามอง ก็มองเห็นรอยยิ้มเยือกเย็นของเสี่ยวอู่ที่อยู่ภายใต้การล้อมรอบของไอดำ และธงกระดูกสีดำสิบสองอันที่เรียงแถวอยู่ตรงหน้ากลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทำให้จิตใจของเขาร่วงหล่นไปทันที


ในขณะที่ชายหนุ่มรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัยนั้น ไอดำรอบตัวก็พวยพุ่งอีกครั้ง วัตถุสีดำที่มีลักษณะยาวๆ สิบสองอันปรากฏออกมา ที่แท้มันก็เป็นธงกระดูกเหล่านั้น


เกิดเสียงดังติดต่อกัน “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”


ธงกระดูกแต่ละอันพ่นไอดำออกมาสามกลุ่ม พอไอดำแต่ละกลุ่มปรากฏตัว มันก็มีหัวและแขนขางอกออกมา จากนั้นก็กลายเป็นปีศาจสีดำที่มีลักษณะคล้ายวานร


พริบตาเดียว ชายรูปร่างสูงใหญ่ก็ถูกปีศาจสีดำสามสิบหกตัวห้อมล้อมไว้


ขณะที่มีชายรูปร่างสูงใหญ่มีสีหน้าเปลี่ยนไป และคิดที่จะกระตุ้นวงแหวนเหนือศีรษะนั้น ปีศาจสีดำเหล่านี้ก็แผดเสียงแหลมออกมาอย่างถึงขีดสุด


คลื่นเสียงไร้รูปสามสิบหกสายโจมตีม่านแสงสีแดงจนทะลุ ม่านแสงสามารถป้องกันการโจมตีของพลังเวทได้ แต่ไม่อาจกีดกั้นคลื่นเสียงได้


ชายรูปร่างสูงใหญ่รู้สึกว่าร่างกายแข็งขึ้นมา ใบหน้าของเขาดูเจ็บปวดเป็นอย่างมาก คลื่นเสียงจมเข้าไปในสมอง ทำให้รู้สึกราวกับว่าสมองถูกโจมตีสามสิบหกครั้ง


พอได้ยินเสียงดัง “โครม!” ดวงตาของชายรูปร่างสูงใหญ่ก็กลายเป็นสีขาว จากนั้นก็หมดสติก่อนล้มลงพื้น


ครู่ต่อมา ไอดำไร้ขอบเขตที่ปกคลุมเต็มค่ายกลสีทองก็หมุนวนอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆ สลายไปจนเผยให้เห็นสภาพด้านใน


จะเห็นว่าเสี่ยวอู่ยืนยิ้มอยู่ในนั้น ด้านข้างมีธงกระดูกสีดำลอยอยู่สิบสองอัน ชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่นอนสลบอยู่บนพื้น วงแหวนสีแดงที่มีสามสิบหกชั้นจำกัดหล่นอยู่ด้านข้างของเขา


ตั้งแต่ไอดำปกคลุมค่ายกลอย่างแน่นหนาจนถึงตอนที่สลายไปจนหมดสิ้นนั้น ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ก็ตัดสินผลแพ้ชนะได้แล้ว


ขณะนี้หลิ่วหมิงมองดูหญิงงดงามที่อยู่ด้านในค่ายกลด้วยความตกใจ


ศิษย์พี่ใหญ่ผู้นี้มีพลังเหนือกว่าที่เขาคาดการณ์ไว้มาก


“การประลองรอบที่สอง นิกายยอดบริสุทธิ์ชนะ” หลวงจีนอวิ๋นกังไม่รู้สึกยินดียินร้ายกับผลการประลองนี้ ยังคงประกาศออกมาอย่างราบเรียบ


อินจิ่วหลิงเห็นศิษย์ของตนเองชนะ ก็เผยรอยยิ้มออกมาเป็นครั้งแรก


“ศิษย์หลานเสี่ยวมีระดับการฝึกฝนที่มหัศจรรย์มาก ศิษย์สายตรงของสหายอินไม่ธรรมดาจริงๆ” กู่เจวี๋ยดูมีสีหน้าอึมครึมเล็กน้อย ขณะที่กล่าวออกมาเช่นนี้ เขาก็โบกแขนเสื้อปล่อยแสงสีแดงไปม้วนตัวชายรูปร่างสูงใหญ่ออกจากค่ายกล


“พี่กู่ชมเกินไปแล้ว” อินจิ่วหลิงตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบ


“ในเมื่อตอนนี้ชนะกันหนึ่งต่อหนึ่งแล้ว ก็ทำการประลองรอบสุดท้ายกันเถอะ!” กู่เจวี๋ยกล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น


“ดี! ถ้าอย่างนั้นก็ต่อสู้เพื่อตัดสินชัยชนะกัน!” อินจิ่วหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม


ขณะเดียวกัน พลันมีเสียงอินจิ่วหลิงดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง


“กวางจิตวิญญาณเก้าสีนี้มีประโยชน์กับข้ามาก เจ้าจะต้องประลองอย่างสุดความสามารถ เพียงแค่สามารถเอาชนะได้ ข้าจะไม่ทำให้เจ้าผิดหวังอย่างแน่นอน”


“ศิษย์เข้าใจแล้ว จะไม่ทำให้ท่านผิดหวังอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงได้ยินก็ส่งเสียงตอบกลับไป จากนั้นก็ก้าวไปในในค่ายกลสีทอง


ดูเหมือนหญิงสาวดวงตาสีเขียวที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ถูกกู่เจวี๋ยกำชับเช่นกัน หลังจากแสงสีเขียวหมุนวนอยู่ในดวงตา นางก็กระโดดเข้าไปในค่ายกลทันที


“เริ่มการประลองได้”


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง หลิ่วหมิงก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว จากนั้นไอดำก็พุ่งออกจากร่าง พอขยับเท้า ร่างของเขาก็หายไปจากที่เดิม “ฟู่!”


“เร็วมาก!” กู่เจวี๋ยที่อยู่นอกค่ายกลเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที


หลวงจีนอวิ๋นกังก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา


หญิงดวงตาสีเขียวที่อยู่ฝั่งข้ามรู้สึกอึ้งไปทันที แสงสีเขียวเปล่งประกายในดวงตา พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง มีดเล็กสีทองก็ปรากฏออกมา พอบิดเอวราวกับอสรพิษ มีดเล็กในมือก็กลายเป็นเส้นสีทอง และฟันไปยังอากาศบางแห่ง


“เพล้ง!”


พริบตาที่มีดเล็กปะทะกับกำปั้นที่มีไอดำพวยพุ่ง ก็มีเงาร่างกระเด็นออกไป ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงที่หายไปในตอนแรกนั่นเอง และเขาเองก็อุทาน “เอ๊ะ!” ออกมาอย่างอดไม่ได้


วิชาท่าร่างของเขาผ่านการฝึกฝนกับหลานสี่และราชาปีศาจสมุทรมาอย่างต่อเนื่อง จนเคลื่อนไหวไปมาราวกับปีศาจ และร่างของเขาก็ผ่านการชุบหลอมมาจากถ้ำวายุสวรรค์ ทำให้ความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นมามาก


หญิงดวงตาสีเขียวมีระดับการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นปลาย ไม่เพียงแต่จะมองเห็นร่องรอยของเขาภายในพริบตาเท่านั้น แต่ยังรับการโจมตีได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่ามีดเล็กสีทองในมือของนางจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน


“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูท่าดวงตาแห่งความว่างเปล่าคงจะล้ำลึกจริงๆ”


เมื่อหลิ่วหมิงมองดูดวงตาทั้งคู่ของหญิงนางนี้ ก็เข้าใจในฉับพลัน พอกระตุ้นพลังเวท ไอดำบนตัวก็พวยพุ่งทันที จากนั้นก็แยกออกเป็นเงาร่างสองเงา และกระพริบแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏขาดๆ หายๆ บริเวณที่หญิงสาวอยู่


แสงสีเขียวหมุนวนในดวงตาหญิงสาว หลังจากขยับข้อมือเล็กน้อย แสงมีดสีทองก็สะบัดตัวอยู่ด้านข้างราวกับมังกรที่พุ่งขึ้นจากทะเล


มีเสียงดัง “เพล้งๆ!” ติดต่อกันอยู่ไม่หยุด การเคลื่อนไหวของหลิ่วหมิงล้วนถูกมองเห็นอยู่หลายครั้ง ทั้งยังถูกแสงมีดสีทองบีบจนต้องร่นถอยเป็นระยะๆ โดยที่ไม่สามารถเข้าใกล้นางได้เลยแม้แต่น้อย


ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป พอเงาสีดำที่ปกคลุมเต็มฟ้าหายไป เงาร่างของหลิ่วหมิงก็ปรากฏอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง แต่ตอนนี้เขากำลังขมวดคิ้วจ้องมองหญิงสาวดวงตาสีเขียวอยู่


สามารถพูดได้ว่าดวงตาแห่งความว่างเปล่าเป็นดาวมฤตยูของวิชาเงาร่างสามส่วน ซึ่งมองออกว่าเงาร่างไหนเป็นของปลอม เงาร่างไหนเป็นของจริงได้อย่างง่ายดาย


และขณะนั้นเอง หญิงสาวดวงตาสีเขียวกลับดูเหมือนจะไม่ให้โอกาสหลิ่วหมิงเลยแม้แต่อึดใจเดียว พอกระตุ้นท่ามือ แสงมีดสีทองก็พุ่งมาถึงราวกับสายฟ้าแลบ และฟันแสงสีทองขนาดเท่าประตูไปทางหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้นมา พอขยับตัวแสงมีดก็แฉลบผ่านด้านข้างไป และแขนของเขาก็พร่ามัวก่อนชกกำปั้นผ่านอากาศ


หลังจากมีเสียงร้องดังขึ้น มังกรหมอกดำตัวหนึ่งก็พุ่งออกจากกำปั้น มันแยกเขี้ยวยิงฟัน และโผเข้าหาหญิงสาวดวงตาสีเขียว


หญิงสาวดวงตาสีเขียวส่งเสียงคำรามออกมา แสงเจ็ดสีเปล่งประกายบนตัว และกลายเป็นโล่เจ็ดสีปกป้องนางไว้ ไอดำที่กลายร่างมาจากมังกรโจมตีลงด้านบน และถูกต้านทานไว้


“นี่คือ……พลังทางพระพุทธศาสนา!” หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกายเมื่อค้นพบว่าบริเวณหน้าอกของนางมีลูกประคำไม้ห้อยอยู่ และยังเปล่งแสงเจ็ดสีออกมาจางๆ ด้วย


พลังทางพระพุทธศาสนามีผลในการควบคุมพลังสายปีศาจเป็นอย่างมาก


ขณะนั้นเอง หญิงสาวตรงหน้าก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้น มีดเล็กสีทองในมือพุ่งยิงออกไป และพร่ามัวหายไปอย่างไร้ร่องรอย


หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน พอมีเสียงดัง “ฟิ้ว!” ตรงด้านข้าง มีดเล็กสีทองก็กระพริบออกมา และพุ่งเข้าหาเขาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ


หลิ่วหมิงขยับแขนอย่างพร่ามัวโดยไม่หันหน้ามาเลยแม้แต่น้อย กำปั้นอัปลักษณ์ข้างหนึ่งที่ถูกเกล็ดสีดำม่วงปกคลุมโจมตีออกไปอย่างรุนแรง ทำให้มีดเล็กสีทองกระเด็นออกไปทันที


ขณะเดียวกัน พอเขาสะบัดแขนเสื้อ มุกพลังวารีสองเม็ดก็พุ่งยิงออกไปติดต่อกัน “ตู๊ม!” ลูกแสงสีดำขนาดเท่าอ่างล้างหน้าสองลูกกระพริบออกมา และหนีบมีดเล็กสีทองไว้


หญิงสาวดวงตาสีเขียวมีสีหน้าตกใจเป็นอย่างมาก นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แสงสีทองเจิดจ้าพุ่งยิงจากใจกลางลูกแสงสีดำ และพยายามกระตุ้นให้มีดเล็กสีทองหลุดออกมา


แต่ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็พูดพึมพำออกมา


“ในเมื่อเจ้ามีดวงตาแห่งความว่างเปล่า ข้าก็จะได้ลองใช้พลังใหม่พอดี”


พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เขาก็เอาแขนทั้งสองตั้งไขว้กัน และทำท่ามือประหลาดออกมา ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาก่อนกางแขนออกมา ทันใดนั้นไอดำบนตัวก็พุ่งขึ้นฟ้า และก่อตัวเป็นมังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกอย่างละสามตัว พวกมันคำรามอยู่ท่ามกลางไอดำราวกับมีชีวิต


พอหลิ่วหมิงตะโกนคำว่า “ระเบิด!” มังกรหมอกกับพยัคฆ์หมอกก็ระเบิดตัวพร้อมกัน และกลายเป็นแสงสีดำกดดันไปยังฝ่ายตรงข้าม


หญิงสาวชุดเขียวรู้สึกว่าด้านหน้ามืดลง และร่างของนางก็หล่นลงไปในมิติมืด ในหูไม่ได้ยินสุ้มเสียงใดๆ รอบด้านล้วนมืดมิด ราวกับว่าตนเองอยู่ในโลกอีกโลกหนึ่ง


นางรีบกระตุ้นลูกประคำตรงหน้าด้วยความตกใจ ทำให้แสงเจ็ดสีที่ปกคลุมอยู่ขยายใหญ่กว่าเดิมครึ่งหนึ่ง และปกป้องตนเองไว้อย่างแน่นหนา


ในสายตาของคนที่อยู่ด้านนอกค่ายกล จะเห็นว่าภายในค่ายกลถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีดำทั้งหมด คนที่อยู่ด้านนอกไม่อาจมองเห็นเหตุการณ์ด้านในได้เลยแม้แต่น้อย มีเพียงแค่เสียง “อู้ๆ!” ดังออกมาเท่านั้น


กู่เจวี๋ยเห็นเช่นนี้ ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที


“คุกมืด! คิดไม่ถึงว่าเจ้าเด็กนี่จะสามารถบรรลุพลังนี้ได้ตั้งแต่ระดับของเหลว” อินจิ่วหลิงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกงงงันเล็กน้อย แต่ดวงตากลับเผยแววยินดีออกมา


หญิงดวงตาสีม่วงก็เป็นศิษย์อัจฉริยะในบรรดาศิษย์สายในของสำนักเฮ่าหราน ย่อมมีประสบการณ์ไม่ธรรมดา ไม่นานก็สงบจิตลงได้ ทันใดนั้นแสงสีเขียวก็เปล่งประกายในดวงตาทั้งคู่ทันที และนางก็คิดจะกระตุ้นดวงตาแห่งความว่างเปล่าเพื่อมองทะลุวิชามายาตรงหน้า


แต่ขณะนั้นเอง แสงสีทองเป็นจุดๆ ก็ปรากฏขึ้นเหนือศีรษะ หลังจากรวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นมือยักษ์สีทองอร่ามข้างหนึ่งที่มีขนาดจั้งกว่าๆ จากนั้นก็กำนิ้วทั้งห้าโจมตีลงไปด้านล่างอย่างไม่ปราณี


หญิงสาวดวงตาสีเขียวทำเสียงฮึดฮัดในทันที พอนางยกแขนข้างหนึ่งขึ้น กลุ่มแสงสีแดงก็พุ่งยิงออกไป หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว ก็กลายเป็นร่มสีแดงคันหนึ่ง มีอักขระสีแดงกระพริบอยู่บนพื้นผิว จากนั้นก็ขยายใหญ่ตามลมจนมีขนาดเท่าบ้านหลังหนึ่ง


เกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วฟ้าและปฐพี!


หลังจากฝ่ามือยักษ์สีทองโจมตีลงบนร่มยักษ์อย่างรุนแรง ร่มยักษ์ก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด คลื่นสั่นสะเทือนไร้รูปม้วนตัวออกไปทั่วทิศ


ร่างอรชรของหญิงสาวดวงตาสีเขียวสั่นไหวติดต่อกัน ใบหน้าซีดขาวขึ้นมาทันที สีหน้าดูไม่ได้อย่างถึงขีดสุด พลังที่แฝงอยู่ในมือยักษ์เหนือกว่าที่นางคาดคิดมาก


และขณะนั้นเองมือยักษ์สีทองก็ระเบิดตัวออกมา “ตู๊ม!” และกลายเป็นแสงสีทองปกคลุมเต็มฟ้าก่อนพุ่งลงมา


ตอนที่ 615 ทางปีศาจร้าย

โดย

Ink Stone_Fantasy

หญิงสาวดวงตาสีเขียวรีบกระตุ้นร่มยักษ์สีแดงด้วยความตกใจ พริบตาเดียวก็กลายเป็นกลุ่มเมฆอัคคีม้วนตัวออกไปรับมือแสงสีทอง


แต่ฉากอันน่าประหลาดใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!


หญิงสาวรู้สึกตกใจจนไม่ทันได้ตั้งตัว ทันใดนั้น อากกาศตรงหน้าก็บิดเบี้ยวขึ้นมาฉับพลัน แสงสีทองจำนวนมากปรากฏออกมาอีกครั้ง และโจมตีลงบนม่านแสงเจ็ดสีราวกับพายุกระหน่ำ


หญิงดวงตาสีเขียวรีบทำท่ามือด้วยมือเดียวด้วยความตกใจ และกระตุ้นพลังเวทใส่ม่านแสงตรงหน้าอย่างบ้าคลั่ง


เสียงฝนตกกระทบรั้วดังอยู่ครู่หนึ่ง แสงสีทองเปล่งประกายบนม่านแสงเจ็ดสีอยู่ไม่หยุด ขณะเดียวกัน พลังมหาศาลก็ทะลักออกมา ทำให้หญิงสาวไม่อาจทรงตัวได้ และต้องถอยออกไปสองก้าว


หญิงสาวทั้งตกใจทั้งโมโห ขณะที่กำลังจะแสดงวิชาบางอย่างเพื่อโจมตีกลับไปนั้น สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปทันที จากนั้นก็พุ่งเอียงออกไปด้านข้าง


เกือบจะในเวลาเดียวกัน มีคลื่นสั่นสะเทือนเหนือศีรษะของนาง เงายอดเขาสีเหลืองที่สูงเจ็ดแปดจั้งปรากฏออกมา และกดลงด้านล่าง


“ตู๊ม!” หญิงสาวอาศัยดวงตาแห่งความว่างเปล่า ทำให้หลบการโจมตีจากด้านบนได้อย่างฉิวเฉียด และเงายอดเขาก็ร่วงลงด้านล่างอย่างรุนแรง


ขณะนั้นเอง มีเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ไอดำม้วนตัวรอบตัวหญิงสาว จากนั้นเงาร่างของหลิ่วหมิงสี่เงาก็ปรากฏออกมาราวกับปีศาจ และต่างก็ทุบกำปั้นออกไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


หญิงสาวดวงตาสีเขียวมีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา แสงสีเขียวเปล่งประกายในดวงตาทั้งคู่ นางไม่สนใจหลิ่วหมิงอีกสามคน แต่กลับหมุนตัวสะบัดแขนเสื้อใส่หลิ่วหมิงที่อยู่ด้านหลัง จากนั้นไหมเงินกลุ่มหนึ่งก็พุ่งยิงออกไป


หลิ่วหมิงอีกสามคนสลายตัวอย่างไร้สุ้มเสียง และหลิ่วหมิงเพียงหนึ่งเดียวที่เหลืออยู่เห็นเช่นนี้กลับยิ้มเล็กน้อย ร่างของเขาพร่ามัวในทันที


“ฟู่!”


หญิงสาวรู้สึกตกใจจนไม่ทันได้ตั้งตัว ทันใดนั้นอากาศตรงหน้าก็พร่ามัวขึ้นมา


“ฟิ้ว!” ไหมเงินเจาะทะลุร่างของหลิ่วหมิง แต่ร่างของเขากลับสลายกลายเป็นจุดแสงในทันที


ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่ง กำปั้นที่มีเกล็ดปกคลุม ก็โจมตีลงบนม่านแสงเจ็ดสีพร้อมกับไอดำที่พวยพุ่งอย่างรุนแรง


หญิงสาวรู้สึกว่ามีเสียงดังหวึ่งที่หูทั้งสองข้าง ม่านแสงเจ็ดสีถูกโจมตีจนแตกกระจาย ขณะเดียวกันพลังมหาศาลก็ถาโถมเข้ามา หลังจากนางทำเสียงฮึดฮัดแล้ว ก็พุ่งถอยออกไปทันที


……


“การประลองรอบที่สาม นิกายยอดบริสุทธิ์ชนะ” หลังจากแสงสีดำภายในค่ายกลสีทองดับลง และหลวงจีนอวิ๋นกังกวาดสายตามองดูแล้ว ก็ประกาศผลออกมาอย่างราบเรียบ


หลิ่วหมิงยังคงยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางค่ายกลด้วยสีหน้าสงบ และหญิงสาวดวงตาสีเขียวก็ล้มอยู่บริเวณขอบค่ายกลด้วยสีหน้าซีดขาว มือข้างหนึ่งค้ำยันร่างไว้ อีกข้างก็กุมหน้าท้องอยู่ นางดูมีสีหน้าเจ็บปวดเป็นอย่างมาก มีคราบเลือดจางๆ ปรากฏอยู่บนเสื้อ


ผลแพ้ชนะชัดเจนเป็นอย่างมาก


หลังจากหลิ่งหมิงกล่าวอย่างถ่อมตนแล้ว ก็ประสานมือคารวะก่อนเดินออกจากค่ายกล


เขารู้สึกพอใจกับพลังคุกมืดที่แสดงออกมาในเมื่อครู่มาก แม้ว่าด้วยระดับการฝึกฝนของเขาในตอนนี้จะยังไม่อาจสร้างปีศาจระดับพลทหาร และระดับขุนพลขึ้นมาได้ แต่การใช้พลังนี้ปลดปล่อยวิชาบดบังสายตาร่วมกับการโจมตีของตัวเอง ยังคงให้เป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก


หญิงสาวดวงตาสีเขียวทำเสียงฮึดฮัดออกมา หลังจากรับประทานโอสถเม็ดหนึ่งอย่างรวดเร็วแล้ว ก็ค่อยๆ ลุกขึ้นมา และเดินไปอยู่ด้านหลังกู่เจวี๋ยด้วยสีหน้าอับอาย


กู่เจวี๋ยย่อมมีสีหน้าอึมครึมเป็นอย่างมาก ศิษย์ชายผู้นั้นยิ่งเงียบกว่าเดิม


ในทางตรงกันข้าม ใบหน้าแห้งเหี่ยวของอินจิ่วหลิงกลับเผยสีหน้าพอใจออกมา ดวงตางดงามทั้งคู่ของเสี่ยวอู่ก็เปล่งประกายไม่หยุด และเผยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม


“การประลองสามรอบ นิกายยอดบริสุทธิ์ชนะสองรอบ ตามที่ตกลงกันไว้ กวางจิตวิญญาณเก้าสีตัวนี้ก็เป็นของเหลวสหายอินแล้ว คิดว่าสหายกู่เจวี๋ยคงไม่มีข้อคัดค้านใดๆ ใช่หรือไม่?” หลวงจีนอวิ๋นกังค่อยๆ กวาดสายตาดูอินจิ่วหลิงกับกู่เจวี๋ย และประกาศผลออกมาในที่สุด


พอกล่าวจบจะเห็นว่าเขายกมือข้างหนึ่งขึ้น แสงสีทองในค่ายกลสีทองก็ดับลง ลูกประคำที่อยู่ด้านล่างพุ่งขึ้นมา และค่อยๆ หมุนวนจนกลายเป็นสร้อยลูกประคำขนาดปกติก่อนพุ่งกลับมาในมือเขา


“ในเมื่อข้ารู้ตัวว่าด้อยกว่า ย่อมไม่มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด ครั้งนี้ลำบากหลวงจีนอวิ๋นกังที่มาเป็นผู้ดำเนินการประลองแล้ว ข้ายังมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ต้องขอตัวก่อน หากวันหน้ามีเวลาจะต้องไปเยี่ยมเยียนที่เขาถานกวงอย่างแน่นอน” กู่เจวี๋ยกันมากุมมือคารวะหลวงจีนอวิ๋นกัง แต่กลับไม่มองอินจิ่วหลิงเลยแม้แต่น้อย


“สหายกู่เกรงใจเกินไปแล้ว” หลวงจีนอวิ๋นกังประนมมือพยักหน้าให้เขา และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


กู่เจวี๋ยจ้องมองกวางน้อยเก้าสีที่นอนหมดสติอยู่ในกรงด้วยความไม่พอใจ พอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีเขียวก็ม้วนตัวลงมา และกลายเป็นนกกระยางขาวตัวหนึ่งที่มีขนาดสิบกว่าจั้ง


วิหคจิตวิญญาณพยุงตัวกู่เจวี๋ยและศิษย์สองคนที่อยู่ด้านหลังขึ้นมา จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสีขาวพุ่งออกไป


“ดี ดี พวกเจ้าทั้งสองทำได้ดีมาก” หลังจากเห็นกู่เจวี๋ยจากไปแล้ว อินจิ่วหลิงก็ไม่ปิดบังความดีใจของตนเองอีก ขณะเดียวกันก็จ้องมองลูกกวางเก้าสีด้วยแววตาเร่าร้อน


ภายในกรงห้าสี กวางจิตวิญญาณเก้าสีที่ถูกยันต์สีเหลืองควบคุมไว้ยังคงมีท่าทีเหนื่อยหน่าย แต่แสงแวววาวบนตัวยังคงดูละลานตาเป็นอย่างมาก สมกับเป็นหนึ่งในอสูรจิตวิญญาณฟ้าดิน


“ในเมื่อสหายอินได้รับชัยชนะการประลองครั้งนี้ ก็สามารถนำกวางจิตวิญญาณตัวนี้ไปได้” หลวงจีนอวิ๋นกังยิ้มบางๆ และตบกรงห้าสีเบาๆ หลังจากร่ายคาถาออกมาสองสามทีแล้ว กรงห้าสีก็สลายตัวกลายเป็นจุดๆ จากนั้นแสงจิตวิญญาณก็กระพริบหายไปในแขนเสื้อ


พออินจิ่วหลิงโบกมือ กวางจิตวิญญาณเก้าสีก็กลายเป็นแสงหลากสีม้วนตัวเข้าไปในถุงหนังแวววาวที่อยู่บนเอว


อสูรตัวนี้ถูกยันต์ควบคุมไว้แล้ว หลังจากนี้ก็ทำให้มันยอมรับเป็นเจ้าของก็พอแล้ว


“ครั้งนี้รบกวนสหายอวิ๋นกังแล้ว หากวันใดสหายผ่านเทือกเขาหมื่นวิญญาณ เชิญมานั่งที่ยอดเขาของเรา ข้าจะต้อนรับอย่างดี” อินจิ่วหลิงประวานมือคารวะ และกล่าวกับหลวงจีนอวิ๋นกังอย่างนอบน้อม


“สหายอินเกรงใจเกินไปแล้ว วันนี้อาตมาได้รู้จักกับสหายและศิษย์ทั้งสอง นับว่าเป็นวาสนาเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะศิษย์หลานผู้นี้ นับว่ามีวาสนากับพระพุทธศาสนามาก วันหน้าหากมีวาสนาคงได้พบกัน” หลวงจีนอวิ๋นกังประนมมือแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม


หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ใจเต้นตึกตัก ขณะเดียวกันก็คิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว


ดูเหมือนว่าหลวงจีนอวิ๋นกังผู้นี้จะสังเกตเขาตั้งแต่เริ่มต้น หรือค้นพบว่าบนตัวเขามีความลับอะไรบางอย่าง


แต่ดีที่ดูเหมือนว่าอินจิ่วหลิงไม่ได้สนใจในเรื่องนี้ หลังจากพูดกับหลวงจีนอวิ๋นกังอย่างนอบน้อมไปสองสามประโยคแล้ว ก็ปล่อยเรือเหาะออกมา และพาหลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่นั่งเรือเหาะจากไป ครู่ต่อมาก็กลายเป็นกลุ่มแสงสีเทาหายไปท่ามกลางภูเขา


“คิดไม่ถึงว่าศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์จะมีไอปีศาจแท้อยู่บนตัว ช่างน่าสนใจยิ่งนัก”


หลังจากทั้งสามจากไปแล้ว หลวงจีนอวิ๋นกังก็ยืนพูดพึมพำอยู่ที่เดิม จากนั้นถึงโยนสร้อยลูกประคำออกไป และเขาก็กลายเป็นแสงห้าสีก่อนหายวับไปในพริบตา


ครึ่งเดือนต่อมา หลิ่วหมิงทั้งสามโดยสารเรือเหาะกระดูกมาปรากฏในเทือกเขาหมื่นวิญญาณอีกครั้ง


ครึ่งวันต่อมา ห้องข้างห้องโถงภายในยอดเขาลั่วโยวที่มีขนาดสิบกว่าจั้ง อินจิ่วหลิงกำลังนั่งอยู่บนที่นั่งหลัก และจ้องมองลูกกวางจิตวิญญาณเก้าสีตรงหน้าด้วยความพอใจ


ตอนนี้อสูรจิตวิญญาณได้ยอมรับเขาเป็นเจ้าของแล้ว มันกำลังงอแขนงอขาหมอบอยู่ตรงเท้าอินจิ่วหลิงอย่างเรียบร้อย ดวงตาทั้งคู่จ้องมองรอบด้านด้วยความแปลกใจ


“ชัยชนะการประลองในครั้งนี้ ต้องยกความดีความชอบให้ทั้งสอง ยอดเขาเรารับปากแล้วจะไม่คืนคำ เจ้าทั้งสองอยากได้อะไรก็เอ่ยปากมาเถอะ!” ผ่านไปสักพักอินจิ่วหลิงก็ละสายตากลับมา และเงยหน้ามองหลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่ที่ยืนอยู่ด้านข้างก่อนกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ


“เรียนผู้ควบคุมยอดเขา ศิษย์ไม่มีข้อเสนออื่น เพียงแค่ต้องการโลหิตบริสุทธิ์ของกวางจิตวิญญาณเก้าสีจำนวนหนึ่งเท่านั้น” หลิ่วหมิงสบตาศิษย์พี่ที่อยู่ด้านข้างทีหนึ่ง พอเห็นว่านางพยักหน้าให้ตนพูดก่อนได้ เขาจึงเอ่ยปากอย่างไม่ลังเล


“โลหิตบริสุทธิ์ของกวางจิตวิญญาณเก้าสี ไม่เลว! สิ่งนี้สามารถช่วยเจ้าทะลวงคอขวดระดับผลึกได้เล็กน้อย คำขอนี้ไม่เกินขอบเขตเกินไป ข้าอนุญาต” อินจิ่วหลิงพยักหน้า พอโบกแขนเสื้อ มีดขนาดเล็กแวววาวเล่มหนึ่งก็ปรากฏออกมา แสงแวววาวบนพื้นผิวของมันดูสลัวๆ พอมองก็รู้ว่าไม่ใช่อาวุธจิตวิญญาณธรรมดา


จากนั้นอินจิ่วหลิงก็เผยแววตาลังเลเล็กน้อย และกวาดสายตาลงบนตัวกวางจิตวิญญาณเก้าสีอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็กรีดลงหลังคอของมันเบาๆ พอคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ โลหิตก็พุ่งออกจากบาดแผลมาสายหนึ่ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นก้อนโลหิตกลมๆ ขนาดครึ่งชุ่นลอยอยู่บนมือเขา


กวางจิตวิญญาณเก้าสีไม่ส่งเสียงใดๆออกมาเลยแม้แต่น้อย ยังคงหมอบอยู่ตรงเท้าให้อินจิ่วหลิงลงมือได้ตามใจ


หลิ่วหมิงหยิบขวดเล็กสีเขียวหยกออกจากแขนเสื้อ และยื่นให้อินจิ่วหลิงอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกันก็มองดูกวางน้อยจิตวิญญาณเก้าสีทีหนึ่ง จะเห็นว่าบาดแผลบนหลังของมันได้สมานกันดังเดิมแล้ว โดยที่ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้เลยแม้แต่น้อย


ครู่ต่อมา อินจิ่วหลิงพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งตบก้อนโลหิตใส่ลงไปในขวดเล็กเบาๆ และยื่นคืนให้หลิ่วหมิง


“ขอบคุณท่านผู้ควบคุมยอดเขา” หลิ่วหมิงรับขวดเล็กๆ กลับมาแล้วกุมมือคารวะด้วยความดีใจ


เพราะว่าโลหิตอสูรจิตวิญญาณฟ้าดินนั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยากมาก เขาได้มันมารวดเร็วเช่นนี้ ก็นับว่าโชคดีไม่น้อยแล้ว


“เอาล่ะเสี่ยวอู่ถึงตาเจ้าแล้ว เจ้าอยากได้อะไรเป็นรางวัลก็พูดมาได้เลย” อินจิ่วหลิงลูบหลังอสูรจิตวิญญาณเก้าสีเบาๆ จากนั้นก็หันไปถามเสี่ยวอู่ที่อยู่ด้านข้าง


“เรียนอาจารย์ ศิษย์อยากขอให้อาจารย์มอบป้ายผ่านทางเพื่อทดสอบในทางปีศาจร้ายหนึ่งครั้ง” เสี่ยวอู่กระพริบตาและกล่าวอย่างไม่รีบร้อน


“ทางปีศาจร้าย? เสี่ยวอู่เจ้าลองพิจารณาดูอีกที เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นเถิด!” พออินจิ่วหลิงได้ยิน รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปทันที


และหลังจากหลิ่วหมิงฟังแล้ว ก็เผยสีหน้าตกใจเล็กน้อย


เรื่องราวเกี่ยวกับทางปีศาจร้าย เขาก็เพิ่งรู้มาจากศิษย์พี่เฟิงผู้นั้นมาบ้างหลังจากเข้าเป็นศิษย์สายในแล้ว


ทางปีศาจร้ายที่กล่าวถึงคือแดนปีศาจร้ายที่ว่ากันว่าสามารถทะลุไปถึงแดนปรโลกได้ และควบคุมโดยสี่ยอดนิกายใหญ่


ศิษย์สายในขึ้นไปของสี่ยอดนิกายใหญ่ สามารถเข้าไปสังหารกลุ่มทหารปีศาจในทางปีศาจร้ายได้ โดยผ่านการอนุญาตจากนิกาย


ทหารปีศาจในทางปีศาจร้ายได้รับพลังและเติบโตโดยการกลืนกินเลือดเนื้อของผู้ฝึกฝน และผู้ฝึกฝนที่เข้าไปในนั้นก็สังหารปีศาจร้าย เพื่อเอาแก่นหยินปีศาจที่มีมูลค่าสูงสุด และวัสดุหายากอื่นๆ


และในทางปีศาจร้ายก็เต็มไปด้วยปราณหยิน ซึ่งมีประโยชน์กับผู้ฝึกฝนสายปีศาจ และพลังธาตุหยินเป็นอย่างมาก


ตอนที่ 616 ถูกซุ่มโจมตี

โดย

Ink Stone_Fantasy

ตามที่หลิ่วหมิงทราบมา เพื่อป้องกันการกัดกร่อนร่างของปราณหยิน ศิษย์ที่เข้าไปในทางปีศาจร้ายทั้งหมดจะต้องลงนามสัญญาบางอย่าง และถูกประทับอะไรบางอย่างไว้บนตัว แต่ก็เป็นเพราะสัญญาลงนาม ผู้ฝึกฝนทั้งหมดที่เข้าไปในทางปีศาจร้าย จะต้องอยู่ในนั้นสิบกว่าปีขึ้นไปถึงจะเป็นอิสระออกไปได้


ด้วยระยะเวลาที่ยาวนานเช่นนี้ ประกอบกับการที่ปีศาจร้ายในนั้นมีพลังไม่ด้อยไปกว่าศิษย์ของนิกายทั้งสี่เลยแม้แต่น้อย แม้กระทั่งยังมีปีศาจระดับดาราพยากรณ์ประจำการอยู่ด้วย ดังนั้นหลังจากเข้าไปแล้ว อาจจะผ่านการต่อสู้ความเป็นความตาย และเผชิญกับโอกาสอันดีต่างๆ ทำให้พลังเพิ่มขึ้นจนสามารถทะลวงคอขวดได้ แต่ก็มีความเป็นไปได้มาก ที่จะถูกฝังอยู่ในนั้นตลอดกาล และไม่อาจออกไปได้


ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่กล้าเข้าไปในทางปีศาจร้าย หากไม่ใช่ศิษย์ของแต่ละนิกายที่ถูกทำโทษให้เข้าไปในนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ ก็จะเป็นผู้ที่สามารถละชีวิตกับความตายได้ หรือไม่ก็เป็นผู้ที่มีความมั่นใจเป็นอย่างมาก


จึงไม่แปลกที่อินจิ่วหลิงจะเผยสีหน้าลังเลออกมาเมื่อได้ยินว่าศิษย์เพียงหนึ่งเดียวของตนเองจะไปยังสถานที่แห่งนี้


“ศิษย์หยุดอยู่ที่ระดับผลึกขั้นปลายมาสิบกว่าปีแล้ว ไม่อาจทะลวงคอขวดได้ หลังจากคิดไปคิดมา ก็มีแค่การไปฝึกฝนในทางปีศาจร้ายสักรอบ ลองดูว่าจะหาโอกาสอันดีในช่วงระหว่างความเป็นความตายได้หรือไม่ หวังว่าอาจารย์จะสนับสนุนเสี่ยวอู่” เสี่ยวอู่กล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล ดวงตาทั้งคู่ดูหนักแน่นเป็นอย่างมาก


อินจิ่วหลิงครุ่นคิดเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้วถึงถอนหายใจออกมา พอพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น ป้ายที่เปล่งแสงสีเลือดก็ปรากฏออกมา พอดีดมันเบาๆ ก็กลายเป็นแสงแวววาวร่วงลงในมือเสี่ยวอู่


“ขอบคุณอาจารย์” เสี่ยวอู่มองป้ายสีเลือดในมือด้วยความดีใจ และพูดขอบคุณออกมาอีกครั้ง


อินจิ่วหลิงกลับส่ายหน้า และเอามือข้างหนึ่งลูบหลังกวางจิตวิญญาณเก้าสีสองสามที พอสะบัดแขนเสื้อ แสงสีเขียวก็ม้วนเอากวางจิตวิญญาณเข้าไปในถุงที่อยู่บนเอว จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไปโดยไม่พูดอะไรออกมา


ครู่ต่อมา ห้องข้างห้องโถงก็เหลือแค่หลิ่วหมิงกับเสี่ยวอู่เท่านั้น


“ศิษย์น้องหลิ่ว มีโลหิตบริสุทธิ์ของกวางจิตวิญญาณเก้าสีแล้ว เจ้าคงมีความมั่นใจในการทะลวงระดับผลึกเพิ่มขึ้นมาส่วนหนึ่ง หวังว่าเมื่อเจอกันในสิบกว่าปีให้หลัง เจ้าจะเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว” เสี่ยวอู่ยิ้มให้หลิ่วหมิงแล้วกล่าวออกมา


“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ให้ความกรุณาและสนับสนุน หวังว่าการไปทางปีศาจร้ายในครั้งนี้ จะสามารถทะลวงระดับคอขวดได้” หลิ่วหมิงประสานมือกล่าวกับเสี่ยวอู่


“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น รักษาตัวด้วย!” พอเสี่ยวอู่ได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป นางพูดออกมาอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็หายวับไปปรากฏตัวตรงประตู และกะพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย


หลิ่วหมิงจ้องมองเงาร่างของเสี่ยวอู่ที่จากไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด หลังผ่านไปสักพักถึงค่อยๆ เดินออกไปด้านนอก และขี่เมฆกลับไปยังถ้ำที่พัก


เช้าตรู่วันที่สอง หลังจากหลิ่วหมิงเก็บของทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ออกจากยอดเขาลั่วโยวไปอย่างเงียบๆ


ครึ่งเดือนต่อมา เขาก็เปลี่ยนรูปโฉมเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำผู้หนึ่ง และเข้าไปในหอน้ำชาเล็กๆ ของหอเป๋ยโต่วในตลาดวารีมืดอีกครั้ง


ครั้งนี้เขาไม่เจอชายชุดขาวบนห้องหนังสือชั้นสองอีก แต่กลับเป็นหญิงวัยแต่งงานที่มีอายุราวๆ ยี่สิบห้ายี่สิบหกปี


หญิงนางนี้มีคิ้วยาวไปถึงจอนผม อุปนิสัยไม่ธรรมดา หลังจากตรวจสอบป้ายหยกที่หลิ่วหมิงแสดงออกมา และรับกระดาษขาวจากมือเขาไปดูแล้ว ก็พูดออกมาอย่างราบเรียบ จากนั้นก็ลุกขึ้นแล้วเดินไปด้านหลังฉากบังลม


หลิ่วหมิงเองก็ไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรก จึงรู้ว่านางไปหาข้อมูลอยู่ เขาจึงยกชาตรงหน้าขึ้นมาจิบสองสามที และหลับตาพักผ่อน


ชั่วเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป หญิงผู้นี้ก็เดินออกจากฉากบังลม และถือแผ่นหยกสีขาวแวววาวเหมือนกับชายวัยกลางคนในก่อนหน้านั้น


“สหายรอนานแล้ว ข้อมูลในครั้งนี้ต้องจ่ายแปดแสนหินจิตวิญญาณ”  พอหญิงนางนี้นั่งลงแล้ว ก็เอ่ยปากออกมา


แม้ว่าหลิ่วหมิงจะไม่ได้เผยสีหน้าแปลกใจออกมาเมื่อได้ยินเช่นนี้ แต่กลับรู้สึกตกใจเล็กน้อย


ตัวเลขจำนวนนี้สามารถซื้ออาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดธรรมดาได้หนึ่งชิ้น คิดไม่ถึงว่าหอเป๋ยโต่วจะจับเสือมือเปล่าโดยเสนอราคาสูงเช่นนี้ ช่างมีวิธีการหาเงินทองจริงๆ


หลังจากเขาคิดไตร่ตรองแล้ว ก็หยิบแปดแสนหินจิตวิญญาณออกจากแหวนย่อส่วนมาวางไว้บนโต๊ะ


หญิงผู้นั้นใช้จิตกวาดดู และพยักหน้าก่อนสะบัดแขนเสื้อเก็บหินจิตวิญญาณเข้าไป ขณะเดียวกันก็มอบแผ่นหยกให้กับหลิ่วหมิง


หลิ่วหมิงเองก็ไม่พูดอะไรมาก เขานำแผ่นหยกวางไว้บนหน้าผาก และนำจิตจมดิ่งเข้าไปในนั้น เขาค้นพบว่าสิ่งที่อยู่ด้านในเป็นแผนที่แผ่นหนึ่ง และบนแผนที่ก็ทำเครื่องหมายไว้บนจุดที่ซากโบราณของเผ่าปีศาจในสมัยบรรพกาลอาจจะปรากฏ ซึ่งมีชื่อว่าเมืองโบราณเทียนเหย่


ครู่ต่อมา เมื่อหลิ่วหมิงจดจำแผนที่ทั้งหมดได้แล้วก็ดึงจิตกลับมา และแผ่นหยกก็เผาไหม้ตนเองจนกลายเป็นขี้เถ้า


“ขอบคุณมาก” หลิ่วหมิงประสานมือคารวะ และบอกลาหญิงผู้นี้ก่อนออกจากหอน้ำชาไป


พอออกจากตลาดวารีมืด เขาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว จากนั้นเมฆดำก้อนหนึ่งก็พยุงตัวเขาขึ้นมา และเหาะจากไปอย่างรวดเร็ว


……


หลังจากหลิ่วหมิงออกไปจากเขตหอโป๋ยโต่วแล้ว ภายในห้องลับหลังฉากบังลมบนชั้นสอง หญิงที่พูดคุยกับหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้นกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ ในมือกำลังถือแผ่นหยกสีขาวเทา และหรี่ตาทั้งคู่ราวกับกำลังคิดไตร่ตรองอะไรบางอย่างอยู่


ตรงหน้าของนางเป็นค่ายกลขนาดเล็กที่เปล่งแสงสีเทาสลัวๆ หลังหนึ่ง


ทันใดนั้นค่ายกลก็เปล่งประกายออกมา ขณะเดียวกันก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ


นางเห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วขึ้น ปากสีแดงค่อยๆ ขยับ และกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น


“เมื่อครู่ผู้ที่ถูกสงสัยว่าสังหารหลวงจีนกระดูกแห้งในก่อนหน้านั้นมาที่นี่ ทั้งยังสอบถามตำแหน่งซากโบราณของเผ่าปีศาจบรรพกาล คาดว่าขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างทางไปเมืองโบราณเทียนเหย่ เอาล่ะ! ข่าวก็ได้บอกเจ้าไปแล้ว ทางหอเรากับเจ้าก็ได้ชำระสินค้ากันเรียบร้อยแล้ว หากครั้งหน้ามีข่าวเช่นนี้ให้สืบอีก ทางหอเราจะไม่รับเป็นครั้งที่สองแล้ว”


“เข้าใจแล้ว เฮ่อๆ! ครั้งเดียวก็เพียงพอ” มีน้ำเสียงแหบแห้งที่เต็มไปด้วยความมั่นใจดังมาจากด้านในค่ายกล


……


สามวันต่อมา ท้องฟ้าเหนือป่าดงดิบแห่งหนึ่ง มีเงาร่างหนึ่งกำลังขี่เมฆพุ่งไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง


ดูจากข้อมูลที่ได้รับมาจากหอเป๋ยโต่ว ขณะนี้เขากำลังเดินทางไปยังซากโบราณที่ปรากฏขึ้นมา ซึ่งเขามีเวลาอย่างเพียงพอ ขณะเดียวกัน เพื่อหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจของสายตาผู้คน จึงไม่ได้ใช้เรือหยกจันทรา แต่กลับขี่เมฆในการเดินทาง และยังสูญเสียหินจิตวิญญาณไปกับค่ายกลส่งตัวไม่น้อย เพื่อรีบไปเมืองโบราณเทียนเหย่


ทันใดนั้น เขาก็หยุดการเหินเวหาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป หลังจากกวาดสายตามองดูป่าดงดิบด้านล่างแล้ว ก็ดีดนิ้วทั้งสิบลงไปด้านล่าง ทันใดนั้น ปราณกระบี่สีเขียวสลัวๆ ก็เปล่งประกายออกมา และกวาดลงไปยังป่าดงดิบด้านล่าง


บริเวณที่แสงสีเขียวเคลื่อนตัวผ่าน ทำให้ต้นไม้แต่ละต้นถูกตัดจนเกลี้ยง และล้มลงท่ามกลางเสียงที่ดังโครมคราม


“ออกไปเถอะ! เห็นชัดว่าเจ้าเด็กนี่ค้นพบพวกเราแล้ว” มีน้ำเสียงแหบแห้งดังออกมา จากนั้นเงาดำจำนวนมากก็พุ่งขึ้นมาจากใบไม้ด้านล่าง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!”


ครู่ต่อมา คนเหล่านี้ก็ล้อมรอบหลิ่วหมิงไว้ ซึ่งมีมากถึงหกคน


หลิ่วหมิงเอามือไขว้หลังโดยไม่เผยสีหน้าแปลกใจออกมาเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่หรี่ตาทั้งคู่สังเกตดูผู้ไม่ประสงค์ดีทั้งหก


คนเหล่านี้ต่างก็สวมชุดสีดำ และไม่ปิดบังใบหน้า แต่ละคนล้วนดูดุร้าย และจ้องมองหลิ่วหมิงอย่างไม่ละสายตา


คนที่เป็นหัวหน้ามีตุ่มหนองสีเลือดเต็มใบหน้า อีกคนก็มีตาแค่ข้างเดียว คนอื่นๆ ต่างก็มีใบหน้าแปลกประหลาด ทั้งยังอ้วนผอมแตกต่างกันไป


“ท่านทั้งหลายขัดขวางข้าเช่นนี้ หรือว่าไม่คิดจะพูดอะไรก่อนหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยรอยยิ้ม


“พูดอะไรหน่อย? รอเด็ดหัวเจ้าได้แล้ว พวกเราจะพูดกับเจ้าเอง” ชายคิ้วเหลืองที่มีตาข้างเดียวผู้นั้นหัวเราะก่อนกล่าวออกมา


และชายที่มีตุ่มหนองสีเลือดก็อ้าปากในฉับพลัน ระฆังสีเขียวแปลกประหลาดอันหนึ่งพุ่งออกมา หลังจากสั่นสะเทือนกลางอากาศเล็กน้อยแล้ว แสงทรงกลดสีเขียวก็ปะทุออกมา อากาศบริเวณรอบๆ มีระลอกคลื่นไร้รูปก่อตัวขึ้น


หลิ่วหมิงรู้สึกหนักใจเล็กน้อยเมื่อรับรู้ถึงแรงกดดันแปลกประหลาด เกือบจะในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าแขนขาแข็งขึ้นมา


ประจักษ์ชัดว่าระฆังเล็กแปลกประหลาดเป็นอาวุธจิตวิญญาณบางอย่างที่โจมตีด้วยพลังจิต


แต่ด้วยระดับความแข็งแกร่งของพลังจิตหลิ่วหมิง เขารีบปล่อยพลังเวทใส่โซ่ตรวนสะกดวิญญาณที่อยู่ในทะเลจิตรับรู้ทันที


ทันใดนั้น ความรู้สึกเย็นชุ่มชื่นก็ม้วนตัวออกจากโซ่ตรวน ทำให้แรงกดดันในตอนแรกหายไปจนหมดสิ้น


“เฮ่อๆ! รีบลงมือ เจ้าเด็กนี้ถูกระฆังวิญญาณปีศาจของข้าเล่นงานแล้ว คงไม่อาจเคลื่อนไหวได้ รีบจัดการเขาซะ หินจิตวิญญาณนับล้านอยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว” เห็นได้ชัดว่าชายที่มีตุ่มหนองไม่รู้ว่าหลิ่วหมิงอาศัยพลังจิตที่แข็งแกร่ง และโซ่ตรวนสะกดวิญญาณกำจัดการโจมตีทางจิตของอาวุธจิตวิญญาณของเขาแล้ว แต่กลับเห็นว่าสีหน้าของหลิ่วหมิงค่อยๆ เปลี่ยนไป จึงกล่าวออกมาอย่างโหดเหี้ยม


หลังจากได้ยินคำสั่งของชายที่มีตุ่มหนอง ชายอีกห้าคนที่เหลือก็สบตากันทีหนึ่ง และต่างก็ยกมือข้างหนึ่งขึ้นมา กระบี่สามเล่มกับดาบสองเล่มที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณกลายเป็นแสงหลากสี และม้วนตัวเข้าหาหลิ่วหมิงจากทั่วทิศ


ขณะที่การโจมตีต่างๆ อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไม่ถึงครึ่งจั้งนั้น เขาก็เลิกคิ้วขึ้นมา พอขยับไหล่ ไอดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง และกระทืบเท้าข้างหนึ่งลงพื้นอย่างรุนแรง จากนั้นก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม และกลายเป็นเงาดำสองเงา พริบตาเดียวก็หายตัวไปท่ามกลางการโจมตีของอาวุธจิตวิญญาณทั้งห้าอย่างไร้ร่องรอย


คนทั้งหกเห็นเช่นนี้ต่างก็รู้สึกตกใจมาก


ขณะที่พวกเขายังไม่ทันได้มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ เงาสีดำเงาหนึ่งก็มาปรากฏตัวตรงหน้าชายตาเดียวอย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ พอชี้นิ้วข้างหนึ่งออกไป ปราณกระบี่ที่มีลักษณะเป็นเกลียวก็พุ่งออกไป มันกระพริบแค่ทีเดียวก็เจาะทะลุหน้าอกของชายผู้นี้


“ฟิ้ว!” มีรูขนาดชุ่นกว่าๆ ปรากฏบนหน้าอกของคนผู้นี้ โดยที่ปราณแกร่งคุ้มร่างของเขาไม่สามารถต้านทานได้เลยแม้แต่น้อย


เกือบจะในเวลาเดียวกัน เงาร่างอีกเงาก็หายวับมาปรากฏตัวด้านข้างชายร่างสูงผู้หนึ่ง พอยกแขนเสื้อขึ้น กระบี่เล็กสีเขียวเล่มหนึ่งก็พุ่งยิงออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวม้วนตัวออกไป


ชายร่างสูงส่งเสียงร้องอย่างน่าเวทนา ร่างของเขา และโล่เล็กที่อยู่ตรงหน้าถูกฟันออกเป็นสองส่วนพร้อมกัน


นอกจากชายมีตุ่มหนองที่เป็นหัวหน้ากับชายตาเดียวที่มีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว คนอื่นๆ ล้วนมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น ซึ่งไม่อาจมองเห็นตำแหน่งที่แท้จริงของหลิ่วหมิงที่แสดงวิชาเงาร่างสามส่วนได้ ยิ่งไปกว่านั้นยังถูกเขาวางแผนซ้อนแผนโจมตีกลับในฉับพลัน


ตอนที่ 617 การจู่โจมของผู้ฝึกฝนชั่วร้าย

โดย

Ink Stone_Fantasy

ทั้งสามคนพากันหันหน้าหนีด้วยความตกใจ


แต่ว่าแสงกระบี่สีเขียวจำนวนมากกลับโบกสะบัดราวกับมังกรร่ายระบำอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นคนทั้งสามก็กลายเป็นฝนโลหิตร่วงลงมา


ตั้งแต่ตอนที่หลิ่วหมิงลืมตากระตุ้นเคล็ดวิชาเงาร่างสามส่วนกับวิชาขี่กระบี่สังหารคนทั้งห้านั้น ใช้เวลาเพียงแค่สองสามอึดใจเท่านั้น


พอชายที่มีตุ่มหนองเห็นเช่นนี้ ก็ขยี้ยันต์สีทองในมือจนแตกกระจายอย่างรวดเร็ว มันกลายเป็นม่านแสงปกคลุมร่างของเขาไว้ จากนั้นก็หยิบยันต์สีดำอีกผืนมาแปะไว้บนตัวอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นแสงสีดำพุ่งขึ้นฟ้า


หลิ่วหมิงเผยรอยยิ้มเยือกเย็นออกมา จนถึงขนาดนี้แล้ว เขาจะให้คนผู้นี้หลบหนีไปง่ายดายได้อย่างไร ทันใดนั้นกลิ่นไอกระบี่อันน่ากลัวก็พุ่งขึ้นฟ้า และกลายเป็นสายรุ้งแวววาวม้วนตัวตามไป


ผ่านไปเพียงแค่สองอึดใจ สายรุ้งสีเขียวก็ตามแสงหลบหลีกที่อยู่ตรงหน้าทัน และฟันลงไปอย่างโหดเหี้ยม


มีเสียงร้องดังออกมาอย่างน่าเวทนา แสงสีทองบนผิวชายที่มีตุ่มหนองแตกกระจายออกมา และร่างของเขาก็ร่วงลงด้านล่าง


พอแสงสีเขียวเปล่งประกาย หลิ่วหมิงก็ปรากฏตัวตรงด้านล่าง และคว้าเอาไหล่ของฝ่ายตรงข้ามไว้ จากนั้นก็สะบัดข้อมือปล่อยกำปั้นออกไปอย่างรุนแรง


หน้าอกของชายที่มีตุ่มหนองถูกหลิ่วหมิงโจมตีซึ่งๆ หน้าจนเกิดเสียงดัง “ตู๊ม!” จากนั้นก็ร่วงลงพื้นราวกับฝนดาวตก และกระแทกพื้นจนเกิดเป็นหลุมใหญ่หลายจั้ง เขากระอักเลือดออกมาและไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก


หลิ่วหมิงหายวับมาปรากฏตัวด้านข้างชายผู้นี้อย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ และเอาเท้าเหยียบหน้าอกไว้ ทำให้เขากระอักเลือดออกมามากกว่าเดิม


“บอกมาเถอะ! พวกเจ้าลอบซุ่มโจมตีข้าด้วยจุดประสงค์อันใด อย่าบอกนะว่าแค่บังเอิญผ่านมา”  หลิ่วหมิงถามด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก


“สะ…สหายไว้ชีวิตด้วย ข้าน้อยปีศาจระฆังเซวี่ยอวี้ ครั้งนี้…พวกข้ามาเพราะเจ้าจริงๆ หากรู้ตั้งแต่แรกว่าสหายมีพลังมากมายเช่นนี้ พวก…พวกข้าจะต้องไม่กล้าล่วงเกินอย่างแน่นอน” ชายที่มีตุ่มหนองบนใบหน้าหอบหายใจกล่าวออกมา ใบหน้าเต็มไปความหวาดกลัวสุดขีด


หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา เขาเองก็รู้สึกคุ้นกับปีศาจระฆังเซวี่ยอวี้อยู่บ้าง ซึ่งเป็นผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีความเป็นความตายเช่นกัน ดูเหมือนว่าจะอยู่อันดับที่หกสิบ ดูท่าคนอื่นๆ ก็คงเป็นผู้ฝึกฝนชั่วร้ายเช่นกัน


ห้าปีก่อน หลิ่วหมิงก็สามารถสังหารหลวงจีนกระดูกแห้งที่จัดอยู่อันดับสามได้แล้ว ห้าปีให้หลัง พลังก็เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก การสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่ติดอันดับท้ายๆ เหล่านี้ย่อมง่ายกว่าเดิมมาก


“ดูเหมือนว่าข้าไม่ได้มีความแค้นกับพวกเจ้า ใยต้องมาหาเรื่องข้าด้วย?” หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ แต่กลับถามออกมาอย่างราบเรียบ


“เจ้าไม่รู้จริงๆ หรือ…หลวงจีนกระดูกหยกประกาศมอบรางวัลสิบล้านหินจิตวิญญาณในบัญชีความเป็นความตายเพื่อเอาหัวของเจ้า ทั้งยังมอบโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ที่เขาปรุงขึ้นมาโดยเฉพาะให้หนึ่งเม็ด แม้แต่ราชาโลหิตกับท่านเซียนหงส์ดำเมื่อทราบเรื่องนี้ ยังบอกว่าจะเอาชีวิตเจ้าด้วยตัวเอง จะได้นำหัวไปรับรางวัล” พอชายที่มีตุ่มหนองเห็นว่าหลิ่วหมิงสงบลงเล็กน้อยแล้ว ก็รู้สึกโล่งใจมาก คำพูดคำจาก็ดูเรียบร้อยขึ้น


หลังจากหลิ่วหมิงได้ยินชื่อหลวงจีนกระดูกหยกก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน และนึกถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลวงจีนกระดูกแห้งที่บันทึกไว้ในบัญชีความเป็นความตายในตอนนั้น


หลวงจีนกระดูกหยกผู้นี้ก็คืออาจารย์ของหลวงจีนกระดูกแห้ง ขณะเดียวกันก็เป็นผู้เชี่ยวชาญการปรุงโอสถที่มีชื่อเสียงของผู้ฝึกฝนชั่วร้าย และหลวงจีนกระดูกแห้งก็เป็นศิษย์ที่เขารักที่สุด


ตอนที่หลิ่วหมิงส่งมอบศีรษะของหลวงจีนกระดูกแห้งนั้น ผู้ดำเนินการในหอความเป็นความตายยังบอกให้เขาระมัดระวังตัวไว้ด้วย


แต่ตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก กลับคิดไม่ถึงว่าเวลาผ่านมาห้าปี คนผู้นี้ก็รู้ร่องรอยของตัวเอง และยังตั้งราคาค่าหัวสูงเช่นนี้ด้วย


แม้หลิ่วหมิงจะไม่รู้ว่าโอสถกระดูกมรกตนักรบพระโพธิสัตว์ที่ปรุงขึ้นมาโดยเฉพาะนี้ จะมีผลลัพธ์เป็นเช่นไร แต่ราชาโลหิตที่มีรายชื่ออันดับหนึ่ง และเซียนหงส์ดำที่มีรายชื่ออันดับสองในบัญชีความเป็นความตายต่างก็ใจเต้นเช่นนี้ คิดว่าคงเป็นโอสถประเภทหลอมร่างล้างไขกระดูกที่มีมูลค่าไม่น้อย


“พวกเจ้ารู้เบาะแสของข้ามาจากที่ใด?” หลิ่วหมิงเลิกคิ้วถาม


“ในแผ่นดินจงเทียนนี้ ผู้ที่สามารถหาตำแหน่งของคนๆ หนึ่งได้อย่างแม่นยำนั้น นอกจากหอเป๋ยโต่วแล้ว ยังมีกลุ่มใดสามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้อีก เป็นเพราะข้าและพี่น้องทั้งห้าอาศัยอยู่บริเวณนี้ จึงหาสหายเจออย่างรวดเร็ว สิ่งที่ข้ารู้ก็ได้บอกไปหมดแล้ว หวังว่าสหายจะไว้ชีวิตด้วย” ชายที่มีตุ่มหนองลังเลเล็กน้อยก่อนกล่าวออกมา


“ในเมื่อข้ารู้เรื่องที่ข้าอยากรู้หมดแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องไว้ชีวิตเจ้าอีก” ดวงตาหลิ่วหมิงเป็นประกายเยือกเย็น นิ้วข้างหนึ่งวาดไปทางอากาศ แสงกระบี่สีเขียวกระพริบออกมาฟันหัวของชายที่อยู่ด้านล่างจนขาด


พอเขาคว้ามือข้างหนึ่งออกไป หัวของคนผู้นี้ก็ถูกเก็บเข้าไปในยันต์เก็บของ และร่างของเขาก็กระพริบไปตัดหัวคนอื่นๆ


นอกจากชายร่างสูงที่ถูกเขาใช้พลังดัชนีกระบี่ระเบิดศีรษะแล้ว ในแหวนย่อส่วนของเขาก็มีศีรษะเพิ่มขึ้นมาห้าใบ หากคนเหล่านี้ต่างก็มีชื่อในบัญชีความเป็นความตายล่ะก็ หลิ่วหมิงคงได้แต้มคุณูปการจำนวนไม่น้อย


จากนั้นหลิ่วหมิงก็นำยันต์เก็บของกับอาวุธจิตวิญญาณของคนเหล่านี้ใส่เข้าไปในแหวนย่อส่วน


ระฆังเล็กสีเขียวของชายที่มีตุ่มหนองผู้นั้น เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มียี่สิบแปดชั้นจำกัด


แต่เมื่อหลิ่วหมิงใส่พลังเวทเข้าไป กลับไม่สามารถกระตุ้นมันได้ ด้านหนึ่งของระฆังนี้ก็มีภาพโครงกระดูกแปลกประหลาดสลักอยู่


ดูท่าการกระตุ้นระฆังนี้ อาจต้องใช้เคล็ดวิชาสายปีศาจบางอย่าง


และภายในยันต์เก็บของของคนอื่นๆ ก็มีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดกับระดับสูงเป็นจำนวนมาก เพียงแต่ไม่มีชั้นจำกัดมากเหมือนระฆังวิญญาณปีศาจ และยังมีหินจิตวิญญาณอยู่จำนวนไม่น้อย


หลิ่วหมิงนับดูคร่าวๆ ก็พบว่ามีราวๆ สามสี่ล้านหินจิตวิญญาณ ทำให้เขารู้สึกดีใจไม่น้อย


ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายเหล่านี้นับว่ามีสมบัติเยอะอย่างน่าตกใจ


“คิดไม่ถึงว่าหอเป๋ยโต่วจะนำเบาะแสของข้าไปบอกผู้ฝึกฝนชั่วร้ายเหล่านี้ เช่นนี้แล้วไม่เพียงแต่จะมีผู้ฝึกฝนชั่วร้ายคนอื่นๆ ตามมา ราชาโลหิตกับเซียนหงส์ดำผู้นั้นก็รู้เบาะแสของข้าแล้ว” หลิ่วหมิงขมวดคิ้วมองดูขี้เถ้าที่สลายไปตามสายลมด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา และพูดพึมพำเบาๆ


หลังจากคิดไตร่ตรองไปหนึ่งรอบแล้ว หลิ่วหมิงก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็พุ่งไปทางเมืองโบราณเทียนเหย่ต่อ


เพราะว่าการตามหาไอปีศาจแท้ถึงเป็นภารกิจที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ เขาไม่อาจเปลี่ยนกำหนดการเดินทางได้


ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยระดับพลังของเขาในตอนนี้ ไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวผู้ฝึกฝนชั่วร้ายในบัญชีความเป็นความตายแต่อย่างใด เพียงแค่ระวังตัวอย่าตกหลุมพราง และถูกฝ่ายตรงข้ามโจมตีก็เท่านั้น


หกวันต่อมา เหนือยอดเขาสูงชันกลุ่มหนึ่ง มีแสงสีทองจำนวนมากพุ่งลงด้านล่าง  และเจาะทะลุไอดำที่อยู่ตรงหน้า มีเงาร่างสูงต่ำสองเงาปรากฏออกมา


แต่ปราณกระบี่พุ่งออกจากร่างหลิ่วหมิงที่รอคอยอยู่แต่แรกแล้ว และม้วนตัวเป็นสายรุ้งก่อนพุ่งออกไป หลังจากมีแสงเย็นสะท้านเปล่งประกาย เงาร่างทั้งสองก็ถูกฟันเป็นสี่ส่วน ฝนโลหิตจำนวนมากร่วงหล่นลงมา


……


ครึ่งเดือนต่อมา ท้องฟ้าเหนือทุ่งหญ้าเขียวขจีแห่งหนึ่ง หมาป่ายักษ์สีดำสิบกว่าตัวกำลังล้อมโจมตีหลิ่วหมิงภายใต้การผิวปากกระตุ้นของคนชุดดำที่ปิดหน้าผู้หนึ่ง


หมาป่ายักษ์เหล่านี้บ้างก็พ่นลูกเปลวไฟ บ้างก็พ่นคมวายุ บ้างก็แยกเขี้ยวยิงฟันกระโจนเข้าใส่อยู่ไม่หยุด แต่หลิ่วหมิงกลับกลายเป็นเงาร่างจางๆ ทำให้ฝูงหมาป่าไม่อาจโจมตีได้เลยแม้แต่น้อย


แม้คนชุดดำที่ปิดบังใบหน้าจะผิวปากอยู่ไม่หยุด และจ้องมองหลิ่วหมิงที่กระพริบไปมาราวกับปีศาจ แต่ดวงตาทั้งคู่กลับเต็มไปด้วยความหวาดกลัว


ทันใดนั้น แสงสีเทาก็ม้วนออกจากร่างคนชุดดำ และกลายเป็นลูกแสงสีขาวหลบหนีขึ้นฟ้าโดยไม่สนใจหมาป่ายักษ์เหล่านั้นเลย


ฝูงหมาป่าส่งเสียงหอนยาวออกมา ทันใดนั้นเงากระบี่สีเขียวก็พุ่งขึ้นมาจำนวนมาก บริเวณที่แสงกระบี่อันครั่นคร้ามเคลื่อนตัวผ่าน ทำให้ฝูงหมาป่าถูกฟันเป็นเจ็ดแปดส่วน


จากนั้นสายรุ้งสีเขียวก็ม้วนตัวขึ้นตามคนชุดดำไป


ครู่ต่อมา มีเสียงร้องอย่างเวทนาดังมาจากขอบฟ้าที่อยู่ไกลๆ


……


หนึ่งเดือนต่อมา บนพื้นที่ราบโล่งแห่งหนึ่ง ผู้ฝึกฝนเจ็ดคนกำลังเหาะไปด้วยกัน ชายชุดเขียวใบหน้าธรรมดาที่อยู่ท้ายสุดก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง


ตอนนี้เขาไม่ได้แปลงโฉมแต่อย่างใด เพราะตอนไปหอเป๋ยโต่วในก่อนหน้านั้น เขาแปลงโฉมเป็นชายฉกรรจ์หน้าดำ หลังจากตอนนี้ฟื้นฟูกลับมาเป็นหน้าเดิมแล้ว ก็อาศัยโอกาสนี้ดูว่าหอเป๋ยโต่วมีข้อมูลของตนเองมากเพียงใด


พื้นที่ราบตรงหน้ามีพื้นที่บริเวณรอบๆ พันลี้ แต่เวิ้งว้างไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ แต่เหนือพื้นที่ราบแห่งนี้มีวิหคประหลาดสามหัวชนิดหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า ‘หลีเซียว’ ยึดครองอยู่ที่นี่มานานแล้ว


วิหคประหลาดเหล่านี้มีขนาดหนึ่งจั้ง ทั้งยังมีสามหัว แม้ว่าส่วนมากจะมีพลังระดับศิษย์จิตวิญญาณ ซึ่งระดับของเหลวมีน้อยมาก แต่กลับปรากฏตัวเป็นฝูง อย่างน้อยฝูงละห้าสิบหกสิบตัว อย่างมากก็หลักร้อยถึงหลักพัน แม้แต่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกยังต้องถอยหลบไปสามฉื่อเมื่อพบเจอกับมัน


แต่ว่าพื้นที่ราบแห่งนี้ คือทางที่จำเป็นต้องผ่านเพื่อไปยังทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์ที่เป็นที่ตั้งของเมืองโบราณเทียนเหย่ มีเพียงไม่กี่เส้นทางเท่านั้นที่สามารถหลีกเลี่ยงวิหคหลีเซียวแปลกประหลาดเหล่านี้ได้


ก่อนหน้านั้น หลิ่วหมิงร่วมเดินทางมากับผู้ฝึกฝนเหล่านี้ โดยผ่านค่ายกลส่งตัวบางแห่ง เพราะว่าต้องการหลบเลี่ยงวิหคประหลาด เขาจึงเลือกเดินทางมาพร้อมกับคนกลุ่มนี้


จากการคาดการณ์ของเขา เพียงแค่ผ่านพื้นที่ราบแห่งนี้ไป และผ่านค่ายกลส่งตัวอีกสองสามครั้ง อีกสองเดือนให้หลังก็จะถึงทุ่งหญ้าอาชาสวรรค์แล้ว ในเรื่องของเวลาคงไม่มีปัญหา


พลันมีจุดสีแดงสดปรากฏขึ้นบนขอบฟ้าที่อยู่ไม่ไกล หลังจากกระพริบไม่กี่ทีก็ขยายใหญ่อยู่ไม่หยุด ที่แท้มันก็เป็นแสงหลบหลีกสีเลือดที่เคลื่อนไหวรวดเร็วเป็นอย่างมาก และกำลังพุ่งมาทางคนกลุ่มนี้อย่างรวดเร็ว


พอคนเหล่านี้เห็นเช่นนี้ ก็หยุดการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าลง และมองไปยังแสงหลบหลีกสีแดงตรงขอบฟ้าด้วยท่าทีระมัดระวัง มีบางคนถึงกับถืออาวุธจิตวิญญาณไว้ในมือ


ผ่านไปราวๆ สองสามอึดใจ ขณะที่มีกลิ่นคาวเลือดเข้มข้นโชยเข้ามา แสงสีแดงก็ดับลง เงาร่างสีเลือดสลัวๆ ที่มองเห็นใบหน้าไม่ชัดเจน ปรากฏอยู่ห่างจากคนกลุ่มนี้ไปหลายจั้ง และขวางการเดินทางของพวกเขาไว้


“ท่านเป็นใคร ใยต้องมาขวางทางพวกข้าด้วย” ชายวัยกลางคนระดับผลึกที่เป็นหัวหน้ากวาดจิตออกไป พอค้นพบว่าฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะมีการฝึกฝนระดับของเหลว เขาก็ถามเสียงสูงออกไปด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง


หลังจากเงาร่างสีเลือดกวาดสายตาออกไปแล้ว สายตาของเขาก็ตกอยู่บนตัวหลิ่วหมิง ทันใดนั้นก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา แสงสีเลือดเปล่งประกายบนพื้นผิว เสาโลหิตจำนวนมากทะลักออกจากหลังของเขา ครู่เดียวทะเลโลหิตก็ก่อตัวขึ้นรอบๆ ตัวเขาในระยะสิบกว่าจั้งๆ


………………………………

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Xian Ni ฝืนลิขิตฟ้า ข้าขอเป็นเซียน ตอนที่ 1-2088 (จบบริบูรณ์)

The Great Ruler หนึ่งในใต้หล้า (update ตอนที่ 1-1554)

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ (update ตอนที่ 1-1122)